ผู้เชี่ยวชาญชี้ บ้างาน เสี่ยงป่วย โรคซึมเศร้า เป็น 2 เท่า
ผลการศึกษาล่าสุด พบว่าคนที่ทุ่มเทกับงานมาก หรือมีลักษณะ บ้างาน อาจเสี่ยงต่อการเป็น โรคซึมเศร้า ได้ในอนาคต รายงานจาก International Journal of Environmental Research and Public Health ระบุว่าคนบ้างาน หรือ Workaholic มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า รวมถึงยังส่งผลต่อคุณภาพการนอนที่แย่อีกด้วย
สถิติคน บ้างาน ป่วยหนัก
จากการสังเกตพฤติกรรมการทำงานของคนฝรั่งเศสจำนวน 187 คน พบว่าคนที่เรียกร้องขอทำงาน มีแนวโน้มที่จะเป็นคนเสพติดการทำงานเพิ่มขึ้น 5 เท่า โดยกลุ่มคนทำงานที่มีความเสี่ยงสูงเหล่านี้ โดยทั่วไปจะมีการทำงานมากกว่ากลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่ำประมาณ 7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และมีลักษณะเป็นส่วนร่วมในแต่ละส่วนของงานที่มากเกินความจำเป็น แม้ไม่ได้ถูกขอร้องให้ทำ
ผลการศึกษาพบว่าผู้หญิงมีแนวโน้มเสี่ยงต่อการเสพติดการทำงานมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า
ผลที่ตามมาคือ บรรดาผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเสพติดการทำงาน ยังมีโอกาสที่จะเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้นเป็น 2 เท่า ส่วนคนที่มีความเสี่ยงที่จะเสพติดงานน้อยกว่า อาจแสดงอาการออกมาในลักษณะความวิตกกังวล นอกจากนี้ นักวิจัยยังพบว่ากลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงยังมีคุณภาพการนอนที่ต่ำด้วย
เช็กอาการ บ้างาน หรือเปล่านะ
แอดเชื่อว่าทุกคนรู้จักคำว่า Woke – Life Balance กันเป็นอย่างดี นั้นก็คือการจัดการชีวิตอย่างสมดุล ทั้งในด้านการทำงน และการใช้ชีวิต แต่ด้วยความเร่งรีบ และการแข่งขันของโลกการทำงาน จึงอาจทำให้หลายคนกลายเป็นคนบ้างานไปโดยไม่รู้ตัว กว่าจะรู้อีกทีก็ถลำลึกจนป่วยไปแล้วไม่ว่าจะทางกาย หรือทางใจ แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น เรามาเช็กกันก่อนดีกว่า ว่าเราบ้างานหรือเปล่า เพื่อที่ว่าจะได้ปรับตัวเข้าหาสมดุลได้อย่างทันท่วงทีนะคะ
1.นอนไม่หลับ เฝ้าคิดวนเวียนแต่เรื่องงาน
แม้จะทำงานหนักจนเหนื่อยล้าอ่อนแรงแค่ไหน แต่เมื่อกลับไปถึงบ้านก็ยังไม่สามารถตัดงานออกจากความคิดได้ นั่งคิดนอนคิดเรื่องงานไปจนนอนไม่หลับ สุดท้ายก็เกิดความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงควรปล่อยวางเรื่องงานบ้าง แบ่งเวลาพักผ่อนกับเวลางานออกจากกันให้เด็ดขาด ในเวลางานทุ่มเททำอย่างเต็มที่นับเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าจะดีที่สุดเมื่อถึงเวลาพักก็พักอย่างเต็มที่ด้วย
![บ้างาน](https://cheewajit.com/app/uploads/2023/03/iStock-1304877574-1024x538.webp)
2.หลงลืมเรื่องราวนอกเนื้อจากงานบ่อยๆ สมองเบลอ
