เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างการไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาสูงในเทือกเขาอันสลับซับซ้อนที่สวยงามราวกับภาพวาด ทว่าฉันกลับได้รับความทรงจำอันน่าสะพรึงกลัวแต่ก็มีคุณค่าที่สุด!
เนื่องจากฉันขออยู่คนเดียวและ “เรือนภาวนา” ใกล้ ๆ เต็มหมด ฉันเลยถูกส่งไปอยู่หลังที่ไกลลิบ…ตอนแรกฉันดีใจมากที่ไม่ต้องนอนกับคนแปลกหน้า แถมวิวตรงนั้นยังสวยเกินบรรยาย เพราะเรือนอยู่ตรงเชิงเขาอย่างโดดเดี่ยว มีอีกเพียง 1 – 2 หลังอยู่ห่าง ๆ แต่พอตกกลางคืนฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดเมื่อต้องนอนเพียงลำพังในกระท่อมหลังเล็ก ท่ามกลางความมืดมิดของหุบเขากว้างใหญ่และเสียงโหยหวนของสัตว์กลางคืน รวมทั้งจักจั่นเรไรที่แข่งกันร้องระงม ฉันพยายามข่มตาหลับ แต่จู่ ๆ ลมก็พัดแรงขึ้น ๆ จนเสียงดังอื้ออึงไม่ต่างจากพายุที่กำลังโหมกระหน่ำ ราวกับจะหอบเอาเรือนทั้งหลังไป!…อากาศก็เย็นยะเยือกจนทนแทบไม่ไหว เพราะฉันไม่คิดว่าอุณหภูมิจะต่ำถึงขนาดนั้นจึงไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวมามากพอ
ที่ร้ายยิ่งกว่าคือ ฉันได้ยินเสียงประตูกระแทกกันตลอดเวลา ซึ่งฟังดูคล้ายมีคนกำลังพยายามเปิดมันเข้ามา!…ทำให้ฉันรู้สึกประสาทเสียมากขึ้น เมื่อนึกได้ว่าตอนที่มาถึงและหาเรือนไม่เจอ ฉันได้ไปถามทางคนสวนหน้าตาน่ากลัวที่ทำงานอยู่แถวนั้น “เขาจะต้องรู้ว่าฉันอยู่คนเดียวในเรือนโดดเดี่ยวหลังนี้!”….
ฉันตัดสินใจลุกขึ้นหยิบไม้ถูพื้นไปวางไว้ที่ประตู เผื่อใครเข้ามาจะได้รู้ตัว…พร้อมทั้งแข็งใจมองไปรอบ ๆ เรือน แล้วก็ต้องแปลกใจมากที่เห็นว่าใบไม้บริเวณนั้นแทบไม่ไหวติง “แล้วเสียงลมมาจากไหนกัน?!”
ฉันกลับมานอนครุ่นคิดไปต่าง ๆ นานา และยิ่งคิดก็ดูเหมือนเสียงหวีดหวิวนั้นจะยิ่งดังขึ้น ๆ จนฉันรู้สึกเหมือนจะสติแตกเอาเลยทีเดียว!
แต่แล้วฉันก็พยายามหายใจเข้าออกช้า ๆ พร้อมกับคิดว่า “นี่เรากำลังกลัวอะไรหรือ…กลัวพายุ…กลัวสัตว์ร้าย…กลัวผี…กลัวคน หรือกลัวความตายกันแน่” สุดท้ายฉันก็คิดได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นพายุ สัตว์ร้าย ผี หรือคน ก็คือสาเหตุแห่งความตายที่ฉันกลัวนั่นเอง ฉันจึงคิดต่อไปว่า “มันก็แค่ตาย และในเมื่อเราต้องตายในวันหนึ่ง จะแปลกอะไรถ้าเป็นวันนี้ ทำไมเราต้องกลัว เรายังไม่พร้อมจะตายอย่างนั้นหรือ” แล้วฉันก็ทบทวนถึงชีวิตของตัวเองว่า ฉันได้ทำทุกอย่างที่อยากทำและควรทำแล้วหรือยัง…คำตอบคือ “เราได้ทำครบถ้วนแล้ว” คำถามต่อไปคือ “เรามีอะไรหรือใครที่ต้องห่วงอีกหรือไม่” คำตอบคือ “มี แต่ทุกคนไม่ว่าลูกหรือสามีคงดูแลตัวเองกันได้…ห่วงก็แต่แม่เท่านั้น แต่เราก็ยังมีน้อง ๆ ที่คงทำหน้าที่แทนได้”
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ฉันจะมีห่วงจริง ๆ แต่ ณ ขณะนี้วินาทีนี้ ฉันจะต้องปลดห่วงหรือบ่วงทั้งหมดออกไปให้ได้เหมือนที่ท่านพุทธทาสเปรียบเทียบไว้ว่า “คนที่กำลังจะตายควรทำตัวแบบตกกระไดพลอยโจน เพราะถึงอย่างไรร่างกายนี้ก็ต้องตาย จิตจึงควรกระโจนตามไปเสียด้วย พร้อมกับคิดให้ได้ว่า ไม่มีอะไรที่ทำให้น่ามาเกิดใหม่ เพื่อเอา เพื่อเป็น หรือเพื่อหวัง เนื่องจากไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรหรือได้อะไรมาก็มีแต่ทุกข์ ถ้าดับความหวังหรือความยึดมั่นถือมั่นได้ก็เท่ากับดับเชื้อ จึงเหมือนน้อมจิตไปสู่การดับไม่เหลือ จิตที่หมดหวังจะดับไปพร้อมกับกายเพราะไม่มีเชื้อมาเกิดอีก”
