บำรุงเลือดงาม ด้วยสมุนไพร และการใช้ชีวิตแบบชีวจิต

ตำรับ บำรุงเลือดงาม แก้อาการโลหิตจาง

หมอแก้วมา อินทะคำ หรือ พ่อหมอหล้า เป็นศิษย์ของ พระสมานอินพงศ์ หมอยาสมุนไพรและผู้เชี่ยวชาญการอบสมุนไพรรักษาชาวบ้าน ที่วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่

นอกจากนี้ พ่อหมอหล้ายังได้ศึกษา ตำรับตำรายาสมุนไพรของ พระอธิการต๋นั คนโธ (ครูบาตั๋น ) จนมีตำรับยาสมุนไพรใช้รักษาผู้ที่เจ็บป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ มานานกว่า 10 ปี

ส่วนประกอบสมุนไพร

ปิดปิวแดง กำลังเสือโคร่ง อบเชย สะค้าน พริกไทยดำ แก่นฝาง เทียนทั้งห้า เกสรบัวหลวง ลูกจันทน์ ชะเอมเทศ กวาวเครือแดง กวาวเครือขาว (สมุนไพรทั้งหมดสามารถหาซื้อได้จากร้านขายยาแผนโบราณ)

วิธีทำ

นำสมุนไพรทั้งหมด ปริมาณอย่างละเท่ากัน บดเป็นผงละเอียดและผสมรวมกัน

วิธีใช้

รับประทานปริมาณครั้งละ 1 ช้อนชา โดยผสมกับน้ำสะอาด 1 แก้ว คนให้ละลาย และดื่มก่อนอาหาร วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น

ยาบำรุงเลือดงาม ตำรับหมอวีณา มะยอง

ส่วนประกอบสมุนไพร

เกสรบัวหลวง โกฐทั้ง 9 พลูต้น อบเชย พริกน้อย ดีปลี จันจี่ จั๋นบาน (สมุนไพรทั้งหมดสามารถหาซื้อได้จากร้านขายยาแผนโบราณ)

วิธีทำ

นำสมุนไพรทั้งหมด ปริมาณอย่างละเท่ากัน บดเป็นผงละเอียดและผสมรวมกัน

วิธีใช้

รับประทานคร้งั ละ 1 ช้อนชาผสมกับน้ำอ่นุ คร่งึ แก้ว ด่มื วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร เช้า – เย็น
สตรีมีครรภ์ห้ามรับประทาน

หอมแผ่นดิน หอมกลิ่นอบเชย สมุนไพรบำรุงเลือด

อบเชย หรือชื่อพฤกษศาสตร์ Cinnamomum zeylanicum นอกจากจะเป็นสมุนไพรที่เป็นส่วนผสมในตำรับบำรุงให้เลือดงามของหมอพื้นบ้านทั้ง 2 คนแล้ว ยังพบว่าอบเชยเป็นส่วนผสมในตำรับยาไทยพื้นบ้านอีกหลายตำรับ นอกจากนี้อบเชยยังเป็นพืชสมุนไพรและเครื่องเทศที่มีประวัติเก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของโลก และมีสรรพคุณโดดเด่น ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บมายาวนาน เช่น มีหลักฐานว่า ชาวจีโบราณเชื่อกันว่าไม่มีการเยียวยาหรือรักษาโรคใดที่ปราศจากอบเชย และยังพบหลักฐานการใช้อบเชยในคัมภีร์เก่าแก่ในฐานะอาหารและยาขนานเอกของโลกด้วย

