คาเคา

คาเคา กินเถอะ อาหารช่วยอารมณ์ดี ลดซึมเศร้า

คาเคา ชื่อนี้ คนรักสุขภาพต้องเลิฟ ช่วยเสริมความสุข ลดซึมเศร้า

คาเคา (Cacao) คือการนำเมล็ดจากต้นคาเคาหรือต้นโกโก้ Theobroma Cacao Tree มาตากแห้ง หมักและผ่านความร้อน หากนำมาแปรรูปโดยใช้ความร้อนต่ำ อย่างช้าๆ จะได้ช่วยรักษาสารอาหาร โดยเฉพาะสารแอนติออกซิแดนต์ให้มีปริมาณสูง แต่รสชาติจะไม่หวาน ซึ่งจะเรียกว่า “คาเคา”

Cacao Nibs คาเคานิปส์ คือเนื้อด้านในของเมล็ดโกโก้ที่ผ่านการสกัดด้วยวิธี Cold Pressing ลักษณะเป็นเนื้อบดหยาบ มีรสชาติขมแบบช็อกโกแลตแท้ เคี้ยวกรุบกรอบ

ส่วนการนำมาแปรรูปโดยใช้ความร้อนสูง จะทำให้ปริมาณสารแอนติดออกซิแดนต์ลดลง แต่จะมีรสชาติหวานขึ้น ซึ่งจะเรียกว่า “โก้โก้”

พบว่า ผงเคาขนาดปริมาณ 100 กรัม มีค่าการต้านอนุมูลอิสระสูง หรือค่า ORAL (Oxygen Radical Absorbance Capacity)  95,000 แต่ถ้าผ่านกระบวนการผลิตมาเป็นผงโกโก้ ค่า ORAL จะเหลือแค่ 26,000

นอกจากนี้ พบว่า การดื่มเครื่องดื่มจากเคาเคายังช่วยให้จิตใจสงบผ่อนคลาย ลดความเครียด เนื่องจากคาเคาจะช่วยให้ร่างกายผลิตสารเซราโทโนตามธรรมชาติได้อย่างสมดุล

คาเคา ปรุงอย่างไร

คาเคาผงและคาเคานิปส์ สามารถนำมาปรุงเมนูได้หลากหลาย

  1. คาเคานิปส์กินสดๆ แต่จะมีรสชาติขม เหมาะสำหรับคนรักสุขภาพ
  2. คาเคานิปส์กินคู่กับโยเกิร์ต ซึ่งควรเป็นกรีกโยเกิร์ตจะได้ความอร่อยลงตัว กินคู่กับกราโนล่า
  3. คาเคาผงและคาเคานิปส์ชงเป็นเครื่องดื่มร้อนที่สามารถใช้น้ำร้อน นมโอ๊ต นมถั่วเหลือง หรือชาสมุนไพรชนิดต่างๆ เช่น ชะเอมเทศ
  4. คาเคาผงและคาเคานิปส์เป็นส่วนผสมของสมู้ตตี้ เครื่องดื่มเย็นชนิดต่างๆ เป็นส่วนผสมของขนม เช่น วุ้น ช็อคบอล บราวนี่ แอนเนอจี้บอล พุดดิ้ง คุ้กกี้

เลือกและเก็บอย่างไร

  • แหล่งที่มาและความน่าเชื่อถือ ตรวจสอบแหล่งผลิต เลือกจากแบรนด์ที่รู้จัก ซึ่งสามารถตรวจสอบกระบวนการผลิตว่า มีคุณภาพได้มาตรฐานหรือไม่
  • อ่านฉลากเพื่อดูส่วนประกอบและคุณค่าทางโภชนาการ ส่วนประกอบควรระบุว่า มีผงคาเคา 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลหรือสารปรุงแต่ง มีไขมันดีและใยอาหารสูง มีปริมาณน้ำตาลต่ำ และมีเครื่องหมายคุณภาพจากหน่วยงานต่าง ๆ รับรอง
  • ลักษณะทางกายภาพ ผงคาเคาที่มีคุณภาพจะมีสีน้ำตาลเข้ม กลิ่นหอมเฉพาะตัวคล้ายช็อกโกแลต รสชาติเข้มข้น ขมเล็กน้อย กลิ่นหอมติดปาก
  • บรรจุอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่ปิดสนิท เพื่อป้องกันความชื้นและคงคุณภาพของผงคาเคา
คาเคา

เมนูเด็ด คาเคา ร้อน

ส่วนผสม

  • นมโอ๊ต 1 ถ้วย
  • ผงคาเคา 2 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือชมพู ¼ ช้อนชา
  • วานิลา 1 ช้อนชา
  • น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
  • อบเชย 1 แท่ง

วิธีทำ

  1. เทนมโอ๊ตลงในหม้อ หมั่นคนเรื่อยๆ รอนมโอ๊ตเริ่มร้อน
  2. ใส่ผงคาเคา หมั่นคนให้คาเคาละลายให้หมด
  3. ปรุงรสด้วยน้ำผึ้ง คนให้น้ำผึ้งละลาย นมโอ๊ตร้อนขึ้น
  4. เทใส่แก้ว วางแท่งอบเชยลงไป โรยผงคาเคา พร้อมเสิร์ฟ

Cooking Tips ทางเลือกอร่อยของคาเคา

  1. คาเคาสามารถชงกับน้ำร้อน ตีผสมกับนมธัญพืชชนิดต่างๆ เป็นเครื่องดื่มสุขภาพ
  2. เป็นส่วนผสมของขนม เบเกอรี่ แทนผงโกโก้ จะดีต่อสุขภาพยิ่งขึ้น
  3. เป็นส่วนผสมในสมู้ตตี ความหวานของสมู้ตตีและความขมของคาเคาถือเป็นรสชาติที่อร่อยลงตัว และดีต่อสุขภาพ
  4. กินพร้อมกับผลไม้สด รสชาติหวานอมเปรี้ยว เช่น สตรอว์เบอร์รี่ บูลเบอร์รี่ ก็อร่อยและดีต่อสุขภาพ

สมู้ตตี้คาเคากล้วย

ส่วนผสม

  • ผงคาเคา 2 ช้อนโต๊ะ
  • นมถั่วเหลือง 1 ถ้วย
  • กล้วยหอม 1 ลูก
  • แบล็คเบอร์รีหรือบลูเบอร์รี่ ¼ ถ้วย
  • อะโวคาโด ¼ ถ้วย
  • อินทผลัมแกะเมล็ดออก 2 ลูก
  • น้ำแข็ง ½ ถ้วย
  • เกลือ ½ ช้อนชา
  • ใบสะระแหน่หรือโรสแมรี่

วิธีทำ

  1. ปอกกล้วยหอมหั่นเป็นชิ้นพอคำ ผ่าอะโวคาโดหั่นชิ้นพอคำ พักไว้
  2. ใส่กล้วยหอมและอะโวคาโดลงในโถปั่น ตามด้วยแบล็คเบอร์รี่ นมถั่วเหลือง และอินทผลัม
  3. ใส่ผงคาเคา น้ำแข็ง และเกลือ ปั่นส่วนผสมให้เข้ากัน จากนั้นเทใส่แก้ว ตกแต่งด้วยโรสแมรี่ พร้อมเสิร์ฟ

Cooking Tips กล้วยทำอะไรก็อร่อย

  1. เมื่อนำกล้วยไปทำอาหารที่ใช้ความร้อน วิตามินบี 6 ในกล้วยจะถูกทำลายไปบางส่วน ดังนั้น หากกินกล้วยสดหรือไม่ปรุงโดยผ่านความร้อนจะได้รับประโยชน์จากวิตามินบีในกล้วยได้อย่างเต็มที่
  2. นำกล้วยไปแช่แข็ง แล้วปั่นพร้อมผลไม้สดชนิดอื่นๆ โรยลูกจันทน์ป่นและน้ำมะนาวจะได้น้ำกล้วยหอมปั่นที่อร่อยและดีต่อสุขภาพ
  3. ผสมกล้วยลงในกรีกโยเกิร์ตจะช่วยให้รสชาติอร่อยขึ้น และดีต่อสุขภาพระบบลำไส้
  4. อาหารตะวันตก ใช้กล้วยทำซัลซ่าได้ หั่นกล้วยเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ผสมกับหัวหอม พริกป่น น้ำมะนาว และน้ำผึ้ง เสิร์ฟพร้อมสเต๊กปลา

บทความอื่นที่น่าสนใจ

ชีวจิตขอแชร์ วิธีเลือกน้ำมัน ประกอบอาหาร

ชวนดื่ม ชาสมุนไพร ต้อนรับปีใหม่ ช่วยปรับสมดุลร่างกายและอารมณ์

ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา

สูตร 10 วัน ปั้นชีวิตใหม่ สลายท็อกซิน ลดขนาดเนื้องอก

ติดตามชีวจิตได้ที่

Instagram Cheewajitmedia
Facebook นิตยสารชีวจิต

เดิน ออกกำลังกาย ชีวจิต

5 วิธี เดินระเบิดไขมัน

วิธี เดินระเบิดไขมัน

เดินระเบิดไขมัน ที่ทำได้ทุกเพศทุกวัย หากวิ่งไม่ไหว ยกเวทไม่ได้ มือใหม่หัดออกกำลังกายบ่น เพราะกล้ามเนื้อยังไม่แข็งแรงพอเวิร์คเอ้าท์แบบหนัก ๆ ใช่ไหมคะ มาค่ะ มาเดินกัน ลดน้ำหนักแบบง่ายๆ ที่เห็นผลจริง จะมีเทคนิคใดบ้าง ต้องตามมาดู

เท้า

ก่อนออกเดินให้มองหาพื้นๆ ดีเสียหน่อย เพื่อลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุข้อเท้าพลิก เทคนิคที่ดีเพื่อการเดินออกกำลังกาย คือ ส้นเท้าต้องสัมผัสกับพื้นเป็นสิ่งแรก จากนั้นจึงปล่อยให้ฝ่าเท้าตามแล้วจึงดีดปลายเท้าเป็นจังหวะสุดท้าย วิธีนี้จะทำให้เดินได้เร็วขึ้น

แขน

การแกว่งแขนที่ดีมีส่วนช่วยให้ลำตัวอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ซึ่งจะนำไปสู่จังหวะการวางเท้าที่สมบูรณ์แบบ ข้อสำคัญในการแกว่งแขนขณะเดิน คือ อย่าแกว่งแขนสูงถึงหน้าอก ให้ปล่อยแขนสบายๆ กำมือหลวมๆ แต่ทุกครั้งที่แกว่งต้องรู้สึกที่หัวไหล่ ต้นคอ และกล้ามเนื้อหลัง ส่วนบนแขนควรแกว่งสูงจากจำตัวราว 40 องศา และให้คิดว่าแขนเป็นเหมือนลูกตุ้ม โดยเราต้องแขนแกว่งสลับกับเท้า

ไม้เท้า

เทคนิคนี้เป็นของชาวยุโรปเหนือค่ะ การใช้ไม้เท้าช่วยเดินจะทำให้เดินได้เร็วและไกลขึ้น โดยที่เราไม่รู้สึกเหนื่อยเกินไป นอกจากนี้ การใช้ไม้เท้ายังช่วยให้เราได้ใช้กล้ามเนื้อส่วนบนมากขึ้น ช่วยลดแรงกระแทกบริเวณหัวเข่าได้ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ และยังช่วยเร่งการเผาผลาญได้มากกว่า 46 แคลอรี่

ไม้เท้า 1 คู่ สามารถใช้ได้ทั้งพื้นเรียบและขึ้นเขา ขนาดของไม้เท้าที่ดีควรสูง 2 ใน 3 ของความสูงคุณค่ะ

เพิ่มน้ำหนัก

วิธีง่ายๆ เพื่อเพิ่มการทำงานของหัวใจ คือการเพิ่มน้ำหนักให้ร่างกาย จะเลือกเป็นเป้น้ำเล็กๆ สายเพิ่มน้ำหนักบริเวณข้อเท้า หรือจะถือขวดน้ำข้างละ 1 ลิตรก็ได้

เสริมท่าลันจ์

เพื่อเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อขา ให้ลองทำท่าลันจ์ขณะก้าวเดินไปด้วย เพียงเอามือเท้าสะเอวแล้วก้าวขาย่อยืด เวลาที่ย่อตัวลงอย่าให้หัวเข่าเลยปลายเท้า จากนั้น เดินวนไปค่ะ ก้นสวย ขาแข็งแรงแน่นอน

ได้เทคนิดเดินเร่งเผาผลาญไปแล้ว อย่าลืมทำตามนะคะ จะเลือกใช้เพียงหนึ่งวิธีหรือจะใช้หลายๆ วิธีมารวมกันก็ได้ รับรองว่า การเดินออกกำลังกายครั้งนี้จะเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ

โปรแกรม เดินระเบิดไขมัน

การเดินด้วยวิธีดังต่อไปนี้ช่วยเร่งระบบการเผาผลาญในร่างกายได้มากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากกว่าการเดินก้าวเท้าในรูปแบบปกติ

How-to: ใช้เวลาทั้งหมด 10 นาที โดยทําตามขั้นตอน ดังนี้

  • วอร์มอัพร่างกายระดับง่ายๆ ถึงปานกลาง 3 นาที
  • เดินเร็ว 1 นาที
  • วิ่งเหยาะๆ 30 วินาที
  • เดินเร็ว 1 นาที
  • กระโดดตบ 30 วินาที
  • เดินเร็ว 1 นาที
  • กระโดดสลับขาไปด้านข้าง(Side Jumps) 30 วินาที
  • เดินเร็ว 1 นาที
  • วิ่งเหยาะๆ 30 วินาที
  • คูลดาวน์ 1 นาที

ชีวจิต Tips

เมื่อไม่นานมานี้ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ อังกฤษ ได้เปิดเผยผลวิจัยด้านสุขภาพที่ยืนยันว่า การเดินออกกําลังกายทุกวัน วันละ 20 นาที จะช่วยเผาผลาญแคลอรี ซึ่งการเดิน การวิ่ง แม้ว่าจะเป็นการออกกำลังกายที่ปลอดภัย แต่ก็อาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้นะคะ ซึ่งมีการบาดเจ็บอะไรที่ต้องระวัง มาดูกันค่ะ

กระดูกอ่อนข้อเข่าอักเสบ

เป็นการบาดเจ็บรอบๆ ลูกสะเบ้าหัวเข่า มักจะเป็นมากในกรณีที่วิ่งขึ้นลง เช่น วิ่งขึ้น-ลงเข่า วิ่งขึ้นลงบันได บางครั้งอาจเกิดเสียงดังในข้อเข่า

เอ็นรองฝ่าเท้าอักเสบ

อาการคือเจ็บแปล๊บที่ส้นเท้า เป็นมากเวลาที่ตื่นนอน หรือนั่งนานๆ แต่หากเป็นรุนแรงขึ้นจะกลายเป็นการปวดตลอดเวลา

เอ็นต้นขาด้านข้างอักเสบ

เส้นเอ็น IT Band เป็นเส้นที่อยู่ด้านข้างของกล้ามเนื้อต้นขา ในเวลาที่วิ่งกล้ามเนื้อจะมีการหด และยืดตัวตามจังหวะก้าว ทำให้เจ็บที่ด้านข้างของสะโพก ต้นขาด้านข้าง และเข่าด้านข้าง

กล้ามเนื้อหน้าแข้งอักเสบ

ปวดที่หน้าแข้ง และเมื่อกดจะเจ็บ โดยเฉพาะหลังวิ่ง ซึ่งปัญหานี้มักเกิดขึ้นกับคนที่มีปัญหาเท้าแบน หรือวิ่งบนพื้นที่แข็งเกินไป หรือใช้รองเท้าที่พื้นสึกหรอ

เอ็นร้อยหวายอักเสบ

อาการคือเจ็บ บวมแดง บริเวณเอ็นร้อยหวาย และลามไปถึงบริเวณน่อง ซึ่งปัญหาเกิดจากการที่ไม่ยืดเหยียดร่างกายก่อนออกกำลังกาย หรือออกกำลังกายหักโหมเกินไป


บทความอื่นที่น่าสนใจ

การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส ผู้บัญญัติศัพท์ “Cancer” หรือมะเร็ง คนแรกของโลก

5 วิธีลดความดันโลหิตสูง ด้วยตัวเอง

แจ่วมะเขือเทศ อร่อย ทำง่าย กินต้านการเกิดมะเร็ง

ดูแลตัวเองอย่างไร ให้ห่างไกล โรคหลอดเลือดสมอง

ติดตามชีวจิตได้ที่

Instagram Cheewajitmedia
Facebook นิตยสารชีวจิต

ธาตุเจ้าเรือน

อโรม่าตาม ธาตุเจ้าเรือน ร่างกายแข็งแรง ชีวิต Happy

ธาตุเจ้าเรือน บางคนบอกว่าเป็นความเชื่อ แต่ในหลักอายุรเวช รวมถึงแพทย์แผนไทยโบราณ ธาตุเจ้าเรือน ซึ่งสัมพันธ์กับเวลาเกิด จะเปรียบเสมือนแผนที่ขนาดย่อมๆ ที่ช่วยในการดูแลสุขภาพของเรา เพราะธาตุเจ้าเรือนไม่เพียงบอกได้ถึงลักษณะนิสัย แต่ยังบอกได้อีกว่าเป็นคนขี้ร้อน ขี้หนาว หรือรู้สึก อาการที่มักป่วยเป็นประจำ

เมื่อ ธาตุเจ้าเรือน เปรียบเสมือนคู่มือในการดูแลสุขภาพแบบนี้แล่้ว จึงมีการแนะนำอาหารและอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น ผักตามธาตุเจ้าเรือน ชา รวมไปถึง น้ำมันหอมระเหย ซึ่งแอดไปหามาให้แล้วว่า ธาตุเจ้าเรือนแบบไหน ควรเลือกใช้กลิ่นแบบใด

ธาตุเจ้าเรือน คืออะไร

คณะการแพทย์แผนไทย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้กล่าวไว้ว่า ธาตุเจ้าเรือน คือ องค์ประกอบของธาตุที่รวมกันอยู่ 4 ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม และ ไฟ แต่ในแต่ละคนก็จะมี 1 ธาตุที่โดดเด่นกว่าธาตุอื่นๆ ทำให้เกิดลักษณะที่แตกต่างกันในแต่ละคน โดยสิ่งที่กำกับว่าเราเป็นธาตุอะไรนั้น จะดูกันที่เดือนเกิดค่ะ

ธาตุไฟ

เกิดเดือน มกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม

ลักษณะรูปร่าง และนิสัยใจคอ   เป็นคนขี้ร้อน ไม่ชอบที่อากาศร้อน ไม่ค่อยมีความอดทน ใจร้อน หิวบ่อย กินเก่ง ผมหงอกมาเร็วกว่ากำหนด มีผิวหนังย่น ผม ขน และหนวดจะมีลักษณะค่อนข้างนิ่ม มีกลิ่นปาก กลิ่นตัวแรง

ควรรับประทานอาหาร รสขม เย็น และจืด ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดร้อน 

ธาตุลม

คือคนที่เกิดเดือน เมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน

ลักษณะรูปร่างและนิสัย : มีรูปร่างโปร่ง ผอม ผิวหนังค่อนข้างแห้งหยาบ ผมบาง ข้อกระดูกลั่นเมื่อเคลื่อนไหว ทนความหนาวไม่ค่อยได้ ช่างพูดช่างเจรจา และมีปัญหาเรื่องการนอนหลับ

ควรรับประทานอาหาร รสเผ็ดร้อน ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสหวานจัด ขนม หรือของหวาน 

ธาตุน้ำ

คือคนที่เกิดเดือน กรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน

ลักษณะรูปร่างและนิสัย : รูปร่างสมบูรณ์ อวัยวะสมบูรณ์ สมส่วน ผิวพรรณสดใส ตาหวาน มีน้ำในตาค่อนข้างมาก ผมดกดำเงางาม แต่มักทำอะไรชักช้า เฉื่อย และค่อนข้างเกียจคร้าน ทนหิว ทนร้อน ทนเย็นได้ดี

ควรรับประทานอาหาร รสเปรี้ยว รสขม ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด และอาหารที่มีความมันสูง

ธาตุดิน

คือคนที่เกิดเดือน ตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม

ลักษณะรูปร่างและนิสัย : รูปร่างสูงใหญ่ ผิวค่อนข้างคล้ำ มีผมดกดำ ข้อกระดูกแข็งแรง กระดูกใหญ่ อวัยวะสมบูรณ์ และมีเสียงที่ดังฟังชัด

ควรรับประทานอาหารที่มีรสฝาด รสหวาน มัน เค็ม 

เลือกน้ำมันหอมระเหย ตามธาตุเจ้าเรือน เสริมสุขภาพ

คุณยุ – คัทรินทร์ ประยุกต์วิทยาฐาน เจ้าของแบรนด์ชมภิญญ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมันหอมระเหย กล่าวถึงการเลือกใช้น้ำมันหอมระเหยว่า สามารถใช้ได้ตามธาตุเจ้าเรือน ตามศาสตร์อายุรเวชของอินเดียโบราณ ที่ใช้น้ำมันหอมระเหยรักษาสุขภาพและเยียวยาอาการตามธาตุเจ้าเรือน ผ่านการนวดร่างกาย ศีรษะ

ธาตุไฟ

ควรใช้น้ำมันหอมระเหย กลิ่นซ่า เพื่อกระตุ้นความกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง พร้อมรับสถานการณ์วันใหม่
กลิ่นน้ำมันหอมระเหยแนะนำได้แก่ โรสแมรี่ ทีทรี (Tea Tree) ยูคาลิปตัส ไธม์ (Thyme)

ธาตุลม

ควรใช้น้ำมันหอมระเหย กลิ่นเปรี้ยวหวาน ให้ความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย ส่งเสริมพลังการสื่อสาร และความคิดสร้างสรรค์
น้ำมันหอมระเหยแนะนำได้แก่ น้ำมันมะกรูดหรือ เบอร์กามอต เลมอน มะนาว ส้ม ตะไคร้

ธาตุเจ้าเรือน

ธาตุน้ำ

ควรใช้น้ำมันหอมระเหย กลิ่นแนวหอมหวาน ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ปลอบโยน อ่อนหวาน ฟื้นพลังสำหรับวันที่เหนื่อยล้า
น้ำมันหอมระเหยแนะนำได้แก่ ลาเวนแดอร์ เจอราเนียม กระดังงา จำปี (Champaka)

ธาตุดิน

ควรใช้น้ำมันหอมระเหย กลิ่นโทนหนักแน่น สงบ สร้างพลังงาน สติ สมาธิ
น้ำมันหอมระเหยแนะนำได้แก่ แพตซูลี่หรือพิมเสน น้ำมันกลิ่นหญ้าแฝก (Vetiver) แซนดัลวู้ด

    วิธีใช้น้ำมันหอมระเหย

    คุณยุอธิบายหลักการทำงานของน้ำมันหอมระเหย เมื่อเข้าสู่ร่างกายว่ามี 2 ทาง คือ

    • สูดดมผ่านทางจมูก กลิ่นจะเดินทางผ่านประสาทรับรู้กลิ่นเพื่อเข้าสู่สมองส่วนกลาง และส่งผลต่อสมองส่วนลิมบิก นอกจากนี้กลิ่นยังมาพร้อมออกซิเจนที่หายใจเข้าไปลงมาสู่ปอด ดูดซึมเข้ากระแสเลือด และเลือดไหลเวียนทั่วร่างกาย
    • การใช้บริเวณผิว เช่น การทา การนวด การประคบ การแช่เท้า การอาบ การแช่ตัวในอ่างอาบน้ำ โมเลกุลของน้ำมันหอมระเหยซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่ระบบเส้นเลือดฝอย แล้วกระจายไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายตามระบบการหมุนเวียนโลหิต

    ดูเรื่องราวของการใช้อโรม่าเพื่อผ่อนคลาย และคลายเครียดด้วยวิธีอื่นๆ เพิ่มเติมที่ ชีวจิต ฉบับ คู่มือสุขภาพ บำบัดเครียด ลดซึมเศร้า คลิก

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    นาฬิกาชีวิตจีน ทำอย่างไรบ้าง?

    กินตามธาตุ เลือกผักได้ สุขภาพดี มีอายุยืนยาว

    ปรับสมดุลอย่างรื่นรมย์ กับชาธาตุเจ้าเรือน 

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ผักพื้นบ้าน

    เจ็บป่วยเล็กน้อย อย่าปล่อยนาน ผักพื้นบ้าน ช่วยได้

    เจ็บป่วยเล็กน้อยอย่าปล่อยไว้นาน… ผักพื้นบ้าน ช่วยได้

    อาจารย์แพทย์แผนไทยคมสัน ทินกร ณ อยุธยา อธิบายว่า การกินเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของคนไทย จนมีคำกล่าวว่า กินข้าวเป็นหลัก กินผักเป็นยา กินปลาเป็นอาหาร ซึ่งแสดงว่าคนไทยรู้จักสรรพคุณและฤทธิ์ของ ผักพื้นบ้าน เป็นอย่างดี

    ปวดข้อ ข้ออักเสบ

    อาการปวดข้อและข้ออักเสบที่ไม่ใช่โรคเกาต์ เช่น ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อนิ้วมือ นื้วเท้า สามารถใช้วิธีการรักษาตามแนวของธรรมชาติบำบัดได้ ถ้าหากไม่ได้เป็นมานานเรื้อรังจะมีผลการรักษาที่น่าพอใจ

    ลองทำดู คุณทำได้

    1. หากข้อเข่า ข้อเท้าอักเสบ และมีน้ำหนักเกิน จะต้องลดน้ำหนักตัวลงด้วย เพื่อผ่อนเบาน้ำหนักที่จะกดลงบนข้อนั้น
    1. ประคบข้อที่ปวดหรืออักเสบด้วยน้ำร้อนสลับน้ำเย็น โดยประคบร้อน 3 นาที สลับเย็น 2 นาที ทำเช่นนี้ 3 รอบ หรือจะประคบด้วยไพล หรือลูกประคบแทนน้ำร้อนก็ได้ แต่ควรสลับด้วยการประคบเย็นทุกครั้ง เพื่อผลการรักษาอาการปวดและอักเสบที่ดีกว่า
    2. กินขิงแก่สด ครั้งละ 5 แว่น เช้า-เย็น โดยจะกินเป็นอาหาร เช่น ใส่ยำ หรือจะกินแกล้มน้ำพริกก็ดี

    ท้องผูก

    อาการห้องผูกคืออาการที่ไม่ถ่ายสุจจาระตามปกติหรืออุจจาระแข็งถ่ายลำบาบาก ในคนปกติจำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระอาจแตกต่างกัน อาจถ่าย 2 – 3 วัน/ครั้ง วันละครั้ง หรือ 2 – 3 ครั้ง/วัน แต่คนท้องผูกจะมีอาการคลื่นไส้เล็กน้อย รู้สึกไม่สบายในท้องหรือแน่น อึดอัด

    ลองทำดู คุณทำได้

    1. ลองเปลี่ยนจากการกินข้าวขาวมาเป็นข้าวกล้องเพื่อเพิ่มสารเส้นใยอาหาร
    2. กินผักพื้นบ้านที่มีสารเส้นใยสูงให้มากขึ้น เช่น มะเชื่อพวง สะเดา มะระขึ้นก
    3. กินผักพื้นบ้านที่มีฤทธิ์ระบาย เช่น ยอดขี้เหล็ก ซึ่งมีทั้งสารเส้นใยสูงและมีฤทธิ์เป็นยาระบาย โดยอาจนำมาต้มให้รสขมลดลง แล้วจิ้มน้ำพริก หรือสมอไทย สามารถนำมากินกับน้ำพริกปลาย่าง หรือน้ำพริกตาแดงก็อร่อย แถมช่วยระบายท้องได้
    4. กินผลไม้สุกเป็นประจำ เช่น มะละกอ มะม่วง กล้วย ส้ม สับปะรด
    5. ดื่มน้ำแมงลักก่อนนอนเพื่อเพิ่มเส้นใยให้ทางเดินอาหาร
    6. ต้มน้ำมะขามดื่มเป็นอาหารว่าง

    ผักพื้นบ้าน สู้อาการนอนไม่หลับ

    อาการนอนไม่หลับโดยทั่วไปหมายถึง การที่นอนหลับยาก หลับ ๆ ตื่น ๆ หรือตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วหลับต่อไม่ได้ ซึ่งจะส่งผลทำให้รู้สึกอ่อนเพลียในเช้าวันรุ่งขึ้น

    สาเหตุของการนอนไม่หลับส่วนใหญ่เป็นเรื่องของความเครียดหรือความกังวลใจต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง เช่น มีความขัดแย้งกับบุคคล มีปัญหาที่ทำงาน หรือใกล้สอบ หรือวันที่ต้องมีธุระสำคัญ ส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นเองภายในไม่กี่วัน แต่หากเป็นการนอนไม่หลับในระยะต่อเนื่องซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นผลจากความเครียด หรือเหตุการณ์ที่ทำให้เครียดนั้นไม่คลี่คลาย เช่น การตกงาน ปัญหาเศรษฐกิจ เงินทอง รวมถึงปัญหาครอบครัว โดยทั่วไปถ้าปัญหาต่าง ๆ ได้รับการคลี่คลาย การนอนหลับก็มักจะกลับมาเป็นปกติได้

    ลองทำดู คุณทำได้ การปฏิบัติตนเมื่อนอนไม่หลับ

    1. ปรับอาหาร กินผักผลไม้สดให้มากขึ้น วันละประมาณ 5 ส่วน เพื่อเพิ่มวิตามินบีและซีไปช่วยคลายเครียด ซึ่งผักพื้นบ้านที่มีวิตามินซีสูง เช่น มะขามป้อม สมอไทย ผักติ้ว ผักแขยง
    2. ปฏิบัติการคลายเครียดด้วยการนั่งสมาธิก่อนนอน ช่วยทำให้จิตใจสงบ ดนตรีบำบัด ออกกำลังกาย เพื่อผ่อนคลายความเครียด
    3. ก่อนนอนให้นอนแช่น้ำอุ่นจัดประมาณ 20-30 นาที จะช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
    4. การใช้ผักพื้นบ้านอย่างใบขี้เหล็กซึ่งมีฤทธิ์ช่วยในการนอนหลับ โดยนำมาทำเป็นอาหารแกงขี้เหล็กรับประทาน

    โรคกระเพาะอาหาร

    โรคกระเพาะอาหาร หมายถึง อาการปวดแสบ ปวดตื้อ ปวดเสียด หรือจุกแน่นตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่ (เหนือสะดือ) เวลาก่อนหรือหลังรับประทานอาหารใหม่ ๆ

    สาเหตุสำคัญของโรคกระเพาะอาหารคือ ความเครียด (วิตกกังวล คิดมาก) เคร่งเครียดกับงาน การเรียน พฤติกรรมการรับประทานอาหารผิดเวลา รวมถึงการรับประทานอาหารหรือยาที่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ เช่น เหล้า เบียร์ แอสไพริน (ยาแก้ปวด) ยาแก้ปวดข้อ (ยาชุดหรือยาลูกกลอนที่ใส่ สเตียรอยด์) เครื่องดื่มชูกำลังที่เข้าสารกาเฟอีน

    ลองทำดู คุณทำได้ สำหรับผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหาร

    1. พักการทำงานของกระเพาะอาหารสัก 2 – 3 วัน โดยการกินข้าวกล้องต้มเละ ๆ สลับกับผลไม้หรือน้ำผลไม้เท่านั้น
    2. กินขมิ้นชัน โดยนำมาโขลกกับเกลือและกระเทียม แล้วผัดน้ำมันคลุกข้าวรับประทาน ทั้งอร่อยและช่วยบรรเทาโรค หรือ เลือกรับประทานอาหารที่ใส่ขมิ้น เช่น ปลาทอดขมิ้น แกงเหลือง แกงส้มใส่ขมิ้น โดยลดความเผ็ดลง ก็จะช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหารให้หายเร็วขึ้น

    ผักพื้นบ้าน แก้ไข้หวัด

    พบว่าการกินอาหารที่เหมาะสมอาจบรรเทาอาการหวัดให้ทุเลาลงและลดความถี่ของการเป็นหวัดลงได้

    ลองทำดู คุณทำได้

    1. ผักพื้นบ้านที่เก็บสด ๆ และมีวิตามินชีสูง เช่น มะขามป้อม สมอไทย ผักติ้ว ผักแพว ผักหวาน จะช่วยเสริมภูมิต้านทาน บรรเทาอาการหวัดได้ดี และควรกินสด ๆ
    2. ขิง อาหารที่มีขิงเป็นส่วนประกอบ เช่น น้ำขิงร้อน ๆ จะช่วยบรรเทาอาการหวัดที่เกิดจากความเย็นได้ดี
    3. แกงเลียงใส่หัวหอมและพริกไทยมาก ๆ ก็เหมาะสำหรับยามเป็นหวัดเช่นกัน

    ท้องเสีย อาหารไม่ย่อย

    ท้องอึด ท้องเฟ้อ และแน่นจุกเสียด เป็นลักษณะอาการปวดจุกเสียดแน่นบริเวณหน้าท้อง เธอหม็นปรี้ยว ถ้าป็นมากท้องจะเกร็งแลมอาการท้องผูกหรือท้องสืบร่วย พบว่า เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น

    1. รับประทานอาหารรสจัด ย่อยยาก หรืออาหารสุกๆ ดิบๆ
    2. การรับประทานอาหารมากหรือเร็วเกินไป เคี้ยวไม่ละเอียด หรือกลืนน้ำลายบ่อยๆ ทำให้ลมเข้ากระเพาะอาหารมากเกินไป
    3. อารมณ์เครียดและความกังวล ทำให้ระบย่อยอยอาหารทำงานไม่สมบูรณ์

    ลองทำดู คุณทำได้ ข้อปฏิบัติในการรักษาอาการท้องอึด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด

    1. รับประทานผักพื้นบ้านที่มีรสร้อนและมีน้ำมันหอมระเหยประเภทขิง กะเพรา พริกไทย ตะไคร้ กระชาย จะช่วยบรรเทาอาการได้
    2. ถ้าอาหารไม่ย่อยแนะนำให้กินผักพื้นบ้านเหล่านี้
    • ตำลึง ลวกจิ้มน้ำพริกหรือแกงจืด จะช่วยย่อยแป้งได้ดี
    • สับปะรด หากนำมาคั้นน้ำดื่มจะช่วยย่อยอาหารประเภทโปรตีน
    • เวลากินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ให้ใช้ผักและสมุนไพรที่สามารถช่วยย่อย เช่น ใบหูเสือ หรือพริกหอมปรุงลงไปด้วย
    • อาหารประเภทผัด ที่มีความมันให้ใส่ใบกะเพราและขิงลงไป เพราะใบกะเพราช่วยย่อยไขมันได้ดี ส่วนชิงช่วยขับน้ำดี จึงช่วยให้การดูดซึมไขมันดีขึ้น

    สำหรับคนทั่วไปที่ไม่อยากแก่เร็วหรือเป็นโรคร้ายแรง แนะนำให้กินผักสดวันละ 2 จาน จานละประมาณ 100 – 150 กรัม กินผลไม้สดวันละ 2 ลูก และดื่มน้ำคั้นสดจากผลไม้วันละ 1 แก้ว

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ชีวจิตขอแชร์ วิธีเลือกน้ำมัน ประกอบอาหาร

    ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา

    สูตร 10 วัน ปั้นชีวิตใหม่ สลายท็อกซิน ลดขนาดเนื้องอก

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    อาหารบำรุงปอด ลดเสี่ยงโรค

    เพราะปอดเป็นเหมือนเครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่ ดังนั้นแล้วหากเราเอาแต่ใช้งานปอดโดยไม่ดูแล ก็เหมือนไม่ได้เปลี่ยนฟิวเตอร์เครื่องฟอกอากาศ เหมือนไม่ได้ล้างแอร์แล้วจะหวังให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเท่าเดิมได้อย่างไร จึงไม่แปลกหากเราจะมีอาการหายใจหอบเหนื่อย เอาละค่ะ วันนี้แอดเลยจะชวนทุกคนมาเปลี่ยนฟิวเตอร์ให้ปอด ด้วยการเลือกทาน อาหารบำรุงปอด

    สำหรับอาหารบำรุงปอด ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกราช บำรุงพืชน์ ประธานชมรมโภชนวิทยามหิดล อธิบายว่ามีสารอาหารหลายชนิดที่ส่งผลดีต่อสุขภาพปอด และระบบทางเดินหายใจ

    “มีการศึกษาวิจัยที่ประเทศสหรัฐอเมริกากับอาสาสมัครกว่า 2,000 คน พบว่าผู้ที่กินผลไม้ วิตามินชี วิตามินอี และกรดไขมันโอเมก้า-3 น้อยหรือไม่เพียงพอ สุขภาพปอดจะไม่แข็งแรง ติดเชื้อได้ง่าย ยกตัวอย่าง วิตามินและสารอาหารที่ช่วยบำรุงปอดในอาหาร ได้แก่

    “ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง มะขามป้อม แอปเปิ้ล คนมักเข้าใจว่าวิตามินซีจะมีอยู่ในผลไม้รสเปรี้ยว เท่านั้น แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เสมอไป มะละกอก็มีวิตามินซี สูง และไม่ได้มีรสเปรี้ยว

    “วิตามินอี พบมากในอะโวคาโด นอกจากนี้อะโวคาโด ยังมีกรดไขมันดีต้านการอักเสบ และเป็นอาหารบำรุงปอด
    เช่นกัน

    กรดไขมันโอเมก้า-3 พบมากในปลาทู ปลาทูน่า ปลาแซลมอน เป็นอาหารบำรุงปอดทั้งสิ้น เพราะกรดไขมันโอเมก้า-3 มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยปอดกำจัดเชื้อที่ได้รับมา

    วิตามินเอ เป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ช่วยบำรุงปอด ลดการติดเชื้อ ซึ่งมีหลักฐานจากงานวิจัยค่อนข้างมาก

    เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) เป็นสารตั้งต้นของการผลิตวิตามินเอ มีการศึกษาวิจัยพบว่าเบต้าแคโรทีน ช่วยให้เยื่อบุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเยื่อบุทางเดินหายใจ เยื่อบุทางเดินอาหาร หรือเยื่อหุ้มปอดแข็งแรง ที่สำคัญคือช่วยผลิตสารเยื่อเมือกในปอดที่สามารถไปดักจับเชื้อโรคได้

    “อาหารที่มีวิตามินเอและเบต้าแคโรทีนสูง ได้แก่ พืชผักผลไม้สีเหลืองส้ม แครอต ฟักทอง มะละกอสุก พริกหวานหลากสี รวมถึงผักใบเขียว ตำลึง ผักบุ้ง ยอดฟักแม้ว ผักหวาน”

    สมุนไพร เครื่องเทศ ช่วยบำรุงปอด

    เสริมพลังปอด ลดอาการโรคระบบทางเดินหายใจ นอกจากผักผลไม้แล้ว ยังมีอาหารกลุ่มสมุนไพร และเครื่องเทศที่ดีต่อสุขภาพระบบทางเดินหายใจ และยังเป็น อาหารบำรุงปอด

    กระเทียมและขิง มีการศึกษาวิจัยว่าส่งผลดีต่อสุขภาพปอด เพราะพบสารอัลลิชินซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารแอนติออกชิแดนต์ (Antioxidant) ช่วยลความเสียง หรือลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด

    มะขามป้อม มีคุณสมบัติเป็นสารแอนติออกซิแดนต์ ช่วยลดการอักเสบของเซลล์ ทำให้การทำงานของหลอดเลือด
    ทั่วร่างกาย รวมถึงหลอดเลือดฝอยในปอดมีความยืดหยุ่น

    ขมิ้นชัน มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินอีถึง 80 เท่า ส่งผลดีต่อการทำงานของปอด

    รางจืด ช่วยลลดการอักเสบจากมลพิษได้ แต่ไม่ควรรับประทานติดต่อกันนานเกิน 1 เดือน

    หัวหอม งานวิจัยหลายชิ้นระบุว่าสารฟลาโวนอยด์ เช่น เควอร์ซิตินในหัวหอมช่วยบรรเทาอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น อาการแน่นจมูก โดยลดการหลั่งฮิสตามึนซึ่งสัมพันธ์กับอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล และตาแฉะ

    รากบัว อุดมด้วยวิตามินซี ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค นอกจากนี้ยังมีแทนนิน ซึ่งมีสรรพคุณลดการอักเสบจึงช่วยให้เนื้อเยื่อตลอดจนผิวหนังที่บวมอยู่ยุบลง อาการ คัดจมูกจึงบรรเทาลง

    ชาเขียว สารคาเทชินในชาเขียวช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ เช่น โรคภูมิแพ้ละอองเกสรดอกไม้ นอกจากนี้ชาเขียวยังอุดมด้วยวิตามินซี ดังนั้นการบริโภคชาเขียว หรือผงชาเขียวจึงทำให้ได้รับคุณค่าทางอาหารเพิ่มขึ้น

    สาลี่ มีสรรพคุณบรรเทาอาการไอและอักเสบ รวมทั้งลดไข้ เนื่องจากมีน้ำเป็นส่วนประกอบค่อนข้างมาก จึงช่วยให้ชุ่มคอ นอกจากนี้ยังมีสารซอร์บิทอลซึ่งเป็นสารให้ความหวานและช่วยให้เกิดความรู้สึกเย็น จึงช่วยลดการอักเสบภายในลำคอได้

    หัวไชเท้า มีสรรพคุณบรรเทาความร้อนในปอด จึงให้ผลดีในการรักษาอาการไอและเสมหะ ที่สำคัญเอนไซม์อะไมเลสในหัวไชเท้าซึ่งช่วยในการย่อยและดูดซึมอาหารยังมีคุณสมบัติลดอาการอักเสบ ดีต่อเยื่อบุภายในลำคอและบรรเทาอาการเจ็บคอ

    สมุนไพรจีน ช่วยบำรุงปอด

    เม็ดบัว ในภาษาจีนเรียกว่า เก่าชิก หน่อยซิก หรือ หน่อยผ่องจื้อ ซึ่งเป็นเม็ดจากดอกบัวที่ได้รับการผสม มีโปรตีนสูงเช่นเดียวกับถั่วเหลือง ลูกเดือย และข้าวฟ่าง เม็ดบัวจัดเป็นธัญพืชสำคัญอีกชนิดหนึ่งของชาวจีน นิยมใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารและยา รับประทานได้ทั้งแบบสดและแห้ง เม็ดบัวมีสรรพคุณช่วยบำรุงสมอง บำรุงประสาท บำรุงไต บรรเทาอาการท้องร่วงและบิดเรื้อรัง รวมทั้งใช้เป็นยาบำรุงเลือด

    พุทราจีน ในภาษาจีนเรียกว่า อั่งจือ อังจ้อ และหมุยจ้อ เป็นผลไม้บำรุงสุขภาพที่ดีของชาวจีน สามารถรับประทานได้ทั้งสดและแห้ง พุทราจีนชนิดแห้งจะมีรสชาติหวานกว่าชนิดสด โดยเฉพาะพุททราพันธุ์หัวใจไก่ที่มีลูกใหญ่ เนื้อหนา สีแดงเข้ม และรสชาติดี พุทราจีนมีธาตุอุ่นและรสหวาน มีสรรรพคุณช่วยลดฤทธิ์ยา ช่วยบำรุงเลือดและม้าม ลดกรด รักษาแผลในกระเพาะอาหาร บำบัดโรคโลหิตจาง ตับอักเสบ ท้องร่วง

    งา ในภาษาจีนเรียกว่า อิ่วมั้ว เป็นธัญพืชที่คนโบราณใช้เป็นยารักษาอาการท้องผูก และอุดมด้วยคุณค่าทางอาหารมากมายโดยเฉพาะสารเซซามิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็ง นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลและชะลอความแก่ด้วยน้ำมันที่สกัดจากเมล็ดงา ในภาษาจีนเรียกว่า เซ็งอิ้วหรือจือหมั่วอิ้ว สกัดจากงาขาว นิยมใช้ปรุงอาหารเพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติ

    ชะเอม ในภาษาจีนเรียกว่า กำเช่า เป็นเครื่องยาจีนที่มีสรรพคุณรักษาโรคหลายชนิด นิยมนำรากและลำต้นใต้ดินมาตากแห้ง มีกลิ่นหอมและรสหวาน มีสรรพคุณช่วยบำรุงปอด แก้ไอ แก้เจ็บคอ คออักเสบ ช่วยย่อยอาหาร และบำบัดอาการโรคกระเพาะ นอกจากนี้ชาวจีนยังมีความเชื่อว่าชะเอมช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระดูก และเส้นเอ็นด้วย

    แปะก๊วย มีชื่อเรียกอื่น เช่น เหล่งงั่ง หุกจีกา หรือ หุกจี้กะ จัดเป็นยาอายุวัฒนะอีกชนิดหนึ่ง จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์กล่าวกันว่าแปะก๊วยเป็นไม้โบราณที่มีมาก่อนยุคไดโนเสาร์ ผลแก่มีลักษณะกลมสีเขียว เมื่อสุกมีสีเหลือง เมล็ดเป็นรูปไข่ เมื่อนำส่วนเนื้อและเปลือกหุ้มเมล็ดออกจะเห็นเนื้อในเมล็ดมีสีเหลืองอ่อน แปะก๊วยมีฤทธิ์เป็นกลาง มีรสหวาน ฝาดและขมเล็กน้อย มีสรรพคุณบรรเทาโรคอัลไชเมอร์ โรคสมองเสื่อม ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ขับเสมหะ
    บำรุงปอด รักษาโรคหอบ โรคผิวหนัง ขับพยาธิ บรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือน ลดการเกิดตกขาว อาการน้ำอสุจิเคลื่อนบ่อย และภาวะไตพร่อง นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่า เควอร์ซิติน (Quercetin) ช่วยป้องกันมะเร็ง ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์อีกด้วย

    ที่มา นิตยสารชีวจิต

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าติดตาม

    มะเร็งปอดจาก PM2.5 ใกล้ตัวกว่าที่คิด

    หมอวินัย โบเวจา แนะ ภูมิต้านทานปอด ตามธรรมชาติ

    ลูกยอ สมุนไพรพื้นบ้านของดี ช่วยบำรุงร่างกาย ลดปอดอักเสบ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต


    ภูมิต้านทานปอด

    หมอวินัย โบเวจา แนะ ภูมิต้านทานปอด ตามธรรมชาติ

    ภูมิต้านทานปอด ตามธรรชาติ

    เพราะปัจจุบันนี้ พฤติกรรมการใช้ชีวิต มลพิษต่าง ๆ ล้วนก่อให้เกิดปัญหากับปอดของเรา วันนี้ นายแพทย์วินัย โบเวจา แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบหายใจและภาวะวิกฤติโรคระบบหายใจ มีคำแนะนำเกี่ยวกับ ภูมิต้านทานปอด ตามธรรมชาติ มาฝากค่ะ

    ภูมิต้านทานปอดที่ดีตามธรรมชาติ

    ทำอย่างไรให้ปอดเรามีภูมิต้านทานที่ดี คุณหมอ วินัยอธิบายว่า

    “อันดับแรกเราต้องยอมรับก่อนว่าเราป่วยหรือไม่ป่วย จะไปโทษดินฟ้าอากาศไม่ได้ อยู่ที่ตัวเราเอง อย่างชาวไร่ ชาวนาต้องอยู่กับดิน อยู่กับแดด อยู่กับดินฟ้าอากาศ แต่โอกาสป่วยน้อยกว่าคนในเมือง เด็กต่างจังหวัดโอกาสเป็นภูมิแพ้น้อยกว่าเด็กกรุงเทพฯ เด็กกรุงเทพฯส่วนใหญ่เป็นภูมิแพ้ คำถามคือมันเป็นไปได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่เราอยู่ในเมือง เมืองเป็นที่ที่น้ำก็ดี อาหารก็ดี อากาศก็ดี บ้านมีเครื่องฟอกอากาศ การเข้าถึงวัคซีน การเข้าถึงแพทย์ในเมืองมีทุกอย่าง

    “แต่ผลลัพธ์คือเราป่วยมากกว่า ทั้ง ๆ ที่มีทุกอย่าง มันเป็นไปได้อย่างไร แสดงว่าเราต้องย้อนกลับมาดูที่ Core Immunity หรือภูมิต้านทานลึก ๆ หรือเปล่า ทำไมคนต่างจังหวัดภูมิพื้นฐานเขาแข็งแรงโดยธรรมชาติได้ เราสามารถถอดรหัสและเรียนรู้การสร้างภูมิต้านทานของเขาได้

    “กฎเหล็กข้อที่หนึ่ง ก่อนที่เราจะพูดเรื่องการไปเข้าฟิตเนส การกินคีโต คือนอน เป็นเรื่องง่ายที่สุด ถูกที่สุด พื้นฐานที่สุด แต่เป็นเรื่องที่ถูกมองข้ามมากที่สุด สำหรับผมคือต้องเข้านอนให้เป็นเวลา ให้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่ฮอร์โมนซ่อมแซมร่างกายทำงานด้วย การเข้านอนตรงเวลาเราจะได้ผลประโยชน์จากการซ่อมแซมตัวเองของร่างกายโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย คล้ายกับการปิดเครื่องให้ตรงเวลา แล้วเครื่องจะชาร์จพลังงานเอง

    “การเข้านอนสำหรับผมคือเวลาสี่ทุ่มหรือสี่ทุ่มครึ่ง เป็นเวลาที่ดีมาก ตื่นเช้าหกโมงครึ่งหรือเจ็ดโมงครึ่ง เป็นเวลาที่เหมาะสม สำหรับประชาชนทั่วไปการเข้านอนตรงเวลาจะได้ประโยชน์จากฮอร์โมนซ่อมแซมร่างกาย ที่จะซ่อมตัวเอง โดยเราไม่ต้องกินยา ไม่ต้องกินอาหารเสริม คนโบราณจึงบอกว่าอยากให้เด็กสูงต้องฝึกให้เด็กนอนเร็ว เขาสังเกตว่าเด็กนอนเร็วแข็งแรง ไม่ป่วยง่าย เลยสูง

    “ดังนั้นหากต้องการสร้างภูมิต้านทานปอดให้นอนเร็ว สังเกตว่าเด็กหรือคนทุกวันนี้ป่วยหนัก ไม่ค่อยหายเอง ต้องไปหาหมอ ต่างจากเมื่อก่อนที่ป่วยเล็กน้อย ไม่กี่วันก็หายเอง หรือเต็มที่แค่ไปสถานีอนามัยใกล้บ้านก็หาย ดังนั้นนอนให้ไว

    “เช่นเดียวกับผม เมื่อรักษาคนไข้โรคเรื้อรังผมจะไม่แนะนำให้ใช้ยาอย่างเดียว แต่ผมจะแนะนำให้ฝึกนอน ทุกครั้งเวลาตรวจผมจึงถามเรื่องการนอน คนไข้ที่กลับไปปรับเรื่องการนอนอาการดีขึ้นทุกคน ส่วนคำถามว่า ควรนอนแค่ไหน บางคนอาจจะ 6 ชั่วโมง 8 ชั่วโมง หรือ 10 ชั่วโมง ให้ร่างกายเราบอกเอง

    “สอง ตากแดด หลายคนเข้าใจว่าแดดให้วิตามินดี แต่จริง ๆ แล้วแสงแดดมีประโยชน์อีกมหาศาล การตากแดดตอนเช้าส่งผลดีต่อภูมิต้านทานปอดแน่นอน คือกระตุ้นให้เกิดการนอนหลับลึก พบว่าคนที่ตากแดดตอนเช้าจะเข้านอนได้ดีและนอนหลับลึกกว่าคนที่ไม่ได้ตากแดดเช้า

    “นอกจากวิตามินดีแล้ว แสงแดดยังให้ Red Light ยูวีเอเหล่านี้สำคัญต่อร่างกาย แดดที่ดีคือแดดเช้า เพราะทำให้ไม่ดำ คนไข้ผมหลาย ๆ คนพอฝึกโดนแดดอาการภูมิแพ้ดีขึ้นทุกคน

    ภูมิต้านทานปอด

    “สาม น้ำ การสร้างภูมิต้านทานที่ดีที่สุดคือการดื่มน้ำ หลายคนเสมหะเหนียว น้ำมูกข้น หารู้ไม่ว่าเป็นเพราะไม่ดื่มน้ำ แต่ไปดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม น้ำดื่มกระป๋อง โชดา เครื่องดื่มเหล่านี้ล้วนทำให้เสมหะเหนียวข้น แค่ดื่มน้ำวันละ 2 ลิตร ทำให้เป็นนิสัย ก็สามารถเพิ่มภูมิต้านทานปอดได้

    “สี่ เดิน คนปัจจุบันนั่งเป็นส่วนใหญ่ นั่งทำงาน นั่งในรถ การเคลื่อนไหวไม่ค่อยมี มีข้อมูลมากมายบอกว่าคนที่เดินมากกว่านั่งสุขภาพดีกว่า อย่างคนต่างจังหวัด เขาเดินในสวน เดินจากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง เขามีกิจกรรม เดินทั้งวัน ซึ่งช่วยลดสารอักเสบในร่างกาย

    “การนั่งนานส่งผลเสียทำให้ปวดหลัง ปวดเอว แค่นี้ก็รู้ว่าร่างกายเราไม่สมดุล การเพิ่มกิจกรรมให้ร่างกาย ส่งผลต่อภูมิต้านทานปอดแน่นอน ถ้าเดินได้ก็จะดี หรือออกกำลังกายได้ยิ่งดี เล่นเวต เล่นโยคะยิ่งดี

    “อาหาร ต้องยอมรับว่าอาหารปัจจุบันที่เรากินแบบแปรรูป อาหารแช่แข็ง ขนมถุงต่าง ๆ เราไม่รู้ว่าเขาใช้สารปรุงแต่ง น้ำมัน ผงชูรส ซึ่งล้วนแต่ทำให้มีอาการไอ คันคอ กระตุ้นกรดไหลย้อน อาหารอะไรที่ทำให้ปอดแข็งแรง คือกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ กินโพรไบโอติกส์

    “ถ้ากลุ่มอาหารเสริม ได้แก่ วิตามินดีและวิตามินซี สองชนิดนี้มีข้อมูลบางส่วนรองรับว่าช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน แต่ไม่มีข้อมูลว่าวิตามินดีและวิตามินซีป้องกันโรคได้

    “อาหารที่ผมอยากจะส่งเสริมคืออาหารสมุนไพร เครื่องเทศของไทย เช่น ขิง กระเทียม หัวหอม ข่า ขมิ้นชัน และกลุ่มมะทั้งหลาย มะแว้ง มะขาม พวกนี้ เป็นอาหารธรรมชาติที่ช่วยละลายเสมหะ พริกก็ช่วยขับ เสมหะ ลดน้ำมูก

    “สุดท้ายคือ Breathing Exercise การออกกำลังกายด้วยการหายใจ เช่น โยคะ ไทชิ ไทเก๊ก เป็นการออกกำลังกายที่มีงานวิจัยชัดเจนว่าช่วยเพิ่มปริมาตรปอด ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อกะบังลม การมีกล้ามเนื้อกะบังลมที่ดีจะช่วยขับเสมหะ”

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    มะเร็งปอดจาก PM2.5 ใกล้ตัวกว่าที่คิด

    ออกกำลังกาย ได้หุ่น ได้ เสริมภูมิคุ้มกัน

    แสงแดด ของฟรี ดีต่อสุขภาพ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ยืดเหยียดร่างกาย

    คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้ แค่เริ่ม ยืดเหยียดร่างกาย

    คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้ แค่เริ่ม ยืดเหยียดร่างกาย

    ยืดเหยียดร่างกาย คือวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเรา หากทำได้ถูกวิธี ร่างกายก็จะมีความยึดหยุ่น เคลื่อนไหวได้ไม่ติดขัด และไม่บาดเจ็บง่าย

    รู้จักการยืดเหยียด

    คำว่า “ยืดเหยียด” หรือ “Stretching” มีความสำคัญอย่างมากต่อร่างกายของทุกคน เพราะมนุษย์ต้องเคลื่อนไหวร่างกายตลอดเวลา แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำ ยิ่งหากออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาด้วยแล้ว การยึดเหยียด ยิ่งมีบทบาทสำคัญ เพราะหากทำได้ถูกวิธีร่างกายก็จะมีความยึดหยุ่น เคลื่อนไหวได้ไม่ติดขัด และไม่บาดเจ็บง่าย ๆ

    อย่างบางคนความยึดหยุ่นของร่างกายน้อย เพียงแค่เอี้ยวตัวไปหยิบของที่อยู่ห่างออกไปก็มีอาการเจ็บแปล๊บ หรือยอกแล้ว

    กล้ามเนื้อของมนุษย์มีองค์ประกอบ ได้แก่ ใยกล้ามเนื้อส่วนปลายทั้งสองข้างแปลงสภาพเป็นเอ็นกล้ามเนื้อซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกัน และมีจุดยึดที่ส่วนปลายทั้งสองข้าง การยึดเหยียด หมายถึง การเคลื่อน “จุดเกาะ” จุดหนึ่งออกห่างจากอีกจุดให้ได้มากที่สุดจนถึงตำแหน่งที่รู้สึกถึง “ความดึง” การยึดกล้ามเนื้อจึงมีความสำคัญอย่างมางมาก

    ลองดูสิว่า “เมื่อคุณยึดกล้ามเนื้ออย่างถูกต้อง ร่างกายของคุณจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

    สิ่งที่ควรรู้อีกประการคือ “ความยืดหยุ่น” เป็นกุญแจสำคัญในการยืดกล้ามเนื้ออย่างถูกต้อง ความยึดหยุ่นของคุณมาจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ เยื่อหุ้มข้อต่อ เอ็นยึดข้อต่อ เส้นเอ็นกล้ามเนื้อ และใยกล้ามเนื้อ

    ทำไมกล้ามเนื้อจึงยืดเหยียดได้

    Muscle Reflex คือ กลไกทางสรีรวิทยาที่อธิบายว่า ทำไมกล้ามเนื้อยืดเหยียดได้ ในการยืดเหยียดที่ดีต้องโฟกัสที่กล้ามเนื้อและส่วนของเอ็นกล้ามเนื้อยึดเกาะกระดูก

    ในส่วนของใยกล้ามเนื้อจะมีตัวรับรู้สึกการยืด หรือรับรู้การเปลี่ยนแปลงของความยาวกล้ามเนื้อ ที่เรียกว่า ตัวรับความรู้สึกกล้ามเนื้อกระสวย (Muscle Spindle) จะเป็นตัวรับรู้ถึงการยืดออก ขณะทำการยืดเหยียดข้อต่อ แล้วส่งกระแสประสาทไปยัง เซลล์ประสาทรับรู้ขาเข้า (Afer Neuron) ส่งต่อไปยัง ประสาทไขสันหลัง (Spinal Cord) แล้วนำคำสั่งกลับมายังใยกล้ามเนื้อกระสวยโดยผ่าน เซลล์ประสาทยนต์ (Efferent Neuron) จะก่อเกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อ

    ดังนั้นถ้าเราขยับร่างกายเพื่อทำการยืดเหยียดกล้ามเนื้อแบบเร็ว ๆ จะยิ่งทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งต้านต่อการยืด และเกิดการบาดเจ็บได้

    นอกจากนี้ยังมีอีกกลไกที่เกี่ยวข้องกับการยืดเหยียด ในส่วนของเอ็นกล้ามเนื้อจะมี ตัวรับความรู้สึกในเอ็นกล้ามเนื้อ (Golgi Tendon Organ) ซึ่งจะถูกกระตุ้นเมื่อมีการปลี่ยนแปลงความตึงตัวของกล้ามเนื้อ เนื่องจากพอกล้ามเนื้อหดตัว ตัวรับความรู้สึกกอลไจถูกกระตุ้นทำให้กล้ามเนื้อยืดยาวออก กลไกนี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความตึงในกล้ามเนื้ออย่างช้า ๆ เบา ๆ และกระทำค้างไว้เท่านั้น ไม่เพียงเท่านั้นยังมีกลไกของกระแสประสาทที่ส่งข้อมูลจากกล้ามเนื้อที่หดเกร็งเพื่อไปยับยั้งการหดเกร็งของกล้ามเนื้อฝั่งตรงข้าม และยอมให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อที่ได้รับการกระตุ้นอยู่

    ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่คุณง้างเท้ากำลังจะเตะลูกบอล กล้ามเนื้อในการเหยียดเข่าจะต้องเกร็งให้เกิดการเหยียดข้อเข่าและเตะบอล ในขณะที่กล้ามเนื้อในการงอเข่าต้องเกิดการคลายตัว หรือเกิดการยับยั้งการหดตัว เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวในลักษณะเหยียดเข่าได้สำเร็จตามที่สมองต้องการ

    กลไกการยับยั้งในลักษณะเช่นนี้ถูกนำมาประยุกต์ใช้เป็นเทคนิคการรักษาคนไข้ในคลินิกกายภาพบำบัดว่า ร่างกายของคุณมีความจำเป็นต้องการการยืดก่อนการออกกำลังกายเสมอหรือไม่

    แน่นอนว่า การยึดเหยียดกล้ามเนื้อ หรือการอกกำลังกายเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างทางกาย ย่อมทำให้เกิดช่วงการเคลื่อนไหวข้อต่อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมีความจำเป็นต่อการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน หรือเล่นกีฬา ยกตัวอย่างเช่น คุณจะเดินได้ไกลแค่ไหน หรือคุณจะตีแบดได้นานแค่ไหน อย่างไรก็ดี ยังไม่มีคำอธิบายที่แน่ชัดเกี่ยวกับกลไกของการยืดเหยียดอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ

    มีความเชื่อว่า การออกกำลังกายด้วยการยืดเหยียดกล้ามเนื้อจะทำให้กล้ามเนื้อนุ่มขึ้น และการเคลื่อนไหวคล่องตัวขึ้น ในความเป็นจริงพบว่า “หากคุณ ‘หยุด’ ออกกำลังกายเพิ่มความยึดเหยียด เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ความยืดหยุ่นของคุณจะค่อย ๆ หายไป และคืนตัวสู่ภาวะก่อนการฝึกยืดเหยียด”

    หากเป็นเช่นนี้แล้วร่างกายของคนเราจะต้องการความยึดหยุ่นมากเพียงใด

    คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่คุณต้องการกระทำหรือฝึกฝนหลังการฝึกยืดเหยียด หากคุณเป็นนักยิมนาสติก คุณย่อมต้องการความยืดหยุ่นของข้อต่อและกล้ามเนื้อมากกว่านักวิ่งหรือนักฟุตบอล เนื่องจากนักวิ่งหรือนักฟุตบอลต้องการกำลังของกล้ามเนื้อมากกว่า ในวงการวิทยาศาสตร์การแพทย์ยังมีข้อถกเถียงกันเกี่ยวกับการยืดเหยียดก่อนการอกกำลังกาย

