แล้วเราก็ได้พบกันอีก… การกลับมาของแมวที่จากไป
ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ตึกแถวในซอยเล็กๆ ในย่านเก่าแก่ของกรุงเทพฯ เป็นบ้านของสมาชิก 6 คน คือ พ่อ แม่ ดิฉัน น้องสาว 2 คน น้องชายคนเล็ก และแมวอีก 8 ตัว
ปูเป้ เป็นแมวตัวที่ 3 ของบ้านที่น้องสาวช่วยไว้จากฝูงสุนัขตอนไปรับประทานอาหารนอกบ้าน สภาพตอนแรกเจอนั้น ปูเป้เป็นลูกแมวตัวผอมมาก เนื้อตัวมีแต่กระดูก ไม่ค่อยมีแรง ด้วยความสงสารดิฉันจึงพากลับมาบ้านด้วย
ช่วงที่มาอยู่ใหม่ ๆ ปูเป้ยังกินอาหารแมวไม่เป็น กินได้แต่แมลงสาบ เราจึงเข้าใจว่า ลูกแมวคงไม่เคยกินอาหารอื่นเลย แต่หลังจากที่ดูแลอยู่พักใหญ่ ปูเป้ก็กลายเป็นลูกแมวสีเหลืองลายเสือ รูปร่างอ้วนท้วน น่ารัก ร่าเริง เป็นมิตรกับแมวเจ้าถิ่น 2 ตัวที่อยู่มาก่อน จนในที่สุดก็กลายเป็นน้องรักของพี่ ๆ แมว ขนาดตอนนอนก็ยังต้องนอนกอดกัน
หลายปีผ่านไปบ้านเรามีแมวเพิ่มขึ้นจนถึงตัวที่ 8 ซึ่งสาเหตุที่ต้องเก็บลูกแมวตัวหลังสุดมาเลี้ยงก็เพราะแม่แมวจรที่ดิฉันให้อาหารประจำถูกรถทับตาย ลูกของมันกลายเป็นสมาชิกใหม่ของบ้านนับแต่นั้น โดยเราตั้งชื่อให้เข้ากับปูเป้ว่า โป๊ป เนื่องจากเป็นตัวผู้ด้วยกันทั้งคู่
โป๊ปเป็นแมวดุ เข้ากับใครไม่ได้เลย แต่กลับรักปูเป้มาก ชอบกระโดดกอดคอชวนเล่นเป็นประจำ
เวลาผ่านไปจนปูเป้อายุได้ 11 ปี มันก็ป่วยเป็นมะเร็งที่หน้า ก่อนที่จะลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว อาการป่วยของปูเป้เกิดขึ้นแบบกะทันหันมาก จนไม่มีใครทันได้ทำใจ เพราะที่บ้านเราเลี้ยงแมวเหมือนลูกหลาน ไม่ได้มองว่าเป็นแค่สัตว์เลี้ยง
หลังจากที่ปูเป้ล้มป่วย ดิฉันกับน้องชายต้องให้น้ำเกลือปูเป้ทุกวัน ซื้อเครื่องมือและยาที่จำเป็นสารพัดอย่าง เพื่อให้ปูเป้ได้ใช้เวลาที่เหลืออย่างสบายที่สุดก่อนที่ปูเป้จะต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล
ช่วงที่ปูเป้อยู่โรงพยาบาล เราทุกคนในบ้านผลัดกันไปเยี่ยมทุกวัน ปูเป้แสดงอาการดีใจทุกครั้งที่มีคนไปเยี่ยม จนในที่สุดคุณหมอก็อนุญาตให้ปูเป้กลับมาอยู่บ้านได้ แต่เพียง 2 สัปดาห์หลังจากนั้นปูเป้ก็อาการทรุดหนักลง และจากเราทุกคนไปในที่สุด
