ตอบคำถาม เรื่อง ธรรม ดับทุกข์ โดยคุณ พศิน อินทรวงค์
หลายคนสงสัยว่าเราจะสามารถนำ ธรรม ดับทุกข์ ต่างๆ มาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไรและเราจะพัฒนาตัวเองอย่างไรให้ก้าวหน้าในธรรม…เรื่องนี้คุณ พศิน อินทรวงค์ มีคำตอบให้แล้วค่ะ
ผู้อ่านถาม: เราจะมีวิธีจัดการกับความอิจฉาริษยา หรือการเปรียบเทียบได้อย่างไร?
คุณพศินตอบ: การคิดริษยา การเปรียบเทียบ หมดกำลังใจ หดหู่ สิ้นหวัง มีปมด้อย ความคิดลบทั้งหมด เกิดจากจิตไหลไปปรุงแต่ง หนทางที่จะทำให้จิตหยุดการปรุงแต่ง คือการทำวิปัสสนาครับ ทางอื่นก็มีอยู่ เช่นหาอย่างอื่นทำ หรือพยายามคิดบวก หรือมีความรัก พูดคุย ปรับทุกข์ มีอยู่หลายทาง แต่ทุกทางก็เป็นเพียงการแก้ที่ปลายเหตุ เพราะทำได้แค่เบี่ยงเบนความคิด แต่เดี๋ยวความคิดปรุงแต่งก็จะเข้ามาอีกเพราะการปรุงแต่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาในจิตที่ไม่ได้รับการฝึกฝน
ผู้อ่านถาม: ทำไมคนเราถึงคิดว่าความคิดของตนเองถูกต้องเสมอ?
คุุณพศินตอบ: เพราะคนเรามีอัตตาครับ เมื่อมีอัตตาแล้ว เราย่อมอยากดีกว่าเขา เก่งกว่าเขา วิเศษกว่าเขา พระพุทธเจ้าท่านจึงให้ละอัตตา การละอัตตาที่ได้ผลดีที่สุดก็คือการภาวนาจนเห็นการเกิดดับของสิ่งต่างๆ ภาษาพระท่านเรียกว่า เห็นการเกิดดับของรูปนาม เมื่อเห็นการเกิดดับของรูปนามแล้ว จิตจะเริ่มถอนอัตตาตัวตนลงเป็นลำดับๆ ความคิดเข้าข้างตนเองก็จะน้อยลงเป็นลำดับเช่นกัน
ผู้อ่านถาม: เราจะแยก ความจริง ความเชื่อ และสิ่งที่คิดว่าจริงได้อย่างไร?
คุณพศินตอบ: ต้องศึกษา หาองค์ความรู้ที่ถูกต้องครับ ตราบใดที่เรายังไม่ศึกษา เราก็จะเดาสุ่มไปเรื่อยๆ ว่าชีวิตคืออะไร ชีวิตเป็นไปอย่างไร และเราเกิดมาทำไม คำถามพวกนี้จะวนเวียนไม่รู้จบ ตราบที่เรายังไม่ศึกษาหนทางที่ถูกต้อง เมื่อได้ศึกษาแล้ว แม้ยังสงสัยอยู่ แต่ก็จะพอเห็นเค้าลางของความจริงที่น่าเชื่อถือ ทำให้เกิดความศรัทธาน้อมใจปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติจนเห็นจริงด้วยตนเองแล้ว เราจะแยกออกเองว่าอะไรคือความเชื่อ อะไรคือความจริง และแม้ยังไม่ลงมือปฏิบัติ สิ่งที่ศึกษามาก็ยังคงเป็นเพียงความเชื่ออยู่นั่นเอง
ผู้อ่านถาม: การสืบต่อของจิต ภพภูมิ ถือว่าสิ่งที่คิดว่าเป็นจริงได้หรือไม่?
