โจรปล้น ของพระเซน แต่ไม่ยอมขโมยดวงจันทร์
เมื่อพระเซนเจอ โจรปล้น จะเกิดอะไรขึ้น ทำไมโจรคนนี้ถึงไม่ขโมยดวงจันทร์ ทั้ง ๆ ดวงจันทร์คือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของพระรูปนี้
ค่ำคืนหนึ่งในช่วงปลายสมัยเอโดะ ชายแปลกหน้าคนหนึ่งได้เดินทางมาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาคุกะมิ (Kugami Mountain)
ชายผู้นี้มักจะอ้างเหตุผลกับตัวเองว่า “เพราะภาวะข้าวยากหมากแพงที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญอยู่นี่แหละที่ทำให้ข้าค้าขายไม่ได้ ไหนจะดินฟ้าอากาศที่แห้งแล้ง ปลูกอะไรไปก็ไม่คุ้ม… ก็เพราะอาภัพอย่างนี้ไงเล่า จึงทำให้ข้าเลือกอาชีพขโมย”
เขาตัดสินใจรอเวลาให้ฟ้ามืดลงจึงเริ่มปฏิบัติการ เมื่อเดินไปถึงชายป่า เขาก็มองเห็นกระท่อมหลังหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กมากจนตอนแรกเขาคิดว่ามันคือเล้าไก่ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในกระท่อม เขาจึงไม่รีรอ บุกรุกเข้าไปทันที แต่แล้วเขาก็ต้องผิดหวัง เพราะจากแสงเดือนที่ส่องสว่างทำให้มองเห็นว่า ในกระท่อมมีเพียงเครื่องใช้เก่าคร่ำคร่า เช่น กาน้ำชาที่มีตะกรันจับจนทั่ว ถ้วยชามปากบิ่น ผ้าห่มผืนบางเฉียบ ฯลฯ เท่านั้น
ขโมยง่วนอยู่กับการค้นหาข้าวของที่คิดว่ามีค่าคุ้มต่อการหอบหิ้ว จนไม่ได้ยินเสียงประตูที่เปิดออก และกว่าจะมองเห็นคนที่เปิดประตูเข้ามา คนคนนั้นก็มายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว
ขโมยตกใจสุดขีด เท้าไวเท่าความคิด รีบกระโจนออกไปทางหน้าต่างทันที
“หยุดก่อน ๆ ” เสียงแหบพร่าบอกถึงความแก่ชราดังอยู่เบื้องหลัง แต่ทว่า… ขโมยได้จากไปเสียแล้ว
ชาวบ้านหลายคนได้ยินเสียงวิ่งและเสียงร้องตะโกน จึงถือคบไฟวิ่งตรงมาหาพระชราเจ้าของกระท่อมหลังนั้น พลางซักถามท่านเป็นการใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น
พระชราตอบอย่างอารมณ์ดีว่า
“ข้าอุตส่าห์วิ่งตามเพื่อจะเอาเบาะรองนั่งไปให้ เพราะไหน ๆ เขาก็มาเยี่ยมแล้ว จะได้มีอะไรติดไม้ติดมือไปบ้าง”
“ท่านเรียวกันละก็ ช่างเข้าใจพูดเล่นเหลือเกินนะ ว่าแต่มีของมีค่าหายไปบ้างหรือเปล่าเล่า”
“ไม่เลย ของมีค่าที่สุดของข้ายังอยู่บนนั้น” พูดแล้วพระชราก็ชี้ไปที่ดวงจันทร์
คืนนั้นขโมยจากไปมือเปล่า โดยไม่รู้ว่าเขามีส่วนสร้างแรงบันดาลใจให้พระชรา ผู้ที่ภายหลังได้แต่งบทกวีที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ขึ้นมาบทหนึ่ง ความว่า
“ขโมย ไม่ขโมย
ดวงจันทร์
ที่หน้าต่าง”
แท้จริงแล้วพระชรารูปนี้คือ ท่านเรียวกัน ไทกุ (Ryokan Taigu) กวีที่ชาวญี่ปุ่นรักและนับถือมากที่สุดคนหนึ่ง ท่านมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1758-1831 และบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนานิกายเซน เมื่ออายุเพียง 18 ปี และร่ำเรียนอยู่ในวัดเอ็นสึจิ (Entsuji) จนแตกฉานในพระธรรมขั้นสูงสุด แต่ด้วยนิสัยเรียบง่าย ไม่ใส่ใจ กฎระเบียบใด ๆ ท่านจึงหลบหนีออกจากวัดและมาอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็ก ๆ ในหุบเขาคุกะมิจนสิ้นชีวิต
คำว่า “เรียวกัน ไทกุ” มีความหมายว่า คนโง่ที่มีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ เหตุที่ท่านได้รับฉายานี้ ก็เพราะความที่ท่านเรียวกันไม่ยึดติดกับสิ่งสมมติทางโลก ท่านจึงมีพฤติกรรมบางอย่างที่ดูน่าขบขันสำหรับคนทั่วไป เช่น ท่านเลือดที่จะเลี้ยงชีวิตด้วยการขออาหารจากชาวบ้านแทนที่จะสังกัดวัดใดวัดหนึ่งเยี่ยงพระทั่วไป เวลานอนท่านจะยื่นขาออกนอกผ้าห่มให้ยุงดูดเลือดเพื่อเป็นทาน ฯลฯ
บทกวีข้างต้นนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของบทเรียนที่ท่านเรียวกันฝากไว้ ซึ่งน่าจะสามารถเตือนใจเราได้ว่า สิ่งมีค่าที่สุดของมนุษย์นั้น ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองหรือตำแหน่งหน้าที่อันยิ่งใหญ่แต่อย่างใด หากแต่เป็นธรรมชาติรอบตัวที่มีคุณค่าจนไม่อาจประเมินราคาได้ และทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้โดยไม่ต้องใช้เงินซื้อหาเลยด้วยซ้ำ
ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณไม่เคยเป็นเจ้าของสิ่งมีค่าอะไรเลย คืนนี้…ลองแหงนหน้ามองดวงจันทร์บนท้องฟ้าดูสิคะ
ที่มา : นิตยสาร Secret ฉบับที่ 21
ผู้เขียน/แต่ง : Violet
https://www.chushikokuandtokyo.org
บทความน่าสนใจ
ตำรวจแคนาดาใจดี ซื้อสูทให้หัวขโมยใส่ไปสัมภาษณ์งาน
Dhamma Daily : แม่ป่วยหนัก ต้องลักขโมยเงินคนอื่นมารักษาแม่ ถือเป็นคนชั่วไหมคะ
เหตุเกิดจากความอาฆาตแค้นของแม่ครัว ที่มีต่อสุนัขจอมขโมยเนื้อหมู
Q : ดิฉันแอบขโมยเงินสามีมาทำบุญจะผิดไหมคะ
จุดจบของโจรขโมยศรัทธา ถึงเวลาที่กรรมตามทัน | เรื่องเล่าจากผู้อ่าน