ต้านโรคเอสแอลอี ด้วยการเลือกกินผัก ผลไม้
โรคเอสแอลอี ที่นับวันจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกขณะ หลายคนสามารถดูแลตัวเองเพื่อประคับประคองอาการได้เป็นอย่างดีแต่บางคนลืมใส่ใจสุขภาพจึงทำให้อาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว วันนี้เรามาแนะนำผักผลไม้ กินอร่อย ต้านโรคเอสแอลอี และภูมิแพ้ค่ะ แต่ก่อนจะไปดูเรื่องอาหารการกิน เราไปทำความรู้จักโรคนี้กันสักนิด
SLE โรคร้าย ใกล้ตัวกว่าที่คิด
SLE (Systemic Lupus Erythematosus) โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรืออีกชื่อที่เราคุ้นเคยกว่าคือ “โรคพุ่มพวง” คือภาวะที่เม็ดเลือดขาวทำงานผิดปกติ แทนที่จะไปทำลายเชื้อโรค กลับไปทำลายเซลล์ร่างกายตัวเองเสียได้ ทำให้เกิดอาการอักเสบขึ้นกับอวัยวะภายใน รวมถึงระบบต่างๆ ของร่างกาย
เช็กความเสี่ยงการเกิดโรค SLE
แม้จะเป็นโรคที่ยังไม่สามารถหาสาเหตุได้ แต่ก็มีอาการเบื้องต้นที่อาจใช้สังเกตได้ เนื่องจากเป็นอาการที่เกิดขึ้นจากการอักเสบของระบบต่างๆ ร่างกาย ที่เซลล์เกิดการทำลายตัวเอง แต่ใช่ว่าใครที่มีอาการเหล่านี้แล้วจะต้องเป็น SLE เสมอไป เพราะบางครั้งก็อาจเกิดจากโรคอื่นๆ รวมถึงพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งหากอยากให้แน่ใจ ควรให้แพทย์วินิจฉัยอย่างละเอียด
- สมองตื้อ สมาธิสั้น อาการเหล่านี้ส่อสัญญาณอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับความเครียดหรืออาการนอนไม่หลับ เป็นสัญญาณของภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- เป็นสิว โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนัง ผิวหนังอักเสบ หรือผื่นรูปผีเสื้อ
- โรคภูมิแพ้หอบหืด เนื่องจากว่าโรคหอบหืดอาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติกับโรคแพ้ภูมิตัวเอง ซึ่งมีงานวิจัยจำนวนมากที่อ้างว่าโรคแพ้ภูมิตัวเองเป็นโครงสร้างพื้นฐานของโรคหอบหืด
- 4.น้ำหนักเพิ่มหรือน้ำหนักลดลง โรคแพ้ภูมิตัวเองบางชนิดส่งผลต่อต่อมไทรอยด์ ซึ่งเป็นอวัยวะที่ควบคุมกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย หากเริ่มมีการผลิตฮอร์โมนมากเกินไปหรือผลิตฮอร์โมนไม่เพียงพอ ก็จะส่งผลต่อเรื่องน้ำหนัก
- ปวดท้อง จุกเสียด มีแก๊ส ท้องอืด ท้องร่วง ท้องผูก เรื่องการย่อยอาหารเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง ซึ่งเป็นสัญญาณของโรคแพ้ภูมิตัวเอง อย่างโรคแพ้กลูเตน (เป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน) โรคสำไส้ใหญ่บวมเป็นแผล ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์และอื่นๆ
- ผมร่วงมากผิดปกติ เมื่อระบบภูมิคุ้มกันเริ่มโจมตีรูขุมขนที่ผิวหนังซึ่งเป็นสาเหตุให้ผมร่วง เริ่มต้นด้วยการอักเสบของผิวหนังที่ศีรษะ นอกจากนี้ยังอาจส่งผลต่อขนส่วนอื่นๆ ของร่างกายด้วย
อาการของ SLE
สำหรับอาการของ SLE ที่หากใครมี 4 อาการเหล่านี้ร่วมกัน ควรไปพบแพทย์เป็นการด่วน เนื่องจากเป็นสัญญาณที่ชัดเจนแล้วว่า ถูก SLE คุกคามเข้าแล้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยเป็นคนแข็งแรงมากๆ ก็ตาม โดยอาการที่สังเกตได้คือ