    • ดีจริงหรือไม่
    • สามารถป้องกันการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายได้จริงหรือไม่
    • บ้างก็ว่า การยึดเหยียดไม่สามารถช่วยป้องกันอันตรายที่อาจเกิดจากการออกกำลังกายได้ เนื่องจากการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายมักจะเกิดจากแรงเครียดที่มากระทำต่อร่างกาย มากเกินกว่าที่โครงสร้างของร่างกายจะรับไหว

    แต่ถึงอย่างนั้นผู้เขียนมีความคิดเห็นว่า การขยับยืดเหยียดส่งผลมากกว่ากล้ามเนื้อ แต่หมายถึงเนื้อเยื่อรอบข้อต่อด้วย ดังนั้นหากเราเข้าใจและทำการยืดเหยียดอย่างถูกต้อง น่าจะเป็นการเตรียมตัวที่ดีก่อนเริ่มการทำงาน หรือเริ่มกิจกรรมในแต่ละวัน ยิ่งหากต้องการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา ควรยืดเหยียดร่วมกับการอบอุ่นร่างกายให้เพียงพอ น่าจะเป็นวิธีการเตรียมตัวที่เหมาะสม

    ประโยชน์ของการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ

    • ทำให้สมรรถนะของร่างกายดีขึ้น และลดอันตรายจากการบาดเจ็บ
    • ลดความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ และช่วยให้มีท่าทางที่ดีและสมดุลขึ้น
    • เพิ่มเลือดและสารอาหารไปสู่เนื้อเยื่อมากขึ้น
    • ทำให้กล้ามเนื้อประสานกันดีขึ้น
    • เพิ่มองศาของการเคลื่อนไหว
    • เพิ่มประสิทธิภาพในการหดตัวของกล้ามเนื้อ

    รูปแบบของการยืดเหยียด

    การยืดเหยียดมี 3 แบบ ได้แก่ Static Stretching, Ballistic Stretching และ Proprioceptive Neuromuscular Facilitation (PNF) Stretching ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

    แบบที่ 1 Static Stretching

    หมายถึง การยืดเหยียดแบบที่มีการคงค้างของเวลา โดยเคลื่อนที่ไปถึงตำแหน่งที่เริ่มรู้สึกตึง แล้วคงค้างท่าไว้ระยะเวลาหนึ่งจึงผ่อนลง ทำซ้ำประมาณ 10 – 30 ครั้ง การคงค้างสามารถทำได้ตั้งแต่ 10 วินาทีไปจนถึง 1 นาที ตำราแต่ละเล่มก็ให้ตัวเลขแตกต่างกันไป ถ้าคงค้างนานก็อาจไม่ต้องทำมากครั้ง แต่ถ้าคงค้างไว้ไม่นานก็อาจต้องทำให้มากครั้งขึ้น

    ทั้งนี้ผลรวมของเวลาที่ค้างไว้ของการยืดเหยียดแต่ละท่าควรจะอยู่ที่ 5 – 10 นาที กล้ามเนื้อ จึงจะมีความพร้อม เช่น หากคงท่าค้างไว้ 15 วินาที ก็ควรทำอย่างน้อย 20 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลรวมของเวลาเท่ากับ 5 นาที หรือทำ 40 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลรวมของเวลา 10 นาที

    ข้อดี :

    หลังยืดเหยียดเสร็จจะรู้ได้ถึงความแตกต่าง รู้สึกว่ากล้ามเนื้อคลายตัวขึ้น ทั้งนี้เพราะกลไกการตอบของร่างกายจะเริ่มทำงานในทันทีที่คุณทำท่าท่าคงค้างได้ 10 – 15 ครั้ง ตัวเซ็นเซอร์ในกล้ามเนื้อซึ่งมีหน้าที่ตรวจจับความตึงจะส่งกระแสประสาทไปสื่อสารกับสมองว่า “สมองคะตรงนี้มันตึง กรุณาส่งกระแสมาบอกให้มันคลายตัวหน่อยค่ะ”

    ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาในการคงค้างเพื่อให้มีการตอบสนองเกิดขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมหากยืดเหยียดแรงหรือเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดการฉีกขาดบาดเจ็บตามมาได้

    เนื้อเยื่อทุกส่วนของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อ เอ็นยึดข้อต่อ เอ็นกล้ามเนื้อ ยังสามารถ “เปลี่ยนรูป” ได้ เช่น เพิ่มความยาว ถ้าเราใส่แรงกระทำแล้วคงค้างไว้สักระยะหนึ่งมันจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้

    การยืดเหยียดมีผลดีกับการออกกำลังกาย เพราะถ้ากล้ามเนื้อของคุณตึงอยู่ก่อนแล้วไปใช้งานอย่างหนัก กล้ามเนื้อส่วนนั้นก็พร้อมที่จะขาดได้ แต่ถ้าคุณยืดเหยียดกล้ามเนื้ออย่างพอดีจะทำให้คุณมีความยาวของกล้ามเนื้อที่พร้อมหรือพอดีมากขึ้น ทำให้ได้แรงในการทำงานได้ดีกว่ากล้ามเนื้อที่มีความตึงอยู่ก่อน

    ขณะที่บางตำราบอกว่า ถ้าเรายืดเหยียดมากไปอาจทำให้กล้ามเนื้อเกิดการผ่อนคลาย แล้วกล้ามเนื้อจะมีพละกำลังได้อย่างไร (โดยเฉพาะในกลุ่มนักกีฬาอาชีพที่ต้องการกำลังของกล้ามเนื้ออย่างเต็มที่ที่สุด) จึงเป็นที่มาของการยืดเหยียดอีกแบบหนึ่งในข้อถัดไป

    เหมาะสำหรับ :

    บุคคลทั่วไป เพราะค่อนข้างปลอดภัย นักกีฬาทั้งสมัครเล่นและอาชีพ (ทำร่วม กับ Ballistic Stretching)

    แบบที่ 2 Ballistic Stretching

    คือ การยืดเหยียดเป็นจังหวะ หรือ ยืด – คลาย ยืด – คลาย เป็นจังหวะ

    ข้อดี :

    กลไกการยืดไม่ได้เป็นลักษณะรอให้กล้ามเนื้อคลายและยืดออก แต่เป็นการยืด – ปล่อย ยืด – ปล่อย ยืด – ปล่อย ซึ่งจะไปกระตุ้นการคลายตัวได้เหมือนกัน ขณะเดียวกันก็ยังกระตุ้นให้กล้ามเนื้อด้านในพร้อมทำงานด้วย พอกล้ามเนื้อคลายตัวก็จะอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมจะทำงานได้ทันที

    เหมาะสำหรับ :

    เทคนิคนี้มักใช้ในนักกีฬา โดยหลังจากยืดเหยียดแบบ Static Stretching แล้ว จะตามด้วย Ballistic Strching เพื่อกระตุ้นให้กล้ามเนื้อพร้อมใช้งาน

    สำหรับคนทั่วไป หากต้องการยืดเหยียดแบบ Ballistic Stretching นั้น ถึงจะทำไม่ยากก็จริง แต่ต้องระวังจังหวะการยืดให้พอดี ถ้ากระชากหรือทำแรงไปอาจทำให้กล้ามเนื้อเกิดการฉีกได้ ดังนั้น ควรมีเทรนเนอร์หรือผู้ดูแลอยู่ด้วย

    แบบที่ 3 Proprioceptive Neuromuscular Facitation (PNF) Stretching

    วิธีนี้ซับซ้อนขึ้นไปอีก ถ้าให้อธิบายง่าย ๆ คือ กล้ามเนื้อคนเราถูกสร้างมาให้มีสองฝั่ง คือหน้ากับหลัง เช่น กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้ากับกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง ถ้าสมองถูกสั่งให้จับจ้องการทำงานของกล้ามเนื้อฝั่งหนึ่ง อีกฝั่งหนึ่งจะถูกสั่งยับยั้งการทำงานเพื่อยอมให้เกิดการเคลื่อนไหว เพราะถ้าสองฝั่งทำงานพร้อมกัน กล้ามเนื้อก็จะชักเย่อกันเองและจะไม่สามารถเกิดการเคลื่อนไหวได้

    ดังนั้น ถ้าเราอยากยืดกล้ามเนื้อมัดด้านหลังให้ผ่อนคลาย เราต้องเจาะจงการเคลื่อนไหวที่ฝั่งหน้า โดยการเคลื่อนไหวไปจนถึงจุดที่รู้สึกถึงความตึงของร่างกายส่วนนั้น จากนั้นเกร็งฝั่งตรงข้ามคงค้างไว้ เช่น งอเข่าเข้าหาตัวจนรู้สึกตึงต้นขาด้านหลัง จากนั้นเกร็งต้นขาด้านหน้าค้างไว้ จะเกิดการคลายตัวออกของกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง ทำให้ขยับต่อไปได้ จากนั้นทำซ้ำในระดับการยืดที่เพิ่มขึ้นทีละนิด

    เหมาะสำหรับ :

    การยืดเหยียดแบบนี้ใช้ในการรักษาและในนักกีฬาอาชีพ (เราจะใช้วิธีวิธีนี้ ก็ต่อเมื่อรู้แน่นอนว่าเป็นความตึงที่เกิดจากการสั่งของกระแสประสาทที่ไม่ปกติ) ไม่แนะนำให้คนทั่วไปยืดเหยียดแบบ PNF เพราะค่อนข้างยากและชับช้อน

    สรุปรูปแบบการยึดเหยียดที่เหมาะกับคนแต่ละกลุ่ม

    Static Stretching – บุคคลทั่วไป นักกีฬาทั้งสมัครเล่นและอาชีพ (ทำร่วมกับ Ballistic Stretching)

    Ballistic Stretching – นักกีฬาสมัครเล่นและนักกีฬาอาชีพ

    PNF Stretching – นักกีฬาอาชีพ ผู้ป่วยที่มีความตึงซึ่งเกิดจากการสั่งของกระแสประสาท ที่ผิดปกติ

    เทคนิคการยืดเหยียดให้ได้ผลดี

    ต้องทำให้ถูกจุด

    ร่างกายคนเราไม่ได้แยกชิ้นส่วนกัน ทุกส่วนกี่ยวข้องต่อเนื่องกันไปหมด ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ เมื่อยืดเหยียดคุณต้องรู้ว่าเกิดความตึงตรงไหน

    สมมติว่า เราจะยืดเหยียดขาด้านหลังโดยเฉพาะด้วยท่าง่าย ๆ อย่างการเอาขาพาดเก้าอี้แล้วก้มแตะข้อเท้า การก้มได้มากอาจไม่ได้หมายความว่าคุณใช้กล้ามเนื้อถูกส่วน ร่างกายยืดหยุ่นดี เพราะนั่นอาจเป็นการเคลื่อนไหวตรงส่วนอื่นมาช่วย เช่น งอหลังช่วยเพื่อให้ก้มแตะข้อเท้าถึงโดยที่ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหวกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังตามที่ต้องการเลย ทั้ง ๆ ที่ท่านี้ต้องยืดหลังตรงแล้วก้มไปแตะข้อเท้าโดยเอาหน้าอกลงจึงจะรู้สึกตึงที่ต้นขาด้านหลังมาก

    โปรดจำไว้ว่า การยืดเหยียดให้ได้ผลจะต้องรู้สึกตึงที่กล้ามเนื้อส่วนที่ต้องการยืดเหยียด

    ขณะทำต้องใส่ใจว่า ยืดถูกจุดหรือยัง เช่น วันนี้จะไปวิ่ง อยากยืดเหยียดขาก่อน ก็ต้องเหยียดแล้วรู้สึกตึงที่ขา ถ้าไปตึงที่อื่นแปลว่าผิดจุดประสงค์ ซึ่งคุณจะไม่ได้ผลอะไรแม้ว่าจะสามารถทำท่าได้เหมือนในหนังสือหรือเว็บไซต์ก็ตาม

    ยืดให้ได้ระยะพอดี

    แค่ไหนคือพอ การยืดไปให้สุด หรือพยายามทำให้ได้ท่าตามต้นแบบเป๊ะ ๆ โดยที่ร่างกายยังไม่พร้อม เช่น ตึงมากหรือไม่เคยทำมาก่อน อาจเกิดการฉีกขาดบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อได้ เทคนิคง่าย ๆ สำหรับคนทั่วไปคือ ยืดเหยียดไปจนเริ่มรู้สึกตึงแล้วค้างไว้ (สำหรับการยึดเหยียด แบบ Static Stretching ซึ่งแนะนำสำหรับบุคคลทั่วไป)

    ที่มา : หนังสือ ยืดเหยียด คลายกล้ามเนื้อ เพื่อสุขภาพ โดย ดร.สันทณี เครือขอน

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ออกกำลังกายกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เสริมเม็ดเลือดขาว ลดโอกาสเจ็บป่วย

    เทคนิคสุดเวิร์ค แก้ปวดขาและตะคริว หลังออกกำลังกาย

    วิธีแก้ปวดหลัง แบบไม่พึ่งยา แค่ออกกำลังกายเอง

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    เครียดสะสม

    ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ จบปัญหา เครียดสะสม

    เครียดสะสม หยุดได้ถ้าเริ่มแก้ปัญหาทีละนิด

    เครียดสะสม เป็นปัญหาใหญ่ที่หลายคนเผชิญอยู่ วันนี้เราก็มีเทคนิคค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ เพื่อคลายความเครียดในแบบของ คุณพศิน อินทวงค์ มาฝากค่ะ

    ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ แก้ ค่อย ๆ ดีขึ้น ปัญหาส่วนใหญ่ในชีวิตคนเราเป็นปัญหาในลักษณะสะสม ไม่สามารถแก้ได้ทันที จำเป็นต้องใช้เวลาค่อย ๆ แก้ไข คล้ายว่าเรามีบ้านหลังหนึ่งที่อาศัยมานาน เราใช้ประโยชน์จากมัน แต่ไม่ค่อยบำรุงรักษา

    หลายอย่างเคยดีก็ค่อย ๆ เก่า ค่อย ๆ พังไปทีละเล็กละน้อย ในวันที่ยังพังไม่มาก เราก็ไม่ซ่อม รู้สึกชะล่าใจ คิดว่าคงไม่เป็นไร อาจเป็นเพราะชีวิตมีเรื่องให้ทำตลอดเวลา เราจึงปล่อยให้ปัญหาคงอยู่อย่างนั้น ถึงจุดหนึ่ง… ปัญหาเล็ก ๆ จึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ กลายเป็นของซ่อมยาก หรือไม่ก็พังไปเลย

    การทำให้ชีวิตดีขึ้น…

    ก็เหมือนการรึโนเวตบ้านเก่าทั้งหลังให้น่าอยู่ เราต้อง ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแบบองค์รวม คือทำทั้งหลัง คิดทั้งระบบ ไม่ใช่จะทำเพียงห้องใดห้องหนึ่ง เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือมุมใดมุมหนึ่ง ชีวิตคนเรามีความสัมพันธ์กับคนหลายคน ข้องเกี่ยวกับเรื่องหลายเรื่อง สมมุติว่าตัวเราเป็นคนคิดมาก

    เริ่มจากตรงนี้ ดูผ่าน ๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่ความเป็นคนคิดมากนี้เองที่เป็นเหตุให้เรากลายเป็นคนไม่มั่นคง หมดกำลังใจง่าย

    เมื่อเป็นแบบนี้…

    โอกาสที่เราจะมีความสัมพันธ์ที่ดี มันก็เป็นไปได้ยาก ทีนี้พอมีความสัมพันธ์ไม่ดี ความสุขก็ลดลง คนมีความทุกข์มาก ๆ ให้มาคิดเรื่องการงาน คิดเรื่องทำมาหากิน มันก็คิดไม่ออก พอคิดเรื่องทำมาหากินไม่ออก ฐานะการเงินก็ไม่ดี ก็เป็นเหตุให้เครียดเพิ่มขึ้นอีก แล้วพอเครียดก็พานให้อารมณ์เสียใส่ครอบครัว ความเครียดก็ยิ่งเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี ปัญหาสุขภาพกาย สุขภาพจิตก็ตามมา

    เครียดสะสม

    เห็นได้ว่าชีวิตคนเรานั้น…

    ไม่ได้แยกออกเป็นส่วน ๆ อย่างชัดเจนเลย ปัญหาหนึ่งย่อมกระทบถึงปัญหาหนึ่ง ทุกมิติของชีวิตเกี่ยวเนื่องกันไปตลอดทั้งสาย การแก้ไขปรับปรุงชีวิตจึงเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา ใช้ความอดทน ต้องรู้จักรักษาวินัย ให้กำลังใจตัวเอง ค่อย ๆ แก้ไขด้วยความเข้าใจ ด้วยสติปัญญา จะใจร้อน ไม่ได้…

    จะทำวันนี้เอาพรุ่งนี้ก็ไม่ได้ ต้องรู้จักอดทน รอคอย สำคัญที่สุดเหนืออื่นใด เราจำเป็นที่จะต้องตระหนักว่า ตัวเราเองคือผู้มีส่วนสำคัญที่สุดที่ทำให้ชีวิตของเราก้าวเดินมาถึงวันนี้

    ถ้าภาพรวมชีวิตของเราดี นั่นแปลว่าที่ผ่านมาเรามีความประพฤติปฏิบัติที่ดี แต่หากภาพรวมชีวิตของเรามีปัญหา ก็มีความเป็นไปได้ว่าที่ผ่านมาเราอาจดำเนินชีวิตมาแบบขาดตกบกพร่องในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การยอมรับความผิดของตัวเองเป็นขั้นตอนที่ทำได้ยากที่สุดขั้นตอนหนึ่ง เพราะโดยธรรมชาติแล้ว คนเรามักโทษคนอื่น โทษครอบครัว โทษเพื่อนฝูง โทษสังคม โทษคนรอบข้าง โทษอดีต เรามักโทษทุกอย่าง ไม่กล้ายอมรับความจริง ไม่ค่อยย้อนกลับเข้ามามองตนเอง

    และการที่เรา…

    ไม่เคยย้อนกลับมามองตนเองนี่แหละ ที่ทำให้ปัญหาเล็ก ๆ เกิดการขยายตัวอย่างช้า ๆ จนกลายเป็นเรื่องที่แก้ไม่ได้ ทำให้บ้านแห่งชีวิตของเราไม่น่าอยู่ ร้ายที่สุดคือแทบจะเป็นบ้านร้าง เสียหายแทบทุกจุด ผุพังแทบทั้งหลัง อย่างไรก็ดี ชีวิตคือบ้าน และเราเองก็ต้องอยู่บ้านหลังนี้ไปอีกพักใหญ่ ทำบ้านให้น่าอยู่ ทำชีวิตให้ดีขึ้น เดินดูรอบบ้าน สังเกตรอบ ๆ ชีวิต ครอบครัว การงาน การเงิน สุขภาพ ความสัมพันธ์ จิตใจ เพื่อนฝูง คำพูด การกระทำ วิธีคิด การแสดงออก ทักษะ อาชีพ ความขยันขันแข็ง

    ความรู้ภายใน ความรู้ภายนอก มีอะไรบ้างที่เราต้องแก้ไข ปรับปรุง แก้อะไร ยังไง วิธีไหน เมื่อไหร่ ทุกอย่างต้องวางแผน ทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ทำด้วยความสุข ด้วยความรักและหวังดีต่อตนเอง ทำให้กลายเป็นนิสัย เป็นตัวเป็นตน เป็นแสงส่องสว่าง เป็นภาพรวมของชีวิตใหม่ ชีวิตใหม่ที่ก่อร่างสร้างสรรค์จากชีวิตเก่า แม้เราใช้ชีวิตมานานมากแล้ว แต่ทุกอย่างยังไม่สายเกินไป มีอะไรหลายอย่างที่เสียไปแล้ว เราก็ปล่อยวาง มีอะไรหลายอย่างรอสร้างใหม่ และมีอะไรหลายอย่างที่ดูเหมือนใกล้พังเต็มที แต่ถ้าตั้งใจซ่อมจริง ๆ ก็ยังซ่อมได้ อะไร ๆ ก็เป็นไปได้ ทั้งนั้น…

    แต่เราต้องเริ่ม เราต้องขยับ… ลุกขึ้นและลงมือทำตั้งแต่วันนี้!

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    10 วิธี ดูแลจิตใจ เจอหนักแค่ไหนก็เอาอยู่

    โอ๊ย! เครียด โรคกระเพาะหรือมะเร็ง กันแน่

    “ความเครียด” ภัยเงียบ กระตุ้นเบาหวาน

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ลดขนาดเนื้องอก

    สูตร 10 วัน ปั้นชีวิตใหม่ สลายท็อกซิน ลดขนาดเนื้องอก

    สูตร 10 วัน สลายท็อกซิน ลดขนาดเนื้องอก

    วันนี้ เรามีสูตร 10 วันปั้น เพื่อชีวิตใหม่ ที่จะช่วยสลายท็อกซิน ลดขนาดเนื้องอก โดยชีวจิตเชื่อว่า การดูแลภูมิชีวิตหรืออิมมูนซิสเต็มให้แข็งแรงย่อมเป็นปราการสำคัญในการป้องกันโรคร้าย ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง หัวใจ ความดัน หรือไข้หวัด โดยเฉพาะโรคมะเร็งซึ่งเป็นโรคที่มีความเสี่ยงและใกล้ตัวเรามากเหลือเกิน

    อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง ท่านแนะนำวิธีการป้องกันมะเร็งไว้มากมาย ซึ่งกองบรรณาธิการได้เรียบเรียงบทความที่อาจารย์สาทิสเคยเขียนไว้ มาบอกเล่าให้ฟังกันอีกครั้ง

    “ขอเล่าเรือง แพทย์หญิงลิฟวิงสตัน ผู้ก่อตั้งมูลนิธิศูนย์การแพทย์ลิฟวิงสตัน ที่มีแนวทางรักษามะเร็งคือ มิใช่การรักษาโรคมะเร็งโดยตรง แต่เป็นการสร้างอินซิสเต็มหรือที่ชีวจิตเรียกว่า ‘ภูมิชีวิต’ การสร้างภูมิชีวิตให้ดีขึ้นเท่ากับการสร้างภูมิต้านทานและความแข็งแรงและแข็งแกร่งของร่างกายให้กับผู้ป่วย และความแข็งแรงนี้เองที่ไปช่วยปราบปรามหรือสะกดเนื้องอก มะเร็ง หรือก้อนเนื้อมะเร็งให้หดหายไป หรืออย่างน้อยที่สุดก็สามารถระงับไม่ให้ก้อนเนื้อนั้นเติบโตมากขึ้นไปกว่าเดิม และผลที่ได้รับก็คือ อย่างน้อยผู้ป่วยจะไม่เจ็บป่วยร้ายแรงมากไปกว่าเดิม

    “สูตรอาหารแต่ละสูตรของศูนย์การแพทย์ของมูลนิธิลิฟวิงสตันนั้น ไม่ใช่สักแต่ว่าทำไปตามสูตรไปแต่ละวัน หากแต่ว่ากว่าจะมาเป็นสูตรนั้น อาหารในสูตรต้องผ่านการทดสอบมาแล้วว่าเป็นอาหารออร์แกนิก(organic) และได้สัดส่วนตามสูตรทางโภชนาการแต่ละสูตร

    “อาหารออร์แกนิก หมายถึง พวกพืชทุกอย่างซึ่งปลูกจากดินโดยตรงและไม่มีเรื่องสารพิษมาเจือปนเลย เมื่อตอนปลูกไม่ใช้ปุ้ยวิทยาศาสตร์ เมื่อพืชโตแล้วไม่ใช้ยาฆ่าแมลงหรือยาปราบศัตรูพืช เมื่อเก็บพืชจากต้นแล้วจะเก็บรักษาโดยไม่ใช้สารเคมีหรือวัตถุกันเสียเพื่อให้พืชนั้นอยู่ได้นาน ซึ่งมีข้อมูลการทดลองพบว่า สารพิษต่าง ๆ ที่ใช้ในการปราบแมลงและศัตรูพืช รวมทั้งสารเคมีกันบูดและรักษาอาหารให้อยู่ได้นานนั้น เป็นต้นเหตุการก่อตัวของมะเร็ง อาหารที่หนักไปในด้านเนื้อ ไข่ อาหารหวานและมัน ก็เป็นต้นเหตุการก่อตัวของมะเร็งอีกเช่นกัน”

    สูตรอาหาร 10 วันปั้นชีวิตใหม่ ลดขนาดเนื้องอก

    ดร.จาเน็ต ซัคเกอร์แมน แห่งศูนย์การแพทย์ลิฟวิงสตัน ได้ใช้เห็ดชิตาเกะทำเป็นอาหารเพื่อใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากภูมิชีวิตบกพร่องสำเร็จไปแล้วหลายร้อยราย จึงอยากลองทำโปรแกรมการรักษาหรือปรับปรุงสุขภาพของตัวเองดู เป็นการปรับปรุงการปฏิบัติตัวเองด้วยวิธีง่าย ๆ คือ จัดทำอาหารตามสูตรที่จะแนะนำนี้ ขอให้ถือว่าเป็นการปรับปรุง ชีวิตประจำวันของตัวเองในระยะทดลองชั่วเวลาประมาณ 10 วัน โดยมีข้อกำจัดดังนี้

    • ท่านรู้สึกตัวว่ากำลังจะน้ำหนักเพิ่มเกินกำหนด และกำลังมีอาการหลายอย่าง เช่น ความดันโลหิต เบาหวาน โรคหัวใจ ภูมิแพ้ โรคปวดตามข้อตามตัว อ่อนเพลีย ไม่มีแรง หอบหืด โรคต่อมลูกหมาก หมดสมรรถภาพทางเพศ
    • ท่านจะต้องทำโปรแกรมประจำวัน 10 วันอย่างเคร่งครัด คือ ต้องประกอบอาหารเองในบ้าน (ให้แม่บ้านหรือใครช่วยทำได้) ต้องตื่นแต่เช้าประมาณตีห้า ออกกำลังกายทุกวัน เดิน หรือวิ่ง หรือรำกระบอง ควรทำดีท็อกซ์สามวันเว้นหนึ่งวัน ตอนกลางคืนก่อนนอนให้ทำวิธีผ่อนคลายและสมาธิ

    นี่คือข้อเรียกร้องซึ่งคุณจะต้องทำอย่างเคร่งครัด แลกเปลี่ยนกับเคล็ดลับในการปรับปรุงสุขภาพและปรับปรุงชีวิตของคุณ คุณไม่ต้องเสียเงินเสียทองแต่อย่างใดทั้งสิ้น ทั้งนี้เป็นการกระทำตามหลักที่ว่า ช่วยตัวเองให้ได้แล้วจึงช่วยผู้อื่น ตามหลักการของชีวจิตให้เริ่มดังนี้

    1. วางแผนสำหรับตัวคุณตลอด 10 วัน ต้องวางแผนวันและเวลาให้แน่นอน และ ปฏิบัติติดต่อไปจนครบ 10 วัน
    2. ขั้นต่อไป ถ้าเป็นไปได้ควรตรวจเลือด วัดความดันโลหิต วัดน้ำตาลในเลือดไว้ล่วงหน้า เพื่อเปรียบเทียบหลังโปรแกรม แต่ถ้าไม่สะดวก ลองสำรวจตัวเองว่า สภาพร่างกายก่อนเข้าโปรแกรมเป็นอย่างไร หายใจติดขัดตรงไหนบ้าง เดิน เหินเคลื่อนไหวร่างกาย เจ็บข้อ เจ็บเท้า เจ็บหลังตรงไหน สังเกตและจดบันทึกไว้
    3. เริ่มรายการอาหารโดยเอาเห็ดหอมเป็นตัวเอก อาหารตามเมนูสูตรนี้เป็นอาหารจากศูนย์การแพทย์ลิฟวิงสตัน ดังนี้
    ลดขนาดเนื้องอก

    อาหารชุดที่ 1 แกงจืดหรือซุปเห็ดหอม

    ส่วนผสม เห็ดหอมอย่างดี 6 ดอก ถ้าได้เห็ดสดจะดีที่สุด ถ้าหาไม่ได้ให้ใช้เห็ดแห้ง(ถ้าจะทำทุกวันให้สลับใช้เห็ดสดอย่างอื่น เช่น เห็ดฟาง เห็ดเป้าฮื้อก็ได้ กระเทียม 6 กลีบใหญ่สับละเอียด ต้นหอม 2 ต้น น้ำมันมะกอกอย่างดี 1 ช้อนโต๊ะ (ถ้าหาไม่ได้ใช้น้ำมันงาอย่างดีแทน) ซีอิ้วขาวอย่างดี 2 ช้อนโต๊ะ

    วิธีทำ ต้องทำน้ำสต๊อกจากเห็ดหอมไว้ล่วงหน้า(จะทำไว้ล่วงหน้าสำหรับกินครั้งละ 5 วันก็ได้) ขั้นต้นใช้เห็ดหอมแห้งประมาณ 30 ดอกแช่น้ำให้ท่วม ค้างคืนไว้ 1 คืน วันรุ่งขึ้นเอาเห็ดหอมหรือเห็ดฟางส่วนหนึ่งสับหรือบดละเอียด ผัดกับน้ำมัน กระเทียม พริกไทย ใส่น้ำเต้าหู้(ชนิดไม่หวาน) ลงไป เคี่ยวต่อไปจนเดือดแล้วเห็ดเปื่อย เติมเกลือลงไปพอมีรสอ่อน ๆ แล้วใส่ตู้เย็นเก็บไว้เป็นน้ำสต๊อก

    วันที่จะทำซุปก็เอาเห็ดหอมหรือเห็ดฟางที่แช่น้ำไว้ออกมาสับละเอียด แล้วผัดกับต้นหอมหั่นละเอียด เอาน้ำสต๊อกที่เตรียมไว้ออกมาเติม ต้มจนเดือดแล้วเติมซีอิ้วขาว ชิมดูพอมีรส(อย่าให้เค็มมาก) ซุปควรเคี่ยวให้ข้น ๆ กินกับขนมปังโฮลวีตปิ้งกรอบ

    อาหารชุดที่ 2 ข้าวหลากรส(ตำรับลิฟวิงสตันอีกเช่นกัน)

    ส่วนผสม เนย(ใช้นิด ๆ หน่อยๆ เป็นเครื่องปรุง) กระเทียม เซเลอรี่หรือขึ้นฉ่ายสับละเอียด แครอตสับละเอียด ผักโขม หอมหัวใหญ่สับละเอียด บรอกโคลีลวกสับละเอียด ข้าวซ้อมมือหุงสวย ๆ

    วิธีทำ ผัดเนย กระเทียม เซเลอรี่ แครอต หอมหัวใหญ่ ผักโขม และบรอกโคลีเข้าด้วยกัน ใส่ข้าวซ้อมมือลงไป ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว ชิมรส ควรเติมน้ำนิดหน่อยเพื่อให้มีลักษณะเหมือนข้าวคลุกแทนที่จะเป็นข้าวผัด

    อาหารชุดที่ 3 สลัดผักผลไม้นานาชนิด

    ส่วนผสม องุ่น สตรอว์เบอร์รี่ และผลไม้ไทยชนิดลูกเล็ก ๆ ล้างให้สะอาด ถั่วเหลืองหรือถั่วแดงใส่เกลือเล็กน้อย

    สูตรน้ำสลัด น้ำมันมะกอก น้ำแอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์ เกลือ และนมเปรี้ยวผสมให้เข้ากัน

    อาหารชุดที่ 4 ของหวาน

    ส่วนผสม กล้วยน้ำว้าสุก กล้วยหอม หรือกล้วยหักมุก

    วิธีทำ นำกล้วยแช่ตู้เย็นไว้หนึ่งคืนแล้วเอามาปั่น หลังจากนั้นเติมองุ่น สตรอว์เบอร์รี่ ถ้ามีมะม่วงสุก หั่นมะม่วงปนลงไปด้วย กินแบบไอศกรีม

    นี่เป็นตัวอย่างอาหารในวันหนึ่ง ๆ ทั้งหมดนี้ 5 วัน ช่วงแรกขอให้กินมื้อละครึ่งท้อง อย่ากินเต็มที่ โดยเฉพาะข้าวหลากรสนั้นกินเพียงทัพพีเดียวพอ

    สลัดผักกินเต็มที่ได้ ซุปกินได้ครั้งละครึ่งชาม ของหวานกินเพียงถ้วยเดียว อาหารทั้งหมดนี้ ถ้าคุณรู้จักดัดแปลง ก็จะไม่ซ้ำกันเลยตลอดเวลา 10 วัน อย่างเป็นต้นว่า

    ซุปเห็ด คุณเอาเห็ดอื่น ๆ มาผสมกับเห็ดหอมได้(แต่ต้อง มีเห็ดหอมเป็นตัวยืนทุกวัน) ปรุงน้ำซุปเพื่อเปลี่ยนแปลงรสชาติ ได้ทุกวัน บางวันใส่ซีอิ้วขาว บางวันใส่เกลือ บางวันผงกะหรี่นิดหน่อย บางวันใส่นมเปรี้ยวให้ออกรสเปรี้ยว เป็นต้น

    ข้าวคลุกก็เหมือนกัน เติมเนื้อเห็ดบ้างก็ได้นะ มะเขือเทศบ้างก็ได้นะ สับปะรดบ้างก็ได้ สลับกันไปเรื่อย ๆ สลัดยิ่งมีรสแปลก ๆ มากมาย สุดแต่จะเลือกผักเลือกผลไม้

    ของหวาน ดัดแปลงง่ายสุด แต่ฤดูผลไม้จะมีอะไรก็เอามาผสมกันตามฤดูกาล ควรจะเอากล้วยไว้ยืนพื้น เปลี่ยนกล้วยแต่ละชนิดแต่ละวัน ผลไม้อย่างอื่นเป็นตัวผสม แต่อย่าได้มีใครคิดกำเริบเอาทุเรียนมาทำของหวานเชียวนะ

    ข้อสำคัญข้อแรกที่ต้องเคร่งครัดคือ เปลี่ยนอาหารเป็นอาหารตามชุดที่ให้ตัวอย่างไว้นี้ ความสำคัญของอาหารชุดลิฟวิงสตันก็คือ เป็นอาหารซึ่งไม่มีพิษ (Toxin) และจะไม่มีวันสร้างพิษให้แก่ร่างกาย

    ทำไมจึงให้อาหารชุดเห็ดเป็นตัวเอก เรื่องเห็ดชิตาเกะหรือเห็ดหอมชนิดเกรดเอนั้น มิได้ผ่านการทดลองจากศูนย์การแพย์ลิฟวิงสตันแห่งเดียวเท่านั้น แต่ผ่านการศึกษาและทดลองมาจากหลายประเทศ โดยเฉพาะในญี่ปุ่นนั้นเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นอาหารประจำชาติเหมือนของจีน ที่ญี่ปุ่นได้มีการทดลองทางยา โดยเข้าห้องแล็บทดลองอย่างจริงจัง ปรากฏว่าคุณสมบัติที่ดีที่สุดของเห็ดชิตาเกะก็คือ เอนไซม์ที่ทำให้การไหลเวียนของเลือดคล่องตัว ทำให้การอุดตัน หรือการบล็อกของเส้นเลือดหายไปได้ เช่นเดียวกับก้อนเนื้อใหม่ ๆ จะเป็นเนื้อร้ายหรือไม่ใช่เนื้อร้ายก็ตาม เอนไซม์ตัวนี้สามารถสกัดก้อนเนื้อลุกลาม หรือในบางกรณีช่วยให้ก้อนเนื้อเล็กลงได้

    ในขณะเดียวกัน เมื่อใช้เห็ดเป็นทั้งอาหารและเป็นยา ก็สามารถช่วยให้ระบบเลือดที่เกี่ยวข้องกับหัวใจดีขึ้น ยังมีผลการทดลองในทางที่ดี ซึ่งแม้ว่าบางอย่างจะใช้เป็นชื่อยืนยันแน่นอนไม่ได้ แต่ก็ยังสรุปได้ว่าเห็ดชิตาเกะเป็นอาหารที่ดี โดยเหตุผลนี้จึงเอาเห็ดเป็นตัวเอกในการปฏิบัติตามโปรแกรม 10 วัน ซึ่งเริ่มจากหลักการง่าย ๆ ว่า ร่างกายสะสมพิษหรือท็อกชินไว้เป็นเวลานานและมีพิษอยู่มากมาย การใช้เห็ดเป็นอาหารผสมกับการทำดีท็อกซ์จึงเป็นการล้างท็อกซินขั้นต้น ซึ่งได้ผลดียิ่ง

    ประการต่อมา เมื่อคุณสามารถควบคุมชีวิตประจำวัน ปรับปรุงการกิน นอน พักผ่อน ทำงาน ออกกำลังกาย ให้ถูกต้องแล้ว ก็เท่ากับคุณได้พลิกผันชีวิตใหม่ได้แน่นอน

    และในสัปดาห์แรกหลังจากทำดีท็อกซ์ได้ 2 – 3 ครั้งแล้ว แนะนำให้กินวิตามินประเภทแอนติออกซิแดนต์อย่างละเม็ดหลังอาหารเช้า คือ วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินดี วิตามินอี กินประมาณ 1 เดือนก็พอ

    นอกจากนี้อย่าลืมการผ่อนคลายร่างกายและสมาธิ มองโลกและชีวิต ในแง่บวก ให้ความรักความสนใจกับทุกอย่างรอบตัวคุณ ทำเพียงเท่านี้ รับรองว่าสุขภาพต้องดีขึ้นและรู้สึกว่าชีวิตใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นขึ้นแล้ว

    เรียบเรียงจากหนังสือ “ปั้นชีวิตใหม่ด้วยชีวจิต เล่ม 2” สำนักพิมพ์คลินิกสุขภาพ

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ชีวจิตขอแชร์ วิธีเลือกน้ำมัน ประกอบอาหาร

    ชวนดื่ม ชาสมุนไพร ต้อนรับปีใหม่ ช่วยปรับสมดุลร่างกายและอารมณ์

    ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ออกกำลังกายกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

    ออกกำลังกายกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เสริมเม็ดเลือดขาว ลดโอกาสเจ็บป่วย

    ออกกำลังกายกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เสริมเม็ดเลือดขาว

    รู้มั้ยว่า เราสามารถลดโอกาสเจ็บป่วยได้ เพียงออกกำลังกาย เพราะเป็นการ เสริมเม็ดเลือดขาว ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น

    นายแพทย์ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ อธิบายว่า การออกกำลังกายทำให้ เลือดไหลเวียน หากทำเป็นประจำจะช่วยกระตุ้นและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น ช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดขาวมี ประสิทธิภาพในการดักจับสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น

    ถ้าอยากให้สุขภาพแข็งแรงและระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี ควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน ครั้งละ 30 นาที ขึ้นไป ถ้าทำได้จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อและลดระยะเวลาในการเจ็บป่วยลง

    ฐานข้อมูลสุขภาพ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ อธิบายว่า หากออกกำลังกายหนักเกินไป คือใน 1 สัปดาห์ ออกกำลังกายที่มีความหนักปานกลางมากกว่า 150 นาที อาจส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานลดลง เสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายขึ้น กรณีที่เลือกการออกกำลังกายที่มีความหนักและใช้เวลามากกว่าครั้งละ 30 นาที ให้ปรับไปออกกำลังกายเพียงสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ก็เพียงพอต่อการกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

    เสริมเม็ดเลือดขาว

    ออกกำลังกายครบ 5 ประเภท ภูมิคุ้มกันแข็งแรงเสริมเม็ดเลือดขาว

    ฐานข้อมูลของ American Society of Clinical Oncology สหรัฐอเมริกา ระบุว่า การออกกำลังกายที่มุ่งกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันและรับมือโรคมะเร็งควรมีการผสมผสานแนวทางการออกกำลังกาย 5 ประเภท ดังนี้

    • การออกกำลังกายโดยฝึกลมหายใจควบคู่กันไปด้วย เน้นการเคลื่อนไหวช้า ๆ ทำให้ผู้ฝึกได้รับรู้การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งไปพร้อม ๆ กัน การตามดูลมหายใจเข้า- ออก เช่น การรำไทเก็ก โยคะ เมื่อฝึกบ่อย ๆ จะทำให้สามารถหายใจได้ลึกและยาวขึ้น ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น ช่วยลดเครียด สร้างสมาธิได้ดี
    • การยึดเหยียดร่างกาย เช่น พิลาทีส โยคะ ไทเก็ก เหมาะกับช่วงพักฟื้นจากการเจ็บป่วย ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อตึง นักกีฬาที่ประสบปัญหากล้ามเนื้อบาดเจ็บ ผู้ป่วยโรคข้อ ช่วยกระตุ้นเลือดและออกซิเจนให้ไหลเวียนดีขึ้น เมื่อทำอย่างต่อเนืองจะทำให้กล้ามเนื้อค่อย ๆ คลายตัวออก ลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและการกระแทกที่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่ข้อเข่า ข้อเท้า
    • การฝึกการทรงตัว เช่น การยืนยกขาเดียว การฝึกเดินทรงตัว การฝึกท่าสควอตโดยยืนจับพนักเก้าอี้แล้วย่อเข่าลงแล้วเหยียดตัวยืนตรง ช่วยให้ร่างกายทรงตัวอยู่ได้อย่างมั่นคง กล้ามเนื้อและข้อต่อแข็งแรง ลดการเกิดอุบัติเหตุขณะ ออกกำลังกาย จึงสามารถออกกำลังกายได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัย
    • การออกกำลังกายแบบแอโรบิก ช่วยให้หัวใจและปอดแข็งแรง ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ร่างกายได้รับออกชิเจนมากขึ้น ออกกำลังกายได้นานขึ้น เหนื่อยน้อยลง การเดินเป็นวิธีการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ง่ายที่สุด
    • เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เช่น การวิดพื้น แพลงก์ การยกเวต ช่วยให้เกิดการสร้างกล้ามเนื้อ เมื่อมีกล้ามเนื้อมาก การนำแคลอรีมาใช้เผาผลาญให้เกิดพลังงานก็จะเพิ่มมากขึ้น เป็นผลดีต่อการควบคุมน้ำหนัก และทำให้ร่างกายแข็งแรง กล้ามเนื้อที่ได้รับการฝึกอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ทรงตัวได้ดีขึ้น รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรง จะช่วยซับแรงกระแทกที่ข้อต่อ ลดการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้นกับข้อต่อและกระดูก ได้อีกทางหนึ่ง

    เทคนิคง่าย ช่วยอายุยืน

    ถึงแม้ว่าวิทยาศาสตร์ชะลอวัยจะก้าวหน้าเพียงใด เเต่การทํากิจกรรมง่าย ๆ บางอย่างเป็นประจําทุกวันก็ช่วยให้เราอายุยืนได้เหมือนกัน โดยชีวจิตได้ไปอ่านเจอข้อมูลดี ๆ จากหนังสือพิมพ์มิเรอร์ออนไลน์ อังกฤษ ที่ได้รวบรวมไว้ดังนี้

    1. ยืนขาเดียวทุกๆ เช้า เช่น ระหว่างการแต่งตัว ลองฝึกทรงตัวด้วยการยืนขาเดียว เพราะเป็นการสร้างความสมดุลของร่างกาย (กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน และกระเพาะอาหาร) เมื่อสูงวัยจะช่วยป้องกัน อุบัติเหตุจากการหกล้มกระดูกหักได้
    2. งดใช้ครีมกันแดดในช่วงเวลา 7.00 น.- 9.00 น. เพราะครีมกันแดดจะไปเคลือบผิวหนัง ทําให้วิตามินดีจากแสงเเดดไม่สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ ส่งผลให้เกิดโรคกระดูกพรุนและโรคหัวใจ
    3. หัวเราะวันละอย่างน้อย 20 ครั้ง เป็นการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ลดฮอร์โมนความเครียด และเพิ่มระดับทีเซลล์ (T Cell)ในการป้องกันและต่อสู้กับโรคมะเร็ง
    4. ร้องเพลงขณะอาบน้ำ จากการศึกษาวิจัยในกลุ่มนักร้องประสานเสียงของมหาวิทยาลัยเยลเเละมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าพวกเขามีอายุเฉลี่ยเพิ่มมากขึ้น เพราะการร้องเพลงช่วยลดความเครียด ป้องกันโรคหัวใจ และช่วยไม่ให้เป็นโรคซึมเศร้า

    เห็นไหมคะอายุยืนได้ ไม่จําเป็นต้องเสียสตางค์

    ชีวจิต Tips เปิดตำรา กินอาหารให้เป็น “ยา” เสริมสุขภาพให้แข็งแรง

    “จงใช้อาหารเป็นยารักษาโรค” คำกล่าวของฮิปโปเครติส บิดาทางการแพทย์ชาวกรีก ที่ได้กล่าวไว้เมื่อ 2500 ปีที่แล้ว ยังคงใช้ได้จริงกับในยุคปัจจุบัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่มีพืชผักสมุนไพรนานาชนิดที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารและสามารถป้องกันและรักษาโรคได้ ทำให้สุขภาพดีอย่างยั่งยืน

    แนะนำเมนูอาหารเป็นยา

    ผัดกะเพรา เมนูยอดฮิต ที่อาจดูเหมือนเมนูสิ้นคิดของคนไทย แต่จริงๆแล้ว อุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารเพราะว่าใบกะเพรามีสารโอเรียนทิน ช่วยลดการติดเชื้อของเซลล์ และป้องกันไม่ให้ป่วยจากเชื้อไวรัส

    ต้มยำเห็ด อาหารรสแซ่บ ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายทำให้ไม่ป่วยง่าย เพราะในเห็ดมีสารเบต้ากลูแคน รวมถึงน้ำมะนาว มีวิตามินซีที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง

    แกงส้มมะรุม ช่วยลดคอเลสเตอรอล รักษาโรคโลหิตจาง บำรุงหัวใจ ลดไข้ แก้หวัด บรรเทาอาการไอ และมีสารเคอร์ซีตินช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ร่างกาย

    เมี่ยงคำ ยกขบวนสมุนไพรมามากมาย ทั้งใบชะพลู ขิง พริก มะพร้าว ถั่วลิสง กุ้งแห้ง และยังมีหอมแดงที่ช่วยต้านไวรัส มะนาวหั่นทั้งเปลือก ซึ่งมีสารเฮสเพอริดิน สารรูติน และวิตามินซี ช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ของร่างกาย ลดโอกาสการติดเชื้อในอวัยวะต่าง ๆ ได้

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส ผู้บัญญัติศัพท์ “Cancer” หรือมะเร็ง คนแรกของโลก

    5 วิธีลดความดันโลหิตสูง ด้วยตัวเอง

    แจ่วมะเขือเทศ อร่อย ทำง่าย กินต้านการเกิดมะเร็ง

    ดูแลตัวเองอย่างไร ให้ห่างไกล โรคหลอดเลือดสมอง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    กินอาหารเช้า จำเป็นต้องกินไหม มาไขคำตอบกัน

    ในเวลาที่เราเร่งรีบก็อาจจะทำให้หลงลืมการ กินอาหารเช้า แต่รู้ไหมคะ ว่าอาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างพลังงานและเตรียมร่างกายสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่ หลังจากที่ร่างกายไม่ได้รับพลังงานในช่วงตอนกลางคืน การกินอาหารเช้าจึงช่วยเติมพลังงานส่วนที่หายไปในตอนกลางคืนทำให้ส่งผลดีต่อการทำงานของร่างกายและสมอง

    นอกจากนี้อาหารเช้ายังมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอ้วน เพราะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ และลดโอกาสที่จะเกิดการกินจุบจิบ ซึ่งอาจนำไปสู่การสะสมแคลอรีมากเกินความจำเป็น

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก

    หลายคนมีความเชื่อผิด ๆ ว่าการอดอาหารเช้าจะช่วยลดน้ำหนัก แต่ในความเป็นจริง การอด อาหารเช้า กลับทำให้เกิดผลเสียคือการลดประสิทธิภาพการเผาผลาญพลังงานของร่างกายลงถึง 10% และเพิ่มโอกาสในการกินมากเกินไปในมื้อถัดไป

    ที่สำคัญการอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักยังเสี่ยงต่อการเกิด “โยโย่ เอฟเฟค” (YOYO Effect) ซึ่งหมายถึงการที่น้ำหนักลดลงชั่วคราวแต่กลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อหยุดอดอาหาร

    การลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพควรเน้นที่การกินอาหารให้ครบ 3 มื้อ โดยเฉพาะอาหารเช้า ควบคู่ไปกับการควบคุมปริมาณอาหารในแต่ละมื้ออย่างเหมาะสมแทนการอดอาหาร ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและระบบการเผาผลาญของร่างกาย

    กินอาหารเช้า

    อาหารเช้า มีประโยชน์อย่างไร

    • ช่วยกระตุ้นสมอง
    • ทำให้มีสมาธิดี
    • มีการจดจำที่ดีขึ้น
    • สามารถควบคุมน้ำหนักรวมทั้งความหิวได้
    • ร่างกายรู้สึกสดชื่น
    • ลดความเสี่ยงต่อโรคต่าง

    การอดอาหารเช้าอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ

    1. โรคอ้วน การอดอาหารเช้าทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ส่งผลให้กินมากขึ้นในมื้อต่อไป และทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ช้าลง

    2. โรคเบาหวาน การงดมื้อเช้าส่งผลให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานได้

    3. โรคกรดไหลย้อน เกิดจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสมและกินอาหารไม่เป็นเวลา บางคนไม่กินอาหารเช้าแต่ไปพึ่งเครื่องดื่มคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ แทนการกินอาหารเช้าจะกระตุ้นให้หลั่งน้ำย่อยมากเกินไป

    4. โรคนิ่ว การอดอาหารนานเกิน 14 ชั่วโมงจะทำให้คอเลสเตอรอลในถุงน้ำดีจับตัวกัน และหากอดอาหารเช้าเป็นประจำไปเรื่อย ๆ เป็นเวลานาน จะทำให้กลายเป็นก้อนนิ่ว การกินอาหารเช้าทุกวันจะช่วยให้ตับปล่อยน้ำดีออกมาละลายไม่ให้คอเลสเตอรอลจับตัวกัน จึงสามารถป้องกันการเกิดโรคนิ่วได้

    5. โรคหัวใจและเส้นเลือดสมอง ตอนเช้าหลังจากที่เราตื่นนอนเลือดของเราจะมีความเข้มข้นสูง ซึ่งจะทำให้เส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมอง หรือหัวใจอุดตันได้ การกินอาหารเช้าช่วยลดความเสี่ยงจากการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจและสมอง

    6. โรคอัลไซเมอร์ การกินอาหารเช้าช่วยกระตุ้นสมองและความจำที่ดี ถ้าหากเราอดอาหารเช้าจะทำให้ไม่สดชื่น หลงลืมง่าย ความจำไม่ดี ไม่มีสมาธิ หากเราอดอาหารเช้าเป็นประจำต่อเนื่องนาน ๆ อาจส่งผลให้เป็นโรคอัลไซเมอร์ได้

    กินอาหารเช้า

    อาหารเช้า ที่หาได้ง่ายและมีประโยชน์ต่อร่างกาย

    1. โยเกิร์ตรสธรรมชาติ

    โยเกิร์ตมีจุลินทรีย์โพรไบโอติกที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันถึง 80% ช่วยปรับสมดุลระบบทางเดินอาหาร ช่วยในเรื่องของการย่อย การดูดซึมสารอาหาร และการขับถ่าย อีกทั้งยังยับยั้งเชื้อโรค ลดอาการอักเสบ บรรเทาภูมิแพ้ และช่วยลดคอเลสเตอรอล  ในการเลือกโยเกิร์ตเพื่อสุขภาพ ควรเลือกสูตรที่มีแคลอรี่ไม่เกิน 100 แคลอรี่ต่อถ้วย น้ำตาลไม่เกิน 10 กรัม และไขมัน 0% โดยตรวจสอบข้อมูลได้จากข้างฉลากผลิตภัณฑ์

    2. น้ำเต้าหู้

    น้ำเต้าหู้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้นมวัวหรือรู้สึกท้องอืดและท้องเสียจากการดื่มนมวัว เนื่องจากบางคนขาดเอนไซม์แลคเตสที่จำเป็นในการย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมวัว จึงสามารถดื่มน้ำเต้าหู้จากนมถั่วเหลืองแทนได้  น้ำเต้าหู้ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง แต่ยังอุดมด้วยกรดไขมันที่จำเป็น ใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ นอกจากนี้ยังมีสารไอโซฟลาโวนที่ช่วยลดการสูญเสียมวลกระดูก เพิ่มความแข็งแรงของมวลกระดูก และช่วยดูแลสุขภาพผิว รวมถึงสารเลซิทินที่มีประโยชน์ต่อการทำงานของระบบประสาทและสมอง  ในการเลือกน้ำเต้าหู้เพื่อสุขภาพ ควรเลือกสูตรหวานน้อย โดยดูฉลากให้ปริมาณน้ำตาลไม่เกิน 10 กรัมต่อหน่วยบริโภค เพราะน้ำเต้าหู้ที่มีน้ำตาลมาก อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วนและโรคเบาหวาน

    3. ขนมปังธัญพืช หรือขนมโฮลเกรน (Whole Grain Bread)

    ขนมปังโฮลวีท (Whole Wheat Bread) และขนมปังธัญพืชหรือขนมปังโฮลเกรน (Whole Grain Bread) แตกต่างกันจากแหล่งวัตถุดิบ โดยขนมปังโฮลวีททำจากเมล็ดข้าวสาลีทั้งเมล็ด ส่วนขนมปังโฮลเกรนทำจากธัญพืชหลากหลายชนิด เช่น ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต หรือข้าวสาลีที่ไม่ผ่านการขัดสี แต่หากมีการขัดสีบางส่วน อาจเรียกเป็นขนมปังโฮลวีทหรือขนมปังมัลติเกรน  (Multi Grain Bread)

    ขนมปังโฮลเกรน (Whole Grain) มีส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ 

    • เยื่อหุ้มเมล็ด (Bran) อุดมไปด้วยใยอาหาร โปรตีน ธาตุเหล็ก และวิตามินบี ช่วยเปลี่ยนแป้งเป็นพลังงานที่ร่างกายใช้ได้ 
    • เนื้อเมล็ด (Endosperm) เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โปรตีน และวิตามินบี 
    • จมูกข้าว (Germ)  มีวิตามินบี, วิตามินอี, แร่ธาตุ และไฟโตนิวเทรียนท์ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ 

    ขนมปังธัญพืช 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 250 แคลอรี่ และมีใยอาหารประมาณ 4 กรัม ซึ่งช่วยในการขับถ่าย ทำให้รู้สึกอิ่มนาน ลดการกินจุกจิก เหมาะสำหรับการควบคุมน้ำหนัก อีกทั้งยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย

    4. กล้วยหอม

    กล้วยหอมในปริมาณ 100 กรัม (ประมาณ 1 ลูกขนาดกลาง) ให้พลังงานประมาณ 132 กิโลแคลอรี อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต ใยอาหาร วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และเบต้า-แคโรทีน 

    โพแทสเซียมและแมกนีเซียมในกล้วยช่วยควบคุมความดันโลหิต มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด สามารถป้องกันจากโรคโลหิตจางได้

    สรุปแล้วอาหารเช้ามีความสำคัญและมีความจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมากเพราะนอกจากจะอิ่มท้องแล้ว ยังสามารถป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากการอดอาหารเช้าและยังทำให้เราสดชื่นพร้อมที่จะเริ่มต้นวันใหม่ไปพร้อม ๆ กับสุขภาพที่ดีได้อีกด้วยค่ะ

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    5 อาหารเช้ากินง่ายสำหรับคน ” ถ่ายยาก “

    กราโนล่า มูสลี่ อาหารเช้าของคนรักสุขภาพ

    อาหารดี ช่วยตับแข็งแรง

    ติดตามชีวจิตได้ที่ :

    Facebook : นิตยสารชีวจิต
    Instagram : Cheewajitmedia
    TikTok : cheewajitmediaofficial

    โรคกระเพาะหรือมะเร็ง

    โอ๊ย! เครียด โรคกระเพาะหรือมะเร็ง กันแน่

    แยกให้ออก โรคกระเพาะหรือมะเร็ง

    แยกไม่ออกใช่มั้ยคะว่า ที่เราเป็นอยู่นั้นคือโรคอะไรกันแน่ โรคกระเพาะหรือมะเร็ง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ หนุ่มสาวออฟฟิศมีความเครียด จากการทำงานกันทุกคน เพียงแต่ใครจะเครียดมาก เครียดน้อย ซึ่งความเครียดนี่เองเป็นปัจจัยก่อโรคต่าง ๆ มากมาย รวมถึงโรคกระเพาะอาหาร และโรคมะเร็ง

    นายแพทย์ธเนศ แก่นสาร อาจารย์ประจำสาขาเวชศาสตร์ครอบครัว ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เล่าสถานการณ์ของโรคระบบทางเดินอาหาร ให้ฟังว่า

    “พบว่า คนทั่วโลกรวมถึงคนไทยป่วยเป็นกลุ่มโรคระบบ ทางเดินอาหารส่วนต้นหรือดิสเปปเชีย (Dyspepsia) ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ โรคสำคัญในกลุ่มนี้คือ กระเพาะอาหาร ซึ่งมีสาเหตุ มาจากการใช้ชีวิต”

    ไลฟ์สไตล์สำคัญที่เป็นตัวก่อโรคได้แก่ การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และกินยาลดการอักเสบกลุ่มเอนเซด (NSAID) เป็นเวลานาน กินอาหารไม่ตรงเวลาและกินรสจัด นอกจากนี้ยังเกิดจากความเครียด

    คุณหมอธเนศเล่าว่า “ถ้าอยู่ในสภาวะเครียดบ่อย ๆ และยาวนานจะป่วยเป็นโรดกระเพาะอาหารได้ เพราะความเครียดจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งกรดออกมาตลอดเวลา ซึ่งกรดนี้จะย่อยเยือบุกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดแผล ยิ่งถ้ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น กินยากลุ่มเอนเชด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่จัด จึงมีความเสี่ยงทำให้กระเพาะทะลุได้”

    โรคกระเพาะจัดหนักคนทำงาน

    ยิ่งทุกวันนี้ คุณหมอธเนศพบว่ามีหนุ่มสาวออฟฟิศจำนวนมากที่ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารจากความเครียด แถมมีอาการค่อนข้างรุนแรงเมื่อเทียบกับวัยอื่น ๆ

    คุณหมอธเนศเล่าว่า “ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นคนวัยหนุ่มสาว อายุเพิ่ง 20-30 ต้น ๆ แต่มีอาการรุนแรงมาก บางคนปวดท้องมากจนต้องฉีดยาระงับปวดและต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หมอจะให้ยารักษาโรค 2 กลุ่ม คือ ยาลดกรด เพื่อช่วยให้กรดหลังออกมาน้อย ทำให้แผลหายเร็วขึ้น และยากระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหาร ซึ่งจะทำให้กระเพาะเกิดการบีบตัว คลุกเคล้าอาหารกับน้ำย่อยได้ดีขึ้น จึงไม่มีแก๊สจากอาหารหมักหมมตกค้างในกระเพาะ ซึ่งเป็นที่มาของอาการท้องอืด จุกแน่น”

    ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการดีขึ้นหลังจากกินยา แต่ไม่นานก็จะกลับมาป่วยอีกเช่นเดิม เพราะไม่รู้จักจัดการต้นเหตุของปัญหา

    อาการต่าง ๆ ของโรคกระเพาะอาหาร ไม่ว่าจะเป็นปวดท้อง จุกแน่น แสบร้อนบริเวณลิ้นปี หรือท้องอึด ก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้คนวัยทำงานเกิดความเครียดว่า ตัวเองอาจป่วยเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้ จึงร้องขอให้คุณหมอทำการส่องกล้องหรือกลืนแป้งแบเรียมซัลเฟตตรวจกระเพาะอาหาร เพื่อวินิจฉัยโรค

    คุณหมอธเนศให้ความเห็นว่า “เดี๋ยวนี้มีผู้ป่วยจำนวนมาก โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวมาร้องขอให้หมอส่องกล้องตรวจกระเพาะให้ แต่หมอไม่แนะนำ เพราะเป็นการตรวจสุขภาพที่เกินความจำเป็นและสิ้นเปลืองเงินทองเปล่าๆ ซึ่งเมื่อตรวจจริง ๆ แล้วส่วนใหญ่จะไม่พบอาการผิดปกติ อย่างมากจะพบแค่แผลหรือรอยแผลเล็กน้อยเท่านั้น”

    โรคกระเพาะหรือมะเร็ง

    ปวดหนักได้ใจเพราะไลฟ์สไตล์สุดโต่ง

    คำถามคือ เพราะอะไรผู้ป่วยจึงมีอาการรุนแรงมาก จนทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าจะป่วยเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร คุณหมอธเนศอธิบายว่า

    “อาการเจ็บปวดของผู้ป่วยแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการรับรู้เฉพาะบุคคล บางคนมีแผลเล็กมาก แต่บอกว่าปวดจน ทนไม่ไหว ขณะที่บางคนแผลใหญ่มาก แต่บอกว่ารู้สึกปวดเล็กน้อย และสิ่งสำคัญคือ พฤติกรรมประจำวัน ถ้ายิ่งกิน เหล้า สูบบุหรี่ กินอาหารไม่ตรงเวลา กินรสจัด และมีความเครียด โดยเฉพาะเครียดว่าตัวเองจะป่วยเป็นโรคร้ายแรงมากกว่ากระเพาะอาหารแล้วด้วย แน่นอนว่าจะทำให้อาการป่วยรุนแรงขึ้น และเป็นวัฏจักรไม่มีวันจบสิ้น”

    โรคกระเพาะหรือมะเร็ง

    ถึงอย่างนั้นเทคโนโลยีการตรวจคัดกรอง เช่น การส่องกล้อง หรือกลืนแป้งแบเรียมซัลเฟตตรวจกระเพาะอาหารก็มีความ จำเป็นในผู้ป่วยบางคน คุณหมอธเนศอธิบายว่า

    “เราจะส่องกล้องหรือกลืนแป้งเพื่อตรวจกระเพาะอาหารให้ ผู้ป่วยซึ่งต้องสงสัยว่าจะเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ผู้ป่วย จะมีอาการต้องสงสัยดังนี้

    1. น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
    2. เบื่ออาหารเรื้อรัง
    3. การขับถ่ายผิดปกติ อุจจาระมีสีดำหรือ มีเลือดปน
    4. อาเจียนเป็นเลือด
    5. มีภาวะกลืนลำบาก

    ถ้ามี อาการเหล่านี้ หมอจะแนะนำให้ส่องกล้องหรือกลืนแป้งแล้วแต่ กรณี”

    หากไม่อยากป่วยเป็นทั้งโรคกระเพาะอาหารหรือมะเร็ง กระเพาะอาหารจึงควรหาทางป้องกันเสียแต่เนิ่น ๆ คุณหมอธเนศแนะนำว่า

