กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผย โรคลมร้อน หรือฮีทสโตรก คร่าชีวิตคนไทยแล้ว 30 ราย ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเมษายน ซึ่งนับว่าสูงเป็น 2 เท่า จากปีก่อน ๆ
สำหรับผู้เสี่ยง โรคลมร้อน คือเด็กเล็กวัยทารกจนถึงอนุบาล ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคอ้วน ฯลฯ รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ และกลุ่มอาชีพที่ทำงานกลางแจ้ง คือกลุ่มเสี่ยงของโรคนี้
สัญญาณเตือน โรคลมร้อน
- รู้สึกไม่สบาย แม้ดื่มน้ำและพักผ่อนในที่มีอากาศเย็นนานกว่า 30 นาที
- ไม่มีเหงื่อออก แต่รู้สึกร้อนมาก
- มีอุณหภูมิมากกว่า 40 องศาเซลเซียส
- หายใจเร็ว หรือหายใจถี่
- สับสน มึนงง
- ชัก
- ไม่ตอบสนอง
- หมดสติ
การปฐมพยาบาล เมื่อมีอาการ โรคลมร้อน
- รีบนำตัวส่งโรงพยาบาล
- ถอดเสื้อผ้าที่ไม่จำเป็นออกไป
- ทำให้ผิวเย็นลง ใช้ผ้าเย็น หรือเปียก หรือฉีดสเปรย์น้ำตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
- ประคบเย็นบริเวณคอ รักแร้
- พัดผิวขณะเปียกชื้น
- ดื่มน้ำ หรือน้ำเกลือแร่
- อาการควรดีขึ้นและอุณหภูมิควรเย็นลงภายใน 30 นาที
- ห้ามเทน้ำเย็นราดบนตัวผู้ป่วย เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อสั่นเทา ส่งผลให้ความร้อนในร่างกายไม่ลดลง
นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำงานกลางแดด แต่ในช่วงฤดูร้อนก็ต้องระวังกับโรคลมร้อนไว้ให้ดี เพราะการอยู่ในออฟฟิศแอร์เย็นฉ่ำ ก็มีสิทธิ์ป่วยด้วยโรคนี้ได้
ทำงานออฟฟิศก็เสี่ยงฮีทสโตรกได้
เมื่อสาเหตุของโรค ฮีทสโตรก คือความร้อนและแสงแดด คนจึงมักคิดกันว่า ผู้ที่มีอาชีพอยู่ในภาคแรงงานหรือทำงานภายนอก ท่ามกลางไอแดดระอุเท่านั้นที่เสี่ยงต่อโรคนี้ แท้จริงแล้วคนทำงานในออฟฟิศตลอดวันก็เสี่ยงเป็นโรคนี้เช่นกัน
นายแพทย์ศักดา อาจองค์ อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า
“โรคฮีทสโตรก (Heat Stroke) นี้ คนไทยรู้จักกันในชื่อ โรคลมแดด หรือโรคลมเหตุร้อน เป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายได้รับความร้อนมากเกิน 41 องศาเซลเซียส จนไม่สามารถควบคุมระดับความร้อนในร่างกายได้
“โดยปกติกลไกของร่างกายเมื่อได้รับความร้อน จะระบายความร้อนออกหลายทาง เช่น ทางลมหายใจและทางเหงื่อ เมื่อสูญเสียน้ำ สมองส่วนไฮโปทาลามัสจะสั่งการให้เกิดความรู้สึกหิวน้ำ ซึ่งเป็นกลไกปรับตัวสู้กับความร้อนของร่างกายที่สูงขึ้น
“แต่ผู้ที่มีอาการฮีทสโตรก ขณะที่ร่างกายขับเหงื่อออกมา สมองจะไม่มีทางรู้เลยว่าร่างกายขาดน้ำ เพราะความเข้มข้นของเลือดจะไม่เปลี่ยนแปลง
“เมื่อร่างกายสูญเสียน้ำมากเกินไป ต่อมเหงื่อจะหยุดทำงานทันที ทำให้ความร้อนในร่างกายไม่ได้ระบายออก อุณหภูมิในร่างกายจึงสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ส่งผลให้เกิดอาการได้ตั้งแต่เบาๆ แล้วหาย เช่น เมื่อยล้า อ่อนเพลียเบื่ออาหาร ไปจนอาการรุนแรง เป็นสาเหตุให้การทำงานของอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ สมอง ตับ ล้มเหลว ทำให้เสียชีวิตได้”
ผู้ที่เสี่ยงต่อโรคฮีทสโตรกมีหลายกลุ่ม
- กลุ่มเด็กและผู้สูงอายุที่ระบบระบายความร้อนในร่างกายไม่สามารถทำงานได้ดีนัก
- กลุ่มผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูงที่ต้องรับประทานยาขับปัสสาวะ ซึ่งมีผลต่อการขับโซเดียมออกจากร่างกาย ทำให้เกิดความผิดปกติกับระดับเกลือแร่ได้ง่าย
- กลุ่มนักกีฬาที่ออกกำลังกายหักโหม และทหารเกณฑ์ฝึกใหม่ที่ต้องฝึกกลางแดด
- กลุ่มคนทำงานออฟฟิศที่นั่งทำงานอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน แล้วต้องออกมาปะทะอากาศร้อนกะทันหันทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทันแต่อย่างไรก็ตาม
โรคฮีทสโตรก สามารถป้องกันได้ เพียงปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
- ออกกำลังกายกลางแจ้งหรือในที่ที่อากาศถ่ายเทเป็นประจำ
- ดื่มน้ำมากๆ ไม่น้อยกว่า 6 – 8 แก้วในแต่ละวัน
- สวมใส่เสื้อสีอ่อน ไม่หนา เนื้อผ้าบางเบา ระบายความร้อนได้ดี
- ควรดูแลเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นพิเศษ โดยจัดให้อยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทและไม่ปล่อยให้อยู่ในรถที่ปิดตามลำพัง
ข้อมูลจาก จาก คอลัมน์เก็บข่าวมาเล่า นิตยสารชีวจิต ฉบับ 277 / BBC NEWS
ชีวจิตTIPS วิธีคลายร้อน ตามแบบฉบับของคนญี่ปุ่น
กินผักผลไม้ประจำฤดูร้อน
ผลไม้ และ ผักประจำฤดูกาลเองก็เป็นที่นิยมในญี่ปุ่น ซึ่งที่นิยมเป็นอย่างยิ่งก็คือ แตงโมแช่เย็น และ แตงกวาแช่เย็นกินสดๆ ก็หวานอร่อย เย็นเจี๊ยบถึงใจ ซึ่งหากเป็นบางพื้นที่เชิงเขาหรืออยู่ในชนบทที่มีลำธารไหลตามเชิงเขา และ ตามแม่น้ำ คนญี่ปุ่นเองก็นิยมนำผักผลไม้มาแช่น้ำเป็นตู้เย็นธรรมชาติ ซึ่งทำให้แตงกวาหรือแตงโมเองมีรสชาติดีด้วย
บทความอื่นที่น่าสนใจ
- เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง
- แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ
- ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา
- ท่าบริหาร แก้ออฟฟิศซินโดรม
- ลีลาศบำบัด มะเร็งเต้านม
- การเดินส่งผลดีต่อสุขภาพมากกว่าการ วิ่งจ๊อกกิ้ง
ติดตามชีวจิตได้ที่