อบเชย เป็นไม้ยืนต้น เปลือกลำต้นสีเทาหนา ใบรูปไข่หรือรูปหอก มีหลายสายพันธ์ุ และมีสรรพคุณทางยาใกล้เคียงกัน เช่น อบเชยเทศ อบเชยญวน อบเชยจีน และอบเชยไทย ประโยชน์ทางการแพทย์ของอบเชย เปลือกต้นและเน้อื ไม้มีรสเผ็ด หวานชุ่ม มีกลิ่นหอม ช่วยทำให้เลือดหมุนเวียนดี และใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย ทำให้ร่างกายอบอุ่น ช่วยกระจายความเย็นในร่างกาย อบเชยยังจัดอยู่ในพิกัดยาไทยร่วมกับสมุนไพรอื่น ๆ หลายตำรับ ได้แก่
พิกัดตรีธาตุ เป็นยาแก้ธาตุพิการ แก้ลม แก้ไข้ แก้เสมหะ
พิกัดตรีทิพย์รส เป็นยาบำรุงธาตุ บำรุงโลหิต บำรุงกระดูก บำรุงตับปอดให้เป็นปกติ แก้ลมในกองเสมหะ
พิกัดจตุวาตะผล เป็นยาบำรุงธาตุ แก้ไข้ แก้พรรดึก ขับผายลม แก้ลมกองริดสีดวง แก้ตรีธาตุสมุฏฐาน
พิกัดทศกุลาผล เป็นยาบำรุงธาตุ บำรุงกำลัง บำรุงดวงจิตให้แช่มชื่น แก้ไข้ แก้เสมหะ บำรุงปอด ขับลมในลำไส้ แก้ลม อัมพฤกษ์ อัมพาต

นอกจากนี้ยังพบว่า ส่วนอื่น ๆ ของสมุนไพรอบเชยยังมีฤทธิ์รักษาความเจ็บป่วยได้ในหลายระบบทั้งแก้ปวดศรีษะ อ่อนเพลีย โดยนำเปลือกต้นผสมปรุงเป็นยาหอมช่วยลดความดันโลหิต โดยนำอบเชยแท่งที่หาซื้อได้ทั่วไปมาบดให้ละเอียด ขนาดรับประทานคือ นำอบเชยบดละเอียด 1 กรัม ชงกับ น้ำร้อน 1 แก้ว ดื่ท วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร เช้าและเย็น ช่วยให้เจริญอาหาร หรือใช้เปลือกต้นอบเชยไทยต้มกับน้ำสะอาดดื่มก่อนอาหาร นอกจากนี้รากและ
ใบอบเชยไทย ยังใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้ที่เกิดจากการอักเสบ สำหรับสตรีที่เพิ่งคลอดบุตร

ฝาง สมุนไพรบำรุงดวงจิต

ฝาง เป็นไม้พุ่มแตกกิ่งที่โคน มีความสูง 5 – 8 เมตร ลำต้นมีหนามโคง้ สนั้ ๆ และแข็งท่วั ทุกส่วน ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้นเรียงสลับกัน ฝางมี 2 ชนิด ถ้าเนื้อไม้หรือแก่นเป็นสีแดงเข้มมีรสขมหวาน จะเรียกว่า ฝางเสน แต่ถ้าแก่นไม้เป็นสีเหลืองส้มมีรสฝาดขื่น จะเรียกว่า ฝางส้ม

ฝางเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในตำรับยาไทยโบราณหลายตำรับ ซึ่งหมอพื้นบ้านรู้จักคุ้นเคยกับสมุนไพรฝางกันเป็นอย่างดี ทั้งนี้เพียงแค่นำแก่นฝางต้มกับน้ำสะอาดดื่ม
ก็มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงโลหิต ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก กระจายเลือดที่อุดตัน และแก้อาการหวั ใจขาดเลือด นอกจากนี้ยังพบว่าหมอพื้นบ้านใช้ฝางในการรักษาโรคอื่น ๆ อีกหลายโรค เช่น โรคประดง โรคไต ไข้หวัด แก้ไอ หอบหืด และขับปัสสาวะ

วิธีบำรุงเลือดตำรับกูรูชีวจิต

อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต ได้เคยกล่าวถึงวิธีการบำรุงเลือดให้ห่างไกลโรคไว้ว่า “เรื่องเลือดนั้น มีความสำคัญมาก เพราะถ้าปล่อยให้เป็นโรคโลหิตจางจะเป็น
สาเหตุของโรคเกี่ยวกับระบบโลหิตอื่น ๆ และทำให้เสียชีวิตได้ นั่นเป็นเพราะเลือดมีหน้าที่สำคัญต่อร่างกายคนเรามาก ไม่ว่าจะเป็นการส่งต่อสารอาหารให้แก่เซลล์ในร่างกาย ขับถ่าย
ของเสีย และต่อสู้กับเชื้อโรค”

นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงต้องบำรุงรักษาเลือดให้มีคุณภาพ และวิธีบำรุงเลือดที่ทำตามแล้วสุขภาพเลือดจะดี ไม่ป่วยอย่างแน่นอนต้องทำอย่างไร อาจารย์สาทิสแนะนำอาหารบำรุงเลือดดังนี้ “อาหารชีวจิตนั้นป้องกันโรคโลหิตจางได้หลายโรคหลายแบบ เลือดหรือเม็ดเลือดของเรานั้นเป็นโปรตีน ฉะนั้นอาหารที่จะช่วยบำรุงเลือดก็ต้องเป็นอาหารหนักไปทางโปรตีน ซึ่งโปรตีนบำรุงเลือดนั้นจะเป็นโปรตีนจากเนื้อสัตว์ จึงแนะนำให้กินปลาทะเลและอาหารทะเลเป็นครั้งคราว”

นอกจากนี้ยังต้องให้ความสำคัญต่อเฮโมโกลบิน ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นโปรตีนและธาตุเหล็ก ร่างกายต้องรักษาให้มีสัดส่วนพอเหมาะ หากมีน้อยเกินไปเลือดจะจาง

อาหารชีวจิต สูตรสำหรับคนเป้นโลหิตจาง คือสูตรให้ลดข้าว เพิ่มผักและเพิ่มโปรตีนให้มากขึ้น โดยลดข้าวให้เหลือ 30 เปอร์เซ็นต์ ผักเพิ่มเป็น 35 เปอร์เซ็นต์ โปรตีนเพิ่มเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ และกินปลาได้อาทิตย์ละ 5 ครั้ง ส่วนเบ็ดเตล็ดคงเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ตามเดิม

ในขณะเดียวกัน อาจเลือกกินโดยเน้นอาหารที่มีธาตุโฟลิกแอซิด และวิตามินบี 12
ได้แก่ หอย ปลา ถั่วต่าง ๆ หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโอ๊ต แครอต แคนตาลูป ฟักทอง อะโวคาโด ผลไม้แห้ง ลูกพีช อินทผลัม กล้วยตาก จมูกข้าวสาลี

นอกจากนี้ อาจารย์สาทิสยังแนะนำให้เสริมวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ สำหรับบำรุงเลือด คือ โฟลิกแอซิด วันละ 400 ไมโครกรัม วิตามินบี 1 ขนาด 100 มิลลิกรัม วันละ 1 เม็ด วิตามินบี 12 ขนาด 500 ไมโครกรัม วันละ 1 เม็ด วติ ามนิ บี 6 วัน ละอย่างน้อย 100 มิลลิกรัม แมกนีเซียม ขนาด 100 – 200 มิลลิกรัม วันละ 1 เม็ด แคลเซียมขนาด 200 – 300 มิลลิกรัม
วันละ 1 เม็ด

สำหรับเวลาการรับประทาน อาจารย์สาทิสแนะนำให้รับประทานจนรู้สึกว่าอาการทุกอย่างดีขึ้น ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 4 – 6 สัปดาห์ เมื่ออาการดีขึ้นจนรู้สึกว่าอยู่ตัวแล้วก็สามารถหยุดรับประทานวิตามินและแร่ธาตุชนิดเม็ดเหล่านี้ได้

ระยะเวลา 2 เดือน ที่ผู้เขียนเคร่งครัดในเรื่องอาหารการกินตามหลักชีวจิต พร้อมกับการใช้สมุนไพรบำรุงเลือดตามคำแนะนำของหมอพื้นบ้าน และเสริมด้วยวิตามินบางตัว เลือดจึงกลับมางามและอาการต่าง ๆ ก็หายไป สามารถกลับไปบริจาคเลือดได้อีกครั้งตามที่ตั้งใจไว้
ใครที่มีปัญหาเลือดไม่งามเหมือนอย่างผู้เขียนและอยากกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง สามารถนำวิธีการดูแลตนเองข้างต้น ไปลองปฏิบัติกันดู เพราะหมอและยาที่ดีที่สุดไม่ใช่ใคร แต่คือตัวของเรานั่นเองค่ะ

เรื่องและภาพ กนกกาญจน์ เอี่ยมสะอาด , pixabay เขียนลงเว็บ เนื้อทอง ทรงสละบุญ