    “เราควรเลิกพฤติกรรมก่อโรค เช่น กินเหล้า สูบบุหรี่ และกินอาหารให้ตรงเวลา ไม่เน้นรสจัด ส่วนเรื่องความเครียด เป็นเรื่องทำยากสักหน่อย แต่สามารถทำได้ โดยหนึ่งวันต้องจัดสรรเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อน อาจจะสัก 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง โดยเลือกกิจกรรมที่ตัวเองชอบ เช่น ออกกำลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง สวดมนต์ ทำสมาธิ เพื่อให้ตัวเองได้ผ่อนคลายจริง ๆ “

    หลังจากอ่านบทความนี้จบ เย็นนี้หาเวลาผ่อนคลายความเครียด แล้วจะค้นพบว่าร่างกายและจิตใจแข็งแรงขึ้น ซึ่งจะเป็นปราการป้องกันทั้งมะเร็งและกระเพาะอาหารได้แน่นอนค่ะ [

    ตำรับยาแก้โรคกระเพาะและกรดไหลย้อน

    อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต แนะนำตำรับยาที่ช่วยแก้อาการของโรคระบบทางเดินอาหาร เช่น กระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน ลำไส้แปรปรวน ดังนี้

    1. กินยาธาตุบรรจบ ครั้งละ 5 เม็ด 2 ครั้ง เช้า-เย็น
    2. กินขมิ้นชัน ครั้งละ 3 เม็ด 2 ครั้ง เช้า-เย็น

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    10 วิธี ดูแลจิตใจ เจอหนักแค่ไหนก็เอาอยู่

    10 เรื่องเกี่ยวกับความคิดที่สำคัญสุดๆ แต่แทบไม่มีใครรู้!!! โดยคุณพศิน อินทรวงค์

    เทคนิคสุดเวิร์ค แก้ปวดขาและตะคริว หลังออกกำลังกาย

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ป่วยบ่อย

    ป่วยบ่อย ป้องกันได้ ถ้ามี “ภูมิชีวิต”

    ป่วยบ่อย คำนี้เชื่อว่าเป็นคำที่หลายคนรำคาญ กังวล รวมถึงอยากหลีหนีให้ห่าง เพราะหากป่วยบ่อยๆ ผลเสียตามมามากมาย ไม่ว่าจะในวัยเล่าเรียนที่อาจเรียนไม่ทันเพื่อน ในวัยทำงานยิ่งแล้วใหญ่ ที่อาจส่งผลต่อความมั่นคงในการทำงานได้เลยทีเดียว วันนี้ชีวจิตจึงชวนทุกคนมาสร้าง “ภูมิชีวิต” เพื่อป้องกันการ ป่วยบ่อยกันค่ะ

    ภูมิชีวิต คำนี้ ดร.สาทิส อินทรกำแหง กูรูชีวจิต ได้เขียนบบทความที่อธิบายความหมายและความสำคัญของภูมิชีวิต หรือ Immune System-IS (อิมมูน ซิสเต็ม) ไว้อย่างดีในหนังสือหลายๆเล่ม เช่น “เรื่องของภูมิชีวิต” “มะเร็งแห่งชีวิต” ของสำนักพิมพ์ในเครืออมรินทร์ กรุ๊ป เป็นต้น แอดจึงขอนำมาให้ทุกคนทำความเข้าใจ และนำไปปรับใช้ เพื่อลดการ ป่วยบ่อย นั่นเองค่ะ

    ธรรมชาติมอบ IS มาตั้งแต่เกิด ป้องกัน ป่วยบ่อย

    แม้จะเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า เด็กเล็ก โดยเฉพาะในวัยเริ่มเข้าเรียนนั่นป่วยบ่อย และติดต่อกันแสนง่ายดาย จนพาลคิดกันไปว่า หรือเด็กวัยนี้จะไม่มีภูมิชีวิต แต่แท้ที่จริงแล้ว ธรรมชาติมอบภูมิชีวิต (ที่ต่อไปนี้แอดขอเขียนสั้นๆ ว่า IS นะคะ)

    ธรรมชาติให้ ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด อีกทั้งยังสมบูรณ์และมีความจำเป็น ไม่มีขาด ไม่มีเกิน แลไม่มีส่วนประกอบใดเลยของ IS ที่ธรรมชาติให้มาโดยบังเอิญ เช่น “ไส้ติ่ง” ที่เราคิดว่ามีไว้ก็เป็นภาระ แต่ในปัจจุบันมีการศึกษาว่าไส้ติ่งอาจมีหน้าที่ในการช่วยย่อยสลายเซลลูโลสในอาหารที่มีใยอาหารสูง รวมถึงมีบทบาทในการสร้างภูมิคุ้มกัน

    การรักษาดูแลสุขภาพต้องพึ่ง IS แม้ Immunology (ระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันไม่ให้ร่างกายป่วยบ่อย) จะเข้าใจยาก แต่เราไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญเรื่องนี้ก็มีสุขภาพที่ดีได้ เหมือนดังเราไม่จำเป็นต้องรู้ระบบภายในของสมาร์ทโฟนว่าทำงานอย่างไร มีกลไททางเทคนิด / อิเล็กทรอนิกส์ อย่างไร Internal Circuity ถูกออกแบบมาอย่างไร ขอให้เราเข้าใจวิธีใช้ /วิธีดูแลเท่านั้น ก็สามารถนำสมาร์ทโฟนมาใช้ประโยชน์ได้แล้ว

    รู้จักระบบ IS

    IS แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ

    1. ระบบต่างๆ ของร่างกายที่ต้องทำงานร่วมกัน เช่น ระบบประสาท ระบบหายใจ ระบบเลือด ระบบย่อย เป็นต้น
    2. ต่อมต่างๆ ที่ทำหน้าที่ป้องกัน และควบคุมเชื้อโรค ที่เข้ามาในร่างกาย ได้แก่ ทอนซิล อดีนอยด์ไทมัส ต่อมน้ำเหลือง ม้าม ไส้ติ่ง ไขกระดูก Peyer’s Patches ต่อมต่างๆ นี้ สร้าง Lymphocytes, Phagocytes, Macrophages, Monocytes, B Cells, T Cells, Antibodies และอื่นๆ ซึ่งก็คือ กลุ่มเซลล์เม็ดเลือดขาว (Leukocytes) นั่นเอง
    3. ต่อมต่างๆ ในสมองที่สร้างฮอร์โมน (Hormones) เช่น ไฮโปทาลามัส พิทูอิทารี ไพเนียล และส่วนที่เรียกว่า”จิต” (Mind) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมอง อารมณ์ ความรู้สึกเศร้า ความเครียด ความคิดบวก คิดลบ

    ความเข้าใจเรื่องผลกระทบต่อสุขภาพอันเนื่องมาจากจิต อารมณ์ ความคิด ยังคงต้องมีการศึกษาอีกมาก ขอยกตัวอย่าง
    กรณีผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งไต ที่กลุ่มชีวจิตได้พบเจอมาจำนวนมากนั้น เรายังสรุปไม่ได้ว่ามะเร็งประเภทนี้ เป็นเหตุสำคัญ หรือมีปัจจัยการเกิดโรคจากความคิด ความรู้สึกด้านลบ แต่โดยสรุปคือ
    ทั้งสามกลุ่มนี้ทำงานร่วมกัน พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โดยมีศูนย์บัญชาการคือสมองและฮอร์โมน

    ป่วยบ่อย

    เพื่อปกป้องร่างกาย IS ต้องทำงานตลอดเวลา เพราะร่างกายเราต้องผจญกับเชื้อโรคมากมาย ร่างกายจึงเตรียมตัวที่จะรักษาตัวเองอยู่เสมอ ผ่าน Healing Power เช่น เลือดออกจากแผลมีดบาด ร่างกายจะสร้างเกร็ดเลือดเพื่อปิดบาดแผล ไม่ให้เลือดออกมามากเกินไป จนเป็นอันตรายกับสุขภาพ และสุดท้ายแล้วแผลก็จะค่อย ๆ หายไป

    อาจารย์สาทิสจึงได้กล่าวไว้ว่า “ถ้าภูมิชีวิตดี เราก็ไม่ป่วย ถ้าเราป่วย แสดงว่าภูมิชีวิตของเราไม่ดี”

    หน้าที่ของ IS นั้นครอบคลุมตั้งแต่การรักษาตัวของตัวเองเมื่อมีโรคเกิดขึ้น การปราบปรามเชื้อโรคที่เข้ามา หรือเกิดขึ้นในร่างกาย การสร้างบำรุงพละกำลังร่างกายและจิตใจให้ทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์

    ไม่อยาก ป่วยบ่อย IS ต้องดี

    การดูแลรักษา IS ของเราให้แข็งแรงมีหลายวิธี คือ

    • ไม่เอาท็อกซินจากภายนอกเข้ามาสู่ร่างกาย
    • ไม่สร้างท็อกซินให้เกิดขึ้นภายในร่างกาย
    • เอาท็อกซินที่มีอยู่ออกจากร่างกาย เช่นการ ขับเหงื่อ เป็นต้น
    • นอนให้หลับลึก / หลับสนิท
    • ทำสมาธิในระดับที่สามารถรู้ถึงกระแสสั่นสะเทือน
    • เพิ่มวิตามิน แร่ธาตุที่จำเป็น

    ขอยกตัวอย่าง แร่ธาตุและวิตามินที่สำคัญต่อร่างกายที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของ IS เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม สังกะสี ซีลีเนียม วิตามินซี บี บี 1 บี 6 บี 12 ไนอะซิน (บี 3) เป็น แร่ธาตุและวิตามินเหล่านี้มีในอาหารที่ดีกับสุขภาพอยู่แล้ว (แต่หากจะหาวิตามินเสริม ควรปรึกษาแพทย์หรือเกสัชกรหรือนักโภชนากร มิฉะนั้นอาจจะเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์)

    เหมาะกับใคร

    การใช้ IS ที่แข็งแรงมาดูแลสุขภาพนั้น เหมาะมาก ๆ ที่จะใช้เป็น หรือการดูแล สุขภาพเชิงป้องกัน อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ของกลุ่มชีวจิต สรุปได้ว่า ในกรณีที่ผู้ป่วยที่ใช้การรักษาแผนปัจจุบันเป็นหลักและใช้แบบทางเลือกควบคู่ไปด้วยจะเพิ่มผลสำเร็จในการรักษา ทั้งเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วย เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาแผนปัจจุบันแต่เพียงอย่างเดียว

    ที่มา นิตยสารชีวจิต ฉบับ 551

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    4 ผักพื้นบ้าน ป้องกันโรคความจำเสื่อม

    เทคนิคกินอาหาร ป้องกันโรคเส้นเลือดในสมองตีบ แตก ก่อนวัย

    ชีวจิต ชวนรู้จัก 6 สมุนไพร ป้องกันโรค NCDs

    ติดตามชีวจิตได้ที่ :

    Facebook : นิตยสารชีวจิต
    Instagram : Cheewajitmedia
    TikTok : cheewajitmediaofficial

    แก้ปวดขาและตะคริว

    เทคนิคสุดเวิร์ค แก้ปวดขาและตะคริว หลังออกกำลังกาย

    เทคนิคสุดเวิร์ค แก้ปวดขาและตะคริว หลังออกกำลังกาย

    ออกกำลังกายแล้ว เกร็ง ๆ ปวด ๆ เรามีเทคนิค แก้ปวดขาและตะคริว หลังออกกำลังกาย มาฝากค่ะ โดยวันนี้เราจะขอเล่าวิธีแก้อาการเจ็บกล้ามเนื้อ ปวดขาเป็นตะคริว หรือปวดเมื่อยที่หลังและต้นคอ ซึ่งเป็นวิธีแก้ปวดที่ อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต มาบอกต่อค่ะ

    ปวดขา ปวดน่อง

    เรื่องปวดขา แบบนี้อยู่เฉย ๆ มันเกิดขึ้นเองไม่ค่อยมีหรอกครับ ฉะนั้นการปวดขาแบบนี้(โดยเฉพาะที่น่อง) มักจะเกิดจากการเดิน การวิ่ง และการออกกำลังกาย

    วิธีแก้ถ้าว่าตามหลักแพทย์ด้านกีฬาหรือด้านกระดูก อยู่ ๆ ปวดขึ้นมาปุบปับ เพราะออกกำลังกาย ท่านจะสั่งให้พัก ให้หยุดเคลื่อนไหว หรือหยุดออกกำลังกายแบบนั้นทันที และท่านมักจะบอกอีกว่า ให้พักนาน ๆ อย่าออกแรงอีกอย่างน้อย หนึ่งหรือสองอาทิตย์

    ถ้ามาถามผม ผมจะบอกว่าไม่ควรหยุด แต่ควรทำต่อไป อย่างเบา ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วเมื่อส่วนของร่างกายที่เจ็บหรืออักเสบค่อยยังชั่ว จึงทำให้มากขึ้น จนกระทั่งถึงระดับที่เป็นการออกกำลังเต็มที่

    ที่กล้าแนะนำอย่างนี้ เพราะเห็นว่าระบบของร่างกาย โดยเฉพาะระบบที่เกี่ยวกับข้อต่อและกล้ามเนื้อนั้น ก็เหมือนกับการฝึกม้า ม้าดีอยากจะให้เป็นม้าแข่งระดับแชมป์ ต้องฝึกหนักให้ เข้มแข็งและอดทน

    แต่การฝึกเช่นนี้ต้องควบคู่ไปกับเรื่องของความพอดีด้วย ม้าดี ๆ ที่วิ่งได้ขนาด 20 กิโลเมตรต่อหนึ่งชั่วโมง เราฝึกให้วิ่งได้ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไม่ยากนัก และจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอีกทีละน้อย จนถึง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ยังทำได้ แต่อยู่ ๆ จะให้วิ่งได้พรวดพราดถึง 100 หรือ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้น เกินความพอดี ทำไม่ได้ ม้าจะตายเสียก่อน

    ที่กล้าพูดอย่างนี้ ได้ความรู้จากวิธีปฏิบัติจริง ๆ จากกลุ่มผู้รำกระบองแบบชีวจิตซึ่งขณะนี้มีกลุ่มรำกระบองหลายสิบกลุ่มในหลาย ๆ จังหวัด

    หลายคนเมื่อเริ่มหัดรำกระบอง รีบร้อนอยากจะให้รำเป็นและรำเก่งมากเกินไป ปรากฏว่ารำไปได้ไม่เท่าไร เจ็บขาเจ็บแขนหรือปวดหลัง บางคนเป็นลมไปเลยก็มี อย่างเช่น รำท่า “ไหว้พระอาทิตย์” ซึ่งจะต้องยืนขาตรง เข่าตรงแล้วแอ่นหลัง บางทีแอ่นจนเกือบจะหงายไปครึ่งตัว คนไม่เคยทำมาก่อนเลย แต่จะทำให้เก่งเท่าเพื่อน ๆ ที่เขารำเก่งแล้ว ก็เลยหงายหลังเป็นลมไปเลย (ไม่ต้องกลัว เราจะเน้นให้รำบนสนามหญ้า และมีพี่เลี้ยงคอยดูแลกำกับ ล้มลงไปก็ไม่มีอันตราย)

    อุบัติเหตุเบา ๆ อย่างนี้ทำให้หลายคนขยาดเรื่อง การรำกระบอง ทำได้วันแรก วันต่อมาก็หายไปเลย ไม่ ผมจะตามตัวมา แนะนำว่าอย่าได้หยุด แม้จะ เจ็บหลังก็ให้ค่อยๆทำต่อไป เบาๆและช้าๆ เจ็บมาก เมื่อไรก็หยุดเมื่อนั้น วันต่อไปให้ทำอีก (พี่เลี้ยงต้องคอยคุมอยู่) เมื่อ ทำได้จึงค่อยๆเพิ่มท่ารำให้มากขึ้นๆ ๆ จนในที่สุดก็รำได้ เก่งเหมือนพี่เลี้ยง หลายคนเมื่อทำได้แล้วก็สมัครเป็น พี่เลี้ยงเสียเอง กลุ่มรำกระบองเราจึงขยายกลุ่มออกไป หลาย ๆ กลุ่มเพราะการหัดรำกระบองแบบนี้ ฉะนั้น หลักง่ายๆ ถ้าเจ็บขา ปวดหลัง เราจะ ไม่แนะนำให้หยุดเคลื่อนไหว แต่แนะนำให้ทำซ้ำ โดยทำทีละน้อยและเพิ่มให้มากขึ้นในครั้งต่อมา อาการปวดก็หายสนิท

    เรามีหลักฐานแน่นอนว่า หลายคนหายเจ็บหลัง หายปวดขา เพราะการที่ได้ทำซ้ำ ๆ ทำแต่พอดีเหมาะกับสภาพร่างกาย ในขณะเดียวกันกับที่เจ็บปวดเพราะอุบัติเหตุ หรือเพราะทำเกินกำลังเช่นนี้ เราจะสอนวิธีบำบัดความปวดด้วยการนวดผ่อนคลาย นวดกดจุด และนวดผสมผสานแบบชีวจิตด้วย ร่วมกับการประคบด้วยน้ำเย็นหรือน้ำแข็ง หรือในบางครั้งก็แถมเรื่องการฝังเข็มให้ด้วย

    การประคบ

    ขอยืนยันว่า เวลาเกิดอุบัติเหตุ เจ็บปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดหลังเช่นนี้ การประคบให้ใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็งประคบจะดีที่สุด น้ำแข็งจะช่วยให้การอักเสบ การเจ็บ การบวม ทุเลาลงอย่างรวดเร็ว และก่อนที่จะนวดหรือประคบ ขอแนะนำให้กินยา แก้ปวดเบา ๆ เช่น พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน ครั้งละ 1 เม็ด ก่อนนวดประคบ ก็จะช่วยให้การปวดอักเสบดีขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

    สรุป ขอให้ออกกำลังกายซ้ำท่าเดิมเบา ๆ พอดี ๆ ผสมกับการนวดและประคบด้วยน้ำแข็ง และก่อนการนวดประคบกินยาแก้ปวด 1 เม็ด สูตรง่าย ๆ แค่นี้น่าจะช่วยแก้การเจ็บการปวดได้

    แก้ปวดขาและตะคริว

    ปวดตะคริว

    เรื่องตะคริวนี้คงจะรู้จักกันแล้วแทบทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มวัยหนุ่มสาวที่ชอบออกกำลัง ตะคริว คือ การปวดของกล้ามเนื้อท่อนยาว โดยเฉพาะบริเวณขาและน่อง บางคนบริเวณกระดูกยาว ๆ เล็ก ๆ ยังเป็นตะคริวบ่อย ๆ ก็มี อย่างเช่น กำลังเขียนหนังสือ หรือบางทีกำลังนั่งเหยียดขาอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ดี ๆ นิ้วมือแข็งหรือนิ้วเท้าแข็งปวด จนเกือบน้ำตาไหล บางครั้งกำลังออกกำลังกายเต็มที่ วิ่งอย่างเร็ว เตะฟุตบอล เตะชกกระสอบทราย อยู่ ๆ กล้ามเนื้อ ที่น่องหรือบริเวณข้อพับใต้เข่าเกิดเกร็งแข็งขึ้นมาเฉย ๆ ปวดบริเวณที่แข็งจนกระทั่งเคลื่อนไหวไม่ได้ ประเภทนี้มักจะเป็นเพราะออกแรงมากเกินไป เหงื่อไหลโชม เกลือแร่ไหลออกมากับเหงื่อมากเกินไป กล้ามเนื้อจึงเกิดกระตุกเกร็ง ปวดจนทนไม่ไหว

    กรณีอย่างนี้ นวดบริเวณที่ปวดจะช่วยได้มาก ควรเป็นการนวดผ่อนคลาย เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อหย่อน แล้วกระแสเลือดจะวิ่งไปตามบริเวณกล้ามเนื้อ ช่วยคลายการเกร็งและการปวดได้

    ในหลายกรณี เราไม่ได้ออกกำลังกายอะไร นอนหลับสบายอยู่ในห้องแอร์ อยู่ ๆ น่องเกิดแข็งเกร็งหรือปลายเท้า ข้อเท้าแข็งและเกร็งอีกเช่นกัน นั่นก็คือ ตะคริวและมักจะเป็นบ่อยเหมือนกับว่า พอนอนสบาย ๆ ก็จะต้องเป็นตะคริวทันที

    กรณีอย่างนี้ให้สังเกตว่า ห้องของคุณเย็นเกินไปหรือเปล่า หรือช่องแอร์เป้าตรงมาที่ร่างกายของคุณโดยตรงหรือเปล่า บางคนไม่ได้นอนห้องแอร์ มีแต่พัดลม แต่พัดลมพัดตรงที่ร่างกายตลอดเวลาก็ทำให้เป็นตะคริวได้เหมือนกัน

    ก็ขอแนะนำว่า ให้ใช้วิธีนวดผ่อนคลายบริเวณที่ปวด กรณีที่เป็นตะคริวแบบนี้ ใช้น้ำร้อนหรือน้ำอุ่นประคบจะได้ผลดีกว่า

    จำไว้ว่า ปวดกระดูกข้อต่อและกล้ามเนื้อ ใช้น้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบ ปวดตะคริวใช้ น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนประคบ

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    วิธีแก้ปวดหลัง แบบไม่พึ่งยา แค่ออกกำลังกายเอง

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

    มหัศจรรย์แห่ง การเดิน แรงกระแทกต่ำ ทำได้ทุกคน

    บอกต่อวิธีชะลอวัย 1. เร่งเมแทบอลิซึม 2. เร่งขับพิษ เพื่อสุขภาพดี

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ความเครียด

    รู้จัก รับมือได้ ก่อน ป่วยจากความเครียด จะทำสุขภาพพัง

    ผู้กำกับซีรีส์ Squid game เผย “ผมสูญเสียฟันไป 9 ซี่ ระหว่างถ่ายทำสควิดเกม” ความสำเร็จของซีรีส์นั้นต้องแลกมาด้วยสุขภาพของเขา โดยเฉพาะปัญหาสุขภาพช่องปากที่รุนแรงที่เกิดจาก ความเครียด ความกดดันในการทำซีรีส์ Squid Game แต่ ป่วยจากความเครียด ไม่ได้มีเพียงแค่นี้ ความเครียดจะทำให้เกิดอาการอะไรได้อีก เรามาดูกันค่ะ

    ป่วยจากความเครียด

    ความเครียด ไม่เพียงแต่ส่งกระทบต่อจิตใจแต่ยังส่งผลต่อสุขภาพกาย โรคที่มาจากความเครียดในทุกๆ วัน ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอร์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นและแอคทีฟในทุกเช้า และฮอร์โมนนี้จะลดลงในช่วงเย็น ซึ่งเป็นที่มาของอาการหมดแรง อยากพักนั่นเอง แต่หากว่าเกิดความเครียดขึ้น ร่างกายก็จะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอร์ออกมามากกว่าปกติ

    ฮอร์โมนคอร์ติซอล ขึ้นชื่อว่าเป็นฮอร์โมนแห่งการทำลายล้าง เพราะเป็นฮอร์โมนที่ส่งให้หัวใจเต้นเร็ว กระตุ้นความดันโลหิตให้ขึ้นสูง ถ้าหากว่าร่างกายของหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมาเรื่อยๆ ระบบต่างในร่างกายจะไม่ได้พัก จะทำให้เกิดอาการป่วยต่างๆ

    ความเครียดกับปัญหาสุขภาพ

    ป่วยจากความเครียด

    พญ.ประวีณ์นุช เพ็ญภาสกานต์  จิตแพทย์ชำนาญการด้านจิตเวช (ผู้ใหญ่) โรงพยาบาล นนทเวช ได้กล่าวถึงความเครียดไว้ว่าความเครียดส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพร่างกาย โดยเฉพาะเมื่อเกิดความเครียดสะสมในระยะยาว ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนและคอร์ติซอล ซึ่งทำให้ระบบประสาทและภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติอาจส่งผลกระทบไปสู่ภาวะกัดฟันหรือ “Bruxism” ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพช่องปาก นอกจากนี้ความเครียดยังรบกวนสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย เช่น เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ทำให้เกิดปัญหาประจำเดือนผิดปกติ สุขภาพผิวพรรณแย่ลง และระบบเผาผลาญที่เปลี่ยนไปจนส่งผลต่อการเพิ่มหรือลดน้ำหนักโดยไม่ปกติอาการที่ตามมาจากความเครียดมีหลากหลาย ตั้งแต่ผมร่วง ปัสสาวะบ่อย ปวดท้อง ไปจนถึงปัญหาการนอนหลับ

    สัญญาณเตือนความเครียดเรื้อรัง ก่อน ป่วยจากความเครียด

    สัญญาณเตือนที่พึงระวังคือการนอนไม่หลับ หรือหลับยาก ใจสั่นง่าย หรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง เช่น การหมดสนุกกับกิจกรรมที่เคยชอบ และการลดลงของสมาธิ ซึ่งกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับความเครียดเรื้อรัง หากไม่ได้รับการจัดการ อาจนำไปสู่การสูญเสียสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ส่งผลต่อสุขภาพจิต เช่น ความซึมเศร้า หรือความรู้สึกคุณค่าต่ำในตัวเอง รวมถึงกระตุ้นให้เกิดความคิดในแง่ลบซ้ำ ๆ ความหวาดระแวงและความวิตกกังวลเรื้อรัง

    ป่วยจากความเครียด

    ประโยชน์ของความเครียด

    ความเครียดไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป หากเกิดความเครียดในระดับที่เหมาะสม สามารถช่วยให้เราจัดลำดับความสำคัญและตัดสินใจได้ดีขึ้น อีกทั้งช่วยเพิ่มสมาธิในการทำงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ แต่หากความเครียดเริ่มเกินความสามารถในการจัดการ สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตตัวเองและปรับพฤติกรรม เช่น การผ่อนคลายด้วยกิจกรรมที่ชอบ การออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพพื้นฐาน หากยังคงจัดการไม่ได้ การพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเช่น จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา ก็เป็นอีกทางเลือกที่สำคัญ

    สุดท้ายการเผชิญหน้ากับปัญหาความเครียดควรเริ่มจากการกลับมาสังเกตตัวเองและทำความเข้าใจกับความรู้สึกของตนเอง รวมถึงอย่ากลัวที่จะพูดคุยหรือขอความช่วยเหลือจากคนรอบตัว การจัดการปัญหาความเครียดตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันผลกระทบระยะยาวต่อทั้งสุขภาพกายและใจ ช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสมดุลและมีความสุขมากยิ่งขึ้น

    กินอย่างไรให้ห่างไกลความเครียด

    ผักและผลไม้สด 

    เป็นกลุ่มอาหารอันดับต้นๆ ที่สามารถลดความเครียดได้ โดยเฉพาะกลุ่มวิตามินบีและแมกนีเซียมที่ช่วยบํารุงประสาทและสมอง ทําให้รู้สึกผ่อนคลาย อย่างเช่น กล้วย ที่นอกจากมีวิตามินข้างต้นแล้ว ยังมีส่วนประกอบทริปโตฟาน โปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายจะเปลี่ยนให้เป็น เซโรโทนิน ที่ช่วยเสริมอารมณ์ให้รู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย หรือเลือกทานผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ก็จะช่วยลดฮอร์โมนความเครียดลงได้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ส้ม ฝรั่ง มะนาว ใบตําลึง เป็นต้น

    คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน

    ก็ช่วยลดความเครียดได้ อาทิ ข้าวกล้อง ลูกเดือย เผือก มันเทศ ฟักทอง ซึ่งมีส่วนช่วยให้สมองหลั่งสารสื่อประสาทชื่อเซโรโทนินที่ทําให้สามารถควบคุมอารมณ์ ลดความวิตกกังวล ลดความโกรธและซึมเศร้า และช่วยทําให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ทำให้อารมณ์ไม่แปรปรวน

    ดาร์กช็อกโกแลต

    ดาร์กช็อกโกแลตในที่นี้คือ มีส่วนผสมของช็อกโกแลตมากกว่า  90% โดยดาร์กช็อกโกแลตสามารถลดความเครียดได้ มีงานวิจัยพบว่าการกินดาร์กช็อกโกแลตวันละ 42 กรัม เป็นเวลา 2 สัปดาห์ จะช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่เป็นฮอร์โมนเครียดลงได้ นอกจากนี้ดาร์กช็อกโกแลตยังช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่มีข้อระวัง หากกินมากเกินไป ให้ระวังปริมาณของน้ำตาล กินก็เยอะไม่ดีค่ะ

    เห็ดชิตาเกะ

    หรือก็คือ เห็ดหอม ที่เราคุ้นเคยกันนั่นเอง ถือได้ว่าเป็นเห็ดที่มีสารอาหารมากกว่าเห็ดสีขาวทั่ว ๆ ไป โดยสารอาหารที่มีมากที่สุด คือ วิตามินบี 6 รวมถึงวิตามินบีชนิดอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้เรารู้สึกดี มีพลัง เนื่องจากเป็นตัวผลิตสารซีโรโทนิน และนิวโรทรานส์มิตเตอร์ต่าง ๆ

    แซลมอนสุก

    แซลมอนสุกมีสารอาหารเด็ดสองชนิดด้วยกัน คือ โอเมก้า-3 ซึ่งเป็นสารอาหารที่ดีที่สุดในการบำรุงมอง ช่วยปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ และสารอาหารอีกชนิดก็คือ วิตามินบี 12 ช่วยให้บู๊สต์พลัง ทำให้ร่างกายตื่นตัวมากขึ้นด้วยค่ะ

    ที่มา : พญ.ประวีณ์นุช เพ็ญภาสกานต์  จิตแพทย์ชำนาญการด้านจิตเวช (ผู้ใหญ่) โรงพยาบาล นนทเวช

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    “ความเครียด” ภัยเงียบ กระตุ้นเบาหวาน

    7 เทคนิค ลดความเครียด ปล่อยวางความคิด

    กำจัด ความเครียด ปรับสมดุลฮอร์โมนคอร์ติซอร์

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Facebook : นิตยสารชีวจิต
    Instagram : Cheewajitmedia
    TikTok : cheewajitmediaofficial

    Posted in MIND
    BACK
    TO TOP
    Riya
    Writer
    ชาสมุนไพร

    ชวนดื่ม ชาสมุนไพร ต้อนรับปีใหม่ ช่วยปรับสมดุลร่างกายและอารมณ์

    ดื่มชาสมุนไพร ต้อนรับปีใหม่ ช่วยปรับสมดุลร่างกาย

    ชาสมุนไพร เป็นอีกเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน เพราะทั้งดื่มแทนกาแฟ และยังช่วยเพิ่มความสดชื่น บํารุงร่างกายไปได้ในตัว ตามประเภทของชาแต่ละชนิด ที่มากไปกว่านั้นยังมีสรรพคุณทางยา บทความนี้ ชีวจิต รวบรวม 6 ชาสมุนไพร ที่น่าดื่ม ต้อนรับปีใหม่ มาฝากกัน

    และหากใครอยากเลิกดื่มกาแฟ หันมาดื่มชาสมุนไพร แต่ยังทำไม่ได้ อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง แนะนําให้ค่อยๆ ลดปริมาณกาแฟทีละน้อยเช่นหากปกติดื่มวันละ 4 ถ้วยให้เริ่มลดลงครึ่งหนึ่งก่อนจาก 4 ถ้วยเป็น 2 ถ้วยและค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ จนเหลือ 1ถ้วยหรือจนกว่าจะหยุดได้นั่นเอง เพราะการหยุดทันทีอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ หงุดหงิดได้

    ชาขิง, ชาสมุนไพร

    ดื่มชาขิง เมื่อรู้สึกไม่สบาย

    ชาขิง ตัวช่วยรักษาอาการไข้หวัด คัดจมูก และอาการไอ โดยฤทธิ์ร้อนของขิงจะช่วยทำให้ระบบท้องของเราดีขึ้น ซึ่งเราสามารถเติมน้ำผึ้งนิดหน่อยจะช่วยทำให้หายเจ็บคอได้อีกอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ใช้ขิงแก่ต้มน้ำจนเดือด ดื่มแก้ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว ในกระเพาะมีกรดมาก

    ดื่มชาตะไคร้ เมื่อรู้สึกเศร้า

    สมุนไพรที่หาง่าย ราคาถูกสามารถนำมาหั่นเป็นแว่นชงน้ำดื่ม ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา และชาตะไคร้ยังช่วยลดความเครียดได้อีกด้วย ข้อมูลจากพญ.ดวงรัตน์ เชี่ยวชาญวิทย์ จากโรงพยาบาล บางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก ที่โดดเด่นด้านการรักษาโรคด้วยสมุนไพร กล่าวว่าตะไคร้ มีน้ำมันหอมระเหยที่ช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ นอกจากนี้ยัง ช่วยผ่อนคลาย ทําให้นอนหลับได้ดี บํารุงสมอง

    แต่ข้อควรระวัง ผู้ที่ตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคตะไคร้ เนื่องจากตะไคร้อาจกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในการเกิดประจำเดือน ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแท้งได้

    ดื่มชาเก๋ากี้ ซานจา เมื่ออยากลดน้ำตาลในเลือด เพิ่มพลังร่างกาย

    ชาตำรับนี้เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานขึ้นตา โดยเก๋ากี้ โกจิเบอร์รี่ จะช่วยบำรุงตับ บำรุงไต ส่วนซานจาบำรุงม้าม กระเพาะอาหาร วิธีชงคือ ใส่เก๋ากี้และซานจาอย่างละเท่าๆ กัน ชงกับน้ำร้อน ดื่มเพื่อควบคุมระดับน้ำตาล

    จะสังเกตได้ว่าชาและอาหารที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือดจะมีรสเปรี้ยวและขม ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีปัญจธาตุที่มีเรื่องสีและรสที่สังกัดเข้ามาเกี่ยวข้อง รสขมนั้นมีฤทธิ์เย็น จึงช่วยลดความร้อน ส่วนรสเปรี้ยวจะช่วยระบายตับที่อุดกั้นได้อีกด้วยนะ

    ชาดอกคำฝอย, สมุนไพร, ลดระดับคอเลสเตอรอล
    ชาดอกคำฝอย ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล

    ดื่มชาดอกคำฝอย เมื่ออยากลดระดับคอเลสเตอรอล

    ดอกคำฝอย มีสารสีเหลืองส้ม และมีรายงานวิจัยระบุว่า น้ำมันดอกคำฝอยสามารถป้องกันไม่ให้ระดับคอเลสเตอรอลสูงและป้องกันการอุดตันของไขมันในเส้นเลือดได้ วิธีกิน ใช้ดอกแห้งปริมาณ 1 หยิบมือ ต้มหรือชงกับน้ำเดือด แล้วดื่มได้เลย แต่ข้อควรระวังการใช้น้ำมันดอกคำฝอย อาจชะลอการแข็งตัวของเลือด ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ ผู้ที่มีภาวะเลือดออกมากผิดปกติ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร เพราะจะทำให้เลือดออกมากขึ้นกว่าเดิมได้นั่นเอง

    ชาเลมอน, ช่วยดีท็อกซ์, ชาสมุนไพร,

    ดื่มชาเลมอน เมื่ออยากดีท็อกซ์

    อีกหนึ่งเครื่องดื่มสุดพิเศษช่วยดีท็อกซ์ และเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้ระบบย่อยดีขึ้นและสดชื่นโล่งคอและจมูก วิธีทำไม่ยากเลย หาซื้อเลมอน 1 ลูก ผงขมิ้นชัน ครึ่งช้อนชา ผงพริกไทย ครึ่งช้อนชา และน้ำผึ้งอีกครั้งช้อนชา คนให้เข้ากัน เพียงเท่านี้ก็ได้ชาเลมอน ดื่มง่าย สบายท้อง

    ดื่มชาคาโมมายล์ หรือเก๊กฮวย เมื่ออยากนอนหลับง่าย

    ชาคาโมมายล์ และ ชาใบเก๊กฮวย เป็นกลุ่มเครื่องดื่มที่สร้างความผ่อนคลาย เพราะชาดอกคาโมมายล์ อุดมไปด้วย “สารอะพิจีนีน” (Apigenin) ที่มีคุณสมบัติสำคัญ คือ การต้านการอักเสบและช่วยให้รู้สึกสงบ คลายความกังวล รวมถึงช่วยให้หลับสนิทอีกด้วย ลองนำดอกตากแห้งคาโมมายล์สัก 1-2 กรัม ชงจิบอุ่นๆ ก่อนนอนสักถ้วย ก็จะช่วยให้ให้คุณหลับสบายขึ้นไม่น้อย

    ส่วนวิธีทำชาเก๊กฮวย อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต แนะนำเก๊กฮวยตากแห้งชงน้ำร้อนผสมกับดอกมะลิแห้ง (ต้องแน่ใจว่าเป็นมะลิปลอดสารพิษ) ก็จะช่วยให้มีกลิ่นหอมและรสอร่อยขึ้น บํารุงระบบประสาท และหัวใจ

    ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติม
    คอลัมน์หมอจีนประจำบ้าน นิตยสารชีวจิต ฉบับ 462
    สมุนไพรตะไคร้

    ————————————————————————————————————————-

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา

    แสงแดด ของฟรี ดีต่อสุขภาพ

    ประโยชน์ของพริก เป็นยาอายุวัฒนะ ยืดอายุ ลดความเสี่ยงหัวใจ และโรคมะเร็ง 

    นักวิชาการชวนกิน ผักฤทธิ์เย็น เพื่อคลายร้อน

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    โรคเบาหวาน

    “ความเครียด” ภัยเงียบ กระตุ้นเบาหวาน

    รู้หรือไม่ “ความเครียด” คือภัยเงียบที่ กระตุ้นเบาหวาน

    ความเครียดคือ วงจรอันตรายที่วัยรุ่น – วัยทำงานควรระวัง เพราะเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่จะ กระตุ้นเบาหวาน

    เรารู้กันดีว่า ปัจจุบันความเครียดกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนยุคนี้ไปแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน ที่ต้องรับมือกับความเร่งรีบและแรงกดดันมากมาย หลายคนเลือกจัดการความเครียดด้วยการกินของหวาน เช่น ชานม ขนมหวาน ช็อกโกแลต โดนัท เพราะรสชาติอร่อย กินแล้วรู้สึกดี เยียวยาจิตใจ แต่การคลายเครียดด้วยของหวานบ่อย ๆ อาจเป็นพฤติกรรมที่นำไปสู่ “โรคเบาหวาน” ได้เช่นกัน

    สถิติของกรมควบคุมโรคชี้ว่า ในปี 2565 มีคนไทยป่วยเบาหวานสะสมถึง 3.3 ล้านคน และมีผู้ป่วยเบาหวานรายใหม่ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 3 แสนคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วง

    นายแพทย์ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อายุรแพทย์ ผู้ชำนาญการโรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อ และควบคุมน้ำหนัก โรงพยาบาลวิมุต อธิบายเกี่ยวกับลักษณะของโรคเบาหวาน ความเชื่อมโยงระหว่างความเครียดและโรคเบาหวาน พร้อมแนะนำวิธีจัดการความเครียดเพื่อป้องกันความเสียงโรคเบาหวานในระยะยาวไว้ว่า

    “โรคเบาหวานคือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ มีระดับน้ำตาลในเลือดตั้งแต่ 126 มิลลิกรัมต่อ เดซิลิตรขึ้นไป หรือมีค่าน้ำตาลสะสมตั้งแต่ 6.5 เปอร์เซ็นต์ จากการตรวจอย่างน้อย 2 ค่า

    “ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการกระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ บางคนอาจมีภาวะแทรกซ้อนของเบาหวาน เช่น สายตาพร่ามัว มองไม่ชัด มีแผลที่เท้าเรื้อรัง มีอาการชาที่ปลายมือหรือปลายเท้า อ่อนเพลีย หรือผิวแห้งและคัน

    “โรคเบาหวานแบ่งได้หลายแบบ แต่เบื้องต้นเพื่อความ เข้าใจง่าย ขอแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่

    • ชนิดที่ 1 เกิด จากภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์ตับอ่อนที่ผลิตอินซูลิน ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้
    • ชนิดที่ 2 พบในผู้ที่มีน้ำหนักเกินและไขมันในช่องท้องมาก ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน
    • ชนิดที่ 3 เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์เพราะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้
    • ชนิดที่ 4 ชนิดสุดท้ายเกี่ยวข้องกับ พันธุกรรมหรือสาเหตุเฉพาะอื่น ๆ ที่ไม่จัดอยู่ใน 3 ประเภทแรก เช่น การใช้ยา เป็นต้น ส่วนในกลุ่มประวัติครอบครัว ที่มีคนเป็นเบาหวานหรือในกลุ่มผู้สูงอายุนั้นจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานเช่นเดียวกัน

    “นอกจากนี้ ทุกวันนี้คนอายุน้อยก็เป็นโรคเบาหวานกันแล้ว เพราะนิยมกินของหวานเพื่อคลายเครียดและไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย กลายเป็นพฤติกรรมอันตรายที่เพิ่มความเสียงโรคเบาหวาน

    “โรคเบาหวานและความเครียดมีความเชื่อมโยงกันโดยตรง เพราะเมื่อเผชิญความเครียดหลายคนมักหันไปพึ่งของหวาน โดยไม่รู้ตัวว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน และเมื่อป่วยเป็นเบาหวานแล้ว ภาระในการดูแลตัวเองยิ่งหนักขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมอาหาร ออกกำลังกายตามตารางที่แพทย์แนะนำ หรือการกินยาอย่างเคร่งครัดเพื่อควบคุมโรค ซึ่งอาจทำให้เกิดความเครียดสะสม ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า

    “และกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วย มักประสบปัญหาสุขภาพจิตที่อาจส่งผลให้ละเลยการดูแลตนเอง เช่น ขาดแรงจูงใจในการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย หรือ ลืมกินยาบ่อยครั้ง ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นจนเบาหวานกำเริบ รวมถึงอาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ โรคไต หรือโรคหลอดเลือดสมอง กลายเป็นวงจรอันตรายที่ส่งผลร้ายต่อทั้งสุขภาพกายและจิตใจ

    “การกินของหวานไม่ใช่วิธีแก้เครียดเพียงอย่างเดียว เพราะยังมีอีกหลายวิธี เช่น ออกกำลังกาย ดูหนัง เล่นเกม หรือฟังเพลง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นและลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานได้ในระยะยาว

    “แต่ถ้ายังอยากกินของหวานอยู่ ก็ควรจำกัดปริมาณน้ำตาลไม่ให้เกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัมต่อวัน และควรไปตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปีแม้จะอายุน้อยหรือยังไม่มีอาการ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น กินของหวานเป็นประจำ มีประวัติเบาหวานขณะตั้งครรภ์ คนในครอบครัวเป็นเบาหวาน มีน้ำหนักเกิน หรือมีโรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะถ้าตรวจพบเร็วก็จะรักษาได้ทันเวลา

    “ในยุคนี้หลีกเลี่ยงความเครียดได้ยาก โดยเฉพาะในกลุ่มวัยเรียนและคนทำงาน แม้การกินของหวานจะเป็นตัวช่วยที่สะดวกที่สุด แต่ถ้ากินจนติดเป็นนิสัยก็อาจนำไปสู่โรคเบาหวานได้ จึงอยากให้ทุกคนลองผ่อนคลายความเครียด ด้วยวิธีอื่นที่ดีกว่า อาทิ เล่นกีฬา ไปเที่ยวหรือทำกิจกรรมที่ชอบ ส่วนของหวานยังกินได้ แต่ก็ควรลดและกินในปริมาณที่พอดี ที่สำคัญอย่าลืมมาตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ จะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานในอนาคต”

    นายแพทย์ชาญวัฒน์กล่าวทิ้งท้าย

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา

    แสงแดด ของฟรี ดีต่อสุขภาพ

    ประโยชน์ของพริก เป็นยาอายุวัฒนะ ยืดอายุ ลดความเสี่ยงหัวใจ และโรคมะเร็ง 

    นักวิชาการชวนกิน ผักฤทธิ์เย็น เพื่อคลายร้อน

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

    บอกลา 4 ไลฟ์สไตล์ทำให้ น้องสาว อักเสบ

    ดูแล น้องสาว ให้ดีกว่านี้ ก่อนที่จะป่วย!

    โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นโรคฮิตของสาววัยทำงาน นั่นเพราะไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ จนทำให้นั่งติดโต๊ะเป็นเวลานาน และยังมีเรื่องของความสะอาดของ น้องสาว ที่หลายคนเข้าใจผิด ซึ่งเป็นที่มาของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

    ทำไม น้องสาว จึงป่วย?

    สาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบนั้นมาจาก ท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้น มีความยาวเพียง 2 เซนติเมตร ดังนั้น เชื้อโรคจึงเข้าสู่ท่อปัสสาวะ และไต่ขึ้นกระเพาะปัสสาวะได้ง่าย ส่วนใหญ่มักเป็นการอักเสบที่มาจากเชื้อโรคปนเปื้อนทางทวารหนัก เช่น เชื้ออีโคไล หรืออาจมาการติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทำให้เป็นช่องคลอดอักเสบ เชื้อโรคจึงเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะได้ง่าย ส่งผลให้ สาว ๆ ต้องปัสสาวะบ่อย รู้สึกแสบ ขัด ปัสสาวะเป็นเลือด หรือมีหนองปน

    ทั้งนี้ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบไม่ใช่โรคที่รุนแรง แต่จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายตัวขณะปัสสาวะ และพักผ่อนได้น้อย เนื่องจากต้องตื่นมาปัสสาวะตลอดทั้งคืน

    ถึงจะไม่ใช่โรครุนแรงแต่ก็อย่า นิ่งนอนใจนะคะ เพราะโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบก็อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ หากเชื้อโรคในกระเพาะปัสสาวะไต่เข้าสู่กรวยไต ยิ่งคนที่ภูมิต้านทานต่ำ หรือหญิงมีครรภ์ จะยิ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือด และทำให้เสียชีวิตได้

    4 ไลฟ์สไตล์ชวนเสี่ยง

    เรามาดูกันดีกว่าว่า ไลฟ์สไตล์ไหน ที่จะทำให้คุณเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้บ้าง

    1. ไม่ดูแลร่างกาย

    ผู้ที่ไม่ดูแลร่างกาย มักมีภูมิต้านทานต่ำ ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ซึ่งการมีร่างกายที่แข็งแรง เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ การดื่มน้ำมาก ๆ จะทำให้เชื้อโรคถูกขับออกทางปัสสาวะ แต่ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงเลย ก็ง่ายที่เชื้อโรคจะเดินทางเข้าสู่กรวยไต

    นอกจากนี้ ผู้ที่ใช้ยากดภูมิต้านทาน เช่น สเตียรอยด์ ผู้ป่วยโรคเอดส์ สตรีมีครรภ์ หรือผู้ที่เป็นมะเร็ง มักเสี่ยงแก่การเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ดังนั้น จึงต้องดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ

    1. ดื่มน้ำไม่เพียงพอ

    ไม่ควรปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ เพราะจะทำให้ปัสสาวะข้น มีการสะสมของแบคทีเรีย กระเพาะปัสสาวะจึงติดเชื้อง่าย แต่ทั้งนี้ ก็ไม่ควรดื่มน้ำมากเกินไป ควรดื่มน้ำ 30-50 ซีซี ต่อน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม

    การดื่มน้ำมากเกินความจำเป็น จะทำให้ปัสสาวะบ่อย ส่งผลให้ช่องคลอดเปียกชื้น เหมาะต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค ที่จะเข้าสู่ท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้  ไม่ควรดื่มน้ำหวาน เพราะเชื้อโรคและเชื้อแบคทีเรียมักชอบรสหวาน

    1. กลั้นปัสสาวะ

    หลายคนมักกลั้นปัสสาวะ เพราะมุ่งมั่นกับการทำงาน แต่นั่นส่งผลเสียต่อกระเพาะปัสสาวะอย่างแน่นอน ดังนั้น ให้ปัสสาวะครั้งละ 2-3 ชั่วโมง กลางวันควรปัสสาวะ 4-5 ครั้ง ขณะที่กลางคืน ไม่ควรดื่มน้ำมาก เพื่อให้กระเพาะปัสสาวะได้พักผ่อน

    กระเพาะปัสสาวะของผู้หญิง สามารถเก็บปัสสาวะได้ราว 300 ซีซี ซึ่งตอนกลางคืน ไม่ควรปัสสาวะเกิน 1-2 ครั้ง หากมากกว่านั้น อาจมีปัญหาทางสุขภาพ เช่น เป็นโรคเบาหวาน หรือเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ จึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

    น้องสาว อักเสบ

    1. ใช้ห้องน้ำสาธารณะแบบผิด ๆ

    เพราะต้องใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านเป็นเวลานาน หลายคนจึงพึ่งพาห้องน้ำสาธารณะ แต่โถสุขภัณฑ์และสายชำระที่สกปรก ก็มาเป็นของคู่กัน เรามีคำแนะนำดังนี้ค่ะ

    • นั่งยอง ๆ ปัสสาวะ เพราะท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้น การนั่งยองๆ จะทำให้เชื้อโรคและเชื้อแบคทีเรียกระเด็นเข้าสู่ท่อปัสสาวะได้ นอกจากนี้ การนั่งยอง ๆ มักทำให้ปัสสาวะไม่หมด ส่งผลให้เกิดการสะสมของเชื้อโรค
    • ถ้าจะนั่งโถชักโครก ควรใช้ผ้าหรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรคก่อนนั่ง ในกรณีที่ไม่สามารถ ก็ไม่ควรสัมผัสกับโถชักโครก การเกร็งขาจะปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากเชื้อโรครอบ ๆ โถปัสสาวะ
    • เลี่ยงการใช้สายชำระ สาว ๆ มักติดการใช้สายชำระ ซึ่งสายชำระนอกบ้าน เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค น้ำที่ค้างอยู่ที่หัวฉีด หรือเชื้ออีโคไลในห้องน้ำ จะทำให้น้องสาวของเราติดเชื้อได้ง่าย การใช้ทิชชูเปียก น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า
    • ไม่ควรรีบร้อน การเข้าห้องน้ำสาธารณะมักมาพร้อมความรีบร้อน เพราะเกรงใจคนที่ต่อคิว แต่นั่นจะยิ่งทำให้คุณมีเชื้อโรคตกค้างในกระเพาะปัสสาวะได้

    ไลฟ์สไตล์ของคุณเข้าข่าย 4 ข้อนี้รึเปล่า ถ้าใช่ รีบปรับพฤติกรรมโดยด่วน เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของเรานะคะ

    ต่อกันอีกนิดกับ ภาวะการกลั้นปัสสาวะลำบาก

    หรือ ปัสสาวะเล็ดในผู้สูงวัยนั้น นับเป็นปัญหาที่พบมากขึ้นในสังคมปัจจุบัน โดยอาการที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลให้เกิดความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวัน และก่อให้เกิดความกังวลใจในการเข้าสังคม โดยความรุนแรงของอาการนั้นเริ่มตั้งแต่การมีปัสสาวะหยดมาเปื้อนกางเกงในปริมาณที่ไม่มากนัก ไปจนถึงมีอาการปัสสาวะเล็ดออกมาเป็นปริมาณมาก

    ที่บอกไปว่าภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ถือเป็นปัญหาสุขภาพที่มีความสำคัญอย่างหนึ่งในผู้สูงอายุนั้น เพราะนอกจากพบได้บ่อยแล้วยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยทั้งในแง่ของสุขภาพกายเช่นปัสสาวะที่ราดออกมาจะทำ ให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะเพิ่มอุบัติการณ์ในการหกล้มเป็นต้นส่วนในแง่ของสุขภาพจิต พบว่าผู้สูงอายุที่มีภาวะดังกล่าวจะรู้สึกว่าตนเองไม่ปกติมีภาวะซึมเศร้า อายที่จะเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม และไม่ยอมเดินทางออกนอกบ้าน

    บางครั้งอาจมีอุจจาระเล็ดร่วมด้วย ผู้สูงวัยบางท่านแม้ยังไม่เริ่มมีอาการดังกล่าวแต่ก็อาจเริ่มมีอาการดังต่อไปนี้ เช่น ปัสสาวะบ่อยในตอนกลางคืน ปัสสาวะไม่สุด รู้สึกอยากปัสสาวะอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอาการเหล่านี้ล้วนมีความสัมพันธ์ต่อการเกิดอาการปัสสาวะเล็ดได้ทั้งสิ้น

    ข้อมูลจากกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขได้เคยให้ข้อมูลเอาไว้ว่า โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะเป็นปัญหาสำคัญที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ สาเหตุมาจากอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความเป็นกรดในปัสสาวะและภูมิคุ้มกันลดลง รวมถึงมีแหล่งสะสมเชื้อโรคเพิ่มในร่างกาย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีอาการปัสสาวะเล็ด ทั้งนี้ เมื่อระบบทางเดินปัสสาวะติดเชื้อแบคทีเรีย จึงทำให้เกิดการอักเสบ แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1. ติดเชื้อส่วนบนของระบบทางเดินปัสสาวะจะมีผลต่อไตและท่อไต 2. ติดเชื้อส่วนล่างของระบบทางเดินปัสสาวะจะมีผลต่อกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ

    โดยมีอาการปัสสาวะแสบขัด ขุ่น ปัสสาวะบ่อยขึ้น แต่ถ้าติดเชื้อที่กรวยไตจะมีไข้ ปวดหลังร่วมด้วย ส่วนสาเหตุเกิดจากภูมิคุ้มกันของผู้สูงอายุลดลง เช่น ผู้ชายจะติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากสารคัดหลั่งจากต่อมลูกหมากมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อลดลง ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้วจะขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้มีเชื้อ แลคโตบาซิลลัสบริเวณช่องคลอดน้อย ทำให้ค่าความเป็นกรดด่างในช่องคลอดสูงขึ้น ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี รวมถึงผู้สูงอายุที่ต้องใส่สายสวนปัสสาวะเพื่อรักษาอาการปัสสาวะไม่ออก กลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือใส่ในช่วงผ่าตัด อาจเสี่ยงทำให้เชื้อโรคเข้าไปในทางเดินปัสสาวะได้

    นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุมาจากโรคประจำตัว เช่น โรคหลอดเลือดสมองทำให้ประสาทในการควบคุมการทำงานของ กระเพาะปัสสาวะผิดปกติ ทำให้ปัสสาวะค้าง เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย และโรคอื่นๆ เช่น เก๊าท์ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไตวายเรื้อรัง เป็นต้น

    ด้านสถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ ได้ออกมาให้คำแนะนำว่า ผู้สูงอายุเมื่อมีอาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษา โดยแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ หรือยารักษาตามอาการ เช่น ยาแก้ปวดชนิดคลายการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ และควรดื่มน้ำให้มาก อย่างน้อยวันละ 8 -10 แก้ว เพื่อขับเชื้อออกจากปัสสาวะ ซึ่งโดยทั่วไปอาการจะดีขึ้นภายใน 5 – 7 วัน

    ทั้งนี้ ผู้สูงอายุควรดูแลตัวเองไม่ให้ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ดังนี้

    1. ดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 2 – 3 ลิตร เพื่อทำให้ปัสสาวะเจือจางและล้างเชื้อโรคออกจากกระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้แบคทีเรียลดลง
    2. ดูแลสุขอนามัยบริเวณอวัยวะเพศให้สะอาด
    3. สวมเสื้อผ้า กางเกงที่โปร่งสบายเพื่อป้องกันการอับชื้น
    4. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ ชา น้ำอัดลม
    5. ไม่กลั้นปัสสาวะนาน ๆ นอกจากนี้ ผู้สูงอายุควรรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงเพื่อป้องกันท้องผูกเพราะมีผลต่อการทำงานของลำไส้และกระเพาะปัสสาวะ อีกทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรวมถึงให้ความสำคัญกับการดูแลสุขอนามัย ซึ่งจะช่วยป้องกันและลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    แนะวิธีจับคู่ สมุนไพรรักษาโรค บำรุงเลือด ป้องกันไขมันพอกตับ

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    แกงไทย กับการช่วยป้องกันมะเร็ง

    “ฝันดี – ฝันร้าย” ความฝัน เกี่ยวข้องอย่างไรกับสุขภาพ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ออกกำลังกายเสริมการทรงตัว

    ออกกำลังกายเสริมการทรงตัว นอกจากแข็งแรงยังช่วยชีวิตได้

    ออกกำลังกายเสริมการทรงตัว การออกกำลังกายที่ผู้สูงอายุควรทำ

    มีสถิติหนึ่งที่น่าตกใจไม่น้อย แม้จะเกิดจากเรื่องที่เรามองว่าเป็นแค่เพียงเรื่องเล็กๆ อย่างการ “หกล้ม” จากข้อมูลของกรมควบคุมโรคพบว่า ในแต่ละปี มีผู้สูงอายุมากกว่า 4 ล้านคน ที่หกล้มทุกปี หรือคิดเป็น 1 ใน 3 และมีมากกว่าหมื่นคนที่ได้รับบาดเจ็บที่ต้นขาและสะโพก แต่ที่น่ากลัวมากกว่าคือ 20% ของผู้ที่หกล้มสะโพกหัก เสียชีวิตภายใน 1 ปี และสิ่งที่จะช่วยป้องกันเรื่องราวน่ากลัวเหล่านี้ได้คือ ออกกำลังกายเสริมการทรงตัว

    ดังนั้นแล้วในผู้สูงวัยควรเพิ่มการ ออกกำลังกายเสริมการทรงตัว เพราะผู้สูงอายุมีปัจจัยที่ทำให้ลื่นตกหกล้มง่าย 7 อย่าง ได้แก่

    • สายตา
    • กล้ามเนื้อสะโพกและขาไม่แข็งแรง
    • ท่าร่างไม่ตั้งตรง
    • เท้าระพื้น (ยกเท้าไม่ขึ้น)
    • ปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าช้า
    • กินยาที่ทำให้หกล้มง่าย
    • ความดันโลหิตตก

    ส่วนองค์ประกอบของการทรงตัวของคนเรามี 5 อย่าง ได้แก่ สมองหรือสติ กล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อท่อนล่าง กระดูกและข้อ โดยเฉพาะข้อเท้า เข่า และสะโพก สายตา รวมทั้งอวัยวะคุมการทรงตัวซึ่งอยู่ในหูชั้นใน

    เมื่ออายุมากขึ้น ผู้สูงอายุจะจำกัดท่าร่างและการเคลื่อนไหวของตนมาอยู่ในท่าที่ตนเองมั่นใจในความปลอดภัยมากที่สุดคือ ท่าเตรียมรับลูกเทนนิส ย่อเข่า โก่งหลัง สองมือระวังตัวอยู่ระดับเข็มขัดเวลาเดินก็ค่อย ๆ ก้าวขาทีละครึ่งก้าว
    การใช้ท่าร่างแบบนี้ทำให้สมองเสียโอกาสได้ฝึกทำเรื่องที่ท้าทาย จึงมีผลให้การทรงตัวถดถอย

    การออกกำลังกายแบบฝึกหัดการทรงตัว (Balance Exercise) จึงเป็นการใช้ท่าร่างและการเคลื่อนไหวที่บังคับและท้าทายสมองให้ใช้องค์ประกอบทั้ง 5 ส่วนพร้อมกัน ทั้งสติ หูชั้นใน สายตา กล้ามเนื้อ กระดูกและข้อ โดยมีหลักสำคัญคือต้องพยายามใช้ท่าและการเคลื่อนไหวที่ท้าทายสมองมากๆ

    ต้องฝึกบ่อยๆ ฝึกทุกวัน วันละหลายชั่วโมงและต้องฝึกทุกที่ทุกเวลาถ้าออกกำลังกายสม่ำเสมอ ความดันตัวบน
    จะลดลงได้สูงสุดถึง 9 มิลลิเมตรปรอท

    ออกกำลังกายเสริมการทรงตัว
    One Leg Stand Static Balance Test

    ท่าการออกกำลังกาย

    ท่าที่ 1 One Leg Stand ยืนขาเดียว

    วิธีทำ ยืนสองชาชิดกันก่อน แล้วงอเข่ายกขาขึ้น ยืนขาเดียว ทำทีละข้าง

    ท่าที่ 2 Eye Tracking กลอกตาตามหัวแม่มือ

    วิธีทำ ยึนตั้งศีรษะตรงนิ่ง ยื่นมือออกไปให้ไกลสุดตัว ยกหัวแม่มือขึ้น แล้วเคลื่อนมือไปทางซ้ายจนสุด ขณะเคลื่อนมือไปให้กลอกตามองตามหัวแม่มือไป โดยศีรษะยังหันหน้าตรงไปข้างหน้า ไม่หันไปตามหัวแม่มือ แล้วก็เคลื่อนมือไปทางขวาจนสุดและกลอกตาตาม ทำซ้ำหลาย ๆ ครั้ง


    ท่าที่ 3 Clock Reach เข็มนาฬิกา

    วิธีทำ ยืนตรงเสมือนยืนอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาขนาดใหญ่ แล้วยกขาข้าหนึ่งขึ้น เป็นยืนขาเดียว กางแขนสองข้างเหยียดเสมอไหล่ออกไปให้สุดทั้งทางซ้ายและขวา ตามองตรง แล้วค่อยๆ หมุนตัวและแขน แต่ศีรษะและคออยู่นิ่ง แขนซ้ายชี้ที่ 12.00 น. แขนขวาชี้ที่ 6.00 น. แล้วหมุนใหม่ให้แขนขวาชี้ที่ 12.00 น. แขนชัายชี้ที่ 6.00 น. บ้าง แล้วหมุนโดยชี้แขนไปที่ตำแหน่งต่างๆ บนหน้าปัดตามเวลาที่สมมติขึ้น แล้วสลับขา

    ท่าที่ 4 Staggered Stance ยืนต่อเท้าบนเส้นตรง

    วิธีทำ ยืนตรงอยู่บนเส้นตรงสมมติเส้นเดี่ยวที่ลากจากหน้าไปหลังบนขอนไม้ หรือไม้กระดานแผ่นเดียว ให้หัวแม่เท้าซ้ายไปต่ออยู่หลังส้นเท้าขวาแล้วสลับขา

    ท่าที่ 5 Heal to Toe เดินต่อเท้าบนเส้นตรง

    วิธีทำ ทำท่ายืนต่อเท้าบนเส้นตรงบนขอนไม้ หรือไม้กระดานแผ่นเดียว กางมือออก เดินไปข้างหน้า แล้วเดินแบบเอาซ้นเท้าซ้ายย้ายไปต่อหน้านิ้วโป้งเท้าขวา ทำเช่นนี้สลับข้างกันไปจนสุดขอนไม้ หรือไม้กระดาน แล้วเดินถอยหลังกลับไปจนสุด

    ออกกำลังกายเสริมการทรงตัว

    ขยับให้มากขึ้น

    เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตให้มีการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวทั้งวัน โดยอาจใช้วิธีติดเครื่องนับก้าวไว้เตือนตัวเองให้เคลื่อนไหว ในแต่ละวันการเคลื่อนไหวได้วันละประมาณ 10,000-15,000 ก้าว หรือหากทำได้มากกว่านั้นยิ่งดี

