U Drink I Drive (ยูดริงก์ ไอไดรฟ์) เป็นธุรกิจบริการคนขับรถชั้นนำของประเทศไทยที่มุ่งเน้นความปลอดภัยของผู้ใช้บริการเป็นหลัก ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากการทำวิทยานิพนธ์ของ คุณสิ – สิรโสมย์ บริสุทธิ์สุวรรณ์ ขณะกำลังเรียนปริญญาโท
“สิเรียนปริญญาโทที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจบต้องทำวิทยานิพนธ์ ช่วงนั้นประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตบนท้องถนนเป็นอันดับ 3 ของโลก สาเหตุส่วนใหญ่มาจากเมาแล้วขับ สิเองเคยเห็นธุรกิจในต่างประเทศที่เขาส่งคนขับรถไปขับให้คนที่ไม่สามารถขับรถได้ จึงคิดว่าถ้าเราศึกษารูปแบบธุรกิจนี้อย่างจริงจังซึ่งน่าจะดีกับประเทศไทยสำหรับคนไปดื่มไปเที่ยว หลังจากทำแบบสำรวจคนใกล้ตัวรวมถึงคนที่ไม่ได้รู้จักหน้าผับ เขาบอกว่าถ้ามีบริการแบบนี้เขายินดีจะใช้ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจ
“เมื่อตัดสินใจจะทำจริงจัง ไม่ได้กลัวว่ามันจะเจ๊งหรือเปล่า คิดว่าทุกอย่างคือการเรียนรู้ ถ้าล้มตอนอายุน้อยดีกว่าไปลองทำตอนอายุ 50 ที่มีภาระเยอะแล้ว”
ส่วน คุณปรางค์ – อภินรา ศรีกาญจนา เล่าถึงการเข้ามาเป็นหุ้นส่วนว่า
“หลังเรียนจบปริญญาโทจากประเทศอังกฤษ ปรางค์เคยทำงานกับบริษัทญี่ปุ่น จากนั้นก็ตัดสินใจเข้ามาศึกษางานที่บริษัทเอเชียประกันภัย ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวต่อมามีโอกาสได้คุยกับ U Drink I Drive ปรางค์สนใจธุรกิจนี้มาก เพราะเป็นธุรกิจที่รับผิดชอบสังคม จึงบอกสิว่าอยากทำให้ธุรกิจบริการนี้มีความแตกต่าง โดยการนำประกันภัยเข้ามารองรับการบริการ อยากให้ U Drink I Drive เป็นธุรกิจบริการคนขับรถชั้นนำของประเทศไทยและเป็นที่แรกในโลกที่ดูแลความปลอดภัยให้ลูกค้าอย่างครบวงจร จากนั้นก็นำไปเสนอคุณพ่อ คุณพ่อท่านบอกว่า ถ้าคิดว่าทำให้คนไทยรู้สึกว่าประกันเป็นเรื่องสนุกและกลายเป็นส่วนหนึ่งของความต้องการในชีวิตคนได้ก็ทำเลย ปรางค์จึงลองดู โดยจับมือกับทาง U Drink I Drive อย่างเป็นทางการ”
U Drink I Drive เป็นธุรกิจเกี่ยวกับความปลอดภัยที่คุณสิหาทางป้องกันไว้อย่างรอบคอบแทบทุกด้านแล้ว
“คิดไว้แต่แรกแล้วว่าต้องมีคำถามว่าจะปลอดภัยหรือให้ใครมาขับรถ แน่ใจได้อย่างไรว่าเขาจะไม่ขโมยรถเรา รู้ได้อย่างไรว่าเขาจะส่งถึงบ้าน คิดถี่ถ้วนเลย จนหาเทคโนโลยีเข้ามาแก้ปัญหาตรงนั้น โดยมีกล้องจีพีเอสติดไว้กับพนักงานกล้องตัวนี้จะระบุตำแหน่งของพนักงานและบันทึกภาพตลอดการเดินทาง เพื่อให้ผู้ที่มาใช้บริการมั่นใจ ถ้าต้องการความสบายใจขอพนักงานผู้หญิงมาขับรถให้ก็ได้เช่นกัน
