“เพราะเราเข้าใจ” นิยามรัก ในแบบฉบับครอบครัววงษ์กระจ่าง
คุณตั้ว – ศรัณยู วงษ์กระจ่าง คุณเปิ้ล - หัทยา และลูกสาวฝาแฝด ลูกหนุน - ศุภรา ลูกหนัง - ศีตลา มาพร้อมกันอย่างอบอุ่น เสียงหยอกล้อกันระหว่างคุณพ่อคุณแม่และลูกสาวทั้งสองทำให้บรรยากาศในการทำงานสนุกสนาน และเห็นได้ชัดว่าครอบครัวนี้อบอุ่นเพียงใด
ลูกทั้งสองคนต้องไปเรียนต่างประเทศกันทั้งคู่ คุณตั้วและคุณเปิ้ลเป็นห่วงไหมคะ
คุณตั้ว : ก็ห่วงครับ ห่วงโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่เราจะเอาความห่วงนั้นมาเป็นข้อผูกมัดยึดไม่ให้เขาไปไหน ไม่ให้เขาไปทำอะไรเลยก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องความเข้าใจ เรียนรู้ และยอมรับว่า ทันทีที่มีเขาเราก็ต้องมองอนาคตแล้วว่าเขาต้องเติบโตขึ้นแล้วก็ต้องไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ไปตามขั้นตอนของชีวิต แต่ไม่ใช่ว่าเข้าใจแล้วจะไม่ห่วงนะ คือต้องห่วงไปตามวาระ ห่วงใยไปตามวัยของเขา
คุณเปิ้ล : ก็เป็นห่วง แต่ไว้ใจลูกทั้งสองคนและเชื่อมั่นในพื้นฐานที่เราได้ปูไว้ให้เขา เราโชคดีที่ให้เขาเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็ก จึงไม่กลัวเรื่องสุขภาพ เพราะเขาค่อนข้างแข็งแรง ไปเจออากาศหนาว ๆ ในต่างประเทศก็ไม่ห่วง เป็นห่วงอย่างเดียวคือเรื่องคิดถึงบ้าน เพราะทั้งคู่อยู่กับเรามาตลอด
อย่างน้องหนุนเป็นเด็กที่มีโลกส่วนตัวสูง ไม่ค่อยยุ่งกับใคร ก็ค่อนข้างห่วงเขาเป็นพิเศษ แต่พอสังเกตดูว่า เมื่อไปอยู่สักระยะหนึ่งเขาเริ่มดูแลตัวเองได้ เพราะส่งข่าวมาว่า แม่ วันนี้ทำอาหารกินเอง วันนี้ไปจ่ายกับข้าวมา พอได้ยินอย่างนี้ก็สบายใจ
การที่มีลูกสาวทั้งคู่ มีหลักในการเลี้ยงดูลูก ๆ อย่างไรบ้างคะ
คุณเปิ้ล : ปล่อยเขาในบางเรื่อง ไม่ปล่อยในบางเรื่อง อย่างเรื่องเรียน เปิ้ลไม่ค่อยห่วง ไม่ได้คาดหวังว่าลูกจะต้องเรียนเก่ง ได้ที่หนึ่งหรือได้เอทุกตัว แค่ขอให้มีความรับผิดชอบก็จบ เพราะเปิ้ลเน้นเรื่องการดูแลตัวเองและเรื่องสุขภาพมากกว่า อาจเป็นเพราะทั้งสองคนเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด คลอดมาตอนเจ็ดเดือน ตัวเล็กมาก เปิ้ลจึงเน้นเรื่องกีฬาและอาหารการกิน ต้องนอนกี่ชั่วโมง บางคนอาจคิดว่าทำไมทำแบบนี้ แต่เปิ้ลคิดถึงผลดีในระยะยาว ส่วนเรื่องเรียนไม่ค่อยเท่าไหร่ อย่างเรียนพิเศษเขาก็เพิ่งมาหาเรียนกันเองตอนโตแล้ว
ปลูกฝังเรื่องไหนเป็นพิเศษไหมคะ