มัวแต่คิดเรื่องงานจนลืมเรื่องราวรอบกาย ทำให้กลายเป็นคนหลงลืมเรื่องใกล้ตัวอยู่บ่อยๆ เช่น ลืมกุญแจบ้าน กุญแจรถ แบบนี้อาจเป็นสัญญาณจากสมองที่บ่งบอกว่ากำลังอ่อนล้า เพราะมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องงาน จนไม่สนใจเรื่องอื่นในชีวิต ลองหาทางปลดปล่อยความเครียด ด้วยการแบ่งเวลาไปทำกิจกรรมอื่นๆ เพื่อคลายเครียดก็ดีเหมือนกันนะ
3.ปวดคอ หลัง บ่า ไหล่ ไมเกรนก็ถามหา
หากเริ่มมีอาการปวดคอ หลัง บ่า ไหล่ ตามแบบฉบับออฟฟิศซินโดรม หรือปวดกระบอกตาจากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์มากเกินไปจนเป็นไมเกรน เหล่านี้คือสัญญาณที่บอกว่าเราทำงานหนักจนร่างกายส่งสัญญาณมาเตือนแล้วว่าให้พักผ่อนเสียบ้าง ก่อนที่โรคร้ายอื่นๆ จะมาเยือน
4.หงุดหงิด โมโหง่าย
หัวร้อนง่าย เอะอะก็โมโห ใครพูดอะไรไม่เข้าหูหน่อยก็มีอารมณ์ฉุนเฉียว อาจเกี่ยวกับการทำงานที่มากเกินไปจนทำให้เกิดความกดดันและความเครียด ลองหันกลับมาดูแลกายและใจตัวเอง รวมถึงดูแลความสัมพันธ์กับคนรอบตัวบ้าง เพราะงานที่กำลังทำมันอยู่กำลังส่งผลเสียต่อสุขภาพของเราเอง รวมถึงความสัมพันธ์กับคนรอบๆ ตัวเราด้วย
5.กินอาหารไม่เป็นเวลา
มัวแต่ทำงานวุ่นจนลืมเวลาและลืมหาข้าวปลารับประทาน บางคนลืมกินข้าวทั้งวันพอตกดึกก็หิวโซซัดอาหารแบบไม่ยั้ง ส่งผลให้ร่างกายเกิดโรคต่างๆ ทั้งโรคอ้วน โรคกระเพาะ โรคกรดไหลย้อน รวมถึงอาจเกิดอาการหน้ามืดไม่มีแรง เพราะร่างกายขาดสารอาหารเป็นเวลานานด้วย
เช็กอาการโรคซึมเศร้า
เชื่อว่าหลายคนอาจตกใจ และเริ่มผวาว่าหากเราบ้างานแล้ว เราจะเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า วันนี้แอดมีวิธีสังเกตโรคซึมเศร้า เพื่อที่เราจะได้ใช้สังเกตตัวเอง หรือบางทีลองเช็กกับคนคนใกล้ชิดว่าเขาคนนั้นมีความเสี่ยงหรือไม่ เมื่อรู้ว่ามีความเสี่ยงจะได้ช่วยให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งหากมีอาการต่อไปนี้ 5 อาการหรือมากกว่าก็อาจมีความเสี่ยง
- มีอารมณ์ซึมเศร้าแทบทั้งวัน (ในเด็กและวัยรุ่นอาจเป็นอารมณ์หงุดหงิดก็ได้)
- ความสนใจหรือความเพลินใจในกิจกรรมต่างๆ แทบทั้งหมดลดลงอย่างมากแทบทั้งวัน
- น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นมาก (น้ำหนักเปลี่ยนแปลงมากกว่าร้อยละ 5 ต่อเดือน) หรือมีการเบื่ออาหารหรือเจริญอาหารมาก
- นอนไม่หลับ หรือหลับมากไป
- กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข หรือเชื่องช้าลง
- อ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง
- รู้สึกตนเองไร้ค่า
- สมาธิลดลง ใจลอย หรือลังเลใจไปหมด
- คิดเรื่องการตาย คิดอยากตาย
*ต้องมีอาการในข้อ 1 หรือ 2 อย่างน้อย 1 ข้อ
*ต้องมีอาการเป็นอยู่นาน 2 สัปดาห์ขึ้นไป และต้องมีอาการเหล่านี้อยู่เกือบตลอดเวลา แทบทุกวัน ไม่ใช่เป็นๆ หายๆ เป็นเพียงแค่วันสองวันหายไปแล้วกลับมาเป็นใหม่ และหากว่าใครรู้สึกไม่สบายใจ ก็สามารถโทรศัพท์ปรึกษาที่หมายเลข 1323 ของกรมสุขภาพจิต ได้ตลอด 24 ชม.