“ส่วนลูกค้าที่กังวลว่าถ้าพนักงานของเราขับรถของเขาไปชน ทางบริษัทจะรับผิดชอบอย่างไร เรามีประกันจากเอเชียประกันภัยครอบคลุมตรงส่วนนี้ ทั้งรถของลูกค้า คนที่อยู่ในรถ และพนักงานของเราด้วย รวมไปถึงบุคคลที่ 3เช่น ขับรถไปชนคนข้ามถนน”
ดังนั้นการคัดเลือกคนที่จะมาเป็นพนักงานจึงคัดกรองกันอย่างเข้มข้น ซึ่งคุณปรางค์เล่าให้ฟังว่า
“เราสัมภาษณ์หลายด้าน เช่น ถ้าลูกค้าอาเจียนจะรังเกียจไหม บางคนที่มีทัศนคติและทักษะด้านบริการเขาสามารถตอบได้แบบชำนาญเลยว่า ต้องดูก่อนครับว่าลูกค้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงผมจะไม่แตะครับผมจะหาผ้าเย็นไว้ให้ หรือพยายามปลุกคุณผู้หญิงก่อน พอถามต่อไปว่า ถ้าเหม็นอ้วกจะทิ้งเขาหรือเปล่า บางคนตอบทันทีว่าไม่ทิ้งครับ จะรีบหาปั๊มให้ลูกค้า แล้วก็มีอีกหลายคำถามที่ต้องเจาะลึกลงไปเพื่อดูทัศนคติรวมถึงองค์ประกอบอื่น ๆ และเพื่อให้ได้คนที่มีประสิทธิภาพจริง ๆ เราเช็กประวัติอาชญากรรมกับตำรวจด้วย เมื่อเข้ามาเป็นพนักงานแล้ว เราจะฝึกวิธีพูด การดูแลลูกค้า และทุก ๆ อย่างที่เกี่ยวกับงานบริการเพื่อให้เป็นทักษะติดตัว”
คุณสิเสริมว่า
“สมมุติมาสัมภาษณ์ 100 คน อาจได้แค่ 5 คน หรือ 10 คน บางครั้งมาสัมภาษณ์ 50 คน ไม่ได้เลยสักคนก็มี เพราะเรายึดมาตรฐานในการรับคนค่อนข้างเคร่งครัด ไม่ใช่รับใครก็ได้การที่เรายึดมั่นในมาตรฐานของบริการทำให้ธุรกิจได้รับการตอบรับที่ดี เพราะสิ่งที่สิได้ยินจากลูกค้าคือ หาพนักงานขับรถแบบนี้มาจากที่ไหนหรือ มารยาทดีมาก สุภาพมาก ลูกค้าชอบ หลายครั้งที่เขาจะดึงตัวพนักงานของเราไปทำงานด้วย”
เนื่องจากพนักงานต้องดูแลคนอื่นอยู่เป็นนิจ ดังนั้นบริษัทต้องทำให้พนักงานมีความสุขกับการทำงานให้มากที่สุด
“ปรางค์ว่าการที่เราจะทำให้พนักงานมีความสุข คือต้องเข้าใจเขา บางอย่างอาจไม่เข้าใจในวินาทีแรก แต่พอทำงานด้วยกันไปนาน ๆ จะเริ่มเห็นว่าความต้องการของเขาคืออะไรบริษัทควรหาอะไรมาตอบแทนเพื่อขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้า
“นอกจากความเข้าใจ ปรางค์คิดว่าเรื่องของการให้โอกาสและการเห็นศักยภาพของพนักงานถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขามีความสุข ลองติดปีกให้กับเขา หากเขาบินผิดทิศทางหรือบินพลาด ต้องสอนเขาดี ๆ มาคุยกัน จับเขาไปอยู่ในจุดที่เขาถนัด แล้วเขาจะทำได้ดีและมีความสุข”
คุณสิมีความเห็นในเรื่องนี้ไปในทิศทางเดียวกับคุณปรางค์
“สิมองว่าความสุขของพนักงานมาจากการที่เราเห็นความดีของเขา ทุกคนมีข้อไม่ดีแต่เราต้องหาข้อดีของเขาให้เจอ ลูกค้าบางรายโทร.มาบอกว่าพนักงานคนนี้คุยเก่งจัง วันหลังขอเปลี่ยนได้ไหม เราก็ไม่ได้ไปตำหนิพนักงานแต่เราจะมองข้อดีของเขาว่าเขาคุยเก่ง แต่เขาก็ขับรถเก่งมาก เราก็เปลี่ยนให้เขาไปบริการลูกค้าที่ชอบให้คนขับพูดคุยด้วย เรากับเขาก็จะทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข”
