บันทึกของวัยรุ่นนักกินหมู เนื้องอกในสมอง ยุบเพราะชีวจิต ตอนที่ 2
ต่อจากตอนที่ 1 บันทึกจ๋า เดือนธันวาคม 2542 หมอบอกว่า พบ เนื้องอกในสมอง
เมษายน 2542
เผลอแผล็บเดียวเวลาก็ผ่านไปสามปีเต็มๆ ฉันกำลังจะขึ้นปีสี่และจบปริญญาตรีภายในปีหน้าแล้ว ถ้าเปรียบตัวเองว่าเป็นดอกไม้ ฉันเหมือนดอกไม้กำลังเริ่มบาน แต่ถึงอย่างนั้นสุขภาพสายตายังไม่ค่อยปกติเหมือนเดิม
ปกติเวลานั่งเล่นเพลินๆ ฉันชอบเล่น
เอามือปิดตาทีละข้าง ประมาณว่าทดสอบการมองเห็นของตัวเอง ข้างขวายังปกติ มองอะไรได้ชัดแจ๋ว ภาพที่เห็นไม่มีผิดเพี้ยน ต่างจากข้างซ้าย สิ่งที่โฟกัสพร่า แต่ภาพรายล้อมกลับจัดกว่า
ปีที่แล้วฉันอดรนทนไม่ได้กับสายตาตัวเอง เลยให้เจ๊ตุ่มพาไปร้านแว่นตาที่ใหญ่ที่สุดในโคราช ขอบอก คนในร้านเช็คสายตาฉันด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์เขาบอกว่าตาข้างที่เดี้ยงน่ะเอียงมาก…ก และเขาก็ตัดแว่นให้ไม่ได้ เพราะค่าความต่างระหว่างตาทั้งสองข้างมีมาก
สารรูปยายแว่นที่ฉันเคยคิดว่าตัวเองอาจจะได้เป็นเลยชวด เช่นเดียวกับการกลับมามีสายตาปกติเช่นเดิม
พฤษภาคม 2542
วันนี้เจ๊ตุ่มซื้ออาหารสดมามากมาย เพื่อทำอาหารกินกันเองในครอบครัว แถมด้วยขนมหวานและ ไอติม ของโปรดของฉันอีกเพียบ ถือว่าเป็นลาภปากครั้งมโหฬาร ในรอบเดือนนี้ ฉันก็เลยกิน กิน และกินจนท้องกาง ซึ่งสุดท้ายความอิ่มตื้อนี้จึงกลายเป็นข้ออ้าง ขออู้งานเก็บล้าง ทั้งที่ตอนเขาเตรียมอาหารกัน ฉันก็นอน
สมควรหรอกที่ทุกคนพากันว่า เจ้าตั้มเปลี่ยนไป สมัยก่อนขยันทำโน่นทำนี่ทั้งวัน แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นยายจอมขี้เกียจ เอาแต่กินกับนอน ฉันยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง ทั้งที่พยายามคิดหาเหตุผล แต่ก็ยังเป็นการงมเข็มในมหาสมุทรอยู่ดี
ไม่เพียงแต่งานบ้าน ยังรวมถึงเรื่องเรียนด้วย ตลอดระยะเวลาสามปีที่เรียนที่คณะบัญชีในวิทยาลัยแห่งนี้ เกรดแย่มาก…ขอย้ำว่ามากจริงๆ
ปีแรกที่เข้าไปเรียน ฉันติดโปร (เกรดต่ำกว่า 2.0) ทั้งสองเทอม แม้ปีสองและสามฉันจะพยายามทำคะแนน และอาจารย์ก็เมตตาสุดๆ จนสามารถแก้โปรได้ แต่ตัวเลขเกรดก็ยังน่าเกลียด แค่ 2.2 หรือ 2.3 เท่านั้นเอง เพื่อนๆ ก็พากันสงสัยถามให้ฉันรู้สึกเซ็งสุดฤทธิ์สุดเดชเสมอว่า เจ้าตั้ม ทำไมเกรดตกขนาดนี้ ขี้เกียจอย่างนั้นเหรอ ทำไมไม่ขยันเหมือนเมื่อก่อนล่ะ เธอควรจะได้สามกว่าเหมือนตอนเรียนมัธยมนะ
เจอประโยคแบบนี้ ต่อให้อารมณ์ดีร่าเริงอย่างไร ก็เหี่ยวได้ฉับพลันทันใด เครียดขึ้นมากะทันหัน
ไม่ใช่ไม่ตั้งใจเรียน ฉันว่าตัวเองก็อ่านก็ท่องเหมือนสมัยเรียนมัธยมนั่นละอาจารย์อธิบายก็รู้เรื่อง เข้าใจบทเรียนอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ตอนสอบก็คิดว่าตัวเองทำได้ แต่พอคะแนนออกมากลับได้เพียงน้อยนิด
ปรึกษาเจ๊ตุ่มที่เป็นครู กศน.แล้ว เขาบอกว่าระบบการเรียนชั้นอุดมศึกษาต้องค้นคว้าด้วยตัวเอง ไม่เหมือนสมัยมัธยมที่อาจารย์ป้อนให้ท่องท่าเดียว
ไม่รู้สิ ! ฉันไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็นอะไรโอ.เค. เรื่องสายตายังมีปัญหาเหมือนเดิม เรื่องประจำเดือนก็ยังไม่มาให้เห็นเหมือนเดิม ซึ่งมันไม่น่าจะเกี่ยวกับความเฉื่อยแฉะของตัวเองเลยนี่
โอ๊ย ! คิดไปก็เท่านั้น ปวดหัวเปล่าๆ หลังจากไอ้อาการปวดหัวนี้หายไปตั้งแต่ฆ่าพยาธิตัวตืดในสมองได้เมื่อตอนเรียนมัธยม 6 แล้ว ระยะหลังนี้มันเริ่มกลับมารังควานฉันอีกแล้ว