“ปวดหัวข้างเดียว” บ่อยครั้ง อาจเป็นสัญญาณเฉพาะของไมเกรน
ปวดหัวข้างเดียว หรือปวดศีรษะครึ่งซีก เป็นอาการของ “โรคไมเกรน (MIGRAINE)” ซึ่งเกิดขึ้นได้ทุกวัยโดยเฉพาะวัยทำงาน เนื่องมาจากปัจจัยรอบตัวทั้งแสงจากจอคอมพิวเตอร์ หรือความเครียดจากการทำงาน ถึงแม้ว่าโรคนี้จะสามารถบรรเทาได้ด้วยการพักผ่อนและการทานยา แต่หากละเลยการดูแลตนเองอาจทำให้อาการหนักขึ้นเกินกว่าจะรักษา หรือบรรเทาอาการลงได้
ไมเกรนเกิดจากอะไร
อาการปวดศีรษะแบบไมเกรนเป็นผลมาจากระบบไฟฟ้าบริเวณพื้นผิวสมองเกิดความผิดปกติ เป็นผลให้เกิดการกระตุ้นได้ง่าย และการกระตุ้นนี้จะทำให้การไหลเวียนของเลือด และระบบประสาทของสมองเกิดความผิดปกติ อาการเหล่านี้จะแสดงออกมาให้เรารู้สึกได้ผ่านอาการปวดศีรษะแบบไมเกรนนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการดังกล่าวได้อีกด้วย ได้แก่
-การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการนอนหลับมากเกินไป
-สภาวะความเครียด
-การดื่มแอลกอฮอล์, คาเฟอีน และสูบบุหรี่มากเกินไป
-การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในเพศหญิง
-ถูกกระตุ้นจากสภาพแวดล้อม เช่น มีแสง กลิ่น หรือเสียงมากเกินไป
ปวดศีรษะแบบไหนถึงเป็นไมเกรน
หลายคนอาจสับสนเนื่องจากอาการปวดศีรษะมีอยู่หลายรูปแบบซึ่งแต่ละรูปแบบต่างมีความหมายที่แตกต่างกัน แน่นอนว่าอาการปวดแบบไมเกรนนั้นย่อมมีความเฉพาะอยู่ด้วยเช่นกัน ดังนี้
-ปวดศีรษะครึ่งซีก (ปวดข้างเดียว) สามารถสลับข้างใดข้างหนึ่งไปมาได้
-อาการปวดจะอยู่ในระดับปานกลางขึ้นไป การเดิน หรือการขึ้นบันไดสามารถทำให้ปวดมากขึ้นได้
-การปวดจะเป็นลักษณะคล้ายจังหวะของชีพจร หรือที่เราเรียกกันว่าปวดแบบ “ตุบ ๆ”
-โดยปกติอาการปวดจะอยู่ได้ราว 4 – 72 ชั่วโมง หากไม่ทำการรักษา
จากอาการที่กล่าวมาผู้ป่วยอาจมีอาการอื่น ๆ เกิดขึ้นร่วมด้วย เช่น มีอาการคลื่นไส้อยากอาเจียน ไม่ต้องการเจอแสงจ้า หรือกลิ่นเหม็น เป็นต้น ซึ่งการปวดศีรษะแบบไมเกรนนั้นสามารถเกิดได้ทั้งแบบมีสัญญาณเตือน (Migraine with aura) คือมีปัญหาด้านการมองเห็น มือแขน และปากชา กับอีกประเภทคือแบบไม่มีสัญญาณเตือน (Migraine without aura) ซึ่งพบได้มากกว่าแบบแรก
การดูแลตนเองเบื้องต้น
1.การนอนพักในห้องที่มืด เย็น และเงียบ เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นเช่น แสง เสียง และความร้อน
2.งดสูบบุหรี่ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และคาเฟอีน
3.ใช้ยาลดไข้แก้ปวด หรือยาแก้ปวดชนิดไม่มีสเตียรอยด์ได้
4.ผู้ป่วยโรคปวดศีรษะไมเกรน ควรใช้ยาแก้ปวดทันทีเมื่อเริ่มมีอาการหากอาการไม่ดีขึ้น หรือใช้ยาแก้ปวดติดต่อกันหลายวัน ควรพบแพทย์
5.ผู้ป่วยโรคปวดศีรษะไมเกรนที่ปวดถี่มากกว่า 3-4 ครั้งต่อเดือนจนกระทบต่อชีวิตประจำวัน หรือใช้ยาแก้ปวดแล้วไม่ทุเลาลงควรพบแพทย์เพื่อปรับการรักษา
ลองสังเกตตัวเองดูนะคะ และหากพบว่ามีอาการดังกล่าว และมีข้อสงสัยควรพบแพทย์ อย่าซื้อยากินเอง เพราะหากกินยาผิดโรค อาจจะมีอาการหนักมากขึ้นนอกจากจะปวดหัวไม่หายแล้ว อาจได้รับผลกระทบจากยาจนอถึงแก่ชีวิตได้
ที่มา: โรงพยาบาลเพชรเวช
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ปวดไมเกรน ระวังเส้นเลือดสมองให้ดี!
Check! หลายโรคของแถมจาก “ไมเกรน”
ปวดหัวไมเกรน รักษาได้ ไม่ต้องพึ่งยา