คุณตั้ว : เน้นเรื่องจริยธรรม เรื่องจิตใจ ความโอบอ้อมอารี และสิ่งดีงามทั้งหมดครับ ผมไม่ได้คาดหวังว่าเขาต้องโตมาเก่งในแบบที่สังคมยกย่องแบบง่าย ๆ เช่น คนนี้เก่ง คนนี้รวย คนนี้เป็นดอกเตอร์ คนนี้อ่านหนังสือได้เร็วกว่าเพื่อน คนนี้พูดภาษาอังกฤษได้ก่อนใคร ผมไม่เน้นเปลือกนอกที่สังคมมองผ่าน ๆ แล้วยกย่อง เพราะไม่คิดว่าเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต
ผมมองว่าถ้าเขามีจิตใจอ่อนโยน จิตใจที่ดีงาม เข้าใจความเป็นไปของชีวิต มีความรู้สึกเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีจริยธรรมต่อคน สังคมและสิ่งแวดล้อม รู้ผิดรู้ถูก สิ่งเหล่านี้จะเป็นทุนในชีวิต ส่วนการเรียนรู้ภาษา กีฬา วิชาการ ดนตรี ศิลปะ เป็นเรื่องที่ต้องพัฒนาตามจริตของเขา ผมพยายามเปิดโอกาสให้เขาได้สัมผัสสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตให้มากที่สุด เพื่อให้เขาได้เห็นทางเลือกในชีวิตว่าเขาเหมาะจะไปทางไหน
ผมพูดกับลูกตลอดว่า “พ่อไม่บังคับให้ลูกต้องเรียนเก่ง” ไม่ต้องสอบได้ที่หนึ่งตลอด สอบได้ที่โหล่ในชั้นก็ได้ แต่อยากให้มีความสุขกับการเรียนมากกว่า
คุณตั้วมีหลักในการปลูกฝังด้านจริยธรรมและความดีงามอย่างไร
คุณตั้ว : ทำให้เขาดูครับ การอยู่ด้วยกันในครอบครัว พ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ดีอยู่แล้วเพราะการสอนเรื่องนี้ไม่ใช่บอกว่า มานั่งฟังนะลูก ศีลธรรมเป็นแบบนี้ แต่การสอนคือการใช้ชีวิตร่วมกัน ทำให้เขาเห็น อาจเป็นการพูดคุยเพื่อปลูกฝังทัศนคติ บางทีการนั่งกินข้าวอ่านหนังสือก็คุยเรื่องนี้ได้
เพราะฉะนั้นช่วงวัยเด็กที่ลูก ๆ มีเวลาอยู่กับเรา คือวัยแรกเกิดถึง 5 - 6 ขวบ ซึ่งเขายังไม่มีโลกส่วนตัว เป็นช่วงที่สำคัญมากในการปลูกฝังเรื่องต่าง ๆ ช่วงระหว่างวัยนั้นผมและเปิ้ลจึงให้ความสำคัญกับการอยู่ใกล้ชิดกับลูกให้มากที่สุด
ดูเหมือนคุณตั้วใช้ธรรมะสอนลูกหลายเรื่อง
คุณตั้ว : ผมสนใจธรรมะมาตั้งแต่เด็ก ๆ จากที่ถูกตารางเรียนบังคับว่าต้องเรียนวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรมในห้องเรียน เมื่อรู้จักคำว่าศีลธรรมก็นำพาผมไปให้รู้จักหนังสือสมุดภาพพระพุทธประวัติของ เหม เวชกร ซึ่งเป็นหนังสือเก่าเล่มใหญ่มากที่อยู่ที่บ้านผม นี่คือต้นทางที่ทำให้ผมรู้จักเจ้าชายสิทธัตถะแล้วก็นำไปสู่คำสอนต่าง ๆ และจากวันที่ไม่เข้าใจ ท่องอริยสัจ 4 เพื่อไปสอบเท่านั้น ต่อมาเมื่อโตขึ้นในวัยหนึ่งก็เริ่มเข้าใจไปเอง และปรับจูนเราไปในแนวทางนี้ด้วยความเข้าใจของเราเอง
