พระจูฬปันถกเถระ วิบากกรรมของคนที่ชอบดูถูกผู้อื่น
ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กรุงราชคฤห์ มีเศรษฐีผู้มั่งคั่งคนหนึ่งชื่อว่า “ธนเศรษฐี” เป็นผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก และมีบุตรีผู้เลอโฉมอยู่คนหนึ่ง แต่บุตรีกลับชอบพอกับหนุ่มรับใช้ จึงพากันหนีไปใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน ณ ชนบทอันห่างไกล เมื่อบุตรีตั้งท้องก็อยากกลับไปคลอดลูกในวงศ์ตระกูลของตน
สองสามี-ภรรยาพากันเดินทางกลับกรุงราชคฤห์ ปรากฏว่าภรรยาทนเจ็บท้องไม่ไหว จึงคลอดลูกชายคนโตระหว่างทาง และตั้งชื่อว่า “ปันถก” แปลว่า “เกิดในหนทาง” เมื่อคลอดลูกอย่างปลอดภัยแล้วจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะกลับไปสู่วงศ์ตระกูล
ภรรยาเริ่มตั้งท้องลูกคนที่สอง ก็พยายามพากันเดินทางกลับไปกรุงราชคฤห์อีกครั้ง แต่แล้วก็คลอดลูกที่ระหว่างทางอีกครั้ง จึงตั้งชื่อลูกคนนี้ว่า “จูฬปันถก” แล้วเรียกว่า ลูกชายคนโตว่า “มหาจูฬปันถก”
มหาจูฬปันถกเติบโตขึ้น ได้ยินเพื่อน ๆ รุ่นราวคราวเดียวกันเรียกคนโน้น คนนี้ ว่า ตา ปู่ ย่า ยาย จึงถามพ่อและแม่ของตนว่า คนที่จะเรียกแบบนี้อยู่ที่ไหนกันหมด แม่จึงตอบว่า “เจ้ามีญาติ แต่ญาติเหล่านั้นไม่ได้อยู่ที่นี่กับเรา พวกเขาอยู่ที่กรุงราชคฤห์” เด็กน้อยจึงขอร้องให้พ่อแม่พาไปพบญาติบ้าง
พ่อแม่รู้อยู่เต็มอกว่าถ้ากลับไปมีหวังถูกธนเศรษฐีฉีกร่างเป็นชิ้น ๆ แน่ ๆ แต่ก็พยายามพาลูกทั้งสองไปหาธนเศรษฐีให้จนได้ เมื่อท่านเศรษฐีได้พบบุตรีที่จากกันไปนาน ก็ทำใจยอมเราไม่ได้ ทั้งขอไม่ให้บุตรีกลับสู่ครอบครัวอีก แต่จะมอบทรัพย์สินให้จำนวนหนึ่งเพื่อไปสร้างเนื้อสร้างตัวยังชนบท แต่ขอหลานทั้งสองไว้แทน
มหาจูฬปันถกเป็นหลานคนโปรด มักติดตามธนเศรษฐีผู้เป็นตาไปฟังธรรมที่อัมพวัน วัดที่หมอชีวกโกมารภัจจ์ถวายอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งเกิดอยากบวชเป็นพระภิกษุจึงขออนุญาตตาบวช
ต่อมาพระมหาจูฬปันถกศึกษาและปฏิบัติอย่างมุ่งมั่นจนกระทั่งสามารถแยกแยะ (โยนิโส) สรรพสิ่งต่าง ๆ ได้ว่าสิ่งไหนคือรูป-นาม และสุดท้ายก็บรรลุอรหัตตผล เมื่อเป็นพระอรหันต์ได้นึกถึงน้องชาย อยากให้มาบวชด้วยกัน
พระมหาจูฬปันถกได้กลับมาที่เรือนของธนเศรษฐี และขออนุญาตท่านตาให้จูฬปันถกบวช ธนเศรษฐีเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอยู่เป็นทุนเดิมจึงไม่ขัดขวางแต่อย่างใด จูฬปันถกจึงได้บวชในสำนักของพระพี่ชาย