    เดินเร็ว ลดเสี่ยงสะโพกหัก

    การเดินเร็วด้วยความเร็วปานกลางควรเดินต่อเนื่องกันอย่างน้อย 30 นาทีต่อครั้ง และทำ 5 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยในช่วงเริ่มต้นอาจเริ่มจากการเดินในความเร็วปกติ สัก 3 -5 วัน เมื่อร่างกายเริ่มชินจึงเริ่มเพิ่มความเร็วมากขึ้นและปรับเวลาตามไปให้ครบ 30 นาทีในที่สุด

    ข้อมูลจากการศึกษาของ Nurses’ Health Study ภายใต้การสนับสนุนของ Brigham and Women’s Hospital, Harvard Medical School, Harvard T.H. Chan School of Public Health ประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า จากการศึกษาสุขภาพของพยาบาลหญิงที่อยู่ในวัยทองจำนวนกว่า 60,000 คน พบว่าในจำนวนนี้ผู้ที่ออกกำลังกายด้วยการเดินเร็ว อย่างน้อย 3 – 4 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยไม่ได้เสริมอาหารพิเศษใด ๆ จะมีความเสี่ยงกระดูกข้อสะโพกหักต่ำกว่า ผู้ที่ออกกำลังกายด้วยการเดินด้วยความเร็วปกติหรือ ไม่ได้ออกกำลังกายด้วยการเดินเลย

    ข้อมูลจาก นิตยสารชีวจิต ฉบับ 600 ยิ่งสูง ยิ่งเสี่ยง “ความดันโลหิต” คุมให้ดี ชีวิตยืนยาว สั่งซื้อได้ที่ คลิก

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    ต่างวัย-ต่างกระดูก ออกกำลังกาย แบบไหนดี

    10 วิธีออกกำลังกายแบบง่ายๆ ให้ได้ผลดียิ่งขึ้น

    ป้องกันโรคหัวใจ ทำได้ง่ายๆ ด้วยการออกกำลังกาย

    ติดตามชีวจิตได้ที่ :

    Facebook : นิตยสารชีวจิต
    Instagram : Cheewajitmedia
    TikTok : cheewajitmediaofficial

    Posted in EXERCISE
    BACK
    TO TOP
    Riya
    Writer
    เหงื่อไหล

    6 ผลลัพธ์ เหงื่อออก บอกอะไรเราได้บ้าง มาดูกัน

    6 สัญญาณสุขภาพ ที่ เหงื่อออก บอกเราได้

    มนุษย์กับการ เหงื่อออก เป็นเรื่องปกติ แต่จะรู้ไหม ว่าลักษณะอาการเหงื่อออกนั้น อาจเป็นสัญญาณด้านสุขภาพที่ร่างกายพยายามเตือนเราอยู่ บอกได้ถึงสภาพอารมณ์ โภชนาการในการกินอาหารช่วงนั้นๆ และอื่นๆ มาดูกันเลยค่ะ

    ความเครียด

    หลังจากวันแห่งการทำงานที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด คุณอาจมีกลิ่นตัว ไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้เกี่ยวกับเหงื่อจากความเครียดนั้นมีกลิ่น แต่ทำไมกันล่ะ อ้างอิงจาก  International Hyperhidrosis Society  คุณมีต่อมเหงื่อ 2 ประเภท ต่อม Eccrine มีอยู่ทั่วร่างกาย ผลิตเหงื่อที่ใส ไม่มีกลิ่นเหม็น และต่อม Apocrine อยู่บริเวณรักแร้และง่ามขา เหงื่อที่ผลิตออกมาจะขุ่นเล็กน้อยเพราะเต็มไปด้วยแบคทีเรียและผิวหนังที่หลุดลอกออก

    เครียด, ความเครียด, โรคไทรอยด์, ไทรอยด์, อาหารสำหรับผู้ป่วยไทรอยด์ เหงื่อออก

    พูดให้เข้าใจคือต่อม Apocrine เป็นสาเหตุของกลิ่นไม่พึงประสงค์ในร่างกาย และอารมณ์ทุกข์ๆ ทั้งหลายจะไปกระตุ้นต่อมนี้ (อ้างอิงจาก Mayo Clinic ) นั่นเป็นสาเหตุให้ทำไมเรามีกลิ่นตัวเมื่อรู้สึกประหม่า วิตกกังวล และเครียด นั่นเอง

    แล้วจะทำไงดี ก็ง่ายๆ คือพยายามผ่อนคลายอารมณ์ สูดหายใจลึกๆ ระงับความเครียด และเวลาอาบน้ำก็ใช้สบู่หรือครีมอาบน้ำที่มีคุณสมบัติยับยั้งแบคทีเรียได้

    มีภาวะ เหงื่อออก จำนวนมาก หรืออาจมีการผลิตเหงื่อผิดปกติ (เหงื่อออกน้อย)

    คุณมีปัญหาเรื่องเหงื่อออกมากบริเวณฝ่ามือ รักแร้ โดยไม่มีเหตุมากระตุ้นหรือไม่ การที่เหงื่อออกมากโดยไม่มีสาเหตุชัดเจนอาจบ่งชี้ถึงภาวะเหงื่อออกมาก (Hyperhidrosis) ภาวะที่มีเหงื่อออกโดยไม่ได้มาจากอากาศร้อนหรือการออกกำลังกาย (ใช้แรง) อ้างอิงจาก Mayo Clini การใช้ยาหรือครีมที่ช่วยลดเหงื่ออาจพอช่วยได้ ซึ่งตรงนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

    ในทางกลับกัน หากเหงื่อไม่โทรมกายหลังจากออกกำลังกายหนักๆ หรือตัวแห้งมากแม้อากาศจะร้อนอย่างไร คุณอาจมีภาวะการผลิตเหงื่อผิดปกติ (เหงื่อออกน้อย) ภาวะนี้จะตรงกันข้ามกับภาวะเหงื่อออกมาก เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถผลิตเหงื่อได้ปกติ

    เนื่องจากการผลิตเหงื่อคือช่องทางการระบายความร้อนออกจากร่างกายเพื่อควบคุมอุณหภูมิร่างกายไม่ได้สูงจนเป็นอันตราย ภาวะอาการเหงื่อออกน้อยจึงค่อนข้างน่าห่วง ควรปรึกษาแพทย์เมื่อพบว่าตนเองมีอาการดังกล่าว

    ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ

    เหงื่อออกมากอาจเป็นสัญญาณของระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป เมื่อระดับน้ำตาลต่ำกว่า 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร เหงื่อของคุณอาจจะท่วมตัวเลย อ้างอิงจาก University of Michigan Medicine นั่นมาจากเมื่อร่างกายเกิดภาวะเครียด ร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนเอาตัวรอดที่ชื่อว่า อะดรีนาลีน ที่ทำให้เหงื่อออก

    ส่วนกลุ่มอาการเกี่ยวกับระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น วิงเวียน ปวดศีรษะ ส่วนงันงก หงุดหงิดและหัวใจเต้นเร็ว ล้วนเป็นอาการที่ก่อให้เกิดภาวะเครียดเช่นกัน (อ้างอิงจาก American Diabetes Association ) และอาจบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพที่จริงจังมากขึ้น ทางที่ดีควรไปพบแพทย์เพื่อประเมินอาการและแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าว

    ยัง ยังไม่หมด เหงื่อยังบอกเราได้มากกว่านี้อีก

    เหงื่อออก บ่งบอกว่า รูปร่างดีไหม

     หลังเข้าคลาสออกกำลังกาย คุณเหงื่อเปียกโชกในขณะที่เพื่อนร่วมคลาสเพิ่งจะเหงื่อออกหรือไม่ การที่เหงื่อออกมากอาจเป็นสัญญาณว่าคุณมีรูปร่างที่ดี จากงานวิจัยในเดือนเมษายน 2014 ของ  PLOS ONE พบว่า คนที่มีรูปร่างสมส่วนและออกกำลังกายเป็นประจำมีแนวโน้มเหงื่อออกเร็วกว่าและปริมาณมากกว่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย

    แล้วทำไมคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอถึงเหงื่อออกเร็ว นั่นก็เพราะการตอบสนองต่ออุณหภูมิร่างกายที่เพิ่มขึ้น จำได้ไหมว่าเหงื่อออกเพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย ดังนั้น เมื่อมีรูปร่างที่เหมาะสม ระบบคลายความร้อนของร่างกายก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วเพื่อรักษาระดับอุณหภูมิในร่างกายให้พอเหมาะ

    ดื่มน้ำ, น้ำดื่ม, น้ำ, วิธีการดื่มน้ำ, กินน้ำ เหงื่อออก

    ร่างกายขาดน้ำ

    เหงื่อออกมากหมายถึงร่างกายสูญเสียน้ำเป็นจำนวนมาก ถ้าเสื้อเปียกชุ่มเพราะเหงื่อหลังออกกำลังกาย แปลว่าร่างกายของคุณต้องการน้ำทดแทนเพื่อป้องกันสภาวะขาดน้ำ

    วิธีง่ายๆ ที่จะเช็กว่าสภาพร่างกายของคุณขาดน้ำหรือไม่คือการสังเกตสีปัสสาวะ หากปัสสาวะเริ่มมีสีเข้มแปลว่าต้องดื่มน้ำเพิ่มขึ้นแล้วล่ะ

    อ้างอิงจาก American Council on Exercise (ACE) แนะนำว่า ควรดื่มน้ำ 8 ออนซ์ ประมาณ 30 นาทีก่อนออกกำลังกาย จากนั้นดื่ม 7-10 ออนซ์ ทุกๆ 10-20 นาทีในระหว่างนั้น

    ระดับอิเลกโทรไลต์ต่ำ

     น้ำไม่ใช่อย่างเดียวที่คุณสูญเสียเมื่อเหงื่อออก รวมไปถึงแร่ธาตุอิเลกโทรไลต์ที่จำเป็นเช่น โซเดียม คลอไรด์ โพแทสเซียม แมกนีเซียม และแคลเซียม ก็ออกมาพร้อมเหงื่อด้วย หากคุณรู้สึกหมึนศีรษะหรือปวดกล้ามเนื้อ แสดงว่าคุณเสียโซเดียมมากเกินไป (อ้างอิงจาก ACE )

    การเติมโซเดียมในร่างกายนั้นสำคัญในการรักษาระดับความสมดุลของอิเลกโทรไลต์ เพื่อการทำงานของร่างกายที่ดี การรักษาระดับโซเดียมง่ายๆ คือการกินของขบเคี้ยวรสเค็ม เช่น ถั่วหนึ่งกำมือ ก่อนออกกำลังกาย จากนั้นดื่มสปอร์ตดริ้งค์ระหว่างอออกกำลังกาย


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    “นาวาสนะ” โยคะลดหน้าท้อง ช่วยเรียกเหงื่อ

    แพ้เหงื่อ ผื่นคัน อาการที่คนขี้ร้อนต้องระวัง

    เหงื่อออกมือ สัญญาณโรคหัวใจหรือไม่ หาคำตอบกัน

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    กลัวความรัก

    โรคกลัวความรัก (Philophobia) ที่ทำให้คุณ ‘โสด’

    โรคกลัวความรัก (Philophobia) ที่ทำให้คุณ ‘โสด’

    คุณพยายามจะหนีความรักหรือไม่อยากเข้าใกล้ความรู้สึกพิเศษกับใครอยู่หรือเปล่า? หรือเวลาที่คุณเกิดความรู้สึกดี รู้สึกพิเศษกับใครขึ้นมา คุณก็มักไม่กล้าที่จะเปิดใจให้กับความรัก เพราะจากเหตุผลอะไรบางอย่าง นี่คืออาการของคนที่กำลังรู้สึกกลัวที่จะมีความรัก หรือเรียกว่า โรคกลัวความรัก นั่นเอง และนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่กำลังทำให้คุณนั้นยังโสดอยู่ก็ได้ ลองมาทำความรู้จักกับอาการ และสาเหตุโรคกลัวความรัก (Philophobia) และแนวทางในการรักษากันครับ

    โรคกลัวความรัก Philophobia

    philo เป็นคำที่มาจากภาษากรีก ที่แปลว่า ความรัก

    Philophobia เลยแปลว่า “โรคกลัวความรัก”

    เป็นโรคชนิดหนึ่งในทางจิตเวช แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อผู้คนรอบข้าง แต่ถ้ายังคงเป็นแบบนี้อยู่ต่อไปเรื่อย ๆ อาจจะกลายเป็นคนเก็บตัว ไม่กล้าออกไปเจอหน้าผู้คน พยายามที่จะหนีจากสังคม อยู่ในโลกแคบ ๆ ที่มีแค่ตัวเอง ไร้สีสัน และสุดท้ายอาจจะเครียดและกดดันจนทำให้เป็นโรคซึมเศร้าได้อีกด้วย

    โรคกลัวความรัก โสด ทำไมถึงไม่มีแฟน

    ถ้าคุณเป็นโรคกลัวความรัก ควรยอมรับให้ได้ว่าตัวเองนั้นมีอาการกลัวความรัก ไม่ได้เข้มแข็งอะไร แล้วก็ปรับวิธีคิดเปลี่ยนมุมมอง รู้จักที่จะยืดหยุ่น และจัดการกับความผิดหวัง กล้าที่จะพูดเพื่อระบายปัญหากับใครสักคน อย่าคิดไปเองว่าความรักจะมีแต่เรื่องแย่ ๆ ร้าย ๆ เหมือนที่ได้เจอ หรือได้ฟังมาเสมอไป ลองเปิดใจ และก้าวเข้าไปหาความรักความสุขทีละนิด

    หากใครที่กำลังรู้สึกว่าตัวเองมีอาการกลัวความรักมาก ๆ ควรที่จะไปปรึกษาจิตแพทย์  ไม่ต้องเขิลอาย เพราะเป็นแนวทางการรักษาทางหนึ่ง และไม่จำเป็นเสมอไปว่า การเข้าพบจิตแพทย์จะหมายความว่าคุณนั้นเป็นคนโรคจิต

    โรคกลัวความรัก(Philophobia) นั้นจัดเป็นโรคกลัวชนิดเฉพาะเจาะจง

    สาเหตุของโรคกลัวความรัก (Philophobia)

    1. เหตุการณ์ในแง่ลบที่ฝังใจมาตั้งแต่เด็ก
    2. วัฒนธรรม หรือศาสนา ที่มีข้อห้ามเกี่ยวกับความรัก ศาสหนาหรือขนบประเพณีของบางแห่ง
    3. การล้มเหลวในความรักซำ้ๆ มีรักทีไรจะต้องเจ็บปวด หรือเลิกลากันไปทุกที
    4. รู้สึกว่าตัวเองหดหู่ เห็นคุณค่าในตัวเองต่ำ

    อาการของโรคกลัวความรัก (philophobia)

    1. มีความกังวลทุกครั้งที่จะต้องเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครสักคนแบบคนรัก หรือเวลาที่ตัวเองเริ่มรู้สึกหวั่นไหวกับใครสักคน
    2. มักจะหยุดความรู้สึกตัวเองห้ามใจตัวเองไม่ให้ถลำลึกที่จะจริงจังกับความรักมากจนเกินไป
    3. มักจะหลีกเลี่ยงสถานที่ที่คนมีคู่นั้นชอบไปกัน
    4. เหมือนจะชอบกับการอยู่คนเดียว แต่แท้จริงแล้วเป็นการป้องกันตัวเองไม่ให้เจอกับคนที่ทำให้เรารู้สึกหวั่นไหวต่างหาก
    5. ไม่เปิดใจ ไม่เปิดโอกาสให้ใครได้เข้ามาทำให้รัก
    6. มักจะประเมินความรู้สึกของคนใกล้ตัวว่าจริงใจหรือรักตัวเองมากแค่ไหน แล้วจึงค่อยตัดสินใจมอบความรู้สึกในระดับที่เท่าเทียมกลับไป
    7. เมื่อต้องเจอกับสถานการณ์หวานๆ หรือโดนรุกจีบ อาจมีอาการทางกายภาพอย่างเหงื่อแตกร้องไห้ ใจสั่น หัวใจเต้นรัวเร็ว หายใจแรง ชาที่มือ และเท้า อาเจียน หนัก ๆ ถึงขั้นเป็นลมเลยทีเดียว

    แนวทางในการรักษาอย่างไรบ้าง?

    ความคิดและพฤติกรรมบำบัด (Cognitive Behavioral Therapy)

    นักจิตวิทยาและจิตแพทย์จะเข้ามาทำความเข้าใจกับคนที่ป่วย ชวนคุยในประเด็นที่คนไข้นั้นรู้สึกกลัว หรืออาจจะมีรูปภาพหรือคลิปวีดีโอคนรัก การตกหลุมรัก มาประกอบการรักษา ทั้งนี้ก็เพื่อให้คนไช้มีทัศนคติที่ดีกับความรักมากขึ้น เป็นการกำจัดความรู้สึกกลัวในเรื่องที่ไม่น่ากลัวที่ค่อยข้างได้ผลดีต่อผู้ป่วย

    เผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัว (Exposure Therapy)

    นับเป็นอีกวิธีการรักษาที่ได้ผลค่อนข้างมาก โดยผู้เชี่ยวชาญจะจัดให้ผู้ป่วยเจอกับสถานการณ์หวาน ๆ ให้เพศตรงข้ามชวนพูดคุย หรือให้ดูหนังโรแมนติก ฉากสุดซึ้ง เพื่อฝึกให้ผู้ป่วยมีแรงต้านทานต่อความกลัวของตัวเองเพิ่มมากขึ้น และลดแรงกดดัน ความวิตกกังวลเมื่อเจอสถานการณ์รัก ๆ ลงไปบ้าง

    รักษาด้วยยา

    การรักษาด้วยยาจะเป็นแนวทางเสริมสำหรับผู้ป่วยที่มีความเครียดสูง หรือมีความรู้สึกกังวลทุกครั้งเมื่อเจอกับความกลัว โดยวิธีนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมอารมณ์และการแสดงออกของตัวเองได้ดีขึ้น

    เราขอเป็นกำลังใจให้คนที่ กำลังกลัวความรัก ก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้นะคะ

    อ้างอิง

    What Is Philophobia, and How Can You Manage Fear of Falling in Love? 

    What is philophobia? 

    เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

    7 อโรมาเทอราปี กลิ่นบำบัด ผ่อนคลายสมอง ลดซึมเศร้า

    รู้หรือไม่? แค่สูดดม กลิ่นช่วยลดเครียด สู้กับมะเร็งได้

    ลดกลิ่นตัว ด้วย 5 สมุนไพรไทย

    เมื่อเราลองใช้ เสียงเพลงบำบัด กายสบาย ใจสงบ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ผักพื้นบ้าน

    4 ผักพื้นบ้าน ป้องกันโรคความจำเสื่อม

    4 ผักพื้นบ้าน ป้องกันโรคความจำเสื่อม

    รู้แล้วต้องกิน!! ผักพื้นบ้าน ตามท้องถิ่น ประโยชน์จากธรรมชาติที่มีดีมากกว่าแค่ไฟเบอร์ วิตามิน แอนติออกซิแดนท์

    เพราะผักพื้นบ้านอุดมด้วยสรรพคุณทางยาที่มากเกินราคาหลายเท่าตัว เราจะเห็นได้ว่าคุณย่าคุณยายที่บ้านชอบกินผักพื้นบ้านจิ้มน้ำพริก นอกจากผักพื้นบ้านจะมีความปลอดภัยแล้ว ราคาก็ไม่แพง แถมมีสารแอนติออกซิแดนต์สูง ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมได้ดีเลยล่ะค่ะ

    ผักพื้นบ้าน คืออะไร  

    ผักพื้นบ้านเป็นพรรณพืชในท้องถิ่น ชาวบ้านนำมาบริโภคเป็นอาหาร เป็นยารักษาโรค หรือนำมาทำเป็นของใช้สอยในครัวเรือน ผักพื้นบ้านนอกจากจะมีคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ส่วนใหญ่ยังมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพร เนื่องจากมีรสยาที่หลากหลายอยู่ในผักพื้นบ้าน ตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทย ให้ความสำคัญกับรสอาหารพื้นบ้าน ดังนี้

    รสฝาด มีสรรพคุณทางยา คือ ช่วยสมานแผล แก้ท้องร่วง บำรุงธาตุในร่างกาย เช่น ยอดมะม่วง ยอดมะกอก ยอดจิก ยอดกระโดน ขนุนอ่อน, รสหวาน มีสรรพคุณทางยา คือ ช่วยให้มีการดูดซึมได้ดีขึ้น ทำให้ชุ่มชื้น บำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย เช่น เห็ด ผักหวานป่า ผักขี้หูด บวบ น้ำเต้า เชียงดา ผักหวานบ้าน, รสเผ็ดร้อน มีสรรพคุณทางยา คือ แก้ท้องอืด แก้ลมจุกเสียด ขับลม บำรุงธาตุ เช่น ดอกกระทือ กระเทียม ดอกกระเจียวแดง ดีปลี พริกไทย ใบชะพลู ขิง ข่า ขมิ้น กระชาย เร่ว

    รสเปรี้ยว มีสรรพคุณทางยา คือ ขับเสมหะ ช่วยระบาย เช่น ยอดมะขามอ่อน มะนาว ยอดชะมวง มะดัน ยอดมะกอก ยอดผักติ้ว ส้มกุ้ง ผักกาดส้ม, รสหอมเย็น มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงหัวใจ ทำให้สดชื่น แก้อ่อนเพลีย เช่น เตยหอม โสน ดอกขจร บัว ผักบุ้งไทย เป็นต้น, รสมัน มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงเส้นเอ็น เป็นยาอายุวัฒนะ เช่น สะตอ เนียง ถั่วพู ฟักทอง กระถิน ชะอม ต้างหลวง และรสขม มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงโลหิต เจริญอาหาร ช่วยระบาย เช่น มะระขี้นก มะแว้งต้น ลิงลาว ยอดหวาย ดอกขี้เหล็ก ใบยอ สะเดา เพกา มะขม

    วันนี้เราลองไปดูกันว่าผักพื้นบ้านที่เหมาะกับการหามาให้ผู้สูงอายุที่เรารักได้กินนั้นมีอะไรบ้าง กินแล้วรับรองว่าโรคควาจำเสื่อมก็จะไม่มาทักทายพวกท่านแน่นอนค่ะ

    ผักกูด

    ผักกูด

    ผักกูดเป็นผักพื้นบ้านชนิดหนึ่งของไทย มักขึ้นอยู่ตามริมรั้ว เจริญเติบโตได้ง่าย และอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย โดยในอดีตได้มีการนำมาใช้เป็นยารักษาโรคหลายชนิดด้วยกัน

    ในผักกูดมีธาตุเหล็กสูง ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือด จึงช่วยในการบำรุงเลือดได้เป็นอย่างดี อันจะส่งผลต่อการทำงานของสารสื่อประสาท ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม

    ถั่วฝักยาว

    ถั่วฝักยาว

    ผักธรรมดา ๆ อย่างถั่วฝักยาวที่เราทานกันบ่อย ๆ นั้น มีสรรพคุณเยอะ ประโยชน์แยะ อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญอย่างแมกนีเซียม ซึ่งถ้าร่างกายเราขาดแมกนีเซียม อาจทำให้เรามีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการนอนได้ เพราะแมกนีเซียมเป็นแร่ธาตุจำเป็นที่ช่วยบรรเทาความเครียดและทำให้สมองผ่อนคลาย และเครียดน้อยลง ซึ่งทำให้เรานอนหลับได้สนิทขึ้น เมื่อหลับดีสมองก็จะดีตามมาค่ะ

    ผักแว่น

    ผักแว่น

    เป็นผักสมุนไพรพื้นบ้านที่หาได้ง่ายบริเวณริมน้ำหรือริมตลิ่งตามห้วย หนอง คลอง บึงหรือบ่อเก็บน้ำตามหัวไร่ปลายนา เป็นผักสมุนไพรที่นิยมเก็บทั้งต้นมารับประทานสดคู่กับกับข้าว อาทิ เมนูป่นหรือน้ำพริก ซุปหน่อไม้ ลาบ และส้มตำ เป็นต้น

    ในผักแว่นมีสารเบต้าแคโรทีนที่มีความสัมพันธุ์กับความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระ และที่สำคัญปริมาณสารเบต้าแคโรทีนในผักแว่นถือได้ว่ามีปริมาณสูง จึงทำให้ผักแว่นเป็นผักที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้อย่างดี แถมบำรุงสมองได้อีกด้วย

    เห็ดฟาง

    เห็ดฟาง

    ในบรรดาเห็ดทั้งหลายจะมีเห็ดชนิดหนึ่งที่สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายอย่าง เห็ดที่ว่านั้นก็คือ เห็ดฟาง สามารถนำมาทำเป็นเมนูลดความอ้วนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไขมันต่ำและยังช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจอีกด้วย

    ทั้งนี้ การนำผักพื้นบ้านมาปรุงหรือนำมาประกอบเป็นอาหาร นับได้ว่าเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย ในการสร้างเสริมสุขภาพและรักษาโรคโดยไม่ต้องพึ่งยาและสารเคมี ในแต่ละภาคของประเทศไทยมีผักพื้นบ้านสามารถเลือกกินได้ตลอดปี และเชื่อเถอะว่าเราควรเพิ่มการกินผักพื้นบ้านให้มากขึ้น เพราะนอกจากจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายแล้วยังเป็นการอนุรักษ์ผักพื้นบ้าน ให้ลูกหลานรู้จักและบริโภคต่อได้อีกด้วยค่ะ

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    โปรแกรมช่วย ชะลอวัย ลดไขมันในเลือด

    “ผักชายา” ต้นผงชูรสของคนรักสุขภาพ

    10 สูตรน้ำผักผลไม้ เสริมให้สุขภาพดวงตาดี สวย ชะลอความเสื่อม

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    โรคหัวใจ

    วิธีรักษาโรคหัวใจ ด้วยมังสวิรัติ แนะนำโดยแพทย์จากสหรัฐอเมริกา

    วิธีรักษาโรคหัวใจ จากอเมริกา

    โรคหัวใจ เป็นโรคที่พบได้แทบจะทั่วไป ในบ้านเรามีผู้ป่วยโรคหัวใจไม่น้อย ซึ่งโรคนี้อาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตหากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม วันนี้เราจึงมาแนะนำ วิธีรักษาโรคหัวใจ ด้วยมังสวิรัติ ที่แนะนำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐอเมริกา

    ว่าด้วยโรคหัวใจ

    โรคหัวใจคือโรคยอดฮิตอันดับต้น ๆ ที่คร่าชีวิตของคนทั่วโลกมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งโรคหัวใจที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเยอะที่สุดทั่วโลกคือ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตัน ซึ่งพบได้มากในผู้สูงอายุ ตามมาด้วยโรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคกล้ามเนื้อหัวใจ แม้ในอดีตโรคหัวใจจะเป็นโรคที่พบเจอได้บ่อยในผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันกลับพบว่าคนที่อายุยังน้อยหรือวัยรุ่นก็มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้มากเช่นกัน

    อาการของโรคหัวใจ

    • อาการเหนื่อยง่าย เบื้องต้นสามารถสังเกตอาการตัวเองได้จากพฤติกรรมเดิม ๆ ที่เคยทำได้ เช่น จากที่เคยขึ้นบันไดได้สองสามชั้นแบบสบาย ๆ ตอนนี้ขึ้นแค่ชั้นเดียวก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว แสดงว่าร่างกายของคุณเริ่มผิดปกติแนะนำให้รีบไปเช็กด่วน เพราะนอกจากโรคหัวใจแล้วยังมีโรคอื่น ๆ ที่มีอาการคล้ายกันอีกด้วย
    • อาการเจ็บแน่นหน้าอก โดยเฉพาะเวลาที่ออกแรงมักจะเจ็บบริเวณหน้าอกด้านซ้าย หายใจไม่ออก อึดอัดเหมือนมีของหนักมาทับที่หน้าอก บ่งบอกว่าอาจจะเป็นสัญญาณของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้
    • อาการหน้ามืด เป็นลม หมดสติ เนื่องจากหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งจะวินิจฉัยได้ถูกต้องก็ต่อเมื่อได้รับการตรวจที่โรงพยาบาลเท่านั้น

    (อ้างอิง : คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล )

    วิธีรักษาโรคหัวใจ โรคหัวใจ

    วิธีรักษาโรคหัวใจ ที่แพทย์จากสหรัฐอเมริกาแนะนำ

    นายแพทย์ดีน ออร์นิช ได้รวมกลุ่มกับเพื่อนก่อตั้งสถาบัน Preventive Medicine Research Institute ขึ้นในแคลิฟอร์เนีย และ ณ สถาบันนี้เองที่เขาได้ค้นคว้า วิธีป้องกันและรักษาโรคหัวใจ จนได้รับความสำเร็จมีชื่อก้องไปทั่วโลก

    สูตรการป้องกันและรักษาโรคหัวใจของเขาก็คือ

    สูตรอาหารมังสวิรัติที่ใช้พืชผัก ถั่ว ข้าว ขนมปัง ผลไม้ เป็นสูตรง่ายๆ และเป็นสูตรอาหารธรรมชาติ และดีน ออร์นิช ยังสนับสนุนให้กินโยเกิร์ตควบคู่ไปกับอาหารมังสวิรัติด้วย

    และแน่นอนว่า เพียงแค่อาหารมังสวิรัติอย่างเดียวคงจะยังไม่พอ สิ่งสำคัญซึ่งควบคู่กันไปกับอาหารก็คือ เรื่องของ ชีวิตประจำวัน ซึ่งดีน ออร์นิช ย้ำนักย้ำหนาว่าต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด อย่างเช่น การเลิกสูบบุหรี่ การเลิกกินกาแฟ การทำตัวให้ผ่อนคลาย และการใช้สมาธิอย่างสม่ำเสมอ

    นับว่าเป็นวิธีที่น่าสนใจพอสมควร หากทำได้ตามนี้ สุขภาพหัวใจของคุณจะกลับมาแข็งแรงอย่างแน่นอน


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส ผู้บัญญัติศัพท์ “Cancer” หรือมะเร็ง คนแรกของโลก

    4 เทคนิค ออกกำลังกายสำหรับคนเป็น โรคหัวใจ

    คู่มือโรคหัวใจ ป้องกันหอบเหนื่อยก่อน หัวใจวาย

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ป้องกันปวด

    รวมเคล็ดลับ ป้องกันปวด หลังออกกำลังกาย

    รวมเคล็ดลับ ป้องกันปวด หลังออกกำลังกาย

    อาการปวดหลังออกกำลังกาย โดยทั่วไปนั้น เกิดได้จาก 3 สาเหตุ ได้แก่ การไหลเวียนเลือดไม่ดี การไหลเวียนน้ำเหลืองมีปัญหา หรือมีการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ หรือเส้นเอ็นบริเวณนั้น ทั้งนี้เพื่อ ป้องกันปวด หลังออกกำลังกาย เรามีวิธีดังนี้

    ก่อนอื่นต้องสังเกตลักษณะอาการบาดเจ็บแบบง่าย ๆ คือ หากอาการปวดรุนแรงมากขึ้น เมื่อเราทำงาน คือ สัญญาณของการไหลเวียนเลือดไม่ดี ในขณะที่อาการปวดตึงนั้น เป็นผลมาจากการไหลเวียนน้ำเหลืองมีปัญหา ในขณะที่การบาดเจ็บของเส้นเอ็น จะเป็นอาการเจ็บแบบชัดเจนเมื่อมีการขยับข้อต่อ

    HOW TO ป้องกันการเจ็บปวด

    อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า อาการปวดหลังจากการออกกำลังกาย โดยทั่วไปนั้น เกิดได้จาก 3 สาเหตุ เพราะฉะนั้น การป้องกันให้ตรงจุด จึงสำคัญอย่างยิ่ง โดยสามารถปฏิบัติตามได้ ดังนี้

    1. ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี หากการเจ็บปวดนั้น เกิดจากระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี ก็อาจเป็นเพราะเส้นเลือดไม่สะอาด มีไขมันพอกเส้นเลือดมาก หรือในบางคน ที่มีภาวะทางพันธุกรรมเส้นเลือดตีบง่าย จึงทำให้การไหลเวียนโลหิตมีปัญหา การดูแลสุขภาพโดยรวม และหมั่นตรวจเช็กระดับไขมันในเลือด จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย นอกจากนี้ ยังควรหมั่นเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ เพื่อให้การไหลเวียนของเลือด ป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จะเริ่มจากการลุกจากโต๊ะทำงานบ่อย ๆ หรือใช้บันไดแทนลิฟต์ก็ได้เช่นกัน

    ในขณะที่ฮอร์โมนในผู้หญิง ก็เป็นอีกสาเหตุที่ไม่อาจมองข้ามได้ โดยเฉพาะ ฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดสำหรับผู้หญิง ซึ่งช่วงอายุที่สามารถใช้ยาคุมกำเนิดได้ คือ 18 – 35 ปี โดยพบว่าหากยังใช้ยาคุมกำเนิดหลังจากนั้น ฮอร์โมนจากยาคุมกำเนิด จะเริ่มสร้างความเสี่ยงให้ผนังหลอดเลือดตีบลงเรื่อย ๆ จนทำให้เกิดปัญหาการไหลเวียนของเลือดตามมา

    2. ระบบไหลเวียนน้ำเหลืองมีปัญหา เป็นระบบที่มีกลไกการทำงานต่างจากระบบไหลเวียนเลือด ในขณะที่ระบบไหลเวียนเลือดนั้น มีหัวใจคอยปั๊มอยู่ตลอด แต่ระบบไหลเวียนน้ำเหลืองนั้น จะวิ่งไปมาตามจังหวะการเคลื่อนไหวของร่างกาย ซึ่งวิธีการดูแลระบบไหลเวียนน้ำเหลืองเพื่อไม่ให้เกิดอาการเจ็บปวดหลังออกกำลังกาย ก็คือ การนวดคลึงเบา ๆ บริเวณกล้ามเนื้อก่อนการออกกำลังกาย

    3. การบาดเจ็บจากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น โดยทั่วไปการบาดเจ็บแบบนี้ เกิดจาก 2 สาเหตุหลัก คือ เทคนิคการออกกำลังกาย หรือโครงสร้างร่างกายที่ไม่ดี เช่น หลังค่อม หรือเดินขาบิด เป็นต้น ซึ่งการป้องกันการบาดเจ็บ คือ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก โดยเลือกการออกกำลังกายบริหารแบบปานกลางจะดีที่สุด

    ส่วนอีกหนึ่งสาเหตุ ก็คือ ขาดการยึดเหยียดก่อนการออกกำลังกายนั่นเอง

    ดังนั้น การเตรียมความพร้อมก่อนออกกำลังกาย ทั้งการยืดเหยียดเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และการนวดคลึงบริเวณกล้ามเนื้อเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนน้ำเหลือง จึงเป็นสิ่งที่คนออกกำลังกายทั้งหลายควรให้ความสำคัญ

    FIRST AID TIPS

    ในกรณีที่เกิดการบาดเจ็บ สิ่งแรกที่ควรทำ คือ การประคบเย็น และหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวบริเวณนั้น จากนั้น ให้สังเกตอาการตัวเอง โดยถ้าลักษณะการบาดเจ็บนั้นเห็นเป็นอาการห้อเลือด บวม หรือไม่สามารถขยับส่วนปลายของอวัยวะนั้นได้ ก็อาจเป็นสัญญาณของการบาดเจ็บชั้นที่ลึกลงไป ซึ่งในกรณีนี้ควรรีบพบแพทย์จะดีที่สุด

    เรื่อง นายแพทย์สมบูรณ์ รุ่งพรชัย เรียบเรียง ชวลิดา เชียงกูล ภาพจาก Pixabay

    ชีวจิต 523 – คู่มือหยุดปวดตั้งแต่หัวจรดเท้า

    นิตยาสารรายปักษ์ ปีที่ 22 : 16 กรกฎาคม 2563

    – – –  – – – – –  – – – – –  – – – –  – – – –  – – –  – – –  – – –  – – –  – –  – –

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การวิ่ง บอกลาเข่าเสื่อม พร้อมเทคนิควิ่งเสริมข้อแข็งแรง

    5 เทคนิควิ่ง วิ่งอย่างไร ไม่ปวดเข่า

    ท่าบริหารข้อเท้า และหัวเข่า ทำทุกวัน ไม่มีปวด

    3 เทคนิคแก้ เข่าเสื่อม ประหยัดเงินแสน

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสาชีวจิต

    นุ่น สินิทธา , วิตามิน

    เผยวิธีเลือกกินวิตามิน แบบฉบับ นุ่น สินิทธา

    เทคนิคกินวิตามินธรรมชาติ สไตล์ นุ่น สินิทธา

    ชีวจิตได้มีโอกาสพูดคุยกับ นุ่น สินิทธา บุญยศักดิ์ อดีตนักแสดงยุค 90 ปัจจุบันเธอสนใจ สุขภาพจริงจัง และได้ลงเรียนหลักสูตร Nutrition Science จากมหาวิทยาลัย Stanford University ประเทศสหรัฐอเมริกา กลายเป็น Health Coach ที่ส่งต่อความรู้วิถีกินอยู่เพื่อสุขภาพของคนไทย ฉบับนี้เราจึงชวนคุณนุ่นมาร่วมแชร์เทคนิคการกิน วิตามินที่นอกจากทำให้เราสุขภาพแข็งแรง สดชื่น เบิกบาน แล้ว ยังไม่เสียสุขภาพทรัพย์ในกระเป๋าเนื่องจากกินผิด หรือกินเกินด้วย

    วิธีเลือกกินวิตามิน แบบฉบับ นุ่น สินิทธา

    มุมมองเกี่ยวกับการกินวิตามิน คุณนุ่นแชร์มุมมองเรื่องการกินวิตามินไว้ว่า

    “โดยส่วนตัวมองว่าควรกิน Real Food หรืออาหาร ที่แท้จริงก่อน เพราะในอาหารแต่ละอย่างมีวิตามิน ที่หลากหลาย อาหารหนึ่งชนิดมีสารอาหารอย่างน้อย 3 ชนิดเสมอ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินและเกลือแร่ เพราะฉะนั้นหากกินอาหารถูกต้อง เราไม่จำเป็นต้องกิน วิตามินเสริมหรือกินเพราะคิดเอาเองว่าร่างกายน่าจะขาด”

    ส่วนสาเหตุที่ทำให้เราขาดวิตามินได้นั้น คุณหุ่น อธิบายว่า

    “ถ้าเป็นคนที่กินแต่อาหารประเภท Processed Food อย่างเดียว หรือกินแต่กลุ่มอาหารสำเร็จรูปอย่างเดียว เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป พิชซ่า หรืออาหารแช่แข็ง สำเร็จรูป อาจทำให้ร่างกายขาดวิตามินได้ เพราะอาหาร กลุ่มนี้จะสูญเสียวิตามินและเกลือแร่จากกระบวนการผลิต ทีซับซ้อน นอกจากนี้อาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูปมักมี การเติมสารต่าง ๆ ลงไป ทำให้ร่างกายเกิดภาวะผิดปกติได้

    “การกินอาหารซ้ำๆเดิมๆบ่อย ๆ เช่น ก๋วยเตี๋ยว ผัดชีอิ้ว ผัดกะเพรา ผัดพริกแกง วนอยู่แบบนี้ น้อยมากที่ในหนึ่งวันจะกินผักหลากหลาย เช่น มื้อนี้กินมะระ อีกมื้อกินตำลึง ทำให้เกิดความเสี่ยงภาวะขาดวิตามิน

    “นอกจากนี้ไลฟ์สไตล์บางอย่างยังส่งผลต่อภาวะ ขาดวิตามินในร่างกายได้ เช่น การกินยาบางชนิดทำให้ร่างกายขาดวิตามินโดยไม่รู้ตัว”

    เช็กอาการขาดวิตามิน

    สำหรับอาการขาดวิตามินนั้นสามารถเช็กได้จาก

    “การจะสังเกตว่าตอนนี้ร่างกายเราขาดสารอาหารอะไร ก็มีวิธีสังเกตง่าย ๆ เช่น ดูว่าเล็บเป็นคลื่นหรือไม่ ที่เล็บมีดอกขาว ๆ หรือจุดสีดำ ๆ มั้ย ถ้าเป็นก็อาจจะขาดโปรตีน แคลเซียม สังกะสี เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินเอ วิตามินบี หรือถ้าขาดไอไอดีนก็จะเกิดภาวะคอพอก คนที่เลือดออกตามไรฟันก็อาจจะขาดวิตามินซี ช่วงไหนอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ง่วงซึม ไม่สดชื่น ตื่นเช้ามารู้สึกสะลืมสะลือ ร่างกายอาจขาดวิตามินบี 2 บี 3 บี 5 บี 6 บี 9 บี 12 วิตามินซี วิตามินดี เหล็ก และแมกนีเซียม เป็นต้น

    “ต้องหมั่นสังเกตร่างกายตัวเองดี ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็น เรื่องเฉพาะตัวที่เราจะต้องรู้เอง ต้องศึกษาว่าเมื่อร่างกาย เกิดความผิดปกติก็ควรต้องไปพบแพทย์”

    เช็กให้ชัวร์ว่าขาดจึงเสริม

    สำหรับคุณนุ่น เธอเลือกกินอาหารธรรมชาติเพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินธรรมชาติเป็นอันดับแรก ส่วนการกินวิตามินเสริมนั้น เธอมีแนวคิดดังนี้ค่ะ

    “ก่อนกินวิตามินก็ควรรู้ก่อนว่าร่างกายขาดสารอาหารหรือไม่ ไม่ใช่คิดว่าร่างกายขาดแล้วไปซื้อมากินเลย ควรไปตรวจร่างกายหรือรู้จักร่างกายและพฤติกรรมตัวเอง เช่น อายุเท่าไร เพศไหน มีโรคประจำตัวหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่าการกินอาหารทุกมื้อ ร่างกายก็ได้รับวิตามินอยู่แล้ว การเสริมวิตามินบางชนิดที่เกินจำเป็นอาจส่งผลเสีย หรือทำให้เสียเงินไปเปล่า ๆ

    “โดยสรุปส่วนตัวมองว่าวิตามินมีความจำเป็นต่อร่างกาย แต่เราควรเลือกกินจากอาหารก่อน และถ้าจะให้ดีควรเลือกกินอาหารตามฤดูกาล การซื้อวิตามินเสริมมากินควรทำตอนที่ร่างกายขาด อย่ากังวลว่ากินอาหารจะได้รับวิตามินไม่เพียงพอ ถ้าเรากินอย่างถูกต้องยังไงก็พอ ถ้าร่างกายได้รับพอแล้ว ไปซื้อวิตามินมากินเสริมอีก เมื่อเยอะเกินไปก็อาจเกิดโทษได้”

    วิธีเลือกกินวิตามิน แบบฉบับ นุ่น สินิทธา

    คุณนุ่นยกตัวอย่างการกินอาหารธรรมชาติที่ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินธรรมชาติว่า

    “อาหารธรรมชาติล้วนอุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่อยู่แล้ว เช่น วิตามินดีที่พบในอาหารจำพวกเห็ด ปลาทูน่า ปลาแมดเคอเรล และปลาแซลมอน หรือการตากแดดเช้า ๆ ก็ทำให้ร่างกายสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้ ป้องกันโรคกระดูกพรุน พูดถึงกระดูกพรุน ขอแนะนำเรืองแคลเซียมด้วย เพราะถ้าเราไปซื้อแคลเชียมมากิน เพื่อป้องกันกระดูกพรุน แต่ไม่ได้กินวิตามินดีร่วมกัน ก็จะทำให้การดูดซึมแคลเซียมไม่ได้ประสิทธิภาพ หรือถ้ากินแคลเซียมมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดหินปูนอุดตันหลอดเลือดได้

    “หากอยากได้รับแคลเซียมจากอาหาร กินปลาเล็กปลาน้อย กินปลาหลังเขียวก็ได้แคลเซียม กินกุ้งทั้งเปลือกก็ได้แคลเซียม หรือจะกินถัวก็ได้ เพราะฉะนั้นแคลเซียมจากอาหารมีหลากหลาย ชนิดมาก”

    ในส่วนเทคนิคการกินวิตามินสไตล์คุณหุ่น เธอแนะนำดังนี้

    “ตัวเองเป็นคนดื่มกาแฟที่มีสารกาเฟอีน ร่างกายจะสูญเสียแมกนีเซียมกับโพแทสเซียม เพราะกาเฟอื่นจะขับเกลือแร่เหล่านี้ออกจากร่างกาย ซึ่งแมกนีเซียมมีส่วนสำคัญต่อระบบประสาทส่วนกลาง ฉะนั้นก็ต้องกินแมกนีเซียมเสริม เพื่อให้ความจำและระบบประสาทส่วนกลางทำงานได้ดี

    “ดังนั้นโดยส่วนตัวจะกินแมกนีเซียม และจะต้องอ่านฉลากให้ถี่ถ้วน เพราะฉลากจะเป็นสิ่งที่บอกว่าวิตามินชนิดนั้นมีสารอะไรอยู่บ้าง และโดยส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบกินวิตามินรวม เพราะไม่สามารถรู้เลยว่าในวิตามินรวมนั้นใส่มาครบหรือไม่

    “ยกตัวอย่างเมื่อเช้าหุ่นกินอาหารที่มีมันหวานและอะโวคาโด แต่ก็เสริมด้วยแมกนีเซียม เพราะเรารู้ว่าร่างกายยังต้องการแมกนีเซียมอยู่ แม้ว่าจะได้รับโพแทสเซียมและแมกนีเชียมจากอะโวคาโดและมันหวาน แต่อาจไม่มีตัวที่ช่วยการทำงานของระบบสมองโดยตรง ก็ต้องเสริมบ้าง แต่จะให้ความสำคัญกับการเลือกกินจากอาหารหลักก่อน เพราะหากร่างกายของเราไม่ขาดสารอาหาร ก็ไม่จำเป็นต้องกินเสริม”

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    กินอยู่ครบสูตร ด้วยผักผลไม้ ต้านโรคเอสแอลอี โรคภูมิแพ้

    Antioxidant Food ผักมีสารต้านอนุมูลอิสระ ตัวช่วยสยบมะเร็ง

    ชวน เลือกพรีไบโอติกส์ ในผักและผลไม้ (กินเลยลำไส้ดี)

    รวม FAD DIETS เทรนด์ อาหารลดน้ำหนัก หุ่นดี ไม่เสียสุขภาพ

    ลิ่มเลือดอุดตัน รู้ทัน ป้องกันได้ก่อนสายเกินแก้!

    เช็กความเสี่ยงโรคร้ายจากกรุ๊ปเลือด

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Facebook : นิตยสารชีวจิต
    Instagram : Cheewajitmedia
    TikTok : cheewajitmediaofficial

    กรุ๊ปเลือดบอกโรค

    เช็กความเสี่ยงโรคร้ายจากกรุ๊ปเลือด กรุ๊ปเลือดบอกโรค ได้นะ

    กรุ๊ปเลือดบอกโรค ได้นะ

    ใครอยากรู้เรื่อง กรุ๊ปเลือดบอกโรค ยกมือขึ้น!! กรุ๊ปเลือด คือหนึ่งในความอัศจรรย์ของร่างกาย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 4 กรุ๊ป ได้แก่ เอ(A) บี(B) เอบี(AB) และโอ(O) กล่าวคือ ในแต่ละกรุ๊ปเลือดจะมีแอนติเจน(Antigen) ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันอยู่บนเม็ดเลือดแดง ส่งผลให้สุขภาพของคนแต่ละกรุ๊ปเลือดมีความแข็งแรง หรือเสี่ยงต่อการเกิดโรคแตกต่างกันไป วันนี้ชีวจิตจะนําเสนอความเสี่ยงการเกิดโรค หรืออาการผิดปกติของคนแต่ละกรุ๊ปเลือดดังนี้

    ความเครียด

    ศูนย์การแพทย์ทหารผ่านศึก ประเทศสหรัฐอเมริกาเชื่อว่า ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เกี่ยวข้องกับความ เครียดของคนแต่ละกรุ๊ปเลือดมีความแตกต่างกัน สําหรับคนที่มีกรุ๊ปเลือดเอมีการหลั่งของฮอร์โมนคอร์ติซอลมากผิดปกติจึงเป็นสาเหตุให้คนกรุ๊ปเลือดเอ มีความเครียดสะสมมากกว่าคนกรุ๊ปเลือดอื่นๆ

    มะเร็งตับอ่อน

    นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์มะเร็งวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า   คนที่มีกรุ๊ปเลือดเอ บี และเอบี สามารถเหนี่ยวนําเชื้อแบคทีเรีย H.pylori บริเวณตับและลําไส้ ให้เป็นมะเร็งตับอ่อนได้ แต่สําหรับคนที่มีกรุ๊ปเลือดโอ ที่ไม่มีแอนติเจนบนเม็ดเลือดแดง พบว่ามีความเสี่ยง เป็นโรคนี้น้อยกว่าคนกรุ๊ปเลือดอื่นๆโรคหัวใจ: จากการศึกษาของสถาบันวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า ผู้ป่วยโรคหัวใจมากกว่า 23 เปอร์เซ็นต์ มีกรุ๊ปเลือดเอบี จึงถือเป็นกรุ๊ปเลือดที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคหัวใจมากกว่ากรุ๊ปเลือดอื่นๆ

    อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยที่ได้อ้างอิงมาข้างต้นนั้น ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมโดยละเอียดอีกครั้ง และถึงแม้ว่าคุณจะไม่สามารถเปลี่ยนกรุ๊ปเลือดได้ แต่คุณสามารถเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตได้ โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนอาหารที่รับประทาน เน้นผักผลไม้ ลดแป้ง และน้ำตาล ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้ก็ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆ ได้แล้วค่ะ

    กรุ๊ปเลือดบอกโรค

    กรุ๊ปเลือดบอกโรค

    การดูแลสุขภาพแบบของคนแต่ละกรุ๊ปเลือด

    ชาวกรุ๊ป A เป็นสายกินผัก

    คนกรุ๊ปเลือดเอเหมาะแก่การเลือดรับประทานอาหารประเภทมังสวิรัติ และอาหารจำพวกโปรตีนจากถั่วเหลือง เต้าหู้ ปลา ผัก-ผลไม้ ธัญพืช สำหรับอาหารประเภทเนื้อสัตว์เราทานได้บ้าง แต่เลือกเป็นเนื้อไก่จะดีที่สุด เพราะในกระเพาะคนกรุ๊ปเอมีระบบย่อยอาหารน้อย ทำให้ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ยาก

    ความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค

    คนกรุ๊ปเลือดเอ มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรงมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ความอ้วนไปจนถึงความเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ เช่น ไข้หวัด หอบหืด ภูมิแพ้ เป็นต้น สาเหตุของร้อนก็คือการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม เช่น รับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไป จึงทำให้เกิดการสะสมของสารพิษ เพราะระบบการย่อยทำงานได้ลำบากกับการย่อยเนื้อสัตว์ หรือกินถั่วบางชนิดเข้าไปซึ่งทำให้ขัดขวางการผลิตอินซูลินจึงเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ส่วนปัญหาเรื่องภูมิแพ้หอบหืด ก็เป็นเพราะรับประทานอาหารจำพวกนมเนยมากเกินความต้องการของร่างกาย

    ชาวกรุ๊ป B รักการกิน

    ชาวกรุ๊ปบีมีระบบการย่อยอาหารที่ทำงานได้ดีทำให้ชาวกรุ๊ปเลือดนี้มีรูปร่างค่อนข้างสมส่วน แต่ก็ไม่ได้มีไปซะทุกเพราะมีภูมิคุ้มกันที่่อ่อนแอ ควรรับประทานที่มีประโยชน์เพื่อขับสารพิษ

    ความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค

    เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรือโรคร้ายแรงอื่นๆ เนื่องจากคนกรุ๊ปเลือดบีมีระบบการสร้างภูมิคุ้มกันที่ค่อนข้างอ่อนแอ หากรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมกับร่างกายเข้าไปก็อาจเกิดการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้

    ชาวกรุ๊ป AB  ประสบปัญหาเรื่องระบบการเผาผลาญ

    พลังงานในร่างกายไม่มีประสิทธิภาพดีนัก หากไม่ใส่ใจเรื่องอาหารและการออกกำลังกายก็มีสิทธิ์อ้วนได้เช่นกันน

    ความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค

    โรคที่พบบ่อยๆ ในเหล่าคนกรุ๊ปเลือดนี้ คือ  โรคภูมิแพ้ แผลอักเสบเรื้อรัง และโรคร้ายบางอย่าง อาทิ เช่น โรคมะเร็ง โรงหัวใจ สาเหตุมาจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายตอบสนองต่อสิ่งเร้ามากเกินพอดี การรับประทานอาหารตามกรุ๊ปเลือดจะสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายได้มากขึ้น

    ชาวกรุ๊ป O ชอบกินเนื้อสัตว์

    ชาวกรุ๊ปโอ ชั่งน่าอิจฉา จะชอบกินเนื้อสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งเป็นเหตุผลให้คนกรุ๊ปโอด้วยการชอบรับประทานเนื้อสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ เนื่องจากมีระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดี เพราะมีกรดไฮโดรคลอริคในกระเพาะอาหารสูง เหมาะแก่การย่อยอาหารจำพวกเนื้อสัตว์เป็นอย่างยิ่ง

    ความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค

    ระบบการทำงานในกรุ๊ปโอเกี่ยวเนื่องกันกับต่อมไทรอยด์ หากทำงานมากเกินจนผิดปกติจะทำให้รูปร่างผอมแห้ง น้อยมากเกินไปน้ำหนักตัวก็ขึ้นมา จากเดิมใได้

    เอาเป็นว่าใครกรุ๊ปเลือดอะไรลองเช็กกันดู  ที่สําคัญต้องเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลสุขภาพด้วย!!

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    กินอยู่ครบสูตร ด้วยผักผลไม้ ต้านโรคเอสแอลอี โรคภูมิแพ้

    Antioxidant Food ผักมีสารต้านอนุมูลอิสระ ตัวช่วยสยบมะเร็ง

    ชวน เลือกพรีไบโอติกส์ ในผักและผลไม้ (กินเลยลำไส้ดี)

    รวม FAD DIETS เทรนด์ อาหารลดน้ำหนัก หุ่นดี ไม่เสียสุขภาพ

    ลิ่มเลือดอุดตัน รู้ทัน ป้องกันได้ก่อนสายเกินแก้!