สำหรับเรื่องรายได้ของบริษัท คุณสิเล่าว่า
“ช่วงแรก ๆ การเงินติดลบตลอด ไม่มีกำไรเลย ซึ่งถ้าเรามองแค่ตัวเลข คงจะหมดกำลังใจไปแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้สิยืนหยัดอยู่ได้คือกำลังใจจากลูกค้า บางรายโทร.มาบอกว่าวันไหนสามีกินเลี้ยงเลิกดึก ก็กล้านอนแล้วเพราะเชื่อมั่นในบริการของ U Drink I Drive สิเชื่อว่าถ้าเราเชื่อมั่นในธุรกิจของเรา ทุกอย่างจะเป็นไปในทิศทางที่ดีค่ะ
“สิ่งที่ทำให้สถานการณ์บริษัทกลับมาดีแบบนี้ เพราะว่าการให้บริการของเราตอบโจทย์ความต้องการของคนในสังคม ยิ่งถ้าบริการดี เมื่อคนใช้ประทับใจก็อยากบอกต่อเพื่อนว่ามีบริการแบบนี้นะ หรือคนที่เป็นดาราเป็นคนมีชื่อเสียง เราไม่ได้บอกให้เขาแชร์ในโซเชียลมีเดียหรือบอกต่อเพื่อนฝูงนะคะแต่เขาใช้บริการแล้วชอบ แล้วก็เป็นภาพลักษณ์ที่ดีว่าเมาแล้วไม่ขับ พอคนเริ่มใช้เยอะ สื่อก็สนใจมาทำข่าว ซึ่งเท่ากับช่วยโปรโมตบริการของเรา สถานการณ์ก็พลิกกลับมาดีขึ้น”
ส่วนคุณปรางค์มองว่าคนคือปัจจัยสำคัญของธุรกิจการให้บริการ
“การดูแลคน การจัดการคน คุณสมบัติเด่นที่พนักงานของเราต้องมีคือ การมีใจรักในงานบริการ ใส่ใจผู้อื่น และสำคัญที่สุดคือ เราปลูกฝังให้พนักงานมีเมตตาจิตกับลูกค้าบางครั้งต้องช่วยพยุง ช่วยดึง หรือบางคนขึ้นรถแล้วหลับเลยต้องเจอหลากหลายรูปแบบ ลูกค้าส่วนมากมักกลับมาใช้บริการอีก เพราะติดใจการบริการของพนักงานของเรา
“ครั้งหนึ่งลูกค้าโทร.มานัดให้ส่งคนขับรถไปรับ นัดเวลาสถานที่เรียบร้อยแล้ว พอพนักงานไปถึง ปรากฏว่าลูกค้าจะไปเที่ยวต่อ แล้วจะกลับบ้านกับเพื่อนแทน เท่ากับว่าคนของเราไปเก้อ แต่ลูกค้าดีมาก วันต่อมาโอนเงินมาจ่ายแล้วบอกว่า อุตส่าห์มารอตั้งนาน เขาเกรงใจ เขายังเป็นลูกค้าของเรามาจนถึงทุกวันนี้”
เมื่อถามถึงความสุขในการทำงาน คุณปรางค์บอกว่า
“ความสุขในการทำงานของปรางค์คือการได้เรียนรู้ คือถ้าเป็นนักธุรกิจมักมองแต่ตัวเลขต่าง ๆ แต่ปรางค์คิดว่าสำคัญคือมองที่เจตนา อันนี้คุณพ่อท่านสอนปรางค์ตั้งแต่เด็กเลยเจตนาของปรางค์ตอนนี้คือต้องการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ได้เรียนรู้ ได้เพื่อนร่วมทีมในธุรกิจที่ดี เพียงแค่นี้ก็มีความสุขแล้วค่ะ”
ส่วนคุณสิบอกว่า
“สิมีคำพูดประจำตัวคือเอ็นจอยวอทยูดู มีความสุขและสนุกกับสิ่งที่ทำ งานที่สิทำมีอะไรใหม่ ๆ เข้ามาทุกวันมีปัญหาโน่นนี่ต้องแก้อยู่เรื่อย ๆ เรารู้สึกว่ายิ่งมีปัญหายิ่งได้เรียนรู้ อยากตื่นมาแก้ปัญหาทุกวัน และส่วนหนึ่งที่ทำให้สิมีความสุขกับการทำงานคือกำลังใจจากตัวเองและคนรอบข้างสิว่าเรื่องสำคัญที่สุดคือหากำลังใจของตัวเองให้เจอ”
สองผู้บริหารสาวทำให้เรารู้ว่า ถ้าคิดแล้วลงมือทำความสำเร็จก็จะไม่เป็นเพียงความฝันอีกต่อไป