ชีวิตคือสิ่งสมมุติของ ดา ชฎาพร รัตนากร
“สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติที่เราสมมุติขึ้นมาเองทั้งสิ้น สมมุติ แล้วก็หลงสมมุติของตัวเอง เลยไม่มีใครวาง” เป็นคำกล่าวของ หลวงพ่อชา สุภัทโท ที่ คุณดา ชฎาพร รัตนากร นักแสดงมากฝีมือยึดมาเป็นหลักประจำใจ เธอมีผลงานการแสดงครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่องนายซีอุย แซ่อึ้ง หลังจากนั้นก็มีเรื่องอื่นๆ ตามมาไม่ขาดสาย และกลายเป็นนางเอกที่ดังเป็นพลุแตกในช่วงเวลาหนึ่ง
แม้ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว เราก็คงพอจะคาดเดาได้ว่า เธอเป็นนักแสดงที่รักสันโดษมากคนหนึ่ง ดูได้จากน้อยครั้งที่เธอจะให้สัมภาษณ์พูดคุยผ่านสื่อต่างๆ อย่างไรก็ตาม ชีวิตของเธอก็ไม่ต่างจากปุถุชนทั่วไป ที่ผ่านทั้งเรื่องราวที่ดีและร้าย มีสุข มีทุกข์ มีสรรเสริญ มีนินทา มีผิดพลาด ผิดหวัง ฯลฯ แต่ทั้งหมดในวันนั้นกลับทำให้เธอกล้าแกร่งในวันนี้ และมองชีวิตด้วยความเข้าใจมากขึ้นว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงสิ่งสมมุติ สิ่งสมมุติที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง…ไปฟังเธอเล่ากันเลยดีกว่า
สมมุติว่าเป็น…
ดาเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงแบบบังเอิญมากกว่าตั้งใจจะไขว่คว้า เพราะคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนสวย ดาไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นดารา แต่เป็นแค่นักแสดงที่ต้องทำงานและรับผิดชอบหน้าที่ให้ดีที่สุดเท่านั้น โชคดีว่าค่ายหนังค่ายละครที่เราไปอยู่ตอนเข้าวงการใหม่ๆ ก็ทำให้เราเห็นว่าทุกคนเท่าเทียมกันไม่มีใครมาเป็นซุป’ตาร์อยู่ในกองที่ต้องดูแลเอาใจเป็นพิเศษ
คำว่า “ดารา” มันหมิ่นเหม่กับการหลงระเริง พูดจริง ๆ นะว่า ดาไม่เคยสัมผัสกับความดังของตัวเอง เพราะตอนที่คนอื่นบอกว่าเราดัง ดาทำงานอยู่ในกองถ่ายตลอดเวลา และที่สำคัญ ลึกๆ แล้วดาไม่ชอบยุ่งกับคน เป็นคนเงียบๆ พูดได้เลยว่ารู้จักคนแค่ไหนก็แค่นั้น ไม่ได้อยากรู้จักใครเยอะ ตอนเรียนปริญญาตรีก็เลือกเรียนด้านคอมพิวเตอร์ เพราะไม่ถนัดคุยกับคนเยอะ ๆ
แต่ในวันที่เป็นเจ้าของธุรกิจเครื่องสำอาง “ฮานาโกะ” ตั้งแต่วัย 25 ปี เราก็ได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น ได้ลองผิดลองถูก ตอนนั้นก็ลดงานละครลงเพื่อดูแลธุรกิจอย่างเต็มที่อยู่ 4-5 ปี ดาทำธุรกิจในช่วงที่เกิดวิกฤตฟองสบู่ จึงต้องประคับประคองให้ธุรกิจอยู่รอด พอผ่านจุดนั้นมาได้ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง เราก็ลอยตัวไปทำอย่างอื่นได้
