โปรแกรมง่ายช่วย ชะลอวัย ลดไขมันในเลือด
ไม่ว่าหญิงหรือชาย ใคร ๆ ก็อยาก ชะลอวัย ชะลอความชราด้วยกันทั้งนั้น แต่หากถามว่า ปัจจุบันเรื่อง Anti-aging หรือศาสตร์ด้านการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพนี้ มีอะไรได้ผลจริงจังบ้างขอตอบว่า หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เรื่อง Anti-aging (ในคน) ทุกวันนี้มีน้อย เพราะไม่มีตัวชี้วัดที่เชื่อถือได้ หากจะเอาความยืนยาวของชีวิตเป็นตัวชี้วัด ก็ต้องทำงานวิจัยกันนานถึง 20-40 ปีเป็นอย่างน้อย ซึ่ง ณ วันนี้ยังไม่มีใครทำงานวิจัยแบบนี้สักชิ้นเดียว
ในบรรดาตัวชี้วัด Anti-aging ที่พอใช้ได้ทุกวันนี้ วงการแพทย์ดูจะยอมรับการยืดหรือหดตัวของทีโลเมียร์ (Telomere) ว่ามีความสัมพันธ์กับการแก่ช้าหรือเร็วมากที่สุด โดยเจ้าทีโลเมียร์ที่ว่าก็คือส่วนปลายเส้นโมเลกุลของโครโมโซม ซึ่งเป็นแหล่งรวมรหัสพันธุกรรมที่เรียกว่า “ยีน (Gene)” ผู้บงการชะตาชีวิตของเซลล์ร่างกายเรานั่นเอง
ทีโลเมียร์มีหน้าที่คุ้มกันยีนไม่ให้หลุดลุ่ยเสียหายจากการแบ่งตัวของเซลล์ซ้ำ ๆ ซาก ๆ เปรียบเหมือนตรงปลายของเชือกผูกรองเท้าที่จะมีปลอกพลาสติกหรือปลอกเหล็กเล็ก ๆ รัดไว้ไม่ให้ปลายเชือกผูกรองเท้าหลุดลุ่ย
ประเด็นก็คือ เมื่อเซลล์แบ่งตัวรุ่นแล้วรุ่นเล่า ทีโลเมียร์จะหดสั้นลงจนหมดเกลี้ยงในที่สุด เมื่อทีโลเมียร์หมดเกลี้ยง ยีนจะเริ่มหลุดลุ่ยเสียหายทำให้เซลล์รุ่นต่อไปออกอาการผิดเพี้ยนเหลาเหย่ เป็นมะเร็ง หมดอายุ หรือพูดง่าย ๆ ว่าความแก่มาเยือน
บรรทัดนี้ ขอหยุด 1 นาที เพื่อคารวะนักศึกษาปริญญาโทสาวชาวออสซี่คนหนึ่งชื่อ แครอล กรีเดอร์ (Carol W. Greider) ผู้ค้นพบเอนไซม์ทีโลเมียเรส (Telormerase) ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันการหดสั้นของทีโลเมียร์ ขณะที่เธอทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท และผลงานนี้ส่งผลให้เธอได้รับรางวัลโนเบลร่วมในสาขาชีวโมเลกุล
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่สรุปผลได้ว่าความเครียดเรื้อรังทำให้ความแอ๊คทีฟของเอนไซม์ทีโลเมียเรสลดลง และทำให้ทีโลเมียร์หดสั้นเร็วกว่าปกติ จึงอาจมีผลให้อายุสั้นลงด้วย ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคืองานวิจัยที่แคลิฟอร์เนีย ทำโดยกลุ่มคนที่เชื่อถือได้รวมทั้งผู้ที่ได้รางวัลโนเบลเรื่องทีโลเมียร์ได้เอาคนอายุมากตัวเป็นๆ 30 คนมาวัดกิจกรรมของเอนไซม์ทีโลเมียเรสและความยาวของทีโลเมียร์ไว้หมด แล้วให้เข้า
โปรแกรมปรับวิถีชีวิต อย่างสิ้นเชิงเป็นเวลา 3 เดือน โดยไปเริ่มต้นกันที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง ซึ่งในโปรแกรมนี้ทุกคนจะต้องทำสิ่งต่อไปนี้ คือ
1. เปลี่ยนอาหารที่เคยกิน ไปกินอาหารแคลอรีต่ำ ไขมันต่ำ (มีแคลอรีจากไขมันไม่เกินร้อยละ 10) เป็นอาหารแนวมังสวิรัติ (Plant Based) มีผักผลไม้ ถั่วต่างๆ จำนวนมากกินธัญพืชไม่ขัดสีแทนแป้ง และบังคับให้กินเต้าหู้กับน้ำมันปลาทุกวัน โดยมีนักโภชนาการคอยจัดอาหารและคุมอาหารให้
2. ออกกำลังกายแบบแอโรบิก ด้วยวิธีเดินเร็วจนถึงระดับหนักพอควร (หอบจนร้องเพลงไม่ได้) อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 6 ครั้ง
