มอง ความตาย ใน 3 ศาสนา
“ความตาย” เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยง ชีวิตหลัง ความตาย เป็นดังปริศนาที่ทุกคนหาคำตอบ
คำสอนของแต่ละศาสนามีคำตอบที่แตกต่างกันไป
Secret จะพาคุณไปรู้จักกับ ความตาย ในมุมมองของ 3 ศาสนาและพินิจเรื่องความตายที่เป็นเรื่องใกล้ตัวเราทุกคน
คติความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดของชาวไทยพุทธ
คนไทยส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาพุทธมีคติความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดคำสอนในพุทธศาสนากล่าวว่า มนุษย์ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ รูป(ร่างกาย) และจิต ร่างกายอาจแตกดับไปตามอายุขัย แต่จิตยังคงวนเวียนไปตามผลกรรมที่ได้กระทำยามมีชีวิต หากต้องการให้จิตหลุดพ้นจากวัฏจักรอันเป็นทุกข์ไม่สิ้นสุด ต้องประกอบกรรมดี ละเว้นจากการทำบาปทั้งปวง และมุ่งฝึกพัฒนาจิต ละกิเลสซึ่งเป็นเครื่องผูกมัดเหนี่ยวรั้งใจทั้งปวงเพื่อเข้าสู่นิพพาน
คนไทยพุทธจึงเน้นที่การประกอบพิธีกรรมเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตายเพราะเชื่อว่าจะส่งผลให้วิญญาณผู้ตายไปสู่สุคติภูมิ การประกอบพิธีกรรมหลายวันเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยประคองความรู้สึกของญาติมิตรที่ยังมีชีวิตอยู่ให้คลายความโศกเศร้าจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักลงได้บ้าง และทำให้ได้ตระหนักถึงความไม่เที่ยงแท้แห่งสังขารอีกด้วย
ตามประเพณีดั้งเดิมนั้น พิธีศพมีขั้นตอนที่ประณีตและซับซ้อนมาก ต่อมาได้ยกเลิกขั้นตอนบางอย่างลงด้วยปัจจัยด้านเวลาและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจ ประเพณีเกี่ยวกับงานศพของชาวไทยพุทธแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ 1. วันถึงแก่กรรม 2. วันตั้งศพบำเพ็ญกุศล 3. วันฌาปนกิจ (วันเผา) 4. วันหลังฌาปนกิจ (วันเก็บอัฐิ)
แต่ละขั้นตอนของพิธีศพล้วนแฝงคติธรรมเพื่อเตือนใจให้ระลึกถึงความตายและพิจารณาถึงความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต เช่นทิศทางการวางศพ โดยหันศีรษะของศพไปทางทิศตะวันตก เพราะเชื่อว่าเป็นทิศของคนตาย ซึ่งแฝงคติธรรมให้พิจารณาว่าการตายคือการเสื่อมสิ้นไป เหมือนพระอาทิตย์ที่ตกทางทิศตะวันตกเสมอ นอกจากนี้พิธีกรรมในหลายขั้นตอนยังสะท้อนให้เห็นถึงคติความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย เช่น พิธีนำเงินใส่ปากศพ โดยถือว่าเป็นการมอบทุนทรัพย์ให้ผู้ตายติดตัวไว้ใช้ในการเดินทางสู่โลกหน้า
การตั้งศพบำเพ็ญกุศลอาจกำหนดเป็น 3 วัน 5 วัน หรือ 7 วัน แล้วแต่ฐานะของเจ้าภาพ แต่ถ้าเป็นการตายแบบผิดธรรมชาติหรือตายเร็วกว่าเวลาที่ควรจะเป็น อาจตั้งศพบำเพ็ญกุศลเพียงหนึ่งคืน และประกอบพิธีฌาปนกิจให้เร็วที่สุด การนิมนต์พระสงฆ์มาสวดพระอภิธรรม แม้จะมองดูว่าเป็นการกระทำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ แต่มีคติธรรมที่แฝงอยู่คือการเตือนสติให้ญาติมิตรที่ยังมีชีวิตอยู่ได้พิจารณามรณานุสติความไม่เที่ยงแท้ของสังขาร ให้มีสติกำกับการใช้ชีวิตอยู่ตลอดเวลา ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ทำความดีและสร้างสมบุญกุศลทั้งปวงเพื่อความสุขทั้งยามมีชีวิตและเมื่อละสังขาร