    ติดตามชีวจิตได้ที่ :

    Facebook : นิตยสารชีวจิต
    Instagram : Cheewajitmedia
    TikTok : cheewajitmediaofficial

    ข้าวไรซ์เบอร์รี่,ข้าวกล้อง

    ปรับความเข้าใจ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ VS ข้าวกล้อง แตกต่างกันอย่างไร

    ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ไม่ใช่ ข้าวกล้อง นะคะ

    ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวกล้อง ข้าวหอมมะลิ สารพัดพันธุ์ข้าวไทยคงทำให้หลายคนสับสนกับการเลือกข้าวเอามาก ๆ เพราะในไทยมีพันธุ์ข้าวดี ๆ หลากหลาย กรรมวิธีผลิตยิ่งทำให้คุณประโยชน์แตกต่างกัน

    และถ้าพูดกันในเรื่องสุขภาพ คงหนีไม่พ้น ข้าวกล้องกับข้าวไรซ์เบอร์รี่ ที่เป็นชื่อข้าวที่ติดหู ได้ยินบ่อยสุด แต่ทุกวันนี้ยังมีหลายคนเข้าใจผิดอยู่ ด้วยความที่ข้าวไรซ์เบอร์รี่มีสีเข้ม จึงคิดว่าเป็นข้าวกล้อง แต่ความจริงแล้ว สองอย่างนี้ไม่ใช่อย่างเดียวกัน หรืออาจเป็นอย่างเดียวกันก็ได้ ผู้เขียนจะหยิบยกข้อมูลมาอธิบายกันให้เข้าใจค่ะ

    ว่าด้วย ข้าวไรซ์เบอร์รี่

    อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ ศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าวและหน่วยปฏิบัติการค้นหาและใช้ประโยชน์ยีนข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน ระบุว่า

    ข้าวไรซ์เบอร์รี่ (Riceberry) เป็นข้าวเจ้าพันธุ์ใหม่ที่ได้รับการคัดเลือกและพัฒนาพันธุ์ โดยการผสมข้ามพันธุ์ระหว่าง ข้าวเจ้าหอมนิล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (พันธุ์พ่อ) กับ ข้าวขาวดอกมะลิ 105 (ข้าวหอมมะลิ) จากสถาบันวิจัยข้าว (พันธุ์แม่)  ผ่านการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโภชนาการสูง จนค้นพบข้าวเจ้าสีม่วงเข้ม เมล็ดเรียวยาว ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ สูงและมีคุณค่าทางโภชนาการโดยรวมดีเด่น 1 สายพันธุ์ในปี พ.ศ. 2548 โดยให้ชื่อพันธุ์ว่า ไรซ์เบอร์รี่  

    ข้าวไรซ์เบอร์รี่,ข้าวกล้อง

    ข้าวไรซ์เบอรี่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ในระบบการย่อยกากเส้นใยนั้นร่างกายจะใช้เวลานาน ทำให้น้ำตาลในแป้งของข้าวค่อยๆย่อยไม่เร็วจนเกินไป จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ และช่วยควบคุมไขมันในเส้นเลือดไม่ให้สูงจนเกินไป จากนั้นเส้นใยจะถูกขับถ่ายออกมาเป็นกากอุจจาระ ก็ทำให้ช่วยในการขับถ่ายได้ดีขึ้น และยังช่วยลดอาการท้องผูกได้อีกด้วย (รามา แชนแนล ตอน กินได้ กินดี ไม่มีอ้วน ตอน ข้าวขาว ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอรี)

    ว่าด้วย ข้าวกล้อง

    อ้างอิงข้อมูลจากฐานข้อมูลมหาวิทยาลัยราชภัฏ สวนสุนันทา ให้คำอธิบายเกี่ยวกับข้าวกล้องคร่าวๆ ว่า

    คือข้าวที่สีเอาเปลือก (แกลบ) ออกโดยที่ยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) อยู่ ข้าวกล้องจะมีสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี้มีคุณค่าอาหารที่มีประโยชน์มาก สำหรับข้าวขาวที่เรากินๆ กันอยู่นั้น เป็นข้าวที่เกิดจากการขัดสีหลายๆ ครั้ง จนเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าวหลุดออกไป จนเหลือแต่เนื้อในของข้าว  ข้าวกล้องบางคนเรียกกันติดปากว่า ข้าวซ้อมมือหรือข้าวแดง 

    ข้าวกล้อง,ข้าวซ้อมมือ,ข้าวแดง

    ข้าวกล้องจะมีจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวครบ ซึ่งเป็นส่วนที่มีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายสูง (รามา แชนแนล ตอน กินได้ กินดี ไม่มีอ้วน ตอน ข้าวขาว ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอรี)

    สรุปแล้วไม่เหมือนกันนะ

    จะเห็นได้ว่า สีเข้มของข้าวไรซ์เบอร์รี่ เป็นสีที่มาจากพันธุ์ข้าว อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นจุดเด่น ส่วนข้าวกล้องนั้น คือข้าวพันธุ์อะไรก็ได้ที่กระบวนการขัดสีนั้น ยังคงเหลือจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวเอาไว้ ซึ่งส่วนนี้จะมีโปรตีน วิตามินและแร่ธาตุ ดังนั้น ข้าวไรซ์เบอร์รี่คือข้าวพันธุ์หนึ่ง ที่จะเป็นข้าวกล้องหรือไม่ใช่ก็ได้ แล้วแต่ลักษณะของกระบวนการขัดสีนั่นเองค่ะ


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    รวมคุณประโยชน์ วิตามิน A / C / K / D / E

    ไม่อดมื้อเช้า เคี้ยวข้าวให้ละเอียด ช่วยอายุยืน ลดความอ้วนได้

    กินอะไรจึงทำให้แก่ช้า อ่อนกว่าวัย แข็งแรง สุขภาพดี

    วิธีเลือกซื้อวิตามิน และแร่ธาตุ อาหารเสริม ต้องเลือกซื้อยังไง

    10 SUPER FOODS น่าจับตามอง เพื่อสุขภาพที่ดี

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ปวดหัว ไมเกรน

    คู่มือเช็ก + แก้ไมเกรน โรคฮิตคนทำงาน

    คู่มือเช็ก + แก้ไมเกรน โรคฮิตคนทำงาน By หมอสันต์ ใจยอดศิลป์

    อยากเล่าถึงอาการปวดหัว และ แก้ไมเกรน ซึ่งมีหลายประเด็น

    ประเด็นที่ 1

    อาการปวดหัวมีหลายชนิด ไหน ๆ ก็พูดถึงอาการปวดหัวแล้ว ขอจาระไน ให้ท่านผู้อ่านทราบด้วยเสียเลยว่า อาการปวดหัวมีทั้งชนิดหาสาเหตุพบและหาสาเหตุไม่พบ ส่วนใหญ่จะเป็นชนิดหาสาเหตุไม่พบ เฉพาะพวกหาสาเหตุไม่พบนี้ยังแยกย่อยออกเป็น

    1. ปวดหัวแบบกล้ามเนื้อตึง (Tension Headache)

    มักปวดระดับน้อยถึงปานกลาง ไม่คลื่นไส้อาเจียน ไม่มีอาการของระบบประสาท ไม่เกี่ยวกับการออกแรงหรือเคลื่อนไหว มักสัมพันธ์กับความเครียด อดนอน หิว ใช้สายตามาก หรือเมื่อตำแหน่งศีรษะอยู่ผิดที่ การรักษาคือนอนให้พอ ลดการใช้สายตาลง ออกกำลังกายให้หายเครียด ถ้าปวดเมื่อยแถวคอ หลังหูก็บีบ ๆ นวด ๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ยา แต่ถ้าอยากใช้ยาก็ใช้แค่พาราเซตามอล ครั้งละ 500 – 1,000 มิลลิกรัม หรือแอสไพริน ครั้งละ 300 – 600 มิลลิกรัม ก็พอ

    2. ปวดหัวแบบไมเกรน (Migraine)

    เป็นการปวดแบบตุ้บ ๆ (Vascular Headache) ปวดครั้งหนึ่งกินเวลา 4 – 72 ชั่วโมง ถ้ามีอาการนำ (Aura) ที่เกิดจากการทำงานของระบบ ประสาทเสียสมดุลเป็นการชั่วคราว เช่น เห็นแสงสีวูบวาบ เรียกว่า Classic Migraine ถ้าไม่มีอาการนำเรียกว่า Common Migraine มักคลื่นไส้อาเจียน ปวดหัวข้างเดียว มักมีอาการแพ้แสง นอนไม่หลับ ซึมเศร้าร่วมด้วย และมักเป็นโรคกรรมพันธุ์

    3. ปวดหัวแบบคลัสเตอร์ (Cluster Headache)

    เป็นการ ปวดรุนแรงเฉพาะบริเวณที่เลี้ยงโดยเส้นประสาทสมองคู่ที่ห้า (Trigeminal Nerve) มักเกิดขึ้นที่หลังลูกตาหรือที่เบ้าตา ร่วม กับมีอาการจากการทำงานของเส้นประสาทอัตโนมัติ เช่น น้ำมูก น้ำตาไหล เหงื่อออกบนใบหน้า ตาแดง หนังตาบวมหรือ หนังตาตก โดยที่เป็นอยู่ซีกเดียว มักเป็นมากจนลุกลี้ลุกลน อยู่ไม่สุข ถ้ายาธรรมดาเอาไม่อยู่ การรักษาอาจต้องใช้ยาแรง ไปหาหมอดีกว่า

    ส่วนกลุ่มปวดหัวที่มีสาเหตุ ยังแยกย่อยออกเป็นสองพวก คือ พวกสาเหตุอยู่นอกสมอง เช่น ตา หู โพรงไซนัส เป็นต้น และพวกสาเหตุอยู่ในสมอง เช่น หลอดเลือดโป่งพอง หลอด เลือดแตก ลิ่มเลือดอุดหลอดเลือด เนื้องอกสมอง

    ประเด็นที่ 2

    คนขี้ปวดหัว หมายถึงคนที่ชอบปวดหัว ทุกคน ซึ่งควรต้องรู้วิธีวินิจฉัยตัวเองว่าการปวดหัวครั้งนี้ซีเรียส หรือเปล่า ก็เช็กง่าย ๆ ก่อนว่ามี “สัญญาณร้าย” อย่างใดอย่างหนึ่ง ต่อไปนี้ไหม

    1. ปวดแบบสายฟ้าฟาด (Thunderclap) ปวดเร็ว แรง ทันทีถึงขีดสุดในเวลาไม่เกิน 5 นาที ปวดจนปลุกให้ตื่นขึ้น หรือ ปวดแบบไม่เคยเป็นมาก่อน
    2. ปวดศีรษะครั้งแรกในคนไข้อายุมากกว่า 50 ปี คนไข้ เอดส์ หรือคนไข้มะเร็ง
    3. ลักษณะการปวดเปลี่ยนไปจากที่เคยเป็น รวมถึงความถี่ และอาการร่วม
    4. มีอาการและอาการแสดงของระบบประสาทร่วม รวมถึง การมองเห็นผิดปกติ คอแข็ง หรืออาการไม่เฉพาะที่ (Non-Focal) เช่น สูญเสียความจำ
    5. มีข้อมูลส่อว่าเป็นโรคในระดับทั่วร่างกาย (Systemic Disease) เช่น เป็นไข้ ความดันเลือดสูง น้ำหนักลด เป็นต้น ถ้ามีสัญญาณร้ายเหล่านี้ก็แจ้นไปหาหมอได้ เพราะถ้าช้าอาจถึงตาย

    ประเด็นที่ 3

    คุณเป็นไมเกรนประจำโดยไม่มีสัญญาณร้าย ทั้ง 5 ข้างต้น แต่มันปวดประจำจะทำยังไงดี ตอบว่า วิธีรักษา ไมเกรนต่อไปนี้เป็นวิธีที่อาจอยู่นอกเหนือหลักการแพทย์ไปบ้าง นิดหน่อยนะ คือผมแนะนำว่า คุณจะต้องปรับการใช้ชีวิตของคุณ ไปอย่างสิ้นเชิง จำไว้ว่าวิถีชีวิตแบบเดิมทำให้คุณเป็นไมเกรน เรื้อรัง ถ้าคุณยังทู่ซี้ใช้ชีวิตแบบเดิม คุณก็จะปวดหัวแบบเดิมไป ทั้งชาติ ดังนั้นคุณต้องปรับวิธีใช้ชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง ดังนี้

    1. จัดเวลาดูแลตัวเองวันละหนึ่งชั่วโมง ปิดโทรศัพท์ งดดูทีวีหรือหน้าจอทุกชนิด ใช้เวลานี้ดูแลตัวเองเท่านั้น จะเป็นการออกกำลังกาย รำมวยจีน โยคะ นั่งสมาธิ หรือ นั่งอยู่เฉย ๆ ท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบ ๆ ก็ได้
    2. ต้องออกกำลังกายแบบแอโรบิกให้ถึงระดับหนักพอควร คือหอบแฮก ๆ จนร้องเพลงไม่ได้ อย่างน้อยครั้งละครึ่งชั่วโมง ทุกวัน หรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 – 6 วัน เพราะการออกกำลังกาย แบบแอโรบิกจะทำให้เกิดการหลั่งสารเอนดอร์ฟินขึ้นในร่างกาย ซึ่ง จะรักษาอาการปวดหัวได้
    3. ต้องปรับอาหารด้วย คือ กินอาหารที่มีพืชแยะ ๆ แบบ สด ๆ ไม่หมักดองหรือเก็บไว้นาน พืชซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ลดการอักเสบได้ดี เช่น ผักสวนครัว ขมิ้นชัน แฟลกซ์ซี้ด ก็ควรหามากินบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่กระตุ้นระบบ ประสาทส่วนกลาง เช่น แอลกอฮอล์ กาแฟ หลีกเลี่ยงยา ที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางทุกชนิด รวมทั้งยาคลายกังวล ยาต้านซึมเศร้า ยานอนหลับ
    4. ข้อนี้เป็นไฮไลต์นะ คือทุกเวลานาทีในชีวิตประจำวันให้ หัดปล่อยวางความคิดและผ่อนคลายตัวเอง โดยต้องหัดเทคนิค พื้นฐานสองเทคนิคนี้บ่อย ๆ คือ

    – เทคนิคลาดตระเวนร่างกาย (Body Scan) โดยหายใจเข้า ลึก ๆ หายใจออกช้า ๆ แล้วลาดตระเวนความสนใจไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจากหัวจรดเท้า มีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นบนผิวหนัง (เช่น เหน็บ ชา เจ็บ คัน อุ่น วูบวาบ ขนลุก) ก็รับรู้ ความรู้สึกที่รับรู้ได้จากการลาดตระเวนร่างกายนี้เรียกว่า “ปีติ” อย่าไปแปลคำนี้นะ เพราะมันใช้ได้หลายความหมาย ในที่นี้ผมหมายถึงความรู้สึกที่รับรู้ได้ ตามร่างกายเท่านั้น

    – เทคนิคผ่อนคลายร่างกาย (Muscle Relaxation) โดยหายใจ เข้าลึก ๆ หายใจออกช้า ๆ พร้อมกับสั่งให้กล้ามเนื้อทุกมัดบนร่างกาย ผ่อนคลายตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยเฉพาะบนใบหน้านั้นให้ใส่ใจสั่ง ให้ผ่อนคลายเป็นพิเศษ คลายหน้าผาก และยิ้มที่มุมปากนิด ๆ อยู่ คนเดียว หรือจะใช้วิธีหยิบกระจกแต่งหน้าขึ้นมาส่องแล้วยิ้มให้ ตัวเองในกระจกก็ได้ ผลจากการใช้เทคนิคนี้จะทำให้กล้ามเนื้อ ผ่อนคลาย เรียกว่า “สุข”

    คุณจะต้องทำให้ตัวเองมี “ปีติ” และ “สุข” อยู่ทั้งวัน แล้วสมาธิ จะเกิดขึ้น ระบบประสาทอัตโนมัติของคุณจะคลายตัว อาการปวดหัว ซึ่งเกิดจากระบบประสาทอัตโนมัติบีบหลอดเลือดก็จะหายไป

    1. เมื่อผ่อนคลายร่างกายได้จนจิตเริ่มมีสมาธิไม่ไปจมอยู่กับ ความคิดลบ ๆ ทั้งหลายแล้ว เวลาปวดหัวขึ้นมา ให้ฝึกรับรู้ อาการปวดหัวแบบยอมรับ ยอมแพ้ ไม่ต่อต้าน ไม่ขับไล่ คือ ลาดตระเวนความรู้สึกไปรอบ ๆ บริเวณศีรษะที่ปวด ทำความคุ้นเคย ด้วยความสนใจ อยากรู้อยากเห็น เมื่อคุ้นเคยแล้วก็ให้ชะแว้บ ความสนใจเข้าไปนั่งอยู่ใจกลางตรงที่ปวดแบบนั่งเป็นเพื่อนกัน หายใจช้า ๆ ตั้งใจรับรู้พลังงานความร้อนแรงของอาการปวด

    ในที่สุดพลังงานนั้นจะกลายเป็นพลังงานที่มาเติมเต็มชีวิต ให้คุณ แล้วคุณจะขอบคุณไมเกรนที่มาทำให้ชีวิตคุณมีพลัง มากขึ้น

    จาก คอลัมน์ WELLNESS CLASS นิตยสารชีวจิต ฉบับ 472


    บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

    อาหารใดกินเข้าไปแล้ว เสี่ยงปวดไมเกรน

    เมื่อเบาหวาน ทำเส้นเลือดเกือบแตก

    อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง กินอย่างไรช่วยให้โรคดีขึ้น ปลอดภัย

    โลว์โซเดียม เลือกยังไงให้ดีกับไต หัวใจ และหลอดเลือด

    ติดตามชีวจิตได้ที่ :

    Facebook : นิตยสารชีวจิต
    Instagram : Cheewajitmedia
    TikTok : cheewajitmediaofficial

    แชร์เรื่องต้องรู้ก่อนทำ บอลลูนหัวใจ

    บอลลูนหัวใจ อาการแบบไหนต้องทำ ก่อนทำตรวจยังไง

    พูดถึง บอลลูนหัวใจ หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวจนลืมสังเกตอาการ และความผิดปกติของร่างกาย วันนี้แอดเอาประสบการณ์จริง ของปอมอ หรือ คุณประมวล โกมารทัต นักเขียนรุ่นใหญ่ชื่อดัง ที่นักอ่านรุ่นเก๋าน่าจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว มาเล่าให้ฟังค่ะ เรียกได้ว่าเป็นการตรวจเจอโดยบังเอิญ และทำบอลลูนกันในวันนั้นเลย จะฉุกเฉินขนาดไหน อาการเป็นยังไง ลุงมวลมาให้ทุกคนฟังแล้วค่ะ

    บอลลูนหัวใจ

    วันที่ 15 พฤศจิกายน นี้ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เรียก “วันเพ็ญดือนสิบสอง” เป็น “วันลอยกระทง”

    วันนี้ยังได้ชื่อว่า “วันแปดพันล้าน” ด้วย

    องค์การสหประชาชาติตั้งให้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 วันที่ประชากรโลกมีจำนวน 8,000 ล้านคนพอดี 

    ส่วนวันที่ 11 กรกฎาคม ที่เป็น“วันประชากรโลก” เนื่องจากเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2530 ประชากรโลกมีจำนวน 5,000 ล้านคน แล้วองค์การสหประชาชาติก็ตั้งชื่อให้ว่า “วันห้าพันล้าน” ชาวโลกตื่นเต้นกันมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการตั้งชื่อวันในลักษณะนี้  ในปี 2533 สหประชาชาติจึงประกาศตั้งให้ วันที่ 11 กรกฎาคม เป็น World Population Day (ซะเลย)   

    ปีนี้ประชากรโลกเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 8.1 พันล้านคน อินเดียมีประชากรมากที่สุด โดยแซงจีนขึ้นมาครองอันดับหนึ่งแทน ส่วนประชากรไทยตามทะเบียนราษฎร์มี 66.05 ล้านคน (ในจำนวนนี้เป็นบุคคลไม่ใช่สัญชาติไทย 9.91 แสนคน) มากเป็นอันดับที่ 21 ของโลก (ชาติที่มีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับไทยคือ ฝรั่งเศส อันดับที่ 20 และอังกฤษ อันดับที่ 22)

    มีตัวเลขที่น่าสนใจของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ว่า ประชากรไทยเคยมีมากสุดถึง 66.56 ล้านคนเมื่อปี 2562 แล้วหลังจากนั้นก็ลดลงอย่างต่อเนื่องมาทุกปี เหตุเพราะคนไทยเกิดลดลง แต่ตายเพิ่มขึ้น อย่างล่าสุดเมื่อสิ้นปี 2566 มีคนเกิดใหม่ 519,660 คน แต่คนตายมีถึง 567,055 คน การลดลงของประชากรไทยมากขนาดนี้นับเป็นอัตราการลดลงเร็วที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก (รองจากญี่ปุ่น) แล้วยังคาดการณ์ว่า ในอีก 60 ปีข้างหน้า คือปี 2626 ประชากรไทยจะลดลงเหลือเพียง 33 ล้านคน !!!

    ตกใจหรือ

    อย่าเลย อย่าตกใจไป คนไทยเคยมีน้อยกว่านี้อีก จำได้ว่าเมื่อตอนที่ปอมออายุสักสิบขวบได้ (ก็ราว 70 กว่าปีมาแล้ว) มีเพลงปลุกใจเพลงหนึ่ง จบด้วยประโยคสุดท้ายว่า

    “18 ล้านภาคภูมิในใจ ชาติไทยไชโย”

    เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก     

    นี่ก็น่าสนใจนะ มาดูกัน คือเมื่อไม่นานนักมีตัวเลขสถิติแสดงว่า ประชากรโลกราว 26 % จะเสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 14 ปี และอีก 66 % จะเสียชีวิตที่อายุระหว่าง 15 – 64 ปี

    รวมแล้วประชากรโลกที่เสียชีวิตก่อนอายุ 65 ปี จะสูงถึง 92 %

    นั่นหมายความว่า ประชากรโลกจะมีชีวิตอยู่ถึง 65 ปีหรือกว่านั้น เพียง 8%   

    สถิตินี้ยังบอกอีกว่า ถ้าคุณยังไม่อยากตาย สู้ทนหายใจ สูดเอาออกซิเจน (ที่ไม่ค่อยจะสะอาดนัก) เข้าปอดไปเรื่อย ๆ จนอายุยืนยาวถึง 90 ปี หรือกว่านั้น คุณจะมีเพื่อนร่วมโลกที่อายุ 90 ปีหรือมากกว่าเพียง 2 % เท่านั้น

    นั่นคือ ในบรรดาประชากรโลกทุก 100 คน จะเหลือคนที่มีชีวิต 90 ปีขึ้นไปเพียงแค่ 2 คนเอง !

    นี่จะหาเพื่อนร่วมโลกวัยเดียวกันหรือมากกว่าได้น้อยนิดอะไรขนาดนี้เชียวหรือ

    แล้วไปตั้งชื่อเรื่องว่า “เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก” ทำไม

    อย่างนี้ต้องว่า “เพื่อนกินหาไม่ง่าย เพื่อนยังไม่ตายยิ่งหายากกว่า” ซี

    (เนอะ)

    โรคหัวใจนี่ช่างตายง่ายจังเลย

    จริงๆนะ ไม่กี่วันนี่เอง เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง วัยยังไม่ทันเกษียณ เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งไปพบหมอโรคหัวใจมาแท้ๆ

    เขาไม่ใช่นักดื่ม(แอลกอฮอล์) เพียงแค่พอจะร่วมวงกับเพื่อนสนิทๆ บ้างเป็นครั้งเป็นคราว อาหารที่กินก็ไทยๆ ธรรมดานี่แหละ แต่สูบบุหรี่จัดมาก คุณภรรยาของเขาเล่าว่า ไม่น่าจะต่ำกว่าวันละ 2 ซอง (อย่างนี้ต้องเรียก ขี้ยา แล้ว)  จะตรวจร่างกายประจำปีเกือบทุกปี (คือบางปีไม่ไป อ้างว่าสบายดีอยู่แล้ว จะเอาเงินไปแจกหมอทำไม !)

    จนวันหนึ่ง หลังกินมื้อค่ำแล้ว ก็งัดเอางานที่อุตส่าห์หอบจากที่ทำงานมาทำต่อที่บ้าน ทำไปอัดบุหรี่ไป สักพักเริ่มไอ (อย่างเคย) แต่วันนี้ดูจะหนักหน่อย ดังและถี่ ซ้ำมีอาการเหนื่อยผิดปกติอีก

    หายใจแรงจนเกือบจะเป็นหอบ บ่นกับภรรยาว่าแน่นหน้าอกและเจ็บนิดๆ คุณภรรยาเห็นว่ายังหัวค่ำจึงเอ่ยชวนไปหาหมอ (เจ้าประจำ) ที่คลินิกใกล้บ้าน

    “พรุ่งนี้เถอะ” ตามประสาคนชอบผัดวันประกันพรุ่ง

    คุณภรรยาเล่าว่า รุ่งเช้าไปต่อคิวที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง (ขอไม่เอ่ยนาม) พอดีเป็นวันเวรตรวจของคุณหมอผู้เคยตรวจกันจนคุ้น

    คุณหมอตรวจเน้นไปที่ช่วงอก พบว่าปอดอาจมีอะไรนิดหน่อยเพราะได้ยินเสียงเมื่อหายใจ แต่ไม่แรงนัก ส่วนเรื่องไอนั่นหมอว่าคงจะระคายคอเพราะบุหรี่มากกว่า ดูแล้วไม่น่าเกี่ยวกับปอด

    แต่หัวใจซี มีข้อบ่งชี้สำคัญบางอย่างที่ชวนสงสัยและน่ากังวล แต่ก็ยังไม่กล้าวินิจฉัยหรือชี้ชัดอะไรลงไป

    คุณหมอแนะนำว่า จากอาการทั้งหมด ที่มีเหนื่อยง่าย แน่นและเจ็บหน้าอก แม้จะนิดหน่อยก็ควรตรวจดูให้ละเอียดขึ้น เช่น ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แม้จนฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ เพราะมีความเป็นไปได้ที่จะมีความผิดปกติทั้งหัวใจและหลอดเลือด จะได้ดูการทำงานของหัวใจ และดูหลอดเลือดว่ามีตีบตันตรงไหนไหม ถ้าพบก็อาจต้องทำการขยายหลอดเลือดหัวใจกันเลยทีเดียว

    สรุปก็คือ คุณหมอสงสัยเรื่องหัวใจและหลอดเลือดหัวใจมากกว่าปอด

    คนไข้ฟังแล้วเฉยๆ ไม่ออกอาการวิตกกังวลอันใด ซ้ำยังต่อรองกับคุณหมออีก

    “ช่วงนี้ผมไม่ว่างเลย มีงานติดพัน ขออีกสามสี่วันค่อยมาใหม่ได้ไหมครับ”

    “ก็แล้วแต่คุณนะ หมอบังคับคนไข้ไม่ได้” น้ำเสียงคุณหมอดูเรียบ ๆ ทว่าออกทางกังวลๆ   

    “แต่ผมว่านี่เป็นเรื่องที่ควรจะเร็วหน่อยนะ”

    คนไข้ไม่พูดต่อ แต่กลับเอ่ยลาคุณหมอกลับบ้าน

    คุณภรรยาเล่าว่า เมื่อถึงบ้าน ดูเขาคงเหนื่อยมาก ตรงไปนั่งเอนตัวบนโซฟา แล้วเปิดโทรทัศน์ดูรายการโปรดที่มาพอดี  จุดบุหรี่สูบด้วยความเคยชิน แล้วเสียงไอก็ดังเป็นระยะๆ เธอไม่ทันได้ใส่ใจ  หันไปทำธุระอื่นๆ อยู่ภายในบ้าน

    บอลลูนหัวใจ

    จากนั้นประมาณสักหนึ่งชั่วโมง คุณภรรยาผ่านมาหน้าห้อง มองเห็นคุณสามีนอนเอกเขนกดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟา ไม่มีเสียงไอแล้ว ในที่เขี่ยบุหรี่มีที่ดับแล้ว 4 ก้น กับอีกหนึ่งมวนพาดอยู่ ไฟยังติดแต่ลามจนเถ้ายาวเฟื้อย เธอก็ไม่ได้สนใจ

    จนใกล้ค่ำ จึงกลับมาอีกครั้ง ตรงเข้าไปหาคุณสามี หมายว่าจะชวนไปเตรียมตัวกินอาหารด้วยกัน

    พบว่า….

    คุณสามีนอนหันหน้าไปทางจอโทรทัศน์ก็จริง แต่ดวงตาปิดสนิท คิดว่าคงหลับ จึงปิดโทรทัศน์แล้วเข้าไปสะกิดเพื่อให้รู้สึกตัวตื่น แต่ก็ต้องแปลกใจ เมื่อพบว่าร่างที่นอนอยู่ดูนิ่งผิดปกติ  หรือจะหลับสนิท เลยลองเขย่าเบาๆ  ก็ยังไม่รู้สึกตัว

    คุณภรรยาชักเอะใจ จึงก้มลงไปมองใกล้ๆ และจับแขนเขย่าแรงๆ  ยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อพบว่า ท่อนแขนตรงที่มือเธอสัมผัสนั้นเย็นอย่างประหลาด ด้วยความตกใจถึงขนาด จึงตะโกนเรียกลูกๆให้เข้ามาช่วยกัน…….

    ในที่สุด ร่างคุณสามีก็ไปถึงโรงพยาบาล (ที่มาเมื่อเช้า) อีกครั้ง

    ต่างกันเพียงว่า ค่ำนี้เขาไม่มีโอกาสได้พูดจาต่อรองอะไรกับคุณหมออย่างตอนเช้าอีกแล้ว

    ไม่มีแม้จะได้พูดได้จาหรือร่ำลาใครๆทั้งสิ้น ทั้งภรรยาและลูก

    (เพื่อนเอ๋ย น้องเอ๋ย เราจะพบกันอีก…. นะ)

    ประสบการณ์ทำ บอลลูนหัวใจ

    อีกเดือนกว่าๆ ก็จะครบ 12 ปีแล้วสำหรับประสบการณ์นี้ แต่ก่อนหน้านั้นหลายปี มีภารกิจประจำ คือต้องไปพบคุณหมอโรคความดันโลหิตสูงทุกสามเดือนตามนัด มีคุณภรรยา(คนเก่ง) คุมตัวไปส่งหมอทุกครั้ง

    จบจากเรื่องความดันโลหิตแล้ว คุณหมอจะต้องแถมเรื่องสุขภาพอื่นๆ ด้วย เช่นน้ำหนักตัว ที่เกิดจะต้องมาสูงขึ้นทุกทีที่เจอหน้าหมอ (สิน่า) แล้วคุณหมอก็จะพูดซ้ำๆ ด้วยประโยคเดิม ๆ (จนติดหู)

    “ลดๆ ลงหน่อยนา”

    วันหนึ่ง เมื่อตรวจกันเสร็จสรรพ กำลังจะร่ำลาคุณหมอกลับบ้าน คุณภรรยา(คนเก่ง) ก็เอ่ยขึ้นว่า

    “คุณหมอรู้สึกไหมคะ เสียงหายใจเขาดูแปลกๆ คล้ายเหนื่อย แต่ก็ไม่เคยบ่นเจ็บหรือแน่นหน้าอกเลยนะคะ”

    “เออ นั่นซี หมอก็รู้สึกเหมือนกัน” คุณหมอรีบรับลูกทันที (ใจเรานึกไปอย่างนั้นเองน่ะนะ)

    “เอางี้ พอดีวันนี้หมอว่าง เรามาทดสอบกันหน่อยไหมล่ะ” คุณหมอเสนอ

    “ลองไปเดินสายพานดู” พูดแล้วจ้องหน้าคนไข้

    “แล้วแต่ครับ ถ้าคุณหมอเห็นว่าควร”

    เคยเอ่ยปาก “ยกหัวใจให้คุณหมอ“ ตั้งแต่วันแรกที่พบกันเมื่อหลายปีก่อน ถ้าเห็นสมควรจะบำบัดรักษาท่าไหน เชิญเลยนะครับ (ที่เชื่อมือกันขนาดนี้ก็เพราะได้ศึกษาประวัติมาแล้วว่า คุณหมอท่านนี้เก่งและเชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจจริงๆ)

    “ตอนนี้เพิ่งห้าโมงเย็นเอง คุณกินอาหารครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่น่ะ”  

    “พอดีเมื่อเช้ายุ่งๆ และมีนัดมาหาคุณหมออีก ผมเลยกิน brunch สักสี่โมงเช้าได้ครับ”

    “งั้นไปกัน”

    อย่าเข้าใจผิดนะ คุณหมอไม่ได้ชวนไปกินข้าวหรอก แต่พาไปห้องออกกำลังกาย เพื่อให้ทดสอบร่างกายด้วยการเดินสายพาน หนึ่งในกระบวนการตรวจสอบการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งคนไข้จะต้องอดข้าวอดน้ำมาไม่ต่ำกว่า 4 – 6 ชั่วโมง พอดีเรากิน “บรั๊นช์” (คือกินรวบมื้อเช้ากับมื้อกลางวัน) นานเกิน 6 ชั่วโมงแล้ว จึงทดสอบได้เลย     

    คุณหมอให้เปลี่ยนเป็นชุดคนไข้ คุณผู้ช่วยพยาบาลเอาอุปกรณ์วัดระบบหายใจมาแปะที่หน้าอก แล้วให้ขึ้นสายพาน ก่อนแจ้งว่า จะให้เดินช้าๆ ก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นเร็วขึ้น ถ้ารู้สึกเหนื่อย หรือคิดว่าไม่ไหว ให้รีบบอก คุณหมอยืนคุมอยู่ข้างๆ

    คนไข้ก้าวเดินยาวๆ บนสายพานตามคุณหมอสั่ง เดินไปได้สักสองนาทีกว่าๆ ก็ขอหยุด เพราะรู้สึกเหนื่อยมาก

    “ปกติแล้ว ด้วยความเร็วขนาดนี้ ผู้ป่วยทั่วไปๆ จะอยู่ได้ไม่ต่ำกว่า 8 -10 นาที” คุณหมอไม่ได้บ่น แค่บอกให้รู้

    “งั้นกลับไปที่ห้องหมอก่อน ขอดูการทำงานของหัวใจหน่อย”    

    เมื่อมาถึง คุณหมอสั่งคุณพยาบาลประจำห้องให้จัดการพาไปนอนบนเตียง แล้วเอาอุปกรณ์การแพทย์สำหรับตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นแผ่นเป็นปุ่ม (หลายอัน) มีสายต่อระโยงระยาง มาปะมาปะตามจุดต่างๆบนร่าง

    “หมอจะตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจนะ”

    เรื่องใหญ่กำลังจะตามมา

    หลังการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเสร็จ ยังไม่ทันเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็มานั่งอยู่ตรงหน้าคุณหมออีกครั้ง (มีคุณภรรยาคนเก่งขนาบข้างตลอด)

    “หมอคิดว่า 90% น่าจะมีเส้นเลือดหัวใจผิดปกติแน่ ๆ อาจจะตีบที่ใดที่หนึ่งหรือหลายที่ แต่ถ้าจะให้ 100% ต้องฉีดสี เพื่อดูว่ามีการตีบตรงไหนและกี่เส้น” คุณหมอมองหน้าคนไข้ แล้วหันไปที่คุณภรรยา

    “เรื่องนี้ไม่ควรช้า ถ้าพบว่าตีบตรงไหน เราก็ใส่ stent ถ่างหลอดเลือดตรงนั้น” คุณหมอดูจริงจังมาก

    (สเตนท์ คือขดลวดตาข่ายทำด้วยโลหะผสมชนิดพิเศษขนาดพอๆกับหลอดเลือด ยาวราว 1 เซนติเมตร อาบน้ำยาสารโพลิเมอร์เพื่อช่วยการรักษาเฉพาะที่และลดการเติบโตของเนื้อเยื่อบริเวณนั้นไม่ให้กลับมาตีบอีก ทั้งช่วยลดความเสี่ยงหรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้)

    บอลลูนหัวใจ

    เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลเอกชน จึงมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง คุณหมอเปิดคอมฯดูแล้วแจกแจงว่า ในการตรวจหลอดเลือดหัวใจหาจุดตีบด้วยการฉีดสี หากพบว่าไม่มีการตีบตันตรงไหนเลย หรือพบว่ามีตีบตันแต่คนไข้ไม่ต้องการให้แพทย์ทำการรักษาต่อ จะคิดค่าใช้จ่ายเฉพาะการวิ่งสายพาน ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและฉีดสี  รวมทั้งหมด 3 หมื่นบาท แต่ถ้าให้ทำการรักษาต่อไป ด้วยการทำ บอลลูนหัวใจ ใส่สเตนท์ขยายหลอดเลือดหัวใจ จะคิดรวมในอัตราหนึ่งเส้น 150,000 บาท ถ้าสองเส้น 250,000 บาท ยังไม่รวมค่ายา และห้องนอนพักฟื้นพร้อมอาหารอีก 1-3 คืน หากตกลงทำ ญาติต้องลงชื่อรับรองการจ่าย และคนไข้ต้องลงชื่อยินยอมรับการรักษา (นี่เป็นอัตราเมื่อ 12 ปีก่อนนะ -เดี๋ยวนี้เท่าไรไม่รู้)

    “แล้วเราจะทำกันเมื่อไรค่ะ”

    “เดี๋ยวนี้เลย”

    คุณหมอตอบแบบไม่ต้องคิด เล่นเอาคนไข้ตกใจ เพราะยังไม่ทันได้ตั้งตัวน่ะ

    “นี่เพิ่งหกโมงกว่าๆ” คุณหมอดูเวลา แล้วพูดต่อ

    “หมอว่านะ ถ้าพบมีตีบตรงไหน เราก็จัดการทำบอลลูนใส่สเตนท์ไปเลย จะได้ไม่ต้องมาเริ่มกันใหม่”

    “หมอว่า คงเสร็จและได้กลับถึงห้องพัก ไม่เกินสองหรือสามทุ่ม”  

    “อยากให้เลยวันที่ 11 ไปก่อนได้ไหมครับ พอดีหลานผมจะเกิดวันนั้น” น่าจะเป็นด้วยนิสัยชอบต่อรองของผู้ชาย

    “อยากเห็นหน้าหลานวันแรกเกิดน่ะครับ”

    “ก็ตามใจคุณนะ หมอบังคับคนไข้ไม่ได้” คุณหมอพูดเสียงเนิบๆ

    “แต่นี่ก็เพิ่งวันที่ 4 มีเวลาอีกตั้งอาทิตย์ คงทันได้เห็นหน้าหลานแรกเกิดหรอก”

    “ทำไมต้องรีบด่วนล่ะคะ”  

    “เส้นเลือดหัวใจตีบนี่ ถือว่าอันตรายมาก” เสียงที่คุณหมอพูดดูขึงขังหนักแน่น

    “เรามองภายนอกไม่เห็น ว่ามันตีบตันมากน้อยแค่ไหน ผมไม่ได้ขู่ให้กลัวนะ แต่เรื่องนี้รับประกันกันไม่ได้หรอก เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ไม่เต็มที่ จนมีอาการเหนื่อยง่าย หายใจแรง แม้ยังไม่รู้สึกแน่นหรือเจ็บหน้าอก” พูดจบมองหน้าคนไข้ก่อนพูดต่อ

    “คุณเดินไปนี่ อาจล้มลงเมื่อไรก็ได้”

    “งั้นทำเลยค่ะ” จอมเผด็จการประกาศ (ด้วยความเคยชิน)

    กระบวนการฉีดสีหาจุดตีบในหลอดเลือดหัวใจ

    ถึงเวลานี้กลายเป็นคนไข้อย่างเต็มตัวไปแล้ว คุณพยาบาลเรียกรถเปลนอนมาให้คนเข็นไปห้องปฏิบัติการ  

    พบว่าเป็นห้องกว้างใหญ่ทีเดียว มีอยู่หลายเตียงห่างๆกัน บนเพดานสูงมีจอโทรทัศน์ขนาดราว 24 นิ้ว ประจำแต่ละเตียง แขวนห้อยลงทางปลายเท้าสูงเหนือศีรษะ เห็นภาพพอดีกับสายตา คงไว้ให้คุณหมอได้ดูชัดๆ ขณะทำหัตถการ (คิดเองนะ)

    ย้ายไปนอนบนเตียงเรียบร้อย คุณพยาบาลเข้ามาวัดระบบต่างๆ ของร่างกาย ทั้งอุณหภูมิ ความดันโลหิต และชีพจร  ส่วนเรื่องยาที่กินอยู่และอื่นๆ ไม่ต้อง เพราะเป็นคนไข้ประจำที่นี่จึงมีอยู่ในเวชระเบียนแล้ว

    จากนั้นคุณพยาบาลจึงมาฉีดยาชาที่ข้อมือขวา สักพักเดียวก็รู้สึกเหมือนไม่มีข้อมือและมือขวาแล้ว

    “เราจะเริ่มกันเลย”

    คุณหมอเดินเข้ามายืนใกล้ๆ เมื่อเห็นคุณพยาบาลจัดการทุกอย่างเสร็จ

    “ไม่ต้องกลัว หมอทำมาเกินกว่าพันรายแล้ว รับรองความปลอดภัย 99.99 %” ใจคิดว่าคุณหมอคงพูดเล่น

    (ในความเป็นจริงนั้น กรณีการผ่าตัดหรือปฏิบัติการลักษณะนี้ ล้วนมีความเสี่ยงทั้งสิ้น จึงไม่มีใครรับประกัน 100 % หรอกนะ สำหรับสารทึบรังสีที่ฉีดนี้มีสารไอโอดีนจากทะเลด้วย ถ้าคนไข้แพ้อาหารทะเลก็ต้องบอกก่อน)     

    “หมอจะเจาะหลอดเลือดแดงที่ข้อมือขวาของคุณ แล้วสอดสายพลาสติกอ่อนเล็กราว 2 มิลลิเมตร เล็กกว่าหลอดเลือดเล็กน้อย นำทางไปจนถึงเส้นเลือดหัวใจ แล้วจึงฉีดสารทึบรังสีเข้าไป ทำให้เห็นจุดที่มีการตีบตันของหลอดเลือด หมอเห็นและคนไข้ก็จะเห็นบนจอภาพนั่นด้วย”

    คุณหมออธิบายซะละเอียดเลย

    “ไม่มีการใช้ยาสลบ เพราะจะไม่เจ็บและไม่น่ากลัวเลย”

    ขณะที่คุณหมอฉีดสารทึบรังสีเข้าไปตามหลอดเลือดแดงนั้น ภาพที่ปรากฏบนจอข้างบน แสดงให้เห็นเลยว่าสารทึบรังสีเดินทางตามสายไปถึงไหน ๆ แล้ว รวมทั้งจุดที่ตีบของผนังหลอดเลือดก็จะได้เห็นชัดๆด้วยตาของคนไข้เองเลย

    ขณะคุณหมอสอดสายพลาสติกเข้าไปในหลอดเลือด คนไข้ไม่มีความรู้สึกเจ็บหรืออะไรเลย เมื่อถามคุณหมอ ก็ได้รับคำตอบว่า เพราะที่ผนังหลอดเลือดไม่มีระบบประสาทหรือเส้นประสาทนั่นเอง

    (ขอสารภาพตามตรงว่า ขณะนอนดูอยู่นั้นใจสั่นระทึกเชียว ทั้งเสียวทั้งตื่นเต้น แต่ก็ไม่ยอมหลับตา กลับจ้องมองอย่างตั้งใจ คล้ายจะเชียร์ให้เจอจุดตีบสักที แม้จะไม่น่าให้เจอเลย – เหมือนคนดูหนังผีก็อยากเห็นผีไง – ไม่ใช่อะไรหรอก ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยเห็นแบบนี้น่ะ)

    ใส่สเตนท์ขยายหลอดเลือด

    “หมอเห็นจุดตีบที่หลอดเลือดหัวใจทั้งหมด 3 เส้น แต่หมอจะทำบอลลูนขยายเพียง 2 เส้นเท่านั้นนะ เพราะอีกเส้นหนึ่งยังตีบน้อย เอาไว้ทีหลังได้”

    คนไข้ไม่พูดอะไร ฟังอย่างเดียวและรู้สึกเพลียๆ ง่วงๆ (คงตื่นเต้นมากไปบวกกับอากาศเย็นกำลังสบาย น่านอน)

    วิธีใส่สเตนท์ก็คือ คุณหมอจะสอดสายท่ออีกเส้นหนึ่งเข้าไปในสายแรก ตรงปลายสายใหม่นี้มีบอลลูนที่มีสเตนท์สวมอยู่ โดยยังไม่ได้ขยาย เมื่อเข้าไปถึงจุดที่ตีบแล้ว จึงขยายบอลลูนให้พองขึ้น สเตนท์ที่เป็นขดลวดตาข่าย(ที่ครอบบอลลูนอยู่) จะกางขยายออกตามไปด้วย 

    ไขมันและหินปูนที่ผนังหลอดเลือดถูกสเตนท์ที่ถ่างออกบีบดันจนแบนราบไปตามผนังหลอดเลือด หลอดเลือดตรงที่ตีบนั้นก็ขยายออก ทำให้เลือดไหลเป็นปกติ

    ที่เล่ามานั้นคือประสบการณ์ที่เห็นด้วยตาตัวเองนะ จนเมื่อทำสำเร็จแล้ว คุณหมอจึงเล่าให้ฟังว่า ท่านใส่สายสวนที่มีบอลลูนและสเตนท์ สอดแทรกเข้าไปตามสายท่อเส้นแรกจนถึงจุดที่หลอดเลือดตีบ แล้วใช้อุปกรณ์ภายนอกทำให้บอลลูนขยายตัวพองขึ้น สเตนท์ก็จะพองตาม และไปกดทับบีบไขมันกับหินปูนให้แบนราบไปตามผนังหลอดเลือด จากนั้นก็ทำให้บอลลูนแฟบลงและนำออกมาพร้อมสายท่อทั้งหมด ปล่อยให้สเตนท์ทำหน้าที่ถ่างผนังหลอดเลือดอยู่ เพื่อให้เลือดไหลไปตามหลอดเลือดได้เป็นปกติ สเตนท์นี้จะคงถ่างหลอดเลือดอยู่ตลอดไปไม่ให้กลับมาตีบอีก มีอายุใช้งานนาน 15 – 20 ปี หรือกว่านั้น  มีน้อยรายหรือแทบจะไม่มีเลยที่กลับมาตีบอีก (เหมือนคุณหมอช่วยขยายเรื่องราวที่เล่าไปตอนแรกทั้งหมดเลย เนอะ)

    หลังการ ขยายหลอดเลือดหัวใจ

    ตามความรู้สึก คิดว่าคุณหมอน่าจะใช้เวลาในการฉีดสีและทำบอลลูนใส่สเตนท์ขยายหลอดเลือดนี้ นานกว่าหนึ่งชั่วโมง  ข้อดีของการใช้วิธีเจาะตรงข้อมือก็คือ เมื่อทำเสร็จ คุณหมอก็เอาสายท่อและบอลลูนออกมาได้เลย แล้วปิดปากแผลที่ข้อมือไม่ให้เลือดไหลเท่านั้น เป็นอันเสร็จงาน ให้คนไข้นอนรถเปลเข็นมาส่งห้องพักฟื้นได้เลย

    (แอบถามคุณหมอภายหลังว่า ทำไมไม่เจาะแถวข้อพับอื่น เช่นที่ศอกหรือรักแร้ ซึ่งใกล้หัวใจกว่า คำตอบคือ เคยทำแล้ว แต่สู้ที่ข้อมือไม่ได้ สะดวกกว่า ถามว่า แล้วทำไมไม่เจาะข้อมือซ้าย คำตอบคือ เส้นเลือดจะเข้าหัวใจทางด้านขวา ข้อมือขวาจึงตรงและใกล้จุดที่ตีบมากกว่า แม้จะใช้วิธีเจาะตรงโคนขาก็จะเป็นขาขวาเช่นกัน)

    คุณหมอสั่งว่า งดใช้แขนขวาสักสิบวัน อย่าให้แผลที่ข้อมือถูกน้ำ จะต้องมาให้คุณพยาบาลดูว่าปากแผลแห้งสนิทแล้วจึงเอาพลาสเตอร์ที่ปิดออกให้ ‘อย่าทำเอง’ ถามว่าจะต้องนอนอยู่นานไหม จะลุกไปห้องน้ำได้ไหม คำตอบคือ เชิญตามสบาย แต่พักให้มากๆ แหละดี พรุ่งนี้เช้าท่านจะกลับมาดู  ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ อาจให้กลับบ้านได้เลย แต่ตอนนี้เกือบสามทุ่มแล้ว ขอกลับก่อน (จริงซี อยู่ด้วยกันมากว่าครึ่งค่อนวันแน่ะ)

    เมื่อคุณหมอจากไป คุณพยาบาลเข้ามาถามว่า หิวไหม เลยบอกไปว่า วันนี้เพิ่งกินไปมื้อเดียวตั้งแต่เมื่อสี่โมงเช้า คุณพยาบาลใจดีจัดการสั่งไปตามสาย ไม่นานนักพนักงานห้องอาหารก็ยกถาดอาหารเข้ามา คุณพยาบาลว่า คุณหมอสั่งไว้ให้เสิร์ฟอาหารอ่อน ๆ ก่อน จึงจะเป็นซุปร้อนๆกับข้าวต้มปลา และพรุ่งนี้เช้าก็จะเป็นแบบนี้อีก

    (มารู้ภายหลังว่า การจะเจาะหลอดเลือดที่ข้อมือหรือโคนขา ขึ้นอยู่กับความชำนาญของคุณหมอแต่ละท่าน ถ้าเป็นที่โคนขา เมื่อทำเสร็จแล้ว ยังไม่เอาสายสวนออกทันที แล้วต้องนอนนิ่งๆ อยู่นาน 6 – 8 ชั่วโมง ยังกินอาหารไม่ได้ทันที และต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล 5 -7 วัน เคยมีเพื่อนที่ถูกเจาะโคนขาเล่าว่า หลังทำเสร็จแล้ว ต้องทนนอนเจ็บแผลมากๆ อยู่นานเชียว)

    สายวันรุ่งขึ้น คุณหมอมาตามนัด ตรวจแผลที่ข้อมือและร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าอก ใบหน้าท่านเปื้อนยิ้มอย่างผู้ประสบความสำเร็จ  ทำให้คนไข้ใจฟู นึกรู้ได้เองว่า คงจะ “อาการเป็นที่น่าพอใจของแพทย์”

    คุณหมอมายืนข้างเตียง ขณะที่คนไข้ลุกขึ้นนั่ง

    “หมอคิดว่า จะให้กลับบ้านได้วันนี้เลย แต่ขอเป็นตอนเย็นนะ บ่ายๆหมอจะมาดูอีกที แล้วจะให้ยาไปกินด้วย”

    คุณหมอพูดแล้วมองหน้าคนไข้

    “ตกลงไหม”

    “ขอบพระคุณคุณหมออย่างมากครับ”

    “อ้อ เห็นหน้าหลานแล้ว อย่าลืมมาบอกกันด้วยนะ ชายหรือหญิง”

    คุณหมอพูดยิ้มๆ เชิงสัพยอกอย่างอารมณ์ดี แล้วหันไปสั่งคุณพยาบาลให้บอกญาติคนไข้ไปทำใบนัดและไปฝ่ายการเงินเลย คุณหมอหันมายิ้มให้อีกครั้ง ก่อนออกจากห้องไป

    “ขอบพระคุณมากครับ”

    นึกถึงประสบการณ์นี้แล้ว ยังงงๆ อยู่เลย เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงสองวัน เริ่มจากมาพบหมอตามนัดด้วยโรคประจำตัวความดันโลหิตสูง พัฒนาไปเป็นถึงต้องทำบอลลูนใส่ขดลวดถ่างหลอดเลือดหัวใจ ต้องนอนโรงพยาบาลอีกหนึ่งคืน

    สุดท้าย…. ต้องจ่ายค่าประสบการณ์ครั้งนี้ไป 258,500 บาท !!!

    อ่านเรื่องเล่า ประสบการณ์รักษามะเร็ง ของปอมอ ได้ที่  ปอมอ = เป็นมะเร็ง (เพราะไม่เชื่อหมอ) ตอน 1

    ที่มา นิตยสารชีวจิต ฉบับ เดือนพฤศจิกายน วิตามิน & แร่ธาตุ กินน้อยไปป่วยง่าย กินมากไปก็ไม่ดี สั่งซื้อ คลิก

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    หัวใจวายเฉียบพลัน รู้เท่าทันก่อนชีพวาย 

    4 เทคนิค ออกกำลังกายสำหรับคนเป็น โรคหัวใจ

    เจ็บหน้าอก จำต้องเป็นโรคหัวใจหรือไม่? หมอหัวใจมาตอบเอง

    ติดตามชีวจิตได้ที่ :

    Facebook : นิตยสารชีวจิต
    Instagram : Cheewajitmedia
    TikTok : cheewajitmediaofficial

    อาหารที่มีโพแทสเซียม สูงสุด 10 อันดับ หาได้จากอะไร มาดูกัน

    อาหารที่มีโพแทสเซียม สูงสุด 10 อันดับ หาได้จากอะไร มาดูกัน

    โพแทสเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายเป็นปกติ อาหารที่มีโพแทสเซียม จะมีอะไรบ้าง เรามีคำตอบ

    ประโยชน์ของโพแทสเซียม

    รู้ไหมว่า โพแทสเซียม ช่วยให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อทำงานได้ดี โพแทสเซียมช่วยควบคุมสมดุลของอิเล็กโตรไลต์และสมดุลของกรด-เบสในร่างกาย ป้องกันภาวะกรดเกิน (Hyperacidity) และยังช่วยควบคุมความดันโลหิตที่สูง และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย

    อาหารที่มีโพแทสเซียม

    มีรายงานวิจัยจำนวนมากที่ระบุว่าในกลุ่มประชากรที่ได้รับโพแทสเซียมจากอาหารในปริมาณที่สูง มีค่าเฉลี่ยของความดันโลหิตและอัตราการเกิดโรคความดันโลหิตสูงต่ำกว่า กลุ่มประชากรที่ได้รับโพแทสเซียมจากอาหารในปริมาณที่น้อย และยังพบว่าการได้รับโพแทสเซียมจากอาหารอย่างเพียงพอ มีผลช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคเรื้อรังชนิดอื่นๆ โดยในงานวิจัยของ Ascherio และคณะ ได้รายงานว่าสามารถลดความเสี่ยงของภาวะการอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมอง (Stroke) ได้ถึง 30%

    ในคนปกติที่มีอายุตั้งแต่ 14 ปีขึ้นไป ควรได้รับโพแทสเซียมในปริมาณ 4.7 กรัมต่อวัน

    ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ยังได้รับปริมาณโพแทสเซียมต่ำกว่าปริมาณที่แนะนำ ซึ่งการที่จะทำให้ได้รับโพแทสเซียมอย่างเพียงพอในแต่ละวันนั้นทำได้ไม่ยาก เพราะโพแทสเซียมมีอยู่มากในอาหารหลากหลายชนิด เช่น ผัก ผลไม้ ผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันต่ำหรือไม่มีไขมัน ถั่วต่างๆ และธัญพืช เรามาพิจารณากันดีกว่าว่าอาหาร 10 อันดับที่มีปริมาณโพแทสเซียมสูงมีอะไรบ้าง

    10 อันดับ อาหารที่มีโพแทสเซียม สูง กับประโยชน์ที่มีต่อสุขภาพ

    • ผงโกโก้ ขนาดบริโภค 100 กรัม ปริมาณโพแทสเซียม 1.5 กรัม
    • ลูกพรุน (อบแห้ง) ขนาดบริโภค 100 กรัม ปริมาณโพแทสเซียม 1.1 กรัม
    • ลูกเกด ขนาดบริโภค 100 กรัม ปริมาณโพแทสเซียม 892 มิลลิกรัม
    • เมล็ดทานตะวัน ขนาดบริโภค 100 กรัม ปริมาณโพแทสเซียม 850 มิลลิกรัม
    • อินทผาลัม ขนาดบริโภค 100 กรัม ปริมาณโพแทสเซียม 696 มิลลิกรัม
    • ปลาแซลมอน ขนาดบริโภค 100 กรัม ปริมาณโพแทสเซียม 628 มิลลิกรัม
    • ผักโขม (สด) ขนาดบริโภค 100 กรัม ปริมาณโพแทสเซียม 558 มิลลิกรัม
    • เห็ด ขนาดบริโภค 100 กรัม ปริมาณโพแทสเซียม 484 มิลลิกรัม
    • กล้วย ขนาดบริโภค 100 กรัม ปริมาณโพแทสเซียม 358 มิลลิกรัม
    • ส้ม ขนาดบริโภค 100 กรัม ปริมาณโพแทสเซียม 181 มิลลิกรัม

    จะเห็นได้ว่าเราสามารถเลือกรับประทานอาหารได้หลากชนิด เพื่อให้ได้รับโพแทสเซียมในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน แต่ทั้งนี้ เราควรบริโภคอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ โดยคำนึงถึงปริมาณน้ำตาล ไขมัน คอเลสเตอรอล ฯลฯ ที่มีอยู่ในอาหารด้วย เพื่อป้องกันความเสี่ยงของโรคต่างๆ และเพื่อให้มีสุขภาพที่แข็งแรง

    อาหารที่มีโพแทสเซียม

    แม้ว่าการที่ร่างกายเราได้รับโพแทสเซียมอย่างเพียงพอจะเป็นประโยชน์หลายอย่างต่อสุขภาพ แต่ยังมีข้อควรระวังในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ มีความบกพร่องในการขจัดโพแทสเซียมออกจากร่างกาย เช่น ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง เบาหวาน และภาวะหัวใจล้มเหลว ควรได้รับโพแทสเซียมน้อยกว่า 4.7 กรัมต่อวัน (ปริมาณเท่าใดที่จะเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนนั้น ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้ดูแล) เพื่อป้องกันภาวะการมีโพแทสเซียมที่มากเกินไป (Hyperkalemia) ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้

    โพแทสเซียมต่ำ – โซเดียมสูง ทำป่วยเรื้อรัง

    ปัจจุบันมีงานวิจัยหลายๆ ฉบับระบุตรงกันว่า ผู้ที่ได้รับโพแทสเซียมจากอาหารในปริมาณที่สูงจะมีความดันโลหิตเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ปกติ มีอัตราการเกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคเรื้อรังชนิดอื่นๆ ต่ำกว่าผู้ที่ได้รับโพแทสเซียมไม่เพียงพอ

    ดอกเตอร์โจเซฟยังชี้แจงเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาคนทั่วไปทราบดีว่าการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูงเพิ่มความเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง แต่ข้อมูลล่าสุดจากงานวิจัยจำนวนมากทำให้ทราบว่า ถ้าเป็นผู้ที่ได้รับโพแทสเซียมต่ำกว่าความต้องการของร่างกาย แล้วคนกลุ่มนี้จะมีโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าคนทั่วไป

    และหากจับคู่กับพฤติกรรมการกินอาหารที่มีโซเดียมสูงเป็นประจำ คนกลุ่มนี้ย่อมป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง มีแนวโน้มที่จะคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ยาก จำเป็นต้องใช้ยาเพื่อช่วยคุมความดันในปริมาณที่มากและใช้เวลารักษานานกว่าคนทั่วไป

    กินผัก ได้โพแทสเซียม

    ดอกเตอร์โจเซฟอธิบายเพิ่มเติมว่า เนื่องจากผักซึ่งเป็นแหล่งโพแทสเซียมให้พลังงานต่ำจึงสามารถกินในปริมาณมากได้ มีปริมาณใยอาหารสูง เป็นอาหารของจุลินทรีย์ดีในลำไส้ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี อีกทั้งยังให้วิตามินและแร่ธาตุอีกหลายชนิดที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย

    อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าขึ้นชื่อว่าผักแล้วจะเป็นอาหารสุขภาพทันที ต้องเลือกผักที่ปลูกตามแนวทางเกษตรอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี เน้นผักสดใหม่ เมื่อนำมาปรุงรสจะได้รับความหวานอร่อยตามธรรมชาติ ลดการใช้เครื่องปรุงให้น้อยที่สุด และถ้าเป็นไปได้ควรจัดสรรพื้นที่ปลูกผักไว้กินเอง

    ขณะที่กลุ่มงานสุขศึกษา โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ระบุว่า ผักไทยๆ ที่มีโพแทสเซียมสูง ได้แก่ ถั่วฝักยาว คะน้า ผักบุ้งจีน ขึ้นฉ่าย ฟักทอง แครอต กะหล่ำปลี มะเขือเปราะ และเห็ดฟาง ส่วนผลไม้ก็ได้แก่ มะละกอสุก ฝรั่ง แก้วมังกร กล้วยหอม น้อยหน่า และขนุน

    ข้อมูลจาก

    คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    กินอยู่ครบสูตร ด้วยผักผลไม้ ต้านโรคเอสแอลอี โรคภูมิแพ้

    Antioxidant Food ผักมีสารต้านอนุมูลอิสระ ตัวช่วยสยบมะเร็ง

    ชวน เลือกพรีไบโอติกส์ ในผักและผลไม้ (กินเลยลำไส้ดี)

    ติดตามชีวจิตได้ที่ :

    Facebook : นิตยสารชีวจิต
    Instagram : Cheewajitmedia
    TikTok : cheewajitmediaofficial

    หนาวนี้ต้องกิน! กุยช่าย ผักอบอุ่นกาย

    กุยช่าย ผักอบอุ่นกาย

    ขนมกุยช่าย ของว่างที่ใช้ กุยช่าย มาเป็นพระเอก และแม้จะเป็นผักที่มีกลิ่นแรง จนหลายคนเบือนหน้าหนี แต่รู้ไหมคะว่าประโยชน์เยอะมาก โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวอากาศเย็นๆ แบบนี้ วันนี้แอดเลยนำคอลัมน์ ของกินพื้นบ้าน อาหารพื้นถิ่น จากนิยสารชีวจิต ฉบับที่ 599 มาฝากกันค่ะ

    ที่บ้านมี กุยช่าย อยู่หลายกอ ปลูกมานานแสนนาน ตัดกินได้ทั้งปีทั้งชาติ เรียกได้ว่าเป็นผักที่ปลูกแล้วคุ้ม เพราะไม่ต้องปลูกใหม่บ่อย ๆ เวลาตัดต้นกุยช่ายมาทำอาหารทีไร ก็ชวนให้นึกถึงสมัยที่เคยไปใช้ชีวิตแถวฝั่งธนบุรี

    ช่วงหนึ่งของชีวิตเคยไปทำงานเมืองหลวง พักอยู่ติดตลาดวงเวียนใหญ่ในย่านฝั่งธนฯ การกระโดดขึ้นรถไฟจากสถานีวงเวียนใหญ่ไปตลาดพลูเพื่อเสาะหาของกินอร่อย ๆ  จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ขนมเบื้องญวนสุอาภา บะหมี่หมูแดง ไอศกรีมไข่แข็ง ขนมไทย หมี่กรอบจีนหลี ร.5 เป็นของดีตลาดพลูที่ไม่เคยพลาด และอีกหนึ่งในสิ่งที่เห็นแล้วอดใจไม่ไหวต้องซื้อทุกครั้งไปก็คือ กุยช่ายตลาดพลู ของกินเลื่องชื่อที่เหล่านักกินลิ้นกำมะหยี่ของลุ่มน้ำเจ้าพระยาต่างยอมรับนับถือว่าเป็นของอร่อยขั้นเทพ มีให้เลือกหลายเจ้า บางเจ้าถึงกับต้องโทรศัพท์จองก่อนล่วงหน้าเป็นแรมเดือนกันเลยเชียว

    กุยช่าย

    ขนมกุยช่าย…ของอร่อยตลอดกาล

    ขนมกุยช่ายตลาดพลู มีทั้งแบบที่ปั้นแป้งห่อไส้แล้วนำไปนึ่งจนแป้งสุกใสขึ้น เผยให้เห็นสีเขียวของไส้จากใบกุยช่ายสีเขียวเรื่อ ๆ เป็นการโชว์ฝีมือของคนทำว่าแป้งที่ห่อนั้นมีสูตรที่ดี เหนียวนุ่ม สามารถรีดให้บางชนิดที่เมื่อนึ่งสุกแล้วเห็นถึงไส้ด้านในได้โดยแป้งไม่แตก นอกจากนี้ยังมีขนมกุยช่ายแบบเปลือย คือ เอาใบกุยช่ายผสมกับแป้งแล้วนำไปนึ่งทั้งถาด ให้ใบกุยช่ายกับแป้งผสมอยู่ด้วยกันเลย เมื่อนึ่งสุกแล้วก็นำมาตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมแล้วนำไปทอดให้กรอบอีกที  หรือแบบผสมแป้งกับใบกุยช่ายแล้วจับมากำเป็นก้อนๆ  นึ่ง ก็มีเหมือนกัน  ซึ่งเคล็ดลับสำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ใบกุยช่ายเมื่อผ่านความร้อนแล้วยังคงสีเขียวเอาไว้ ก็คือการใส่เบ้กกิ้งโซดาลงไปเคล้ากับใบกุยช่ายก่อนสักเล็กน้อย ค่อยนำไปทำไส้ขนม

     กลิ่นฉุน ๆ ของใบกุยช่าย ทำให้ขนมชนิดนี้มีกลิ่นเฉพาะ ซึ่งพึงใจคนเขียนมาก ยิ่งกินกับน้ำจิ้มเคี่ยวจากซีอิ๊วดำ ปรุงรส หวาน เปรี้ยว เผ็ดนิด ๆ แล้วมันฟินได้ใจ

    พอค้นข้อมูลเชิงพฤกษศาสตร์เกี่ยวกับกุยช่าย ก็รู้สึกประหลาดใจเหมือนกันที่ผักชนิดนี้ถูกจัดให้อยู่ในวงศ์พับพลึง ชื่อกุยช่ายที่คนไทยเรียกกันนั้น น่าจะทับศัพท์มาจากคำภาษาจีน ที่คนจีนแต้จิ๋วเรียกผักชนิดนี้ว่า “กูไฉ่”  จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตลาดพลูจะมีขนมกุยช่ายขายกันเกลื่อน เพราะแถวนั้นเป็นที่ตั้งรกรากของชาวจีนแต้จิ๋วมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานีโน่นเลย ส่วนภาคอื่น ๆ ของไทยนั้นมีชื่อเรียกผักชนิดนี้ต่างกันออกไป อย่างอีสานบ้านฉันจะเรียกว่า “ผักแป้น” เป็นต้น

    กุยช่าย

    ด้วยการที่กุยช่ายเป็นผักมีกลิ่นฉุน คนที่เคร่งครัดเรื่องการกินมังสวิรัติแบบจีน หรือที่เรียกว่า กินเจ จึงงดเว้นไม่ให้นำผักชนิดนี้ รวมถึงผักอีก 4 ชนิด (กระเทียม หัวหอม หลักเกียว ใบยาสูบ) ไปปรุงอาหาร เพราะเชื่อว่าผักทั้ง 5 อย่างจะไปกระตุ้นดวงจิตให้หงุดหงิดง่าย ซึ่งฉันไปอ่านเจอข้อมูลหนึ่งที่เขาบอกว่า กุยช่าย มีสรรพคุณช่วยบำรุงสมรรถภาพทางเพศ จึงพอจะเข้าใจได้ว่าทำไมช่วงถือศีลจึงต้องงดเว้น

    การปลูกกุยช่ายนั้นมีหลายวิธี จะเพาะจากเมล็ดก็ได้ แต่วิธีที่ง่ายที่สุด คือ หาหน่อของกุยช่าย มาปลูกเลย เดี๋ยวนี้มีหน่อกุยช่ายขายออนไลน์ให้สั่งมาปลูกกันได้ ปลูกทีนึงอยู่ได้ยาว ๆ และจะขยายหน่อออกเรื่อย ๆ ให้เราแบ่งขยายพันธุ์กันได้ และถ้าใครขยันสักหน่อย พอปลูกกุยช่ายเกิดแล้ว เมื่อตัดกุยช่ายไปกินเสร็จ ลองหาอะไรทึบ ๆ มาครอบบนตอกุยช่าย ไม่นานจากนั้น ต้นกุยช่ายที่งอกขึ้นมาใหม่ก็จะมีสีขาว หรือที่เรียกว่ากุยช่ายขาวนั่นเอง  หรือถ้าปลูกนานสักหน่อยตามอายุเก็บเกี่ยวใบราว ๆ 8 เดือน (หากปลูกจากเมล็ด) พอตัดใบและเหลือตอไว้ ตนกุยช่ายจะเริ่มออกดอก ก็จะได้ดอกกุยช่ายที่หลายคนเรียกว่า ดอกไม้กวาด มาปรุงอาหารกันได้อีก

    กุยช่าย อร่อยดี สรรพคุณเลิศ

    นอกจากขนมกุยช่ายแล้ว เมนูอื่น ๆ จากกุยช่าย ดูเหมือนจะมีไม่มากนัก แต่ก็พอมี เช่น กุยช่ายขาวผัดปลาเค็ม ดอกกุยช่ายผัดตับหมู ติ่มซำที่คั้นเอาน้ำจากใบกุยช่ายมานวดใส่แป้งเป็นสีเขียว ๆ ก่อนนำไปห่อไส้หมูที่ผสมกับใบกุยช่าย  ใบกุยช่ายคลุกพริกเผาเกาหลีไว้กินเป็นเครื่องเคียงเนื้อย่างแบบเกาหลี  ข้าวเกรียบปากหม้อแบบญวนบางที่ก็ใช้ใบกุยช่ายผัดกับเนื้อหมู  ส่วนรายการอาหารประจำสำหรับกุยช่ายของที่บ้านฉันก็คือ ผัดไทย เพราะเป็นของโปรด และถ้าขาดผักเคียงอย่างกุยช่ายแล้ว ก็ดูเหมือนว่ากลิ่นรสของผัดไทยนั้นมันเหมือนไม่ครบเครื่อง

    กุยช่ายเป็นผักที่มีประโยชน์และสรรพคุณดี โดยเฉพาะหากกินช่วงฤดูหนาว เพราะผักชนิดนี้อาจารย์หมอที่ท่านมีความรู้เรื่องการแพทย์แผนจีนเคยสอนฉันเอาไว้ว่า ต้นกุยช่าย นั้นมีรสเผ็ด มีฤทธิ์ร้อนเล็กน้อย ช่วยอบอุ่นร่างกายได้ดี โดยใบกุยช่ายขาวจะมีฤทธิ์ร้อนกว่าใบเขียว  นอกจากนี้ตำราสมุนไพรจีนยังระบุสรรพคุณเพิ่มเติมว่า ใบกุยช่ายยังสามารถช่วย ขับลมในเส้นลมปราณ แก้พิษ แก้ปวดบวมช้ำจากการกระแทก  แก้ไอเป็นเลือด ป้องกันเลือดกำเดาไหล แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ริดสีดวง ตกเลือด โรคบิดเลือด หรือจะใช้ทาเป็นยาภายนอกแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย แก้ฟกช้ำ เคล็ดขัดยอก ได้อีกด้วย ลมหนาวปีนี้เริ่มพัดมา คุณผู้อ่านต้องรักษาสุขภาพให้ดี ทำร่างกายให้อบอุ่นเพื่อป้องกันการกระทบความเย็นและทำให้เจ็บป่วย และลองปรุงเมนูอาหารจากใบกุยช่าย เช่น ผัดกุยช่ายขาวปลาเค็ม กินกับข้าวต้มร้อน ๆ ดูสิ รับรองว่าอิ่มอุ่นอร่อยสู้ลมหนาวได้อย่างแน่นอน