คุณพศินตอบ: พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าภพภูมิมีจริงครับ ถ้าไม่เชื่อก็ต้องพิสูจน์ดูตามแนวทางของท่าน เพราะเราคงไม่สามารถพาเทวดานางฟ้า หรือเปรตในนรกมาออกรายการโทรทัศน์ได้ ครั้นเราจะรอไปเรื่อยๆ จนทดลองตายด้วยตนเองก็จะเป็นสิ่งที่อันตรายมากไปหน่อย ในการปฏิบัติธรรมนั้น เคยมีคนถามพระพุทธเจ้าว่า ถ้าภพภูมิไม่มีจริง จะไม่กลายเป็นปฏิบัติธรรมไปฟรีๆ หรือ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า การปฏิบัติธรรมนั้นมีประโยชน์หลายประการ ทำแล้วมีสมาธิดีขึ้น การงานดีขึ้น ทุกข์น้อยลง ถ้ายังต้องเวียนว่ายตายเกิดก็นำไปสู่ภพภูมิที่ดี และมีโอกาสนิพพานด้วย แม้ไม่สนใจเรื่องชาติหน้าก็ยังได้ประโยชน์เบื้องต้นจากที่กล่าวไปแล้ว อย่ามัวเสียเวลาคิดว่า ชาตินี้ชาติหน้ามีจริงรึเปล่า ขอแค่เราชั่งใจดูว่า ฝึกจิตแล้วมีประโยชน์ก็ลงมือทำเถอะครับ ทำไปเรื่อยๆ ถ้าคุณได้ฌาน ได้ญาณแล้ว คุณก็จะรู้ในสิ่งที่คุณสงสัยได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องไปถามใครอีก เพราะปัญหาเช่นนี้เป็นปัญหาโลกแตก คนเห็นเองก็บอกใครไม่ได้ คนที่ไม่เคยเห็น ก็ย่อมสงสัยเป็นธรรมดา
ผู้อ่านถาม: วิธีนิพพานที่ว่าเป็นการไม่ยอมรับอารมณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ถือว่าเป็นการปรุงแต่งรูปแบบจริงหรือไม่?
คุณพศินตอบ: ถ้ามีการไม่ยอมรับ ปฏิเสธ ก็คือการปรุงแต่งครับ ถ้าไม่ปรุงแต่ง ก็ต้องรู้อย่างเป็นกลาง
ผู้อ่านถาม: วิธีปฏิบัติธรรม อานาปานสติ สติ สมาธิ กับชีวิตการทำงานและภาระทางโลก ให้มีความเจริญทางธรรม ก้าวหน้าทางธรรมและทางโลก?
คุณพศินตอบ: เมื่อฝึกอานาปนสติแล้ว ใจย่อมสงบเย็นขึ้น ใจที่สงบเย็นและมีปัญญานี้ จะทางโลกก็ต้องใช้ จะทางธรรมก็ต้องใช้
ผู้อ่านถาม: บางครั้งหนูเคยอยากหาคำตอบให้ชีวิตแล้วลองนั่งสมาธิดูปรากฏว่าพอหลังตื่นขึ้นมา(ออกจากสมาธิ)มันมีแต่ความนิ่งไม่ได้(มันไม่ได้มีคำตอบชัดเจน)มีคตอบชัดเจน มีคำแนะนำอย่างไรคะ?
คุณพศินตอบ: สมาธิทำให้จิตสงบ เมื่อสงบแล้ว ก็ให้เริ่มเดินปัญญาต่อ คือให้สังเกตการณ์เกิดดับ เมื่อเห็นการเกิดดับ จิตก็จะได้ศึกษาความจริงของไตรลักษณ์ ลองไปศึกษาเรื่องการทำวิปัสสนาดูนะครับ
ผู้อ่านถาม: หนูสงสัยมานานแล้วค่ะ ไม่รู้ว่าเป็นคำถามที่ควรถามไหมถ้าออกจากวัฏฎสงสารออกจากเกมส์ คือการฝึกวิปัสสนาดูจิตใจหนูแค่สงสัยว่าทำไม สิ่งมีชีวิตต้องเล่นเกมนี้ต้องเวียนว่ายอยากรู้จุดเริ่มต้น (ใช้คำว่า “เพราะคำว่าไม่รู้หรือเปล่าคะ?”)
