เศรษฐีตามแนววิถีพุทธ

เศรษฐีตามแนววิถีพุทธเป็นอย่างไร ท่าน ว.วชิรเมธี

เศรษฐีตามแนววิถีพุทธ เป็นอย่างไร ท่าน ว.วชิรเมธี

คำว่า”เศรษฐี”มีที่มาอย่างไร คนเช่นไรจึงจะเรียกว่าเศรษฐี คนที่มีเงินมาก ร่ำรวย ทรัพย์สิน เงินทอง ก็จัดว่าเป็น”มหาเศรษฐี”ได้เลยหรือไม่แล้ว เศรษฐีตามแนววิถีพุทธ เป็นอย่างไร

“เศรษฐี” เป็นคำเดียวกับคำว่า”เสฏจ” (เสด-ถะ) ในภาษาบาลี ซึ่งแปลว่า”ประเสริฐ” คนที่จะเป็นผู้ประเสริฐ (=เป็นเศรษฐี จึงต้องมีมากกว่าความรวย นั่นคือต้องมีความดีกำกับความรวยด้วยเสมอไป สมการแห่งความเป็นเศรษฐีตามวิถีพุทธจึงต้องประกอบด้วย
“ความรวย+ความดี=เศรษฐี” ผิดจากสมการนี้ต้องถือว่าไม่ใช่เศรษฐีตามวิถีพุทธ

เมื่อไม่ใช่เศรษฐีตามวิถีพุทธ จึงมีอยู่เสมอที่คนมั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติ ทว่ากลับเป็นคนยากจนคุณธรรมอย่างนำสังเวช หรือบางที
เป็นศรษฐีมีทรัพย์นับร้อยล้าน แต่กลับเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งเมือง

การเป็นเศรษฐีจึงเป็นยากกว่าการเป็นคนรวย ส่วนการเป็นคนรวยนั้นไม่ยาก แค่เพียงทำอย่างไรก็ได้ให้เป็นคน ยินมที่สุดก็เป็ได้แล้ว หมือนที่เติ้งสี่ยวผิง เคยกล่าวถึงปรัชญาทางการเมืองของเขาไว้ตอนหนึ่งว่า

“Black cat, white cat, all that matter is that it catches mice.” ไม่สำคัญว่าเป็นแมวขาว หรือแมวดำ ถ้าจับหนูเป็นก็ถือว่าใช้ได้ วิธีคิดแบบนี้ บางที่คนอยากรวยบางคนก็มาตีความว่า การจะเป็นคนรวยนั้นไม่ต้องคำนึงถึง”คุณภาพของความรวย”หรอก หากแต่ขอให้ทำทุกวิถีทางที่จะให้ได้เงินมหาศาลมาครอบครองก็พอแล้ว

ด้วยวิธีคิดอย่างนี้เอง คนอยากรวยจำนวนมากจึงกลายเป็นคนรวย แต่ไม่อาจเรียกว่าเป็น”เศรษฐี”ตามนิยามทางพุทธศาสนา บางคนไม่เพียงเป็นเศรษฐีตามคติพุทธไม่ได้เท่นั้น แม้แต่จะเป็น”มนุษย์ที่ดี”ก็ยังเป็นไม่ได้ เนื่องเพราะตลอดเส้นทางแห่งการสร้างความรวยของตนนั้น เขาได้ทำลายความดีของตัวเองลงอย่างย่อยยับไปพร้อม ๆ กันด้วย คนอยากรวยบางคนซึ่งมุ่งแต่จะรวยโดยไม่เหลียวแลความดี พอมีความรวยสมอยากแล้วกลับมีความทุกข์เป็นของสมนาคุณ

แต่บางคนไม่เพียงแต่มีทุกข์เป็นของสมนาคุณเท่านั้น ยังมี “คุก” ห่อหุ้มความทุกข์นั้นไว้อีกต่อหนึ่งต่างหาก เห็นไหมว่า บางครั้งความรวยก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิต ตรงกันข้าม อาจนำมาซึ่งวาระสุดท้ายของชีวิตด้วยไป การเป็นคนรวยกับการเป็นเศรษฐีจึงไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แต่การเป็นศรษฐีและการเป็นคนรวยนั้นก็ไม่ใช่จะไปด้วยกันไม่ได้ ทำอย่างไรคนรวยจึงจะได้ชื่อว่าเป็นเศรษฐี วิธีง่าย ๆ ก็คือ คำนึงถึงสมการแห่งความเป็นเศรษฐีตามวิธีพุทธ

(1) ความรวย+ความดี=เศรษจี
แต่หากจะให้เป็นมหาเศรษฐีก็ต้องเพิ่มเติมรายละเอียดของสมการอีกนิดหน่อย เป็น
(2) ความรวย+ความดี (=รวยอย่างมีคุณภาพ) + ความเป็นผู้ให้=มหาเศรษฐี

