วิธีเช็ค โรคผื่นผิวหนังอักเสบ เสี่ยงมะเร็ง
โรคผื่นผิวหนังอักเสบ คืออะไร ผมเคยได้ยินหลายๆ คนพูดว่า หมอผิวหนังน่ะสบาย เจอแต่ปัญหาความสวยงาม รักษาแต่สิวฝ้า แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ
ใช่ว่าหมอผิวหนังจะพบแต่ปัญหาความสวยความงามแต่อย่างเดียวเสียเมื่อไร โรคผิวหนังยังครอบคลุมไปถึงโรคต่างๆ มากมาย ทั้งที่เป็นโรคผิวหนังเอง (โรคผิวหนังก็มีทั้งที่เกี่ยวกับปัญหาความงามและที่ไม่เกี่ยวกับปัญหาความงาม) และโรคเกี่ยวกับระบบอื่นๆ ของร่างกายที่มีอาการทางผิวหนัง
ดังนั้นกว่าที่จะเป็นแพทย์ผิวหนังจะต้องท่องตำรา และเรียนรู้เกี่ยวกับโรคต่างๆ มากมาย แพทย์ที่เคยเรียนทางด้านอายุรศาสตร์มา แล้วมาเรียนต่อทางด้านผิวหนัง จะบอกกันทั้งนั้นเลยว่า นึกไม่ถึงเลยว่ากว่าจะจบเป็นแพทย์ผิวหนังที่สมบูรณ์ต้องเรียนรู้มากมาย จนตำราอายุรศาสตร์ที่ว่าเยอะแล้วยังเทียบไม่ติดเลย
ที่เล่ามานี้ ผมกำลังจะบอกว่า บ่อยครั้งแพทย์ผิวหนังอย่างผมต้องเจอกับปัญหาผิวหนัง ที่ไม่ใช่เรื่องแบบสวยๆ งามๆ อย่างที่หลายคนเข้าใจเลยครับ
ดังเช่นคนไข้รายนี้ที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟัง ประมาณสี่เดือนก่อนมีคนไข้รายหนึ่งเป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนมีชื่อแห่งหนึ่งมาหาผมด้วยอาการเป็นผื่นแดงที่หน้าอกผื่นนี้ลามมาหลายเดือนแล้ว
เดิมทีอาจารย์ท่านนี้เคยเป็นมะเร็งเต้านม ข้างขวาและเคยรับการรักษาด้วยการผ่าตัดไปเมื่อหลายปีก่อน หลังรับการผ่าตัดแพทย์แนะนำให้ท่านรับการฉายรังสีต่อเพื่อ กำจัดเซลล์ร้ายที่อาจยังหลงเหลืออยู่
หลังจากการรักษาเสร็จสิ้น อาการต่างๆ ก็เป็นปรกติดี จนอยู่ๆ พบว่ามีผื่นแดงลามขึ้นที่ทรวงอกบริเวณที่เคยผ่าตัดและได้รับการฉายรังสีไป
ตอนแรกมีผื่นอยู่เพียงนิดเดียว แต่ต่อมาได้ลามออกไปเรื่อยๆ อาจารย์ท่านนี้ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ กลับไปพบแพทย์โรคมะเร็งที่เคยรักษาอยู่
แพทย์ให้การวินิจฉัยว่าน่าจะเป็นผื่นผิวหนังอักเสบซึ่งเกิดจากการฉายรังสี จึงให้ยามาทาเพื่อรักษา แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าผื่นจะหายไป แต่กลับลามออกๆ มากขึ้นเรื่อยๆคนไข้ก็ยังไปพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ ซึ่งแพทย์ก็ได้สั่งจ่ายยาทาแก้แพ้มาทาตลอด
คนไข้ชักสงสัยว่าทำไมอาการผื่นไม่ดีขึ้น จึงได้เรียนถามแพทย์ไปว่า ใช่อาการของโรคมะเร็งเดิมกลับมากำเริบใหม่หรือไม่
ซึ่งแพทย์ยังคงยืนยันว่าไม่ใช่อาการของมะเร็งแน่นอน เพราะมะเร็งไม่น่าจะมีอาการ เป็นผื่นแดงแบบนี้ ถ้าเป็นมะเร็งกำเริบน่าจะมีลักษณะเป็นก้อนมากกว่า
เวลาผ่านไปหลายเดือน อาการผื่นแดงยังคงลามออกมากจนไม่น่าไว้วางใจ แพทย์ทางแผนกรังสีจึงแนะนำให้ไปพบแพทย์ทางด้านผิวหนังเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
นั่นจึงเป็นที่มาที่ทำให้ผมได้พบอาจารย์ท่านนี้
