โปรแกรมอาหารลดน้ำหนัก 1 สัปดาห์ แค่กินตามก็ลดอ้วนได้
โปรแกรมอาหารลดน้ำหนัก เป็นทฤษฎีการลดน้ําหนักง่ายๆ คือ กินอาหารใน 1 วันให้ได้พลังงานลดลงจากเดิม 500 กิโลแคลอรี วิธีนี้สามารถลดน้ําหนักได้สัปดาห์ละ 1-2 กิโลกรัม ดังนั้นถ้าทําได้ถึง 6 เดือน น้ําหนักอาจลดลงได้อย่างน้อย 12 กิโลกรัม
สังคมแย่ลง อ้วนมากขึ้น
รศ.ดร.ชื่นฤทัย กาญจนะจิตรา ผู้อํานวยการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล สรุปสาเหตุของโรคอ้วนในปัจจุบันไว้ว่า ภาวะน้ําหนักเกินและโรคอ้วน เกิดจากสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่แย่ลง ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลทางร่างกายมากขึ้น โดยเฉพาะพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ดีต่อ สุขภาพ อาทิ อาหารฟาสต์ฟู้ด น้ําอัดลม อาหารที่ขาดคุณค่าทางโภชนาการในโรงเรียน รวมถึงการมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบแบบคนเมือง มีกิจกรรมทางร่างกายลดลงและการใช้เวลากับสื่อออนไลน์มากขึ้น เป็นต้น
“ปัญหาขณะนี้คือ เรามีสิ่งแวดล้อมไม่เอื้อต่อการออกกําลังกายและการบริโภคอาหาร ซึ่งต้องปรับปรุงกันอย่างเร่งด่วนต่อไป ไม่เช่นนั้นปัญหาโรคอ้วนจะมีมากขึ้น เพราะขณะนี้ประเทศไทยก็พบคนเป็นโรคอ้วนในอันดับต้นๆ ของอาเซียนแล้ว โดยเฉพาะผู้หญิงจะมีปัญหานี้ได้ง่ายที่สุด” นอกจากนี้รายงานสุขภาพคนไทย ปี 2557 ยังระบุอีกด้วยว่า โรคอ้วนถือเป็นสาเหตุให้เจ็บป่วยและเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคตับ โรคมะเร็ง โรคเกี่ยวกับถุงน้ําดี โรคซึมเศร้า ภาวะหายใจลําบากและหยุดหายใจขณะหลับ โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น โดยคนอ้วนมีโอกาสเป็นโรคเหล่านี้มากกว่าปกติ 2-3 เท่าเลยทีเดียว
กําจัดไขมันด้วยสํารับลดอ้วน
ทฤษฎีการลดน้ําหนักง่ายๆ คือ กินอาหารใน 1 วันให้ได้พลังงานลดลงจากเดิม 500 กิโลแคลอรี วิธีนี้สามารถลดน้ําหนักได้สัปดาห์ละ หนึ่งถึงสองครึ่งกิโลกรัม ดังนั้นถ้าทําได้ถึง 6 เดือน น้ําหนักอาจลดลงได้อย่างน้อย 12 กิโลกรัม เช่น เคยดื่มเบียร์ 1 กระป๋อง หรือน้ําอัดลม 1 กระป๋อง ซึ่งให้พลังงาน 500 กิโลแคลอรีเป็นประจําทุกวัน(ดูปริมาณพลังงานของอาหารได้จากฉลากโภชนาการ) ก็ลด ละ เลิกเสีย พลังงานที่ได้รับในแต่ละวันก็จะลดลงได้ง่ายๆ น้ําหนักก็จะลดลงตามไปด้วย
คุณธิษณา จรรยาชัยเลิศ นักกําหนดอาหารวิชาชีพ อธิบายเพิ่มเติมว่า “การลดน้ําหนักควรลดอย่างค่อยเป็นค่อยไปและไม่อดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะไม่เป็นผลดีต่อการลดน้ําหนักในระยะยาว โดยอาจใช้วิธีกินอาหารหลายมื้อ เช่น 4–5 มื้อ แต่ให้พลังงานรวมทั้งวันอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมไว้
“แต่ทั้งนี้อาหารก็ต้องเลือกที่กินแล้วให้พลังงานเหมาะสม สารอาหารครบ กินแล้วอิ่มนานด้วย ไม่ใช่กินหลายมื้อ แต่เลือกอาหารที่มีน้ําตาลให้พลังงานสูง ไม่อยู่ท้องต้องกินเรื่อยๆ ไม่อิ่มสักที แถมได้พลังงานส่วนเกินเติมเข้าสู่ร่างกายมากเกินไป”
ส่วนใครที่จัดสํารับลดความอ้วนแล้ว แต่กลัวตบะแตกกลางคัน ขอแนะนําตัวช่วยต่อไปนี้ยามท้องร้องค่ะ
– น้ําเปล่า น้ําสมุนไพร ให้พลังงาน 0 กิโลแคลอรี(กรณีไม่เติมน้ําตาล น้ําตาล 1 ช้อนชา ให้พลังงานประมาณ 16 กิโลแคลอรี)
– ผลไม้สด เช่น กล้วยน้ําว้า 1 ผลกลาง ผลไม้ขนาดเท่าส้ม 2 ผล แอ๊ปเปิ้ล 1 ผล หรือฝรั่งครึ่งลูก ให้พลังงาน 60 กิโลแคลอรี
– ข้าวโพดต้มครึ่งฝัก ให้พลังงาน 80 กิโลแคลอรี
– โยเกิร์ตไขมันต่ํารสธรรมชาติ 1 ถ้วย ให้พลังงาน 80–150 กิโลแคลอรี (อ่านฉลาก)
หรือท่านใดที่รู้สึกว่าการคํานวณพลังงานในอาหารประจําวันเป็นเรื่องยุ่งยาก อาจลองใช้วิธีลดความอ้วนแบบฉบับชีวจิตก็ได้เช่นกัน โดย อาจารย์สาทิส อินทรกําแหง กูรูต้นตํารับชีวจิต ได้แนะนําไว้ดังนี้
“กินอาหารชีวจิตสูตร 2 ซึ่งประกอบไปด้วยอาหารจําพวกแป้งไม่ขัดขาวและคาร์โบไฮเดรต มื้อละ 30 เปอร์เซ็นต์ ผักสดหรือผักสุก มื้อละ 35 เปอร์เซ็นต์ โปรตีนจากถั่วและผลผลิตจากพืช เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร มื้อละ 25 เปอร์เซ็นต์ และเบ็ดเตล็ด เช่น สาหร่ายทะเล เมล็ดธัญพืช หรือผลไม้ไม่หวาน มื้อละ 10 เปอร์เซ็นต์”
โดยสูตรทั้งหมดนี้ขอให้งดอาหารบางอย่าง ได้แก่
1.เนื้อสัตว์ เช่น หมู เป็ด ไก่ เนื้อวัว
2.น้ําตาลขาวทุกชนิด รวมทั้งอาหาร ขนม และเครื่องดื่มที่ผลิตจากน้ําตาล เช่น ฝอยทอง เค้ก ไอศกรีม น้ําหวานต่างๆ
3.อาหารมันที่ใช้น้ํามัน นม เนย กะทิ ของทอด
4.แป้งขาวทุกชนิด เช่น ข้าวขาว ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีบ ขนมปังขาว
บทความอื่นที่น่าสนใจ
17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน
เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง
ถ่ายเป็นเลือด สัญญาณผิดปกติในลำไส้ใหญ่