การไปร่วมงานศพและการเคารพศพถือเป็นการแสดงความระลึกถึงผู้ล่วงลับ ขอขมาลาโทษและอโหสิกรรมให้แก่กัน วันที่สำคัญที่สุดของประเพณีงานศพคือวันฌาปนกิจหรือวันเผา เนื่องจากมีขั้นตอนพิธีกรรมมากมาย และเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัว ญาติมิตร และเพื่อนฝูงจะได้ส่งผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย ตามประเพณีจะไม่นิยมเผาศพในวันพระและวันศุกร์
วันหลังฌาปนกิจ ลูกหลานและญาติมิตรของผู้ล่วงลับจะนิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีบังสุกุลและเก็บกระดูกหรืออัฐิใส่โกศหรือภาชนะมีฝาปิดตามแต่ฐานะของครอบครัวผู้ล่วงลับ เพื่อนำไปเก็บรักษาไว้ที่วัด บางรายอาจแบ่งอัฐิบางส่วนมาเก็บไว้ที่บ้าน ส่วนเถ้าถ่านที่เผาศพจะรวบรวมและนำห่อผ้าขาวไปลอยที่แม่น้ำลำคลองหรือทะเล
สมัยก่อนงานศพส่วนใหญ่จัดขึ้นที่บ้านของผู้ล่วงลับ แต่ปัจจุบันนิยมจัดพิธีบำเพ็ญกุศลที่วัด เพราะสะดวกทั้งเรื่องสถานที่และการทำพิธีกรรม
อาจารย์จุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมไทย กล่าวถึงคติความเชื่อเรื่อง ความตายของชาวไทยพุทธว่า
“คนไทยพุทธเชื่อว่า เมื่อตายไปแล้วต้องมีโลกหน้าที่เราเดินทางต่อไปเพราะฉะนั้นครอบครัวและญาติจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลต่าง ๆ ให้ผู้ตาย โดยเชื่อว่าเขาจะได้ไปสู่สุคติภูมิ หรืออาจไปเกิดในที่ดี ๆ ไปสวรรค์ แทนที่จะไปเกิดในนรกหรือเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน
“คติความเชื่อเรื่องความตายของชาวไทยพุทธมักแฝงคติธรรมเสมอ เช่นการมัดตราสัง คือการใช้ด้ายสายสิญจน์ทำเป็นบ่วงมัดศพเป็นสามเปลาะที่คอ มือและเท้า ในอดีตยังไม่มีการฉีดน้ำยารักษาศพมิให้เน่าพองอืด การมัดตราสังจึงเป็นวิธีการป้องกันไม่ให้ศพที่เก็บไว้หลายวันพองอืดขึ้นจนดันโลงแตก แต่ถ้าพิจารณาแล้วก็เป็นคติธรรมแฝงให้คิดว่า บ่วงทั้งสามเปรียบได้กับตัณหา 3 ประการที่เป็นห่วงผูกรั้งมนุษย์ให้ตกอยู่ในวัฏสงสารดังภาษิตโบราณที่ว่า ‘ตัณหารักลูกเหมือนดังเชือกผูกคอ ตัณหารักเมียเหมือนดังปอผูกศอก ตัณหารักข้าวของเหมือนดังตอกรัดตีน’ ผู้ใดสามารถสละได้ก็จะพ้นจากทะเลทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด”
การจากไปสู่ชีวิตที่เป็นนิรันดร์ของชาวคริสเตียน
ชาวคริสเตียนนิกายโปรเตสแตนต์เชื่อว่าการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้นเพราะชีวิตหลัง ความตาย คือการกลับไปมี“ชีวิตนิรันดร์” ซึ่งหมายความว่า เมื่อตายแล้วมนุษย์จะกลับไปอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าในสวรรค์อันเป็นที่อยู่ถาวร ซึ่งพระเจ้าได้ทรงเตรียมไว้สำหรับมนุษย์ทุกคนที่เชื่อและวางใจในพระองค์
ตามพระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า แท้จริงแล้วพระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์ให้มี ความตาย แต่มนุษย์คู่แรกทำผิดต่อพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นพระองค์จึงทำให้มนุษย์ต้องตายเพื่อลงโทษการตายก็คือการขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า แต่ในที่สุดแล้วพระเจ้าก็ทรงส่งพระเยซูคริสต์มาไถ่บาปให้เหล่ามนุษย์ เพื่อให้มนุษย์กลับไปคืนดีกับพระเจ้าอีกครั้ง การกลับไปคืนดีนี้คือการกลับไปมีสัมพันธภาพกับพระเจ้าแบบถาวร ซึ่งไม่มีสิ่งใดแยกได้อีกแม้กระทั่งความตายของร่างกาย ดังนั้นชีวิตนิรันดร์ได้เริ่มต้นขึ้นในชีวิตนี้แล้วทันทีหลังจากเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า
คติความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายของชาวคริสเตียนส่งผลต่อการดำเนินชีวิตโดยชาวคริสเตียนเชื่อว่าชีวิตบนโลกนี้เป็นเรื่องชั่วคราว ชีวิตหลังความตายยิ่งใหญ่กว่ามาก ดังนั้นชาวคริสเตียนจึงใช้ชีวิต ความสามารถ และวัตถุที่มีอยู่เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและสังคมให้ได้มากที่สุด
เมื่อชาวคริสเตียนถึงแก่กรรม จะมีการจัดพิธีศพอย่างเรียบง่าย เพราะเชื่อว่าการตายเป็นการจากไปเพียงชั่วคราว และวันหนึ่งทุกคนจะได้เจอกันอีกครั้งในดินแดนของพระเจ้า พิธีที่สำคัญคือ “พิธีนมัสการไว้อาลัย” ซึ่งอาจจัดขึ้นที่โบสถ์เป็นเวลา 3 - 5 วันโดยประมาณตามแต่สะดวก
ระเบียบพิธีศพโดยทั่วไปคล้ายการเข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์ ซึ่งประกอบด้วยการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า การอธิษฐานเพื่อขอพรและการปลอบประโลมใจแก่ครอบครัวผู้วายชนม์ การอ่านพระคัมภีร์ การเทศนาบรรยายธรรม ซึ่งเน้นเรื่องความหวังหลังความตาย และเล่าถึงบทเรียนชีวิตของผู้ล่วงลับ (บางครั้งคริสเตียนใช้คำว่า “ล่วงหลับ”คือการไปหลับอยู่กับผู้ที่จากไปก่อน) เพื่อระลึกถึงคุณความดีและตัวอย่างที่ดีของผู้ที่จากไป
เมื่อครบกำหนดพิธีกรรมไว้อาลัยแล้วสมัยก่อนนิยมฝังศพที่สุสาน โดยเคลื่อนศพไปยังสถานที่ฝัง จากนั้นให้สัปเหร่อยกศพลงหลุมศพที่เตรียมไว้ ระหว่างทำพิธีมีการร้องเพลงที่มีเนื้อเพลงเกี่ยวกับความหวังในชีวิตหลังความตาย จากนั้นผู้ร่วมพิธีจะนำก้อนดินพร้อมดอกไม้ที่เจ้าภาพแจกจ่ายให้ไปวางในหลุมศพ ปิดฝาหลุมศพ และอธิษฐานอวยพรญาติพี่น้องที่มาร่วมงาน เป็นอันจบพิธี
ปัจจุบันชาวคริสเตียนบางท่านอาจทำพิธีเผาที่คริสตจักรที่มีเตาเผาหรือที่วัดไทยหรือไม่ก็บริจาคศพให้แก่โรงพยาบาลเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา แล้วแต่ความประสงค์ของผู้เสียชีวิตและครอบครัว เพราะไม่มีกฎเกณฑ์หรือพิธีกรรมบังคับตายตัวใด ๆ
ตามประเพณีของชาวคริสเตียนนั้นจะมีการรำลึกถึงผู้ล่วงลับและเยี่ยมเยียนสุสานในเทศกาลอีสเตอร์ หรือเทศกาลวันฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเป็นประจำทุกปี
อาจารย์ ภากร มังกรพันธุ์ อดีตผู้ช่วยศิษยาภิบาลแห่งคริสตจักรสืบสัมพันธวงศ์ กล่าวถึงคติหลังความตายของชาวคริสเตียนนิกายโปรเตสแตนต์ว่า
