5 บุคคลบาปหนาจน หนักแผ่นดิน ในสมัยพุทธกาล
5 บุคคลบาปหนาในสมัยพุทธกาลที่กระทำบาปอันร้ายแรงจน หนักแผ่นดิน ทำให้แผ่นดินไม่สามารถรองรับพวกเขาไว้ได้ มีใครบ้างมาดูกันค่ะ
พระเทวทัต
พระเทวทัตทรงเป็นเจ้าชายแห่งกรุงเทวทหะ พระโอรสแห่งพระเจ้าสุปปพุทธะ มีศักดิ์เป็นพระญาติกับพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงอาฆาตพระพุทธองค์มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ไม่เท่านั้นยังติดตามอาฆาตพระองค์มาหลายพระชาติอีกด้วย และเข้ามาผนวชในสำนักของพระพุทธเจ้า ทรงแสดงความมักใหญ่ใฝ่สูง ปรารถนาเป็นพระศาสดาแทนพระพุทธเจ้า ทรงลอบปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าหลายครั้ง อาทิเช่น ปล่อยช้างตกมันชื่อ “นาฬาคิรี” ให้วิ่งเข้าชน จ้างนายธนู 10 คนมาลอบยิง และสุดท้ายพยายามกลิ้งหินให้ตกลงมาทับพระพุทธเจ้า แต่หินกลับกระเด็นหนีอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ทว่าสะเก็ดหินกับไปต้องข้อพระบาทจนห้อพระโลหิต พระเทวทัตทรงเสนอให้บัญญัติกฎที่เคร่งครัดเพื่อเรียกศรัทธา อย่างเช่นไม่กินสัตว์ และอยู่ป่าตลอดชีวิต จนกระทั่งเกิดการแตกแยกในหมู่สงฆ์ (สังฆเภท)
สุดท้ายพระองค์ทรงเกิดความสำนึกนึกและหวังจะขอขมาพระพุทธองค์แต่ไม่ทันกาล ขณะที่พระองค์ทรงขอร้องให้พระภิกษุกลุ่มหนึ่งพาท่านไปยังพระเชตวัน ไม่ทันถึงพระเชตวัน ธรณีสูบพระองค์ลงไปสู่อเวจีมหานรก
พระเจ้าสุปปพุทธะ
พระเจ้าสุปปพุทธะ พระบิดาแห่งพระนางยโศธราและพระเทวทัต หลังจากพระเทวทัตถูกธรณีสูบลงไปสู่อเวจีมหานรกแล้ว ทรงเกิดความอาฆาตในพระพุทธเจ้า ว่าทรงทำให้พระเทวทัตถูกธรณีสูบทั้งยังเจ็บแค้นพระทัยมาจากเรื่องที่พระองค์ทรงทอดทิ้งพระนางยโศธรา ทรงพยายามหาทางกลั่นแกล้งด้วยการเกณฑ์อำมาตย์ และข้าราชบริพารไปดื่มกินสุราเพื่อขวางสายทางเสด็จบิณฑบาตของพระพุทธเจ้า ส่งผลให้พระพุทธเจ้าทรงต้องอดเสวยพระกระยาหาร 1 วัน
ครั้งพระอานนท์ผลกรรมของพระเจ้าสุปปพุทธะ พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า นับจากนี้อีก 7 วันจะต้องเสด็จตามพระราชโอรสไปสู่อเวจี เหล่าอำมาตย์ได้ยินดังนั้นจึงรีบกลับไปรายงานทันที พระเจ้าสุปปพุทธะทรงหนีขึ้นประทับยังปราสาท 7 ชั้น ในแต่ละชั้นมีทหารป้องกันไว้ แถมยังทรงตรัสอีกว่า ระหว่าง 7 วันนี้ หากพระองค์ลงมาให้ขัดขวางไว้
แต่การณ์กลับเป็นว่า พอถึงวันที่ 7 ม้าแก้วซึ่งเป็นม้าที่พระองค์ทรงโปรดปรานมากเกิดอาละวาดร้องเสียงดัง พระองค์ทรงเป็นห่วงม้าเกิดขาดสติรีบวิ่งลงไปนายทหารที่อารักขาก็ไม่ได้ขัดขวางเพราะคิดว่าครบกำหนดแล้ว และพอย่างพระบาทลงเหยียบแผ่นดินเท่านั้น ทรงถูกธรณีสูบลงสู่นรกอเวจีทันที
นันทมานพ
