สำหรับคอเพลงอาร์แอนด์บีหรือฮิปฮ็อป บียอนเซ่ (Beyonce’ ) นับเป็นผู้หญิงมหัศจรรย์แห่งวงการ ทว่าอันที่จริงเธอทำงานได้หลากหลายมาก ๆ ไม่เพียงแต่ร้องเพลงเท่านั้น เธอยังมีความสามารถในการเต้น แต่งเพลง แสดงหนัง แสดงละคร เป็นโปรดิวเซอร์ ดีไซเนอร์ ฯลฯ ซึ่งไม่ว่าจะหยิบจับงานใด เธอก็ได้รับผลตอบรับที่ดีจนถึงขั้นดีสุด ๆ
สาวผิวสีมาดเซ็กซี่คนนี้มีชื่อจริงว่า จิเซลล์ โนลส์ (Giselle Knowles) เกิดเมื่อวันที่ 4 กันยายน ปี 1981 ที่เมืองฮิวสตัน รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา ส่วนชื่อ “บียอนเซ่” ที่ทั่วโลกรู้จักนั้น อันที่จริงเป็นชื่อที่มาจากนามสกุลของแม่เธอ
สมัยเด็ก ๆ ถ้าจะกล่าวว่าเด็กหญิงบียอนเซ่มีชีวิตเหมือนคุณหนูก็ว่าได้ เพราะพ่อแม่ของเธอมีฐานะร่ำรวย บียอนเซ่ได้เรียนในโรงเรียนเอกชนที่มีค่าเทอมแพงมาก ทุกคนในครอบครัวไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ โดยเนื้อแท้แล้วบียอนเซ่เป็นคนสุภาพ เรียบร้อย และขี้อายมาก ๆ และนี่คือสิ่งที่ทำให้เธอไม่สามารถร้องเพลงที่มีคำหยาบได้ ซึ่งแตกต่างจากนักร้องสไตล์อาร์แอนด์บีหรือฮิปฮ็อปทั่วไป
บียอนเซ่เข้ารวมประกวดร้องเพลงในโรงเรียนและในท้องถิ่นตั้งแต่เล็ก ๆ ตอนอายุแค่ 9 ขวบ เธอจับกลุ่มกับเพื่อนและญาติสนิทคือ เคลลี่ โรว์แลนด์ (Kelly Rowland) เพื่อก่อตั้งวงดนตรีหญิงล้วน เพียงหนึ่งปีให้หลัง วงของเธอได้เข้าร่วมประกวดร้องเพลงในรายการ Star Search ซึ่งเป็นรายการโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงมาก แม้วงของเธอจะไม่ชนะการประกวด แต่ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้เด็กหญิงบียอนเซ่ในวัย 10 ขวบตระหนักว่า นักร้องเป็นอาชีพที่ยากลำบากและเหน็ดเหนื่อยมาก ๆ
แต่ถึงอย่างนั้น บียอนเซ่ก็ยังคงมุ่งมั่นกับการร้องเพลง ในปี 1993 หลังจากเปลี่ยนแปลงสมาชิกในวงหลายครั้ง วงดนตรีของเธอก็ได้ชื่อเป็นทางการว่า Destiny’s Child โดยมีพ่อของเธอเป็นผู้ปลุกปั้นและทำหน้าที่ผู้จัดการวง
Destiny’s Child ออกตระเวนโชว์ตามงานต่าง ๆ นานถึง 4 ปี ต่อมาจึงได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงโคลัมเบียเรคคอร์ดส์ในปี 1997 และโด่งดังเป็นพลุแตกตั้งแต่ออกอัลบั้มแรก แม้วงจะยุบไปในปี 2005 ทว่า Destiny’s Child ก็จัดเป็นวงอาร์แอนด์บีเกิร์ลกรุ๊ปที่ประสบความสำเร็จและทรงอิทธิพลที่สุดวงหนึ่งของสหรัฐอเมริกา
ช่วงที่ยังเป็นสมาชิกวง Destiny’s Child บียอนเซ่รับหน้าที่นักร้องนำ นอกจากนี้เธอก็มีโอกาสร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ รวมทั้งร้องเพลงกับศิลปินที่มีชื่อเสียงหลายคน แถมยังได้รับรางวัลการันตีอีกด้วย