- ผื่นผิวหนังบริเวณใบหน้า หู แขน ขา และลำตัว
- ตัวซีดเหลือง จากเม็ดเลือดขาว
- เมื่อโดนแดดจะมีผื่นผิวหนังขึ้นอย่างรุนแรง
- ปวดข้อ บวม แดง
- ผมร่วง
- มีแผลในปาก
- อักเสบที่อวัยวะภายใน เช่น เยื่อหุ้มสมอง ไต
- ชัก
กิน+อยู่ครบสูตร หยุดภูมิแพ้เอสแอลอี
อาจารย์สาทิส อินทรกำแหงเคยกล่าวว่า “ภูมิแพ้เป็นโรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค และไม่มียาชนิดใดสามารถรักษาให้หายได้ การรักษาที่ต้นเหตุด้วยการดูแลตนเองให้ระบบภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอิมมูนซิสเต็ม (Immune System) แข็งแรงจึงเป็นวิธีที่ได้ผล”
ฉะนั้นการปรับวิถีชีวิตทั้ง การกิน การออกกำลังกายเพื่อให้ภูมิชีวิตแข็งแรงจึงเป็นเสมือนเกราะป้องกัน รวมถึงบำบัดรักษาโรคดังกล่าวได้ดีกว่ายาชนิดไหนๆ ดังเช่นคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญดังต่อไปนี้ค่ะ
กินเสริมภูมิคุ้มกัน
อาหารที่เราบริโภคอยู่ทุกวันส่งผลต่อการทำงานของระบบภูมิต้านทาน มีอาหารหลายอย่างที่นักวิจัยเชื่อว่าช่วยเพิ่มภูมิต้านทานทำให้อายุยืน และสุขภาพแข็งแรงได้ เช่น โยเกิร์ต ปลาซาร์ดีน เซเลอรี่ (ขึ้นฉ่ายฝรั่ง) และยังพบอีกว่า แม้ขณะที่คนเรามีสุขภาพแข็งแรง อาหารก็ยังเป็นสิ่งสำคัญต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะในวัยผู้สูงอายุ
ผัก ผลไม้ ที่โรค SLE ควรกิน
แพทริก โฮลฟอร์ด และ ดร.เจมส์ บราลี อธิบายไว้ในหนังสือ HIDDEN FOOD ALLERGIES ว่า ผักผลไม้หลายชนิด โดยเฉพาะผักสด และผลไม้ที่ไม่ปอกเปลือก เช่น แอปเปิ้ล ลูกแพร์ เบอร์รี่ มะเขือเทศ และแครอต ล้วนมีเควอร์เซติน (Quercetin) และสารแอนติออกซิแดนต์สูง ซึ่งทั้ง 2 มีคุณสมบัติช่วยต่อต้านอาการแพ้และลดอาการอักเสบต่างๆ ทั้งยังช่วยทำให้มาสต์เซลล์(ซึ่งปล่อยสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฮิสตามีนออกมา) สงบลง จึงช่วยลดโอกาสการเกิดภูมิแพ้ของคุณได้ โดยจัดอันดับผักผลไม้ที่มีเควอร์เซตินสูงไว้ดังต่อไปนี้
จากตารางจะเห็นได้ว่า ผักที่มีเควอร์เซตินมากที่สุดคือ หัวหอม รองลงมาคือ ผักโขม แครอต และบรอกโคลี ส่วนผลไม้ที่มีเควอร์เซติน ได้แก่ แอ๊ปเปิ้ล เบอร์รี่ โดยเฉพาะแครนเบอร์รี่ ซึ่งนับได้ว่ามีมากเป็นอันดับหนึ่งของทางฝั่งผลไม้เลยทีเดียว
สำหรับองุ่นนั้น แม้จะมีเควอร์เซตินน้อยกว่าสตรอว์เบอร์รี่ไม่เท่าไหร่ แต่ก็เป็นผลไม้ที่ควรรับประทานอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีกลูโคสสูง ซึ่งอาจกลายเป็นผลเสียต่อผู้ที่มีภาวะเบาหวาน เนื่องจากอาจทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงได้
ทั้งนี้ แพทริก โฮลฟอร์ด และ ดร.เจมส์ บราลีแนะนำให้บริโภคเควอร์เซตินถึงวันละ 10 มิลลิกรัม ซึ่งยิ่งกินมากเท่าไรก็จะยิ่งมีผลดีมากเท่านั้น และสำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟให้หันมาดื่มชาซึ่งมีเควอร์เซตินในปริมาณสูงแทน
ที่มา
- นิตยสารชีวจิต
- Siriraj Online
- คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ติดตามชีวจิตได้ที่ :
Facebook : นิตยสารชีวจิต
Instagram : Cheewajitmedia
TikTok : cheewajitmediaofficial