คุณพศินตอบ: พระพุทธเจ้าท่านว่า อวิชาคือสาเหตุที่ทำให้สัตว์โลกต้องเวียนว่ายตายเกิด เมื่ออวิชาเปลี่ยนเป็นวิชาคือความรู้แจ้ง ก็ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ทีนี้ถ้าเราจะสาวไปเรื่อยๆ ว่าทุกอย่างมาจากไหน ก็คงไม่มีใครตอบได้ พระพุทธเจ้าจึงไม่ให้ไปใส่ใจกับเรื่องนี้นัก
ผู้อ่านถาม: จะเริ่มทำ-เริ่มฝึก อาณาปาณสติ ควรเริ่มต้นอย่างไรก่อน?
คุณพศินตอบ: เริ่มจากเรียนรู้คุณค่าที่แท้จริงก่อน ว่ามีประโยชน์อย่างไร ทำไมจึงต้องฝึก เพราะถ้าเราไม่เห็นประโยชน์อย่างแท้จริง เราก็จะทำๆ เลิกๆ สุดท้ายก็แทบไม่ได้อะไร
ผู้อ่านถาม: วิธีขจัดความขี้เกียจทำยังไงดีคะ?
คุณพศินตอบ: ก็ทำไปทั้งๆ ที่ขี้เกียจครับ คนที่ทำอะไรๆ ได้ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะไม่มีความขี้เกียจ เพียงแต่เขาใช้หลักการที่ว่ามา คือทำไปทั้งๆ ที่ขี้เกียจ
ผู้อ่านถาม: เกิดความสงสัยในบางครั้งว่า “ทุกสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นเรื่องจริงหรือไม่”คุณผศินก้าวผ่านความคิดนั้นได้อย่างไร?
คุณพศินตอบ: บางเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัส ถ้าเราศึกษาและทดลอง เราก็รู้ได้เลยว่าจริง เช่นเรื่องของจิต แต่บางเรื่องศึกษาไป เราก็บอกไม่ได้ว่า มีจริงหรือไม่ ก็ต้องอาศัยศรัทราเอาในเบื้องต้น เช่นเรื่องภพภูมิเป็นต้น สิ่งที่ผมเขียน หรือบรรยาย ก็มาจากสองส่วน ศึกษาบ้าง ปฏิบัติเองบ้าง ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ก็ไม่ใช่ความลับยิ่งใหญ่อะไร ถ้าเปิดดูพระไตรปิฎกก็จะเห็น หรือบางส่วนฝึกปฏิบัติเอาก็จะรู้ได้เองครับ
ผู้อ่านถาม: มนุษย์เกิดมาจำอดีตชาติไม่ได้ แต่เทวดาและสัตว์ในอบายภูมิ 4 เมื่อตายจากภพมนุษย์แล้ว จะจำได้ไหมว่าตนเองเคยเป็นคนมาก่อน?
คุณพศินตอบ: ก็คงมีทั้งที่จำได้และไม่ได้ครับ อย่างในพระไตรปิฎก ก็มีเทวดาที่จำได้ว่าตัวเองทำบุญอะไรมาจึงได้เป็นเทวดา ส่วนที่จำไม่ได้ก็เช่นมนุษย์อย่างเราเป็นต้น
ผู้อ่านถาม: ในเรื่องการฝึกสติให้สตอง หยุดคิดถาวรไม่โกรธทำอย่างไรคะ เช้นถ้าไม่ชอบสามีดูคลิปโป๊ โคโยตี้ แม้จะเป็นเรื่องปกติของผู้ชายทำอย่างไรให้ปล่อยวาง และใจนิ่ง ไม่โกรธในทุกครั้งที่ต้องไปรับรู้คะ?