“คริสเตียนเชื่อเรื่องการตายแล้วฟื้นดังนั้นการตายจึงเปรียบเหมือนการเปลี่ยน-แปลงที่อยู่จากที่เก่าไปสู่ที่ใหม่ อาจมีความโศกเศร้าคิดถึงผู้จากไปอยู่บ้าง แต่ลึก ๆในใจแล้วเรารู้ว่าผู้ที่จากไปมีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่คือชีวิตนิรันดร์ ซึ่งในวันหนึ่งเราทุกคนจะได้พบกันอีก ดังนั้นพิธีศพของชาวคริสเตียนจึงมีบรรยากาศค่อนข้างอบอุ่นมีจุดประสงค์เพื่อให้กำลังใจครอบครัวของผู้ตาย เพราะชีวิตหลังความตายของเรานั้น มีความหวังอันยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหน้าแล้ว”
โลกแห่งการรอคอยของชาวมุสลิม
การศรัทธาในโลกหน้า หรือการฟื้นคืนชีพหลังความตายเพื่อรับการไต่สวนในการกระทำของตน เป็นหนึ่งในหลักศรัทธาของชาวมุสลิม ดังที่ได้ปรากฏในบทสวดมนต์ขอพรบทหนึ่งที่สวดประจำวัน ซึ่งกล่าวว่าขอให้เขาอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุข ขอให้พ้นจากไฟนรก แสดงให้เห็นว่าชีวิตหลังความตายหรือที่เรียกกันว่า “ชีวิตในหลุมฝังศพ” เป็นสิ่งที่ชาวมุสลิมตระหนักอยู่เสมอ
ตามความเชื่อทางศาสนาอิสลามนั้นกายของคนเราแบ่งออกเป็น 2 ภาค คือกายหยาบหรือร่างกาย และกายละเอียดหรือจิตวิญญาณ ส่วนการตายคือการที่กายละเอียดแยกจากกายหยาบ นั่นหมายถึงว่ากายละเอียดไม่สามารถควบคุมกายหยาบได้อีกแล้ว
เมื่อความตายมาเยือน หน้าที่ของชาวมุสลิมคือ การจัดการดูแลกายหยาบของผู้เสียชีวิตให้เรียบร้อย โดยมีระเบียบปฏิบัติได้แก่ การอาบน้ำทำความสะอาดศพและห่อด้วยผ้าขาว การสวดวิงวอนอุทิศแด่ผู้วายชนม์ ตามประเพณีแล้วหน้าที่ในสุสานเป็นของผู้ชาย ส่วนการดูแลศพในเบื้องต้นเป็นหน้าที่เฉพาะเพศเดียวกัน แต่ถ้าไม่มีบุคคลเพศเดียวกันก็เป็นหน้าที่ของลูก ภรรยา หรือสามี
การประดับตกแต่งโลงศพเป็นไปอย่างเรียบง่าย โดยมักคลุมด้วยผ้าประดับลวดลายโองการจากพระคัมภีร์ หรือตกแต่งด้วยดอกไม้หรืออาจใช้ใบไม้ที่เป็นพืชตระกูลมินต์ ซึ่งให้น้ำมันหอมระเหย เช่น ใบโหระพา อันเป็นสัญลักษณ์ของพืชแห่งสรวงสวรรค์ ซึ่งในบทสวดมีคำกล่าวถึงพืชนี้อยู่ด้วย
เมื่อชาวมุสลิมได้รับรู้ข่าวการเสียชีวิตเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องช่วยเหลือ ร่วมแสดงความเสียใจและให้กำลังใจแก่ครอบครัวของผู้วายชนม์ ต้องปฏิบัติตัวอย่างให้เกียรติและให้ความเคารพต่อผู้ตาย ห้ามพูดวิจารณ์ถึงผู้เสียชีวิตในทางเสื่อมเสีย
พิธีศพของชาวมุสลิมใช้วิธีการฝังเพื่อให้ร่างสลายไปตามธรรมชาติเท่านั้น โดยปกติแล้วต้องฝังให้เร็วที่สุด ส่วนสถานที่ฝังศพคือสุสาน หรือที่เรียกกันว่า “กุโบร์” ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่พำนักรอคอยที่แรกก่อนเข้าสู่การตัดสินในวันแห่งคำพิพากษา ตามความเชื่อของศาสนาที่ว่าโลกมีการแตกดับ หลังจากวันสิ้นโลกจะเป็นวันแห่งการพิพากษา ซึ่งทุกชีวิตจะถูกปลุกฟื้นเพื่อรับการตัดสินจากพระเจ้าตามสิ่งที่ตนได้กระทำไว้
พิธีฝังศพตามหลักของศาสนาอิสลามที่พบในเมืองไทยมี 2 รูปแบบ คือ การฝังทั้งหีบและการฝังโดยไม่ใช้หีบ การฝังศพที่ไม่ใช้หีบจะต้องมีกระดานไม้ปิดเพื่อไม่ให้ถูกดินกดทับ การนำศพลงสู่หลุมเป็นหน้าที่ของลูกหลานที่เป็นชาย ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ตาย ลงไปรอรับศพในหลุมที่ขุดเตรียมไว้ การฝังศพจะฝังในท่านอนตะแคงส่วนศีรษะและใบหน้าหันไปทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหารกะบะฮ์ที่ตั้งอยู่ในนครเมกกะนั่นเอง
