วาไรตี้ทุกข์ ของ กรรณิกา ธรรมเกษร (2)
ก่อนหน้านี้ด้วยความชะล่าใจและคิดฝันว่าธุรกิจจะรุ่งโรจน์ ในช่วงปี 2538 ดิฉัน (กรรณิกา ธรรมเกษร) ไปกู้เงินจากธนาคาร ด้วยการเอาตัวเองเป็นผู้ค้ำ บริษัทภาษรฯเป็นผู้กู้ เพื่อนำเงินมาสร้างอาคารภาษรที่สวยหรูราคากว่ายี่สิบล้าน…
ว่าวบินสูงขึ้นได้เพราะต้านลม ยิ่งต้านลมแรงก็จะยิ่งสูงขึ้นๆ ว่าวที่บินไปตามลมนั้นคือว่าวที่ขาดลอย ซึ่งจะบินไปตกที่ไหน ไม่มีใครคาดเดาได้
ชีวิตมนุษย์ก็เช่นกัน หากวันใดต้องเผชิญกับอุปสรรคขวากหนาม ขอให้เชื่อเถอะว่า ถ้าฝ่าไปได้ชีวิตเราจะดีขึ้นกว่าเดิม แต่หากเราไม่เคยพบความผิดพลาด ไม่เคยเจอะเจอแม้ความทุกข์ยากเพียงนิด เราจะไม่มีทางพบความก้าวหน้าได้เลย
ดิฉัน กรรณิกา ธรรมเกษร มีบทเรียนแรกในชีวิตเป็นความทุกข์อย่างแสนสาหัสจากความรัก ที่แม้จะบอบช้ำแค่ไหน ก็ยังยืนหยัดต่อสู้ เพราะรู้ดีว่ามีลูกสองคนที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจอยู่เคียงข้าง แต่สิ่งที่ทำให้เจ็บปวดที่สุดจนวินาทีหนึ่งคิดอำลาโลก คือปัญหารุมเร้าจากธุรกิจการงาน
ตอนนั้นดิฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกทดสอบ โลกกำลังพิสูจน์ศรัทธาที่ดิฉันมีต่อชีวิต จึงหยิบยื่นการบ้านข้อที่ยากแสนยากให้ลงมือทำ
“แก่วิชา…แต่พลาดท่าเสียที”
หากจะถามว่าดิฉันเป็นอะไรมากกว่ากันระหว่างนักธุรกิจกับศิลปิน ขอตอบอย่างไม่ลังเลเลยค่ะว่าศิลปินเพราะมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ทุกวันนี้จากประชาชนที่ชื่นชมในผลงานการแสดง สิ่งที่ปรารถนาในชีวิตการงานมีอยู่อย่างเดียวคือ อยากนำเสนอความคิดใหม่ๆ ที่เชื่อว่าเป็นประโยชน์แก่คนอื่น ดังนั้นเวลาทำอะไรก็ตัดสินใจเด็ดขาด ลุยไปเลย โดยไม่หวั่นเกรงกับอุปสรรคขวากหนามที่รออยู่ข้างหน้า
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ดิฉันเข้มแข็ง อาจมาจากการเกิดเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวท่ามกลางพี่และน้องชายก็เป็นได้ จำได้ว่า ตอนเด็กๆ ใช้ชีวิตอยู่ริมคลองวัดมหรรณพ ฐานะทางบ้านปานกลาง ไม่มีแม่บ้านหรือคนรับใช้ พี่ชายดูแลเรื่องตักน้ำ ดิฉันคอยช่วยคุณแม่ดูแลเรื่องงานครัว
พออายุสิบขวบเรียนจบประถมศึกษาปีที่ 4 คุณแม่พาไปดูหนังเรื่อง การะเกด เห็น คุณพิศมัย วิไลศักดิ์ รำหน้าเวที ชอบมาก คุณแม่จึงพาไปฝากเป็นลูกศิษย์ครูสัมพันธ์ พันธ์มณี จนอายุ 12 ได้ออกทีวีเป็นครั้งแรก แสดงละครเป็นพระเจ้าราชาธิราช แฟนๆ ตอบรับเยอะมากหลังจากนั้นผู้ใหญ่ที่เคยเห็นผลงานก็ให้เป็นผู้ประกาศพิเศษของช่อง 4
จนกระทั่งได้อ่านข่าวช่องต่างๆ ที่ทำนานที่สุดคือ ช่อง 3 ทำอยู่ 17 ปี ทั้งอ่านข่าว จัดรายการ แถมมีรายการวิทยุ เรียกได้ว่าประสบการณ์ในการทำงานที่สั่งสมมาตั้งแต่เด็ก ทำให้รู้รายละเอียดในการทำงานทุกขั้นทุกตอน จนน่าจะเรียกได้ว่าเชี่ยวชาญในวิชาความรู้แขนงนี้เป็นอย่างดี แต่น่าเสียดายว่าความรู้ที่ได้รับยังไม่ทำให้ดิฉันฉลาดเฉลียวรู้เท่าทันคนมากนัก จึงทำให้พลาดท่าเสียทีจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