การทำธุรกิจเป็นครูที่ดีสอนดาหลายอย่าง ปกติเราก็ “ทำตัวให้เล็ก” อยู่แล้ว ยิ่งมาทำธุรกิจนี้ซึ่งเป็นธุรกิจบริการเราเลยได้เห็นภาพที่แตกต่างชัดเจนมาก ตอนเป็นดารานักแสดงอยู่ที่ไหนเราก็ได้รับการ “ชู” อยู่ตลอดเวลา แม้แต่การเสิร์ฟอาหารในกองก็แบ่งแยก แต่ในการทำธุรกิจเรากลับได้ดูแลคนอื่น ทำให้ดาเป็นเหมือนน้ำที่อยู่ในแก้วแบบไหนก็ได้ และได้เรียนรู้ว่า คำว่า “คน” มันก็เท่านั้น ไม่ว่าจะสูงต่ำดำขาวทุกคนก็เท่าเทียมกัน
ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบยุ่งกับคนอื่น เมื่อมาทำธุรกิจดาจึงต้องใช้เวลาในการปรับตัวค่อนข้างมาก เมื่อก่อนไม่กล้าออกจากห้องทำงานมาทักทายลูกค้าในร้าน เวลาจะเดินเข้าห้องน้ำ จะคิดแล้วคิดอีกเพราะต้องผ่านห้องที่ลูกค้านั่งอยู่ ผ่านไปกว่า 2 ปี ดาถึงจะกล้าเดินออกมายกมือไหว้สวัสดีลูกค้า ดาคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันจัดสรรมาแล้วเพื่อจะฝึกฝนใจของเรา
นอกจากนั้นเรื่องใหญ่อีกเรื่องในการทำธุรกิจคือ การบริหารจัดการคน ซึ่งดาต้องเรียนรู้จากของจริง จากปัญหาที่เกิดขึ้นช่วงแรกๆ ที่ผู้จัดการร้านลาออก ดาก็วิตกกังวล พอมาถึงวันนี้ที่เราเข้ามาจัดการปัญหาด้วยตัวเองทุกอย่าง ฝึกทำเองทุกอย่าง ถึงได้เรียนรู้ว่า จริง ๆ แล้วเราสามารถยืนด้วยขาของตัวเองได้ ตอนนี้ดาจึงเป็นทั้งเจ้าของและผู้จัดการร้าน และได้เรียนรู้เรื่องคนว่าเราคงต้องปลง เพราะคนเราเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตามเหตุปัจจัย เราไม่สามารถยึดใครไว้กับเราได้ตลอดไป ใครจะมาหรือจะไปจึงเป็นเรื่องธรรมดา
สมมุติว่าชีวิตพบเจออุปสรรค
หลายคนคงทราบเรื่องราวฟ้องร้องของดาที่ลงข่าวหน้าหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน นั่นคือเรื่องราวที่ทุกข์มากที่สุดแล้ว ณ ตอนนั้น เพราะดาเป็นคนรักษาภาพลักษณ์ตัวเองดีมาตลอด ข่าวกับผู้ชายก็ยังไม่มีเลย ในวันนั้นที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น ดายังตั้งรับไม่ทัน จึงรู้สึกเสียใจมาก ก่อนหน้านี้เรื่องราวของดาก็เคยขึ้นหน้าหนึ่งมาแล้ว ช่วงที่เปิดบริษัทใหม่ๆ ช่างรับเหมาไปยื่นฟ้องศาลว่า ดาไม่จ่ายค่าตกแต่ง ทั้งที่ความจริงเขาเก็บงานยังไม่เสร็จ ดาจึงยังไม่จ่ายเงินที่เหลืออีก 10 เปอร์เซ็นต์ มาวันนี้ดาเคยคิดเล่นๆ ฮาๆ ว่า “ได้ขึ้นหน้าหนึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะ แต่ชฎาพรขึ้นหน้าหนึ่งหลายรอบมาก (หัวเราะ) ตั้งแต่วันที่ทำธุรกิจวันแรกเลย”
สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ดารู้สึกเหมือนได้เห็นโลกของความเป็นจริงที่ไม่ได้สวยงามเสมอไป ที่ผ่านมาคนอาจมองว่าเราใจดี ธรรมะธัมโม หัวอ่อน ใครพูดอะไรก็เชื่อ ใครให้ทำอะไรก็ทำ จึงใช้จุดอ่อนนี้เข้ามาทำร้าย ดาไม่คิดว่ารอบตัวเราจะมีโจรอยู่หรือจะมีใครวางแผนการที่สลับซับซ้อนถึงขนาดนั้น ดาไม่เคยเจอเรื่องแย่ๆ มาก่อน พอมาเจอกับตัว รู้สึกเหมือนมีดาบมาผ่ากลางหัวยังไงยังงั้น
