โกโก้

ประโยชน์เน้นๆ จาก “โกโก้”

ว่ากันว่า โกโก้ เป็นที่รู้จักครั้งแรกในช่วงศตวรรษที่ 16 และถูกนำมาใช้ครั้งแรกโดยอารยธรรมมายา ในแถบอเมริกากลาง จากนั้นได้ถูกนักเดินเรือชาวสเปนนำมาที่ยุโรป จนกลายเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน

ตอบข้อสงสัย โกโก้กับช็อกโกแลต เหมือนหรือต่าง ?

 สำหรับใครที่สงสัยเรื่องของโกโก้กับช็อกโกแลต ความจริงแล้วทั้งสองนี้มาจากต้นคาเคา หรือต้นโกโก้เหมือนกัน แต่จะต่างกันที่กระบวนการหมัก การตากแห้ง และการแปรรูปเท่านั้น

ซึ่งวิธีการทำโกโก้คือ นำไปรัดเอาไขมันโกโก้ออกจากเนื้อ แล้วเอาส่วนเนื้อไปบดให้ละเอียด เพื่อกลายเป็นผงโกโก้ธรรมชาติที่มีไขมันเพียงแค่ 10 – 24 เปอร์เซนต์ จึงถือได้ว่าโกโก้เป็นของที่ดีต่อสุขภาพ เพราะมีส่วนผสมที่เป็นไขมันอยู่ค่อนข้างน้อย

แตกต่างจากช็อกโกแลตที่ นำมาโกโก้เหลวมาขึ้นรูปโดยไม่ผ่านกระบวนการแยกไขมัน โดยจะมีการเติมนมและน้ำตาล เพื่อให้มีรสชาติที่หวาน หอม และสามารถกินได้ง่ายขึ้น

 

ประโยชน์ของ โกโก้

 ช่วยลดความดันโลหิต

จากการศึกษาพบว่าชาวเกาะในแถบอเมริกากลาง ที่ดื่มโกโก้เป็นประจำมีความดันโลหิตต่ำ คนที่ไม่ดื่มโกโก้ หรือดื่มในปริมาณน้อย เนื่องจากในโกโก้มีสารฟลาวานอล ที่มีฤทธิ์ช่วยเพิ่มระดับไนตริกออกไซด์ในเลือด โดยสามารถเพิ่มการทำงานของหลอดเลือดและลดช่วยความดันโลหิตได้ดี

 

ลดความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง

การเพิ่มระดับไนตริกออกไซด์ในเลือด สามารถช่วยขยายหลอดเลือด และเพิ่มการไหลเวียนของเลือดได้ดี   ถือเป็นการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด

นอกจากนี้ โกโก้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิด LDL (ไขมันไม่ดี) แถมยังป้องกันการเกิดลิ่มเลือดคล้ายกับการใช้แอสไพริน ลดระดับน้ำตาลในเลือด และลดการอักเสบ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เชื่อมโยงกับการลดความเสี่ยงภาวะหัวใจวาย หัวใจล้มเหลว และโรคหลอดเลือดสมองนั่นเอง

 

ลดภาวะเสี่ยงของอาการซึมเศร้า

สารฟลาโวนอลในโกโก้ ช่วยเปลี่ยนทริปโตเฟน (Tryptophan)  ซึ่งเป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายสร้างเอง ให้เป็นเซโรโทนิน (Serotonin) หรือที่เราเรียกว่า สารแห่งความสุข ซึ่งสารตัวนี้มีความสำคัญอย่างมากกับระบบสื่อประสาท แถมยังช่วยเรื่องอารมณ์อีกด้วย

หากร่างกายมีระดับเซโรโทนินที่สมดุล จะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น แถมยังช่วยลดความเครียด ลดอาการปวดไมเกรน และลดอาการซึมเศร้าได้

ลดอาการของโรคหอบหืด

ในโกโก้จะมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรมีน (Theobromine) และธีโอฟิลลีน (Theophylline) มีคุณสมบัติช่วยให้ปอดขยาย ทำให้หายใจได้เต็มปอดมากขึ้น แถมยังช่วยลดการอักเสบ

นอกจากนี้ สารธีโอฟิลลีน ยังใช้ในการรักษาและป้องกันอาการหายใจผิดปกติ และหายใจลำบากที่เกิดจากโรคปอดเรื้อรังได้เป็นอย่างดี

 

ที่มา : samitivejhospitals

 


 

เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.