เลือกทาง “สุข” บนโจทย์ชีวิตที่เปลี่ยนทุกวัน ของ กันต์ กันตถาวร
กันต์ กันตถาวร เคยเป็นทั้งนายแบบ ดีเจ นักแสดง แต่บทบาทที่โดดเด่นที่สุดในเวลานี้คือ การเป็นพิธีกรมาดทะเล้นแห่งค่ายเวิร์คพอยท์ กว่าจะถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ใช่เรื่องของ โชคชะตา แต่เป็นเพราะเขาเลือกตอบโจทย์ชีวิตในแบบของตัวเอง
อดีตเด็กเสเพล เกเรแต่รับผิดชอบ
ผมเรียนมัธยมที่โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 2 เป็นเด็กเกเร มักชกต่อยกับเด็กโรงเรียนอื่นตามประสาวัยรุ่น เพื่อนเจ็บฉันเจ็บ พี่เจ็บน้องเจ็บ ผมไม่มีความสุขเวลานั่งเฉย ๆ ในห้องเรียน คิดเสมอว่าเรียนเพื่ออะไร เมื่อมีคำถามอยู่ในหัวจึงทำอะไรแบบไม่เต็มใจ อย่างวิชาเลข ไซน์คอสแทนคืออะไร ผมยังไม่เคยเห็นใครสั่งแมคโดนัลด์ด้วยไซน์คอสแทนเลย ผมเป็นลูกชายที่ค่อนข้างดื้อ ส่วนน้องสาวผมเป็นเด็กเรียนเด็กเก่ง ซึ่งแตกต่างกับผมอย่างชัดเจนเหมือนขาวกับดำ
แม้ตอนนั้นจะเกเร ไม่ชอบเรียน แต่โจทย์ของผมคือต้องเรียนให้จบและอยู่ในเกณฑ์ดี เพราะคุณพ่อคุณปลูกฝังให้ผมมีความรับผิดชอบ โดยสร้างแรงจูงใจในแบบที่เหมาะกับผม เช่น คุณพ่อสอนว่าถ้าต่อยก็อย่าแพ้ และอย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน ถ้าโดนเรียกเข้าห้องอาจารย์ฝ่ายปกครองคุณพ่อจะโกรธมาก เคยดุว่า “เฮ้ย ไหนว่าแน่ไงถ้าคุณริจะทำแบบนี้ ต้องไม่ส่งผลให้คนอื่นเดือดร้อนสิ นี่ฉันต้องมาจากที่ทำงาน เพื่อมาฟังครูฝ่ายปกครองบรรยายว่าลูกฉันทำอะไรไม่ดีบ้าง”
ช่วงนั้นผมอยากเล่นบาสเกตบอล ซึ่งต้องกลับบ้านดึก คุณพ่อบอกว่าถ้าได้เกรด 3.5 จะเล่นก็เล่น ผมก็ต้องทำให้ได้ ท่านสอนให้ผมรู้ว่าต้องรู้จักรับผิดชอบตัวเองก่อนที่จะได้บางอย่างมา ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากมหาวิทยาลัย
หลังเรียนจบมัธยม ผมติดหญิง จะตามแฟนไปเรียนที่ ABAC โดยไม่มีจุดมุ่งหมายในการเอนทรานซ์เลย ผมไม่เข้าใจว่าการเอนทรานซ์จะเปลี่ยนชีวิตอย่างที่ใคร ๆ พูดอย่างไร เห็นเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนกันเต็มไปหมด คุณพ่อบอกว่าอยากเรียนอะไรก็ตามใจแต่ต้องเอนทรานซ์ และถ้าเอนท์ไม่ติดต้องหาเงินเรียนเอง ผมจึงต้องสอบและเตรียมตัวในแบบของผม คนอื่นอ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืนแต่ผมอ่านแค่ 2 - 3 ชั่วโมงก็หยุด เพราะไม่สามารถอ่านไปเรื่อย ๆ ทั้งวันได้ อ่านเสร็จไปฟิตเนส เตะบอล เล่นบาส ผมเป็นคนความจำสั้น แต่ถ้าเข้าใจแล้วคือเข้าใจเลย ผมเลือกคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี สาขาการตลาด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นอันดับ 1แล้วก็ฟลุคสอบติดในคะแนนต่ำสุดของคณะ