ด้วยความกล้าที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ ประกอบกับไม่กลัวงานหนัก บียอนเซ่ได้เก็บสะสมประสบการณ์ไว้มากมายตั้งแต่วัยเพียงยี่สิบต้น ๆ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ Dangerously in Love (ปี 2003) อัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรกของเธอประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ มีเพลงดังอย่าง Crazy in Love, Baby Boy และอัลบั้มนี้ยังได้รับรางวัลแกรมมีถึง 5 สาขา รวมถึงสาขานักร้องหญิงยอดเยี่ยมประเภทเพลงอาร์แอนด์บีและอัลบั้มอาร์แอนด์บีร่วมสมัยยอดเยี่ยม หลังจากนั้นบียอนเซ่ก็เริ่มนำหลาย ๆ เพลงมาทำเป็นเวอร์ชั่นภาษาสเปน ซึ่งทำให้เธอมีฐานแฟนเพลงที่กว้างมากขึ้น
ในปี 2006 บียอนเซ่ก็ออกอัลบั้มที่สองตามมาคือ B’Day เธอเข้ามาร่วมแต่งเพลงในอัลบั้มนี้ถึง 11 เพลง และอัลบั้มนี้ก็ประสบความสำเร็จมากเช่นกัน ส่วนอัลบั้มที่สามคือ I Am…Sasha Fierce (ปี 2008) และ 4 (ปี 2011) ซึ่งเป็นอัลบั้มที่สี่ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟน ๆ และทำยอดขายถล่มทลายไม่แพ้กัน รวมทั้งอัลบั้มต่อมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากงานเพลงแล้ว บียอนเซ่ยังแสดงหนังอีกหลายเรื่อง เธอแสดงได้สมบทบาทถึงขนาดได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมเวทีลูกโลกทองคำจากเรื่อง Dreamgirls (ปี 2006) มาแล้ว
ส่วนด้านการกุศล บียอนเซ่ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร เธอเป็นทูตขององค์กรต่าง ๆ รวมทั้งทำแคมเปญรณรงค์โครงการดี ๆ มาโดยตลอด รวมทั้งร่วมโปรโมตโครงการ Get Moving เพื่อรณรงค์ให้คนอเมริกันหันมาออกกำลังกาย โดยทำมิวสิควิดีโอประกอบเพลง Get Me Bodied
ถึงวันนี้บียอนเซ่กลายเป็นศิลปินที่ฮ็อตฮิตและได้รับการยอมรับอย่างสูง เธอขายอัลบั้มทั้งเดี่ยวและกลุ่มรวมแล้วกว่าร้อยล้านก๊อปปี้ ทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกมาแล้ว 7 รอบ และได้รับรางวัลแกรมมีถึง 23 รางวัล ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอได้รับรางวัลต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 532 รางวัล จากการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล 1,040 รางวัล แม้แต่ The Observer หนังสือพิมพ์ชื่อดังจากฝั่งอังกฤษก็ยังยกย่องให้เธอเป็นศิลปินแห่งทศวรรษนี้ บียอนเซ่ติดอันดับหญิงผู้ทรงอิทธิพลร้อยคนแรกของโลกในนิตยสาร ฟอร์บส์ ต่อเนื่องมาหลายปี และ นิตยสาร พีเพิล เคยยกให้เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก
ที่น่าสนใจคือ แม้ว่าบียอนเซ่จะมีภาพลักษณ์สุดเซ็กซี่และแสดงบนเวทีอย่างเต็มที่ขนาดไหน แต่เมื่อลงจากเวที เธอจะกลับไปเป็นหญิงสาวขี้อายและสุภาพตามเดิม นิตยสาร ไทม์ เคยเขียนถึงเธอในช่วงอายุยี่สิบกว่า ๆ ขณะกำลังโด่งดังสุด ๆ จากอัลบั้มแรกว่า “บียอนเซ่เป็นคนที่เวลาให้สัมภาษณ์จะพูดจาตะกุกตะกัก มีหลุดขำเหมือนเด็กสาวที่ยังไม่มีความมั่นใจในตัวเองนัก” ถึงแม้ตอนนี้บียอนเซ่จะเปลี่ยนจากเด็กสาวมาเป็นหญิงสาวที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ไม่มีอาการเขินกล้องให้เห็นอีกแล้ว แต่เธอยังคงพูดช้าชัดถ้อยชัดคำ มีความอ่อนน้อมถ่อมตัว และยังชอบแจกรอยยิ้มอยู่เสมอ
บียอนเซ่เล่าว่า เธอทำงานหนักมาตั้งแต่อายุ 15 จนแทบจะไม่รู้จักชีวิตแบบชิล ๆ ด้วยซ้ำไป แต่นั่นเป็นชีวิตที่เธอเลือกเองและเธอก็ชอบทุกสิ่งที่ตัวเองทำ
eHow เว็บไซต์ชื่อดังได้ลงบทความเรื่อง “ทำอย่างไรให้สามารถทำงานหนักได้เหมือนบียอนเซ่” ไว้ 5 ข้อว่า…
1. ตื่นแต่เช้า บียอนเซ่จะลุกจากเตียงตอนหกโมงเช้าทุกวันพร้อมกับความคิดที่แจ่มใสและมองโลกในแง่ดี
2. พยายามให้มาก ๆ และฝันให้ใหญ่เข้าไว้ บียอนเซ่ทำงานหนักเพื่อให้ฝันเป็นจริง และไม่เคยยอมแพ้โดยที่ยังไม่ต่อสู้
3. ดูแลสุขภาพ บียอนเซ่ใส่ใจสุขภาพมาก เพราะการจะรับมือกับงานหนักได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีสุขภาพดี เธอจะกินอาหารที่มีประโยชน์ กินวิตามินเป็นตัวช่วย และออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 – 4 ครั้งเพื่อรักษารูปร่าง
4. ทำงานอย่างฉลาด บียอนเซ่เก่งเรื่องการเจรจาธุรกิจ เธอไม่เคยยอมรับค่าจ้างต่ำ ๆ แล้วต้องมาทนทำงานหนัก หลังจากตกลงเรื่องค่าตอบแทนแล้ว บียอนเซ่จะเรียกร้องให้ลงนามไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งเธอจะยึดมั่นและทำงานตามสัญญานั้น ๆ
5. พยายามเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ เพราะไม่เคยกลัวที่จะลองทำสิ่งใหม่ ๆ เธอจึงเป็นศิลปินที่มีความสามารถหลากหลายอย่างในปัจจุบัน
ส่วนบทบาทต่อมาที่เธอได้รับก็คือการเป็นแม่ บียอนเซ่กับเจย์ซี (Jay-Z) คนรักที่คบกันนานกว่าสิบปี เข้าพิธีแต่งงานกันเมื่อปี 2008 เธอให้กำเนิดลูกสาวคนโตคือ หนูน้อยไอวี่บลู (Ivy Blue) และฝาแฝด รูมี (Rumi) กับเซอร์คาร์เตอร์ (Sir Carter)
คนเป็นแม่ย่อมรู้ดีว่าการเลี้ยงดูลูกคนหนึ่งเป็นงานสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ทว่าด้วยความเต็มที่ของผู้หญิงเก่งคนนี้เชื่อเหลือเกินว่างานนี้บียอนเซ่…เอาอยู่!
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง Violet
ภาพ Pinterest, People, Amazon, Yahoo, Google
บทความน่าสนใจ