” ช็อกโกแลต ” กินอย่างไรให้หัวใจแข็งแรง มาบำรุงรักษาหัวใจด้วยการกินช็อกโกแลตกันเถอะ !!!
วันนี้มาเอาใจคนชอบกิน ” ช็อกโกแลต ” ที่ไม่ได้มีดีแค่ความอร่อยแต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต แถมยังช่วยบำรุงรักษาหัวใจของเราให้แข็งแรงอีกด้วย

ทำความรู้จัก ” ช็อกโกแลต”
ช็อกโกแลต (Chocolate) คือ ผลิตผลที่ได้มาจากเมล็ดของต้นโกโก้เขตร้อน ทำมาจากเมล็ดของพืชชนิดหนึ่งที่เรียกว่า คาเคาบีน (Cocoa Bean) ที่ปลูกทางตอนใต้ของทวีปอเมริกา และทวีปแอฟริกา ช็อกโกแลตทำจากการหมัก คั่ว และบดอย่างละเอียดของเมล็ดโกโก้ซึ่งได้มาจากต้นโกโก้เขตร้อน (tropical cacao tree) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากอเมริกากลาง และเม็กซิโก ต้นโกโก้นั้นถูกค้นพบโดยชาวอินเดียนแดงและชาวอัซเตก (Aztecs) แต่ในปัจจุบันได้แพร่กระจายและปลูกไปทั่วเขตร้อน เมล็ดของต้นโกโก้นั้นมีรสฝาดที่เข้มข้นมาก ผลผลิตของเมล็ดโกโก้รู้จักกันในนาม “ช็อกโกแลต” หรือบางส่วนของโลกในนาม “โกโก้”
แต่ขั้นตอนการทำช็อกโกแลตนั้นก็มีกระบวนการผลิตต่างกันออกไปตามเทคนิคของแต่ละประเทศ โดยประเทศที่ได้ขึ้นชื่อว่าทำช็อกโกแลตได้ดีที่สุดในโลกนั้นก็คือ “ประเทศเบลเยียม” เพราะการผลิตช็อกโกแลตที่นี่จะเน้นที่คุณภาพ และความพิถีพิถันในการคำนวณอัตราส่วนผสมของช็อกโกแลต
ประวัติศาสตร์ของช็อกโกแลต
ช็อกโกแลตนั้นถูกค้นพบมาตั้งแต่ 2000 ปีที่แล้ว หลังจากสมัยพระนางคลีโอพัตราแห่งอียิปต์ เป็นผลผลิตที่ได้จากเมล็ดของต้นคาเคา (cacao) ในป่าร้อนชื้นของทวีปอเมริกา จัดอยู่ในตระกูล Theobroma cacao แปลว่า ” อาหารแห่งทวยเทพ ” ชนกลุ่มแรกที่รู้จักทำช็อกโกแลตเป็นอารยธรรมโบราณที่อยู่ในประเทศเม็กซิโก และอเมริกากลาง ชนกลุ่มนี้ได้แก่ ชาวมายาและชาวแอซเทคแห่งอารยธรรมเมโสอเมริกา คนเหล่านี้เอาเมล็ดคาเคามาบดแล้วผสมกับเครื่องปรุงหลากหลายชนิดเพื่อทำเป็นเครื่องดื่มที่มีรสขม นอกจากใช้ประกอบอาหารแล้วช็อกโกแลตยังเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตเชิงศาสนาและสังคมอีกด้วย
กินช็อกโกแลตทำให้หัวหัวใจแข็งแรงจริงหรือ ?
จาก วารสารทางการแพทย์ของอังกฤษ (British Medical Journal 2012) รายงานการวิจัยฉบับหนึ่ง กล่าวถึงการกินดาร์กช็อกโกแลต (dark chocolate) ติดต่อกันทุกวันเป็นระยะเวลา 10 ปี สามารถช่วยป้องกันอุบัติการณ์ของโรคเส้นเลือดหัวใจ เส้นเลือดสมองตีบ ที่ไม่ถึงกับตายได้ถึง 70 รายต่อ 10,000 คน และป้องกันชนิดรุนแรงถึงตายได้ 15 รายต่อ 10,000 คน โดยจากการศึกษานี้ ได้ติดตามประชากรจำนวน 2,013 คน ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือด โดยที่มีพุงโตเฉลี่ย 39 นิ้ว มีระดับเฉลี่ยของความดันตัวบน 1 มม. และมีไขมันคอเรสเตอรอล เฉลี่ยประมาณ 239 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร โดยที่ค่าน้ำตาลสะสมยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะเป็นโรคเบาหวาน และทั้งหมดมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 53.6 ปี โดยทั้งหมดวิเคราะห์เทียบกับปริมาณของสารโพลีฟีนอล (polyphenol)ในช็อกโกแลตดำที่เทียบเท่า 100 กรัมต่อวัน
โดย นพ. ไพศิษฐ์ ตระกูลก้องสมุท จาก โรงพยาบาลสมิติเวช ให้ข้อมูลว่าจากการศึกษาพบว่า ผู้ที่รับประทานดาร์กช็อกโกแลตประมาณ 50-100 กรัม ( ให้พลังงาน 300-600 แคลอรี่) และรับประทาน 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ อาจสามารถลดอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่รับประทานเลย เนื่องจากสารสำคัญในช็อกโกแลตช่วยทำให้ระบบไหลเวียนเลือดสมดุลและเสริมความแข็งแรงของหลอดเลือดหัวใจ และการกินช็อกโกแลตให้มีประโยชน์สูงสุดควรเลือกดาร์กช็อกโกแลต (Dark Chocolate) ที่ผลิตจากผลโกโก้ที่ได้มาตรฐาน คือมีปริมาณของโกโก้สูง 70-85% ถึงแม้ว่าดาร์กช็อกโกแลตจะมีส่วนผสมของน้ำตาลและนมน้อยมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอยู่เลย ดังนั้นจึงควรกินช็อกโกแลตในปริมาณที่เหมาะสม (อ้างอิง จาก https://www.samitivejhospitals.com/th/article/detail/ข้อดีของช็อกโกแลต )
โดยสารในช็อกโกแลตที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และช่วยป้องกันโรคได้อย่างหลากหลาย มีดังต่อไปนี้
- สารคาเฟอีน (Caffeine) มีคุณสมบัติกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง สามารถทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้
- สารทิโอโบรมีน (Theobromine) ช่วยลดความดันโลหิต กระตุ้นการเต้นของหัวใจ และสามารถลดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้
- สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ในกลุ่มโพลิฟีนอล (Polyphenol) ต่อต้านอนุมูลอิสระ สามารถเสริมความแข็งแรงของหลอดเลือดหัวใจและสมอง อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของโรคหัวใจได้

ประโยชน์ด้านอื่นของช็อกโกแลต
- ช็อกโกแลตมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญหลากหลายอย่าง อย่างเช่น Flavanols , Catechins , Proanthocyanins และ Polyphenols ที่ช่วยลดการอักเสบ ลดการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งหลายการศึกษาพบว่าสารโพลีฟีนอลจะช่วยเสริมให้หลอดเลือดแข็งแรง มีส่วนช่วยเพิ่มไขมันคอเลสเตอรอลชนิด HDL ซึ่งช่วยลดการอักเสบและการก่อตัวของลิ่มเลือดได้ โดยนักวิจัยได้ทำการตรวจสอบฟอสฟอรัสและพบว่า ช็อกโกแลตมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับบลูเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ และทับทิม
- ช็อกโกแลตช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและลดระดับความดันโลหิต โดยการทานดาร์กช็อกโกแลตสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ช่วยลดความดันโลหิต ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ป้องกันเส้นเลือดอุดตันและป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว เนื่องจากโพแทสเซียมในโกโกเที่เพิ่มขึ้น จึงเหมาะสำหรับคนที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง โดยมีผลสำรวจกล่าวว่าช็อกโกแลตส่งผลต่อการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น รวมถึงช่วยลดความดันโลหิตอีกด้วย
- ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ เนื่องจากดาร์กช็อกโกแลตอุดมไปด้วยแร่ธาตุ และวิตามินที่สำคัญต่อร่างกายมากมาย จึงช่วยบำรุงเลือดทำให้เกิดการไหลเวียนโลหิตได้ดีขึ้น และเป็นการป้องกัน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูงได้ไปในตัว
- ช็อกโกแลตช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยเพิ่มระดับไขมันดี HDL และลดไขมันไม่ดี LDL ในร่างกาย ใน American Journal of Clinical Nutrition ระบุไว้ว่า ในโกโก้และดาร์กช็อกโกแลตจะมีสารฟลาโวนอยด์ และโพลีฟีนอลในดาร์กช็อกโกแลต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีหรือ LDL และเพิ่มคอเลสเตอรอลดีอย่าง HDL ในเลือดได้
- ช็อกโกแลตช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง โดยสารฟลาโวนอยด์ในดาร์กช็อกโกแลต มีฤทธิ์ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งผลให้ออกซิเจนและเลือดลำเลียงไปสู่สมองได้ดี ทำให้เราจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้นช่วยให้สมองมีสุขภาพที่ดี
- ช็อกโกแลตช่วยลดความเครียด จากที่มีการศึกษาพบว่า คนที่ทานดาร์กช็อกโกแลตปริมาณ 40 กรัมทุกวันนาน 2 สัปดาห์ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนแห่งความเครียดลดลง เมื่อเทียบกับวันแรกที่เริ่มทาน
- ช็อกโกแลตช่วยปกป้องและบำรุงผิวพรรณ โดยโกโก้บริสุทธิ์จะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระของฟลาโวนอลโลน โดยฟลาโวนอลที่มีปริมาณที่สูงจะมีส่วนช่วยให้โครงสร้างของผิวแข็งแรงขึ้น โดยการกินช็อกโกแลตในปริมาณ 326 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในเนื้อเยื่อของชั้นผิวหนัง ส่งผลทำให้ผิวชุ่มชื้น แข็งแรง และเรียบเนียนขึ้น
กินแต่พอดี โทษของการกินช็อกโกแลต !!!
- ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากช็อกโกแลตมีสารเฟนิลไธลามิน ธีโอโบรไมน์ และกาเฟอีน อีกทั้งช็อกโกแลตสำเร็จรูปที่วางจำหน่ายกันทั่วไปนั้น มีการแต่งกลิ่นและแต่งสีรวมทั้งเพิ่มน้ำตาลเข้าไปปริมาณมากเพื่อให้ขนมมีรสหวานมากๆ และ การรับประทานช็อกโกแลตจำนวนมากๆ ก็หมายความว่าเราได้รับน้ำตาลมากเกินจำเป็นซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
- อาจทำให้เกิดโรคอ้วน เพราะ ช็อกโกแลตให้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินเอ ดี เค และธาตุเหล็กค่อนข้างสูง หากรับประทานมากเกินไป ก็อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้
ข้อมูลจาก โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน และ โรงพยาบาลสมิติเวช
___________________________________________
บทความอื่นที่น่าสนใจ
ผักผลไม้ห้ามกินกับยา ป้องกันยาตีกัน
วิธีรักษาโรคหัวใจ ด้วยมังสวิรัติ แนะนำโดยแพทย์จากสหรัฐอเมริกา
ติดตามชีวจิตได้ที่