คุณพศินตอบ: ควบคุมความคิดไปทั้งหมดเป็นไปไม่ได้ครับ เพราะที่สุดแล้วความคิดคือกระบวนการปรุงแต่งของจิตที่เกิดขึ้นเป็นอัตโนมัต แต่เราทำให้ความคิดปรุงแต่งน้อยลงได้ด้วยการทำสมาธิ เมื่อความคิดปรุงแต่งน้อยลงระดับหนึ่ง จะทำให้เราอยู่เหนือความคิดได้ง่ายขึ้น ซึ่งการอยู่เหนือความคิดนี้ จะต้องใช้หลักของวิปัสสนา สรุปว่า ให้ลองไปฝึกวิปัสสนาดูนะครับ เมื่อฝึกแล้ว ก็ทำให้เป็นปกติ แล้วจิตที่วิ่งขึ้นวิ่งลงของคุณจะเกิดสมดุลไปเอง ไม่ใช่แค่เรื่องสามี แต่เป็นทุกๆ เรื่องในชีวิตเลยครับ แล้วความเบิกบานก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย
ผู้อ่านถาม: ช่วยแนะนำว่าจะอยู่อย่างไรกับสื่อในยุคปัจจุบัน(Social Media)อดปรุงแต่งไม่ได้ บางครั้งเกิดคามอยาก ตามไปกับสิ่งที่เห็น?
คุณพศินตอบ: ใช้เท่าที่จำเป็น และเอาเวลาไปฝึกจิตครับ
ผู้อ่านถาม: ขอวิธีการทำลายจิตปรุงแต่งง่ายๆเมื่อเวลจิตปรุงแต่งมันเกิดขึ้น?
คุณพศินตอบ: วิธีลดการปรุงแต่งคือ ทำสมาธิ เมื่อทำสมาธิแล้ว การปรุงแต่งจะลดลงเองตามธรรมชาติ แม้มีการปรุงแต่งเกิดขึ้น ก็ใช้หลักวิปัสสนา คือถอนตนเองมาเป็นผู้ดูการปรุงแต่ง ทำอย่างนี้ การปรุงแต่งก็จะมีอิทธิพลเหนือเราน้อยลง
ผู้อ่านถาม: เวลาปฏิบัติจะรู้ได้ไงว่าจิตเราอยู่ขั้นไหนแล้ว ได้ฌานหรือไม่ สิ่งที่เห็นเป็นนิมิตหรือจิตปรุงแต่งแล้วที่ทำไปถูกหรือไม่?
คุณพศินตอบ: ให้ไปศึกษาเรื่ององค์ฌานดูนะครับ จะมีระบุว่าอาการในแต่ละฌานเป็นอย่างไร สามารถเช็คดูตามนั้นได้เลย
ผู้อ่านถาม: เราจะรู้ได้ไงว่าสิ่งที่ปิ๊งออกมา เป็นปัญญา หรือจิตปรุงแต่งตามที่เราอยากให้เป็น?