    ที่มา

    นิตยสารชีวจิต ฉบับ เดือนพฤศจิกายน วิตามิน & แร่ธาตุ กินน้อยไปป่วยง่าย กินมากไปก็ไม่ดี สั่งซื้อ คลิก

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    งานวิจัยชี้ กุยช่าย ช่วยล้างไขมันในเลือด

    “ผักชายา” ต้นผงชูรสของคนรักสุขภาพ เรื่องน่ารู้ที่คุณไม่ควรพลาด

    ชวนเลือกกินอาหาร ให้ไม่ลงเอยด้วย ไขมันในเลือดสูง

    ติดตามชีวจิตได้ที่ :

    Facebook : นิตยสารชีวจิต
    Instagram : Cheewajitmedia
    TikTok : cheewajitmediaofficial

    Super foods อาหารเพื่อสุขภาพ

    10 SUPER FOODS น่าจับตามอง เพื่อสุขภาพที่ดี

    10 SUPER FOODS ที่ควรมีติดบ้าน

    SUPER FOODS นั้นเป็นเหมือนของขวัญของร่างกาย เพราะตั้งแต่สามารถป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยให้ผิวสวย การรวมเอาอาหารเหล่านี้เข้ามาอยู่ในเมนูในชีวิตประจำวันย่อมสร้างความแตกต่างที่น่าทึ่ง

    ชีวจิต ขอนำเสนอข้อมูลจาก มาเรีย แอสเซนเซา ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพระดับนานาชาติด้านซูเปอร์ฟู้ดส์ กับ 10 สุดยอดอาหารที่ควรกินตลอดกาล

    10 SUPER FOODS เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

    อะโวคาโดสุก

    อะโวคาโด

    อะโวคาโดนั้นมีใยอาหารสูง รวมไปถึงกรดโฟลิก วิตามินเค วิตามินซี วิตามินอี โพแทสเซียม ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ที่มีการศึกษาค้นพบว่าช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและโรคเบาหวาน

    อาหารชนิดนี้ ควรกินคู่กับสลัดหรือเอาไปทำเป็นสมูทตี้

    เบอร์รี่

    ผลเบอร์รี่เป็นแหล่งรวมของไฟเบอร์ วิตามินเค และวิตามินซี แร่ธาตุแมงกานีส พฤกษเคมีและแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยรักษาระบบภูมิคุ้มกันและช่วยชะลอวัย

    วิธีกินที่ดีที่สุดคือการกินสด ๆ

    บรอกโคลี

    บรอกโคลีนั้นเป็นแหล่งอุดมใยอาหาร โพแทสเซียม แอนติออกซิแดนท์ และวิตามินซี ที่ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก ช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต ลดการเกิดการอักเสบ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและช่วยให้กระดูกแข็งแรง

    SUPER FOODS กินเพื่อช่วยปรับฮอร์โมนของเราให้สมดุลยิ่งขึ้น

    บรอกโคลีมักเป็นที่รู้จักกันในนามผักที่อุดมด้วยธาตุเหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม และไฟเบอร์ แต่ที่มากไปกว่านั้นคือ มีสารสำคัญชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Indole-3 Carbinol ซึ่งช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนเอสโทรเจน (Estrogen) ให้เหมาะสม

    การกินผักชนิดนี้จึงส่งผลดีต่อการป้องกันมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ในผู้หญิง ตลอดจนมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย เพราะมะเร็งดังกล่าวอยู่ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนเพศที่ไม่เหมาะสม

    ปริมาณการกินที่เหมาะสมคือ ครึ่งถ้วย สัปดาห์ละ 4 – 5 วัน

    Berberine

    Berberine เป็นสารสกัดอัลคาลอยด์ ได้มาจากพืชสมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง ช่วยปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยสุขภาพลำไส้ ลดการอักเสบ และกระตุ้นระบบเผาผลาญ ช่วยต้านโรคหัวใจ

    อาหารผ่านกระบวนการหมัก

    อาหารที่ผ่านกระบวนการหมักนั้นอุดมไปด้วยแบคทีเรียโพรไบโอติกและเอนไซม์ ที่ช่วยเรื่องสุขภาพในลำไส้ และระบบย่อยอาหาร  รวมไปถึงระบบภูมิคุ้มกัน

    อาหารที่ผ่านกระบวนการหมักที่อยากให้ไปลองคือ นมเปรี้ยวเคเฟอร์ กิมจิ มิโสะ และคอมบุชะ

    เมล็ดพืช

    เมล็ดพืชต่างๆ นั้นมีใยอาหารสูง อุดมวิตามินและแร่ธาตุ รวมไปถึงสารแอนติออกซิแดนท์ ทั้งยังมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลด้วย

    อยากให้ลองเมล็ดแฟล็กซ์ เมล็ดเจีย เมล็ดเฮมป์ งา เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง โดยการโรยหน้าอาหารจานหลัก หรือนำไปโรยกินกับสลัดก็ได้

    ถ้าให้นึกถึงซูเปอร์ฟู้ดที่คนรักสุขภาพไม่ควรพลาด “งาดำ” จะต้องมาเป็นอันดับต้น ๆ อย่างแน่นอน เพราะเจ้าเมล็ดธัญพืชเล็ก ๆ นี้อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร และสรรพคุณในการบำรุงสุขภาพ

    แต่รู้กันหรือไม่ว่าคุณค่าสารอาหารที่มีอยู่ในงาดำนี้มีอะไร และมีประโยชน์อย่างไรกับสุขภาพบ้าง ลองไปดูพร้อมกันเลยดีกว่าค่ะ จะได้มั่นใจว่างาดำน่ะดีกับสุขภาพของเราจริง ๆ

    งาดำ, ผลิตภัณฑ์จากงาดำ, กินงาดำ, ประโยชน์ของงาดำ, กินงาดำให้ได้ประโยชน์
    งาดำ มีแคลเซียมสูง ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง อุดมไปด้วยโปรตีน ไขมัน แร่ธาตุต่างๆ

    น้ำมันกัญชา

    คือน้ำมันที่สกัดได้จากพืชตระกูลกัญชา เป็นที่ยอมรับเรื่องการต้านอักเสบ มีฤทธิ์ต้านความวิตกกังวลโดยไม่ก่อให้เกิดสารพิษในร่างกาย ทางที่ดี ควรเลือกน้ำมันที่มีคุณภาพสูงเช่น Bio-Canna CBD Oil ซึ่งมีประสิทธิภาพดีที่สุด ปัจจุบันใช้กันแพร่หลายในแอฟริกาใต้ตั้งแต่เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว

    ชาเขียว

    ชาเขียวและสารสกัดจากชาเขียวนั้นอุดมไปด้วยสารประกอบโพลิฟีนอล แอนติออกซิแดนท์ ช่วยส่งเสริมการขับพิษของตับ เพื่อต้านโรคภัยต่างๆ ทั้งยังช่วยพัฒนาการทำงานของสมอง ควบคุมน้ำหนักตัว เพิ่มกระบวนการเผาผลาญและส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน

    ถ้าคุณไม่ใช่คนดื่มชา สามารถกินเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากชาเขียวได้

    สารเคอร์คิวมิน

    สารเคอร์คิวมินเป็นสารที่สกัดได้จากขมิ้นชัน ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามีคุณสมบัติต้านอักเสบ สำหรับผลดีต่อร่างกายคือช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจ อัลไซเมอร์ โรคไขข้อ และโรคซึมเศร้า

    การกินเคอร์คิวมินที่ง่ายที่สุดนอกจากการกินขมิ้นชันเองแล้ว คือการกินในรูปแบบแคปซูล อาหารเสริม

    ยาไทย, ขมิ้นชัน

    ผักใบสีเขียวเข้ม

    ผักใบสีเขียวเข้มเช่น เคล ผักโขม เป็นแหล่งอุดมโฟเลต สังกะสี แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินซีและใยอาหาร มีแคโรทีนอยด์ต้านอักเสบ ที่ช่วยลดความเสี่ยงเกิดโรคเรื้อรังอย่างโรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือแม้กระทั่งมะเร็ง


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    รวมคุณประโยชน์ วิตามิน A / C / K / D / E

    ไม่อดมื้อเช้า เคี้ยวข้าวให้ละเอียด ช่วยอายุยืน ลดความอ้วนได้

    กินอะไรจึงทำให้แก่ช้า อ่อนกว่าวัย แข็งแรง สุขภาพดี

    วิธีเลือกซื้อวิตามิน และแร่ธาตุ อาหารเสริม ต้องเลือกซื้อยังไง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    สมุนไพร สำหรับผู้สูงอายุ

    สมุนไพร สำหรับผู้สูงอายุ แก้โรคลม อัมพาต

    สมุนไพร สำหรับผู้สูงอายุ วัยแห่งการเปลี่ยนแปลงและต้องระวังโรคลม

    สมุนไพร สำหรับผู้สูงอายุ เป็นวัยที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างร่างกาย อวัยวะ ระบบเผาผลาญ และระบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 เริ่มทรุดโทรมตามระยะเวลาของการใช้งาน เช่น ดวงตาก็จะเริ่มมองไม่ชัด เป็นต้อกระจก ความดันโลหิตสูงขึ้น จอประสาทตาเสื่อมจากโรคเบาหวาน โรคกระดูกเสื่อม ภาวะซึมเศร้า นอนไม่หลับ และท้องผูกง่าย เป็นต้น

    การแพทย์แผนไทยได้จำแนกกลุ่มคนนี้ ไว้ในกลุ่มของ “ปัจจิมวัย” คือ มีอายุตั้งแต่ 32 ปีขึ้นไป  กล่าวได้ว่า เป็นช่วงอายุที่มีความคาบเกี่ยวกับวัยผู้ใหญ่ตอนปลายและกำลังเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ  ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความถดถอยในการทำงานของธาตุต่างๆในร่างกาย ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

    หากไม่มีการเตรียมตัวและรักษาสุขภาพไว้ตั้งเเต่เนินๆ จะเร่งความเสื่อมของร่างกายให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก

    จุดอ่อนด้านสุขภาพของคนวัยนี้ คือ ระบบวาตะหรือลมกำเริบ วาตะเป็นธาตุเจ้าเรือนหลักของคนวัยนี้ โดยวาตะจะทำงานร่วมกับลมและอากาศ(ช่องว่างในร่างกาย) มีคุณสมบัติเบา แห้ง เคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา

    ตำแหน่งของวาตะ จะอยู่บริเวณศีรษะ หัวใจ  กลางท้อง และช่องว่างต่างๆของร่างกาย มีหน้าที่ เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานการเคลื่อนไหว ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย เช่น ระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนเลือด อารมณ์ความรู้สึก เป็นต้น จึงไม่แปลกที่คนในวัยนี้จะใช้ความคิด และสติปัญญาในการคิดสิ่งต่างๆมากเป็นพิเศษ

    ดังนั้น เราจำเป็นต้องเตรียมการดูแลสุขภาพตั้งเเต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดปกติของร่างกาย เช่น อาการนอนไม่หลับเพราะธาตุลมผิดปกติ ปวดศีรษะ หน้ามืด วิงเวียน รวมไปถึงปัญหาระบบย่อยอาหาร(ธาตุไฟ) ที่ทำงานน้อยลง ทำให้ท้องอืดง่าย เพราะระบบการเผาผลาญลดลง

    รสยาที่เหมาะกับคนวัยนี้ คือ รสเผ็ดร้อน หอมเย็น ขม เค็ม ฝาด สมุนไพรที่แนะนำ เช่น อบเชย บัวหลวง ขิง กะเพรา ตะไคร้ บอระเผ็ด ฯลฯ

    สมุนไพร สุขภาพ สำหรับผู้สูงอายุ

    1. ตำรับยาหอม บำรุงธาตุลม

    ยาหอมในทางการแพทย์แผนไทยมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ ยาหอมที่เน้นไปทางรสสุขุมร้อน แก้ลมกองหยาบ เช่น การขับลมในทางเดินอาหาร แก้อาเจียน ท้องอืดท้องเฟ้อ

    ส่วนอีกชนิดเป็นยาหอมที่มีรสค่อนไปทางสุขุมเย็น  แก้ลมกองละเอียด เช่น ช่วยบำรุงหัวใจ ทำให้รู้สึกชุ่มชื่น จิตใจสงบลง ไม่มีอาการงุดหงิด หรือโมโหร้าย

    • ยาหอมเนาวโกฐ ช่วยบำรุงหัวใจ คลื่นไส้อาเจียน ย่อยอาหาร ทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น

    วิธีกิน กินครั้งละ 1-2 กรัม ก่อนนอน ละลายในน้ำต้มสุก หรือเมื่อมีอาการ แต่ไม่ควรเกินวันละ 3 ครั้ง  ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์หรือในนมบุตร คนที่แพ้เกสรดอกไม้ และกินยาต้านการแข็งตัวของเลือด

    • ยาหอมอินทจักร ช่วยทำให้อาการหงุดงิด จิตใจไม่สงบ ลดลง หรือทางแพทย์แผนไทยเรียกว่าลมบาดทะจิต

    วิธีกิน กินปริมาณ ½ -1 ช้อนชา ก่อนนอน ละลายกับน้ำต้มสุก หรือถ้าจะให้ได้ฤทธิ์ดียิ่งขึ้นให้ละลายกับน้ำดอกมะลิ แต่จะต้องเป็นมะลิที่ปลูกเองหรือออร์แกนิก

    ไม่แนะนำให้ซื้อดอกมะลิในตลาดเพราะอาจได้รับสารเคมีมาด้วย และที่สำคัญคนที่มีประวัติแพ้เกสรดอกไม้ไม่แนะนำให้กิน แต่เลือกรูปแบบการใช้วิธีอื่นแทน

    2. ตำรับยาประสะไพล รักษาอาการหมดประจำเดือน

    ตำรับยาประสะไพล เป็นอีกตำรับยาที่มีส่วนผสมของไพลเป็นส่วนประกอบหลัก เหมาะสำหรับผู้หญิงทั้งวัยหมดประจำเดือนและมีประจำเดือน เพราะสามารถใช้รักษาอาการร้อนวูบวาบ ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ และขับน้ำคาวปลา

    วิธีกิน กินครั้งละ 500-1000 มิลลิกรัม ก่อนอาหารเช้า กลางวัน เย็น  เป็นระยะเวลา 3-5 วัน

    กรณีปวดประจำเดือนเป็นประจำ ให้กินก่อนมีประจำเดือน 2 – 3 วัน ไปจนถึงวันแรกและวันที่สองที่มีประจำเดือน

    กรณีขับน้ำคาวปลาให้กินจนกว่าน้ำคาวปลาหมด แต่ไม่เกิน 15 วัน และที่สำคัญห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ และผู้หญิงที่มีระดูมากกว่าปกติ

    3. ตำรับยาลูกแปลกแม่ บำรุงผิว อ่อนเยาว์

    ยาลูกแปลกแม่ มีสรรพคุณ ช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้ดูสดใสและอ่อนวัย และช่วยให้ฮอร์โมนในร่างกายสมบูรณ์ยิ่งขึ้น หรือพูดง่ายๆ ว่า เป็นยาอายุวัฒนะนั่นเอง

    นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ระบุว่า ตำรับลูกแปลกแม่มีฤทธิ์เป็นสารแอนติออกซิแดนท์อีกด้วย

    วีธีกิน   ผู้หญิงแลลผู้ชาย แนะนำให้กินในปริมาณ 500 มิลลิกรัม หลังอาหารเช้า และเย็น

    อย่างไรก็ตามไม่แนะนำให้กินเยอะเกินไป เพราะจะทำให้มีอาการร้อนภายในท้องได้ และไม่ควรกินในขณะท้องว่าง และคนที่มีอาการร้อนใน ท้องผูก หรือเป็นโรคกระเพาะอาหาร ให้ระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงจากยา ที่มีรสเผ็ดร้อน

    ส่วนผสม กล้วยน้ำไท 1 หวี มะตูมนิ่ม 1 ผล และพริกไทย 1 กิโลกรัม

    วิธีทำ

    1. หั่นกล้วยน้ำไทเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วบดหรือปั่นให้ละเอียด
    2. คว้านเนื้อผลมะตูมนิ่ม บดขยี้หรือปั่นให้ละเอียด
    3. บดพริกไทยล่อนหรือพริกไทยดำ ให้ละเอียด
    4. นำส่วนผสมทั้งหมด ใส่ลงกระทะทองเหลือง ใช้ไฟอ่อนๆ กวนให้เข้ากัน สังเกตเมื่อส่วนผสมเข้ากันเป็นเนื้อเดียวไม่ติดกระทะ จึงยกลง แล้วทิ้งไว้ให้เย็น
    5. นำมาปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย จากนั้นนำไปตากแดดให้แห้งหรืออบ แล้วเก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิด

    4. ขี้เหล็ก ช่วยนอนหลับ

    ขี้เหล็กเป็นสมุนไพรที่สามารถหาได้ทั่วไป มีสารสำคัญคือบาราคอล (Baracol) มีฤทธิ์เป็นยานอนหลับธรรมชาติ ออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ช่วยทำให้นอนหลับ แถมรสขมของขี้เหล็กยังเป็นยาเจริญอาหารอีกด้วย

    วิธีกิน นำใบที่ไม่แก่จัด หรือดอกตูม มาต้มประมาณ 3-5 ครั้ง  เพื่อกำจัดพิษความขมจากขี้เหล็กออกก่อน แล้วนำไปแกงหรือกินเป็นผักจิ้มน้ำพริกก็ได้เช่นกัน

    5. ชาเกสรดอกไม้ บำรุงหัวใจ

    แพทย์แผนไทยมีตำรับยาหลากหลายที่นิยมใช้เกสรดอกไม้มาเป็นส่วนประกอบ โดยเฉพาะตำรับยาหอม หรือตำรับยาดมสมุนไพร ล้วนมีเกสรดอกไม้เป็นส่วนประกอบ เพราะมีรสเย็น และช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยให้กระชุ่มกระชวย เช่น เกสรดอกบัวหลวง เกสรดอกบุนนาค เกสรดอกพิกุล เกสรดอกสารภี เกสรดอกมะลิ ฯลฯ

    มีรายงานวิจัยระบุว่า เช่น น้ำมันหอมระเหยเกสรดอกมะลิ ช่วยกระตุ้นให้ชุ่มชื่นหัวใจ เกสรดอกบัวหลวง มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต ฯลฯ

    วิธีกิน ดื่มในรูปแบบของชา โดยนำมาตากแห้ง ชงดื่มกับน้ำร้อน แนะนำให้ดื่มตอนบ่ายๆหรือก่อนนอน แต่ไม่แนะนำให้คนที่แพ้เกสรดอกไม้ดื่มนะครับ รวมไปถึงยาหอมชนิดต่างๆที่มีส่วนผสมของเกสรดอกไม้ด้วย

    6. ยาดมส้มมือ แก้อาการวิงเวียน

    ยาดมส้มโอมือ คือ การนำเปลือกส้มโอมือหรือเปลือกส้มโอ มาผสมกับเครื่องเครา ใช้ดมแก้หวัด วิงเวียน เป็นลม  สามารถทำได้เองง่ายๆ หรือซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป

    แต่ครั้งนี้ขอแนะนำ สูตรยาดมท่านเจ้าคุณ ซึ่งเป็นสูตรของคนในวัง

    วิธีทำ นำพิมเสน 1 ส่วน  การบูร 2 ส่วน  เมนทอล 3 ส่วน  และน้ำมันหอมระเหยกลิ่นกุหลาบ 1 ส่วน มาละลายเข้าด้วยกัน พักไว้ โดยใช้ถุงพลาสติกคลุมไว้เพื่อป้องกันการระเหย จากนั้นฝนอบเชยเทศและชะเอมเทศอย่าละ 2 ส่วน กับหินหรือตะไบ ให้ละเอียด พักไว้

    หั่นเปลือกส้มโอมือหรือส้มโอเป็นชิ้นเล็กๆ ปริมาณ 3 ส่วน นำไปตากแดด เมื่อเตรียมตัวยาครบให้นำทั้งหมดมาผสมรวมกันปั้นเป็นก้อน แล้วบรรจุใส่ถ้ำยาดม หรือห่อด้วยผ้าขาวบาง ใส่ขวดไว้ดม

    7. บัวบก ป้องกัน อัลไซเมอร์

              บัวบกเป็นสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์คล้ายกับกิงโกะของประเทศจีน เพราะมีคุณสมบัติเพิ่มการไหลเวียนเลือดภายในหลอดเลือดฝอยได้เป็นอย่างดี ช่วยบำรุงสมอง เสริมความจำ ป้องกันภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ แถมยังลดอาการของเส้นเลือดขอดได้อีกด้วย

    วิธีกิน ใช้ชาแห้ง ปริมาณ 2-3 กรัม ชงกับน้ำร้อนหรือต้มดื่ม หรือชนิดแคปซูล ขนาด 500 มิลลิกรัม ครั้งละ 2 แคปซูล ก่อนอาหารเช้า เย็น

    แต่มีข้อควรระวัง สำหรับคนที่ชอบกินใบบัวบกสด แนะนำให้เลือกซื้อจากแหล่งปลูกที่ห่างจากโรงงานอุตสาหกรรม เพราะใบบัวบกมีคุณสมบัติดูดซับตะกั่ว และสารพิษได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ถ้าให้ดีก็ควรปลูกกินเองนะครับ

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    แจกสูตรทำ ” ยาหอม ” ยาไทย เพื่อลมหายใจ ช่วยปรัมสมดุล

    ชวนดูแล ป้องกัน รักษา ลำไส้แปรปรวน ฉบับแพทย์แผนไทย

    How to ลดไขมันในเลือด ฉบับหมอไทย

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    บ้าน 100 ปี คาเฟ่ & ฟาร์ม

    ชีวจิตชวนชิม บ้าน 100 ปี คาเฟ่ & ฟาร์ม จ.เลย

    บ้าน 100 ปี คาเฟ่ & ฟาร์ม ร้านอร่อย ดีต่อสุขภาพ

    ชีวจิตชวนชิม ร้านอร่อย ดีต่อสุขภาพ ” บ้าน 100 ปี คาเฟ่ & ฟาร์ม ” ร้านอาหารขึ้นชื่อแห่งจังหวัดเลย ซึ่งบอกเลยว่า วัตถุดิบเขาดี แถมยังเด่นด้านการทำอาหารให้เป็นยาเลิศรสอีกด้วย

    อาหารไทยโบราณ กินแกล้มผักสดหลากชนิดจัดมาในถ้วยชามเบญจรงค์เข้าชุด อาหารมื้อนี้ที่ บ้าน ๑๐๐ ปี คาเฟ่ & ฟาร์ม ไม่ได้ให้แค่ความอิ่มและอร่อยเท่านั้น แต่ยังทำให้เราอดนึกถึงกับข้าวฝีมือคุณย่าคุณยายรสชาติไทยแท้ ที่มาพร้อมคุณค่าต่อสุขภาพ เพราะคุณย่าคุณยายเลือกกินตามฤดูกาล ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกับร้านนี้

    วัตถุดิบดีจากทั่วไทย รวมไว้ทำอาหารเป็นยา

    ด้วยจุดเริ่มต้นที่อยากปลูกพืชผักดีๆ ปลอดสารเคมีให้ผู้คนได้กิน เพื่อเสริมคุณค่าทางโภชนาการ คุณหนึ่ง – สุนทร โพธิ์ศรี จึงตัดสินใจทำ “ศูนย์เศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อเป็นสถานที่ในการแนะนำชาวอำเภอเมือง จังหวัดเลย มาเรียนรู้การปลูกผักออร์แกนิกและทำบ่อเลี้ยงปลา

    แม้จะส่งพืชผักจากศูนย์เศรษฐกิจพอเพียงออกขายตามตลาดแล้ว แต่ก็ยังมีผลผลิตเหลืออยู่มาก คุณหนึ่งจึงเล็งเห็นว่า คงจะดีถ้านำวัตถุดิบดีๆ จากศูนย์ฯ ส่งตรงสู่โต๊ะอาหารบ้าง เริ่มต้นจากทำเมนูต่าง ๆ ผ่านสูตรอาหารของครอบครัวก่อน จนเกิดเป็น “ร้านอาหาร บ้าน ๑๐๐ ปี คาเฟ่ & ฟาร์ม”

    นอกจากพืชผักที่ปลูกเองแล้ว จุดเด่นของร้านอาหารแห่งนี้คือ การนำเข้าวัตถุดิบชั้นเลิศจากทุกสารทิศทั่วไทย ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเลสด ๆ จากดงประมงมหาชัย ปลาคังจากแม่น้ำโขง หรือแม้แต่น้ำปลาแท้ที่ทางร้านก็ยังผลิตเอง เพื่อปรุงแต่งอาหารทุกจานให้อร่อยเหาะ

    ที่สำคัญกว่านั้น ทุกขั้นตอนการทำอาหารจะต้องมีคนในครอบครัวเป็นผู้กำกับดูแลความเรียบนร้อย ไม่ว่าจะการทำความสะอาดภาชนะ การคุมสูตรอาหาร ไปจนถึงการคัดสรรวัตถุดิบ ดังนั้นทุกเมนูที่เสิร์ฟออกไปจึงได้รับการใส่ใจเหมือนทำอาหารกินเองในบ้าน

    เมนูเด็ด มากสารอาหาร

    ผักสดๆ จากแปลงที่งอกงามตามฤดูกาล จัดใส่จานอย่างสวยงามเพื่อเป็นผักแนมของทุกเมนู มื้อนี้เริ่มด้วยอาหารเรียกน้ำย่อยอย่าง “ยำผักกูด” ที่บ้าน ๑๐๐ ปี เลือกใช้แค่ยอดอ่อน กรอบ มัน เคี้ยวง่าย นำมาคลุกน้ำยำรสจัดแต่ไม่เผ็ดแสบลิ้น กินคู่หมึก กุ้งตัวโต พร้อมแครอทสดชิ้นบางพอดีคำ อร่อย กรุบกรอบ เหมาะสำหรับคนไม่ชอบผัก เพราะไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว และช่วยเพิ่มกากใยได้ดี

    “ปลาช่อนนึ่งแจ่วผักพื้นบ้าน” เป็นอีกหนึ่งจานที่สั่งกันทุกโต๊ะ เพราะปลาช่อนสดๆ เนื้อฟู นึ่งคู่มากับผักพื้นบ้านตามฤดูกาล เสิร์ฟคู่แจ่ว 2 ชนิด ซีฟู้ดแซ่บๆ รสเปรี้ยวนำ และแจ่วน้ำปลาร้าเค็มๆ มันๆ

    มาถึงเมนูของดีต่างแดนอย่าง “ขนมจีนน้ำยาปู” สูตรคนใต้แท้ หอมกลิ่นกะปิแท้ เค็มนิดๆ หวานหน่อยๆ จากกะทิคั้นสด ตักไปทางไหนก็มีเนื้อปูเต็มๆ และแน่นอนว่าจานนี้ก็มีผักเคียงมาเต็มเช่นกัน เพื่อช่วยลดความเผ็ดร้อนจากเครื่องพริกแกง

    ปิดท้ายมื้ออาหาร ด้วยของหวานที่อร่อยลงตัวอย่าง “ลูกตาลลอยแก้ว” ทางร้านเลือกใช้เนื้อตาลอ่อนๆ หั่นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงในน้ำเชื่อมรสหวานพอดีจากน้ำตาลธรรมชาติอย่างหญ้าหวาน มื้อนี้ทำเอาประทับใจไม่รู้ลืม

    ผักกูด ผักพื้นบ้าน บำรุงเลือด

    ผักกูดเป็นผักพื้นบ้านชนิดหนึ่งของไทย มักขึ้นอยู่ตามริมรั้ว เจริญเติบโตได้ง่าย และอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย ในอดีตมีการนำผักกูดมาใช้เป็นยารักษาโรคหลายชนิดด้วยกัน

    ผักกูดมีธาตุเหล็กสูงซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือด จึงช่วยในการบำรุงเลือดได้ดี อันจะส่งผลต่อการทำงานของสารสื่อประสาท และช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม

    มื้อเพลินสวน ดูบัว เยือนเรือนโบราณ

    นอกจากอาหารจะอร่อยแล้ว บรรยากาศของร้านก็ยังชวนชุ่มชื่นใจไม่น้อย บนพื้นที่ขนาด 5 ไร่นี้ นอกจากจะมีบ่อบัว สวนสวยร่มรื่นแล้ว ยังเป็นที่ตั้งของ “บ้านไม้โบราณอายุกว่า 100 ปี” ซึ่งเป็นไฮไลท์ที่โดดเด่นและเป็นที่มาของชื่อร้าน 

    บ้านไม้โบราณหลังนี้ คุณหนึ่งซื้อมาจากการไปเยี่ยมเยือนชุมชนบ้านนาอ้อ  อำเภอเมือง จังหวัดเลย ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่กว่า 450 ปี ตาม “ปูม” ท้องถิ่นเล่าขานว่า บรรพบุรุษของชาวนาอ้อมีเชื้อสายเผ่าไทลื้อ อพยพย้ายถิ่นฐานมาจากหลวงพระบางและเวียงจันทน์ ด้วยเหตุนี้กลิ่นอายวัฒนธรรมลาวจึงหลงเหลือให้เห็นทั้งวิถีชีวิต การทอผ้าถุง การนุ่งผ้าซิ่น รวมทั้งสถาปัตยกรรมไม้ที่สวยงาม ดังที่ถ่ายถอดออกมาผ่านบ้านหลังนี้นี่เอง

    สำหรับใครที่มาเมืองเลย แนะนำ อย่าพลาดที่จะมาดื่มด่ำกับอาหารไทยและบรรยากาศดีๆ ของบ้านไม้โบราณอายุ 100 ปี ที่ร้านอาหารบ้าน ๑๐๐ ปี คาเฟ่ & ฟาร์ม แห่งนี้กันนะคะ

    ร้านอาหาร บ้าน ๑๐๐ปี คาเฟ่ & ฟาร์ม อ.เมือง จ.เลย

    การันตีความอร่อยด้วย รางวัลร้านอาหารอัตลักษณ์ไทยของจังหวัดเลย, และโครงการอาหารเป็นยากรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข

    • ที่ตั้ง: 535 หมู่ 1 อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย 42000
    • ติดต่อสอบถาม: โทร. 062-514-2945              
    • เฟสบุ๊ค: facebook.com/baan100th                     
    • Email: baanroipee@gmail.com

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    เที่ยว ห้วยหินลาดใน สัมผัสผืนป่าแห่งชุมชน

    Athita The Hidden Court Chiang Saen นอนชิว วิถีเชียงแสน

    Amaravati Wellness Center สถานแห่งการบำบัดใจ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Facebook : นิตยสารชีวจิต
    Instagram : Cheewajitmedia
    TikTok : cheewajitmediaofficial

    ภูมิแพ้กินวิตามินอะไร

    ภูมิแพ้กินวิตามินอะไร ช่วยลดอาการ

    ลองโควิด ภูมิแพ้กินวิตามินอะไร ช่วยลดอาหารได้

    ภูมิแพ้กินวิตามินอะไร ? ช่วยได้ หรือลองโควิด ทำยังไงให้หาย ? หรือ เราต้องกินอะไรถึงบรรเทาอาการจาก PM2.5 ? นี่อาจเป็นคำถามที่คาใจใครหลายคน วันนี้แอดมีข้อมูลดีๆ จากนิตยสารชีวจิต ฉบับ เดือนพฤศจิกายน ที่ว่าด้วยเรื่องของการกินวิตามิน และแร่ธาตุ ผู้เชี่ยวชาญจะว่าอย่างไร ไปอ่านกันดีกว่าค่ะ

    ภูมิแพ้กินวิตามินอะไร

    ปฏิกิริยาภูมิแพ้เกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย วิตามินและแร่ธาตุที่มีส่วนช่วยสำคัญ ได้แก่ วิตามินซี สังกะสี เพราะทั้งสองชนิดจะช่วยกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาวเพื่อตอบสนองต่อเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย และช่วยลดกระบวนการอักเสบได้

    ภูมิแพ้กินวิตามินอะไร

    แหล่งอาหารตามธรรมชาติที่พบสังกะสี : เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผักใปเขียว เช่น ผักโขม มันฝรั่ง มะเขือเทศ ข้าวและธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้ง ผลไม้ เช่น มะม่วง สับปะรด แอปเปิ้ล

    กินอะไรบรรเทาอาการจาก PM2.5 ?

    PM2.5 เป็นสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และอาจก่อ ให้เกิดสารก่อมะเร็งในร่างกายได้ วิตามินและแร่ธาตุที่มีส่วนช่วยลดการอักเสบของร่างกายและสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่สูงขึ้นเพื่อช่วย ลดผลกระทบจากการได้รับ PM2.5 รวมทั้งชะลอโรคและความเสื่อมสภาพของร่างกาย มีดังนี้

    • วิตามินเอ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและการทำงานของระบบทางเดินหายใจ
    • วิตามินซี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสียหายต่อเซลล์ เพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดอาการแพ้
    • วิตามินอี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ
    • วิตามินบี 6 และ 12 และ กรดโฟลิกหรือโฟเลต เพื่อช่วยลดสารพิษในเลือดจาก PM2.5

    นอกจากนี้ควรพักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับให้มีคุณภาพ และพยายามแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุ คือ การปรับพฤติกรรมเสียงป่วย ลดการนำพาอนุมูลอิสระเข้ามาในร่างกาย ด้วยการใส่หน้ากากอนามัยเมื่อต้องเข้าไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่มีผู้คนหนาแน่นหรือเมื่อต้องเดินทางไปในสถานที่ที่มีค่าอากาศ ACI ที่ไม่ปลอดภัย ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

    หมั่นล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ รวมทั้งออกกำลังกายอย่างเหมาะสม จะช่วยป้องกันความเจ็บป่วยจากหวัดผลกระทบต่อร่างกายหลังได้รับ PM2.5 ได้

    ภูมิแพ้กินวิตามินอะไร

    การดูแลและป้องกันตัวเองจากฝุ่น PM 2.5

    นอกจากการกินวิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ แล้ว การดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากฝุ่น PM 2.5 นั้นก็สำคัญ และมีด้วยกันหลายวิธี

    1. ควรหลีกเลี่ยงการไปอยู่ในที่ที่มีฝุ่นละอองมาก เช่น ในเมืองหรือบนท้องถนน โดยเฉพาะในช่วงเวลาเช้า
    2. หากจำเป็นต้องออกนอกอาคาร ควรใส่หน้ากากกรองอากาศชนิดกรองอนุภาคสำหรับฝุ่นละออง PM 2.5 โดยเฉพาะ และใส่แว่นตากันแดด เพื่อช่วยป้องกันฝุ่นละอองเข้าตา
    3. หลังออกนอกสถานที่ ควรล้างมือ ล้างหน้าทุกครั้ง เพื่อลดสิ่งสกปรกและคราบฝุ่นที่ตกค้างหรือปนเปื้อน
    4. ควรพักผ่อนให้เพียงพอ รวมทั้งดื่มน้ำสะอาด
    5. ในช่วงนี้ควรดูแลสิ่งแวดล้อมในบ้านให้สะอาดเป็นพิเศษ และปิดหน้าต่าง เปิดเครื่องปรับอากาศ เพื่อป้องกันฝุ่นเข้ามาในบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ใช้งานบ่อยครั้ง เช่น ห้องนอน หรือห้องน้ำ
    6. ควรดูแลเช็ดทำความสะอาดพื้นบ้าน และเฟอร์นิเจอร์บ่อยครั้งมากขึ้น เพื่อลดการสะสมของฝุ่นละออง
    7. ควรติดตั้งเครื่องฟอกอากาศในห้องนอนเพื่อช่วยกรองและฟอกอากาศให้สะอาดมากขึ้น
    8. สำหรับผู้ที่ชอบออกกำลังในช่วงเช้า ควรเปลี่ยนเป็นออกกำลังกายในบ้านหรือในฟิตเนสแทน

    ลองโควิด ทำยังไงให้หาย ?

    ลองโควิด (Long COVID) หรือ Post COVID-19 Syndrome เป็นภาวะของคนที่หายจากโควิด-19 แล้ว แต่ยังมีอาการผิดปกติบางอย่างที่หลงเหลืออยู่ ทั้งนี้อาการลองโควิดมีโอกาสเกิดขึ้นได้ถึง 30 -50 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่รักษาหายแล้ว

    ส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อที่หายจากอาการโควิดรุนแรงมักจะมีอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ขับถ่ายไม่สะดวก จึงอาจทำให้ขาดวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดได้

    ในบางรายอาจจำเป็นต้องเสริมวิตามินชี วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และสังกะสี เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูแข็งแรง เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และปกป้องเซลล์จากการติดเชื้อ หรือลดความรุนแรงจากการติดเชื้อ

    ไม่เพียงเท่านั้น อาจรับประทานอาหารที่มีโพรไบโอติกส์ (Probiotics) หรือจุลินทรีย์ชนิดดี เช่น โยเกิร์ต ชาหมัก คอมบุฉะ รวมทั้งอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูง อาหารที่มีพรีไบโอติกส์ (Prebiotics) เช่น ผักผลไม้ เพื่อเสริมจำนวนจุลินทรีย์ดีในลำไส้และเสริมอาหารของจุลินทรีย์ ชนิดดีในลำไส้ไปพร้อมกัน เนื่องจากจุลินทรีย์ชนิดดีจะช่วยทำหน้าที่เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้อีกทาง

    ภูมิแพ้กินวิตามินอะไร

    นอกจากนี้ผู้ที่มีอาการลองโควิดยังควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ย่อยยาก อาหารแปรรูป อาหารแช่แข็ง อาหารหมักดอง เพราะมีปริมาณไขมันและโชเดียมสูง จำกัดการรับประทานของหวาน เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง หลึกเลียงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ รวมทั้งออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ

    อย่างไรก็ตาม โควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ ยังมีข้อมูลวิจัยไม่มาก จึงควรดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เพื่อฟื้นฟูและสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของตนเอง อีกทั้งยังต้องดูแลตนเองตามคำแนะนำของกรมอนามัยอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการแพร่ระบาด การ์ดอย่าตกเพื่อป้องกันการติดเชื้อจะดีที่สุด

    ที่มา

    นิตยสารชีวจิต ฉบับ เดือนพฤศจิกายน วิตามิน & แร่ธาตุ กินน้อยไปป่วยง่าย กินมากไปก็ไม่ดี สั่งซื้อ คลิก

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    วิธีเลือกซื้อวิตามิน และแร่ธาตุ เภสัชไขปัญหา อยากกินวิตามิน แร่ธาตุ อาหารเสริม ต้องเลือกซื้อยังไง

    วิตามินอีธรรมชาติ กินช่วยชะลอวัย เพิ่มภูมิคุ้มกัน

    รวมคุณประโยชน์ วิตามิน A / C / K / D / E

    ติดตามชีวจิตได้ที่ :

    Facebook : นิตยสารชีวจิต
    Instagram : Cheewajitmedia
    TikTok : cheewajitmediaofficial

    ประโยชน์ของแอปเปิ้ล

    ประโยชน์ของแอปเปิ้ล มีดีกว่าแค่ช่วยลดน้ำหนัก

    ประโยชน์ของแอปเปิ้ล ลดน้ำตาลในเลือด บำรุงหัวใจ

    หากใครเคยได้ยินประโยคที่ว่า An apple a day keeps doctor away กินแอปเปิ้ลวันละผล ก็ไม่ต้องไปหาหมอ ใช่ค่ะ วันนี้เราจะมาแนะนำ ประโยชน์ของแอปเปิ้ล ที่ประโยชน์ไม่ได้มีเพียงแค่ช่วยลดน้ำหนัก แต่มีประโยชน์เพื่อสุขภาพรอบด้าน แถมแอปเปิ้ลแต่ละสีก็มีประโยชน์ที่แตกต่างกัน และเมื่อแปรรูปเป็นไซเดอร์ ก็มีประโยชน์มากๆ ด้วยเช่นกัน

    ประโยชน์ของแอปเปิ้ล สีต่างๆ

    แอปเปิ้ลแดง

    เป็นที่คุ้นตากันที่สุด โดยเฉพาะพันธุ์ Red Delicious ที่มีจุดเด่นในเรื่องสุขภาพคือ มีสารแอนติออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ดีต่อสุขภาพผิวด้วย

    แอปเปิ้ลสีชมพู

    เช่น พันธ์ Fuji นั้น มีฟิโนลิกมากที่สุดในบรรดาแอปเปิ้ลด้วยกัน ซึ่งสารนี้ช่วยยับยั้งการเกิดฝ้าและชะลอความแก่ นอกจากนั้นยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินซี ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง ลดการอักเสบ ลดไข้ รวมทั้งช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้ด้วย

    ประโยชน์ของแอปเปิ้ล

    แอปเปิ้ลสีเหลือง

    เป็นแอปเปิ้ลที่ออกจะมีประโยชน์ฉีกแนวต่างจากแอปเปิ้ลสีอื่น เพราะแอปเปิ้ลสีเหลืองอย่างพันธุ์ Golden Delicious มีสารเควอร์ซิตินที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และต้อกระจก

    แอปเปิ้ลเขียว

    ขวัญใจคนคุมน้ำหนัก ด้วยรสเปรี้ยวอมหวาน เพราะการกินแอปเปิ้ลสีเขียวอย่างพันธุ์ Granny Smith นอกจากจะมีน้ำตาลน้อยแล้ว ยังมีอิลาสตินและคอลลาเจนที่ช่วยเสริมสร้างให้ผิวแข็งแรงยืดหยุ่นได้ดี

    นอกจากนั้น แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ทำให้อิ่มท้องได้นานขึ้น เป็นแหล่งไบโอตินหรือวิตามินบี 7 ซึ่งจำเป็นสำหรับการสลายไขมันในการลดน้ำหนัก และยังเป็นแหล่งไอโอดีนที่จำเป็นต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ มีความสำคัญต่อการเผาผลาญอาหารและการสลายไขมันในร่างกายที่สะสมไว้ให้กลายเป็นพลังงาน โดยแอ๊ปเปิ้ล 1 ผล สามารถให้วิตามินซีได้ร้อยละ 14 ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน

    ไม่เพียงแค่เรื่องของการลดน้ำหนักเท่านั้น แอปเปิ้ลยังมีสรรพคุณที่ช่วยในการลดความเสี่ยงการเกิดโรคต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs

    แอปเปิ้ล กับการป้องกันโรค

    บำรุงหัวใจ แอปเปิ้ลมีไฟเบอร์ละลายน้ำชนิดหนึ่งเรียกว่า เพคติน มีงานวิจัยบ่งชี้ว่า จะไปช่วยดักจับคอเลสเตอรอลและยังมีสารต้านการอักเสบที่ช่วยปกป้องคุณจากโรคหัวใจ

    เบาหวาน มีรายงานว่า ผู้หญิงที่บริโภคแอปเปิ้ลอย่างน้อยวันละ 1 ผล มีโอกาสจะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เพียงร้อยละ 28 เนื่องจากแอปเปิ้ลเต็มไปด้วยไฟเบอร์ละลายน้ำ เป็นกุญแจสำคัญในการลดน้ำตาลในเลือด

    ปอด การศึกษาจากโรงเรียนแพทย์โรงพยาบาลเซนต์จอร์จในลอนดอนพบว่า คนที่กินแอปเปิ้ล 5 ผลขึ้นไปต่อสัปดาห์จะมีสมรรถภาพปอดดีกว่าคนที่ไม่กิน

    แอปเปิ้ลแปรรูป

    ไม่เพียงแค่แอปเปิ้ลสดเท่านั้นที่มีประโยชน์ แต่แอปเปิ้ลแปรรูปก็มีประโยชน์มากเช่นเดียวกัน โดยแอปเปิ้ลนิยมนำไปทำเป็นไซเดอร์ ซอส และไซรัป รวมถึงอบแห้ง

    น้ำเอนไซม์แอปเปิ้ล สารในน้ำเอนไซม์แอปเปิ้ลช่วยให้ความจำดีและชะลอความเสื่อมของสมองได้ ในแต่ละวันจึงแนะนำให้นำแอปเปิ้ล 2 ผลมาคั้นด้วยเครื่องแยกกาก (juicer) แล้วดื่มทันที

    ประโยชน์ของแอปเปิ้ล

    แอปเปิ้ลแห้ง เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เพราะอุดมไปด้วยใยอาหารและธาตุเหล็ก เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก เราสามารถกินแอปเปิ้ลแห้งเป็นของว่าง หรือใส่ลงไปในซีเรียลก็อร่อยได้ไม่แพ้กัน

    ซอสแอปเปิ้ล การกินซอสแอปเปิ้ลทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากเพกทินอย่างเต็มที่ เราสามารถราดซอสแอปเปิ้ลบนปลานึ่ง สเต๊กปลา หรือของหวานที่เราชื่นชอบ

    แอปเปิ้ลไซเดอร์

    แอปเปิ้ลไซเดอร์มีคุณสมบัติต้านจุลชีพ เป็นผลมาจากส่วนประกอบของโพลีฟีนอล ซึ่งเป็นพฤกษเคมีที่อยู่ในผักผลไม้ และพบได้จากไซเดอร์ผลไม้อื่นๆ เช่น ไซเดอร์จากองุ่น เป็นต้น โพลีฟีนอลทำหน้าที่เป็นแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยป้องกันการก่อตัวของอนุมูลอิสระที่จะไปทำลายเนื้อเยื่อในร่างกายได้ จากงานวิจัยแนะนำว่าโพลีฟีนอลส่งผลดีต่อร่างกายกับโรคมะเร็งบางประเภท โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และอาการผิดปกติจากการอักเสบ

    นอกจากโพลีฟีนอลแล้ว แอปเปิ้ลไซเดอร์ยังมีแบคทีเรียดีที่เป็นโพรไบโอติก ช่วยส่งเสริมการทำงานของลำไส้และระบบภูมิคุ้มกัน

    ประโยชน์ของแอปเปิ้ล

    ข้อควรระวัง

    เนื่องจากแอปเปิ้ลไซเดอร์ จัดเป็นน้ำส้ม (เครื่องปรุงรสเปรี้ยวชนิดหนึ่ง ไม่ใช่น้ำจากผลส้ม) จึงมีฤทธิ์เป็นกรด ทำให้การบริโภคแอปเปิ้ลไซเดอร์ มีข้อควรระวัง คือ

    1. ทำลายเคลือบฟัน หากกินเพรียวๆ
    2. ลดระดับโพแทสเซียม ผู้ที่กินยาประเภทขับปัสสาวะอยู่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนกิน
    3. ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับอินซูลิน ผู้ป่วยเบาหวานควรระมัดระวังเป็นพิเศษ

    คำแนะนำ ในการกินแอปเปิ้ลไซเดอร์ ควรผสมน้ำอุ่น หรือผสมในเครื่องดื่มและอาหารอื่นๆ หรือใช้แทนน้ำส้มสายชู

    ที่มา

    • นิตยสาร ชีวจิต
    • Medical News Today

    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    กินแอปเปิ้ลไซเดอร์ ช่วยป้องกันโรคร้าย

    แจกสูตร สมูตตี้แอปเปิ้ลนมถั่วเหลือง ป้องกัน มะเร็งเต้านม

    10 สูตรน้ำผักผลไม้ เสริมให้สุขภาพดวงตาดี สวย ชะลอความเสื่อม

    มะขามป้อม ผลไม้เป็นยา บำรุงร่างกายทุกส่วน

    เบต้าแคโรทีน สีเหลืองอมส้มจากผักผลไม้ ที่ร่างกายต้องการ

    ชวน เลือกพรีไบโอติกส์ ในผักและผลไม้ (กินเลยลำไส้ดี)

    ผักผลไม้ห้ามกินกับยา ป้องกันยาตีกัน

    ติดตามชีวจิตได้ที่ :

    Facebook : นิตยสารชีวจิต
    Instagram : Cheewajitmedia
    TikTok : cheewajitmediaofficial

    การครอบแก้ว

    มาทำความรู้จักกับ การครอบแก้ว ให้มากขึ้น

    หลายคนน่าจะเคยได้ยิน และเคยเห็น การรักษาแบบ การครอบแก้ว ซึ่งเป็นวิธีการรักษาตามศาสตร์แพทย์แผนจีนกันมาบ้างแล้ว วันนี้ชีวจิตจะพาไปทำความรู้จักกับศาสตร์การรักษาแบบนี้ให้มากขึ้น เผื่อใครที่กำลังลังเลว่า จะไปทำดีหรือไม่ดี จะได้มีข้อมูลไว้ประกอบการพิจารณา

    การครอบแก้ว คืออะไร?

    ตามศาสตร์การแพทย์แผนจีนอธิบายหลักการทำงานของการรักษาแบบครอบแก้วไว้ว่า ความร้อนของไฟ จะเป็นตัวช่วยไล่ความเย็นที่อยู่ในเส้นลมปราณ ซึ่งตามหลักของแผนจีนเชื่อกันว่า ความเย็นจะทำให้การไหลเวียนของลมปราณติดขัด เมื่อเกิดการติดขัดขึ้น มักส่งผลต่ออาการปวดเมื่อยที่เราเป็นกันอยู่ และเมื่อใช้การครอบแก้วซึ่งมีความร้อนจากเปลวไฟมาวางบนผิวตัว ลมปราณในร่างกายจะไหลเวียนได้อย่างปกติเหมือนเดิม ทำให้อาการปวดที่มี บรรเทาลงได้นั่นเอง ถือเป็นหลักการง่ายๆ ตามศาสตร์แพทย์แผนจีน

    การครอบแก้ว

    จากการบันทึกตามประวัติศาสตร์ พบว่าการครอบแก้ว (Cupping Therpy) เป็นศาสตร์การแพทย์จีนโบราณที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการฝั่งเข็ม โดยมีบันทึกมายาวนานกว่า 2,000 ปี โดยนำถ้วยแก้วแบบเฉพาะมาวางไว้บนผิวหนังพร้อมใช้ความร้อนให้แก้วดูดผิวหนังขึ้นมา สามารถบรรเทาอาการเจ็บปวด ช่วยในการไหลเวียนเลือก ผ่อนคลาย และช่วยในการขจัดสารพิษออกจากร่างกาย

    แต่เดิมที่ยังไม่มีแก้ว ชาวจีนจะใช้เขาสัตว์ กระบอกไม้ไผ่แก่ หรือกระปุกเซรามิก ที่มีความกลวงเป็นอุปกรณ์หลักในการครอบและจึงได้วิวัฒนาการเปลี่ยนมาเป็นแก้วจนกระทั่งปัจจุบัน

    ครอบแก้วทำอย่างไร?

    เริ่มแรกแพทย์สอบถามอาการผู้ป่วยและจับชีพจร หรือที่เราเรียกว่า การแมะ ซึ่งเป็นการสำรวจเส้นลมปราณต่างๆ ในร่างกาย เพื่อวินิจฉัยโรค จากนั้นแพทย์จะทำการรักษาโดยใช้แก้วสีใสปลอดเชื้อ ใช้ความร้อนไล่อากาศภายในแก้วเพื่อให้เกิดภาวะสูญญากาศ จากนั้นครอบแก้วลงบนผิวหนัง แก้วจะดูดผิวหนังและกล้ามเนื้อขึ้นมา ผิวหนังจะเริ่มเปลี่ยนสี

    ประเภทของครอบแก้ว

    ในปัจจุบันครอบแก้ว มีด้วยกันหลายประเภท มีทั้งแบบที่ใช้วิธีดั้งเดิม และแบบที่นำเทคโนโลยีมาผสมผสาน คือ

    • Hot Cupping จุดไฟบนสมุนไพรที่มีที่รองไว้ บนผิวหนัง แล้ววางถ้วยหนาๆ ครอบลงตาม เพื่อลดอาการปวด หรือ ใช้สำลีจุ่มแอลกอฮอล์แล้วจุดไฟ แล้วลนด้านในถ้วย ให้ออกซิเจนน้อยหน่อยแล้วรีบครอบลงไป การจุดไฟจะเป็นการดึงออกซิเจนออกจากถ้วยทำให้เกิดสูญญากาศ ซึ่งจะดูดทั้งผิวหนัง ไขมัน และยืดกล้ามเนื้อชั้นบนขึ้นมา
    • Wet Cupping จะมีการใช้เข็มหนา ๆ จิ้ม 2-3 ที่ใกล้ ๆ กัน ตรงกล้ามเนื้อที่ปวด แล้วครอบแก้วลงไป จะเกิดสูญญากาศและดูดเลือดที่คั่งในกล้ามเนื้อนั้น ๆ ออกมา เพื่อลดปวดอย่างรวดเร็ว
    • Dry Cupping จะใช้ถ้วยดูดสูญญากาศแบบมีวาวล์ดึงอากาศออกจากถ้วย จะดึงทั้งผิวหนัง ไขมัน และกล้ามเนื้อขึ้นมาตามปริมาณที่เอาอากาศออก  

    การรักษาด้วยครอบแก้ว

    • การครอบแก้วแบบเคลื่อนไหวหรือการเดินถ้วย (โจ่วก้วน) เพื่อรักษาอาการปวดจากลมปราณติดขัด และอาการชา
    • การครอบแก้วแบบดึงเร็ว (ส่านก้วน) ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการปวดและชาที่ผิวหนัง หรือสมรรถภาพ (ทางร่างกาย) เสื่อมถอย
    • การครอบแก้วที่ประสานกับการใช้เข็มปลอดเชื้อ (ซื่อลั้วป๋าก้วน) ใช้รักษาโรคไฟลามทุ่ง ฝีหนอง รวมถึงอาการปวดเมื่อยเคล็ดขัดยอก
    • การครอบแก้วที่ใช้คู่กับการฝังเข็ม เพิ่มประสิทธิภาพการฝังเข็มและครอบแก้วควบคู่กัน

    โดยการครอบแก้วอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ เกิดรอยแดง ม่วง ช้ำ ซึ่งถือเป็นอาการปกติ สามารถหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์

    การครอบแก้ว

    ขั้นตอนการครอบแก้ว

    1. แพทย์แผนจีนตรวจและวินิฉัยอาการเพื่อหาสาเหตุ
    2. ใช้สำลีชุดแอลกอฮอล์แล้วจุดไฟใส่เข้าไปในถ้วยแก้วเพื่อให้เกิดสูญญากาศ แล้วจึงนำถ้วยแก้วนั้นวางคว่ำไปยังตำแหน่งที่ต้องการรักษา
    3. แรงดูดสูญญากาศจากภายในแก้วจะดูดผิวหนังและกล้ามเนื้อของผู้บำบัดขึ้นมาซึ่งผิวหนังบริเวณนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีแดงหรืออาจทำให้มีเลือดคั่ง ของเสียออกมาจากผิวหนัง
    4. ในวิธีครอบแก้วแบบแห้งจะใช้เวลาที่ประมาณ 5-10 นาที ส่วนวิธีการครอบแก้วแบบเปียกแพทย์อาจจะกรีดแผลเล็กๆเพื่อเป็นการระบายเลือดออกโดยใช้เวลาประมาณ 2-3 นาทีเท่านั้นแล้วจึงทาขี้ผึ้งและปิดด้วยผ้าผันแผลเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อ รอยแดงที่เกิดจากการครอบแก้วจะสามารถหายไปภายใน 5-7 วัน

    การครอบแก้ว ในมุมมองของหลักวิทยาศาสตร์

    หลายคนอาจยังงงว่าการเอาแก้วสูญญากาศมานาบที่ผิว แล้วจะรักษาได้อย่างไร มีวิทยาศาสตร์รองรับหรือไม่ หรือเป็นแค่ความเชื่อ เรื่องนี้ทางวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ อธิบายไว้ว่า การที่เรานำแก้วไปครอบบริเวณผิวหนัง และผิวหนังถูกดูดด้วยแก้วที่เป็นสูญญากาศ จะทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดบริเวณนั้น มีการปั๊มเลือดเข้าสู้บริเวณที่ครอบแก้ว ประกอบกับหลอดเลือดฝอยที่ขยายตัวขึ้น ส่งผลให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นได้รับเลือดออกซิเจนมากขึ้นนั่นเอง ผลที่ตามมาคือ บริเวณที่เราครอบแก้ว จะเกิดกระบวนการซ่อมแซมตัวเองที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  

    การครอบแก้ว

    ข้อควรระวังในการครอบแก้ว

    แม้จะเป็นศาสตร์ที่ยาวนานนับพันปี แต่ก็มีข้อควรระวังด้วยเช่นกันคือ

    1. ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่ายหรือที่ผู้ที่สภาพร่างกายอ่อนแอ ถ้าสภาพร่างกายอ่อนแอเกินไปไม่เหมาะที่จะทำการ ครอบแก้ว เพราะเป็นวิธีการระบายซึ่งจะทําให้คนที่ร่างกายพร่องอยู่แล้ว ยิ่งพร่องมากขึ้น

    2. ผู้หญิงที่มีประจำเดือน ถ้ามีเลือดออกอยู่ แสดงว่าร่างกายใช้เกล็ดเลือดเยอะ เมื่อทำให้ร่างกายเกิดความช้ำอาจทำให้ช้ำมากกว่าปกติและระบมได้ง่าย

    3. ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งที่มีก้อนเนื้อชัดเจน  เพราะเลือดไปเลี้ยงตรงบริเวณก้อนมากอยู่แล้ว  เพราะถ้าทำการครอบแก้วอาจกลายเป็นว่าไปเร่งให้มะเร็งซึ่งยังไม่กระจายออกไปที่หลอดเลือดกระจายออกไปเร็วขึ้น

    4. ผู้ป่วยโรคหัวใจ เนื่องจากผิวหนังได้รับแรงดูดขึ้น ทําให้ร่างกายบริเวณนั้นบวมและปวด ผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคหัวใจ หากได้รับการกระตุ้นแล้วปวดมากไปอาจทําให้เกิดอาการเกี่ยวกับหัวใจเฉียบพลัน หรือโรคหัวใจกําเริบได้

    5. ผู้ที่ผิวหนังเป็นแผลเปิด ผิวหนังบวม อักเสบ หรือติดเชื้อบริเวณผิวหนัง เช่น โรคสะเก็ดเงินไม่ควรทำ เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบที่หลอดเลือดบริเวณใต้ผิวหนังได้

    6. หญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรก ไม่ควรครอบแก้วช่วงเอว ท้อง และก้นกบเด็ดขาด เพราะอาจทําให้เกิดภาวะแท้งได้ง่าย  

    ที่มา

    • คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
    • แพทย์หญิงศรันยา สาครินทร์ และนิตยสารชีวจิต  

    เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    เยียวยาภาวะ ตับอักเสบ ตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน

    เพิ่มกล้าม หยุด ปวดออฟฟิศซินโดรม ด้วยแพทย์แผนจีน

    ป้องกันโรคหัวใจ ตามแบบฉบับแพทย์แผนจีน

    ติดตามชีวจิตได้ที่ :

    Facebook : นิตยสารชีวจิต
    Instagram : Cheewajitmedia
    TikTok : cheewajitmediaofficial

    ยาหอม

    แจกสูตรทำ ” ยาหอม ” ยาไทย เพื่อลมหายใจ ช่วยปรัมสมดุล

    ยาหอม ยาไทยเพื่อลมหายใจ ของชีวิต

    แพทย์แผนไทยอาจเลือกใช้ ยาหอม เพื่อกระตุ้นการทำงานของหัวใจ บำรุงระบบประสาทและสมอง สำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าบางราย เพราะอารมณ์เศร้าในบางช่วงเวลาของชีวิตที่เกิดได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย และจากสาเหตุหลายประการ ส่งผลให้การทำงานของสุมนาวาตะลดลงและกระทบสมดลในองค์รวมของร่างกาย

    ตามหลักการแพทย์แผนไทย ยาหอมที่มีผิวส้มจะมีฤทธิ์คลายกังวล และดอกมะลิช่วยให้ดวงจิตชุ่มชื่น เช่น ในตำรับยาหอมเทพจิตร ยาสามัญประจำบ้าน หรือ ยาจิตรารมณ์ในคัมภีร์ชวดาร ซึ่งตัวยามีรสสุขุม เย็น มีกลิ่นหอม จึงช่วยปรับการทำงานของสุมนาวาตะให้กลับสู่สมดุลได้

    ยาหอม

    ตำรับ ยาหอมเทพจิตร

    ส่วนประกอบสำคัญ

    ดอกมะลิ ผิวส้มซ่า โกฐทั้ง 9 เทียนทั้ง 9 ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ กฤษณา กระลำพัก ขอนดอก ชะลูด อบเชย เปราะหอม แฝกหอม พิมเสน การบูร

    สรรพคุณ

    แก้ลมกองละเอียด ได้แก่ อาการหน้ามืด ตาลาย สวิงสวาย ใจสั่น และบำรุงดวงจิตให้ชุ่มชื่น

    ขนาดและวิธีใช้

    ยาผง ใช้ครั้งละ 1-1.4 กรัม ละลายน้ำต้มสุก กินเมื่อมีอาการทุก 3-4 ชั่วโมง ไม่เกินวันละ 3 ครั้ง

    ข้อควรระวัง

    ควรระวังการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของตับ ไต เนื่องจากอาจเกิดการสะสมของการบูรและเกิดพิษได้

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ออกกำลังกายแก้ปวดหลัง ปวดเอว ด้วยรำกระบอง ท่าแหงนดูดาว

    รำกระบองช่วยรักษาโรคและอาการไหล่ติดได้

    3 Step จัดการ ไขมันสูง ให้อยู่หมัด ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย

    ชวนดูแล ป้องกัน รักษา ลำไส้แปรปรวน ฉบับแพทย์แผนไทย

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    วิธีเลือกซื้อวิตามิน และแร่ธาตุ เภสัชไขปัญหา อยากกินวิตามิน แร่ธาตุ อาหารเสริม ต้องเลือกซื้อยังไง

    วิธีเลือกซื้อวิตามิน และแร่ธาตุ ในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้ปลอดภัย มีอะไรบ้าง

    วิธีเลือกซื้อวิตามิน และแร่ธาตุ ต้องดูอย่างไร หลายคนบอกว่า อยากทำให้สุขภาพดียิ่งขึ้นด้วยการกินวิตามินและแร่ธาตุ แต่เราจะต้องดูยังไง เพราะมีหลากหลายผลิตภัณฑ์เต็มตลาด

    วันนี้เรามี เภสัชกรหญิงดวงแก้ว อังกูรสิทธิ์ เจ้าของหนังสือหายป่วยด้วยยาแผนไทย และ Drug Guru ฉลาดรู้เรื่องยา มาแนะนำ วิธีเลือกซื้อวิตามินและแร่ธาตุ ในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ถูกต้องให้ค่ะ