3. จัดการความเครียด ด้วยวิธีต่าง ๆ โดยใช้เวลาวันละ 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 6 วัน เช่น ฝึกโยคะแบบผ่อนคลาย หรือฝึกสติตามดูลมหายใจ (Breathing Meditation) หรือฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
4. พบปะกันในกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง
ทำอยู่อย่างนี้นาน 3 เดือน แล้ววัดดูตัวชี้วัดต่างๆ รวมทั้งกิจกรรมของทีโล-เมียเรสและความยาวของทีโลเมียร์ พบว่าตัวชี้วัดสุขภาพพื้นฐานของทุกคนดีขึ้น เช่นดัชนีมวลกายที่สูงเกินปกติลดลง ไขมันเลว
ในเลือดที่สูงอยู่ลดลง ความดันเลือดที่สูงลดลง น้ำตาลในเลือดและการใช้ยาเบาหวานลดลง แล้วยังพบว่าทุกคนมีกิจกรรมของทีโลเมียเรสเพิ่มขึ้น และความยาวของทีโลเมียร์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย
ผมเองก็พยายามทำตามหลักการปรับวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิงทั้งข้อ 1 2 3 4 เหยงๆ ตอนนี้ข้อ 1 2 ทำได้แล้วพอควรข้อ 3 4 ยังทำไม่ได้ แต่ก็กำลังพยายามอยู่ ความยากอยู่ที่มีเวลาไม่พอใช้ แหะ…แหะ แบบว่าป่วยเป็นโรคคลาสสิก “กลุ่มอาการเวลาไม่พอใช้” หรือ “Not Enough Time Syndrome” เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องตัดใจโชะจึงจะรักษาให้หายได้
แต่ตอนนี้ยังตัดใจไม่ขาด เอาไว้รอให้รายการทีวีหมดซีซั่นก่อนนะ คราวนี้จะ…โชะ ปรับวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง เอาให้หายขาดแน่
จาก คอลัมน์ WELLNESS CLASS นิตยสารชีวจิต ฉบับ 449
ชีวจิต Tips กินอาหาร ชะลอวัย ทำอย่างไร
- อาหารคือแหล่งพลังงานชีวิต
ก่อนซื้อ หรือกินอาหารทุกครั้ง ให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ร่างกายของฉันต้องการ หรือแค่อยากกินอาหารชนิดนี้” เพื่อเตือนตนเอง ให้ใส่ใจการเลือกอาหาร
หากทำอย่างต่อเนื่องทุกวัน คุณจะเห็นว่า สัดส่วนของอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพจริง ๆ จะเพิ่มมากขึ้นโดยธรรมชาติ
หากตระหนักได้เสมอว่า อาหาร คือแหล่งพลังงานชีวิต มิใช่เป็นแค่เพียงการกิน เพื่อให้อิ่มเป็นครั้งคราว คุณจะมองเห็นคุณค่า ในการใส่ใจเลือกอาหารให้ตนเอง และมองเห็นคุณค่าของการใส่ใจสุขภาพในทุก ๆ มิติ - เลือกอาหารโภชนาการสูง
การเลือกกินผักผลไม้ที่สด ธัญพืช ถั่วหลากสี จำกัดแป้ง น้ำตาล และเครื่องปรุงรส เลือกโปรตีนย่อยง่าย และมีปริมาณไม่มากเกินไป เน้นอาหารที่ปลูก หรือผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ จะทำให้กินน้อยลง แต่ได้รับคุณประโยชน์ทางโภชนาการมากขึ้น อิ่มนานขึ้น
และทำให้ร่างกายสดชื่น
วิธีนี้ ส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย ช่วยให้อารมณ์คงที่ สมองแจ่มใส ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้น มากกว่า การกินอาหารทั่ว ๆ ไป โดยเฉพาะอาหารที่มีพลังงานชีวิตต่ำ ได้แก่ อาหารทอดและอาหารที่ผลิตในเชิงอุตสาหกรรม - กินอย่างเจริญสติ
