“ทุกลมหายใจนี้เพื่อลูก” หมู พิมพ์ผกา เสียงสมบุญ (1)
ถ้าจะถามว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิต… หมู พิมพ์ผกา เสียงสมบุญ คิดว่าเรื่องนั้นก็คือ การที่ตัวเองมีลูกชายน้องนาย (ณภัทร เสียงสมบุญ) คอยเคียงข้าง คอยเป็นคู่คิด เป็นกำลังใจให้ในทุกๆ เรื่อง
หมูมีความสุขที่ได้ดูเขาเจริญเติบโตขึ้นทุกวันๆ จากเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่นั่งมองแม่แต่งตัวหน้ากระจก เป็นเด็กชายที่เริ่มเล่นกีฬาสารพัดกับแม่ ทั้งปิงปอง ชกมวย จนกลายเป็นเด็กชายตัวสูงใหญ่ที่หลงใหลการเล่นกอล์ฟเป็นชีวิตจิตใจ
น้องนายรู้ว่าตัวเองชอบอะไร และมุ่งหน้าสู่ความฝันนั้นด้วยตัวเอง โดยมีแม่คอยสนับสนุนอยู่เคียงข้าง แม้กีฬาอย่างกอล์ฟจะค่อนข้างมีค่าใช้จ่ายสูง แต่หมูก็พยายามตัดใจ ทุ่มสุดตัวเท่าที่ตัวเองจะทำได้ และคาดว่าคนเป็นแม่ทุกคนก็คงไม่ต่างจากหมู ที่ต่อให้ตัวเองลำบากแค่ไหนก็ตาม ขอให้ลูกได้เป็นอย่างที่ฝันเท่านั้นเอง
วันนี้หมูภาคภูมิใจที่ลูกชายเป็นเด็กดี เชื่อฟัง และรู้ว่าแม่ลำบากแค่ไหนกว่าจะเลี้ยงเขามา หมูเล่าความจริงให้ลูกฟังทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องพ่อของเขาจนกระทั่งถึงเรื่องสถานภาพทางการเงินของครอบครัว เพราะหมูอยากให้ลูกอยู่กับโลกของความเป็นจริง ที่บางครั้งก็ไม่ได้สวยงามเสมอไป และอยากให้เขารู้ว่า แม่รักและไว้วางใจเขามากแค่ไหน เหมือนที่ครั้งหนึ่งคุณตาของเขาหรือที่หมูเรียกว่า “ป๊า”เคยปฏิบัติกับหมู
หมูรักป๊ามาก และด้วยความรักนี่เองที่ทำให้หมูไม่อยากทำให้ท่านต้องเสียใจด้วยเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น แต่บางสิ่งบางอย่างที่เราบังคับไม่ได้ก็เกิดขึ้น และเปลี่ยนแปลงชีวิตหมูนับแต่นั้น
สวย…ด้วยแรงอธิษฐาน
ป๊าเป็นคนจีน แต่หน้าตากลับคมๆ ผมหยิกๆ ช่วงที่ยังไม่ได้เปิดบ้านเป็นร้านตัดชุดวอร์ม ป๊าก็จะออกไปทำงานนอกบ้าน โดยฝากหมูไว้ให้คุณป้าช่วยเลี้ยง ส่วนแม่ หมูไม่เคยถามป๊าว่าแม่ไปไหน เพราะไม่อยากให้ท่านเสียใจ
ตอนเด็กๆ หมูหน้าตาขี้ริ้ว-ขี้เหร่มาก และโดนเพื่อนล้อเป็นประจำว่า “อีหยอย” หรือไม่ก็ “อีฝรั่งขี้นก” เพราะมีผมหยิกหยอยติดหนังศีรษะ แม้แต่มดถ้าหลงเข้าไปคงหาทางออกไม่เจอเลยทีเดียว
หมูก็รู้ตัวเองดีว่าขี้เหร่ ดังนั้นทุกๆ เช้าที่คุณป้าให้หมูช่วยทำบุญตักบาตรพระที่หน้าบ้าน หมูก็จะอธิษฐานอยู่ในใจระหว่างที่ตักบาตรว่า “โตขึ้นขอให้หนูสวย…โตขึ้นขอให้หนูสวย” อย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน
ใครที่ได้เห็นรูปวัยเด็กของหมูต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ใช่หมูจริงๆ เหรอ” หมูไม่ทราบว่าด้วยแรงอธิษฐานในวัยเด็กหรือเป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามวัย แต่หมูขอใช้คำว่าปัจจุบันนี้หมูหน้าตาดีกว่าตอนเป็นเด็กมาก แม้ว่าจะยังมีผมหยิกเป็นลอน และปากกว้างก็ตามที แต่ก็หน้าตาดูดีกว่าตอนเป็นเด็กเยอะ มิหนำซ้ำบางคนยังเคยคิดว่าหมูเป็นลูกครึ่งด้วยซ้ำ แต่ความจริงมีเชื้อสายจีนอย่างที่เล่า
และไม่น่าเชื่อว่าทุกวันนี้ทรงผมของหมูได้กลายเป็นต้นแบบของทรงผมที่ใครหลายคนอยากเลียนแบบ เพราะหมูเคยได้ยินมาว่ามีคนไปร้านตัดผมแล้วขอให้ช่างตัดผม “ทรงหมู – พิมพ์ผกา”…ฟังแล้วก็ปลื้มใจค่ะ อย่างน้อยๆ ปมด้อยของเราก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร แถมยังกลายเป็นเอกลักษณ์ของเรามาจนถึงทุกวันนี้
ดัง…แล้วไม่ฟังใคร
ความจริงตอนเด็กๆ หมูชอบเล่นกีฬามาก โดยเฉพาะวอลเลย์บอลและด้วยความที่ชอบเล่นกีฬานี่เองทำให้หมูสูงยาวเข่าดี ประกอบกับผิวขาวสวย เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นจึงมีคนชักชวนให้ประกวดนางงาม
ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็ก เขาให้เราทำอะไรก็ทำ จำได้ว่าพี่ที่เป็นสาวประเภทสองจับหมูใส่ส้นสูง แต่งตัวชุดนั้นชุดนี้เหมือนเล่นตุ๊กตาแล้วพาไปประกวด Miss International ที่พัทยา ก็ติด 1 ใน 10 ได้เงินมานิดๆ หน่อยๆ แค่นั้นก็ดีใจแล้ว ใจหมูคิดอยากหาเงินได้ด้วยตัวเองเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าตัวเองสวยเด่นอะไรเลย ที่สำคัญป๊าก็ไม่สนับสนุนให้ลูกสาวประกวดอะไรแบบนี้ด้วย รวมทั้งเรื่องการเรียน ป๊าก็ไม่ให้หมูเรียนต่อ หลังจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้ว ป๊าให้มาช่วยงานตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านซึ่งเปิดเป็นร้านตัดชุดวอร์ม แต่ทำไปได้ไม่เท่าไหร่ หมูก็รู้ตัวว่าไม่ชอบงานนี้เลย ถึงขนาดทำไปร้องไห้ไป ตอนหลังเพื่อนมาชวนไปทำงานนอกบ้าน หมูจึงขออนุญาตป๊าไป หมูทำทุกอย่างตั้งแต่ขายหนังสือพิมพ์ เป็นลูกจ้างในโรงงานทำพัดลม และพนักงานต้อนรับในร้านอาหาร พยายามเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์เพื่อจะได้เรียนต่อในระดับ ปวช.
ช่วงที่เรียนอยู่นี่เอง เพื่อนที่เรียนด้วยกันก็ชักชวนไปสมัครมิสไทยแลนด์เวิร์ลด์ เรื่องได้ตำแหน่งหรือไม่ได้ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับหมู เพราะสนใจแต่เรื่องรางวัลที่ได้รับอย่างเดียวเท่านั้น จึงถามคนที่รับสมัครว่าตกรอบได้เงินเท่าไหร่ เขาบอกว่ามีตั้งแต่ 3,000, 5,000 จนกระทั่งหลักหมื่น แล้วแต่ว่าผ่านไปรอบไหน และโชคดีที่ปีนั้นในการเข้าประกวดไม่ต้องมีสายสะพาย ไม่ต้องมีสปอนเซอร์ หมูจึงเข้าประกวดได้ง่ายๆ ด้วยความที่คิดว่าเราคงไม่ได้เป็นนางงามเวทีนี้แน่ๆ หมูก็เลยทำทุกอย่างด้วยความสบายใจ เพราะคิดว่าไม่มีอะไรจะเสีย อย่างน้อยขอให้ได้เงินจากการประกวดนิดๆ หน่อยๆ ก็พอใจแล้ว บางครั้งจึงโพสท่าแปลกๆขำๆ บนเวที แต่กลับถูกใจกรรมการ จนสามารถเข้าไปถึงรอบ 3 คนสุดท้าย และในที่สุดหมูก็ได้รับตำแหน่งรองมิสไทยแลนด์เวิร์ลด์อันดับสองในปีที่คุณกบ – ปภัสรา เตชะไพบูลย์ ได้รับตำแหน่งมิสไทยแลนด์เวิร์ลด์
หลังจากได้รับเงินจากการประกวดมา หมูก็นำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย และคิดว่าจากนี้ไปจะก้าวเข้าสู่วงการดารา แต่ความจริงไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะอยู่บนเวทีเราอาจจะสวย แต่พอลงจากเวทีหมูคิดว่าเราก็ขี้เหร่เหมือนเดิม หน้าตาไม่ได้อินเทรนด์อะไร งานการที่คิดว่าจะได้จึงไม่มี แต่กลับต้องขวนขวายด้วยตัวเอง เริ่มจากการไปสมัครเล่นละครเวทีที่โรงละครมณเฑียรทองโรงแรมมณเฑียร โดยไม่บอกให้เขาทราบว่าเคยประกวดนางงามมาก่อนเพราะกลัวเขาไม่เชื่อ
หมูเล่นละครเวทีอยู่ประมาณ 2 ปีจึงเริ่มเล่นละครทีวีเรื่องแรกเรื่อง บ่วง ต้องรับบทเป็นผีที่นั่งอยู่บนขื่อ แม้บทดูจะโหดไปหน่อยแต่อย่างน้อยๆ คิดว่าได้แสดงฝีมือ แล้วหลังจากนั้นก็เล่นเรื่อง เคหาสน์ดาว เป็น “แสนเสน่ห์” หญิงสาวแสนสวย สุดเซ็กซี่ ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้หมูกลายเป็นดาราที่ผู้คนรู้จักทั่วบ้านทั่วเมือง คราวนี้งานต่างๆ ก็หลั่งไหลกันมาไม่ขาดสาย ทั้งถ่ายแบบ พิธีกร เรียกได้ว่าดังไม่แพ้ชมพู่ – อารยา เอ ฮาร์เก็ต ในปัจจุบันเลยทีเดียว
ความที่คิดว่าตัวเองเป็นดาราดัง มีงาน มีเงิน บวกกับความมั่นใจในตัวเองที่มีมาแต่ไหนแต่ไร ทำให้หมูคิดว่า “ฉันเก่ง ฉันเจ๋ง ฉันทำได้” จึงไม่ยอมฟังเสียงทัดทานของใคร แม้กระทั่งพ่อของตัวเองและทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองทุกข์ที่สุดในชีวิตก็ว่าได้
หมูตัดสินใจทิ้งงานในวงการบันเทิงเพื่อที่จะแต่งงานกับผู้ชายที่ทั้งพ่อและเพื่อนห้ามปราม แต่หลังจากแต่งงานได้เพียง 3 เดือน ความมั่นใจของหมูก็หดหาย ชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ต้องเผชิญกับเรื่องราวการฟ้องร้องเพื่อให้ได้ลูกมาอยู่กับตัวเอง โดนสารพัดสารเพ จนเมื่อคิดย้อนกลับไปแล้วยังถามตัวเองว่า “นี่ฉันผ่านมาได้ยังไงกันนะ”…
(โปรดติดตามตอนต่อไป) “ทุกลมหายใจนี้เพื่อลูก” หมู พิมพ์ผกา เสียงสมบุญ (จบ)
ที่มา: นิตยสาร Secret