ชั่งหัวมัน ปาฏิหาริย์แห่งผืนดินจากน้ำพระราชหฤทัย
โครงการ ชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ เมื่อปี พ.ศ. 2551 เกิดเหตุการความคิดเห็นต่างกันทางการเมืองทำให้มีกลุ่มบุคคลออกมาแสดงความคิดเห็น สร้างความไม่สงบขึ้นพระบาทสมเด็จพระปรมิทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเอาหัวมันเทศวางบนตาชั่งตั้งไว้บนโต้ะทรงงาน เพื่อเป็นคติเตือนใจ “ชั่งหัวมัน” หัวมันเทศเมื่องวางอยู่นานเข้าก็จะแตกใบ มีต้นงอกออกมา ก็ทรงให้เอาต้นมันนั้นไปเพาะเลี้ยงไว้ในเรือนเพาะชำ แล้วนำมันเทศหัวใหม่มาวางไว้บนตาชั่งแทน ทำเช่นนี้เรื่อยไป ในเรือนเพาะชำก็มีแต่ต้นมันเทศ ทรงมีดำริว่า หัวมันเทศวางไว้บนตาชั่งไม่มีดินและน้ำยังงอกได้ที่ดินแปลงนี้ มีดินและพอมีน้ำอยู่บ้างก็น่าจะปลูกมันเทศได้จึงทรงพระราชทานต้นมันเทศจากเรือนเพาะชำมาปลูกไว้ที่นี่
“…แต่ก่อนนั้นเคยเห็นว่ากิจการที่ทำมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งทำแล้วก็ทำให้ก้าวหน้า แต่อันนี้มันไม่ใช่กลุ่มหนึ่ง ทั้งหมดร่วมกันทำ และก็มีความก้าวหน้าแน่นอน อันนี้ก็เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ และเป็นสิ่งที่ทำให้มีความหวัง มีความหวังว่าประเทศชาติจะก้าวหน้า ประเทศชาติจะมีความสำเร็จ…”
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่คณะบุคคลที่มาเข้าเฝ้าฯ ณ พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วันที่ 21 สิงหาคม 2552
ในพื้นที่ที่ขึ้นชื่อว่าแห้งแล้งที่สุด กันดารที่สุด เพราะห่างไกลแหล่งน้ำ ประกอบกับเจ้าของที่ดินเดิมทำเกษตรเชิงเดี่ยวมายาวนาน จนผืนดินสิ้นสภาพกลายเป็นกรวดหินทรายที่แทบไร้ชีวิตถึงขนาดชาวบ้านกล่าวกันว่า แม้นกสักตัวก็ไม่บินเข้ามา เพราะไม่มีอะไรกิน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงซื้อที่ดินดังกล่าวจำนวน 250 ไร่ ซึ่งอยู่ใกล้กับอ่างเก็บน้ำหนองเสือ บ้านหนองคอไก่ตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี จากเจ้าของเดิมที่ขายทิ้งถูกๆ แม้ว่าตอนแรกจะทรงซื้อมาโดยไม่ทรงทราบก่อนแต่เมื่อเห็นพื้นที่แล้ว พระองค์ท่านก็รับสั่งว่า “เป็นสิ่งที่ท้าทาย”
คุณชนินทร์ ทิพย์โภชนา ผู้จัดการโครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ กล่าวว่า
“พระองค์ท่านทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กองงานส่วนพระองค์ สำนักพระราชวัง เข้าพัฒนาพื้นที่ โดยจัดทำเป็น ‘โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ’ เพื่อเป็นโครงการตัวอย่างด้านการเกษตรและเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์พืชเศรษฐกิจในพื้นที่อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี ให้เกษตรกรและผู้สนใจเข้ามาศึกษา