สำหรับผม ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะมีอยู่ตลอดในวิถีชีวิตของเรา โดยเฉพาะธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมชาติที่มีจริงและพิสูจน์ได้ เพราะฉะนั้นผมจึงให้ความสำคัญกับเนื้อแท้ของธรรมะมากที่สุด ซึ่งก็คือการเข้าใจธรรมชาติและธรรมดาของชีวิตอันเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ในเรื่องการเป็นอนัตตา การไม่มีตัวตน ไม่ใช่ของเรา
ธรรมะสำคัญกับผมมาก ธรรมะของผมไม่มียศ ไม่มีบรรดาศักดิ์ ไม่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับ แต่เป็นความธรรมดา อาจมีคนพูดว่า คนมีธรรมะจริง ๆ ต้องเข้าวัด ต้องยึดแบบนั้นแบบนี้ ถ้าคิดอย่างนั้นผมคงเป็นคนที่นอกรีตเลยแหละ ผมไม่เคยบวชด้วยซ้ำ เพราะในวัยที่ควรจะบวชตามเกณฑ์ที่คนอื่นเขาบวชกัน ผมก็ติดโน่นติดนี่ไปเรื่อย แต่ผมไม่คิดว่าการมีธรรมในใจต้องผ่านการบวช เพราะการเข้าถึงธรรมหรือมีธรรมนำในใจเกิดได้หลายวิธี แล้วแต่ชีวิตของแต่ละคน ความเข้าใจในธรรมะของผมก็ได้ส่งต่อไปยังลูก ๆ โดยอัตโนมัติจากสิ่งที่ผมพยายามปลูกฝังเขา
การที่คุณพ่อคุณแม่เป็นคนมีชื่อเสียง มีผลต่อการเลี้ยงดูลูกบ้างไหมคะ
คุณตั้ว : ผมและเปิ้ลตั้งใจอยู่แล้วว่าอยากให้เขาเป็นเด็กธรรมดาเหมือนคนอื่นไม่อย่างนั้นเขาจะสูญเสียสิ่งที่เด็กคนอื่น ๆ มี ซึ่งก็ต้องเริ่มต้นจากการที่เราทำตัวธรรมดาก่อนแล้วเขาก็จะซึมซับไปเอง หลักสำคัญคือ เราอยากให้เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งในสังคม ถ้าเกิดเขามีหมวกอะไรมาสวมให้แตกต่างจากคนอื่น อาจเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ต้องการ แล้วเขายึดไว้ จะพลาดโอกาสเป็นผ้าขาวบริสุทธิ์และเลือกทางเดินของเขาเอง
ลูกหนุนกับลูกหนังเป็นฝาแฝดที่แตกต่างกันอย่างไรบ้างคะ
คุณเปิ้ล : น้องหนังเป็นเด็กที่ช่างพูดช่างคุย ร่าเริง ส่วนน้องหนุนคล้ายกับคุณตั้วหน่อย คือเขาจะนิ่ง ๆ ก่อน แต่พอรู้จักแล้วจะช่างพูดช่างคุย ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดน่าจะเป็นการแต่งตัวที่ชอบกันคนละแนว คนที่หวานกว่าน่าจะเป็นน้องหนุน ส่วนน้องหนังจะลุย ๆ แต่ทั้งคู่เป็นเด็กที่ชอบเล่นกีฬาและออกกำลังกาย ชอบเล่นดนตรี
ในอนาคตน้อง ๆ จะเข้ามาทำงานในวงการไหมคะ