คนเป็นเศรษฐีตามสมการที่ 1 มีอยู่ทั่วไป
ส่วนคนเป็นเศรษฐีตามสมการที่ 2 หาไม่ง่ายนัก แต่อย่างน้อยในสมัยพุทธกาลก็เคยมีตัวอย่างมาแล้ว เช่น ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี และนางวิสาขามหาอุบาสิกา ทั้งสองท่านเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยทั้งทรัพย์สินและร่ำรวยทั้งความดีถึงขนาดเป็นเศรษฐีและเศรษฐินีพร้อม ๆ กับที่เป็นพระอริยบุคคล (พระโสดาบัน) ไปด้วยเลยทีเดียว

ธุรกิจกับธรรมะที่คนบอกว่าขัดแย้งกัน จึงเป็นวาทกรรมที่ไม่จริง ในยุคโลกาภิวัตน์ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นมหาเศรษฐีระดับโลกและคนยกย่องมากกว่าคนรวยของเมืองไทยก็คือ บิล เกตส์ เจ้าพ่อแห่งอาณาจักรไมโครซอฟต์นั่นเอง

เมื่อปี 2005 นิตยสารไทม์ได้เลือกบิล เกตส์ และภรรยาขึ้นปกพร้อมทั้งยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปี เพราะทั้งสองสามีภรรยาบริจาคเงินเพื่อการกุศลสำหรับแก้ปัญหาทางด้านมนุษธรรมให้แก่มนุษยชาติมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก บิล เกตส์จึงเป็นทั้งเศรษฐี และเป็นมหาเศรษฐีที่โลกยอมรับและยกย่อง เพราะความรวยของเขาไม่ได้เกิดจากการปล้นชิง ไม่ได้เกิดจากการแสวงหาผลประโยชน์ทับซ้อน แต่เกิดจากการคิดค้นวิจัย และใช้มันสมองสองมือสร้างธุรกิจของเขาขึ้นมากับมือ และไม่ได้ฉ้อราษฎร์บังหลวง

เขาเป็นคนรวยที่เดินอย่างสง่าบนถนนทั่วโลก เพราะความรวยของเขาไม่มีวาระซ่อนเร้น ความรวยของเขามีที่มาที่ไปชัดเจน และมีความดรในหัวใจเป็นส่วนผสมอยู่ อย่างน้อยที่สุด เมื่อรวยแล้ว เขาก็มีสำนึกทางจริยธรรมและมนุษยธรรมอย่างสูงยิ่ง เขาเปลี่ยนความรวยของเขาให้เป็นดังหนึ่งกระดานหกไปสู่การสร้างสันติสุขและสันติภาพแห่งมนุษยชาติ

บิล เกตส์ จึงเป็นคนที่มีค่าพอที่ไทม์จะเหลือบตามองและจับมาขึ้นปกแทนที่จะเลือกนักการเมืองเหมือนเช่นทุกปี กล่าวอย่างสั้นที่สุด บิล เกตส์ เป็นบุคคลแห่งปี 2005 ของไทม์ก็เพราะเขา “บริจาค” มากที่สุดนั่นเอง ประการสำคัญเขาไม่ได้บริจาคเข้าพรรคการเมืองใดทั้งสิ้น หากแต่เขาบริจาคเข้ามูลนิธิที่เขาตั้งขึ้นมา เพื่อวาระแห่งมนุษยชาติโดยแท้

ในเวทีโลก บิล เกตส์ กำลังสร้างวัฒนธรรม “รวยแล้วให้ทาน” รวมทั้งใช้เงินเป็นพลังสร้างสรรค์ความดีงามให้เกิดแก่มนุษยชาติ แต่ในเมืองไทยไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรที่วัฒนธรรมเช่นนี้จะเป็นที่รู้จักในหมู่คนรวยทั้งหลาย

 

ที่มา : ธรรมะคลายใจ โดย ว.วชิรเมธี สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ

ภาพ : www.pexels.com


บทความน่าสนใจ 

จากเด็กจรจัดกลายเป็นเศรษฐีหนุ่ม ในวัยเพียงแค่ 21 ปี เขาทำได้อย่างไร 

เศรษฐีใจบุญสองสามี-ภรรยา แจกอาหารเจฟรีมาตลอด 20 ปี เพราะอะไร

เมื่ออนาถบิณฑิกเศรษฐีได้พบพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก

บุตรเศรษฐีสิ้นเนื้อประดาตัวและไปไม่ถึงพระนิพพานเพราะน้ำเมา

ชีวิตนี้สู้เพื่อลูก สมชาย ศรีสกุลภิญโญ จากเศรษฐีพันล้าน สู่พ่อค้าราดหน้า

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.