ตั้งแต่จำความได้ คุณนันทวัน สุนทานนท์ แม่บ้านวัย 41 ปี คนนี้ต้องต่อสู้กับโรคร้ายที่รุมเร้าเธอมาโดยตลอด นอกจาก ภูมิแพ้ ที่เป็นมาตั้งแต่เกิด จะส่งผลให้ต่อมทอนซิลที่คออักเสบจนกลืนน้ำลายและหายใจลำบากแล้ว โรคลมพิษที่มักจะมาพร้อมกันก็ยิ่งทำให้เธอทรมาน
เนื่องจากทำงานเป็นเลขานุการให้กับเจ้านายต่างชาติ หน้าที่สำคัญ คือ การคอยติดตามเจ้านาย ไปดูแลลูกค้าอยู่เสมอ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่เธอจะหลีกเลี่ยง อาหารไขมันสูงและของแสลงต่างๆ
“บางทีมีเลี้ยงขอบคุณลูกค้า แม้เราจะไม่อยากกินแต่ก็จำเป็นต้องกิน เพราะเกรงใจเจ้านาย และตอนนั้นไม่รู้ด้วยว่าอาหารที่เรากินมันมีผลกับร่างกาย ทำให้ภูมิแพ้ที่เราเป็นอยู่มันไม่หาย”
การกินอาหารโดยไม่เลือก ยิ่งทำให้อาการภูมิแพ้ของเธอกำเริบมากขึ้น แต่ด้วยความกลัวว่าจะกระทบกับงานที่ทำอยู่ ทำให้เธอตัดสินใจรักษาโดยการไปรับยาจากหมอและหมอได้เพิ่มความแรงของยาขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผลจากการกินยาแก้แพ้ติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 30 ปีนั้น ทำให้เธอง่วงนอน เมื่อไปทำงานก็มักจะแอบหลับเป็นประจำ เธอต้องแก้ปัญหาด้วยการกินกาแฟ เพื่อแก้ง่วง ส่งผลให้เธอกลายเป็นคนติดกาแฟไปโดยปริยาย
การงานที่หนักขึ้น ทำให้เธอเกิดความเครียดรุมเร้า ครั้งหลังสุดอาการแพ้ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ตามร่างกายของเธอมีผื่นสีแดงขึ้นเต็มไปหมด น้ำมูกไหล มือบวมจนกุมมือไม่ได้ คนใกล้ชิดต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน ซึ่งหมอก็ได้ให้ยาและรักษาไปตามอาการอย่างทุกครั้ง
จนกระทั่งปลายปี พ.ศ. 2543 ความคิดของเธอก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เมื่อได้เจอกับพี่สาวของแฟน ในวันครบรอบวันเกิด แต่ก่อนพี่สาวของแฟน ป่วยเป็นโรคไมเกรนและไทรอยด์เป็นพิษ เวลาที่ไมเกรนรุมเร้าพี่สาวแฟนจะปวดหัวอย่างหนักจนทำอะไรไม่ได้ นอกจากนั้นก็จะ มีอาการไข้ขึ้น ผอม ดำ กินเท่าไหร่ก็ไม่เคยอ้วน
แต่มาวันนี้ อาการต่างๆที่เธอเคยเห็นก็หายไป การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีของพี่สาวแฟน ทำให้เธอเริ่มสนใจและตัดสินใจถาม.. “พี่ปั้นชีวิตใหม่ด้วยชีวจิต โดยการกินอาหารชีวจิต ดูแลตัวเองและฝึกการคิดในแง่ดีแบบชีวจิต และพี่จึงหายจากโรคที่เป็นอยู่ เธออยากจะลองดูก็ได้นะ”
คำบอกเล่าของพี่สาวแฟนทำให้เธอสนใจขึ้นมาทันที พร้อมกันนั้นพี่สาวแฟนยังได้ให้หนังสือของอาจารย์ สาทิส อินทรกำแหง ให้เธอมาลองศึกษาอีกหลายเล่ม
หลังอ่านหนังสือจบและทำความเข้าใจด้วยตัวเองจนรู้กระจ่าง ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ตัดสินใจศึกษาและปฎิบัติตัวตามแนวทางของชีวจิต โดยเริ่มจากการกินผักมากขึ้น เริ่มกินข้าวกล้องแทนข้าวขาว พยายามเลิกน้ำอัดลมและขนมกรุบกรอบต่างๆที่กินอยู่เป็นประจำ แม้จะยังเลิกไม่ได้เด็ดขาดแต่ก็กินน้อยลง เธอเริ่มลดกาแฟ จนในที่สุดก็ไม่ดื่มอีกต่อไป การใส่ใจดูแลตัวเองอย่างจริงจัง ส่งผลให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานให้กับตัวเอง อาการภูมิแพ้ลดลงเรื่อยๆ เธอเริ่มลดปริมาณการกินยาแก้แพ้ลง จนในที่สุดก็ไม่กินอีกเลย