คุณเปิ้ล : ทั้งคู่ชอบการแสดงนะคะ แต่มีช่วงหนึ่งที่เขากดดันว่าเป็นลูกของเราเพราะคุณตั้วมองว่า ไม่อยากให้ลูกคิดถึงเรื่องการแสดงแค่ฉาบฉวย เพราะการแสดงคืออาชีพของเขา การทำงานด้านนี้ต้องมาจากความรักจริง ๆ น้องหนุนมีโอกาสไปเล่นละครเวทีครั้งแรกเรื่อง มอม เดอะมิวสิคัล ซึ่งเขาทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ตั้งแต่ไปออดิชั่นแล้วก็เป็นแค่อองซอม (นักแสดงสมทบ) เรียนรู้ทุกอย่างของการเป็นอองซอม เพื่อจะก้าวต่อไปตามระบบ
คุณตั้ว : ตอนที่หนุนไปแสดงละครเวทีเขาตัดสินใจเอง คือคุยกันแล้วเขาก็บอกว่าชอบ ผมก็ไม่ได้ห้าม และสนับสนุนให้เขาทำเต็มที่ ถ้าเขาอยากรู้อะไรก็เล่าให้ฟัง สอนในสิ่งที่เขาควรรู้ ถ้าจะยึดอาชีพนี้ การที่เขาได้ไปฝึกฝนเหมือนกับคนอื่นทั่วไป เขาจะได้ประโยชน์และเติบโตด้วยตัวเอง
ทำไมคุณตั้วถึงยังไม่อยากให้น้องมาทำงานในวงการตอนนี้คะ
คุณตั้ว : ผมคิดว่าในบ้านเรา วิธีการเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงค่อนข้างจะพิกลเพราะต้องมาจากการที่คนนี้เป็นใคร ต้องเป็นซัมบอดี้สักคนหนึ่งที่เป็นลูกคนนี้ หรือเป็นคนแบบนี้ มีเครดิตแบบนี้ เหมือนเป็นทางด่วนที่เข้าสู่ตรงนี้ได้ง่าย ๆ ซึ่งผมว่ามันไม่ใช่ ยิ่งเราทำงานตรงนี้ คือมันเป็นอาชีพต้องทำงานกับคนอื่นมากมาย ต้องรู้จักรับผิดชอบ เพราะเป็นงานหนัก ถ้าเราแค่สนุกแล้วอยากทำ หรือเพียงเพราะเป็นลูกพ่อหรือใครมาชวนก็ไม่ใช่
เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะทำงานนี้จริง ๆ ต้องตอบให้ได้ว่าอยากทำเพราะอะไร ต้องมีความมุ่งมั่น เมื่อถึงวันที่เขามีความรับผิดชอบแล้ว ตอบตัวเองและตอบพ่อได้ว่าอยากทำงานนี้เพราะเหตุผลอย่างนี้แล้วค่อยว่ากัน แต่ถ้ายังเรียนอยู่ แล้วแค่มีคนมาชวนเพราะเป็นลูกพ่อ อย่างนี้ไม่ให้เด็ดขาด เพราะว่ามันไม่เกิดประโยชน์ ตัวเองก็ไม่รู้ว่าเป็นงานหนัก ไปถึงจะไปงอแงบอกว่าเป็นเด็กอยู่ไปเดือดร้อนคนอื่น มันก็ไม่ใช่
บางคนอาจบอกว่าไปเป็นประสบการณ์ให้เด็กได้เรียนรู้ แต่ผมบอกเลยว่า การที่เด็กสองคนนี้เป็นลูกของเรา เขามีประสบการณ์ได้เห็นพอแล้ว เพราะฉะนั้นตรงนี้เอาไว้ก่อนเมื่อไหร่ก็ได้ ให้เขาได้ไปทำงานอย่างอื่นก่อน ถ้าเขาโตแล้วและเริ่มคิดได้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร เพราะอะไร เราก็ไม่ได้ห้ามเขา
ช่วงคุณตั้วมีกระแสข่าวเรื่องของการเมือง ครอบครัวให้กำลังใจกันและกันอย่างไรคะ