เน้นกินด้วยความสำรวม และพิจารณาอาหาร โดยมองให้เห็นประโยชน์มากกว่ากิน เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน โดยมีวิธีดังนี้ ระลึกถึง และขอบคุณผู้ที่มีส่วนให้เราได้รับอาหารในมื้อนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร คนขนส่งอาหาร พ่อค้าแม่ค้า และคนปรุงอาหาร ต่อมาจึงตักอาหารมาใส่จานในปริมาณที่ตนเองกินหมด เคี้ยวช้า ๆ เคี้ยวให้ละเอียด เมื่อปฏิบัติเป็นประจำ ทุกมื้อในทุก ๆ วัน จะช่วยลดความอยากอาหารก่อโรค เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารทอด อาหารมัน อาหารที่มีน้ำตาลสูง การกินอาหารตามความเคยชิน และการบริโภคเกินขนาดได้ - เพิ่มอาหารรสเปรี้ยว
ในบรรดา 6 รสชาติ ที่คนเรารับรู้ได้นั้น คุณดอนน่า อธิบายว่า รสเปรี้ยว เป็นรสชาติแห่งสุขภาพ เพราะได้จากผักผลไม้สด และอาหารหมักดอง ดังนั้น แทนที่จะติดรสหวาน ขอให้ค่อย ๆ ฝึกให้คุ้นชินกับรสเปรี้ยวทีละน้อย มีสุภาษิตไทยกล่าวว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” ข้อนี้นำมาปรับใช้ได้เลย เบื้องต้นเราได้รับรสขม จากผักและสมุนไพรบางประเภทอยู่แล้ว ถัดไปขอให้ “เพิ่มเปรี้ยวเพิ่มประโยชน์” โดยเติมผักผลไม้รสเปรี้ยว และอาหารหมักดองลงไปในแต่ละมื้อด้วย - งดกินอาหารทำลายสุขภาพ
นายแพทย์ลีโอนาร์ด สมิท ศัลยแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร และสมาชิกกรรมการที่ปรึกษาแพทยสภาแห่งสหรัฐอเมริกา (Clinical Advisory Board) หนึ่งในแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่คุณดอนน่าคัดสรรมาร่วมงานอธิบายว่า จุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร “จำ” อาหารได้เหมือนการอ่านหนังสือ จึงมีปฏิกิริยาตอบสนองกับอาหารแต่ละชนิดอย่างแม่นยำเสมอ และรู้ว่าอาหารชนิดใดมีประโยชน์ อาหารชนิดใดมีโทษต่อสุขภาพ
ดังนั้น เมื่อคนคนนั้นกินอาหารก่อโรคซ้ำ ๆ เช่น อาหารจากน้ำมันทอดซ้ำ อาหารไขมันสูง อาหารหวานจัด เค็มจัด อาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูป จะทำให้จุลินทรีย์ดีในร่างกายค่อย ๆ ตายและลดจำนวนช้า ๆ
พฤติกรรมดังกล่าว ส่งผลให้สมดุลจุลินทรีย์ ในระบบทางเดินอาหารทั้งหมดสูญเสียไป การขับถ่ายย่อมผิดปกติ เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูกบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมีกากอาหารตกค้างนานกว่าปกติ เซลล์ผนังลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนปลายของระบบขับถ่ายจะดูดซึมสารพิษตกค้างเข้าไปสะสมอีก
หากไม่ปรับเปลี่ยนอาหาร โดยหันมากินผักผลไม้ ซึ่งกระตุ้นให้ลำไส้เคลื่อนไหวตามปกติจะยิ่งมีปัญหาต่อระบบขับถ่ายโดยรวม และในที่สุดเซลล์ที่อยู่ในผนังลำไส้ อาจเกิดการเจริญเติบโตผิดปกติ จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้
เรื่อง สาทิส อินทรกำแหง
บทความอื่นที่น่าสนใจ
ผู้ป่วยมะเร็ง ออกกำลังกายอย่างไรดี ?
เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย
เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง
แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ
มหัศจรรย์แห่ง การเดิน แรงกระแทกต่ำ ทำได้ทุกคน
บอกต่อวิธีชะลอวัย 1. เร่งเมแทบอลิซึม 2. เร่งขับพิษ เพื่อสุขภาพดี
ติดตามชีวจิตได้ที่
Instagram Cheewajitmedia
Facebook นิตยสาชีวจิต