    เภสัชกรหญิงดวงแก้ว อธิบายว่า “วิตามินและแร่ธาตุเป็นสารอาหารที่สำคัญ 2 ใน 5 หมู่ ร่างกายไม่สามารถขาดได้ เพราะวิตามินและแร่ธาตุ มีหน้าที่ทำให้กระบวนการของระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ตามปกติ

    “ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือ วิตามินเหมือนน้ำมันหล่อลื่นทำให้เครื่องจักรในร่างกายสามารถทำงานต่อไปได้ และถ้ามีปริมาณเพียงพออย่างต่อเนื่องก็จะช่วยชะลอความเสื่อมของอวัยวะภายในร่างกายได้

    “แม้ว่าร่างกายจะสามารถผลิตวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดได้เอง แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับวิตามินและแร่ธาตุจากอาหารตามธรรมชาติหลากหลายประเภท

    “ถ้าร่างกายขาดวิตามินและแร่ธาตุชนิดใดชนิดหนึ่ง เป็นเวลานาน ๆ ก็เสียงต่อการเกิดความผิดปกติหรือถึงขั้นก่อโรคบางอย่างได้”

    อย่างไรก็ตาม ด้วยไลฟ์สไตล์ของผู้คนทุกวันนี้ที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างมาก และมีเงื่อนไขอีกหลายอย่างที่ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยไม่สามารถบริโภคอาหารตามธรรมชาติได้อย่างเพียงพอ นั่นทำให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินและแร่ธาตุเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้น

    วิธีเลือกซื้อวิตามิน และแร่ธาตุ อย่างปลอดภัย

    ประเมินตัวเอง

    เริ่มจากการประเมินตัวเองก่อนว่าจำเป็นต้องใช้วิตามินและแร่ธาตุในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือไม่ ถ้าจำเป็นต้องใช้จะเลือกตัวไหนถึงจะเหมาะสม

    คำแนะนำที่ถูกต้องมีค่าเสมอ

    หากไม่แน่ใจว่าควรใช้วิตามินและแร่ธาตุชนิดใด อาจขอคำแนะนำหรือปรึกษาบุดลากรทางการแพทย์ ได้แก่ แพทย์ นักโภชนาการ เภสัชกร ก่อนเลือกรับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีโรคประจำตัว ผู้สูงอายุ

    ไม่ใช่แค่มีสตางค์ แต่ต้องมีสติด้วย

    เมื่อตัดสินใจจะเลือกซื้อวิตามินและแร่ธาตุในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากบริษัทที่ได้มาตรฐาน มีเครื่องหมาย อย.แสดงไว้อย่างชัดเจน ระบุเลขที่ผลิตภัณฑ์ สถานที่ผลิต เพื่อลดความเสี่ยงการได้รับสินค้าปลอม ไม่ได้มาตรฐาน บนฉลากสินค้ายังต้องพิจารณาส่วนผสม รวมทั้งปริมาณของสารอาหารที่จะได้รับว่ามีสารอาหาร แร่ธาตุ วิตามินกี่ชนิด อะไรบ้าง มีประโยชน์ต่อร่างกายและปลอดภัยต่อร่างกายในราคาที่เหมาะสม คุ้มค่าหรือไม่ ถ้าเทียบกับการเอาเงินจำนวนนั้นมาซื้ออาหารจากธรรมชาติที่มีประโยชน์และหลากหลายครบ 5 หมู่

    จิตต้องแข็ง

    ไม่หลงเชื่ออะไรง่าย ๆ จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาพบว่า มีผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจผิดว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ผ่านอย. แล้วสามารถใช้รักษาโรคได้เช่นเดียวกับยารักษาโรค อีกทั้งยังมีโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินจริงตามสื่อและช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะโทรทัศน์ วิทยุ โซเชียลมีเดีย ซึ่งผู้ขายพยายามพูดถึงแต่ประโยชน์ของอาหารเสริม บ้างก็ไช้ความมีชื่อเสียงของบุคคลในวงการต่าง ๆ มาโฆษณา บ้างก็นำเสนอผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะบุคคล ใช้แล้วดีอย่างนั้น ได้ผลอย่างนี้ อย่างที่เรียกว่า “รีวิว” บ้างก็มีกลยุทธ์ลดแลกแจกแถม บริการจองสิทธิ์ราคาพิเศษไว้ก่อนจ่ายทีหลัง บริการส่งฟรี บริการเก็บเงินปลายทาง เพื่อกระตุ้นให้ผู้ซื้อสนใจ คล้อยตาม และต้องการซื้อมาทดลองใช้อย่างไม่ลังเล

    ไม่ต้องเกรงใจเพื่อนบ้างก็ได้

    ไม่บริโภควิตามินชนิดที่แนะนำให้เสริมตามเทรนด์ มีเพื่อนหรือคนรู้จักแนะนำ โดยที่ยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการที่เชื่อถือได้มาสนับสุน เพราะอาจนำไปสู่การบริโภควิตามินมากเกินจนเกิดอันตรายและเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นการเลือกซื้อวิตามินและแร่ธาตุในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงต้องมีความรู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงผู้บริโภค

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    รวมคุณประโยชน์ วิตามิน A / C / K / D / E

    ไม่อดมื้อเช้า เคี้ยวข้าวให้ละเอียด ช่วยอายุยืน ลดความอ้วนได้

    กินอะไรจึงทำให้แก่ช้า อ่อนกว่าวัย แข็งแรง สุขภาพดี

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    How to ลดไขมันในเลือด ฉบับหมอไทย

    ลดไขมันในเลือด รู้กันว่ามีหลายวิธี ที่ผ่านมาชีวจิตเองก็นำเสนอหลากหลายแบบ และวันนี้เราก็มีอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วย ลดไขมันในเลือด ได้ ด้วยอีกหนึ่งศาสตร์ใกล้ตัว นั่นก็คือ ฉบับแพทย์แผนไทย แต่ก่อนจะได้ดูว่าหมอไทยเขาแนะนำให้กินอะไร หรือทำยังไง เราไปทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่าว่า ไขมันในเลือด หมอไทยเขามองว่ายังไง

    ไขมันในเลือด ในมุมมองของหมอไทย

    ครูแพทย์แผนไทย เวชกรรมไทย พิพัฒน์ แก้วอุดม วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดพิษณุโลก อธิบายว่าตามทฤษฎีการแพท์แผนไทย ภาวะไขมันในเลือดสูงเกิดจาการกระทำของเสมหะ ซึ่งเป็นธาตุน้ำ (อาโปธาตุ) มีลักษณะเป็นของเหลวไหลเวียนอาศัยธาตุดินเพื่อการคงอยู่ และอาศัยธาตุลมเพื่อการเคลื่อนที่

    ธาตุน้ำ (อาโปธาตุ) มีทั้งหมด 12 ประการ คือ ปิตตัง (น้ำดี) เสมหัง (เสลด) บุพโพ (น้ำหนอง) โลหิตัง (น้ำเลือด) เสโท (น้ำเหงื่อ) อัสสุ (น้ำตา) เขโฬ (น้ำลาย) สิงฆานิกา (น้ำมูก) ลสิกา (น้ำไขข้อ) มุตตัง (น้ำปัสสาวะ) วสา (มันเหลว) และเมโท (มันข้น) 2 ชนิดสุดท้ายเป็นไขมันที่กำลังจะพูดถึง

    ลดไขมันในเลือด

    วสา และ เมโห เป็นไขมันที่เมื่อไปเกาะหรือสะสมอยู่มากเกินไป ที่อวัยวะใดจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น เกิดภาวะ
    ไขมันพอกตับ หรือเกิดปัญหากับระบบหัวใจและหลอดเลือด ลองนึกภาพตามนะคะว่า ถ้าหลอดเลือดในร่างกาย เปรียบเหมือนสายยางที่ใช้ฉีดนำรดต้นไม้ แต่ในสายยางมีคราบสกปกเกาะอยู่ น้ำก็จะไหลได้ไม่ดี เส้นเลือดก็เป็นเช่นเดียวกัน หากมีคราบไขมันเกาะอยู่มาก เลือดก็จะไหลเวียนได้ไม่ดี เราจึงต้องควบคุมไขมันในเส้นเลือด และเป็นที่มาของ ลดไขมันในเลือด ฉบับหมอไทย

    3 Steps ลดไขมันในเลือด ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย

    การมี ไขมันในเลือดสูง หมายถึงภาวะที่มีความผิดปกติของการเผาผลาญไขมัน ทำให้ร่างกายมีระดับไขมันในเลือดสูงกว่าเกณฑ์ที่เหมาะสม เป็นผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง และทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดตามมา นอกจากนี้ยังอาจทำให้ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน

    สาเหตุของภาวะไขมันในเลือดสูง ได้แก่

    • กรรมพันธุ์
    • การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์
    • โรคของต่อมไร้ท่อบางชนิด เช่น เบาหวาน ไทรอยด์ โรคของต่อมหมวกไตบางอย่าง โรคตับ โรคไตบางชนิด
    • การรับประทานยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ ฮอร์โมนเพศ(ยาคุมกำเนิด)
    • การตั้งครรภ์
    • การดื่มแอลกอฮอล์
    • ขาดการออกกำลังกาย

    ครูแพทย์แผนไทยพิพัฒน์แนะนำว่า “ต้องเอาไขมันออกก่อน ถ้าไม่เอาออกไม่หาย จะกลับไปเป็นซ้ำอีก เพราะร่างกายถูกยาคุมไว้เฉยๆ หยุดยาเมื่อไหร่น้ำตาลก็พุ่งขึ้นเหมือนเดิม เพราะไขมันไม่ได้ถูกเอาออกมา ลำไส้ยังสกปรก
    ในหลอดเลือดก็ยังสกปรกเหมือนเดิมไม่หาย ต้องล้างลำไส้ให้สะอาด ระบบน้ำเหลืองก็จะดี ไขมันจะไม่ไปพอกตับ พอกม้าม”

    สำหรับแนวทางการรักษาไขมันในเลือดสูงและน้ำตาลสูงด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องกินยาตลอดชีวิตมี 3 ขั้นตอน ดังนี้

    Step 1 ชำระคราบไขมันในลำไส้

    การกำจัดไขมันในเส้นเลือดหรือในลำไส้ ทำได้หลายวิธี ทั้งการกินอาหารเป็นยา การใช้สมุนไพรตำรับเผาผลาญไขมันในร่างกายล้างคราบไขมันในลำไส้ ซึ่งมีหลายตำรับ เช่น ยาพรหมภักตร์ ยามหาพรหมภักตร์ ยามหิทธิมหาพรหมภักตร์ รวมถึงการสวนล้างลำไส้หรือ ดีท็อกซ์ ตามการวินิจฉัยของแพทย์แผนไทย

    Step 2 บำรุงร่างกาย

    หลังจากวางยาตำรับชำระคราบไขมันในลำไส้เป็นที่เรียบร้อย ขั้นตอนต่อไปคือ การวางยาบำรุงร่างกาย เพื่อฟื้นฟูระบบการทำงานในร่างกายให้สมดุลเป็นปกติ

    Step 3 ปรับพฤติกรรม

    เพื่อป้องกันไม่ให้กลับไปเป็นซ้ำอีก ผู้ป่วยต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เช่นงดสูบบุหรี่ ลดอาหารไขมันและของหวาน รวมถึงออกกำลังกายเป็นประจำ

    ลดไขมันในเลือด

    ครูแพทย์แผนไทยพิพัฒน์พูดถึงการรักษา รวมถึงการรักษาไขมันในเลือดสูงด้วยศาสตร์แพทย์แผนไทย ว่า

    “ทุกวันนี้มีผู้ป่วยเบาหวานมารักษาด้วยการแพทย์แผนไทยมากขึ้น โดยรักษาด้วยการวางยาถ่ายเพื่อขับไขมันออกก่อนเป็นลำดับแรก ตามด้วยการวางยาบำรุงให้เหมาะสมกับคนไข้ พร้อมกับแนะนำให้ปรับพฤติกรรมว่าควรกิน
    อย่างไร

    แต่ไม่ค่อยห้ามคนไข้เรื่องการกิน เช่น ทุเรียน เพราะการแพทย์แผนไทยบอกว่า ทุเรียนมีรสหวานร้อน คนไข้ที่มารักษาสามารถกินทุเรียนได้ แต่แนะนำให้กินสมุนไพรที่มีรสขมตามเข้าไป น้ำตาลก็จะไม่ขึ้น หมั่นออกกำลังกาย จึงทำให้การรักษาได้ผลเป็นที่น่าพอใจ”

    เปิดตำรับยาไทย ลดไขมันในเลือด บำรุงร่างกาย

    ครูแพทย์แผนไทยพิพัฒน์อธิบายว่า ยาที่ใช้รักษาอาการไขมันสูงมีบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ธาตุบรรจบ และคัมภีร์วรโยคสาร ว่าด้วยเรื่องอุจจาระธาตุ เป็นตำรับช่วยชำระล้างคราบไขมันที่สะสมอยู่ภายในลำไส้ ช่วยให้ขับออกมากับอุจจาระ ปัสสาวะ หรือเหงื่อ และช่วยการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ไขมัน (วสาและเมโท) เป็นธาตุน้ำ ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยเครื่องยาประจำธาตุน้ำคือ รสเปรี้ยว รสขม และรสเมาเบื่อ ดังนั้นโครงสร้างของยาตำรับนี้จึงประกอบด้วยสมุนไพรทั้ง 3 รส คือ

    • สมุนไพรรสเปรี้ยว มีสรรพคุณช่วยชำระล้างไขมัน เช่น ตรีผลา
    • สมุนไพรรสขม มีสรรพคุณช่วยรักษาเกี่ยวกับอุระเสมหะ (นำดี นำย่อย) ช่วยให้ตับผลิตน้ำดีออกมาช่วยย่อยไขมัน ช่วยฟอกเลือดให้สะอาด เช่น บอระเพ็ด สะเดา เพกา มะระ
    • สมุนไพรรสเมาเบื่อ มีสรรพคุณช่วยแก้พิษรักษากี่ยวกับคูถเสมหะ ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ เช่น กลอย บุก ชุมเห็ดเทศ ขี้เหล็ก

    เมื่อนำสมุนไพรทั้ง 3 รสมาใช้ร่วมกับสมุนไพรรสเผ็ดร้อน จะทำให้ลมเคลื่อนไหวช่วยในการขับของเสียออกมาภายนอกร่างกาย และขั้นตอนสุดท้ายจึงวางยาบำรุงร่างกาย

    นอกจากเรื่องของตำรับยาแล้ว ยังมีผลการศึกษายืนยันว่า ผักพื้นบ้านรสขม รสเปรี้ยว และรสเผ็ดร้อนหลายชนิดที่หาง่ายในท้องถิ่น แถมมีราคาถูก ปลูกง่าย ช่วยลดไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้การกินผักพื้นบ้าน หรือนำมาใช้ตามภูมิปัญญาหมอพื้นบ้าน เป็นตัวช่วยที่ดีอีกทางเลือกหนึ่งในการลดภาวะไขมันในเลือดสูง

    สูตรลับสมุนไพร ลดไขมันในเลือด

    กระเจี๊ยบแดง ฤทธิ์แรง ลดไขมัน ฟอกเลือด

    ส่วนที่ใช้คือกลีบเลี้ยงของดอก หรือกลีบที่ติดอยู่ที่ผล

    ลดไขมันในเลือด

    สรรพคุณทางยา ลดคอเลสเตอรอล ลดความหนืดของเลือด และเป็นยาบำรุง ลดความดันโลหิต สูง นอกจากนี้ยังช่วยให้ระบายท้อง เป็นยาขับปัสสาวะ


    ส่วนประกอบ

    กลีบเลี้ยงดอกกระเจี๊ยบสด10 ดอก
    น้ำ 1 ลิตร

    วิธีทำ
    ต้มกลีบเลี้ยงดอกกระเจี๊ยบสดกับน้ำเดือด 15-20 นาที

    วิธีรับประทาน

    ดื่มแทนน้ำติดต่อกันนาน 5 วัน ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ฟอกเลือด ขับปัสสาวะ

    มะระขึ้นก จิ๋วแต่แจ๋ว บำรุงน้ำดี ช่วยย่อยไขมัน

    ส่วนที่ใช้ ราก เถา ใบ ดอก ผล และเมล็ดสดหรือแห้ง

    สรรพคุณทางยา มะระขึ้นกมีฤทธิ์ในการลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ พบว่าเมื่อรับประทานมะระขึ้นกติดต่อกัน 10 สัปดาห์ ช่วยลดดภาวะคอเสสเตอรอลและไขมันได้

    ลดไขมันในเลือด

    การใช้ประโยชน์ตามภูมิปัญญาหมอพื้นบ้าน

    • ใบ ใบสดมีรสขม ลวกหรือต้มกินเป็นยาฟอกโลหิต ยาระบาย ช่วยเจริญอาหาร หรือไร้ใบแห้งนำมาบดให้ ละเอียดผสมน้ำกินเป็นยาขับลม บำรุงธาตุ
    • ผล สดรสขมจัดนำมาต้มหรือประกอบอาหาร มีคุณด่าในการช่วยบำบัดโรคเบาหวาน บำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร แก้ตับม้ามอักเสบ เป็นยาระบายอ่อนๆ

    สูตร 1 ลดไขมันในเลือด
    ส่วนประกอบ

    ต้นมะระขึ้นก 1 กำมือ
    น้ำเปล่า 2 ลิตร

    วิธีทำ ใช้ส่วนต้นล้างแล้วสับเป็นท่อนยาวประมาณ 1 นิ้ว ต้มกับน้ำเดือดนานประมาณ 15-20 นาที

    วิธีรับประทาน ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหาร วันละ 2 เวลา เช้า-เย็น รับประทานติดต่อกัน 15 วัน

    สูตร 2 บำรุงน้ำดี ช่วยย่อยไขมัน

    วิธีรับประทาน ใช้ยอดอ่อนหรือผลอ่อน กินสด หรือลวกจิ้มน้ำพริกเป็นผักเคียง มื้อละ 5-10 ผล รับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน 3 วัน

    ข้อควรระวัง ห้ามกินเมล็ดของผลสุกสีแดง เพราะเมล็ดมีพิษอาจถึงเสียชีวิตได้

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    โปรแกรมช่วย ชะลอวัย ลดไขมันในเลือด

    อาหารลดไขมันในเลือด ล้างหลอดเลือด

    เต้าทึง ประโยชน์มากช่วยบำรุงทั่วร่าง แถมลดไขมัน ความดัน

    ติดตามชีวจิตได้ที่ :

    Facebook : นิตยสารชีวจิต
    Instagram : Cheewajitmedia
    TikTok : cheewajitmediaofficial

    Athita The Hidden Court Chiang Saen

    Athita The Hidden Court Chiang Saen นอนชิว วิถีเชียงแสน

    Athita The Hidden Court Chiang Saen

    “เชียงแสน” เมืองเก่าริมแม่น้ำโขง ที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองเป็นถึงศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรล้านนาอันยิ่งใหญ่ แม้วันนี้จะเหลือเพียงเมืองเล็กๆ ที่แสนเรียบง่ายกับวิถีชีวิตริมแม่น้ำที่กั้นกลางระหว่างประเทศไทย และเมืองต้นผึ้ง ประเทศลาว

    แต่ถึงอย่างนั้น เชียงแสนยังความรุ่มรวยทางวัฒนธรรม ด้วยการใช้ชีวิต และสถานที่สำคัญ รวมถึงที่พักหลากรูปแบบที่ช่วยฟื้นคืนความเป็นเมืองของเชียงแสนกลับขึ้นมาอีกครั้ง

    อทิตา เดอะ ฮิดเดน คอร์ต เชียงแสน บูทิก โฮเทล ที่พักขนาดกำลังอบอุ่นด้วย 9 ห้องพัก 3 พูลวิลล่า ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบ้านแบบดั้งเดิมของชาวเชียงแสน ไม่ว่าจะเป็นงานก่ออิฐมอญ และไม้จากบ้านเก่าทั้งหมดนี้สร้างใหม่โดยผู้เชี่ยวชาญประจำท้องถิ่นเชียงแสน

    Athita The Hidden Court Chiang Saen

    จากเมืองเก่า สู่บูทีคโฮเทลแสนอบอุ่น

    อทิตา เก็บเรื่องราวของเมืองเชียงแสนมาถ่ายทอดเป็นแรงบันดาลใจในทุกมุม เริ่มต้นด้วยก้อนอิฐแต่ละก้อน ที่ใช้เทคนิคดั้งเดิมของเชียงแสนทำด้วยมือ ก่อนนำมาวางทีละก้อนโดยช่างฝีมือท้องถิ่นที่คุ้นเคยกับงานก่ออิฐ จนออกมาเป็นอาคารต้อนรับ และสปาที่ได้แรงบันดาลใจมาจากโรงอบใบยาสูบ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอุตสาหกรรมหลักของภาคเหนือ

    ในส่วนของอาคารที่พักสร้างขึ้นจากไม้สัก ไม้ทุกแผ่นมีประวัติความเป็นมาของบ้านเชียงแสนที่นำมาก่อร่างสร้างใหม่ จนกลายเป็น 9 ห้องพัก ที่สะท้อนภูมิปัญญาท้องถิ่นซึ่งแอบซ้อนเป็นรายละเอียดเล็กๆ อย่าง ฝาไหลที่เปิดให้ลมและแสงธรรมชาติไหลผ่านเข้ามาในห้อง

    ฝาไหล

    ภูมิปัญญาชาวบ้านของทางภาพเหนือ มีลักษณะเป็นบานเกร็ดไม้ทอดยาวไปตามฝาผนังบ้าน สามารถเลื่อนเปิดเพื่อเปิดรับลม และแสงธรรมชาติ และเลื่อนปิดได้

    ช่องแมวลอด

    เป็นพื้นยกระดับขึ้น ตรงกลางระหว่างพื้น และพื้นที่ยกระดับเป็นช่องเปิดโล่ง ทำให้มองเห็นใต้ถุนบ้านได้ สำหรับบ้านยุคก่อนที่เลี้ยงสัตว์ไว้ใต้ถุน หากมีโจรจะขโมยสัตว์เลี้ยงเจ้าของบ้านสามารถมองลอดผ่านช่องแมวลอดนี้ได้ รวมถึงเป็นช่องให้มีลมพัดเข้ามาในตัวบ้าน

    ดัดแปลง โดยเป็นการปิดทึบมองลองออกไปไม่ได้ แต่ซ่อนไฟที่จะส่องสว่าง สำหรับยามกลางคืน ที่สามารถเดินในห้องได้อย่างปลอดภัย

    ข่วง

    อีกหนึ่งพื้นที่สำคัญภายใน ที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ “ข่วง” ในภาษาเหนือ หรือ Court พื้นที่ส่วนกลางสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ  โดยมีด้วยกัน ถึง 2 ข่วงใหญ่

    ข่วงแรกเป็นที่พักตรงกลาง สำหรับแขกที่มีพัก สำหรับนั่งเล่น นั่งอ่านหนังสือ เย็นสบายด้วยโถงขนาดใหญ่ ที่เปิดเปลือยงานโครงสร้างไม้ มองเห็นศิลปะการเข้าไม้อย่างปราณีตด้วยภูมิปัญญาดั้งเดิม

    อีกหนึ่งข่วงกลางแจ้ง โอบล้อมด้วยกำแพงอิฐ ที่มองทะลุไปยังวัดอาทิต้นแก้ว วัดร้างเก่าแก่อายุกว่า 500 ปี ที่ตั้งอยู่แนบชิดกับโรงแรม จนนับได้ว่าเป็น Hidden Gem ที่สำคัญของที่นี่

    วัดอาทิต้นแก้ว ต้นกำเนิด Athita

    Athita เป็นชื่อที่มาจาก วัดอาทิต้นแก้ว วัดที่ครั้งหนึ่งเมื่อ 500 ปีก่อน เคยเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวล้านนา เป็นสถานที่ที่พระเมืองแก้ว กษัตริย์องค์ที่ 11 ของราชวงศ์มังราย แห่งเมืองเชียงใหม่ เสด็จมาประนีประนอมความขัดแย้งของพระสงฆ์ในนิกายต่างๆ ให้ทำพิธีร่วมกันได้ โดยจัดพิธีบวชกุลบุตรให้เป็นพระสงฆ์เกือบพันรูป ณ ที่วัดแห่งนี้ 

    เมื่อกาลเวลาผ่านไป กว่า 5 ศตวรรษ วัดที่เคยยิ่งใหญ่หลงเหลือเพียงซากเจดีย์ประธาน และวิหารที่มีฐานชุกชี และพระประธานที่ชำรุดเสียหาย ไม่เหลือแม้แต่ทางเข้าวัด แต่ในวันที่ Athita มาอยู่เคียงข้างวัดอาทิต้นแก้ว ทางโรงแรมจึงเปิดทางเข้าสู่วัด คืนวัดที่สวยงามให้กับคนเชียงแสนได้เข้ามาสักการะอีกครั้ง

    อาหารเหนือ ที่ริมโขง

    เชียงแสน เป็นเมืองท่าริมแม่น้ำโขง ทำให้อาหารพื้นถิ่นของที่นี่แตกต่างจากอาหารเหนืออื่นๆ ตรงที่อุดมด้วยปลาสดจากแม่น้ำ และได้รับอิทธิพลอาหารจากประเทศเพื่อนบ้าน

    ต้มส้มปลาแม่น้ำโขง: ต้มส้มที่อุดมด้วยเครื่องสมุนไพรที่ ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นไล่หวัดทั้งจากสายฝน และอากาศหนาว รสชาติอมเปรี้ยวด้วยน้ำมะขามเปียก เจือความหวานให้กลมกล่อมด้วยน้ำมะพร้าวสด ในส่วนของเนื้อปลานั้นสมกับเป็นปลาจากแม่น้ำโขงที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม ได้ทั้งความสด  ความหวานจากเนื้อปลา

    ลาบคั่วปลาเพี้ย : เนื้อปลาเพี้ยจากแม่น้ำโขง คลุกเคล้ากับเครื่องลาบเมืองเหนือ ที่อุดมด้วยสมุนไพร และเครื่องเทศท้องถิ่น รสชาติเผ็ดร้อน โดยเฉพาะ มะแหลบ และมะแขว่น ที่ให้ความเผ็ดซ่าเหมือนพริกหมาล่าที่หลายคนชื่นชอบ รวมถึงกลิ่นหอมเฉพาะตัว เมื่อทั้งหมดมารวมกัน จึงทำให้ได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ และลาบของเหนือจะทานให้ลำ ต้องกินกับผักรสร้อนแรง เช่น เล็บครุฑ ผักแพ้ว และที่เด็ดที่สุด คือ ใบโกสน ที่คนภาคกลางมองว่าเป็นไม้ประดับ แต่สำหรับคนเหนือ นั้นคือผักแนม ที่ให้รสชาติเฉพาะตัว

    เมี่ยงอทิตา : จานพิเศษของเมืองเชียงแสน ที่แต่เดิมนับได้ว่าเป็นอาหารชั้นสูง เนื่องจากอุดมด้วยสมุนไพร และเครื่องเคียงหลายชนิด ราดด้วยน้ำเมี่ยงสูตรพิเศษที่ให้รสชาติเข้มข้น เปรี้ยวอมหวานตัดกับรสชาติเฉพาะตัวของใบพลูและกลีบบัวได้เป็นอย่างดี

    ข้าวนึ่งใบบัว : เป็นอีกหนึ่งเมนูที่อุดมด้วยธัญพืชนานาชนิด ให้สัมผัสที่นุ่มนวลกลมกล่อม ได้รสชาติความหวานที่ดีกับสุขภาพจากทั้งเผือก แป๊ะก๊วย และพุทรา ตัดกับความเผ็ดร้อนนิดๆ จากพริกไทย และยังมีกลิ่นที่หอมกรุ่นจากใบบัว นับได้ว่าเป็นจานที่ให้ทั้งรสสัมผัส และกลิ่นที่จรุงใจ

    ปอเปี๊ยะทอด : ปอเปี๊ยะผักทอดกรอบ แม้ดูเป็นอาหารที่เราพบเห็นได้ง่าย แต่ความกรอบอร่อย ไม่อมน้ำมัน และสารพันผักที่มีกลิ่นหอม ยิ่งทำให้เป็นจานธรรมดา ที่แสนพิเศษ

    ย่ำข่าง ไฟที่ไล่ความเมื่อยล้า

    มาถึงเมืองเหนือหากใครมีอาการเมื่อยล้า ไม่ควรพลาดการขับไล่ความเมื่อยล้าด้วยไฟร้อนแรง อย่าง “ย่ำข่าง” 

    Athita The Hidden Court Chiang Saen มีสปาในบรรยากาศผ่อนคลาย คือ Saen Sense Spa แต่หากต้องการคลายเมื่อยด้วยศาสตร์และภูมิปัญญาดั้งเดิมของเมืองเหนือ ขอเชิญทุกคนมาสัมผัสประสบการณ์ ย่ำข่าง ที่จะไล่ความเมื่อยด้วยการใช้เท้าของครูผู้นวดไปจุ่มในน้ำมันไพร เหล้าขาว และน้ำมันงา แล้วไปย่ำบนข่างที่วางอยู่บนเตาอั้งโล่ร้อนๆ ให้ฝ่าเท้ามีความอุ่น เมื่อผสานเข้ากับความรู้เรื่องเส้นสายในร่างกายของครูผู้นวด  ทำให้เส้น และกล้ามเนื้อที่ยึดคลายลงได้

    ภูมิปัญญาที่ผสานเข้ากับความเชื่อของคนล้านนา เป็นการนวดโดยใช้เท้าย่ำลงไปที่ข่าง หรือ ใบข่าง ซึ่งเป็น โลหะผสมพลวง หล่อเพื่อใช้ในการไถนา เป็นสนิมได้ยาก และมีแร่ธาตุบางอย่างที่เชื่อว่าเป็นตัวยารักษาโรคได้ นอกจากนั้นคนล้านนายังเชื่อว่าเป็นนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ใช้ทำนา ทำให้มีอาหารกิน  หากครูนวดใช้มือปาดลงบนข่าง เพื่อมาบีบนวด จะเรียกว่า ปาดข่าง

    ชีวิตชิดโขง

    นอกจากความผ่อนคลาย และอาหารท้องถิ่นแล้ว กิจกรรมของโรงแรม ยังร้อยเรียงไปกับวิถีชีวิตของเชียงแสน ที่ผสานวัฒนธรรมล้านนาและชีวิตริมโขงเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การตักบาตรริมโขงยามเช้า พิธีสืบชะตาล้านนา เวียนสะตวง เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ผู้ได้เข้าร่วมพิธีกรรม

    นอกจากนั้นหากใครเป็นสายประวัติศาสตร์ รอบๆ เมืองเชียงแสนยังมีวัดเก่าแก่ที่ศิลปะแบบล้านนาให้ชมมากมาย ท่ามกลางบรรยากาศเขียวครึ้มที่ชวนให้รู้สึกร่มเย็น และเมื่อตกเย็นสายชิลด์ที่อินบรรยากาศริมน้ำก็มานั่งพักใจ มองดูวิถีชีวิตที่ไม่เร่งรีบริมแม่น้ำโขงได้

    การมาเยือน Athita The Hidden Court Chiang Saen จึงสมกับคำกล่าวที่ว่า “กินดี อยู่ดี หายใจสะดวก ตามวิถีคนเชียงแสน”

    Athita The Hidden Court Chiang Saen

    รางวัลเหรียญทองจากสมาคมสถาปนิกสยาม ปี 2565 รางวัลจาก LIV Hospitality Design Awards ปี 2565
    ที่ตั้ง: 984 หมู่ที่ 2 ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย
    ติดต่อสอบถาม: โทร. .06-3426-9464
    เฟสบุ๊ค: เพจ Athita The Hidden Court Boutique Hotel เชียงแสน

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    เที่ยว ห้วยหินลาดใน สัมผัสผืนป่าแห่งชุมชน

    7 วิธี ออกกำลังกาย ให้เหมาะกับอารมณ์

    4 เมนูคลายเครียด อร่อย ทำง่าย ช่วยจิตใจให้อารมณ์ดี

    ติดตามชีวจิตได้ที่ :

    Facebook : นิตยสารชีวจิต
    Instagram : Cheewajitmedia
    TikTok : cheewajitmediaofficial

    Posted in MIND
    BACK
    TO TOP
    Riya
    Writer
    งีบ

    ไม่ได้ชวนนอน แต่ชวน งีบ ทางลัดเพื่อสุขภาพ

    ช่วงบ่ายๆ หลายคนรู้สึกง่วง ลองมา งีบ กันสักนิด จะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น

    งีบ คือการนอนหลับระยะเวลาสั้นๆ เพื่อชดเชยเวลาที่เรานอนไม่เพียงพอ ช่วงระยะเวลาของการนอนงีบ จะมีผลต่อสุขภาพ ทั้งด้านสมองและร่างกาย ทำให้รู้สึกตื่นตัวได้อย่างรวดเร็ว คลายตึงเครียด ทำให้จิตใจสดชื่นแจ่มใส นอกจากนี้ระบบร่างกายก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    การงีบเพียง 10 นาที จะทำให้เราตื่นตัวพร้อมทำงานต่อไปได้อีก 3 ชั่วโมง ซึ่งการหลับไม่นาน มีประสิทธิภาพมากกว่าการนอนนานๆ 30 นาที – 1 ชั่วโมง

    งีบระหว่างวันดีอย่างไร

    • ก่อให้เกิดการตื่นตัวทั้งด้านสมองและร่างกายในการทำงาน มีความกระตือรือร้น อาการร่วงโรยต่างๆ จะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
    • ลดความเครียด หรือความหงุดหงิด เป็นการผ่อนคลายสมอง เพราะการหลับจะช่วยลดฮอร์โมนที่ก่อให้เกิดความเครียดได้
    • ทำให้สมองมีประสิทธิภาพในการจำได้อย่างรวดเร็วเพิ่มขึ้น
    • การเรียนรู้สิ่งต่างๆ ทำได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าร้อยละ 40 การทำงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์จะทำได้ดีและมีความพร้อมมากขึ้น
    • สุขภาพโดยรวมดีขึ้น เนื่องจากการงีบระหว่างวันจะทำให้ร่างกายปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย และซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ได้ดีขึ้น
    • งานศึกษาขององค์การ NASA ที่ได้ใช้นักบินอวกาศในการทดลอง พบว่าการงีบหลับเพียง 40 นาทีต่อวันจะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากถึง 34%
    • การศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการงีบหลับและความดันโลหิต พบว่ามนุษย์วัยกลางคนที่ได้งีบหลับระหว่างวันจะมีความดันโลหิตต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้งีบหลับ ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ
    • การวิจัยในกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ยืนยันเกี่ยวกับการค้นพบที่ว่า ผู้สูงอายุที่งีบหลับเป็นประจำจะมีความดันต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้งีบหลับถึง 5% เลยทีเดียว
    งีบ

    เวลาที่เหมาะสม เพื่อการงีบระหว่างวัน

    • นอนหลับ 10 – 20 นาที จะช่วยเพิ่มพลังงานและคืนความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า สมองโปร่ง เพราะอยู่ในช่วงระยะ non – rapid eye movement (NREM) ซึ่งเป็นการหลับที่ไม่มีการกรอกตา แบบรวดเร็ว
    • นอนหลับ 30 นาที เป็นเวลานอนที่ไม่เป็นผลดีกับร่างกาย เพราะจะยังคงรู้สึกง่วง มึนงง เหมือนกับนอนไม่พอ และยังคงไม่พร้อมที่จะทำงาน ซึ่งกว่าอาการนี้จะหายไปก็ใช้เวลาอีกประมาณ 30 นาทีต่อมา
    • นอนหลับ 60 นาที เป็นช่วงที่ดีต่อความจำ ซึ่งเรียกว่าอยู่ในช่วง Slow – wave sleep เป็นการหลับลึกที่ยังคงความง่วง แต่สมองสามารถเสริมความจำดีไว้ได้
    • นอนหลับ 90 นาที เป็นการนอนที่ครบรอบ กล่าวคือ มีหลับลึกและไม่ลึกมากนัก อาจมีการฝันบ้าง ช่วยให้อารมณ์ดี มีความคิดสร้างสรรค์ และไม่งัวเงียเหมือนช่วง 30 – 60 นาที

    งีบหลับ แบบนี้

    1. ใช้เวลาแค่ 30 นาที หากนอนนานกว่านี้จะส่งผลให้เข้าสู่ระยะหลับลึก เมื่อตื่นขึ้นมาสมองจะเฉื่อยลง ไม่รู้สึกเต็มอิ่มและสดชื่นเท่ากับการนอนระยะสั้นๆ
    2. ควรนอนในช่วง 13.00 น. - 15.00 น. เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด
    3. ไม่ควรนอนหลังจากเวลา 17.00 น. เพราะจะทำให้นอนไม่หลับในเวลากลางคืน
    4. นอนด้วยความสบายใจ หากคิดจะนอนแล้ว ไม่ต้องรู้สึกผิดหรือละอายใจควรปิดไฟ นอนราบ จัดการงีบให้เต็มที่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนี้ในการพักผ่อนร่างกาย จะเป็นการพักสมองที่มีคุณภาพมากที่สุด 30 นาทีทองนี้อาจช่วยให้การทำงานอีกครึ่งวันสนุกและมีประสิทธิภาพอย่างที่คุณคาดไม่ถึงค่ะ

    ฝึกตัวเองให้งีบ

    ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีนิสัยงีบช่วงพัก ยกเว้นว่าคุณจะมาจากประเทศอย่างสเปนหรือกรีซที่การงีบช่วงบ่าย หรือคำว่า “siesta” เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม

    กาย เมโดวส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนและผู้ก่อตั้ง Sleep School เผยว่า การงีบก็เหมือนกับการว่ายน้ำ หรือการขี่จักรยานที่ต้องอาศัยการฝึกฝน เขาแนะนำให้ทุกคนใช้วิธีตั้งเวลา เพื่อไม่นอนนานเกินไป และเมื่อทำแบบนี้ซ้ำๆ สัก 3 เดือน ร่างกายก็จะจดจำเป็นนิสัยว่าช่วงเวลานั้นๆ มีไว้สำหรับงีบ

    สิ่งที่สำคัญคือต้องไม่บังคับตัวเองให้หลับ แค่ไปนอนสบายๆ บนเตียง หรือนั่งเอนบนเก้าอี้ ปิดม่านให้ห้องมืดลงหรือไม่ก็ใส่ที่ปิดตา พยายามอยู่นิ่งๆ และก็พักผ่อน นอกจากนี้ ควรจะหยุดดูมือถือหรืออ่านอีเมลสัก 5 นาที ก่อนที่จะงีบ

    ผลวิจัย พบว่า การใช้เวลางีบระหว่างวันเกินกว่า 30 – 45 นาที หรือการงีบช่วง 11.00 น. นอกจากจะไม่ส่งผลดีกับร่างกายแล้ว ยังก่อให้เกิดผลเสียตามมาอย่างเช่นทำให้ช่วงกลางคืนนอนไม่หลับ และอาจมีปัญหาสุขภาพตามมาอีกด้วย

    งีบ VS. โรค

    คนไข้โรคลมหลับก็ได้รับประโยชน์จากการงีบหลับเช่นกัน โรคลมหลับเป็นโรคที่มีลักษณะอาการทำให้ร่างกายง่วงนอนตลอดเวลา “ร่างกายได้รับการโจมตีจากภาวะง่วง” ไม่ว่ากำลังทำกิริยาใดใดอยู่ก็ตามเช่น พูดคุย รับประทานอาหารหรือขับรถก็จะเกิดอาการง่วงขึ้นมากะทันหัน การงีบหลับจะช่วยลดอาการของภาวะร่างกายได้รับการโจมตีจากความรู้ง่วงนอนได้บ้าง

    สรุปง่ายๆ การงีบหลับในยามบ่ายเป็นระยะเวลาสั้นๆ จะช่วยฟื้นคืนพลังกายและความตื่นตัว แต่ต้องระมัดระวังในเรื่องของระยะเวลาในการงีบหลับและสถานที่ การงีบหลับจะมีประโยชน์สำหรับหลายคนรวมถึงผู้ที่ทำงานเป็นกะ ผู้ทำงานเกี่ยวกับการขับรถและผู้ป่วยเป็นโรคง่วงหลับจะได้รับประโยชน์จากการงีบหลับเป็นอย่างมาก ส่วนผู้ที่ไม่ควรงีบหลับคือ ผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับและผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

    ข้อมูลจาก

    • BBC
    • สสส.
    • คอลัมน์เกร็ดสุขภาพ (มือโปร)  นิตยสารชีวจิตฉบับ 428

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ข้อควรระวัง ในการใช้ ขี้เหล็ก แทนยานอนหลับ

    นอนไม่พอ ทำลายสุขภาพจากภายในสู่ภายนอก

    เช็กหน่อย! ง่วงนอนบ่อย ง่วงตลอดเวลา เสี่ยงป่วยหลายโรค

    ติดตามชีวจิต

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ความดันโลหิตต่ำ

    ความดันโลหิตต่ำ ต้องป้องกันด้วยท่าบริหารนี้

    ความดันโลหิตต่ำ ควรออกกำลังกายอย่างไร

    ความดันโลหิตต่ำ อาจเกิดได้กับหนุ่มสาววัย 30 ปี ที่มีน้ำหนักไม่มากนัก และการปล่อยให้ระดับความดันโลหิตต่ำไปเรื่อยๆ อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบ แตก หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ ซึ่งจะส่งผลให้หมดสติหรือชักเมื่อไรก็ได้ จึงต้องรีบหาทางดูแลสุขภาพเสียแต่เนิ่นๆ

    ปรับไลฟ์สไตล์ ปรับความดัน

    ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า สาเหตุของภาวะความดันโลหิตต่ำเกิดจากปัจจัยใด บ้างว่า เกิดจากพฤติกรรม โดยเฉพาะคนทํางานออฟฟิศที่มักนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยไม่ขยับลุกไปไหนเลย แถมยังดื่มน้ำน้อย จึงทําให้รู้สึกอ่อนเพลีย ครั้นเคลื่อนไหวร่างกายหรือเปลี่ยนอิริยาบถอย่างรวดเร็ว อาจเกิดอาการวิงเวียน หน้ามืดเป็นลมได้ อีกทั้งยังอดนอนหรือนอนหลับไม่เพียงพอ ส่งผลให้มีอาการอ่อนเพลียและเวียนศีรษะ ซึ่งเป็นอาการบ่งชี้ถึงภาวะความดันโลหิตต่ำ

    ความดันโลหิตต่ำ

    อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตํารับชีวจิต กล่าวถึงแนวทางรักษาผู้มีความดันโลหิตต่ำจากบทความเรื่อง “ความดันโลหิตต่ำเกี่ยวกับสมองด้วย?” ในคอลัมน์ปั้นชีวิตใหม่ด้วยชีวจิต หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2550 ให้เริ่มแก้ไขด้วยการกินอาหารและวิตามิน และออกกําลังกายอย่างถูกวิธี ดังนี้

    • ควรกินโปรตีนจากพืชให้มากขึ้น ได้แก่ ถั่วต่างๆ และผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร เป็นต้น สําหรับผู้มีความดันโลหิตต่ำสามารถกินเนื้อสัตว์ได้ อาทิ ปลาหรืออาหารทะเลสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
    • กินวิตามินบีคอมเพล็กซ์เป็นประจํา เสริมด้วยวิตามินบี 1 บี 12 และวิตามินอี
    • กินแคลเซียมและโพแทสเซียมต่อเนื่อง 1 เดือน แล้วหยุด 1 เดือนจึงกลับมากินใหม่
    • บําบัดด้วยการนวด โดยใช้หัวแม่มือนวดเบาๆ บริเวณกลางหน้าอกแล้วเลื่อนไปที่บริเวณใกล้รักแร้ทั้งสองข้าง
    • ออกกําลังกายโดยการรํากระบองแบบชีวจิต ท่าบริหาร “เพิ่ม” ความดันโลหิต นอกจากการบริหารร่างกายโดยการรํากระบองแล้ว ยังสามารถฝึกโยคะเพื่อปรับระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติได้ด้วย ด้วยท่าต่อไปนี้

    โยคะเพื่อปรับความดันโลหิต

    ท่า Shoulder Stand

    1. เริ่มจากนอนหงายราบกับพื้น แขนแนบข้างลําตัว คว่ําฝ่ามือกับพื้น ขาเหยียดตรง ขาสองข้างชิดกัน
    2. หายใจเข้า พร้อมกับยกขาสองข้างขึ้นช้าๆ จนตั้งฉากกับพื้นและลําตัว
    3. หายใจออก ค่อยๆ ยกสะโพกและลําตัวส่วนบนขึ้นโดยไม่ใช้กําลังเหวี่ยง ใช้มือประคองสะโพก ส่วนศอกวางแนบพื้นยันตัวไว้ ยืดตัวขึ้นจนกระทั่งไหล่ ต้นคอ และศีรษะส่วนหลังเท่านั้นที่แนบพื้น เท้าทั้งสองชี้ฟ้า ขาชิดกันและเหยียดตรง ลําตัวตั้งฉาก กับไหล่ ศอกที่ยันสะโพกรับน้ําหนักเพียงเล็กน้อย หย่อนกล้ามเนื้อขาและเท้าทั้งหมด อย่าเกร็ง หายใจเข้า-ออกปกติ ค้างอยู่ในท่านี้ 1-5 นาที
    ความดันโลหิตต่ำ

    ท่า Plough เป็นท่าต่อเนื่องจาก ท่า Shoulder Stand

    1. หายใจออก มือวางที่สะโพก วาดขาทั้งสองข้ามศีรษะไปจนปลายเท้าแตะพื้น ยกสะโพกขึ้นให้ลําตัวตรงตลอดเวลา มือยังประคองบริเวณส่วนหลังไว้ สติอยู่ที่ ลมหายใจเข้าลึก ออกยาว ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน ค้างอยู่ในท่านี้สักครู่ประมาณ 5 รอบลมหายใจ
    2. หายใจออก วางแขนลงข้างลําตัว
    3. หายใจเข้า ค่อยๆ ลดสะโพกลง กอดเข่าหลวมๆ โยกซ้าย-ขวา 4 ครั้ง ชันเข่า เหยียดขาออกทีละข้าง

    นอกจากนั้น ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำ ควรสร้างสมดุลของการหายใจ (นาดิโสดานา) ด้วยการหายใจเข้า-ออกด้วยรูจมูกข้างเดียว ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบประสาทและสร้างความสมดุลในการทํางานของสมองซีกซ้ายและขวาได้เป็นอย่างดี นอกจากปรับการกินและออกกําลังกายแล้ว ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก็จะช่วยให้ความดันโลหิตกลับมาอยู่ในระดับปกติได้เร็วขึ้นค่ะ


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    บริหารหลัง แก้อาการออฟฟิศซินโดรม

    50+ ร่างกายเปลี่ยนไป แค่ไหนกัน

    4 สุดยอดวิธีexercise ช่วยให้ อายุยืนได้

    7 พฤติกรรมผิด ๆ เกี่ยวกับการ ออกกำลังกาย

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    กินอะไรจึงทำให้แก่ช้า

    กินอะไรจึงทำให้แก่ช้า อ่อนกว่าวัย แข็งแรง สุขภาพดี

    รู้ก่อนใคร กินอะไรจึงทำให้แก่ช้า

    อาหารการกินเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากที่สุด หากจะถามว่า กินอะไรจึงทำให้แก่ช้า คงสมเหตุสมผล เพราะอาหารค่อนข้างมีอิทธิพลต่อสุขภาพร่างกายของเรามากพอตัว วันนี้เราจึงขออ้างอิงข้อมูลจากหนังสือ Anti-Aging รู้ก่อนใคร ชะลอวัยก่อนเพื่อน โดย พน.เสฏวุฒิ งามเมธิชัยวงศ์ สำนักพิมพ์ AMARIN Health มาเฉลยคำตอบค่ะ

    สูตรอาหารแบบโซน

    เป็นแนวทางการรับประทานอาหารที่คิดค้นโดย ดร.แบร์รี่ เซียร์ส ชาวอเมริกัน โดยมีแนวคิดว่า หากร่างกายของเราทำงานได้อย่างสมดุลอยู่ในโซน (Zone) ซึ่งเป็นสภาพที่ระบบต่างๆของร่างกายทำงานได้ดีที่สุดแล้ว จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดีและมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ น้อย

    หัวใจหลักของสูตรอาหารแบบโซน คือ ควบคุมการอักเสบในร่างกายให้มีน้อยที่สุด ลดการอักเสบเรื้อรังในร่างกาย และส่งเสริมการทำงานของฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายให้ทำงานได้ดีที่สุด

    นอกจากนี้แล้วยังพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอาหารที่เรารับประทานกับการแสดงออกของยีน (พันธุกรรม) อีกด้วย ซึ่งการเลือกรับประทานอาหารแบบโซน จะมีผลให้ยีนที่ดีแสดงผลออกมา ในขณะที่ยีนไม่ดีหรือยีนก่อโรคไม่แสดงผลออกมาหรือออกมาน้อยที่สุดนั่นเอง ทำให้สูตรอาหารแบบโซนเป็นอาหารที่ตอบโจทย์เรื่องการชะลอวัยได้อย่างแท้จริง

    สำหรับอาหารแบบโซนนั้นเป็นสูตรอาหารที่มีสัดส่วนของพลังงานที่ได้รับในแต่ละวันจากสารอาหารหลัก ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต : ไขมัน : โปรตีน  เท่ากับ 40 : 30 : 30 ตามลำดับ ซึ่งถือว่าอยู่ในสัดส่วนที่ค่อนข้างสมดุล ประเภทของอาหารที่แนะนำให้รับประทานประกอบด้วย

    อาหารสุขภาพ ผักผลไม้ กินอะไรจึงทำให้แก่ช้า

    คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (Complex Carbohydrate)

    เช่น ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีต ธัญพืช ถั่วต่างๆ ผัก ผลไม้หลากสี

    ไขมันดี

    ได้แก่ ไขมันจากน้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา น้ำมันรำข้าว หรืออะโวคาโด ซึ่งมีกรดไขมันอิ่มตัวตำแหน่งเดียวในปริมาณมาก และไขมันประเภทโอเมก้า-3 เช่น น้ำมันปลา ปลาทูน่า ปลาแซลมอน อัลมอนด์ เป็นต้น

    โปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่มีไขมันน้อย (Low Fat Protein)

    เช่น เนื้อปลา เนื้อไก่ เป็นต้น

    ปัจจุบันเราพบว่า การรับประทานอาหารแบบโซนมีประโยชน์ทั้งในด้านลดการอักเสบในร่างกาย ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมไปถึงโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งด้วย จึงถือว่าเป็นสูตรอาหารชะลอวัยที่น่าสนใจและสามารถและสามารถนำไปปรับใช้ได้ง่ายๆกับทุกคน รวมทั้งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องรักษาโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือแม้กระทั่งโรคหัวใจ

    หน้าถัดไปจะเป็นอีกสูตรการกินอาหารที่น่าสนใจเช่นกัน และสูตรนี้คาดว่าหลายคนต้องรู้จักอย่างแน่นอน

    สูตรอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียน

    เดิมทีอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนเป็นอาหารพื้นเมืองของประเทศที่อยู่รอบๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เช่น กรีซ อิตาลี สเปน ฝรั่งเศส อาหารเหล่านี้มีลักษณะเฉพาะตัว คือ นิยมนำน้ำมันมะกอกมาใช้ในการปรุงอาหารโดยเฉพาะสลัดผัก ผลไม้ เน้นการรับประทานธัญพืช ถั่วชนิดต่างๆ ปลาทะลา และนิยมดื่มไวน์ โดยเฉพาะไวน์แดงในปริมาณที่พอเหมาะ

    อาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนได้รับการศึกษาวิจัยและมีการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ British Medical Joournal (BMJ) ในปี ค.ศ. 2008 ว่าเป็นอาหารที่สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง และอัตราการเสียชีวิตโดยรวมได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคพาร์กินสันและอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย

    ในอีกหลายๆ การศึกษาวิจัยที่ผ่านมายังพบว่า อาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนนั้นช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และช่วยลดน้ำหนักได้ จึงนับว่าเป็นอีกหนึ่งสูตรอาหารที่ดีต่อสุขภาพมาก ซึ่งนอกจากจะช่วยชะลอโรคภัยต่างๆ แล้วยังช่วยชะลอวัยได้อีกด้วย

    น้ำมันมะกอก

    คราวนี้เรามาดูกันครับว่า อาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนเป็นอาหารประเภทใดบ้าง

    • ข้าว ถั่วชนิดต่างๆ ธัญพืชชนิดต่างๆ ที่ผ่านการแปรรูปน้อยที่สุด
    • โปรตีนจากปลา ไก่ และไข่ในปริมาณที่เหมาะสม  เลี่ยงเนื้อแดง หรือเนื้อติดมันต่างๆ
    • ผัก ผลไม้สดหลากหลายชนิด
    • น้ำมันมะกอกซึ่งอุดมไปด้วยไขมันที่ดีชนิดกรดไขมันไม่อิ่มตัว ตำแหน่งเดียวในปริมาณมาก ในปัจจุบันเราพบว่า น้ำมันมะกอกช่วยลดคอเลสเตอรอลตัวไม่ดี และเพิ่มคอเลสเตอรอลตัวดีในเลือดได้ อีกทั้งยังช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้ด้วย
    • นมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต ชีส ในปริมาณพอเหมาะ
    • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะไวน์แดง ในปริมาณพอเหมาะ

    สรุป อย่างไรก็ตาม สูตรอาหารทั้ง 2 ชนิดต่างก็เน้นให้รับประทานอาหารที่มาจากธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ หลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านการแปรรูปต่างๆ เลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โปรตีนที่มีคุณภาพดีและมีไขมันต่ำ ส่งเสริมให้รับประทานไขมันดี


    เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    ดูแลตัวเองในวัย 50 ให้สวย หุ่นดี แข็งแรงเกิน 100

    ทำไมยิ่งอายุเยอะ ยิ่ง ลดน้ำหนักยาก

    สวยอ่อนเยาว์ ด้วยอาหารเกาหลี

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    หัวไชเท้า

    แจกสูตร หัวไชเท้า แก้ไอ ขับเสมหะ

    หัวไชเท้า สรรพคุณ แก้ไอ ลดน้ำตาลได้

    หัวไชเท้า ตามตำราจีนนั้นถือว่ามีฤทธิ์เป็นยาเย็น ซึ่งถือว่ามีประโยชน์อย่างมากต่อการทำงานของปอด กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ มีสรรพคุณช่วยลดอุณหภูมิความร้อนในร่างกาย แก้อาการไอเรื้อรัง มีเสมหะมาก อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก

    สำหรับวันนี้ ชีวจิตขอชวนทุกคนมาลองนำหัวไชเท้าสดมาคั้นน้ำแล้วเติมน้ำขิง เติมน้ำตาลทรายแดงพอหวาน ต้มให้เดือดแล้วจิบบ่อยๆ หรือนำหัวไชเท้ามาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มน้ำดื่ม ก็สามารถช่วยแก้กระหายได้ดีทีเดียว

    หัวไชเท้าเป็นพืชหัวในตระกูล Cruciferae

    จัดอยู่ในวงศ์ผักกาด มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน โดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ภาสกิจ วัณณาวิบูล แพทย์แผนปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์การแพทย์แผนจีนอธิบายไว้ในหนังสือ หายป่วย สุขภาพดี ด้วยอาหารและสมุนไพรจีน ว่า หัวไชเท้ามีฤทธิ์เย็น มีรสเผ็ด หวาน สรรพคุณช่วยขับพิษ บรรเทาอาการท้องร่วง ท้องเสีย โรคบิด ขับปัสสาวะ กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว แก้ไอ ขับเสมหะ ลดน้ำตาลในเลือด บรรเทาอาการเลือดกำเดาไหล และแก้อาเจียน

    ปัจจุบันมีการศึกษาพบว่า หัวไชเท้ามีแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และมีวิตามินบี 1 บี 12 ไนอะซิน วิตามินชีสูง อีกทั้งในน้ำคั้นหัวไชเท้าสดยังมีเอนไซม์ช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน จึงมีสรรพคุณบรรเทาอาการท้องผูกได้

    นอกจากนั้นยังมีประโยชน์ด้านความสวย ความงาม คือ สามารถนำน้ำคั้นหัวไชเท้ามาทาเพื่อลบจุดด่างดำและฝ้าบนใบหน้าได้ ประเด็นดังกล่าวชีวจิต ได้ค้นคว้าและตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่ามีความเป็นไปได้ ดังที่ข้อมูลจากสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า ในน้ำคั้นสดของหัวไชเท้ามีสารสกัดเอทานอลและสารสกัดเอทิลอะซิเทต ช่วยยับยั้งเอนไซม์ไทโรชิเนส (Tyrosinase) ซึ่งทำหน้าที่สร้างเม็ดสีได้ ดังนั้นจึงช่วยลบเลือนจุดด่างดำได้ แต่ต้องอาศัยระยะเวลาพอสมควร

    ทั้งนี้ นายแพทย์ภาสกิจ วัณนาวิบูล ได้แนะนำสูตรง่ายๆ สำหรับการนำหัวไชเท้ารักษาอาการต่างๆ คือ

    สูตรน้ำคั้นหัวไชเท้า -ขิง

    สรรพคุณบรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ และเป็นยาระบายอ่อน ๆ

    วัตถุดิบ
    หัวไชเท้า 500 กรัม
    ขิงสด 15 กรัม หรือประมาณ 1 ข้อนิ้วมือ

    วิธีการ
    1. สับวัตถุดิบทั้งหมดให้ละเอียด
    2. เติมน้ำเปล่า 1 – 2 ช้อนโต๊ะ กรองเอาแต่น้ำ
    3. ดื่มวันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร หรือจิบขณะที่มีอาการ

    สูตรชาหัวไชเท้า – น้ำผึ้ง

    สรรพคุณแก้อาการไอเรื้อรังเนื่องจากโรคหลอดลมอักเสบ

    วัตถุดิบ
    หัวไชเท้า 250 กรัม
    น้ำเปล่า

    วิธีการ
    1. สับละเอียดหัวไชเท้าให้ละเอียด
    2. เติมน้ำเปล่า 1 ช้อนโต๊ะ ให้เข้ากัน
    3. กรองเอาแต่น้ำ จากนั้นเติมน้ำอีก 1 แก้ว (250 มิลลิกรัม)
    4. นำไปต้มด้วยไฟอ่อน 3 นาที พักให้อุ่น ปรุงรสด้วยน้ำผึ้ง
    5. คนให้เข้ากัน จิบขณะที่ยังอุ่น วันละ 2 ครั้ง เข้า -เย็น อย่างต่อเนื่อง จนกว่าอาการจะทุเลาลง

    ข้อมูลจาก คอลัมน์ เรื่องพิเศษ นิตยสารชีวจิต ฉบับ 473

    ชีวจิต Tips เปลือกหัวไชเท้า ต้องกิน

    เปลือก ไม่เพียงจะปกป้องสิ่งที่อยู่ภายใน แต่ตัวของเปลือกผักและผลไม้เอง ก็มีประโยชน์อยูในตัวของมันด้วย โดยเฉพาะ “หัวไชเท้า” จะดีเริ่ดขนาดไหน มาดูกัน

    นอกจากนี้ หัวไชเท้า ยังเป็นตัวช่วยย่อยชั้นดีอีกด้วย โดยตามตำราอายุรเวทของอินเดียบอกไว้ว่า “หัวไชเท้า” มีสรรพคุณช่วยล้างพิษ เนื่องจากช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับและระบบย่อยอาหาร ดังนั้น หากรู้สึกอึดอัดท้องจากการกินเนื้อสัตว์เข้าไปมาก ลองหั่นหัวไช้เท้าเป็นแว่นหนาๆ สัก 3-4 ชิ้น กินเป็นผักสด เอนไซม์ไมโรเนสในหัวไช้เท้าจะช่วยย่อยเป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์ได้

    ส่วนสายสวย หัวไชเท้าก็เป็นยาสูตรธรรมชาติรักษาฝ้าและจุดด่างดำบนใบหน้าได้ด้วย

    ครีมหัวไชเท้า

    ส่วนผสม : หัวไชเท้า ½ หัว รำข้าว 1 ช้อนโต๊ะ

    วิธีทำ : ปอกเปลือกหัวไชเท้า ล้างน้ำให้สะอาด หั่ยเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปปั่น ใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำมาผสมรำข้าว ก็จะได้ครีมหัวไชเท้า

    วิธีใช้ : ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดหน้าให้แห้ง ใช้ครีมหัวไชเท้าพอกให้ทั่วบริเวณใบหน้าหรือบริเวณที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก ทำติดต่อกันทุกวัน ฝ้าและจุดด่างดำจะค่อยๆ จางลง

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    ถ่ายเป็นเลือด สัญญาณผิดปกติในลำไส้ใหญ่

    สวยอ่อนเยาว์ ด้วยอาหารเกาหลี

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ช็อกโกแลตซีสต์

    ประจำเดือนมาผิดปกติ! เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือ ช็อกโกแลตซีสต์ กันแน่?