คุณเปิ้ล : ก็ให้กำลังใจค่ะ บางทีก็บอกเขาว่า ต้องขนาดนั้นเลยเหรอ แต่จริง ๆ ก็รู้สึกว่าต้องให้เกียรติเขา เพราะเขาไม่เคยทำเรื่องเดือดร้อนอะไร และนี่เป็นความชอบของเขา เขาสนใจจริง ๆ แล้วก็ไปด้วยความรู้สึกจริง ๆ แต่ช่วงนั้นก็เป็นห่วง กว่าจะได้นอนก็ห้าทุ่มบ้าง ตีหนึ่งบ้าง เพราะคอยมาเปิดประตูทุกคืน บางทีก็คิดว่าเขาอยู่ที่ไหนเนี่ย แต่เขารู้ว่าเราห่วงก็จะคอยส่งข่าวเสมอ
คุณตั้ว : จริง ๆ ผมว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จ คือเราจะรู้กันเองว่า ฉันอยู่ข้าง ๆ นะ ฉันเข้าใจ ไม่ต้องห่วง ภาระอื่น ๆ เดี๋ยวฉันดูแลเอง สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเอง แต่ก่อนที่ผมจะตัดสินใจอะไรสักอย่าง ผมก็จะคุยกับครอบครัวว่า ผมคิดแบบนี้นะ ถ้าไม่เห็นด้วยก็ให้พูดกันเสียตรงนี้ แต่ไม่ใช่ว่าผมพูดแล้วรั้นทำตามใจตัวเองนะ ต้องคุยกันจนได้ข้อสรุปว่า ในครอบครัวมีใครไม่เห็นด้วยบ้างไหม พอทุกคนเข้าใจตรงกันแล้ว เขาจะรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
ในเวลานั้นเปิ้ลทำหน้าที่แม่ได้ดี เขาดูแลจิตใจคนในครอบครัวและดูแลผู้ใหญ่แทนผมด้วย แต่หลังจากนั้นก็ยังมีอะไรมากระทบมากมาย ซึ่งผมก็บอกเปิ้ลและลูก ๆ ว่า ขอโทษนะที่เป็นแบบนี้ ซึ่งทุกคนก็เข้าใจ
ในช่วงนั้นลูก ๆ เป็นอย่างไรบ้างคะ
คุณตั้ว : ทั้งสองคนก็เป็นห่วงผมเพราะเริ่มมีเพื่อนและครูที่โรงเรียนพูดถึง ผู้ใหญ่ก็พูดถึง บางทีกระแสข่าวก็มีถูกบ้างผิดบ้าง จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง เขาก็เลยกังวลร้องไห้ บอกว่าพ่อกลับบ้านเถอะ แต่ผมก็อธิบายกลับไปว่าพ่อทำอย่างนี้เพราะอะไร
แต่ที่สะเทือนใจมากที่สุดคือ วันหนึ่งลูกทั้งสองคนโทร.มาร้องไห้บอกว่า พ่อ พ่อต้องกลับมานะ เดี๋ยวพ่อเป็นอะไร แต่เราก็บอกเขาตรง ๆ ว่า ถ้าพ่อกลับไปแล้ว คนอื่นจะอยู่ยังไง คนอื่นเขายังอยู่ได้ พ่อต้องอยู่เพื่อเป็นกำลังใจให้คนอื่นด้วย เขาร้องไห้สักพักเขาก็เข้าใจ หยุดร้องไห้ แล้วก็บอกว่าไม่เป็นไรนะพ่อ
ถ้าถามถึงการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมา 22 ปี คุณเปิ้ลและคุณตั้วประทับใจอะไรในกันและกันบ้างคะ