นับจากที่ปูเป้จากไป ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบด้วยความโศกเศร้า และแทบไม่พูดถึงปูเป้อีก เพราะกลัวน้ำตาจะไหลออกมา หลังจากปูเป้เสียไปได้ 3 วัน น้องสาวบอกว่า เขารู้สึกเหมือนมีอะไรมากัดหู พอดูที่หูก็ปรากฏรอยแดงก่ำ เขาคิดว่าปูเป้คงมาบอกลา เพราะก่อนที่ปูเป้จะป่วย มันเคยกัดหูน้องสาวจนเลือดออก ซึ่งเป็นข้างเดียวกันกับที่รู้สึกเจ็บนั่นเอง ตอนนั้นยังแซวกันว่าไปแกล้งปูเป้อีท่าไหนถึงโดนกัดได้ เพราะปกติปูเป้เป็นแมวใจดี อ่อนโยน ไม่เคยกัดใครสักที
เวลาผ่านไปประมาณ 2 เดือน มีแมวจรตัวหนึ่งที่บ้านเราให้อาหาร พาลูกแมวลายเสือสีเทาอายุประมาณ 2 เดือนมาเล่นที่หน้าบ้านด้วย แต่ที่แปลกคือ ลูกแมวไม่ยอมตามแม่กลับไปหลังจากที่กินอาหารเสร็จ หากเอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่หน้าบ้านพอแม่แมวมาก็ค่อยเดินไปหา แล้วก็กลับมานั่งหน้าจ๋อยหน้าบ้านเราเหมือนเดิม
ด้วยความสงสาร พวกเราจึงพยายามหาบ้านให้ลูกแมวตัวนั้น จนในที่สุดก็มีคนรับเลี้ยงไป เป็นสตรีสูงอายุที่มีบ้านพักอยู่ที่เขาใหญ่ นาน ๆ จะลงมากรุงเทพฯสักครั้ง หลังจากนัดแนะจะพาลูกแมวไปส่ง เพื่อที่เราจะได้ดูที่ทางบ้านใหม่ของน้องแมวว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยแน่ ๆ ลูกแมวตัวนั้นกลับหายไป ทั้ง ๆ ที่ปกติจะประจำอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งวันทั้งคืน หลังจากที่หาอยู่นานหลายชั่วโมง ในที่สุดเราก็ต้องตัดใจไม่พามันไปหาเจ้าของคนใหม่ เพื่อที่จะเห็นมันกลับมานั่งหน้าเศร้าที่หน้าบ้านเหมือนเดิมในวันต่อมา
น้องชายสงสารลูกแมวหน้าเศร้าตัวนั้น จึงตัดสินใจจะเลี้ยงเอง หลังจากที่เข้ามาเป็นสมาชิกตัวสุดท้องในบ้าน ลูกแมวก็ไม่มีหน้าเศร้าแบบตอนอยู่หน้าบ้านให้เห็นอีกแม้แต่ครั้งเดียว มันกลายเป็นลูกแมวที่ร่าเริงแจ่มใสสุด ๆ ไม่เคยนั่งนิ่ง ๆ แบบตอนนั่งอยู่หน้าบ้านอีกเลย ซึ่งพอเทียบกับรูปถ่ายตอนที่ยังไม่มีเจ้าของกับตอนที่เข้ามาอยู่แค่ 1 วัน เรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างกับคนละตัว
วันแรกที่ได้เล่นกับลูกแมว ดิฉันเริ่มสังเกตว่า ปลายหางของมันที่หักงอฟูเป็นหางไมโครโฟนนั้นช่างเหมือนหางของปูเป้จริง ๆ แล้วพอดิฉันอุ้มไว้เหมือนอุ้มเด็กซึ่งเป็นท่าเดียวกับที่ปูเป้ชอบ ลูกแมวก็เอาสองขาหน้ามากอดที่แขนดิฉันเหมือนที่ปูเป้ทำ พอเห็นอย่างนั้น ดิฉันน้ำตาไหลเลยค่ะ เพราะเป็นมือข้างเดียวกับที่ปูเป้เคยกอด จากนั้นลูกแมวก็เอาอุ้งมือมาจับที่แก้มดิฉันเหมือนที่ปูเป้เคยทำ แต่ถึงอย่างนั้น ดิฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าคงเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่ทำให้เราคลายความคิดถึงปูเป้ลงบ้าง…ก็เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม คนในบ้านเริ่มสัมผัสได้ถึงเรื่องบังเอิญแบบแปลก ๆ หลายอย่างจากลูกแมวตัวนี้ โดยเฉพาะเรื่องธรรมชาติของแมว ซึ่งเมื่อเปลี่ยนที่ใหม่มักจะตื่นกลัว แต่ลูกแมวตัวนี้กลับไม่มีอาการหวาดกลัวเมื่อพาเข้ามาในบ้านและขังแยกไว้ที่ชั้นบนเลยแม้แต่น้อย รวมทั้งไม่ตื่นกลัวคนที่ไม่คุ้นเคยอย่างดิฉันซึ่งแต่งงานแยกครอบครัวออกไปแล้ว และเคยเห็นกันแค่ 2 – 3 ครั้งเท่านั้น แต่ลูกแมวกลับทำตัวเหมือนกับรู้จักทุกคนในบ้านเป็นอย่างดี จะกลัวก็แต่คนอื่นที่ไม่ใช่สมาชิกในบ้านเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน พอเราเอาลูกแมวตัวนี้ไปรวมกับแมวตัวอื่น ๆ แมวโป๊ปก็เอาแต่ดูแลและเล่นกับลูกแมวตัวนี้ ลูกแมวแย่งที่นอนโป๊ปก็ไม่โกรธ ผิดจากนิสัยของโป๊ปซึ่งจะดุไม่ยอมใคร แต่กลับรักลูกแมวเอามาก ๆ โป๊ปกลายเป็นพี่เลี้ยงลูกแมวไปโดยปริยาย แล้วลูกแมวก็ชอบกระโดดกอดคอโป๊ปแบบเดียวกับที่โป๊ปชอบกระโดดกอดคอปูเป้
ไม่เพียงเท่านั้น ลูกแมวยังชอบไปนอนตะกร้าเดิมของปูเป้ด้วยท่าเดียวกันเป๊ะ ทั้งทิศทาง การหันหัว การวางขา โดยเทียบจากรูปที่น้องสาวถ่ายเอาไว้ เหมือนเห็นปูเป้มานอนอยู่ตรงหน้า ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันรู้ได้อย่างไรว่าต้องไปนอนที่ตะกร้าใบนี้ แถมพอเข้าช่วงหน้าหนาว ก็แอบเปิดตู้เสื้อผ้าเข้าไปนอนในตู้เหมือนที่ปูเป้ชอบทำ เวลาถ่ายรูป บางรูปเมื่อเอาไปเทียบกับรูปของปูเป้ก็ทำหน้าตาท่าทางเหมือนกันมาก ต่างกันแค่เป็นแมวลายเสือคนละสีเท่านั้น เราทุกคนจึงเริ่มมั่นใจว่า เรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นนั้นชัดเจนและมากมายเกินกว่าที่จะคิดว่าแค่บังเอิญเสียแล้ว
หลังจากที่ลองทบทวนดูดิฉันก็นึกขึ้นได้ในที่สุดว่า ในวันที่ปูเป้จากไปนั้น พวกเราต่างอธิษฐานว่า “ถ้ามีบุญวาสนา ขอให้ได้กลับมาเจอกันอีก”
เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ได้เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นอย่างจะแจ้งแล้วว่า พวกเราคงมีบุญวาสนาร่วมกันจริง ๆ
เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ สำหรับพวกเราทุกคน ตอนนี้ปูเป้ได้กลับมาอยู่กับเรา…ได้กลับมาอยู่ในบ้านที่ปูเป้รักแล้ว
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง ก เอ๋ย ก ไก่