หลายคนเลือกออกกำลังกาย และกินอาหารสุขภาพ เพื่อป้องกันและต่อสู้กับโรคมะเร็ง แต่รู้มั้ยว่า กลิ่นช่วยลดเครียด จะเป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อสู้มะเร็งได้เช่นกัน ซึ่งบทความนี้ไม่ได้ยกมาลอย ๆ นะจ๊ะ แต่เรามีงานวิจัยมารองรับเสียด้วย
แพทย์หญิงมาลินน์ เว่ย จิตแพทย์และคอลัมนิสต์ประจำสำนักข่าว The huffington Post และนิตยสาร Psychology Today อธิบายว่า กลิ่นบำบัดจากการใช้น้ำมันหอมระเหยที่มีกลิ่นของดอกไม้ เครื่องเทศ และสมุนไพร ช่วยกระตุ้น ประสาทการรับรู้กลิ่นผ่านเส้นประสาทขึ้นไปถึงสมองส่วนลิมบิกที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความทรงจำ การเรียนรู้ อารมณ์และการแสดงออกทางอารมณ์ และสมองส่วนอมิกดาลาที่ทำหน้าที่ควบคุมเหตุผล และอารมณ์
กลิ่นบำบัดเป็นวิธีลดเครียดที่ทำได้ง่ายและให้ผลได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ คุณหมอมาลินน์แนะนำว่า หากต้องการผ่อนคลายให้ลองใช้น้ำมันหอมระเหยหยดลงในน้ำที่ใช้อาบ หยดใส่ปลอกหมอน หรือหยดผสมลงในน้ำมันนวดตัวก็ได้
ลาเวนเดอร์
ลาเวนเดอร์ เป็นน้ำมันหอมระเหยที่มีการศึกษาวิจัยถึงคุณสมบัติมากที่สุด โดยพบว่าช่วยทำให้ระบบประสาทค่อย ๆ สงบลง ลดความดันโลหิต ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลดอุณหภูมิที่ผิวหนัง และสามารถปรับให้คลื่นสมองเข้าสู่ช่วงคลื่นที่สงบได้ ใช้กับผู้ป่วยที่มีภาจะนอนหลับยากในระดับปานกลางแล้วได้ผลดี และใช้กับผู้ป่วยที่มี ภาวะวิตกกังวลและซึมเศร้า
ส้มยูสุ
งานวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นพบว่า การใช้น้ำมันหอมระเหย กลิ่นส้มยูสุเพียง 10 นาที ช่วยลดความเครียด ภาวะวิตกกังวล และ ลดอัตราการเต้นของหัวใจได้โดยมีผลยาวนาน 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ชาวญี่ปุ่นจึงนิยมใส่ส้มยูสุทั้งผลลงในอ่างน้ำ เพราะเชื่อว่ามีสรรพคุณ ช่วยให้ผ่อนคลาย ลดเครียด และช่วยบำรุงผิว
คาโมมายล์
มีงานวิจัยโดย สถาบันมะเร็ง แห่งชาติสหรัฐอเมริกา ระบุว่า เมื่อใช้น้ำมันหอมระเหยดอกคาโมมายล์หยดผสมในน้ำมันนวดให้กับผู้ป่วยมะเร็ง ช่วยให้ผู้ป่วยลดภาวะวิตกกังวล และอาการไม่พึงประสงค์อื่น ๆ ได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับการนวดโดยใช้น้ำมันนวดที่ไม่มีการหยดน้ำมันหอมระเหยลงไป
นอกจาก 3 กลิ่นนี้แล้ว ข้อมูลจาก The American College of Healthcare Sciences สหรัฐอเมริกา แนะนำว่า หากต้องการใช้กลิ่นบำบัด เพื่อลดเครียด ปรับอารมณ์ให้สงบและผ่อนคลาย สามารถใช้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นใบเบซิล ผล เกรปฟรุต ดอกเจอราเนียม มะนาว ส้ม และ ไม้จันทน์หอมได้ เพราะมีการศึกษาแล้วว่าได้ผลดี
เรื่องต้องรู้ก่อนใช้น้ำมันหอมละเหย
นายแพทย์เบร็นท์ เอ บอยเออร์ ผู้อำนวยการคลินิกแพทย์ผสมผสาน มาโยคลินิก ประเทศสหรัฐอเมริกา แนะนำวิธีการเลือกใช้น้ำมันหอมระเหย ดังนี้
1. เลือกผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ น้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติจะใช้คำว่า Pure Essential Oil ในขณะที่น้ำมันหอมระเหยสังเคราะห์จะใช้คำว่า Aromatic Oil FragranceOil หรือ Perfume Oil หากต้องการให้แน่ใจว่าได้น้ำมันหอมระเหยแท้จริงที่สกัดจากพืชธรรมชาติ ควรตรวจสอบสิ่งที่ฉลากระบุไว้ให้ดี
2. หลีกเลี่ยงการกินหรือทาบริเวณปาก เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ภายนอก จึงไม่ควรกินหรือทาบริเวณเนื้อเยื่ออ่อน เช่น บริเวณใกล้ตา ริมฝีปาก รักแร้บริเวณที่มีแผล เพราะอาจทำให้เกิดแผลพุพอง ผื่นแดง และผิวคล้ำถาวรได้
3. ห้ามใช้ในเด็ก โดยเฉพาะทารกและเด็กวัยหัดเดินเพราะอาจทำให้เกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นได้ เช่น หายใจติดขัดและตับถูกทำลาย นอกจากนี้ความเสี่ยงยังขึ้นอยู่กับประวัติสุขภาพและการแพ้ยาของแต่ละบุคคลด้วย
4. ห้ามใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น น้ำมันสะระแหน่ที่หากใช้เป็นเวลานานอาจทำให้เกิดอาการเสพติดและส่งผลกับยาที่กิน เพราะอาจจะไปเสริมฤทธิ์หรือลดฤทธิ์ยาได้
ข้อมูลจาก นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 519
บทความอื่นที่น่าสนใจ
7 อโรมาเทอราปี กลิ่นบำบัด ผ่อนคลายสมอง ลดซึมเศร้า
ผักและผลไม้ดอง โพรไบโอติก ของคนโบราณ
