เลือดเป็นกรด ธรรมดาว่าน่ากลัว ในผู้ป่วยเบาหวานยิ่งน่ากลัวกว่า!
ทุกคนคงรู้จักโรคเบาหวานกันเป็นอย่างดีใช่มั้ยคะ วันนี้จะพาทุกคนมารู้จักอีกหนึ่งภาวะ ที่เกิดกับคนที่เป็นเบาหวานนั้นคือ เลือดเป็นกรด คือ ภาวะ DKA (Diabetic Ketoacidosis) หรือ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงร่วมกับเลือดเป็นกรด ภาวะที่ฉุกเฉินที่เกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานกันค่ะ
เลือดเป็นกรด
DKA (Diabetic Ketoacidosis) หรือ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงร่วมกับเลือดเป็นกรด จากการที่มีสารคีโตนสะสมในเลือด เป็นภาวะฉุกเฉินที่มักเกิดกับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน (เบาหวานชนิดที่หนึ่ง) แต่ปัจจุบันก็พบได้บ่อยขึ้นในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สอง ซึ่งเป็นผู้ป่วยกลุ่มใหญ่ของโรคเบาหวาน ภาวะ DKA เป็นภาวะฉุกเฉินที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยด่วน เราจึงควรศึกษาและทำความเข้าใจ เพื่อเตรียมรับมือและหาวิธีป้องกันอย่างเหมาะสมค่ะ
อาการเลือดเป็นกรด
อาการชวนสงสัยที่ทำให้รู้ว่าเกิดภาวะ DKA คือผู้ป่วยจะมีอาการของน้ำตาลในเลือดสูง เช่น ฉี่บ่อย คอแห้ง หิวน้ำบ่อย รวมไปถึงคลื่นไส้ อ้วก ปวดท้อง รู้สึกเหมือนคนไม่มีแรง ลมหายใจมีกลิ่นผลไม้ หัวใจเต้นเร็ว ความดันต่ำ ถ้าเป็นมาก ๆ ก็จะมีอาการสับสน สามารถรุนแรงถึงขั้น ช็อคจนหมดสติ และตรวจเจอระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากกว่า 250 มก. ต่อ ดล. ต้องระวังในผู้ป่วยที่กินยาเบาหวานบางกลุ่มอาจเกิดภาวะนี้ได้ หากระดับน้ำตาลต่ำกว่า 250 มก. ต่อดล.
ปัจจัยเสี่ยงเลือดเป็นกรด
เกิดจาก 3 อย่างรวมกัน คือ
1.ภาวะขาดฮอร์โมนอินซูลิน เช่น ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่หนึ่ง ตับอ่อนไม่หลั่งอินซูลิน หรือในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สองที่เป็นโรคมานาน ตับอ่อนหลั่งอินซูลินลดลง จำเป็นต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ เมื่อผู้ป่วยหยุดฉีดอินซูลิน อาจทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ DKA ได้
2.มีภาวะเจ็บป่วยเฉียบพลันเกิดขึ้น เช่น การติดเชื้อ การผ่าตัด อุบัติเหตุ โรคร้ายแรง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือได้รับยาบางชนิดที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เช่น ยาสเตียรอยด์
3.ขาดอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต คือ การได้รับอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลไม่เพียงพอ ซึ่งอาจพบได้ในภาวะ อาเจียน เบื่ออาหาร หรืองดน้ำงดอาหารเพื่อเตรียมตัวผ่าตัดและเมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีฤทธิ์ตรงข้ามกับอินซูลิน รียกว่า Counter-regulatory hormone เช่น คอร์ติซอล อะดรีนาลิน และกลูคากอน ฮอร์โมนเหล่านี้ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น โดยการเปลี่ยนไขมันเป็นน้ำตาล ซึ่งมีข้อดีทำให้ร่างกายได้พลังงานเพิ่มขึ้น แต่การเปลี่ยนไขมันเป็นน้ำตาลนี้ได้ของแถมเป็นสารคีโตน ซึ่งเมื่อคีโตนสะสมมาก ๆ ทำให้เลือดเป็นกรด เมื่อคีโตนคั่งทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย และหอบเหนื่อย
การป้องกันภาวะ DKA ในผู้ป่วยเบาหวาน
ผู้ป่วยเบาหวานจะมีข้อปฏิบัติยามมีอาการเจ็บป่วยเฉียบพลัน ( sick-day rules) เช่น มีไข้ คลื่นไส้ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะ DKA ได้แก่
“พยายามกินคาร์โบไฮเดรต, ดื่มน้ำเปล่ามากขึ้น, อย่าหยุดยาฉีดอินซูลินเอง, ตรวจน้ำตาลบ่อยขึ้นและมาโรงพยาบาลเมื่อไม่ดีขึ้น”