กระทั่งต้นปี พ.ศ. 2545 เธอต้องอยู่ในภาวะตกงาน ความเครียดเริ่มเข้ามารบกวนอีกครั้ง เธอเริ่มหงุดหงิดง่าย กลายเป็นคนขี้โมโห และไม่สนใจที่จะดูแลตัวเอง ความเครียดยังส่งผลให้โรคร้ายทั้งหลายที่เคยเป็น กลับมารุมเร้า อีกครั้งจน เธอต้องกลับไปรับยาจากหมอประจำตัวคนเดิม
อาการเครียดของเธอ ทำให้คนใกล้ชิดต้องพาไปปฏิบัติธรรม เพื่อสงบจิตใจที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสิงห์บุรี และในวันที่ 3 ของการปฏิบัติธรรมนั่นเอง ในขณะที่โรคร้ายก็รุมเร้าเธออย่างหนัก เธอกลับได้แง่คิด ให้กับชีวิตของตัวเอง
“วันที่ 3 ในระหว่างปฏิบัติธรรม ดิฉันไข้ขึ้นไม่สบายอย่างหนัก อาการภูมิแพ้กำเริบ คันคะเยอไปทั่วตัว จนคนที่นอนห้องเดียวกันเขาปฏิบัติธรรมไม่ได้ ตอนนั้นก็เริ่มคิดแล้วว่า เราคิดผิดหรือเปล่าที่มาที่นี่ แต่ก็นึกได้ถึงคำเทศนาของหลวงพ่อที่บอกว่า ชีวิตก็แค่นี้ คนเราเกิดมาเพื่อที่จะตาย ใครทุกคนก็ต้องเป็นอย่างนี้ แล้วเราจะเอาอะไรกันหนักหนากับชีวิต ปลงเสียบ้างแล้วทุกอย่างจะดีเอง ก็เลยคิดได้”
หลังกลับมาจากปฏิบัติธรรม เธอวางแผนชีวิตใหม่โดยการเริ่มดูแลตัวเองตามแบบชีวจิตอีกครั้ง และให้ความสำคัญกับจิตใจมากขึ้นโดยการพยายามไม่เครียดกับชีวิต จนเมื่อได้งานใหม่ หลังจากนั้นอีกไม่นานเธอก็ตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง นอกจากนั้นเธอเริ่มแนะนำเพื่อนและคนใกล้ชิดให้ปฏิบัติตามแนวทางของชีวจิต
” ทุกวันนี้ดิฉันมีความสุขดี และอยากให้คนที่เป็นโรคหันมาดูแลตัวเอง เพราะมันดีกับทั้งตัวเราและคนรอบข้าง อย่างเวลาเราป่วยคนรอบข้างเราก็จะไม่สบายไปด้วย เช่นเดียวกันพอเราไม่เป็นอะไรคนใกล้ชิดเราก็จะดีไปด้วย”
แม้ว่าวันนี้ โรคภูมิแพ้ที่เธอเป็นอยู่จะยังไม่หายขาด แต่เชื่อแน่ว่า ทางที่เธอเลือกคงจะเป็นทางออกที่ทำให้เธอหายจากโรคร้ายได้เร็ววันครับ
โรคภูมิแพ้ มีสาเหตุมาจากระบบภูมิต้านทานของร่างกายที่ต่อต้านสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่เข้ามาสู้ร่างกาย เช่น ละอองเกสร ฝุ่น ขนสัตว์ น้ำหอม โลหะบางชนิด ฯลฯ อาการของโรคเมื่อสัมผัสสิ่งเหล่านี้จึงมีปฏิกิริยาเกิดขึ้นในร่างกาย อาจจะจาม น้ำมูกไหล หอบหืด หรือเป็นลมพิษ ผื่นคัน บางคนที่เป็นมากอาจจะมีไข้ ปวดศีรษะ ปากเจ่อ ตาบวมปิด ปัสสาวะเป็นเลือด บางรายมีอาการรุนแรงจนอาจเสียชีวิตได้ การรักษาในปัจจุบันมักใช้ยาแก้แพ้ชนิดรับประทานหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าเส้น หรือยาผิวหนังบริเวณที่คัน เป็นต้น การป้องกันโรคภูมแพ้นั้น ผู้ป่วยต้องรู้ว่าตัวเองแพ้อะไร และหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือรับสารที่ตัวเองแพ้ พร้อมกันนั้นควรออกกำลังการเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง
|
ข้อมูลเรื่อง “คำตอบที่หาได้ จากโรคร้ายอย่าง ภูมิแพ้” จากนิตยสารชีวจิต ฉบับที่ …