แหล่งแคลเซียม ใกล้ตัว หาง่าย ๆ แค่เข้าครัว
แหล่งแคลเซียม ใกล้ตัว ในครัวคุณ คือความตั้งใจที่เราอยากจะบอกว่า แคลเซียมซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมาก ๆ นั้น ไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อหามาเสมอไปค่ะ เพียงรู้แหล่งที่จะหาสารอาหารชนิดนี้ ซึ่งก็ไม่ได้อยู่ไกลตัวคุณเลย แค่ในครัวของคุณเท่านั้น
หลายคนคิดว่า แคลเซียมคือแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายเพียงเพราะเป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน แต่ทราบหรือไม่ แคลเซียมมีความสำคัญต่อร่างกายของเรามากกว่านั้น แล้วทุกวันนี้คนไทยกินแคลเซียมกันทางใดบ้าง เพียงพอหรือยัง คำถามเหล่านี้ เราเชิญ คุณหมอสุมาภา ชัยอำนวย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคข้อมาไขข้อควรรู้ให้คุณกันค่ะ
เริ่มจากมารู้จัก “แคลเซียม” กันก่อน
แคลเซียมเป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อร่างกายเนื่องจากมีปริมาณมากที่สุด โดยร้อยละ 99 ของแคลเซียมเป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน ที่เหลือคือ ร้อยละ 1 พบในเนื้อเยื่อและของเหลวในร่างกาย มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ ระบบประสาท โดยทำให้เกิดการหดตัวของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจและกล้ามเนื้อทั่วไป
แคลเซียมยังมีส่วนช่วยในการแข็งตัวของเลือด มีหน้าที่ในการดูดซึม เก็บรักษา และช่วยในการเผาผลาญวิตามินเอ ซี ดี อี ฟอสฟอรัสและแมกนีเซียม รวมถึง ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของโปรตีนต่างๆในร่างกาย และยังควบคุมความสมดุลของกรด-ด่างในร่างกายอีกด้วย
ถ้าเด็กขาดแคลเซียมจะทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อน ส่วนผู้ใหญ่จะเกิดภาวะกระดูกพรุน เนื่องจาก เมื่อมีภาวะขาดแคลเซียม ร่างกายจะดึงแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ ทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลง ส่งผลให้กระดูกแตกหรือหักง่าย มักเกิดเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยทองหรือวัยหมดประจำเดือนที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง
หากไม่อยากมีภาวะกระดูกพรุน ควรกินแคลเซียมให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อ่านถึงบรรทัดนี้แล้ว ผู้อ่านคงสงสัยว่า เราควรกินแคลเซียมแค่ไหนถึงเพียงพอ คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับช่วงอายุ
วัยเด็กควรได้รับแคลเซียมวันละ 600 มิลลิกรัม วัยรุ่นช่วงอายุ 9-18 ปี เป็นช่วงที่ร่างกายต้องการแคลเซียมมากที่สุด เนื่องจากกระดูกเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วควรได้รับแคลเซียมวันละประมาณ 1,000-1,500 มิลลิกรัม
วัยผู้ใหญ่ต้องการแคลเซียมวันละประมาณ 800-1,000 มิลลิกรัมสูงอายที่มีภาวะวัยทอง ต้องการแคลเซียมเฉลี่ยวันละ1,000–1,200 มิลลิกรัมขณะที่หญิงตั้งครรภ์ต้องการแคลเซียมปริมาณสูงถึงวันละ1,500 มิลลิกรัม ฉะนั้นเราควรกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง เพื่อให้ร่างกายได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ
จากพฤติกรรมการกินอาหารของคนไทยทั่วไปพบว่า เราได้รับแคลเซียมเฉลี่ยวันละ 250 มิลลิกรัมเท่านั้น จึงควรกินแคลเซียมเสริม หากไม่สามารถกินแคลเซียมจากอาหารธรรมชาติได้อย่างเพียงพอ
ส่วนมากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมที่หาได้ทั่วไปจะอยู่ในรูปแคลเซียมคาร์บอเนตซึ่งมีปริมาณแคลเซียมอยู่ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ยกตัวอย่างเช่น แคลเซียมคาร์บอเนต 1,000 มิลลิกรัม จะมีปริมาณแคลเซียมจริงๆ อยู่ 400 มิลลิกรัม
