ศรราม เทพพิทักษ์

ความสำเร็จในทุกๆ วันคือการได้ลงมือทำ – ศรราม เทพพิทักษ์

เมื่อเอ่ยถึง   “ความสำเร็จ”      แต่ละคนมักให้คำนิยามแตกต่างกันไป เพราะ  “ค่าความสำเร็จ”   ของแต่ละคนไม่เท่ากัน หนุ่ม   –   ศรราม   เทพพิทักษ์   นักแสดงผู้โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมากว่า   20   ปี  มีมุมมองเรื่องความสำเร็จอย่างเรียบง่ายว่า

“ความสำเร็จในทุกๆ   วันคือการได้ลงมือทำ”   หมายความว่า   ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม   อย่าเพิ่งมองไปที่ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นตามมา   แต่ขอให้มอง   ณ   จุดที่เราทำก็พอ   และเมื่อมีโอกาสได้ทำอะไรก็ขอให้ทำอย่างเต็มที่

แม้ไม่ใช่ที่หนึ่งก็ไม่เป็นไร   เพราะสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือความภูมิใจที่ได้ลงมือทำ

ปลดล็อกให้อดีต

หลายปีก่อนหลังทำงานเสร็จ   ผมขับรถกลับบ้านตามปกติ   แต่วันนั้นผมเพลียมากจนเกิดหลับในขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว   มารู้ตัวอีกทีรถก็สั่นไปทั้งคันแล้วพร้อมๆ   กับมีเสียงดังโครม!

พอลืมตาก็เห็นว่ารถของผมเสียหลักปีนขึ้นฟุตปาธไปชนต้นไม้   ความตกใจทำให้ผมรีบเหยียบเบรกตั้งใจจะหยุดรถ   แต่เท้าดันไปเหยียบเอาคันเร่งเข้าให้   ผลก็คือ   รถพุ่งชนต้นไม้ไปอีก   2   ต้น   จากนั้นต้นไม้ก็ล้มลงไปทับตู้โทรศัพท์สาธารณะเข้า…ทำให้พี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่แถวนั้นพลอยรับเคราะห์ไปด้วย

เมื่อรถจอดนิ่งสนิท   ผมรีบลงมาดูที่เกิดเหตุ   แต่ก็ไม่ทันแล้ว…ร่างพี่ผู้หญิงนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ริมฟุตปาธ   ผมจึงได้แต่กราบขอขมาพี่เขา   ณ   ตรงนั้น   ด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจที่สุดในชีวิต

นับจากวันนั้นถึงแม้ผมจะพยายามช่วยเหลือครอบครัวพี่เขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้   แต่ความรู้สึกผิดที่ว่า   “ผมทำให้คนอื่นตาย”ไม่เคยลดน้อยลงเลยและยังวนเวียนอยู่ในใจตลอดเวลา   วันหนึ่งผมจึงตัดสินใจไปพบกับพระพี่เลี้ยงที่เคยดูแลผมตอนผมบวช   (สมัยนั้นผมเรียกท่านว่า   หลวงพี่เทอด)   ผมเล่าความอึดอัดใจทั้งหมดให้ท่านฟังและถามว่า   “ผมจะจัดการจิตใจตัวเองอย่างไรดีให้ดีที่สุด”   หลวงพี่แนะนำกลับมาสั้นๆ   แค่ว่า   “ให้นับถือพี่คนนี้เหมือนเป็นบรรพบุรุษของเราคนหนึ่ง”

แค่ได้ฟัง   ผมก็รู้สึกดีขึ้นมาทันทีเหมือนว่าสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจได้หลุดออกไป   ผมคิดว่าพี่เขาไม่ต่างจากผู้มีพระคุณของผมเลย   เพราะถ้าวันนั้นเขาไม่มารับเคราะห์แทนผม   ผมก็อาจจะตายไปแล้วก็ได้

ผมรู้ดีว่าความผิดบางอย่างไม่สามารถลบล้างได้หมด   แต่อย่างน้อยเราต้องรับผิดชอบให้เต็มที่   ทุกวันนี้เวลาทำบุญ   ผมจะอุทิศส่วนกุศลไปให้พี่เขาด้วยทุกครั้งไม่ต่างจากญาติสนิท

https://www.instagram.com/p/BbfsLmnhVF3/?hl=th&taken-by=sornram_theappitak

ผมเคยบวชที่วัดสระเกศเป็นเวลา 15 วัน ตอนอายุ 29 ปี ซึ่งเป็นการบวชหลังจากปลดประจำการทหารเกณฑ์ ตอนบวชผมก็ตั้งใจศึกษาธรรมะอย่างเต็มที่เพื่อให้เข้าใจสัจธรรมเรื่องการเกิดแก่เจ็บตาย แต่สิ่งที่ได้รับไม่ใช่แค่นั้น ตอนบวชเป็นพระผมก็ทำเช่นเดียวกับตอนเป็นทหาร คือต้องเรียนรู้ว่าชีวิตการเป็นพระนั้นเป็นอย่างไร เช่น การเดินบิณฑบาต ศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรม

ตอนออกบิณฑบาตมีคนมารอตักบาตรมากมายจนได้อาหาร 4-5 กระสอบทุกเช้า เราได้นำอาหารเหล่านั้นไปแจกให้คนงานในวัดสระเกศ และคนงานก่อสร้างที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ช่วงบวชจึงเป็นช่วงที่ผมได้ทำบุญมาก