เรื่องราวก่อตัวขึ้นราวปี 2530 ดิฉันเริ่มตั้ง บริษัทภาษร โปรดักชั่น จำกัด และ บริษัทภาษร ยูนิเวอร์แซลจำกัด ผลิตรายการ ทีวีวาที ซูเปอร์จิ๋ว กฎแห่งกรรมโต้คารมมัธยมศึกษา และอื่นๆ
ทีวีวาที เป็นรายการที่ดิฉันภูมิใจมาก จัดช่วงสี่ทุ่มคนดูดูแล้วมีความสุข เรียกว่าอิ่มสุข แม้แต่คนพิการหูหนวกก็ดู เพราะเรามีภาษามือคอยอธิบาย ส่วนรายการที่สอง ซูเปอร์จิ๋ว เป็นรายการที่มาจากไอเดียบรรเจิดว่าจะทำรายการให้เด็กๆ
แล้วก็รายการ กฎแห่งกรรม ที่เป็นรายการสด มีการนิมนต์พระอาจารย์มาให้ธรรมะแต่เช้า หยิบยกปัญหาในชีวิตประจำวันมาบรรยาย รายการนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายตอนหนึ่งตกห้าหมื่นกว่าบาท เนื่องจากไม่มีค่าโฆษณา แต่รอให้มีการร่วมบริจาคจากผู้ชมทางบ้าน พอเงินหมด งบหมด ก็ต้องหยุดรายการไว้ก่อน
จนมาถึงรายการ โต้คารมมัธยมศึกษา ที่ออกอากาศตอนกลางวันช่วงสิบเอ็ดโมงครึ่งถึงเที่ยงครึ่ง แต่เรตติ้งไม่ดี ที่สุดทางสถานีขอเวลาคืนเพื่อไปทำละครตอนบ่ายสู้กับช่องอื่น
ในช่วงที่ทำหลายรายการ ดิฉันใช้วิธีเอากำไรจากรายการ ทีวีวาที มาหมุนให้รายการ โต้คารมมัธยมศึกษา และซูเปอร์จิ๋ว เป็นการดึงเงินไปมา จนเงินหมดก็ติดลบ แต่ค่าใช้จ่ายที่ตามมามีทั้งค่าสถานี ค่าผลิต ค่าเบี้ยเลี้ยงพนักงาน ดิฉันไม่มีเงินเดือน พอมีเงินก็เอามาลงทุน แล้วความที่เราไม่เคยดูบัญชี พนักงานที่ฝึกมาก็เชื่อว่าซื่อสัตย์ เลยไม่ได้ใส่ใจ สนใจแต่เรื่องงาน มุ่งผลิตงานอย่างเดียว
เมื่อแผนการเงินล้มเหลวประกอบกับวิกฤติเศรษฐกิจช่วงไอเอ็มเอฟรุมกระหน่ำ รายการ ทีวีวาที ที่มีผู้ชมติดกันทั้งบ้านทั้งเมืองก็มีอันต้องปิดตัวลงในปี 2543
ก่อนหน้านี้ด้วยความชะล่าใจและคิดฝันว่าธุรกิจจะรุ่งโรจน์ ในช่วงปี 2538 ดิฉันไปกู้เงินจากธนาคารด้วยการเอาตัวเองเป็นผู้ค้ำ บริษัทภาษรฯเป็นผู้กู้ เพื่อนำเงินมาสร้างอาคารภาษรที่สวยหรูราคากว่ายี่สิบล้านเตรียมไว้สำหรับการเติบโตของบริษัทอีกด้วย
ปี 2540 อาคารภาษรซึ่งเป็นตึกเจ็ดชั้นก็สร้างเสร็จ ดิฉันมีพนักงานกว่า 40 ชีวิตต้องดูแล ชั้นหนึ่งใช้สำหรับเป็นสำนักงาน ชั้นสองเป็นห้องฝึกอบรมสัมมนาสำหรับผู้ที่จะเข้ามาอบรมการพูด เรียกว่าเป็นศูนย์กลางของความรัก ความสามัคคี ความรู้ มีบรรยากาศของความอบอุ่นอยู่ในนั้น
ชั้นที่สาม ที่สี่ ที่ห้า เป็นสำนักงานที่ดิฉันฝันไว้ว่า สักวันหนึ่งจะใช้รองรับพนักงานที่นับวันจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น ส่วนชั้นที่หก ดิฉันใช้เป็นห้องพักส่วนตัวและห้องทำงาน แล้วเก็บชั้นที่เจ็ดไว้รับแขกของตัวเอง
ฝันนั้นสวยหรู แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม หลังสร้างตึกหลังนี้เสร็จไม่นาน วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ก็กระชากดิฉันจมดิ่งสู่ความจริง