![บ้างาน](https://cheewajit.com/app/uploads/2023/03/iStock-1474053560-1024x538.webp)
กำหนดลมหายใจ กระตุ้นความสุข ต้านซึมเศร้า
สำหรับใครที่รู้สึกว่า ไม่มีสมาธิ อารมณ์ไม่คงที่ แอดก็มีวิธีดีๆ ที่จะช่วยกระตุ้นความสุข ลดโอกาสเสี่ยงการเป็นโรคซึมเศร้า ได้ ด้วย การกำหนดลมหายใจ แนะนำโดย อาจารย์ดร.ธรรมวัฒน์ อุปวงษาพัฒน์ อาจารย์ประจําภาควิชาสุขศึกษา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตบำบัดทางการแพทย์ และจิตวิทยาให้คำปรึกษา รวมทั้งเป็นหนึ่งในสมาชิกสมาคมการสั่งจิตบําบัดทางการแพทย์ และทันตกรรมนานาชาติสหรัฐอเมริกา (IMDHA) อธิบายว่า
“ในทางการแพทย์พบว่า หากอยากมีอายุยืนยาวแข็งแรง และมีความสุข ให้กระตุ้นระบบประสาทส่วนพาราซิมพาเทติก (PNS) หรือประสาทส่วนผ่อนคลายเป็นหลัก เพราะระบบประสาทส่วนนี้จะช่วยปลดปล่อยฮอร์โมนดี ได้แก่ เอนดอร์ฟิน เซโรโทนิน ออกซิโทซิน โกรทฮอร์โมน โดพามีน ซึ่งฮอร์โมนทั้งหมดมีผลให้ร่างกายผ่อนคลาย มีความสุข เยียวยาอาการเจ็บปวด
“แล้วให้ใช้ประสาทส่วนซิมพาเทติก (SNS) หรือประสาทส่วนเร่งเร้าเพียงอ่อนๆ พอมีชีวิตชีวาเป็นบางครั้งคราวเมื่อยามภัยคุกคามเข้ามาเท่านั้น เพราะประสาทฝั่งเร่งเร้านำมาซึ่งสารแห่งความทุกข์มากมาย เช่น คอร์ติซอล อะดรีนาลิน แลกเทต เป็นต้น จึงพูดได้ว่า ระบบประสาทส่วนพาราซิมพาเทติกเป็นระบบประสาทแห่งความสุข ส่วนประสาทส่วนซิมพาเทติกเป็นระบบประสาทแห่งความทุกข์”
ซึ่งอาจารย์ดร.ธรรมวัฒน์มีวิธีการง่ายๆที่จะช่วยกระตุ้นร่างกายให้หลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขออกมาเยียวยาฟื้นฟูร่างกายและจิตใจดังนี้ค่ะ
ขั้นตอนกำหนดลมหายใจ
วิธีที่ 1 หายใจเข้าลึกจนท้องป่อง แล้วหายใจออกให้ยาวจนรู้สึกสบาย 10 ครั้ง วิธีนี้ไม่เพียงกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติกเท่านั้น ยังช่วยปรับคลื่นสมองให้อยู่ในโหมดคลื่นอัลฟ่าด้วย ซึ่งช่วยส่งเสริมความจำ การคิด การมองโลกในแง่ดี คุณจะสงบเร็วขึ้น มีสติ ตัดสินใจแก้ไขปัญหาและสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดีขึ้น
วิธีที่ 2 การเคาะตามแนวเส้นเมอริเดียนหรือจุดรวมประสาทของร่างกาย เช่น การเคาะที่ศีรษะ ใบหน้า และหู จะช่วยกระตุ้นระบบประสาท ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
โดยคุณหมอกฤตชญากล่าวเสริมถึงคุณประโยชน์ของการฝึกลมหายใจว่า
“Breathing Exercise หรือการฝึกลมหายใจเข้าลึกออกยาว ช่วยคลายเครียดได้ตั้งแต่คนที่ยังไม่เป็นโรคเครียด ไปจนถึงคนที่มีภาวะเครียด ซึมเศร้า หรือวิตกกังวล ทำให้จิตใจผ่อนคลาย ได้พักจากความคิดบางอย่างที่วนเวียนอยู่ในหัว แล้วกลับมาอยู่กับร่างกายของตัวเอง
“อาจทำก่อนนอนจนกระทั่งหลับไป หรือขณะทำงานระหว่างวันเพื่อผ่อนคลายความเครียด และบู๊สต์พลังให้กับตัวเองค่ะ”
ข้อมูลจาก
- International Journal of Environmental Research and Public Health
- กรมสุขภาพจิต
- นิตยสารชีวจิต
บทความอื่นที่น่าสนใจ
10 แหล่งโอเมก้า-3 บำรุงสมอง หัวใจ ป้องกันซึมเศร้า
10 สารอาหาร ห่างไกล โรคซึมเศร้า แค่กินเป็น ก็มีความสุข
6 ถั่วมหัศจรรย์ ยิ่งกินยิ่งอายุยืน