จำได้ว่าวันแรกที่บวชเป็นพระใหม่ มีคนทำบุญมากถึง 8 แสนบาท ผมให้หม่าม้าเอาเงินไปทำบุญ 8 ที่ที่ละ 100,000 บาท เช่นที่ โรงพยาบาลสงฆ์ โรงพยาบาลทหารผ่านศึก ทำบุญกับเด็กทุพพลภาพ บ้านพักคนชราบางแค เป็นต้น ส่วนเงินที่มีคนเอามาทำบุญตอนไปบิณฑบาต ผมถวายให้งัดเกือบหมดเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้เณร ผมเก็บไว้แค่ 1,200 บาทที่หิ้งพระ เพื่อเป็นเงินขวัญถุง ผมถือว่าการได้เป็นทหารและการบวชเป็นหน้าที่ของลูกผู้ชาย เพราะบวชก็เพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่ ส่วนการเป็นทหารก็เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน

https://www.instagram.com/p/BcQaEYfhK7u/?hl=th&taken-by=sornram_theappitak

พจนานุกรมชีวิต

ผมว่าคนไทยทุกคนโชคดีที่ได้อยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ว่าโชคดีเพราะเราได้เรียนรู้หลายๆ   อย่างจากพระองค์ท่าน   ทั้งจากพระราชกรณียกิจ พระจริยาวัตร   พระราชดำรัส   และพระบรมราโชวาท ล้วนน้อมนำมาใช้ได้เป็นอย่างดี   เปรียบเหมือนเป็น“พจนานุกรมการใช้ชีวิตของคนไทย”   ก็ว่าได้

สมัยก่อนผมยอมรับว่า   เวลามีปัญหาเข้ามา   ผมจะรวน   รีบร้อนและลนอยากให้ปัญหาพ้นจากตัวเราเร็วๆ   จะแก้อย่างไรก็ได้   ขอให้เสร็จไวๆ   ก็พอ   แต่พอโตขึ้นการมีประสบการณ์ชีวิตและการได้ศึกษาพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่9ทำให้ผมเข้าใจชีวิตมากขึ้น   โดยเฉพาะเรื่องธรรมชาติของปัญหา

พระราชดำรัสที่ผมจำได้แม่นและยึดถือมาตลอดก็คือ      “การทำงานทุกอย่างย่อมมีปัญหา   แต่ต้องใช้ความมุมานะและสติปัญญาแก้ปัญหา”นั่นทำให้รู้ว่า   ปัญหาทุกปัญหาล้วนมีช่วงเวลาที่เหมาะสมของตัวมันเองและกระบวนการที่แตกต่างกันในการแก้ไข   แต่ที่ไม่ควรเด็ดขาดก็คืออย่าใช้อารมณ   ในการแก้ปัญหา

ผมเองที่ผ่านมานอกจากจะลนเวลาเจอปัญหา   บางครั้งยังชอบ“แบก”   ไว้อีก   ซึ่งพอมองย้อนกลับไปถึงได้รู้ว่า   จริงๆ   แล้วปัญหาไม่ต่างจากการที่เราแบกเป้หนักๆ   สักใบ   ถ้าเราแบกเป้เข้าไปนอนด้วย เราก็นอนไม่สบาย   ต้องหัดปลดเป้ออกบ้าง   ทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็คือ   “หลักการปล่อยวาง”   นั่นเอง

การปล่อยวางมีทั้งเอาใจออกไปทำอย่างอื่นบ้าง   (ชั่วคราว)   เพื่อเติมกำลังใจให้ตัวเอง   แต่สุดท้ายถ้าย้อนกลับมาแก้ปัญหาแล้วแก้ไม่ได้จริงๆ   เราก็ต้องเข้าใจ   ยอมรับ   และปล่อยวางอย่างถาวร

ปัญหาเป็นเรื่องธรรมดาของโลก   แต่การรับมือกับปัญหาของแต่ละคนต่างหากที่จะทำให้คุณดู   “ธรรมดา”   หรือ   “ไม่ธรรมดา”

ศรราม เทพพิทักษ์

ลิ้นชักกับร่มชูชีพ

นอกจากปัจจัยพื้นฐาน   4   ประการเพื่อความอยู่รอดแล้วผมว่าคนเราควรต้องมี   “ลิ้นชัก”   และ   “ร่มชูชีพ”   ไว้ประจำบ้าน

ลิ้นชัก   คือ   การเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆ   ที่ผ่านมาไม่ว่าจะดีหรือร้ายเพื่อเป็นบทเรียนในชีวิตต่อไป   เก็บไว้ตามลำดับเวลา ที่ผ่านมาเหมือนเราเอาของใส่ลิ้นชัก   จากนั้นเมื่อไรที่เกิดปัญหาท้อแท้   หรืออะไรก็ตาม   ถ้าอยากรู้สึกดี   มีกำลังใจ   อยากมีทางออกก็กลับไป   “เลือก”   หยิบเรื่องราวจากลิ้นชักที่เราเก็บไว้และนำออกมาใช้

ส่วน   ร่มชูชีพ   คือ   ตนเอง   เป็นการทำให้ตัวเองอยู่รอดไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ   เพราะทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ   เราต้องพยายามหาทางออกที่ดีที่สุดให้ตัวเองให้ได้

ที่สำคัญที่สุดคือ   ไม่ว่าคุณจะมีลิ้นชักสักกี่ร้อยชั้นหรือมีร่มชูชีพอันใหญ่แค่ไหน   ต้องอย่าลืมว่า   “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเสมอ”

 

ที่มา : นิตยสาร Secret

ภาพ : วรวุฒิ วิชาธร, sornram_theappitak

Secret Magazine (Thailand)

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.