ส่วนอาการที่ผมตรวจ พบว่าบริเวณเต้านมข้างขวาซึ่งได้รับการผ่าตัดออกไปแล้ว แผลผ่าตัดยังดูเห็นเป็นแนวเรียบร้อยดีแต่ผิวหนังบริเวณนั้นกลับแดงก่ำตีเป็นวงกว้างออกไป และถ้าดูให้ละเอียดดีๆแล้ว จะพบว่าที่ขอบผื่นจะมีตุ่มเล็กๆ สีแดงฉ่ำกว่าตรงผื่น
ผมได้ลองใช้มือคลำที่บนผื่นตุ่มเหล่านั้น พบว่ามันสะดุดมือครับ ก็คือไม่ใช่แค่เป็นผื่นเรียบเพียงอย่างเดียว แปลว่าอะไร ก็แปลว่าตุ่มเล็กๆ เหล่านั้นน่าจะเป็นกลุ่มก้อนของเซลล์มะเร็งที่กระจายมาออกันอยู่
เซลล์มะเร็งเหล่านั้นไม่ได้มารวมกันเป็นก้อนที่ขนาดใหญ่พอจนเห็นได้ชัดว่าเป็นก้อน แต่กลุ่มของเซลล์มะเร็งที่มารวมกันนั้นเป็นกลุ่มแบบเล็กๆ เท่านั้น ทำให้มองเผินๆเหมือนผื่นเท่านั้นเอง ทำให้ยากต่อการวินิจฉัยว่าจะเป็นมะเร็ง
ผมให้การวินิจฉัยในใจว่าเป็นอาการของ มะเร็งเต้านมที่กำเริบและลามมาที่ผิวหนัง
อาการของมะเร็งเต้านมที่ลามมาที่ผิวหนังมีอยู่หลายรูปแบบด้วยกันครับ
รูปแบบแรกเป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยๆและไม่ยากที่จะวินิจฉัย คือมาด้วยอาการเป็นก้อนชัดๆ
บางรูปแบบมาด้วยผิวหนังบริเวณนั้นแข็ง บางครั้งแข็งได้อย่างกับหินเลยทีเดียว ตำราแพทย์จะอธิบายมะเร็งเต้านมแบบนี้ไว้ว่า เหมือนคนใส่เกราะเอาไว้เลยละครับ
และอีกรูปแบบหนึ่งคือมาด้วยอาการผื่นแดง ดูแล้วคล้ายกับเป็นอาการติดเชื้อที่ผิวหนังที่เรียกว่าไฟลามทุ่ง ทำให้แพทย์บางท่านให้การวินิจฉัยผิดพลาดได้ บ้างก็ว่า เป็นผื่นผิวหนังอักเสบ บ้างก็ว่าเป็นผื่นติดเชื้อ ซึ่งก็เป็นอาการแบบที่คนไข้รายนี้เป็นครับ
หลังจากผมได้วินิจฉัยแล้วว่าคนไข้น่าจะเป็นมะเร็งลามมาที่ผิวหนัง แต่ก็เพียงวินิจฉัยในใจนะครับ ไม่กล้าบอกคนไข้ไปตรงๆ เพราะกลัวจะเสียกำลังใจ และบางที ผมอาจวินิจฉัยผิดก็ได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจก็ยังไม่สามารถให้การวินิจฉัยได้แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
ผมจึงบอกไปแบบกลางๆ ว่า อาการนี้อาจจะเป็นมะเร็งลามมาก็ได้ แต่ก็อาจไม่ใช่ ถ้าต้องการการวินิจฉัยที่แน่นอน ควรตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ
แม้ผมจะไม่ได้วินิจฉัยแบบแทงลงไปเลยว่าใช่แน่ๆ คนไข้ยังเกิดอาการวิตกอย่างเห็นได้ชัดจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ผมก็ได้แต่ปลอบใจว่า ยังไม่แน่ อย่างไรก็ต้อง รอผลตรวจชิ้นเนื้อให้ดีเสียก่อน เผื่อโชคดี อาจเป็นโรคอื่นที่ไม่ใช่มะเร็งก็ได้
แม้ผมจะภาวนาขอให้ผมวินิจฉัยผิดแต่ผลชิ้นเนื้อที่ได้ในอีกหนึ่งอาทิตย์ถัดมาก็กลับมาว่า โรคร้ายที่วิตกกำลังลามอยู่ที่ผิวหนังบนหน้าอกข้างขวาจริงๆ
เมื่อเธอทราบผลที่แน่ชัดแล้ว เธอร้องไห้ ออกมาและมีอาการคับแค้นใจว่า เธอก็ไป หาหมอมาตั้งแต่แรก ทำไมหมอถึงวินิจฉัยไม่ได้ ปล่อยให้ลามออกจนเป็นวงกว้างขนาดนั้น