เด็กจุฬาฯในความเข้าใจของผมตอนนั้นคือ ต้องเป็นเด็กเรียน ชวนกันเข้าห้องสมุดซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ จำได้ว่าเข้าไปห้องสมุดครั้งแรกห้องสมุดเต็ม ผมเริ่มวิเคราะห์ตัวเองแล้วว่าจะไหวไหม หรือจะซิ่วดี แต่ก็บอกตัวเองว่า เฮ้ยไม่ได้ เดี๋ยวเสียฟอร์มกับคุณพ่อคุณแม่ ต้องได้สิวะ บังเอิญโชคดีที่เจอกลุ่มเพื่อนนิสัยคล้าย ๆ กันซึ่งหาได้ยากมาก คือเกเรพอกัน แต่รับผิดชอบ เช่นไม่เข้าเรียนในวิชาที่ไม่รู้จะเรียนไปทำไม แต่พอตอนสอบทุกคนก็รวมหัวกันติวหนังสือเต็มที่ ผลัดกันติวในวิชาที่ถนัด ทุกคนมีจุดประสงค์เดียวกัน คือไม่อยากได้เกียรตินิยมแต่อยากเรียนจบ ทุกคนจบด้วยเกรดใกล้กันหมดเลย คือ 2.8 และ 2.7 (หัวเราะ)
สำหรับผม การเรียนจบมหาวิทยาลัยไม่ได้ทำให้เราฉลาด แต่ทำให้เราอยู่ในสังคมได้ และเป็นผู้เป็นคน สิ่งที่ผมได้จากมหาวิทยาลัยคือเพื่อนแท้ วันนี้สมมุติว่าถ้าเพื่อนมายืมเงิน 2 ล้าน ผมโอนให้แบบไม่ถามเลย หรือถ้าเพื่อนกลุ่มนี้ไม่สบายผมยกกองละครเลย ถ่ายต่อไม่ได้ ผมต้องไป ขอโทษจริง ๆ ค่าเสียหายเท่าไหร่ ผมยอมจ่าย ผมต้องไป แล้วไม่ใช่แค่ผมที่ทำแบบนี้กับเพื่อนเพื่อนก็ทำแบบนี้กับผมเช่นกัน ผมถือว่าเราต้องแคร์คนที่ควรแคร์ก่อน เพื่อนกลุ่มนี้ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น
จาก Top Model สู่ชีวิตหลังไมค์
ผมเริ่มงานในวงการบันเทิงตั้งแต่เรียนปี 1 ด้วยการเป็นนายแบบสายแฟชั่น พูดตรง ๆ ว่าไม่ชอบเลย เพราะขี้อาย ไม่ชอบให้คนมองหรือมาวุ่นวายกับเรามาก แต่ทำเพราะได้ค่าขนม และไม่ใช่งานที่ต้องทำอะไรกับผู้คนเยอะ ก็เลยโอเค ผ่านไปสักพักก็กลายเป็นอาชีพ วงการแฟชั่นเมืองไทยมีนายแบบไม่กี่คน เจอกันซ้ำ ๆ นับได้ไม่เกิน10 คน จนผมกลายเป็น Top Model ของผู้ชาย จริง ๆ แล้วอย่าเรียกอย่างนั้นเลยเพราะวงการมีคนแค่นี้ (หัวเราะ)
วันหนึ่งผมนั่งคุยกับเพื่อนอยู่หลังเวทีโปรดิวเซอร์ของ Atime ได้ยินน้ำเสียง จึงเดินเข้ามาชวนผมไปเป็นดีเจ อาชีพนี้ไม่ใช่อยู่ดี ๆ จะมีประกาศรับสมัครและไปยื่นได้ง่าย ๆ ผมจึงลองไปทำเดโมอยู่ 1 เดือนจนได้เป็นดีเจคลื่น 94 EFM
เป็นดีเจได้ 2 ปี ก็เริ่มมาเล่นละครจากการชักชวนของพี่ไก่ (วรายุฑ มิลินทจินดา)ซึ่งสนิทกับคุณพ่อ พี่ไก่ขอให้ไปเล่นละครตั้งแต่เรียนอยู่ปี 2 แล้ว แต่ผมปฏิเสธมาตลอด สุดท้ายจึงรับเล่นละครเรื่องแรก “ดาวจรัสฟ้า” ด้วยความเกรงใจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าได้บทเด่น ผมเล่นเป็นตัวสี่ตัวห้า ซึ่งบอกเลยว่าเล่นได้ทุเรศมาก คือเล่นไม่เป็นจริง ๆ ไม่ได้เรียนการแสดง ไม่รู้วิธีอ่านบทหรือการทำงานเลย การเล่นละครเรื่องแรกของผมเหมือนเป็นโรงเรียนสอนวิธีทำงานมากกว่า
หลังจากนั้นพี่นิด (อรพรรณ วัชรพล)เห็นผมจากหน้าปกหนังสือเล่มหนึ่ง จึงชวนให้เซ็นสัญญาเข้าสังกัดโพลีพลัส ผมจึงได้เล่นละครมาเรื่อย ๆ อีก 6 ปี ก่อนออกมาเป็นฟรีแลนซ์ กระทั่งปัจจุบันมาอยู่เวิร์คพอยท์
กดเลข 2 เพื่ออ่านหน้าถัดไป >>>