คุณพศินตอบ: คล้ายๆ คนที่รู้ทางครับ สมมุติผมถามว่า ทางจะไปดอนเมืองไปทางไหน ถ้าคุณมีความรู้จริง คุณจะไม่คลุมเครือ แต่ถ้าคุณปรุงแต่ง คุณจะบอกผิดๆ ถูกๆ ถ้ารู้สึกผิดๆ ถูกๆ เหมือนคนไม่รู้บอกทางไปดอนเมืองให้เลิกเลยครับ อย่างนี้คือการปรุงแต่งพันเปอร์เซ็นต์
ผู้อ่านถาม: ฉันทะ กับ ตัณหา ต่างกันอย่างไร (ยังไม่เข้าใจ) ฉันทะสร้างได้อย่างไร
คุณพศินตอบ: เด็กคนหนึ่งชอบทำกับข้าว ตั้งใจทำทุกวัน คิดสูตร หาตำราอ่าน นี่คือฉันทะในการทำกับข้าว เด็กอีกคนอยากเป็นพ่อครัวใหญ่ อยากมีเงินมากๆจากการทำกับข้าว วันๆ เดินไปดูพ่อครัวดังๆ ว่าเขาได้เงินเท่าไหร่ ใช้รถอะไร ทำกับข้าวอยู่ในโรงแรมหรูแค่ไหน นี่คือตัณหาครับ
ผู้อ่านถาม: โยนิโสมนสิการ คือการคิด วิปัสสนา ไม่ให้คิด ต่างกันอย่างไร
คุณพศินตอบ: โยนิโสมนสิการ คือการคิดใครครวญในชีวิต ไม่ต้องภาวนาก็คิดได้ เหมาะกับยามที่จิตใจฟุ้งซ่าน ส่วนวิปัสสนา คือการสังเกตการณ์เกิดดับในยามที่ภาวนาอยู่ เหมาะกับเวลาที่จิตสงบแล้ว สองอย่างนี้สำคัญทั้งคู่ จะขาดส่วนหนึ่งส่วนใดไปไม่ได้เลย
ผู้อ่านถาม: มีวิธีอย่างไรให้มีความเพียร ขยันทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอทุกวัน
คุณพศินตอบ: แรกๆ ฝืนๆ ทำไปก่อน ทำไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่ง สมาธิจะให้ความสุข เมื่อเกิดความสุขจากสมาธิ ใจจะอยากทำไปเอง แต่ช่วงแรก ทุกคนต้องฝาความขี้เกียจของตัวเองไปก่อน
ผู้อ่านถาม: การทำสมาธิให้จิตนิ่งได้นาน ไม่คิดปรุงแต่งทำได้อย่างไร แนะนำด้วยค่ะ
คุณพศินตอบ: ก็ทำไปเรื่อยๆ ครับ สมาธิก็เป็นทักษะ เหมือนเราถามว่า ทำอย่างไรจะขี่ม้าได้ เป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝน ซึ่งแต่ละคนก็มีพรสวรรค์ในการขี่ม้าไม่เท่ากัน แต่ถ้าตั้งใจเสียอย่าง สุดท้ายก็จะสำเร็จแน่นอน
ผู้อ่านถาม: ทำไมผู้หญิงถึงสนใจในการปฏิบัติธรรมหรือเข้าวัดมากกว่าผู้ชาย
คุณพศินตอบ: เรื่องนี้ไม่จริงนะครับ เป็นสิ่งที่คิดเอาเองทั้งสิ้นครับ
ผู้อ่านถาม: การทำบุญทำทานจำเป็นมั้ยคะถ้าเราไม่ได้มีเงินมากมาย
คุณพศินตอบ: ไม่จำเป็นครับ การทำบุญทำได้หลายอย่างมาก อย่างการภาวนานี่ก็ไม่ใช้เงินเลยแม้แต่บาทเดียว แถมเป็นสิ่งที่ได้อานิสงค์มากที่สุดด้วย
ผู้อ่านถาม: ถ้าเราไม่สนใจคนอื่นเลยจะผิดมั้ยคะ
คณพศินตอบ: ผิดครับ เราเกิดมาในสังคม จำเป็นต้องสนใจคนอื่นด้วย ไม่สนใจ กับปล่อยวางเป็นคนละเรื่องกัน ปล่อยวางคือทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว จากนั้นก็ทำความเข้าใจ ยอมรับ ผลที่เกิดขึ้น อย่างนี้คือปล่อยวาง ส่วนไม่สนใจคือปล่อยปะละเลย อย่างนี้ไม่เป็นผลดีกับใครครับ