“พระราชดำริที่พระราชทานหลักๆ คือ การทำเกษตรในพื้นที่แห้งแล้ง และเน้นปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อพิสูจน์ให้ชาวบ้านเห็นว่า แม้ในพื้นที่แห้งแล้งก็สามารถทำการเกษตรที่สร้างกำไรได้ แต่ต้องอดทนและอาศัยเวลา”
โดยมีพระราชประสงค์ให้ภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันดูแล
“นับตั้งแต่เริ่มโครงการมีหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนเข้ามาช่วยเหลือให้โครงการดำเนินไปได้อย่างราบรื่นถึง 14 หน่วยงาน แรงงานในโครงการมาจากชาวบ้านในพื้นที่ บางส่วนทางโครงการจ้างไว้ แต่บางส่วนก็เต็มใจเข้ามาช่วยเป็นครั้งคราว”
เพียงไม่กี่เดือน โครงการในพระราชดำริก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นผืนดินที่เคยเปลือยแห้งกลับเขียวชอุ่ม ห่มคลุมด้วยแปลงพืชสวนและพืชไร่นานาพรรณ เช่น มะนาวแป้นเพชรบุรี (มะนาวแป้นรำไพ) ชมพู่เพชรสายรุ้ง หน่อไม้ฝรั่ง พืชผักสวนครัว ต้นยางนา ยางพารา สับปะรด มะยงชิด เป็นต้น
นอกจากนี้ยังขยายไปสู่การเลี้ยงปศุสัตว์ โคนม ไก่ไข่และในอนาคตจะมีการเลี้ยงแพะเนื้ออีกด้วย ทั้งยังมีพลังงานทดแทน กังหันลมที่ผลิตไฟฟ้าได้ 50 กิโลวัตต์ ไบโอดีเซลและแผงโซลาร์เซลล์ด้วย
“การดำเนินงาน เรายึดตามแนวพระราชดำริ คือ ประหยัดพยายามใช้ทรัพยากรและกำลังคนที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งให้ค่อยๆ ทำไปทีละน้อยตามกำลังและอัตภาพ ไม่ได้ทุ่มกำลังเงินไปให้เสร็จในคราวเดียว
“หลังจากดำเนินงานมาได้ 5 ปี โครงการเริ่มมีผลกำไรชาวบ้านที่เห็นประโยชน์ของโครงการก็เข้ามาศึกษา เรียนรู้ และขอคำแนะนำเกี่ยวกับการทำเกษตรในพื้นที่แห้งแล้ง”
คุณชนินทร์บอกว่า ผลที่เห็นได้ชัดอีกประการหนึ่งก็คือ “จากเดิมที่เมื่อพื้นดินแห้งแล้ง ชาวบ้านก็จะพากันย้ายหนีไปทำงานในเมือง ขายที่ให้นายทุนสร้างโรงแรมหรือรีสอร์ต ตอนนี้ก็อยู่ติดที่กันมากขึ้น”
เกษตรกรจึงไม่ต้องสูญเสียที่ดินทำกิน มีงานทำ และมีรายได้พอเลี้ยงตนเองและครอบครัว
โครงการชั่งหัวมันฯ จึงไม่เพียงพลิกฟื้นผืนดินที่แห้งแล้ง แต่ยังช่วยฟื้นคืนชีวิตแก่เกษตรกรไทยอีกด้วย
เป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นจากแรงพระราชหฤทัยอันมั่นคงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และความเชื่อมั่นในพลังของผืนดินและคนไทยทุกคน
จึงช่วยจุดประกายความหวังและพลังใจให้เราไม่ย่อท้อแม้ต้องพบอุปสรรคหนักหนาเพียงใด
เหมือนหัวมันบนตาชั่งที่แม้ถูกทิ้งขว้างก็ยังงอกเป็นต้นใหม่ได้เสมอ
จาก คอลัมน์ตามรอยพ่อหลวง นิตยสารชีวจิต ฉบับ 369 (16 กุมภาพันธ์ 2557)
เครดิตภาพ : http://chmrp.weebly.com
บทความน่าสนใจอื่นๆ