แคลเซียมคาร์บอเนตมีอัตราการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายค่อนข้างต่ำและต้องการให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาพความเป็นกรดจึงมีการแตกตัวและดูดซึม จึงต้องกินอาหารทันที
แคลเซียมคาร์บอนเนต อาจทำให้มีอาการท้องอืด ไม่สบายท้อง บางรายจะมีอาการท้องผูกมาก แคลเซียมชนิดที่ดูดซึมง่ายและไม่ต้องการภาวะกรดในกระเพาะอาหารในการแตกตัวเพื่อการดูดซึม คือ แคลเซียมซิเตรท แคลเซียมซิเตรทจึงสามารถกินในขณะที่ท้องว่างได้
ข้อเสียคือราคาสูงกว่าและมีปริมาณแคลเซียมต่ำกว่าแคลเซียมคาร์บอเนต คือมีแคลเซียมเพียงร้อยละ21 อย่างไรก็ตามการดูดซึมแคลเซียมซิเตรทดีกว่าแคลเซียมคาร์บอนเนตมากทำให้สามารถชดเชยกันได้
แคลเซียมที่นิยมมากอีกชนิดหนึ่ง คือ แคลเซียมเม็ดฟู่ที่ต้องนำไปละลายน้ำก่อนดื่ม มักมีการปรุงรสให้น่ากินหรือผสมวิตามินซีเพื่อให้รสชาติดีขึ้น แคลเซียมเม็ดฟู่มักมีองค์ประกอบของแคลเซียมคาร์บอนเนตเพื่อให้มีปริมาณแคลเซียมมากๆและผสมแคลเซียมแลคโตกลูโคเนตเพื่อช่วยในการดูดซึม
แคลเซียมชนิดนี้มีราคาแพงกว่าแคลเซียมคาร์บอนเนต แต่อาจทำให้มีอาการท้องอืดได้เช่นกันเนื่องจากมีส่วนผสมของแคลเซียมคาร์บอนเนตด้วย แคลเซียมเสริมทุกชนิดไม่ควรกินพร้อมยาประเภทอื่นเพราะทำให้การดูดซึมยานั้นๆ น้อยลง และไม่ควรกินร่วมกับอาหารที่มีผักมากๆ เนื่องจากทำให้การดูดซึมน้อยลงและแคลเซียมอาจจะจับกับใยอาหารในผักทำให้อืดแน่นท้องมากขึ้น
ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ครั้งละไม่เกิน 500 มิลลิกรัม ดังนั้นจึงไม่ควรกินมากกว่านี้ เพราะร่างกายก็ดูดซึมเอาไปใช้ไม่ได้อยู่ดี และยังก่อให้เกิดผลข้างเคียงอื่นๆได้
การกินแคลเซียมจากอาหารไม่มีผลเสียต่อสุขภาพแต่อย่างใด ยกเว้นว่าคุณอาจจะได้พลังงานจากอาหารนั้นๆ ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าการกินแคลเซียมจากอาหารในปริมาณที่พอเหมาะช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดด้วย
แต่การกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมอาจจะก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้ เช่น เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดนิ่วในทางปัสสาวะ ท้องผูก แน่นท้อง จุกเสียด นอกจากนั้นยังมีรายงานหลายฉบับว่าอาจจะทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้เล็กน้อย
ดังนั้นหากเป็นไปได้ ควรเลือกกินแคลเซียมที่มาจากอาหารจะดีที่สุด แต่หากทำไม่ได้อาจจะกินแคลเซียมเสริม โดยกินให้เลียนแบบธรรมชาติมากที่สุด นั่นคือพยายามกินพร้อมอาหาร โดยอาจจะกินทีละน้อย แต่เป็นหลายมื้อ เพื่อให้ได้ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการ
ตารางแสดงปริมาณแคลเซียมในอาหารชนิดต่าง ๆ
อาหาร ปริมาณที่บริโภค ปริมาณแคลเซียม(มิลลิกรัม)
นม 1 กล่อง (250 มิลลิลิตร) 300
นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม 1 กล่อง (250 มิลลิลิตร) 250-300
โยเกิร์ต 1 ถ้วย 157
นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม 1 กล่อง (180 มิลลิตร) 106
เต้าหู้อ่อน 5 ช้อนโต๊ะ 150
ปลาเล็กปลาน้อย 2 ช้อนโต๊ะ 226
กุ้งแห้ง 1 ช้อนโต๊ะ 140
หอยนางรม 6 ตัว 300
ผัดคะน้าผัด 1 ทัพพี 71
ยอดแค ½ ขีด 198
ใบยอ ½ ขีด 420
บรอกโคลี 2/3 ถ้วย 88
ถั่วแระต้ม 1 ขีด 194
งาดำ 1 ช้อนโต๊ะ 132
ข้อมูลจาก กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
หวังว่าบทความนี้จะทำให้ท่านผู้อ่านเข้าใจและรู้จักเลือกกิน แคลเซียมมากขึ้นนะคะ สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านมีกระดูกที่แข็งแรงกันทุกคนนะคะ
บทความอื่นที่น่าสนใจ
17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน
เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง
แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ
ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา