หัวใจนักสู้ของผู้ชาย “ตัวเล็ก” – เรื่องจริงของชาย พิการ ใจสู้
แม้ร่างกายจะพิการ มีแขนข้างเดียว มีนิ้วมือเพียง 4 นิ้ว ช่วงขาผิดรูป และขาซ้ายสั้นกว่าขาขวา แต่ความ พิการ เหล่านี้ไม่ใช่อุปสรรคของตัวเล็ก - โชคชัย บุญมาพึ่ง
แม้ร่างกายจะพิการ มีแขนข้างเดียว มีนิ้วมือเพียง 4 นิ้ว ช่วงขาผิดรูป และขาซ้ายสั้นกว่าขาขวา แต่ความพิการเหล่านี้ไม่ใช่อุปสรรคของตัวเล็ก - โชคชัย บุญมาพึ่ง
ผมเกิดที่โรงพยาบาลบางมด ก่อนคลอดแม่ตกเลือดมากและผมไม่ยอมกลับหัว ทำให้หมอต้องพยายามทำคลอดผมโดยเอาขาออกมา การคลอดลักษณะนี้ทั้งแม่และเด็กมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก แต่แม่ก็อดทนและคลอดผมออกมาจนสำเร็จ แต่แล้วหมอก็พบว่าร่างกายของผมผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นผลกระทบจากการฉีดยาแก้ไข้ระหว่างการตั้งครรภ์ หมอจึงถามแม่ว่าต้องการให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อหรือไม่
นั่นเป็นการตัดสินใจที่ไม่ยากเลยสำหรับคนเป็นแม่ ในที่สุดแม่ก็เลือกให้ผมได้มีโอกาสลืมตาขึ้นมา
หลังจากคลอดผมไม่นาน ครอบครัวเราก็ย้ายจากกรุงเทพฯไปอยู่ขอนแก่น แม้บ้านเราค่อนข้างยากจน แต่แม่ก็ดูแลผมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และพยายามสอนให้ผมต่อสู้ชีวิต
เมื่อโตพอรู้เรื่อง ผมเริ่มรับรู้ว่าร่างกายไม่เหมือนคนอื่น ผมอายจนไม่อยากออกจากบ้านและกลัวตัวเองจนไม่กล้ามองกระจกกระทั่งเคยถามตัวเองว่า “เกิดมาทำไม เกิดมาแล้วไม่ครบ น่าจะไปเกิดใหม่เสียดีกว่า”แต่ท่ามกลางความรู้สึกน้อยใจในโชคชะตาผมยังโชคดีที่มีแม่คอยให้กำลังใจ
แม่สอนเสมอว่าแม้เราจะต่างจากคนอื่นแต่ต้องใช้ชีวิตในสังคมต่อไปให้ได้ เรายังต้องออกไปข้างนอก ไปเรียนหนังสือ ทำงานและต้องก้าวต่อไปอย่างคนปกติ แม่พยายามสอนให้ผมช่วยเหลือตัวเอง ไปไหนมาไหนเอง ตอนนั้นผมยังเดินไม่ได้ แม่จึงนำไม้กระดานมาติดล้อแล้วให้ผมนอนลงบนนั้น ใช้เป็นพาหนะเพื่อคลานก่อนจะออกไปเล่นกับเด็กคนอื่น ๆแต่พอพวกเขาเห็นผมต่างก็ตกใจ บางคนถึงกับวิ่งหนี เพราะคิดว่าผมเป็นตัวประหลาด บางครั้งก็แกล้งถีบผมตกไม้กระดาน ผมร้องไห้กลับบ้านแทบทุกวัน
พอถึงวัยเรียน ผมเข้าโรงเรียนเหมือนเพื่อน ๆ ไม่ได้ เพราะไม่มีโรงเรียนไหนรับเด็กพิการ ผมจึงได้แค่เข้าไปเล่น ไป “ดู” เขาเรียนหนังสือ ช่วงนั้นแม่กลายมาเป็นครูสอนอ่านและสอนคิดเลขให้ผมที่บ้าน แต่อย่างไรเสียผมก็ยังอยากเข้าโรงเรียนเหมือนคนอื่น แม่จึงพยายามหาที่เรียนให้ ไม่นานก็ทราบจากมูลนิธิเพื่อเด็กพิการว่ามีโรงเรียนประจำแห่งหนึ่งเปิดรับเด็กพิการทางร่างกายชื่อโรงเรียนศรีสังวาลย์ขอนแก่น แม่จึงพาผมไปอยู่ที่นั่น
ต่อมาพ่อกับแม่แยกทางกัน แม่ต้องย้ายจากขอนแก่นไปทำงานเป็นลูกจ้างร้านโชห่วยที่กรุงเทพฯ เพื่อหาเงินส่งเสียให้ผมเรียนหนังสือ แม่ทำงานหนักทุกวัน เลิกงานสองสามทุ่ม โดยมีรายได้เพียงวันละ 250 บาทเท่านั้น แต่แม่ก็ยังหาเวลามาแวะเยี่ยมผมทุก ๆ ปิดเทอม
ผมไปโรงเรียนประจำตอนอายุได้เพียง 8 ขวบ ซึ่งถือว่ายังเด็กมากสำหรับการจากอ้อมอกแม่ ตอนแรกผมไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่แม่สอนว่าการศึกษาเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้อยู่ในสังคมได้ ถ้าไม่เรียนเราก็ไม่มีอนาคต ผมจึงจำใจต้องอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดคือ เมื่อได้เจอเพื่อนนักเรียนคนอื่น ๆ ในโรงเรียน บางคนนั่งวีลแชร์ บางคนขยับเขยื้อนตัวแทบไม่ได้ นั่นทำให้ผมรู้ว่าคนที่เป็นหนักกว่าเราเขายังอยู่ได้ เราก็ต้องอยู่ให้ได้เช่นกัน
การเข้าโรงเรียนทำให้การใช้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป เมื่อก่อนผมเคยเดิน 3 ขา คือใช้มือพยุงร่างกายไปด้วยขณะเดิน แต่ครูเห็นว่าการเดินเช่นนั้นทำให้บุคลิกไม่ดีและอาจทำให้กระดูกหลังงอในอนาคต จึงฝึกให้ผมเดิน 2 ขา โดยผมต้องเดินเดาะลูกบอลเพื่อฝึกการทรงตัว ช่วงแรกผมหงุดหงิดมาก เพราะคิดว่าเดิน 3 ขาก็สะดวกดีอยู่แล้วจึงแอบเดินแบบเดิมอยู่บ่อย ๆ แต่พอครูมาเจอทีไรก็โดนตีทุกที ผมจึงต้องพยายามฝึกเดินตามครูสอนอยู่ราว ๆ 2 ปี จนในที่สุดผมก็เดิน 2 ขาได้สำเร็จ
เมื่อจบชั้นมัธยมต้น ขณะที่เพื่อนส่วนใหญ่เลือกเรียนต่อสายอาชีพ แต่ผมอยากเรียนรู้วิธีการผลิตรายการโทรทัศน์จึงเลือกสอบเข้ามัธยมปลายที่โรงเรียนขามแก่นนคร ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เปิดรับนักเรียนพิการ
ถึงจะสอบเข้าไปเรียนได้ แต่ไม่วายเกิดปัญหาตามมา เนื่องจากห้องเรียนของผมอยู่ชั้น 5 ครูเห็นว่าน่าจะขึ้น - ลงลำบาก จึงเสนอให้ผมลงมาเรียนชั้นล่าง ปรากฏว่าห้องนั้นเป็นห้องที่เด็กส่วนใหญ่ค่อนข้างเกเรไม่สนใจเรียน และมักโดดเรียนยกห้องอยู่เสมอ ผมจึงไม่ได้เรียนอย่างเต็มที่นักแต่มันยังไม่หนักเท่าเพื่อน ๆ รุมแกล้งผมเป็นประจำ เหตุการณ์ที่หนักที่สุดคือ เพื่อนในห้องนำประทัดมายัดใส่ไว้ใต้โต๊ะพร้อมจุดไฟ ผมตกใจมาก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ตอนนั้นคิดแค่ว่าไม่อยากเรียนต่ออีกแล้ว แต่แม่บอกให้ผมอดทนเรียนให้จบเทอมแล้วค่อยหาทางย้าย
หลังผ่านไปหนึ่งเทอม แม่ก็ทำเรื่องย้ายผมไปเรียนต่อที่โรงเรียนสตรีสมุทรปราการ ปกติแล้วโรงเรียนจะไม่รับนักเรียนพิการ แต่เปิดโอกาสให้ผมเป็นกรณีพิเศษ โดยกำหนดว่าผมต้องสอบเข้าด้วยเกณฑ์ของนักเรียนปกติ ผมจึงต้องพยายามอย่างเต็มที่จนสอบเข้าได้สำเร็จ
ช่วงแรกผมยังปรับตัวไม่ได้ทั้งเรื่องการเดินทางที่ค่อนข้างลำบาก ต้องขึ้นรถสองแถว ต่อรถประจำทาง และรูปแบบการเรียนที่เปลี่ยนไป ต้องเปลี่ยนห้องเรียนไปเรื่อย ๆ ตามวิชาต่าง ๆ ทำให้ต้องขึ้น - ลงบันไดทั้งวัน รวมทั้งความที่โรงเรียนยังไม่เคยรับนักเรียนพิการมาก่อน ผมจึงกลายเป็นนักเรียนพิการเพียงคนเดียวในโรงเรียน และแทบไม่รู้จักใครเลย ผมทั้งเหนื่อยและท้อจนกลับมาร้องไห้ที่บ้านทุกวัน แต่ก็พยายามให้กำลังใจตัวเองอยู่เสมอ
ทุกครั้งผมจะถามตัวเองว่า “เราทำเพื่อใคร” แล้วก็ได้คำตอบว่า “ตัวเอง” เพราะผมเรียนเพื่อให้ตัวเองมีความรู้ มีงานทำและมีอนาคต และเมื่อถามตัวเองต่อว่า “ใครทำเพื่อเรา” คำตอบคือ “แม่” เพราะแม่ยอมลำบากมาตลอดเพื่ออนาคตของผมการคิดเช่นนี้ทำให้ผมมีกำลังใจสู้มากขึ้น และเรียนรู้วิธีปรับตัวกับเข้าสังคมใหม่ ๆ
พอขึ้น ม. 6 ผมเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยอย่างเต็มที่ ตลอดระยะเวลา 5 เดือน ผมตั้งใจอ่านหนังสือทุกวัน เพราะผมไม่มีเงินไปเรียนพิเศษเหมือนคนอื่น ๆ บางครั้งก็ยืมหนังสือเพื่อนมาถ่ายเอกสาร ตอนนั้นผมมุ่งมั่นมาก เพราะคิดว่าถ้าไม่ทำ ตอนนี้เราก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว
ความพยายามไม่ทำให้ผมผิดหวัง ผมสอบเข้าคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในโครงการนักศึกษาพิการได้สำเร็จ ผมดีใจมาก ไม่คิดว่าตัวเองจะมีวันนี้ แม่ผมก็ดีใจไม่แพ้กัน แม้ในช่วงแรกผมยังต้องปรับตัวกับการอยู่หอ เรียนรู้วิธีเดินทางและการเรียนการสอนในระบบมหาวิทยาลัย แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี จากนั้นผมเริ่มเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยเพื่อเก็บเกี่ยวเป็นประสบการณ์ชีวิต ผมชอบทำกิจกรรมมาก เคยแม้กระทั่งเป็นการ์ดงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ - ธรรมศาสตร์ทำหน้าที่กันคนไม่ให้เข้าสนาม ประสบการณ์ครั้งนั้นทั้งสนุกและมีค่ามาก
แต่แล้วชีวิตกลับพลิกผันอีกครั้ง ในช่วงที่ผมกำลังจะขึ้นปี 3 เนื่องจากผมชอบร่วมกิจกรรม แต่จัดสรรเวลาได้ไม่ดี ทำให้ผลการเรียนตกต่ำ จนมหาวิทยาลัยเสนอทางเลือกให้ 2 ทาง คือ “เรียนต่อ” โดยมีข้อแม้ว่าต้องสอบทุกวิชาใหม่ทั้งหมดให้ผ่านเกณฑ์หรือเลือกยอมแพ้และ “รีไทร์” ผมเสียใจมาก แต่พยายามคิดว่าเราต้องผ่านไปให้ได้ จึงกลับมาคิดทบทวนและให้กำลังใจตัวเองว่าเราทำสำเร็จมาขนาดนี้แล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องสู้ต่อ และต้องผ่านปัญหานี้ไปให้ได้
ผมเชื่อว่าไม่มีสิ่งไหนที่มนุษย์จะทำไม่ได้ เราเกิดมามีสมอง มีความคิดความอ่าน ถึงอย่างไรก็ไม่มีคำว่า “หมดหนทาง” ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราต้องมีสติ คิดอย่างรอบคอบ และอีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือกำลังใจจากคนที่เรารัก เมื่อไรที่เจอปัญหาจงหันไปหาคนคนนั้น เพื่อนำกำลังใจจากเขามาเป็นกำลังสู้ต่อไปทุกครั้งที่ผมรู้สึกเหนื่อยหรือท้อใจ คนแรกที่ผมจะเดินเข้าไปหาคือ “แม่” เพราะแม่เป็นทุกอย่างในชีวิต เป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ผมมีกำลังสู้ต่อ
ผมเลือกเรียนต่อ แม้จะต้องอ่านหนังสือหนักมาก แต่สามารถผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ตอนนี้ผมกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3 สาขาโฆษณาและทำงานพิเศษเป็นผู้ช่วยครีเอทีฟรายการโทรทัศน์ ในอนาคตผมฝันอยากเป็นโปรดิวเซอร์ผลิตโฆษณาออกมาให้ทุกคนได้ชมกัน
ผมเชื่อว่าจะมีวันนั้นอย่างแน่นอน
แง่คิดจากพระมหาวีระพันธุ์ ชุติปัญโญ (นามปากกา ชุติปัญโญ) วัดป่าอกาลิโก จังหวัดกาฬสินธุ์
แม้นเลือกเกิดได้ คนเราย่อมต้องการชีวิตที่สมบูรณ์แบบมากกว่าความบกพร่องแต่เมื่อชีวิตได้เกิดมาแล้ว แม้อาจไม่สมหวังดั่งใจปรารถนา เราผู้เป็นเจ้าของชีวิตก็ต้องเรียนรู้ที่จะรักชีวิตของตัวเองท่ามกลางความบกพร่องให้ได้
เพราะเมื่อใดที่เราจมอยู่กับความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง จนไม่ยอมเรียนรู้เพื่อปรับเปลี่ยนให้เกิดสิ่งดี ๆ เราก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้ว แต่เมื่อใดที่เรารู้จักปรับใจเพื่อมองหาสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่มากกว่าสิ่งร้าย ๆ ที่ปรากฏ พร้อมกับรู้จักรักตัวเอง สิ่งงดงามที่ซ่อนอยู่ภายในย่อมพร้อมจะเบ่งบาน เพื่อทดแทนความพร่องทางกายที่คนอื่นมองว่ามันคือ
ความไม่สมบูรณ์
ฉะนั้นสิ่งที่เราสามารถทดแทนความปรารถนาที่หายไปในชีวิต อาจไม่ใช่วัตถุเงินทอง หรือการยอมรับจากผู้อื่น แต่คือการรู้จักยอมรับตัวเอง โดยไม่ให้ความรู้สึกเปรียบเทียบมาเป็นตัวชี้วัดว่าเราเป็นคนด้อยกว่าใครอื่น เมื่อทำได้เช่นนี้ ก็จะมีชีวิตที่งดงามในแบบฉบับของเรา และรู้จักที่จะต่อยอดคุณค่าให้กลายเป็นชีวิตที่สูงค่าด้วยความดีแท้ได้ในสักวัน
เพราะแท้จริงแล้ว ความงามของชีวิตย่อมเกิดจากความรู้สึกและความเข้าใจที่เรามีต่อตัวเรา มิใช่อยู่ที่การให้คนอื่นมาตัดสินว่าชีวิตของเรานั้นเป็นเช่นใด
บทความน่าสนใจ
ฮาซาน กิซิล พ่อพระของสัตว์พิการ
เบทานี่ แฮมิลตัน แม้ความพิการก็ไม่อาจดับความฝัน
น้ำใจแม่ค้า เรื่องยิ้ม ๆ ของเจ๊หน่อย แม่ค้าใจบุญ
ก้อย รัชวิน ส่งต่อพลังใจแด่เมล็ดพันธุ์ล้านนา “เฮือนชมจันทร์” เชียงราย
น้องโอ เด็กดี ผู้มีมานะ ขายข้าวไข่เจียวเลี้ยงตนและน้อง สานฝันเรียนให้จบดั่งใจหวัง