1. กินคาร์โบไฮเดรต คือ แนะนำให้รับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำข้าวผสมเกลือเล็กน้อยแครกเกอร์ หรือขนมปัง ถ้าไม่สามารถกินอาหารอ่อนได้ แนะนำให้กินอาหารเหลวที่มีคาร์โบไฮเดรตอย่างน้อย 50 กรัม ทุก 3 – 4 ชม. เช่น น้ำผลไม้หรือโยเกิร์ต ซุปข้น เป็นต้น
2. ดื่มน้ำมากขึ้น คือ ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพออย่างน้อย 1 แก้วทุก 1 ชั่วโมง (สำหรับผู้ที่มีปัญหาโรคหัวใจหรือโรคไต ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปริมาณน้ำที่เหมาะสม)
3. ห้ามหยุดฉีดยาอินซูลินเอง โดยเฉพาะ basal หรือ long-acting insulin
4. หมั่นตรวจน้ำตาลในเลือดบ่อยขึ้น ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่หนึ่ง แนะนำตรวจทุก 4 ชั่วโมง และในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สอง แนะนำตรวจอย่างน้อย 4 ครั้งต่อวัน (เช่น 3 เวลาก่อนอาหารทุกมื้อและก่อนนอน)
5. งดออกกำลังกายและพักผ่อนให้มาก
6.มาโรงพยาบาลทันทีเมื่อมีอาการเหล่านี้ ได้แก่
- อาการของโรคร้ายแรง เช่น อาการแน่นหน้าอก ปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง เป็นต้น
- มีอาการป่วยหรือมีไข้ 2 วัน แล้วยังไม่ทุเลา
- มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องร่วง ไม่สามารถกินอาหารได้นานเกิน 6 ชั่วโมง
- ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก่อนอาหาร แล้วพบว่าสูงกว่า 240 มก./ดล.
- มีอาการของภาวะขาดน้ำ เช่น ริมฝีปากแห้งแตก กระหายน้ำ หรืออาการรุนแรงขึ้น เช่น อ่อนเพลีย หอบเหนื่อย แน่นหน้าอก หายใจมีกลิ่นผลไม้ เป็นต้น
7. ในกรณีที่ผู้ป่วยเบาหวานเตรียมตัวผ่าตัดหรือทำหัตถการ เมื่อมีการงดน้ำงดอาหารควรปรึกษาแพทย์ เพื่อปรับยารับประทานบางตัวและยาฉีดอินซูลิน เพื่อป้องกันการเกิดภาวะ DKA และภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำขณะหรือหลังการทำหัตถการ
การรักษาภาวะ DKA
ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ซึ่งส่วนใหญ่จัดว่าเป็นผู้ป่วยเข้าขั้นวิกฤต (ICU) และรักษาเบื้องต้น ได้แก่
- ให้สารน้ำทดแทนทางหลอดเลือด
- ให้ฮอร์โมนอินซูลินเพื่อแก้ภาวะอินซูลินไม่เพียงพอ
- ให้เกลือแร่ที่จำเป็น และติดตามระดับอย่างใกล้ชิด
- รักษาภาวะเจ็บป่วยที่เกิดร่วมด้วย เช่นยาปฏิชีวนะกรณีมีภาวะติดเชื้อ หรือรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น
ในการรักษาอาจเจอภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะเกลือแร่โปแตสเซียมต่ำ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำภาวะน้ำเกิน น้ำท่วมปอด ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รักษาได้ และเมื่อผู้ป่วยตอบสนองการรักษา อาการจะดีขึ้นใน 12-24 ชั่วโมง ระดับน้ำตาลในเลือด และความเป็นกรดด่างกลับสู่สภาวะปกติ แต่บางครั้งอาจอันตรายถึงชีวิตได้ และถ้าหากผู้ป่วยหายจาก ภาวะ DKA แพทย์จะวางแผนการรักษา ปรับยาและพฤติกรรม เพื่อเลี่ยงภาวะเลือดเป็นกรดในอนาคต
ทั้งหมดที่กล่าวมาก็คือ Diabetic ketoacidosis (DKA) เป็นภาวะน้ำตาลในเลือดสูงร่วมกับเลือดเป็นกรดจากสารคีโตน มักเจอในผู้ป่วยเบาหวานที่อินซูลินไม่พอ และมีภาวะเครียดของร่างกายร่วมด้วย หากมีอาการควรไปพบแพทย์โดยด่วน ดั้งนั้น ญาติและผู้ป่วยควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะ DKA หรือ ภาวะเลือดเป็นกรด ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อรับการรักษาได้ทันค่ะ
จะเห็นได้ว่า ภาวะเลือดเป็นกรดหรือภาวะ DKA (Diabetic Ketoacidosis) อันตรายกับผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นอย่างมาก ทุกคนลองหันไปใส่ใจสุขภาพของคนทีบ้าน ญาติ หรือคนที่เรารัก ก่อนที่จะเกิดปัญหาตามมานะคะ ด้วยความห่วงใยค่ะ
ที่มา
โรงพยาบาลพระราม 9
บทความที่น่าสนใจ
เบาหวาน อาหารต้องระวัง และการกินที่ต้องดูแล