ดาคิดว่าตัวเองเป็นคนซื่อสัตย์มาก เป็นคนตรง ชอบความบริสุทธิ์ยุติธรรม แม้แต่บัตรเครดิตดายังไม่จ่ายช้าแม้แต่วันเดียว ชีวิตไม่เคยมีความด่างพร้อยในเรื่องนี้ วันหนึ่งเมื่อมาเจอเครดิตบูโร มันเหมือนตรามาประทับที่หน้าผากว่า “เธอเป็นคนไม่ดี” ด้วยเหตุนี้ดาจึงรู้สึกทุกข์มาก แต่พอทุกข์จนถึงที่สุดมันก็เกิดปัญญา
วันหนึ่งดาทุกข์ใจมากถึงขนาดขับรถไปร้องไห้ไป ร้องแล้วร้องอีก ร้องจนไม่มีน้ำตาจะร้อง แล้วจู่ๆ มันก็เกิดความคิดปิ๊งแวบว่า “โอ…สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเครดิตบูโรหรือชีวิตใครจะติดลบ ล้มละลาย หรืออะไรที่ว่าแย่ มันก็คือสิ่งสมมุติทั้งนั้นเลย เรามายึดไว้ทำไม ดวงจิตของเราเท่านั้นที่จะไปใส หรือไปขุ่น”
พอคิดได้อย่างนั้นเหมือนความรู้สึกทุกข์ที่กัดกินใจดามัน “โพละ!!!” หลุดออกไปเลย ใจมันโล่งสบาย ว่างอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่วันนั้นดาก็เลือกเส้นทางให้ตัวเองว่า ต่อไปนี้ชีวิตเราจะ “ไปใส” เมื่อเรามั่นใจในคุณงามความดีของเรา จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่าง เราจะไม่ไปพิพากษาใครเพราะใครทำอะไรย่อมรู้ตัวเองดี เรามีหน้าที่รอดูผลของกรรมเท่านั้น
“ถ้าไม่เห็นทุกข์ ก็ไม่เห็นธรรม” เป็นคำพูดที่หลายคนอาจรู้ซึ้งดี…
หลังจากผ่านคดีความในวันนั้น ด้วยคำตัดสินพิพากษาให้เป็นฝ่ายชนะ ดาก็ย้อนกลับไปมองตัวเองอีกครั้ง และได้เห็นว่า แม้จะปฏิบัติธรรมมาก่อนหน้าเหตุการณ์นั้นตั้งนาน แต่เมื่อมาเจอของจริงดากลับหยิบจับใจตัวเองไม่ทัน พอใจเสียทุกอย่างก็ดิ่งลงเหวแบบฉับพลัน
จิตที่มุ่งไปทางธรรม
แม้ว่าตั้งแต่เด็กๆ มาแล้วที่บ้านของดาจะชอบทำบุญตักบาตร แต่กลับไม่มีใครสนใจเรื่องปฏิบัติธรรม ชีวิตของดาเรียบๆ ง่ายๆ บ้านอยู่ริมคลองตลิ่งชัน มีพระพายเรือมาบิณฑบาต บรรยากาศสงบเงียบ เพื่อนบ้านก็รู้จักกัน มีความจริงใจให้กัน แกงหม้อหนึ่งก็พายเรือแจกกันได้หลายบ้าน พอวันหนึ่งดาเข้ามาใช้ชีวิตในเมือง ได้เป็นนักแสดง เลยติดนิสัยชอบอยู่แบบเงียบๆ ไม่ชอบยุ่งกับใครมากนัก
โชคดีที่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย รุ่นพี่ชวนให้ไปปฏิบัติธรรมกับเขา ลองนึกภาพนักศึกษาปี 1 ที่ต้องดั้นด้นขึ้นไปบนภูเขาแล้วนุ่งขาวห่มขาวอยู่ในวัดต่างจังหวัดดูนะคะ จำได้ว่าเป็นวัดที่ไกลมาก พ่อกับแม่ต้องไปส่ง ทั้งที่ปกติพ่อไม่ค่อยอนุญาตให้ไปเที่ยวที่ไหน ถ้าจะไปค้างบ้านเพื่อนก็ต้องขออนุญาต แต่สำหรับการไปปฏิบัติธรรมพ่อกับแม่ยินดีไปส่ง