ผู้อ่านถาม: สงสัยว่ากว่าเราจะเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยากนักทำไมบางครั้งดูข่าวที่ว่าเด็กระลึกชาติได้ จำพ่อแม่เก่าบ้านเก่าได้ทำไมเหมือนเขาได้เกิดเป็นคนอีกง่ายคะ
คุณพศินตอบ: หนึ่ง ยากไม่ได้แปลว่าไม่มี คนได้เกิดเป็นมนุษย์อีก นั้นมี แต่เทียบกับประชากรโลก 6000 ล้าน มันก็น้อยมาก
สอง คนที่เป็นข่าว อาจคิดไปเอง หรือเป็นความจริงเราก็ไม่รู้ได้ แปลว่า คนที่อ้างว่า กลับมาเกิด ก็ต้องมีทั้งคนที่โกหก เข้าใจผิด และคนที่พูดจริง
ผู้อ่านถาม: จุดเริ่มต้นต้องอ่านหนังสือเล่มใดก่อนคะ เพิ่งเริ่มศึกษาค่ะ
คุณพศินตอบ: อ่านหลักอานาปนสติก่อนก็ได้ครับ หลักธรรมของศาสนาพุทธนั้นมีอยู่มาก ถ้ารอให้เข้าใจหมด จะเสียเวลาเนินนานไป เอาเป็นว่า เรารู้หลักภาวนาก่อน ภาวนาไปเรื่อยๆ หลักธรรมอื่นๆ ก็ศึกษาไปเรื่อยๆ ปริญัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธจะได้ไปพร้อมกันเลย
ผู้อ่านถาม: โปรดอธิบายความหมายและหลักการของ “ปฏิจจสมุปบาท” และหลักของ “สติปัฏฐาน 4” ครับ
คุณพศินตอบ: ผมจะพูดแบบชาวบ้านๆ อย่างนี้นะครับ หลักปฏิจจสมุปบาทนั้น พูดง่ายๆ ก็คือหลักที่แสดงให้เห็นว่าที่มาที่ไปของสิ่งต่างๆ ที่ประกอบขึ้นมาเป็นเรานั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร คล้ายๆ เราถามย้อนกลับไปว่า ทุเรียนลูกนี้มาจากไหน แล้วนักวิชาเกษตรก็บอกว่า ก่อนจะเป็นทุเรียน มันต้องมีต้น ก่อนมีต้น ก็มีเมล็ด ก่อนมีเมล็ด มันต้องมีลูกทุเรียน คือแสดงให้เห็นว่า “นี่มันคือวงกลม แล้ววงกลมอันนี้แหละคือวงจรชีวิตของสิ่งที่เรียกว่า ทุเรียน”ส่วนหลักวิปัสสนา ก็เหมือนกับว่า เราฟังนักวิชาเกษตรคนนี้พูดมาแล้วว่า ทุเรียนเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เราก็พาร่างกายตนเอง จิตใจตนเองไปเห็นสวนทุเรียนนี้เพื่อต้องการสัมผัสกับขั้นตอนต่างๆ ที่ทำให้ทุเรียนเกิดขึ้นด้วยตนเอง พูดง่ายๆ ว่า ปฏิจจสมุปบาทคือโครงสร้างใหญ่ของชีวิต ส่วนวิปัสสนาคือกรรมวิธีที่ทำให้เราเห็นโครงสร้างใหญ่ของชีวิตที่พูดมา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง นั่นคือ การพาตัวเองเดินไปสวนทุเรียน หรือ การฝึกทำวิปัสสนาซะนั่นเอง
**คำถามนี้เป็นส่วนหนึ่งจากกิจกรรม “ฝึกสติเพื่อชีวิตสตรอง” ที่จัดขึ้น ณ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชิ่ง จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 4 และ 11 มิถุนายน 2559 **
บทความน่าสนใจ
10 ข้อคิดเปลี่ยนชีวิตที่คับแคบให้กลายเป็นท้องฟ้ากว้างใหญ่ โดยคุณพศิน อินทรวงค์
มุมมองความรักในทางพุทธ ที่จะทำให้เจอรักแท้ โดย พศิน อินทรวงค์
สูตรแก้ ปัญหา ครอบจักรวาล! โดยคุณพศิน อินทรวงค์
วิธีค้นหาศักยภาพสูงสุดของการมีชีวิต มุมคิดจาก พศิน อินทรวงค์ (ชมคลิป)
10 วิธี เพิ่มความสุขให้ตนเองด้วยการกระทำเล็กๆ โดยคุณพศิน อินทรวงค์