พระพี่ชายพยายามสอนให้พระจูฬปันถกเข้าใจธรรมะเป็นเวลาถึง 4 เดือนด้วยกัน กลับไม่สำเร็จ จึงกล่าวหาว่าพระน้องชายโง่เขลา ไม่สมควรเป็นภิกษุ พระจูฬปันถกน้อยใจคิดจะสึก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่านี้เป็นวิบากกรรมของพระจูฬปันถกที่เคยดูถูกคนอื่นไว้ในอดีตชาติ
ครั้งสมัยพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งมีพระนามว่า “พระกัสสปพุทธเจ้า” พระจูฬปันถกได้บวชเป็นภิกษุในศาสนาของพระองค์ และมีความสามารถมาก สามารถเข้าใจธรรมะได้หมด เมื่อพระภิกษุรูปใดไม่เข้าใจก็จะต่อว่าและดูถูกต่าง ๆ นานา ด้วยเหตุนี้เองจึงส่งผลให้พระจูฬปันถกนานเพียงใดก็ไม่เป็นผล
พระพุทธเจ้าทรงเห็นด้วยทิพยญาณว่า ในชาติหนึ่งพระจูฬปันถกเคยเป็นพระราชา ได้นำผ้ามาซับพระเสโท (เหงื่อ) จากผ้าที่ขาวสะอาดกลายเป็นผ้าที่มัวหมอง พระราชาทอดพระเนตรแล้ว ทรงเข้าพระทัยถึงความเป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ ซึ่งจิตในตอนนั้นเต็มอิ่มไปด้วยกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงสามารถคิดอุบายช่วยให้พระจูฬปันถกบรรลุธรรมได้
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปยังหน้าวิหาร ซึ่งเป็นทางที่พระจูฬปันถกจะเดินออกมาพอดี เมื่อพระจูฬปันถกเห็นพระพุทธองค์ก็รีบถวายบังคมกราบ ทั้งกล่าวทูลลาสิกขาบท เพื่อกลับไปเป็นฆราวาสอีกครั้ง เพราะพระพี่ชายต่อว่าโง่เขลาเบาปัญญาอยู่เป็นภิกษุต่อไปก็ไม่มีประโยชน์
พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “เมื่อพระพี่ชายของเธอขับเธอออกจากสำนักของเขา เธอก็มาอยู่ที่สำนักของตถาคต” พระจูฬปันถกก้มกราบที่พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ประทานผ้าเช็ดฝุ่นผืนหนึ่งแก่พระจูฬปันถก “เธอจงบริกรรมคำว่า ผ้าเช็ดฝุ่น” เมื่อพระจูฬปันถกรับผ้าผืนนั้นมาก็ทูลลาพระพุทธเจ้า เพื่อไปหาสถานที่นั่งภาวนา ในมือถือผ้าเช็ดฝุ่น แล้วบริกรรม “ผ้าเช็ดฝุ่น” จนกระทั่งเกิดความเข้าใจว่า เดิมทีผ้าผืนนี้สะอาด แต่สังขาร (การปรุงแต่ง) ทำให้หมองมัว จากนั้นจิตก็ยกขึ้นสู่วิปัสสนา จากนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “โลภะ โทสะ และโมหะ ไม่ต่างจากฝุ่น ถ้าเธอละฝุ่นเหล่านี้ได้จากขาด เธอก็จะดำรงอยู่ในพระศาสนานี้ได้” ไม่เท่าไหร่พระจูฬปันถกก็บรรลุอรหัตตผล
ที่มา :
อรรถกถา คาถาธรรมบท พระจูฬปันถก
ภาพ :
บทความน่าสนใจ
พระโสณะ พระเถระผู้เดินจงกรมจนเลือดออก
พระเถระท่องสวรรค์เยือน วิมานของเทวดา ไม่ทำบุญ
วิบากกรรมของปลากปิละ ปลาปากเหม็นที่มีเกล็ดเป็นทองคำ