ใช่สิ..ในเมื่อเราไม่สามารถหันไปไขว่คว้าอะไรเอาไว้ได้ เราก็ควรปล่อยทุกอย่างเลยตามเลยและกระโจนสู่ความตายอย่างคนที่ตัดแล้วทุกสิ่ง…ในที่สุดฉันจึงคิดได้ว่า “เราพร้อมที่จะตายแล้ว เพราะเราได้ทำหน้าที่ทุกอย่างทั้งต่อตัวเอง ต่อครอบครัวและสังคมอย่างสุดความสามารถ…เราไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจหรือเสียดายอีก”…น่าแปลกที่พอทำใจได้อย่างนี้ จิตที่ฟุ้งซ่านทุรนทุรายด้วยความวิตกกังวลของฉันก็ค่อย ๆ สงบลง พร้อม ๆ กับเสียงลมอื้ออึงที่ดูเหมือนจะแผ่วเบาไปด้วย และไม่นานฉันก็หลับลงได้
เช้ามืดวันรุ่งขึ้น ฉันต้องเดินฝ่าความหนาวเย็นไปคนเดียวตามทางเดินที่มืดสนิทเป็นระยะทางเกินครึ่งกิโลกว่าจะถึงเจดีย์ซึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ฉันลองส่องไฟฉายเพื่อดูข้างทางแต่มองแทบไม่เห็นอะไรนอกจากเงาทะมึนของต้นไม้ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ฉันคงวิ่งไปอย่างรวดเร็วด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่น่าเชื่อว่าวันนั้นฉันกลับสามารถควบคุมสติให้ย่างเท้าไปช้า ๆ แบบเดินจงกรมเพื่อไม่ให้เหยียบสัตว์เล็ก ๆ ได้
ตอนเย็นหลังจากเดินไปตามเส้นทางของคอร์สธุดงค์เกือบสิบกิโล ฉันเกือบต้องคลานกลับเรือนเพราะเข่าที่ไม่เป็นใจ! ซ้ำร้ายยังต้องไปหิ้วถังน้ำร้อนจากอีกเรือนมาอาบเนื่องจากที่เรือนฉันไม่มี และคืนนั้นอากาศหนาวจนฉันไม่อาจทนอาบน้ำเย็นเหมือนคืนแรกได้ แต่พอล้มตัวลงนอนไม่นาน ฉันก็เริ่มรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ จนต้องโทรศัพท์ไปขอยาจากเจ้าหน้าที่ซึ่งตอนแรกคิดว่าเป็นผู้หญิง แต่เมื่อเขามาเคาะประตู ฉันก็เกิดวิตกจริตขึ้นอีก เพราะเขาเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่…ตอนนี้จึงมีผู้ชายถึงสองคนที่รู้ว่าฉันนอนอยู่ที่นั่นคนเดียว!
เสียงลมยังดังอย่างน่ากลัวเหมือนเดิมไม่ต่างจากประตูที่ยังคงกระแทกกระทั้นราวกับจะเปิดออกในทุกวินาที!…วูบหนึ่งฉันคิดจะเอามีดปอกผลไม้มาวางไว้ใกล้ตัว แต่แล้วก็นึกถึงคำพูดของหลวงพ่อซึ่งฉันได้ฟังมาเมื่อกลางวันที่ว่า “ถ้าให้เลือกระหว่างการเป็นคนฆ่ากับคนถูกฆ่า หลวงพ่อขอเป็นคนถูกฆ่าดีกว่า จะได้ไม่มีบาปติดตัวไปชาติหน้า”…ต่อด้วยความคิดเหมือนคืนก่อนที่หวนกลับมาในหัวของฉันอีกครั้ง… “ในเมื่อเราพร้อมที่จะตายแล้ว จะต้องไปกลัวอะไร” ฉันจึงล้มตัวลงนอนโดยไม่ได้หยิบมีดและไม่ได้เอาไม้ถูพื้นไปวางไว้ที่ประตูอีก แล้วฉันก็หลับได้ภายในเวลาไม่นาน
ในที่สุดเมื่อคืนสุดท้ายมาถึง ฉันจึงผ่านมันไปได้ด้วยใจอันสงบสุข ทั้งที่ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นอากาศที่เย็นยะเยือก…บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว…หรือเสียงประตูและลมที่ยังคงดังหวีดหวิวแข่งกับเสียงกรีดร้องอันประหลาด…แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือใจของฉันซึ่งปราศจากความหวาดกลัวใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะฉันได้เอาชนะความกลัวอันเป็นที่สุดของมนุษย์มาแล้ว…ฉันดีใจที่ตลอดชีวิตฉันไม่เคยประมาทและเตรียมพร้อมที่จะรับความตายเสมอ
นี่ถ้าฉันยังไม่ได้ตอบแทนผู้มีพระคุณโดยเฉพาะพ่อแม่…ไม่ได้พยายามดูแลทุกคนในครอบครัวอย่างดี…ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้แก่สังคม…หรือไม่เคยแม้แต่จะบอกรักและกอดคนที่มีความหมายกับฉันมากที่สุด…คืนนั้นฉันจะรู้สึกหวาดกลัวและเสียใจขนาดไหนถ้าจะต้องจากโลกนี้ไปจริง ๆ!
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง ทิพถวิล
บทความน่าสนใจ
ทำอย่างไรเราจะคิดถึงความตายได้โดยที่ไม่กลัวตาย โดย พระไพศาล วิสาโล