ผมเห็นใจเธอมากครับ เข้าใจดีว่า ถ้าเป็นผม ผมก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน แต่ผมก็เห็นใจหมอท่านนั้นด้วย เพราะอาการแบบที่เธอเป็น อย่างที่บอกแล้วครับว่าเป็นมะเร็งแบบที่วินิจฉัยยาก
แต่อย่างน้อยน่าจะเป็นบทเรียนสอนใจสำหรับแพทย์และคนไข้อื่นๆ ด้วยว่า คนที่เคยมีประวัติเป็นมะเร็งมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น มะเร็งที่ไหนก็ตาม ถ้าเกิดอาการผิดปรกติอะไรที่บริเวณนั้นก็อย่าได้นิ่งนอนใจ ให้รีบตรวจหาสาเหตุทันที เพราะมันอาจเป็นอาการ ของมะเร็งที่กลับมากำเริบก็เป็นได้
ผมแนะนำให้เธอกลับไปพบแพทย์รังสี เพื่อฉายรังสีรักษาเพื่อทำลายเนื้อร้ายต่อขณะเดียวกันผมได้ถามถึงวิธีการกินอาหารของเธอ
ซึ่งพบว่าอาจารย์ท่านนี้นิยมบริโภคอาหาร จำพวกเนื้อสัตว์ ไม่ค่อยได้รับประทานอาหารพืชผักเสียเท่าไร
อาหารจำพวกเนื้อสัตว์เหล่านี้แหละครับ ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพเอาเสียเลย มีหลายโรคพบว่าเกี่ยวข้องกับการบริโภคเนื้อสัตว์และอาหารแบบฟาสต์ฟู้ด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่
ดังนั้นผมได้แนะนำให้เธอกินอาหารแบบชีวจิตควบคู่ไปกับการรักษาแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งน่าจะให้ผลการรักษาดีขึ้น และดีกว่าการบริโภคอาหารแบบเดิมๆ โดยให้เธอลองปรึกษาอาจารย์สาทิสดู พอดีเธอ
บอกว่าเพื่อนของเธอรู้จักกับลูกชายอาจารย์สาทิสหรืออย่างไรจำไม่ได้แน่ เธอจึงขอไปปรึกษาอาจารย์เอง โดยในตอนนั้นก็ไม่ทราบว่าเธอจะปรึกษาอาจารย์สาทิสเพื่อใช้ชีวิต ในแนวชีวจิตตามที่ผมแนะนำจริงๆ หรือไม่
ผมได้ขอเบอร์โทรศัพท์ของเธอไว้เพราะรู้สึกเป็นห่วง เห็นว่าเธอค่อนข้างกังวลใจอย่างมากในโรคร้ายที่ต้องเจอซ้ำสอง เผื่อจะได้โทร.ไปถามอาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ผมเคยโทร.ไปหาหลายครั้ง แต่ไม่ได้เจอตัวเลย ทราบแต่ว่าตอนนี้ไปรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลโดยการฉายแสงอยู่เป็นประจำ
ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ผมโทร.ไปเจอตัวจนได้ครับ
เธอเล่าให้ฟังว่าตอนนี้ฉายรังสีจนครบคอร์สแล้ว ร่วมกับอาหารชีวจิตตามที่เธอขอคำแนะนำจากอาจารย์สาทิส (ผมดีใจครับที่เธอหันมากินอาหารเพื่อสุขภาพจริงๆ)
ตอนนี้อาการเธอดีขึ้นมากแล้ว ผื่นแดง ตอนนี้หายไปแทบหมดสิ้น สุขภาพกายและสุขภาพใจก็ดีขึ้นมาก น้ำเสียงทางโทรศัพท์ก็ไม่ได้ดูวิตกกังวลอย่างเมื่อวันที่ผมเจอครั้งสุดท้าย
ผมรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะมีส่วนช่วยให้อาการของโรคร้ายจางหายไปอย่างน้อยก็สามารถทำให้เธอหันมามีสุขภาพดีได้
เห็นไหมล่ะครับ คนอื่นคงไม่รู้หรอกว่า หมอผิวหนังก็ต้องเจอโรคแบบนี้เหมือนกัน โรคที่ไม่ใช่ปัญหาคอสเมติก โรคที่เป็นอันตรายคุกคามกับชีวิต โรคที่อาศัยความละเอียดอ่อนในการดูแลจิตใจคนไข้
คอลัมน์คลินิกรัก(ษ์)ผิว นิตยสารชีวจิต ฉบับ 102 (1 มกราคม 2546)
บทความน่าสนใจอื่นๆ
8 สาเหตุ ปากแห้งแตก แก้ด้วย 4 วิธีธรรมชาติ