นันทมานพเป็นบุรุษหนึ่งผู้หมายปองพระอุบลวรรณาเถรีมาตั้งแต่พระเถรียังไม่บวชในพระพุทธศาสนา หลังจากนางอุบลวรรณาออกบวชเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนาจนกระทั่งบรรลุอรหัตตผล นันทมานพผู้มีจิตหลงใหลในพระเถรีก็ล้มเลิก ได้แอบเข้าไปซุ่มอยู่ในป่าข้างกระท่อมที่พระเถรีอยู่ เมื่อเห็นว่าออกจากกระท่อมไปบิณฑบาตแล้ว ก็เข้าไปซ่อนอยู่ใต้เตียง พอกลับมาก็ใช้กำลังปลุกปล้ำพระอุบลวรรณาเถรี พระเถรีเตือนสตินันทมานพว่าให้หยุดการกระทำ ไม่เช่นนั้นจะเกิดความหายนะแก่ตัว แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ และพอนันทมานพสำเร็จความใคร่แล้ว ก็วิ่งออกไปจากกระท่อม พอเท้าถูกพื้นดินธรณีก็สูบลงไปในขุมนรกทันที
นางจิญจมาณวิกา
เป็นผู้หญิงที่รับอาสาเดียรถีย์มาสร้างความวุ่นวายในพระพุทธศาสนา โดยการพูดต่อหน้าสาธารณชนว่าตนเองท้องกับพระพุทธเจ้า โดยเริ่มแรกนางก็หลบเข้าไปในพระเชตวันฯ และทำทีว่าเดินออกมาจากวัดนี้เป็นประจำ เมื่อคนถามก็บอกว่าไปอยู่กุฏิของพระพุทธเจ้า จนผู้คนเริ่มระแวงสงสัย นางทำอย่างนี้อยู่ 9 เดือน จนกระทั่งนางมีท้องใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
แล้วนางก็เข้าไปยังหมู่สงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย นางร้องตะโกนว่า พระพุทธเจ้าทำนางท้อง พระพุทธเจ้าทรงนิ่งเฉยไม่แก้ตัวอะไร เพียงแต่ตรัสว่า เรื่องนี้มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่รู้คือเรากับนางจิญจมาณวิกา คำตรัสของพระพุทธเจ้ายิ่งสร้างความสงสัยให้ชนทั้งหลาย ท้าวสักกเทวราชเห็นดังนั้น จึงสั่งให้เทพบุตรจำแลงร่างเป็นหนูไปกัดเชือกที่หน้าท้องปลอมหลุดออกมา ความจริงปรากฏแล้วว่าท้องของนางเป็นท้องปลอม นางตกใจวิ่งหนีไปไม่ทันพ้นพระเชตวัน ธรณีก็สูบนางลงไปสู่อเวจีทันที
นันทยักษ์
นันทยักษ์เป็นยักษ์ที่มีอิทธิฤทธิ์มาก และชอบเหาะเหินไปมาตามฟากฟ้าพร้อมกับสหายที่ชื่อ “เหมตายักษ์” เมื่อถึงจุดที่พระสารีบุตรกำลังทำสมาธิอยู่ บริเวณนั้นว่างเปล่าจากอากาศธาตุ ทำให้นันทยักษ์เหาะผ่านไม่ได้ จึงบังเกิดโทสะ จึงคิดจะฆ่าพระสารีบุตร โดยเหาะขึ้นบนอากาศแล้วใช้กระบองฟาดลงบนศีรษะของท่านอย่างแรง ทำให้ภูเขาพังไป 100 ลูก แต่พระสารีบุตรไม่ได้รับอันตรายแม้แต่น้อย แล้วจู่ ๆ ก็เกิดไฟขึ้นเผาตัวยักษ์ ก่อนจะตกลงมาจากอากาศ ขณะที่แผ่นดินก็แยกเป็นช่อง ทำให้นันทยักษ์ลงไปสู่นรกภูมิทันที
ที่มา :
https://th.wikipedia.org/อนันตริยกรรม
https://th.wikipedia.org/พระเทวทัต
https://th.wikipedia.org/ผู้ต้องธรณีสูบในพุทธประวัติ
ภาพ : https://pixabay.com
บทความน่าสนใจ
วิธีการทรมานสัตว์นรกที่เคยทำบาปแบบต่าง ๆ
ตกอยู่ในภาวะ…รู้ว่าบาป แต่ก็ต้องทำต่อไป…ทำอย่างไรดี ? ท่าน ว. วชิรเมธี มีคำแนะนำ