5 ความเชื่อผิดๆ ในออฟฟิศ ที่ทำให้ ไม่มีความสุขกับการทำงาน

ที่ทำงาน เป็นสถานที่ที่เราใช้ชีวิตอยู่มากพอๆ กับบ้านของเรา หรือสำหรับหลายๆ คน ใช้เวลาอยู่ในที่ทำงานมากกว่าที่บ้านเสียอีก จนทำให้ที่ทำงาน กลายเป็นเหมือน “บ้านหลังที่สอง” แต่บ้านหลังที่สองหลังนี้ กลับกลายเป็นสถานที่ที่แสนน่าเบื่อสำหรับคนทำงานหลายๆ คน แค่นึกว่าจะต้องไปทำงาน ก็รู้สึกเบื่อแล้ว สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะความเชื่อผิดๆ ในที่ทำงาน ที่บีบบังคับ และกดดัน จนทำให้ ไม่มีความสุขกับการทำงาน

ความเชื่อผิดๆ เหล่านี้มีอะไรบ้าง ไปดูพร้อมกันได้เลย

คนกลับบ้านตรงเวลา คือ คนที่ไม่ทุ่มเทกับการทำงาน

หลายคนประสบปัญหาว่า พอถึงเวลาเลิกงานแล้วเก็บของกลับบ้าน ก็จะโดนเพื่อนร่วมงาน (บางคน) มองตามด้วยสายตาที่สื่อความนัยแปลกๆ คล้ายจะต่อว่าที่เรากลับบ้านตรงเวลา จนทำให้หลายๆ คน โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ วัยเพิ่งเริ่มงานไม่กล้ากลับบ้าน เพราะเกรงใจหัวหน้า และ เกรงใจพี่ๆ ที่ทำงานที่ไม่ยอมลุกจากโต๊ะกันเสียที

เหตุที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะบางคนมีความเชื่อผิดๆ ว่า การกลับบ้าน “ตรงเวลา” หรือ การกลับบ้านทันทีที่ถึงเวลาเลิกงานนั้น แสดงถึงความไม่ทุ่มเท ไม่อุทิศตนเพื่อบริษัท ซึ่งที่จริงแล้ว การกลับบ้านตรงเวลานั้นเป็น “สิทธิ” ที่ทุกคนสามารถทำได้ เมื่อถึงเวลาเลิกงาน เราก็ควรจะได้กลับไปพักผ่อนตามที่เราต้องการ เราจึงไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดที่จะกลับบ้านเมื่อถึงเวลาเลิกงาน

แต่ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะงานของเราด้วย ว่าเมื่อถึงเวลาเลิกงานแล้ว ในทางปฏิบัติ งานของเราเสร็จสิ้นแล้วจริงๆ หรือไม่ งานและความรับผิดชอบของเราทำเสร็จสมบูรณ์แล้วหรือยัง บางครั้งหากไม่สามารถทำงานเสร็จภายในเวลางานได้จริงๆ ก็อาจจำเป็นต้องทำงานเกินเวลา หรือ นำงานกลับไปทำต่อที่บ้าน หรือ ส่งมอบงานต่อให้ผู้อื่นรับผิดชอบต่อ

คนที่ไม่หอบงานกลับไปทำที่บ้าน คือ คนไม่ขยัน

คนที่หอบงานกลับไปทำที่บ้าน ไม่จำเป็นต้องเป็นคนขยันเสมอไป

คนที่ทำงานในวันหยุดก็ไม่ได้แปลว่าเป็นคนที่ขยันเสมอไปเช่นกัน

คนที่ “ไม่” หอบงานกลับไปทำที่บ้าน ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ขี้เกียจ ไม่ทุ่มเททำงานเสมอไป

เหตุผลในการหอบงานกลับไปทำที่บ้านของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไป บางคนมีงานที่จำเป็นต้องทำในวันหยุด หรือทำนอกเหนือจากเวลางานจริงๆ แต่ในขณะเดียวกัน คนที่จำเป็นต้องทำงานนอกเวลางาน ก็อาจจะเกิดจากการบริหารเวลาในการทำงานที่ไม่ดี จนทำให้ทำงานเสร็จภายในเวลางานไม่ทัน และต้องนำกลับไปทำต่อที่บ้านในที่สุด