คุณเปิ้ล : คุณตั้วเป็นคนตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม แล้วก็แมน ๆ เพราะเขาคงเข้าใจว่าเปิ้ลเป็นคนที่ไม่ง้องแง้ง แต่บางครั้งเราก็มีความเป็นผู้หญิง เขาก็จะไม่เข้าใจ อะไรของเปิ้ล พูดวกไปวนมา เช่น เราจะพูดเท้าความ เขาก็จะขัดเลย ต้องการเป๊ะ ๆ คือบางเรื่องก็เป๊ะไม่ได้นะ แต่เราก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ตรงดี มองไม่ยากว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร คือคนเราจะอยู่ด้วยกันบางทีก็ต้องอ่านใจกันออกนิดหนึ่งค่ะ (ยิ้ม)
คุณตั้ว : สำหรับผมคิดว่า เปิ้ลมีความเป็นแม่ ณ เวลาที่เราแต่งงานกันก็เห็นแล้วว่าถ้าเป็นครอบครัวแล้วมีลูก เขามีคุณสมบัติของการเป็นแม่ได้ เพราะเขาให้น้ำหนักความสำคัญกับครอบครัวในมุมที่ผู้หญิงพึงจะมีพอเป็นครอบครัวแล้ว เราก็มีทั้งญาติพี่น้องของสองฝ่าย ทั้งการเชื่อมโยงญาติ การดูแลครอบครัวเราเอง การดูแลครอบครัวของกันและกัน เรื่องบ้าน เรื่องลูก และอะไรหลาย ๆ อย่าง ต้องการความเข้าใจที่ตรงกัน
ดังนั้นถ้าคนสองคนอยู่ด้วยกันแล้วมีทัศนะของความเป็นครอบครัวที่ไม่เหมือนกันก็มีโอกาสเกิดเป็นปัญหาได้ ส่วนด้านอื่น ๆ ของชีวิต เช่น ชอบเพลงไหน ชอบอะไร เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ครับ ที่สำคัญคือ เรามีความเข้าใจกัน เขาเข้าใจว่าเราทำงานอะไร เข้าใจวิธีคิดของเราเช่นเดียวกับที่เราเข้าใจเขา เขาชอบแบบนี้ เขาคิดแบบนี้ เมื่อเราเข้าใจกันและกัน ทุกอย่างก็จบครับ
นับเป็นอีกหนึ่งครอบครัวตัวอย่างที่เปี่ยมไปด้วย “ความเข้าใจกัน” อย่างแท้จริง
Secret BOX
เราไม่รู้หรอกว่า ลูกโตขึ้นจะเป็นอย่างไร
แต่หากเราเลี้ยงดูและปูพื้นฐานมาให้เขาอย่างดี
เขาก็จะมีความสุขกับชีวิตที่เลือกเอง
ศรัณยู วงษ์กระจ่าง
ที่มา : คอลัมน์ secret of life นิตยสาร Secret ฉบับที่ 187 (10 เม.ย. 59)
เรื่อง เชิญพร คงมา ภาพ วรวุฒิ วิชาธร ผู้ช่วยช่างภาพ ปวเรศ ขวัญทองยิ้ม, ธนทัช หิรัญวรกุล สไตลิสต์ ณัฏฐิตา เกษตระชนม์ ผู้ช่วยสไตลิสต์ ธีรนุช ภัทรเกียรติเจริญ แต่งหน้า ภูดล คงจันทร์ ทำผม ภัทรานิษฐ์ จันทรกุลเศรษฐ์
ขอขอบคุณ
เสื้อผ้า : Casually by Flynow และ CPS Chaps
สถานที่ : โครงการ Private Nirvana Residence North n’ East โทร. 0-2538-3883
บทความน่าสนใจ
แอน ทองประสม กับ “คาถาทอง” ที่ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความสุข ความสำเร็จ
อุ้ม สิริยากร พุกกะเวส “วันนี้ฉันคือ ผู้ปรารถนานิพพาน”
การเดินทางเพื่อหาจุดกึ่งกลางของชีวิต ธนากร โปษยานนท์
ปวีณา ชารีฟสกุล…เลือกเข้าวัดในวันที่สุขใจ
ในวันที่ความมั่นใจ พังทลาย ปอนด์ ภริษา ยาคอปเซ่น
(นิยามรัก) (นิยามรัก)