หลังจากปฏิบัติธรรมครั้งแรกจำได้ว่า เมื่อกลับออกมาแล้วรู้สึกว่าจิตใจสบาย รู้สึกดีกับการปฏิบัติธรรม ทำให้ยิ่งอยากไปอยู่เรื่อยๆ เมื่อมีเวลา ดาก็เลือกหนทางนี้โดยอัตโนมัติ ไปปฏิบัติธรรมตามสถานที่ต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นวัดในต่างจังหวัดที่เน้นความเป็นอยู่ที่สมถะ ที่หรูที่สุดในชีวิตก็คือที่ยุวพุทธฯ ค่ะ เพราะมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในโรงแรม นอกนั้นก็เป็นวัดที่ต้องกินข้าวในขัน ใส่ทุกอย่างทั้งคาวหวานลงไป
จริงๆ แล้วเรื่องกินไม่ใช่เรื่องยากสำหรับดา เพราะดาไม่ค่อยยึดติดกับอาหารอยู่แล้ว อาหารจะหน้าตาเป็นอย่างไรไม่ว่าขอให้สะอาดเท่านั้น เพราะดาเติบโตมากับกองถ่ายตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นคุณหนู กินอะไรก็ได้ง่ายๆ ตอนไปปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธฯ วิทยากรเชิญดาออกไปพูดแสดงความรู้สึก ลองนึกถึงคนที่ไม่ชอบยุ่งกับใครไม่ชอบพูดต่อหน้าคนเยอะๆ แต่ถูกเรียกให้ไปพูดทุกครั้งที่ไปปฏิบัติธรรม ดายอมรับเลยว่าเครียดมาก พยายามนั่งหลับตาภาวนาว่า “อย่าเรียกนะ ๆ…ไม่อยากออกไปเลย ไม่รู้จะพูดอะไร”
แต่สุดท้ายเหมือนมีพลังดึงดูดจากทุกคนในสถานที่นั้น จนทำให้ต้องเรียกชื่อดาไปพูด ดาอยากจะหลบ หนีไปเข้าห้องน้ำ แต่ก็ทำไม่ได้ เมื่อจวนตัว ไม่รู้จะทำอย่างไร เลยคิดว่า พูดไปตามความรู้สึกจริงๆ ของเราก็แล้วกัน
หลายคนที่ออกไปพูดมักจะเล่าถึงความมหัศจรรย์ที่ได้จากการปฏิบัติธรรม บางคนบอกว่ารู้สึกเหมือนตัวขาดไปครึ่งหนึ่ง บางคนก็เล่าว่ารู้สึกเหมือนเห็นร่างกายข้างในตับไตไส้พุง แต่ดาไม่ได้พบเจอปาฏิหาริย์อะไร แค่มีสติในช่วงที่กินข้าว เวลาเดินขวาซ้ายไม่หลุดก็ดีมากแล้ว
สุดท้ายเมื่อจำเป็นต้องพูด ดาก็เลยเล่าไปตามความจริงว่า วันแรกๆ อยากกลับบ้านเพราะรู้สึกไม่สบายตัว ต้องนอนรวมกับคนอื่น หลับก็ไม่สนิท แต่พอวันท้ายๆ ของการปฏิบัติก็รู้สึกสงบ และเพราะความสงบนี่แหละที่ทำให้ดาอยากไปปฏิบัติธรรมอยู่เรื่อยๆ
ชีวิตวันนี้พร้อมตาย
ทุกวันนี้ด้วยเห็นข้อดีของการปฏิบัติธรรม ดาจึงส่งลูกน้องไปปฏิบัติธรรมโดยไม่ถือเป็นวันลา เพราะดาคิดว่า บางคนจิตใจดี แต่สิ่งแวดล้อมทำให้เขาเป็นอย่างที่เห็น ฉะนั้นถ้าไม่ใช่คนเลวร้ายมาก ดาก็จะส่งไปปฏิบัติธรรม กลับมาแล้วหลายคนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น การไปปฏิบัติธรรมจึงกลายเป็นหนทางหนึ่งในการดูแลลูกน้องของดา ดาคิดว่า ต่อให้เขาอยู่กับเรานานแค่ไหนก็ตาม แต่นี่คือบุญที่เราจะให้กับเขาได้ และเขาจะได้นำติดตัวไปใช้ในที่อื่นๆ ที่เขาทำงานต่อไปด้วย ดาคิดว่า คนเรา อาหารกายเราอาจจะหาให้กันได้ แต่อาหารใจต้องให้เขาหาด้วยตัวเอง
หลังจากผ่านคดีความที่คนใกล้ตัวฉ้อโกงในวันนั้น จิตใจของดาเข้มแข็งขึ้นมาก เหมือนได้ต่อเติมประสบการณ์ชีวิตไปถึงปริญญาโทปริญญาเอก มุมมองความคิดหลายอย่างเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทิ้งหลายสิ่งหลายอย่างที่คิดว่าไร้สาระออกไป เมื่อไหร่ก็ตามที่ทำอะไรแล้วไม่มีความสุข คิดว่าไม่ใช่ก็จะไม่เสียเวลากับมันนาน
ทุกวันนี้ดาพร้อมตาย พร้อมจะจากไปเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลใจ ที่ทำอยู่คือการรับผิดชอบวันต่อวันให้ดีที่สุด รับงานไว้แล้วก็ทำให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง แต่จะไม่มายึดว่านี่บ้านฉัน รถฉัน ไม่มีอีกแล้ว พร้อมที่จะทิ้งทั้งหมด
ช่วงหลังมานี้ดาไม่ได้ไปปฏิบัติธรรมที่ไหน แต่อาศัยฟังธรรมะจากซีดีของหลวงพ่อชา สุภัทโท ดาจะวนฟังรอบแล้วรอบเล่า จนแทบจะขึ้นประโยคใหม่ได้เลยว่าท่านจะพูดอะไร ดาฟังในรถไปเรื่อยๆ วันนี้เรื่องนี้อาจฟังแล้วไม่เข้าสมอง แต่อีกวันเราก็เริ่มเข้าใจ พยายามเก็บไปเรื่อยๆ ทำให้รู้ว่าเราไม่ต้องไปปฏิบัติธรรมที่ไหนไกล อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ จะกิน เดิน นอนนั่งก็ปฏิบัติไป
ตอนเช้าถ้าไม่รีบจนเกินไป ดาก็จะสวดมนต์แผ่เมตตาให้กับทุกคน ขออโหสิกรรมให้กันทุกฝ่าย ทั้งที่จงใจไม่จงใจ และที่ขาดไม่ได้คือ ก่อนออกจากบ้าน ดาจะเหลียวกลับไปมองทุกครั้งว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือยัง เพราะดาคิดว่าอาจจะมีวันหนึ่งที่เราไม่ได้กลับ และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่างน้อยเราก็จะมั่นใจว่าไม่ได้ทิ้งอะไรให้เป็นภาระของคนอื่น เมื่อเราจัดสรรทุกสิ่งทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ใครมาดูแลต่อจะได้ไม่เหนื่อย เพราะคงมีสักวันที่เราไม่ได้กลับมาแน่ ๆ แต่วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่เราไม่รู้
ดาอยากจากโลกนี้ไปแบบจิตใสๆ ไม่อยากจากไปด้วยจิตที่ขุ่นมัว ดังนั้นจึงเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา พยายามให้จิตอยู่กับปัจจุบัน มีสติกับลมหายใจเข้า-ออก เดินก็นับก้าว หยิบจับของก็พยายามมีสติรู้ตัว ใช้หลักเจริญสติของยุวพุทธฯ ในชีวิตประจำวันเสมอๆ
เพื่อว่า…หากวันนั้นมาถึง เราจะได้จากไปด้วยจิตใส ๆ อย่างที่ตั้งใจไว้ค่ะ
บทความน่าสนใจ
5 วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้คุณ สมหวังในความรัก
“รักษากาย วาจา ใจ” เคล็ดลับการใช้ชีวิตของ หน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์
แม้ชีวิตต้องพบแต่ ความสูญเสีย แต่หัวใจไม่ยอมเสียศูนย์
ทำอย่างไรเมื่อ ความรัก พาเรามาผิดทาง อุทาหรณ์จากสตรีสมัยพุทธกาล