เช็คของบริษัทลูกค้าเด้ง รู้สึกเหมือนล้มทั้งยืน ยิ่งไปกว่านั้นภาวะทางการเงินของบริษัทก็ร่อแร่เต็มที รายการทีวีต้องยุติลงไปเกือบหมด หนำซ้ำยังเป็นหนี้ทีวี หนี้โปรดักชั่น ลูกน้องชิงลาออกกันไปทีละคนสองคน
แม้การที่บริษัทกำลังจะล่มสลายไปต่อหน้าต่อตาว่าหนักแล้ว ดิฉันยังไม่เสียใจเท่ากับเสียรู้ให้คนใกล้ตัว เรื่องมีอยู่ว่า ช่วงที่กำลังจมอยู่ในความทุกข์โศกของหนี้สิน มีลูกศิษย์คนหนึ่งมาขอพบ บอกว่าอยากช่วย สุดท้ายเขามาฟอร์มงานเรื่องการจัดอบรม มีทีมมาช่วย เราก็ปล่อยให้เขาช่วยกันคิด ตอนนั้นทีมงานของดิฉันเหลืออยู่สี่คน เชื่อไหมว่า ความที่มัวแต่กลุ้มใจ คิดแต่เรื่องหนี้สินการงานไปตามลำพัง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เขาไปตั้งบริษัทเองกับทีมสี่คนที่เหลือนั่นแหละ
นึกไม่ถึงว่าเขาจะทำกับดิฉันอย่างนี้ น้ำตาไหลด้วยความอัดอั้นตันใจคิดแต่เพียงว่า ในชีวิตเราจะต้องเจอคนแบบนี้อีกกี่ครั้ง ต้องเจอคนหัวใจมืดบอดแบบนี้อีกกี่หน คงมีทางเลือกเพียงอย่างเดียวคืออโหสิกรรม และต้องต่อสู้กับเหตุการณ์นี้ด้วยตัวเองเท่านั้น
หลังประสบปัญหาด้านการเงิน คู่หมั้นจากต่างเมืองก็เดินจากไป พอหันไปเล่นการเมืองก็ไม่ประสบความสำเร็จ
วูบหนึ่งเมื่อรู้สึกทุกข์จนเกินจะทนกับภาระหนี้สินกว่า 60 ล้านบาท ดิฉันเดินขึ้นไปรับลมบนดาดฟ้าของตึกเงียบๆ คนเดียว คิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเพียงลำพัง
บัดนี้ชีวิตไม่เหลือใครไว้ให้ปรับทุกข์แม้แต่เพียงคนเดียว ต้องขายรถส่วนตัว 3 คัน รถตู้บริษัทอีก 2 คัน จำนองบ้าน ขายเครื่องประดับ ขายเปียโนของลูก รวมทั้งสมบัติหลากหลายเพื่อแปรเป็นเงินใช้หนี้
”นี่ถ้าฉันกระโดดจากตึกนี้ลงไปยังพื้นดินข้างล่างจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ ถ้าฉันตาย…ถ้าคนอย่างฉัน กรรณิกา ธรรมเกษร ตาย…คงเป็นข่าวครึกโครมตามหน้าหนังสือพิมพ์ อาจจะเพียงไม่กี่วัน แต่ใครจะเป็นคนตอบคำถามนักข่าว…ลูกๆ ไง โอ…ฉันจะโยนบาปกรรมเหล่านี้ไปให้คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่มานั่งแก้ปัญหาได้อย่างไร
”สู้ตายดีกว่านะกรรณิกา ไม่ต้องฆ่าตัวตายหรอก เพราะอย่างไรเสียคนเราเกิดมาก็ต้องตายอยู่แล้ว แต่ก่อนตายขอสู้ให้สมกับที่เกิดมาเป็นมนุษย์ได้ไหม ดิฉันบอกตัวเองด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว
แล้วลมวูบหนึ่งก็พัดพาความคิดร้ายๆ ออกไปจากใจ ทิ้งไว้เพียงคราบน้ำตา แต่ปวดใจยังไม่ทันจางหาย ปวดกายก็เริ่มแสดงตัวออกมาให้เห็น
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
บทความน่าสนใจ
“รักษากาย วาจา ใจ” เคล็ดลับการใช้ชีวิตของ หน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์
เป็น ผู้สูงอายุ อย่างมีความสุข สุขภาพใจแข็งแรง
ทฤษฎีความสุขในทุกวัน ของ ปอ ทฤษฎี สหวงษ์
นัท มีเรีย เบนเนเดดตี้ กับ “น้องฟ้าโปรด” ใจดวงเล็ก ๆ ที่แสนเปี่ยมสุขของเธอ