หากคุณกำลังเป็นคนที่ทำงานไม่ทันจนต้องนำกลัไปทำต่อที่บ้าน กินเวลาส่วนตัว กินเวลาพักผ่อนของคุณไป ก็อย่าลืมจัดตารางเวลาในการทำงานใหม่ เพื่อให้มี Work-life balance ที่ดีขึ้น

คนที่ไม่ตอบไลน์ หรือ ตอบไลน์ช้า คือ คนที่ไม่ใส่ใจทำงาน

หลายคนอาจรู้สึกหงุดหงิด อารมณ์เสีย ที่ส่งไลน์ หรือ ทักแชทไป แล้วคู่สนทนาของเราตอบไลน์ช้าหรือไม่ยอมอ่านไลน์สักที ทั้งๆ ที่จริงแล้ว โทรศัพท์มือถือของพวกเราสามารถ “โทร” หากันได้ การโทรเป็นวิธีการที่รวดเร็ว และเหมาะสำหรับโอกาสเร่งด่วน หากรู้สึกว่าสิ่งที่เราต้องการติดต่อนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วน ใช้วิธีโทรหากันน่าจะดีกว่านะคะ

คนที่นั่งทำงานตลอดเวลา ไม่ยอมลุกไปรับประทานอาหารกลางวัน คือ คนที่ขยัน ทุ่มเทให้กับการทำงาน

พฤติกรรมแบบนี้จะคล้ายกับการกลับบ้านตรงเวลา และการขนงานกลับไปทำต่อที่บ้าน คือ หากเราสามารถจัดระเบียบการทำงานของเราได้ดี เราจะสามารถบริหารเวลาที่มีอยู่กับปริมาณงานที่ต้องทำได้อย่างลงตัว จนไม่กระทบต่อเวลาส่วนตัวของเรา

ซึ่งการทุ่มเททำงาน จนไม่ลุกจากโต๊ะทำงานเลยเป็นพฤติกรรมการทำงานที่ไม่ดี อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของเราได้ เช่น ตาล้าเนื่องจากการใช้สายตาติดต่อกันเป็นเวลานาน ปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก ออฟฟิศซินโดรม จากการนั่งทำงานในท่าที่ไม่เหมาะสมกับสรีระของร่างกายเป็นเวลานาน

คนที่พูดในที่ประชุมเยอะที่สุด คือ คนที่ทำงานเก่งที่สุด

ห้องประชุมนั้นเป็นสถานที่ที่มีหลากหลายอารมณ์ ทั้งสนุกสนาน เคร่งเครียด ตลกขบขัน ไปจนถึงประหัตประหารฆ่าฟันกัน ราวกับโกรธแค้นกันมาแต่ปางไหน

คนที่ทำงานเยอะ มีส่วนร่วมในงานชิ้นนั้นมาก ย่อมมีความรู้ความเข้าใจในงาน จึงสามารถอธิบายถึงรายละเอียดของงานได้อย่างดีเยี่ยม แต่บางครั้งคนที่พูดในที่ประชุมเยอะๆ ก็ไม่ได้แปลว่าคนคนนั้นเป้นคนที่ทำงานเก่ง ทำงานดี หรือทำงานเยอะกว่าคนอื่น ผู้เข้าร่วมประชุมและหัวหน้าจึงต้องมองให้ออก และพิจารณษจากหลายปัจจัยประกอบกันอย่างถี่ถ้วน ว่าใครที่ทำงานเก่ง ทำงานดี มีความสามารถในด้านใดบ้าง เพื่อที่จะได้สามารถแบ่งงานให้ตรงตามความสามารถของคนแต่ละคนได้ และดูแลบรรยากาศในที่ประชุม และบรรยากาศในที่ทำงานให้ดีอยู่เสมอได้