ชาวมุสลิมไม่มีความเชื่อเรื่องการฝังสิ่งของมีค่าใด ๆ ไปในหลุมศพกับผู้ตาย สิ่งที่ชาวมุสลิมเชื่อว่าจะติดตัวผู้ตายไปมีเพียง 3อย่างเท่านั้น คือ หนึ่ง ความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าและศาสนกิจที่ตนสั่งสมไว้ สอง วิทยาทานหรือกุศลทาน และสาม การมีบุตรที่ดีเพื่อทำหน้าที่ขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้าให้แก่ตนหลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว
คุณธีรนันท์ ช่วงพิชิต นักวิชาการศูนย์ข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชนธนบุรี อธิบายเรื่องคติความตายของชาวมุสลิมว่า
“ตามพระคัมภีร์กล่าวว่า ‘ทุก ๆ ชีวิตจะต้องลิ้มรสถึงความตาย’ ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วเป็นอมตะ หลักศรัทธานี้ทำให้ชาวมุสลิมเรียนรู้สัจธรรมของชีวิตผ่านกรอบความตายเสมอดังนั้นเมื่อความตายมาถึง พี่น้องชาวมุสลิมจึงมีสติ โดยไม่ร้องไห้คร่ำครวญ ในพระคัมภีร์กล่าวว่า ‘แท้จริงเราเป็นสิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า และยังพระองค์ที่เราจะต้องคืนสู่’ เราไม่ได้มีสิทธิ์ในตัวเราเอง เพราะเราควบคุมความแก่ ความเสื่อม ความชราไม่ได้ ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงของฝากจากพระผู้เป็นเจ้า เป็นเพียงสิ่งที่พระเจ้าฝากไว้ให้เราดูแลให้ดีที่สุด
“และเมื่อเราพูดถึงโลกแห่งการรอคอย เราหมายถึงดวงวิญญาณ ไม่ใช่ร่างกาย และไม่ได้หมายถึงนรกหรือสวรรค์ แต่หมายถึงการที่ดวงวิญญาณรอการตัดสินพร้อมกันในวันหลังจากวันสิ้นโลก เพื่อชีวิตที่บรมสุขอันเป็นนิรันดร์ในโลกหน้า”
คุณทำเนียบ แสงเงิน กรรมการมูลนิธิเจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) อธิบายถึงหลักศรัทธาเรื่องความตายของศาสนาอิสลามว่า
“หนึ่งในหลักศรัทธาของชาวมุสลิมคือ เชื่อในวันแห่งการตัดสินเรื่องความตายและชีวิตหลังความตาย พี่น้องมุสลิมจะให้เกียรติต่อสุสาน ญาติของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วจะมาเยี่ยมเยียน เพื่อขอพรให้แก่ผู้ตายพ้นจากความทุกข์ทรมานในหลุมศพ เมื่อมีชีวิตอยู่เขาได้สวดมนต์ขอพรให้ตัวเอง แต่หลังเสียชีวิตแล้ว ลูกหลานจะมาทำหน้าที่ขอพรให้แก่เขา
“การเสียชีวิตของคนคนหนึ่งถือเป็นการเตือนคนที่ยังมีชีวิตให้ตระหนักเรื่องความตายอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราเข้ามาในกุโบร์ หรือได้ยินข่าวการเสียชีวิตของพี่น้องมุสลิม เราก็จะมาร่วมทำพิธี สวดมนต์ขอพรให้แก่ผู้เสียชีวิต พร้อมปลอบใจและช่วยเหลือญาติของผู้เสียชีวิต”
แท้จริงแล้ว “ความตาย” เป็นเหมือนบทเรียนที่สอนให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่เตรียมรับมือให้พร้อม เพราะไม่ช้าไม่นานเราทุกคนก็ต้องเดินทางสู่ความตายเช่นกัน
เรื่อง: เชิญพร คงมา ภาพ: สรยุทธ พุ่มภักดี
ที่มา: นิตยสาร Secret