    ประจำเดือน + ช็อกโกแลตซีสต์

    ประจำเดือนมาผิดปกติ เสี่ยง ช็อกโกแลตซีสต์ จริงมั้ย วันนี้เราจะมาหาคำตอบจาก แพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข กันค่ะ

    Question : คุณหมอชัญวลี หนูอายุ 20 ปีค่ะ สังเกตตัวเองว่า ขณะมีประจำเดือนจะมีลิ่มเลือดมาเป็นก้อน จากก้อนเล็กๆ ค่อยๆ เริ่มเป็นก้อนใหญ่ขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่เคยพบมาก่อน แต่ไม่มีอาการปวดท้องค่ะ อยากทราบว่า ก้อนลิ่มเลือดนี้เป็นสัญญาณเตือนว่า กำลังเป็น ช็อกโกแลตซีสต์ ใช่หรือไม่คะ

    ช็อกโกแลตซีสต์ คืออะไร

    โรคนี้เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ และเข้าไปอยู่ในอวัยวะต่าง ๆ เรียงลำดับจากมากไปหาน้อยมีดังนี้ค่ะ

    • รังไข่ (หากอยู่ที่รังไข่จะทำให้เป็นถุงเลือดเก่า ๆ จึงเรียกว่าช็อกโกแลตซีสต์)
    • อุ้งเชิงกรานด้านหน้าและด้านหลัง (anterior and posterior cul-de-sac)
    • ปีกมดลูกด้านหลัง(Posterior broad ligament)
    • เอ็นหลังมดลูก(Uterosacral ligament)
    • ตัวมดลูก
    • ท่อนำไข่
    • ลำไส้ใหญ่และไส้ติ่ง

    การที่เยื่อบุโพรงมดลูกจะเจริญเติบโต ต้องอาศัยฮอร์โมนเพศหญิงเอสโทรเจน โรคนี้จึงไม่พบในคนฮอร์โมนเพศหญิงน้อย เช่น ใกล้หมดหรือหมดประจำเดือน (Pre & post menopause)

    ช็อกโกแลตซีสต์
    ประจำเดือนมาผิดปกติ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือช็อกโกแลตซีสต์ ที่ควรรู้

    อุบัติการณ์โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

    พบมากทีเดียว โดยในวัยเจริญพันธุ์เฉลี่ยพบประมาณร้อยละ 20 ซึ่งพบร้อยละ 30 ในคนที่มีอาการปวดประจำเดือน และพบร้อยละ 50 ในคนที่มีลูกยาก

    สาเหตุโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

    ไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน แต่เชื่อว่าเกิดจาก 3 ทฤษฎีดังนี้

    1. ประจำเดือนไหลย้อนกลับ ทฤษฎีนี้อธิบายว่า เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิด เกิดจากประจำเดือนไหลย้อนกลับไปที่ท่อนำไข่ ออกไปอยู่ในอุ้งเชิงกราน รังไข่ ฯลฯ แต่เมื่อมีประจำเดือน กลับไม่สามารถขับออกมาได้ จึงเกิดพังผืดดึงรั้งอวัยวะต่าง ๆ และการอักเสบ ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บปวดและมีลูกยาก
    2. เยื่อบุโพรงมดลูกเคลื่อนไปเจริญอยู่ในอวัยวะต่าง ๆ ผ่านทางหลอดเลือดและหลอดน้ำเหลือง ทฤษฎีนี้อธิบายโรคเยื่อบุโพรงมดลูกที่เกิดในอวัยวะที่ไกลจากมดลูก เช่น ปอดและผิวหนัง เป็นต้น
    3. เยื่อบุช่องท้องสามารถเปลี่ยนเป็นเยื่อบุโพรงมดลูกได้ ทฤษฎีนี้เกิดจากการสังเกตเซลล์เยื่อบุช่องท้องในทารกที่เปลี่ยนเป็นเยื่อบุโพรงมดลูกได้

    3 ปัจจัยส่งเสริมที่ทำให้เกิดโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ได้แก่

    1. มีญาติพี่น้องเป็นโรคนี้(จะมีโอกาสเป็นมากกว่าคนที่ไม่มีพี่น้องเป็นถึง 7 เท่า)
    2. มดลูกผิดปกติมีการอุดกั้นประจำเดือนที่จะไหลออกมา
    3. ปัจจัยที่ทำให้ร่างกายสัมผัสฮอร์โมนเพศหญิงเอสโทรเจนมากและนานกว่าปกติ เช่น ไม่มีลูก มีประจำเดือนเร็ว หมดประจำเดือนช้า รอบประจำเดือนสั้น มีประจำเดือนมานานมามากในแต่ละเดือน

    นอกจากนั้นในต่างประเทศ เชื่อว่า คนที่เป็นโรคนี้ มักจะเป็น ผู้หญิงผิวขาว ผมสีแดง สูง ผอม มีกระที่ใบหน้า ผิวไวต่อแสงแดด มีไฝตามผิวหนัง คล่องแคล่วว่องไว อารมณ์เสียง่าย หากเป็นผู้บริหาร มักจะมีบุคลิกเฉียบขาด

    3 ปัจจัยลดการเกิดโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ได้แก่

    1. มีลูกมาก
    2. ให้นมลูกนาน
    3. มีประจำเดือนครั้งแรกเมื่ออายุมากกว่า 14 ปี
    4. ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดกิน ฉีด หรือฝัง

    อาการของช็อกโกแลตซีสต์ ไม่ใช่อาการเฉพาะเจาะจง อาจพบในโรคอื่นได้ เรียงลำดับกับการพบจากมากไปหาน้อย ดังนี้

    1. ปวดประจำเดือน พบร้อยละ 79 เป็นการปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ คือ ตอนเริ่มมีประจำเดือนจะไม่ปวด แต่ปวดเมื่ออายุมากขึ้น บางคนมีอาการนี้หลังจากมีลูกแล้ว

    อาการปวดมีลักษณะพิเศษคือปวดก่อนประจำเดือนมา 2 วัน และหลังจากประจำเดือนหายไปอีก 2 วัน การปวดเป็นแบบก้าวหน้า คือ ปวดเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกเดือน เมื่อมีประจำเดือนบางคนปวดทวารหนักและปวดปัสสาวะบ่อยร่วมด้วย

    1. ปวดท้องน้อย พบร้อยละ 69 อาการปวดมีทั้งปวดแน่น ๆ ปวดตลอด หรือปวดจี๊ด ๆ เป็นบางครั้ง
    2. ปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์ พบร้อยละ 45 เป็นอาการปวดลึก ๆ ในช่องท้อง ต่างจากปวดเพราะการอักเสบหรือปวดเพราะช่องคลอดแห้ง ซึ่งมักปวดในช่องคลอดหรือปวดตื้น ๆ
    3. ท้องผูก ท้องเสีย พบร้อยละ 36
    4. ปวดลำไส้ พบร้อยละ 29 มีอาการแน่นจุกท้อง เหมือนอาการจากโรคกรดไหลย้อน หรือ ลำไส้อักเสบ
    5. มีลูกยาก พบร้อยละ 26
    6. มีก้อนที่รังไข่ (ช็อกโกแลตซีสต์) พบร้อยละ 20
    7. ปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะลำบาก เจ็บแสบเวลาปัสสาวะพบร้อยละ 16

    สำหรับอาการประจำเดือนผิดปกติ มามาก มานาน มีลิ่มเลือดปน พบในโรคช็อกโกแลตซีสต์น้อย แต่ก็พบได้ โดยเกี่ยวข้องกับการทำงานของรังไข่ไม่ปกติ แต่ส่วนใหญ่พบในโรคอื่น ๆ มากกว่า เช่น ฮอร์โมนไม่ปกติ เสริมฮอร์โมนจากยา หรือสมุนไพร โพรงมดลูกอักเสบ เนื้องอกมดลูก และมะเร็งภายใน

    ซึ่งควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยด่วน

    จากคอลัมน์ เปิดห้องหมอสูติ นิตยสารชีวจิต ฉบับ 404

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ปวดท้องประจำเดือน อาการนี้ไม่ปกตินะสาว

    6 อาหาร ลดอาการร้อนวูบวาบ ในสาววัยทอง

    เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย โรคซึมเศร้า จึงสัมพันธ์กับฤดูกาล

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    บริหารแผ่นหลัง, แก้ออฟฟิศซินโดรม, ออฟฟิศซินโดรม, โรคออฟฟิศซินโดรม, พนักงานออฟฟิศ

    บริหารหลัง แก้อาการออฟฟิศซินโดรม

    บริหารหลัง เสริมความแข็งแรงแผ่นหลัง บอกลาออฟฟิศซินโดรม

    บริหารหลัง เป็นเรื่องที่หลายคนมองข้าง เพราะกล้ามเนื้อหลังมักถูกเข้าใจว่า ไม่ช่วยให้รูปร่างสวยงาม แต่รู้ไหมว่า การนั่งทํางานหน้าคอมพิวเตอร์วันละ 6-8 ชั่วโมง ส่งผลให้มีอาการปวดหลังต้นคอ หัวไหล่ ขาและแขนชาตาม ซึ่งเป็นอาการออฟฟิศซินโดรม แต่เราแก้ไขได้ด้วยการบริหารแผ่นหลัง

    พนักงานออฟฟิศหลายคน บ่นปวดคอ บ่า ไหล่ ลามมาถึงแผ่นหลัง เนื่องจากนั่งทำงานหน้าคอมพิเตอร์เป็นเวลานาน ซึ่งบางคนบอกว่า ไม่มีเวลาไปหาหมอ จึงซื้อยาคลายกล้ามเนื้อมากิน แต่นั่นไม่ใช่การแก้อาการปวดที่แท้จริงนะคะ

    สำหรับอาการปวดตึงคอ บ่า และไหล่ มักเกิดจากการอยู่ในอิริยาบถที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งมาจากการจัดสภาพแวดล้อมในที่ทํางานไม่เหมาะสม เช่น จอคอมพิวเตอร์อยู่ระดับต่ำกว่าสายตา เก้าอี้ไม่มีที่วางแขนเป็นต้น ทําให้ต้องเกร็งแขนตลอดเวลา จึงมีอาการปวดตึงบริเวณคอ บ่า และไหล่ จะมีอาการปวดมากในช่วงบ่ายหรือเย็น แต่เมื่อพัก อาการจะหายไป ยกเว้นมีอาการเรื้อรัง เนื่องจากทําพฤติกรรมเดิมซ้ำๆ ซึ่งอาจมีการปวดร้าวลงแขน บางรายอาการรุนแรงจนหันคอ ก้ม หรือเงย

    วันนี้ เราขอเสนอทางเลือกง่าย ๆ ทำตามง่าย ไม่ต้องเสียสตางค์ แถมยังได้แผ่นหลังที่สวยงาม แข็งแรง ห่างไกลอาการปวดมาฝากกัน

    ออฟฟิศซินโดรม, บริหารหลัง, แก้ออฟฟิศซินโดรม, บริหารร่างกาย, โรคออฟฟิศซินโดรม, พนักงานออฟฟิศ
    นั่งทำงานติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดอาการปวดหลัง ต้นคอ หัวไหล่

    บริหารหลัง เสริมกล้ามเนื้อ

    ท่าเตรียม ยืนแยกขากว้างเท่าช่วงไหล่ ประสานมือทั้งสองข้างแล้วเหยียดไปข้างหน้า ย่อเข่า

    ท่าบริหาร เอียงลําตัวไปด้านซ้ายเล็กน้อย ค้างไว้ 10 วินาที สลับข้าง นับเป็น 1 ครั้ง ทําซ้ำ 5 ครั้ง พัก 10-15 วินาที ทำทั้งหมด 3 เซต

    ท่ายืดเหยียด

    บริหารแผ่นหลัง, แก้ออฟฟิศซินโดรม, ออฟฟิศซินโดรม, โรคออฟฟิศซินโดรม, พนักงานออฟฟิศ
    ฝึกท่าบริหารแผ่นหลัง ช่วยบรรเทาอาการปวดจากโรคออฟฟิศซินโดรมได้

    สําหรับวิธีแก้อาการปวดในกลุ่มคอ ไหล่ บ่า หลัง ให้ใช้ท่าฤๅษีดัดตนนี้เลย

    ท่าเตรียม นั่งขัดสมาธิ มือทั้งสองข้างกําประสานกันบริเวณลิ้นปี่

    ท่าบริหาร

    1. สูดลมหายใจเข้าให้ลึกที่สุดพร้อมกับเหยียดแขน ดันฝ่ามือเหยียดไปทางด้านซ้ายให้มากที่สุด โดยให้ลําตัวตรง หน้าตรง แขนตึง กลั้นลมหายใจไว้สักครู่
    2. ผ่อนลมหายใจออกพร้อมกับงอแขนทั้งสองข้างมาอยู่ในท่าเตรียม ทําซ้ำเช่นเดิม แต่เปลี่ยนเป็น เหยียดแขน ดันฝ่ามือไปทางด้านขวา
    3. ทําซ้ำเช่นเดิม แต่เปลี่ยนเป็นเหยียดแขนดันฝ่ามือไปทางด้านหน้า
    4. ทําซ้ำเช่นเดิม แต่เปลี่ยนเป็นเหยียดแขนชูขึ้นเหนือศีรษะ แขนทั้งสองข้างเหยียดตรงแนบชิดใบหู
    5. ผ่อนลมหายใจออกพร้อมกับลดแขนลง วางมือทั้งสองข้างพักไว้บนศีรษะในลักษณะหงายมือ
    6. ค่อยๆ ลดมือลงมาอยู่ในท่าเตรียม  เริ่มต้นทําซ้ำ โดยเหยียดแขนไปทางด้านซ้าย ด้านขวา ด้านหน้า และด้านบน ตามลําดับ นับเป็น 1 ครั้ง ทําซ้ำ 5-10 ครั้ง

    รู้หรือไม่

    การรักษาอาการออฟฟิศซินโดรมนั้นต้องใช้วิธีผสมผสาน คือ รักษาโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อบรรเทาอาการปวด เช่น การกินยา การฉีดยา การฝังเข็ม การนวด ซึ่งจะทําให้อาการดีขึ้นชั่วคราว อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการทํางานหรือพฤติกรรมก่อโรคอาการก็จะกลับมาเป็นซ้ำได้อีก การจะรักษาให้หายจากอาการนี้อย่างถาวรจึงจําเป็นต้องแก้ไขที่ต้นเหตุ เพื่อทําให้สภาพของกระดูกข้อ กล้ามเนื้อ และเส้นประสาทคืนสู่ภาวะปกติหรือดีกว่าปกติ

    นอกจากจะต้องยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังและทำท่าบริหารเพื่อเสริมความแข็งแรงแล้ว ทุก 1 ชั่วโมง ก็ควรลุกออกจากโต๊ะไปยืดเส้นยืดสายเสียบ้างนะคะ เพื่อไม่ให้เจ้าโรคออฟฟิศซินโดรมถามหา

    ชีวจิต Tips เดินลดปวด แก้ปวดหลัง

    • ให้สวมรองเท้าที่เหมาะสมและพอดีกับเท้า
    • ขนาดของหัวรองเท้ากว้างไม่บีบรัดนิ้วเท้าจนเกินไป
    • ส้นของรองเท้าสูงประมาณ 1-2 นิ้ว ถ้าสูงมาก ขณะเดินต้องเกร็งขามาก และอาจทำให้หลังแอ่น ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลัง
    • ขณะเดินศีรษะ ลำตัว หลัง ไหล่ ตรง และไม่เดินห่อไหล่ สายตามองตรงไปข้างหน้า ในระดับสายตา
    • แกว่งแขนไปข้างหน้าพร้อมขาด้านตรงข้ามที่ก้าวเดินไป
    • เดินบนพื้นราบ ไม่ขรุขระ และไม่เปียกแฉ

    ยืนลดปวด

    • ศีรษะ ลำตัว หลัง ไหล่ ตรง ไม่ห่อไหล่ และแขนวางข้างลำตัว
    • น้ำหนักตัวลงที่เท้า 2 ข้างเท่ากัน ปลายเท้าต้องห่างกัน
    • การยืนนาน ให้ยืนพักเท้าบนอุปกรณ์สูง 1 คืบ หรือ ประมาณ 6 นิ้วและสลับเท้าไปมาเป็นระยะๆ พร้อมแขม่วท้อง
    • การยืนทำงานหรือหยิบของบนที่สูง ไม่ก้มหรือแหงนหน้านาน ไม่เอี้ยวตัว ไม่เขย่งเท้า เสริมอุปกรณ์ที่มั่นคงเพิ่มความสูง และไม่เอื้อมแขน

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    อาการปวดข้อ

    6 วิธีสยบ อาการปวดข้อ ด้วยวิธีแบบธรรมชาติที่ควรรู้

    บอกต่อวิธีธรรมชาติ บอกลา อาหารปวดข้อ

    อาการปวดข้อ เป็นอีกหนึ่งอาการยอดฮิตของใครหลายคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่อวัยวะเริ่มมีความเสื่อมไปตามวัย เริ่มตั้งแต่อาการปวดเล็กน้อยไปจนถึงอาการปวดรุนแรงจนทนไม่ได้

    สำหรับอาการปวดข้อเกิดได้จากหลายสาเหตุ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและพยาธิสภาพที่เกิดขึ้น โดยเราได้รวบรวมวิธีบำบัดแบบธรรมชาติ ที่จะช่วยแก้ อาการปวดข้อ ยอดฮิตมาแนะนำ ดังนี้

    1. ยาพอกแก้อาการปวดข้อเข่า

    สำหรับอาการปวดข้อเข่านั้นมีหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น การปวดข้อเข่าจากความเสื่อม โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (เกิดจากความผิดปกติ
    ของภูมิคุ้มกัน) โรคเกาต์ (เกิดจากการมีกรดยูริกในเลือดสูง และมีการตกผลึกของกรดยูริก)

    ในทางการแพทย์แผนไทยแบ่งอาการปวดข้อเข่าออกเป็น 2 ประเภท คือ จับโปงแห้งและจับโปงน้ำ ซึ่งทั้งสองอาการมีความแตกต่างกันไปตามพยาธิสภาพ

    จับโปงน้ำ คือข้อเข่ามีอาการปวด บวม แดง ร้อน ส่วนจับโปงแห้ง คือมีอาการปวด แต่ไม่มีอาการบวม แดง ร้อน มีเสียงในข้อเข่าเวลาเดิน ซึ่งการดูแลและรักษามีความแตกต่างกัน

    เข่า, ช่วงอัดเทป, นวด, ไหล่, เป็นมนุษย์
    NATURAL PAINKILLER

    แนะนำว่า ผู้ที่มีอาการปวดข้อเข่าควรใช้ยาพอกเข่าในการรักษา เพื่อช่วยลดอาการปวด ช่วยนำสารอาหารมาเลี้ยงข้อเข่ามากขึ้น และช่วยดูดพิษร้อน ซึ่งมีวิธีทำดังนี้

    สูตรยาร้อน (สำหรับข้อเข่าที่มีอาการปวด แต่ไม่มีอาการบวม แดง ร้อน)

    ประกอบด้วยขิง น้ำตาล ไพล ปริมาณเท่า ๆ กัน และพริก 2 – 3 เม็ด

    สูตรยาเย็น (สำหรับข้อเข่าที่มีอาการปวด บวม แดง ร้อน)

    ประกอบด้วยดินสอพอง ยาเขียว ใบย่านาง ตำลึง ปริมาณเท่า ๆ กัน

    วิธีทำ ตำสมุนไพรทั้งหมดเข้าด้วยกันพอหยาบ แล้วนำมาพอกเข่าที่มีอาการปวด พันด้วยผ้าพันแผล ทิ้งไว้ 15 – 20 นาที แล้วล้างออก

    2. ปูไต่แก้อาการปวดข้อไหล่ติด

    แพทย์หญิงชยาภรณ์ โชติญาณวงษ์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ระบุว่า ไหล่ติดเป็นภาวะที่หัวไหล่ไม่สามารถเคลื่อนไหวข้อไหล่ได้สุดพิสัยตามองศาการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะขยับเองหรือให้ผู้อื่นช่วยขยับ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดไหล่

    โดยสาเหตุการเกิดนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่จากการศึกษาพบว่า เกิดจากการอักเสบของเยื่อหุ้มข้อและมีการหนาตัวของเยื่อหุ้มข้อจนเป็นพังผืดตามมา ทำให้เคลื่อนไหวข้อได้น้อยลงนั่นเอง

    NATURAL PAINKILLER

    สำหรับท่าบริหารข้อไหล่เมื่อมีอาการไหล่ติด ขอแนะนำท่าปูไต่ เหมาะสำหรับคนที่ใช้แขนข้างเดียวเป็นประจำ เช่น ครู อาจารย์ที่ต้องเขียนกระดาน ช่างตัดผม – ดรายผม ฯลฯ โดยมีวิธีดังต่อไปนี้

    1. ยืนหันหน้าเข้าผนังหรือหันด้านข้างเข้าผนัง โดยยืนห่างจากผนังประมาณ 1 ฟุต
    2. วางมือที่ผนัง แล้วใช้นิ้วไต่ผนังขึ้นไปเรื่อย ๆ ให้สูงที่สุดเท่าที่จะทนปวดได้ แล้วทำเครื่องหมายไว้ วันต่อมาก็พยายามทำให้สูงกว่าเดิม อย่าเขย่งหรือเอี้ยวตัว
    3. ทำซ้ำช้า ๆ อย่างน้อยวันละ 10 – 15 ครั้ง

    ในกรณีที่อาการปวดไหล่ไม่รุนแรงให้ประคบด้วยความร้อน โดยใช้ถุงนํ้าร้อน ผ้าชุบนํ้าอุ่น หรือลูกประคบสมุนไพร และเริ่มบริหารข้อไหล่ได้ตามปกติ หรือทำเป็นประจำก็ช่วยป้องกันข้อไหล่ติดได้เช่นกัน

    3. ฤาษีดัดตน ป้องกันอาการปวดข้อมือ

    รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ศุภชัย รัตนมณีฉัตร ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ระบุว่า อาการปวดข้อมือที่พบได้บ่อยคือ กลุ่มของ Carpal Tunnel Syndrome ทำให้เกิดอาการกระดูกข้อมือเจ็บปวด ข้อกระดูกนิ้วมือเสื่อและชา ซึ่งเกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ เช่น การกดแป้นพิมพ์ และการใช้เมาส์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน

    การจับเมาส์ โดยมีข้อมือเป็นจุดหมุนอาจเกิดพังผืดบริเวณข้อมือ หากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการชาจนไม่สามารถหยิบของได้ รวมไปถึงบุคคลที่มีอาชีพขายส้มตำ ช่างตัดผม ด้วยเช่นกัน

    เปิดวงดนตรี, มือ, อาการ, การอักเสบ
    NATURAL PAINKILLER

    ขอแนะนำท่าฤาษีดัดตน ท่าอวดแหวนเพชร ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดโรคนิ้วล็อก บริหารส่วนแขน ข้อมือ นิ้วมือ ทำให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีขึ้น มีวิธีฝึกดังนี้

    • ท่าเตรียม นั่งชันเข่า
    • ท่าปฏิบัติ เหยียดแขนทั้งสองข้างให้ตรง และหงายฝ่ามือซ้ายขึ้น แล้วใช้มือขวาดัดที่บริเวณฝ่ามือซ้าย กางมือซ้ายออกแล้วค่อย ๆ พับนิ้วทั้ง 5 ลงทีละนิ้วจนครบ สลัดข้อมือขึ้น – ลง ขณะที่กำลังกำมืออยู่ ทำ 5 – 10 ครั้ง แล้วสลับข้าง

    4. กระต่ายขาเดียว ป้องกันข้อเท้าแพลงซ้ำ

    อาการปวดข้อเท้าที่พบได้บ่อยคือ อาการข้อเท้าแพลง เกิดจากการพลิกของข้อเท้าทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ ปวด และมีอาการบวม พบได้บ่อยในนักกีฬาหรือคนที่ใช้ข้อเท้าเยอะ ๆ การเดินบนพื้นที่ไม่เรียบ การกระโดด หรือแม้กระทั่งการสวมรองเท้าส้นสูงก็เพิ่มความเสี่ยงเกิดข้อเท้าแพลงได้

    โดยเฉพาะคนที่เคยมีอาการเท้าพลิกมาก่อนยิ่งต้องระวังและต้องทำให้ข้อเท้าแข็งแรง เพื่อป้องกันการเกิดข้อพลิกซ้ำ

    นักกายภาพบำบัด วรท เอกพินิจพิทยา คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า สาเหตุที่ทำให้มีโอกาสเท้าพลิกซ้ำ เพราะข้อเท้ามีเยื่อหุ้มข้อต่อและเอ็นอยู่รอบ ๆ ซึ่งมีหน้าที่สร้างความมั่นคงให้กับข้อต่อ นอกจากนี้ยังมีตัวรับความรู้สึก (Receptor) ของข้อต่อที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทรับความรู้สึก ดังนั้นคนที่เคยเท้าพลิกและเกิดการบาดเจ็บมาก่อนจะทำให้เยื่อหุ้มข้อและเอ็นเสียหาย และเกิดความบกพร่องของการรับรู้ความรู้สึกของข้อต่อ ปฏิกิริยาการตอบสนองอัตโนมัติมีความล่าช้าลง จึงเพิ่มโอกาสการบาดเจ็บซ้ำได้ง่ายขึ้น และหากบาดเจ็บซ้ำ ๆ บ่อย ๆ จะทำให้ข้อเท้าหลวมได้

    เท้า, โรคเกาต์, ความเจ็บปวด, มนุษย์
    NATURAL PAINKILLER

    ข้อมูลจากวารสาร Medicine & Science in Sports & Exercise แนะนำวิธีฝึกการทรงตัวเพื่อกระตุ้นการรับรู้ความรู้สึกของข้อต่อแบบง่าย ๆ ที่สามารถป้องกันและลดการบาดเจ็บจากข้อเท้าแพลงซ้ำซ้อน โดยเรียงลำดับตามความง่ายไปยากดังต่อไปนี้

    1. ยืนด้วยขาข้างเดียวบนพื้นแข็ง กางแขนสองข้าง ลืมตา
    2. ยืนด้วยขาข้างเดียวบนพื้นแข็ง กอดอก ลืมตา
    3. ยืนด้วยขาข้างเดียวบนพื้นนุ่ม กางแขนสองข้าง ลืมตา
    4. ยืนด้วยขาข้างเดียวบนพื้นนุ่ม กอดอก ลืมตา
    5. ยืนด้วยขาข้างเดียวบนพื้นแข็ง กางแขนสองข้าง หลับตา
    6. ยืนด้วยขาข้างเดียวบนพื้นแข็ง กอดอก หลับตา
    7. ยืนด้วยขาข้างเดียวบนพื้นนุ่ม กางแขนสองข้าง หลับตา
    8. ยืนด้วยขาข้างเดียวบนพื้นนุ่ม กอดอก หลับตา

    วิธีฝึก ควรอยู่ใกล้กำแพงเพื่อให้สามารถยึดจับกำแพงได้ และสามารถลืมตาได้ในขณะที่รู้สึกไม่มั่นคง ในการฝึกแต่ละครั้งให้ทำท่าละ 30 วินาที จำนวน 3 รอบ โดยมีช่วงพักในแต่ละรอบนาน 30 วินาที

    5. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง

    โรคเกาต์เป็นโรคหนึ่งที่มีสาเหตุมาจากการกินอาหาร ซึ่งวิธีการป้องกันและรักษาอาการปวดข้อจากโรคเกาต์ได้ดีที่สุดคือ การเลี่ยงอาหารที่มีสารพิวรีนสูง เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบของข้อได้

    รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ปารยะ อาศนะเสน คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ระดับกรดยูริกในเลือดสูงเกิดจากร่างกายมีการสร้างกรดยูริกมากกว่าปกติ หรือกินอาหารที่มีสารพิวรีนสูง ซึ่งสารนี้จะเปลี่ยนไปเป็นกรดยูริกในเลือด ทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงผิดปกติจนกลายเป็นโรคเกาต์และมีอาการปวดข้อได้

    NATURAL PAINKILLER

    ดังนั้นคนที่มีกรดยูริกในเลือดสูงผิดปกติควรงดอาหารที่มีสารพิวรีนสูงซึ่งมีดังนี้

    อาหารต้องห้าม…มีพิวรีนสูง

    • ถั่วและเมล็ดต่าง ๆ เช่น ถั่วพู ถั่วงอก ถั่วแขก ถั่วลันเตา ถั่วฝักยาว ถั่วลิสง ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว และถั่วเหลือง
    • ผักต่าง ๆ เช่น ผักคะน้า ผักบุ้งจีน ผักบุ้งไทย ต้นกระเทียม หน่อไม้ ดอกกะหล่ำ ตำลึง สะตอ กระถิน ใบขี้เหล็ก ชะอม
    • เนื้อสัตว์ต่าง ๆ เช่น หมู วัว ไก่ ปลาดุก ไต กึ๋น ตับ และเครื่องใน

    อาหารแนะนำ…มีพิวรีนต่ำ

    • ข้าวชนิดต่าง ๆ ยกเว้นข้าวโอ๊ต
    • ผักต่าง ๆ เช่น ถั่วงอก คะน้า
    • ผลไม้ชนิดต่าง ๆ
    • ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น ไข่ นมสด เนย ขนมปัง ไขมันจากพืชและสัตว์

    6. สูตรแช่เท้า ลดอาการปวดเท้า – ข้อเท้า

    ส่วนประกอบ ไพล ตะไคร้ มะกรูด ฝักส้อมป่อย เปลือกมังคุด เถาวัลย์เปรียง อย่างละ 1 ส่วน และการบูร 2 ช้อนชา
    วิธีทำ นำสมุนไพรทั้งหมดมาต้มในน้ำเดือด 15 นาที แล้วยกลง เติมการบูร แล้วผสมน้ำอุ่น นำมาแช่เท้า

    แช่เท้า, สมุนไพร, ปราชญ์, สปา, เทาสปา

    อย่าลืมว่าเราสามารถหยุดอาการปวดได้ด้วยตัวเอง หากรู้จักวิธีป้องกันและปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง เพราะว่าไม่มีหมอคนไหนจะดีเท่ากับการที่เราเป็นหมอรักษาตนเอง

    เรื่อง พท.ป.ชารีฟ หลีอรัญ ภาพ iStock

    ชีวจิต 454

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    получить займ ночью

    วิธีออกกำลัง

    3 วิธีออกกำลังกาย แทนนั่งสมาธิ แก้จิตตก ลดภาวะซึมเศร้า

    วิธีออกกำลังกาย แทนนั่งสมาธิ แก้จิตตก ลดภาวะซึมเศร้า

    มีผู้อ่านถามเข้ามาว่า พอจะมี วิธีออกกำลังกาย สำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า หรือผู้ที่อยู่ในภาวะจิตตก บ้างไหมคะ เพราะไม่รู้สึกว่าตัวเองจะมีแรงและพลังใจมากพอ ที่จะออกกำลังกายเหมือนคนรักสุขภาพทั่วไป

    ตอบ

    เรื่องของการออกกำลังกายลดโรค เป็นสิ่งที่ผู้อ่านชีวจิตรู้กันดีอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้หายแวบ เด็ดขาด ก็ต้องเลือกการออกกำลังกายกันนิสสสนึงงงนะจ๊ะ

    สำหรับผู้ที่มีอาการซึมเศร้า อยู่ในภาวะจิตตก เครียด กังวล ก็มักจะหมดแรงหมดกกำลังใจในการทำสิ่งต่างๆ ฉะนั้นการออกกำลังกายสนุกสาน ต้องเคลื่อนไหวรวดเร็ว ประเภท Crossfit ซุมบ้า วิ่งเทรล อาจยากเกินไปสำหรับผู้ที่อยู่ในภาวะนี้

    ครั้นจะให้ไปปฏิบัติธรรมเงียบ ๆ เพื่ออยู่กับปัจจุบัน ลดความคิดฟุ้งซ่าน ก็ดูจะไม่เหมาะสำหรับช่วงเวลาที่กำลังอยู่ในภาวะหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต

    ฉะนั้นการหาวิธีออกกำลังกายที่เหมาะสม สำหรับผู้ที่อยู่ในภาวะนี้ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด โดยเฉพาะหากการออกกำลังกายนั้น เป็นการออกกำลังกายช้า ๆ ที่เป็นการทำสมาธิไปด้วย ซึ่งนั้นก็คือ ชี่กง หรือ ไทชิ โยคะ และการออกกำลังกายที่ใช้แรงดัน-ต้าน แบบที่เรียกว่า ไอโซเมตริก ซึ่งปรากฏอยู่ในหลายท่าของ การรำกระบองแบบชีวจิต

    จากงานวิจัยชื่อ Meditative Movement for Depression and Anxiety ตีพิมพ์ใน US Library of Medicine National Institutes of Health พบว่า การออกกำลังกายช้า ที่ต้องเพ่งสมาธิอยู่กับการเคลื่อนไหวเนิบช้า แบบที่เรียกว่า Meditative Movement (MM) จะช่วยลดความเครียด กังวล และภาวะซึมเศร้า แถมยังเพิ่มพลังบวก ความสงบใจ การผ่อนคลายร่างกาย ช่วยสร้างความสมดุลให้สุขภาพโดยรวม แถมยังลดความดันโลหิต ลดการอักเสบ เพิ่มระดับอิมมูนซิสเต็ม หรือภูมิคุ้มกันอีกด้วย

    ซึ่งผลลัพธ์ต่อสุขภาพเช่นนี้ ไม่ต่างจากการนั่งสมาธิ

    ในการวิจัย พบว่า การออกกำลังกายแบบ MM นี้ช่วยให้

    • จิตใจ สามารถจดจ่อกับการเคลื่อนไหว แทนการจินตนาการฟุ้งซ่านไปในเรื่องต่างๆ จนเกิดเป็นสมาธิ
    • การเคลื่อนไหว ที่แช่มช้า โดยเฉพาะในท่าง่ายๆ ไม่ซับซ้อน จะช่วยให้ผู้ฝึกสามารถใช้จิตจดจ่อกับท่าทางต่างๆ ได้ง่ายขึ้นด้วย
    • การหายใจ ในศาสตร์แพทย์แผนจีน หรือศาสตร์ตะวันออกอื่นๆ (รวมทั้งศาสตร์ไทย) เราเชื่อว่า ลมหายใจ คือ พลังชีวิต เป็นสะพานเชื่อมระหว่างภาวะจิตที่รู้ตัว และไม่รู้ตัว ฉะนั้นการออกกำลังกายแบบ MM ที่ต้องจดจ่อการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะชี่กงและโยคะ ที่ต้องจดจ่อกับลมหายใจไปพร้อมกันด้วย จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้จิตส่วนที่รู้ตัว เข้าควบคุมส่วนที่ไม่รู้ตัวได้ ผลลัพธ์คือ เส้นเอ็นยืดคลาย
    • ช่วยปล่อยวางได้ ความจริงในงานวิจัยนี้ใช้คำว่า “deep relaxation” แต่เมื่ออธิบายด้วยภาษาจีน ก็มีความหมายว่า การออกกำลังกายแบบ MM นี้ ช่วยให้เกิดภาวะปิติ (light) ปลดปล่อย (free) ไม่ยึดติด (open) และไม่ใช้พลัง (effortless) ซึ่งมาพร้อมกับความนิ่ง มั่นคง และเข้มแข็ง เหล่านี้เองที่ทำให้บ.ก.เลือกอธิบายภาวะนี้ว่า “การปล่อยวาง”

    เมื่อลองแยกแยะดูการออกกำลังกายแบบ MM ทีละประเภท พบว่า

    1. ชี่กงหรือไทชิ

    รองศาสตราจารย์ ดร.สาลี่ สุภาภรณ์ ภาควิชาพลศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตองครักษ์ กล่าวว่า ไทชิและชี่กงเป็นการฝึกฝนเพื่อควบคุมหรือจัดกระทำกับพลังงานในร่างกาย เป็นการบริหารกายและจิตเพื่อเรียนรู้วิธีควบคุมการไหลเวียนและการแพร่กระจายของพลังงานในร่างกาย ทำให้มีสุขภาพดีขึ้นสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่เจ็บป่วย เป็นกิจกรรมสำหรับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย เพราะมีเทคนิคในการฝึกมากมาย ซึ่งสามารถเลือกให้เหมาะกับวัยและสภาพร่างกายของผู้ฝึกได้ ทำได้ทั้งคนที่ร่างกายปกติและผู้ที่มีปัญหาร่างกาย

    เราสามารถฝึกชี่กงหรือไทชิจากตำราได้เฉพาะท่าออกกำลังกายพื้นฐานที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน หากควรเรียนรู้จากครูก่อนสำหรับท่าที่ค่อนข้างยาก เพราะการเคลื่อนไหวส่วนใหญ่นั้นต้องอาศัยความสัมพันธ์ของแขน มือ ขา เท้า และลำตัว ซึ่งอาจเกิดการผิดพลาดจนบาดเจ็บได้

    1. โยคะ

    โยคะ เป็นภาษาสันสกฤต หมายถึง การรวม (union or joining) กายและจิตเอาไว้ด้วยกัน กาย คือ การฝึกร่างกายโดยการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ส่วนจิต หมายถึง ความคิดว่ากำลังคิดอะไรอยู่ การฝึกโยคะจึงเป็นการฝึกให้จิตอยู่กับกายที่เคลื่อนไหว ซึ่งเป็นการฝึกสมาธิอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน

    ปัจจุบันโยคะเป็นการออกกำลังกายทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากไม่ว่าในประเทศหรือต่างประเทศ ผู้ที่เข้ารับการฝึกก็พบได้ทุกเพศทุกวัย เพราะนอกจากเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย เสริมสร้างระบบหายใจและไหลเวียนเลือดที่ดี เมื่อการยืดเหยียดกล้ามเนื้อประกอบกับการฝึกหายใจอย่างเป็นระบบ ส่งผลต่อสุขภาพโดยตรง เช่น หายปวดศีรษะ หายปวดหลัง เอว ความเครียดลดลง ฯลฯ

    1. รำกระบองแบบชีวจิต

    อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต เป็นผู้ค้นคิดให้เป็นการออกกำลังกาย โดยใช้หลักของไอโซเมตริกและไอโซโทนิก รวมถึงหลักการของออสทีโอพาธีหรือการบริหารกระดูกสันหลัง หลักสรีรวิทยา โยคะ มวยจีน และชี่กงพร้อมกันนั้นยังมีหลักของสมาธิร่วมด้วย โดยใช้ไม้กระบองหรือท่อพีวีซีเป็นอุปกรณ์ประกอบ

    รำกระบองเป็นการออกกำลังกายและบริหารทุกส่วนของร่างกาย คนทุกเพศทุกวัยสามารถรำกระบองได้ แต่ต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง

    อ้างอิง

    1. นิตยสารชีวจิต
    2. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3721087/

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    4 สุดยอดวิธีexercise ช่วยให้ อายุยืนได้

    50+ ร่างกายเปลี่ยนไป แค่ไหนกัน

    “นาวาสนะ” โยคะลดหน้าท้อง ช่วยเรียกเหงื่อ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    แอปเปิ้ล

    แอปเปิ้ลผลไม้ดีต่อ “ใจ”

    แอปเปิ้ลผลไม้ดีต่อ “ใจ”

    วันนี้ชีวจิตอยากให้ทุกคนหันมาเอาใจใส่หัวใจ ด้วยผลไม้สีแดงอย่าง “แอปเปิ้ล” ที่บอกเลย ดีต่อหัวใจแบบสุด ๆ เพราะวันใดที่หัวใจเจ็บป่วย รู้กันใช่มั้ยคะว่าอาจร้ายแรงถึงชีวิตได้ แต่ถ้าเราเริ่มดูแลหัวใจด้วยแอปเปิ้ลเสียตั้งแต่วันนี้ บอกเลยสุขภาพดีก็อยู่ไม่ไกล

    กินแอปเปิ้ลแล้วดีต่อ “ใจ” อย่างไร

    คำว่าดีต่อใจในที่นี้ ก็คือดีต่อหัวใจนั่นเอง เพราะแอปเปิ้ลมีสารโพลีฟีนอล ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นในการป้องกันโรคหลอดเลือดและหัวใจ (cardiovascular disease) โดย WHO หรือ องค์การอนามัยโลก รายงานว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นโรคที่ทำให้คนทั่วโลกเสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มโรค NCDs (Noncommunicable diseases หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) คือจำนวนถึง 17.9 ล้านคน หรือคิดเป็น 44%  ส่วนในประเทศไทยก็ไม่ได้น้อยกว่ากัน เพราะเป็นโรคที่ติดอยู่ในอันดับ 3 รองลงมาจาก โรคมะเร็ง และโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งจริงๆ เกิดจากสาเหตุใกล้เคียงกันทั้งสิ้น

    Apple a Day, keep doctors away? 

    คำกล่าวนี้มักจะได้ยินมาตั้งแต่ไหนแต่ไรใช่ไหมล่ะคะ ใครได้ยินประโยคนี้น่าจะพอเข้าใจได้ว่า แอปเปิ้ลทำให้เราแข็งแรง มีภูมิต้านทาน ช่วยป้องกันโรคได้นั่นเอง

    แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มักจะได้รับคำแนะนำจากนักโภชนาการและคุณหมออยู่เสมอว่าให้กินเป็นประจำ เรียกได้ว่า ถ้าส่งชื่อเข้าชิงประกวดสาขา ‘ผลไม้เฮลตี้’ แอปเปิ้ลจะติดอยู่ในท้อป 5 แน่นอน ด้วยความที่แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่หาซื้อง่าย ราคาไม่แพง แล้วยังมีสารอาหารมากมายอีกด้วย

    แอปเปิ้ลมีดีที่ “โพลีฟีนอล” (polyphenol) กับประโยชน์แสนทรงพลัง

    ก่อนจะไปรู้จักคำว่าโพลีฟีนอล เรามารู้จักสารสำคัญที่เรียกว่า “ไฟโตนิวเทรียนท์”(phytonutrient) ที่มีชื่อภาษาไทยว่า “สารพฤกษเคมี” กันก่อนเลย 

    ไฟโตนิวเทรียนท์เป็นสารที่พบในพืชผักผลไม้ 5 สี ถ้าสมัยนี้ยังได้ยินคำว่า “ให้กินผักผลไม้สีเขียว” อยู่ ถือว่าเชยแล้วนะ !  เพราะจริง ๆ แล้ว โภชนาการยุคใหม่อยากให้กินพืชผักผลไม้ให้ครบ 5 สีกันเลยทีเดียว! 

    โดยเจ้า“ โพลีฟีนอล” นางเอกของเรานี่แหละก็เป็นหนึ่งในไฟโตนิวเทรียนท์ นั่นเองสารพฤกษเคมี โพลีฟีนอล มีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องของการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือแอนติออกซิแดนท์ (antioxidant) มีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่เกิดขึ้นในเซลล์ร่างกาย เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นตัวที่ช่วยต้านความเสื่อมของร่างกาย และป้องกันโรคเรื้อรังต่าง ๆ 

    โดยสารโพลีฟีนอล มีคุณสมบัติเด่นซึ่งช่วยในการลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังหลายชนิด รวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือด

    ผลของโพลีฟีนอลในแอปเปิ้ลต่อหัวใจและระบบหลอดเลือด

    -ลดการอักเสบ สารโพลีฟีนอลมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ โดยการลดการอักเสบในหลอดเลือด

    -ลดคอเลสเตอรอล หลายรายงานแสดงให้เห็นว่าสารโพลีฟีนอลสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL)

    -ปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด โพลีฟีนอลสามารถช่วยปรับปรุงการทำงานของหลอดเลือด โดยทำให้หลอดเลือดขยายตัวได้ดีขึ้น และช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด

    -ลดความดันโลหิต มีการศึกษาที่แสดงว่าสารโพลีฟีนอลสามารถลดความดันโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจ

    -ป้องกันการเกิดเกล็ดเลือด โพลีฟีนอลสามารถช่วยลดความช่วยในการจับตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือด

    การบริโภคอาหารที่มีสารโพลีฟีนอลสูงสามารถช่วยสนับสนุนสุขภาพหัวใจและลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ในปี 2018 พบงานวิจัยทางคลีนิคจากคณะแพทย์ศาสตร์ ประเทศออสเตรเลีย ในวารสาร Molecular Nutrition & amp; Food Research ได้ทำการศึกษาสารสำคัญกลุ่มโพลิฟีนอลที่มีฟลาโวนอยด์สูงในแอปเปิ้ลกับอาสาสมัคร 30 คน โดยให้บริโภคแอปเปิ้ลที่มีสารฟลาวานอยด์สูงเทียบกับกลุ่มบริโภคแอปเปิ้ลที่มีสารฟลาโวนอยด์ต่ำ เป็นระยะ 4 สัปดาห์

    พบการรายงานผลว่า กลุ่มบริโภคแอปเปิ้ลที่มีสารฟลาวานอยด์สูงมีผลความดันเลือดที่ดีขึ้น ผนังหลอดเลือดยืดหยุ่นเพิ่มมากขึ้นไม่แข็งตัว ลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและยังมีการเจาะเลือดเพื่อดูปริมาณไฟโตนิวเทรียนต์ในกระแสเลือดพบว่ากลุ่มบริโภคแอปเปิ้ลที่มีสารฟลาวานอยด์สูงมีปริมาณสารเควอซิตินสูงมากขึ้นหลังรับประทานแอปเปิ้ลไป 2 ชั่วโม งและยังคงค่าที่สูงกว่าอีกกลุ่มเมื่อผ่านไป 4 สัปดาห์

    ไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อ ‘ใจ’

    ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน การบริโภคอาหารที่มีความ “หวาน มัน เค็ม”  การรับประทานอาหารไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ รวมถึงการมีพฤติกรรมเนือยนิ่ง นั่ง ๆ นอนๆ ไม่ได้ออกกำลังกาย รวมไปถึงความเครียดเรื้อรังก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพ จนนำไปสู่ โรคอ้วน เบาหวาน ความดัน ไขมันฯสูง”  ตามมา 

    เมื่อมีโรคเหล่านี้สะสมนานหลายปี ทำให้สุดท้ายกลายเป็นโรคหัวใจ ในที่สุด 

    ที่น่าตกใจคือ สมัยนี้โรคเหล่านี้ไม่ได้ไกลตัว หรือเกิดเฉพาะในผู้สูงอายุเท่านั้น แต่พบว่าเกิดในวัยหนุ่มสาว และในคนที่อายุน้อยลงเรื่อย ๆ 

    การป้องกันโรคหัวใจและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง จึงควรเริ่มป้องกันตั้งแต่วันนี้ โดยปรับพฤติกรรม เริ่มง่ายๆ จากการขยับเขยื้อนร่างกายมากขึ้น กินอาหารที่สมดุล เลือกอาหารที่มีประโยชน์ บริโภคอาหารที่มีสารอาหารสูง หนึ่งในนั้น คืออาหารที่มี พฤกษเคมีสูงอย่างโพลีฟีนอล ที่อยู่ในผัก ธัญพืช ผลไม้ และน้ำแอปเปิ้ล นอกจากนั้นการจัดการความเครียด เลี่ยงบุหรี่ และ แอลกอฮอล์ และตรวจสุขภาพเป็นประจำและสม่ำเสมอ

    ประโยชน์ในน้ำแอปเปิ้ล

    การวิจัยเชิงสำรวจ ของ “National Health and Nutrition Examination” ปี 2013–2016  ทำการสำรวจในกลุ่มตัวอย่างอายุ 19 ปีขึ้นไป จำนวน  10,112 คน พบว่าผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้ 100%  (บริโภคในปริมาณที่ให้สารอาหารเทียบเท่ากับผลไม้สด)  มีคะแนน “ Healthy Eating Index” สูงขึ้นถึง 10% เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ไม่บริโภค โดยพบว่าผู้ที่บริโภคน้ำผลไม้ได้รับปริมาณสารอาหาร  หลายชนิดที่สูงกว่า เช่น และพลังงาน วิตามินซีและดี แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม 

    ในการสำรวจกล่าวว่า แม้ในน้ำผลไม้จะมีใยอาหารจะน้อยกว่า แต่ก็ยังได้รับสารอาหารต่างๆใกล้เคียงกับผลไม้สด

    ดื่มน้ำแอปเปิ้ลกันเถอะ

    องค์การอาหารโลกและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (World Health and Food and Agricultural Organization, FAO) แนะนำให้ประชาชนบริโภคผักและผลไม้ให้ได้วันละ 400 กรัม เนื่องมาจากสารสำคัญในผักและผลไม้นั้นมีฤทธิ์ทางยาที่ช่วยป้องกันโรคและให้อวัยวะต่าง ๆ กลับมาทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และเราขอย้ำชัดๆ เลยว่า “แอปเปิ้ล” เป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่อยู่ในกลุ่มอาหารเป็นยา เพราะมากด้วยโพลิฟินอลที่ช่วยลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง ลดคอเลสเตอรอล ไขมันในเลือด ลดความดัน ลดภาวะเสี่ยงต่อมะเร็ง ต้านการเป็นโรคอัลไซเมอร์ ต้านทั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ต้านการอักเสบ ต้านภาวะอ้วนลงพุงและโรคเบาหวาน 

    ต้านได้สารพัดสิ่งแบบนี้ อยากกินกันแล้วใช่มั้ย แต่จะให้กินแอปเปิ้ลทีละหลาย ๆ ลูก คงจะจุก แบบไม่ไหวจะกินอย่างอื่นแน่ เอาเป็นว่า การดื่มน้ำแอปเปิ้ล 100% ก็ได้ประโยชน์แบบเต็ม ๆ ไม่ต่างกับแอปเปิ้ลผล เพราะอุดมไปด้วยวิตามินธรรมชาติและสารสำคัญโพลิฟีนอลสูงงงง…

    อย่าลืมนะคะ น้ำแอปเปิ้ล 100% พร้อมดื่ม นอกจากช่วยดับกระหาย ชื่นใจ เป็นแหล่งของวิตามินซีและวิตามินอีที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ เสริมภูมิคุ้มกัน ให้น้ำตาลในปริมาณที่พอดีแล้ว ยังมีโพลีฟีนอลสูง ช่วยป้องกันโรค จึงนับว่าดีต่อกาย ดีต่อใจ และคุ้มค่ากับราคา หาซื้อง่าย สะดวกสบาย เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้บริโภคที่จะได้ดูแลสุขภาพในทุก ๆ วัน

    เมื่อซื้อมาดื่มแล้ว หลังจากเปิดภาชนะก็อย่าลืมใส่ไว้ในตู้เย็น เพื่อช่วยเก็บรักษาคุณภาพไว้ให้นานด้วยนะคะ

    กฤดิ์ชนา หุตะแพทย์ นักกำหนดอาหารวิชาชีพ

    อกไก่

    อกไก่ เรื่องที่คนอยากกินโปรตีนต้องรู้

    อกไก่ ใช่โปรตีนที่ดีที่สุดหรือเปล่า

    แอดมั่นใจ ว่าหากถามคน 100 คน ว่าแหล่งโปรตีนที่คนนิยมมากที่สุดคืออะไร เชื่อได้ว่าเกินครึ่งน่าจะเลือกตอบว่า อกไก่ เพราะเป็นแหล่งโปรตีนราคาไม่สูง ไขมันน้อย ได้โปรตีนมากมาย จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากอกไก่ ไม่ว่าจะเป็น อกไก่ปั่น แซนวิสอกไก่ เป็นต้น แต่อกไก่ เป็นโปรตีนที่ดีที่สุดจริงหรือ

    สำหรับคำถามนี้ผู้ที่จะให้คำตอบได้ดีที่สุดคือ นายแพทย์สันต์ ใจยอดศิลป์ ศัลยแพทย์หัวใจ และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารพืชเป็นหลัก และมีงานวิจัยเรื่องการกินอาหารไทยที่เป็นพืชเป็นหลักเพื่อการรักษาโรค NCDs อีกด้วย

    อกไก่ 100 กรัม ให้ โปรตีน 20 กรัม

    Q : ถามว่ากินอกไก่วันละ 3 ชิ้นเพื่อให้ได้โปรตีนวันละ 60 กรัม ดีไหมครับ

    A : คุณอย่าเป็นคนบ้าโปรตีนนักเลย มันจะทำให้คุณดูแลสุขภาพของคุณไปผิดทาง เรื่องนี้ผมขอแยกเป็นประเด็นๆ คือ

    ประเด็นที่ 1 โปรตีนไม่ได้หมายถึงเนื้อนมไข่เท่านั้น แต่โปรตีนมีอยู่ในอาหารเกือบทุกชนิดมากน้อยต่างกันไป เช่น เนื้อสัตว์มีโปรตีนประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ถั่วต่างๆ นัต มีโปรตีนประมาณ 20 – 26 เปอร์เซ็นต์ ไข่มี 7.5 เปอร์เซ็นต์ นมวัวมี 3.5 เปอร์เซ็นต์ ข้าวกล้องมี 2.6 เปอร์เซ็นต์ น้ำนมคนมี 1 เปอร์เซ็นต์

    ดังนั้นกินอาหารให้หลากหลายและกินให้อิ่ม คุณได้โปรตีนครบถ้วนอยู่แล้ว ไม่มีขาดโปรตีนแน่นอน ไม่เชื่อลองถามหมอที่รู้จักคนไหนก็ได้ดูหน่อยสิ ว่าตั้งแต่เกิดมาเขาเคยเห็นคนไข้ไรคขาดโปรตีน (Kwashiorkor) แบบตัวเป็น ๆ สักคนหนึ่งไหม ถ้าหมอท่านไหนเคยเห็น คุณช่วยบอกผมเอาบุญหน่อย ผมจะไปสัมภาษณ์คุณหมอท่านนั้นเพื่อสืบสาวไปทำวิจัย ผู้ป่วยที่ว่าเป็นโรคขาดโปรตีน เพราะคนไข้โรคขาดโปรตีนจริงๆ ทั้งที่กินแคลอรีครบถ้วนสมัยนี้ไม่มี ผมถามหมอ
    ทุกคนที่รู้จักก็ไม่มีหมอคนไหนเคยเห็น

    ประเด็นที่ 2 ความเชื่อที่ว่าโปรตีนจากสัตว์คุณภาพสูง โปรตีนจากพืชคุณภาพต่ำเป็นคอนเซ็ปต์ที่ไร้สาระและชักนำให้ผู้คนป่วยมากขึ้น เพราะความกลัวขาดโปรตีนจึงตะบันกินเนื้อสัตว์ ทำให้เป็นโรคเรื้อรังกันมากขึ้น

    ความเชื่อเหลวไหลนี้มาจากการนับกรดแอมิโนจำเป็น (ซึ่งร่างกายมนุษย์สร้างขึ้นไม่ได้) 9 ตัวในอาหาร อาหารชนิดไหนมีกรดแอมิโนจำเป็นครบ 9 ตัวก็นับว่าเป็นโปรตีนคุณภาพสูง อาหารชนิดไหนมีไม่ครบก็นับว่าเป็นโปรตีนคุณภาพต่ำ แต่ในชีวิตจริงมนุษย์กินอาหารหลากหลาย อาหารทุกชนิดเมื่อกินเข้าไปแล้วจะถูกย่อยเป็นโมเลกุลพื้นฐาน (Basic Building Block) เหมือนกันหมด เช่น อาหารโปรตีนก็จะถูกย่อยเป็นกรดแอมิโนเหมือนกันหมด แล้วร่างกายก็เลือกดูดซึมสิ่งที่ต้องการเข้าไปใช้ ในกรณีการดูดซึมโปรตีน ร่างกายจะเลือกดูดซึมกรดแอมิโนที่ขาดเข้าไปใช้อาหารนี้ไม่มีกรดแอมิโนตัวนั้น ก็ไปเอาจากอาหารโน้น ทำให้ภาพรวมเมื่อกินอาหารที่หลากหลายไม่มีทางขาดโปรตีน

    อกไก่

    ประเด็นที่ 3 ผู้ผลิตกรดแอมิโนจำเป็นคือพืช ไม่ใช่สัตว์ คนทั่วไปเข้าใจว่าสัตว์เป็นผู้สร้างโปรตีนหรือกรดแอมิโน
    จำเป็นขึ้น จึงศรัทธาเนื้อสัตว์ว่าเป็นแหล่งโปรตีนซึ่งพืชไม่มี นี่เป็นความเข้าใจผิด วัวหรือหมูที่เรากินเนื้อเขาก็เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหมือนกับเรา ร่างกายเขาก็ผลิตกรดแอมิโนจำเป็นเองไม่ได้ เขาต้องไปเอามาจากพืช ดังนั้นผู้ผลิตและ
    จำหน่ายกรดแอมิโนจำเป็นที่แท้จริงคือพืช เช่น หญ้าที่วัวกิน เป็นต้น ดังนั้นหากจะเคารพบูชาอาหารว่าเป็นแหล่งให้กรดแอมิโนจำเป็นแก่คุณ คุณต้องบูชาพืชผัก ผลไม้ถั่ว งา นัต และธัญพืชไม่ขัดสี ไม่ใช่ไปบูชาเนื้อสัตว์

    ประเด็นที่ 4 ร่างกายมนุษย์ไม่ได้ต้องการโปรตีนมาก เมื่อกี้ผมจาระไนให้คุณฟังว่าเนื้อสัตว์มีโปรตีนประมาณ20 เปอร์เซ็นต์ ถั่วต่างๆ งา นัตมีโปรตีนประมาณ 20 – 26 เปอร์เซ็นต์ ไข่มี 7.5 เปอร์เซ็นต์ นมวัวมี 3.5 เปอร์เซ็นต์ น้ำนมคนมี 1 เปอร์เซ็นต์ ฟังให้ดีนะ น้ำนมแม่ซึ่งเป็นอาหารโปรตีนอย่างเดียวที่ธรรมชาติให้มาในยามที่ร่างกายมนุษย์ต้องการโปรตีนสูงสุด คือกำลังเติบโตในช่วง 0 – 6 เดือนแรกของชีวิต มีโปรตีนเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ เพราะธรรมชาติร่างกายมนุษย์แท้จริงแล้วไม่ได้ต้องการโปรตีนมากมายอย่างที่คนทั่วไปคาดคิดกัน คนทั่วโลกทุกวันนี้กินอาหารโปรตีนเกินความต้องการ แต่กินอาหารกากหรือเส้นใยพืชต่ำกว่าความต้องการของร่างกายไปมาก

    อยากปั้นกล้าม ต้องกิน อกไก่

    Q : กินอกไก่วันละ 3 ชิ้นจะทำให้กล้ามเนื้อใหญ่ขึ้นไหม

    A : กล้ามเนื้อไม่ขึ้นหรอกครับ อย่างเก่งก็ทำให้พุงของคุณใหญ่ขึ้น เพราะกลไกการเกิดกล้ามเนื้อลีบในผู้สูงอายุไม่ได้เกิดจากการขาดอกไก่ แต่มันลีบเพราะการลดการใช้งาน ประกอบกับการลดลงของฮอร์โมนสร้างกล้ามเนื้อ (แอนโดรสเตอโรน) ซึ่งค่อยๆ ลดลงตามวัย

    ปัญหานี้ไม่ใช่จะมาแก้ได้ด้วยการกินอกไก่ แต่ต้องแก้ด้วยการขยันออกกำลังกายฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ขยันขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวทั้งวันเพื่อเพิ่มการใช้กล้ามเนื้อมากขึ้น ร่วมกับกินอาหารให้ร่างกายได้รับแคลอรีมากเพียงพอ
    เพราะถ้าแคลอรีจากอาหารไม่พอ ร่างกายจะสลายเอา

    อกไก่

    กล้ามเนื้อที่ลีบอยู่แล้วมาเผาผลาญเป็นพลังงานดังนั้นหากอยากแก้ปัญหานี้ ให้คุณกินอาหารที่มีพืชเป็นหลักให้หลากหลายและกินให้อิ่ม แล้วออกกำลังกายเล่นกล้ามทุกวัน กล้ามเนื้อคุณจึงจะไม่ลีบ โดยที่ขณะเดียวกันก็จะไม่มีไขมันอิ่มตัวจากอกไก่ไปก่อโรคเรื้อรังสารพัดให้คุณในภายหลัง อย่าคิดว่าในอกไก่จะไม่มีไขมันนะ

    งานวิจัยที่อังกฤษพบว่า เมื่อนำเนื้อไก่ที่เลาะหนังและมันออกแล้วไปวิเคราะห์ดูว่าแคลอรีที่ได้จากอกไก่มาจากสารอาหารประเภทไหนบ้าง พบว่า 50 เปอร์เซ็นต์มาจากไขมันที่แทรกอยู่ในเซลล์กล้ามเนื้อ 50 เปอร์เซ็นต์นะ 50 เปอร์เซ็นต์ ของเนื้อที่คุณภูมิใจว่ามันลืน (Lean) เนี่ย 50 เปอร์เซ็นต์เป็นไขมัน เพราะไก่ที่เขาเลี้ยงมาให้คุณกิน
    ทุกวันนี้เป็นโรคอ้วน หึๆ… ถ้าคุณไม่เชื่องานวิจัยที่อังกฤษ คุณจะทดลองดูกับตัวเองก็ได้ กินอกไก่วันละสามชิ้น
    ทุกวันสักสามเดือน แล้วไปเจาะเลือดดูไขมัน LDI ว่าสูงหรือต่ำ นั่นแหละอนาคตของคุณ เพราะไขมัน LDD
    คือปัจจัยกำหนดโรคเรื้อรังหลายโรคล่วงหน้าสำหรับคุณ

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    3 เรื่องต้องรู้ เมื่อจะกิน โปรตีนจากพืช

    ออกตามหา นมจากพืช ตัวเลือกดีๆ ทดแทนน้ำนมจากวัว

    ชวนเลือกกินอาหาร ให้ไม่ลงเอยด้วย ไขมันในเลือดสูง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต


    ผักชายา

    “ผักชายา” ต้นผงชูรสของคนรักสุขภาพ เรื่องน่ารู้ที่คุณไม่ควรพลาด

    “ผักชายา” ต้นผงชูรสของคนรักสุขภาพ

    มารู้จักต้น ผักชายา กันเถอะ

    ผักชายา” นั้น มีชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า “Chaya Spinash” เป็นผักพื้นถิ่นในประเทศเม็กซิโก แถบรัฐยูกาตัง ซึ่งเปืนพืชที่ว่ากันว่าเก่าแก่เชื่อมโยงไปถึงชนเผ่ามายา บ้างเรียกว่า เป็น “Maya Miracle Plant” หรือพืชวิเศษของชาวมายา เพราะชาวมายาใช้ปรุงเป็นยาใช้ทางการแพทย์

    พักหลังมานี้หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อผักชนิดหนึ่งที่มีหลายชื่อเหลือเกิน บ้างเรียกว่า “ผักชายา” หรือ “ผักไชยา” บางคนเรียก “มะละกอกินใบ” ลามไปถึง “คะน้าเม็กซิโก” ทว่าชื่อเสียงที่ดูจะสะดุดหูที่สุดของผักชนิดนี้ก็คือ “ต้นผงชูรส” ซึ่งเป็นผักโดนใจสำหรับคนรักสุขภาพ และผู้ที่ต้องการรสอูมามิแบบไม่ต้องพึ่งผงชูรส

    ต้นชายา เป็นพืชในวงศ์เดียวกันกับ มันสำปะหลัง ยางพารา ฝิ่นต้น สลัดได สบู่ดำ หนุมานนั่งแท่น ลักษณะของต้นชายา นั้น เป็นพืชที่ทรงพุ่ม สูงได้ถึง 3 เมตรเลยทีเดียว ลักษณะหน้าตาของใบพืชชนิดนี้ ฝรั่งบอกเหมือนใบเมเปิ้ล แต่สำหรับคนไทยมองๆไปแล้วเปรียบเทียบอย่างที่คุ้นเคยก็คือใบมะละกอ นั่นเอง

    ฉันรู้จักพืชนี้ สมัยที่ไปเรียนเป็นชาวนา ที่พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติ จ.ปทุมธานี ตอนนั้นต้องอาศัยอยู่ในพิพิธภัณฑ์ถึง 5 เดือนเต็ม อาหารที่พวกเรากินก็คือ พืชผักที่ปลูกได้ในแปลง ไข่เป็ดที่เลี้ยง และปลาน้ำจืดในบ่อเลี้ยงปลาที่แต่ละคนดูแล แต่ถ้าช่วงไหนผักยังโตไม่ทัน พวกเราก็จะหันไปหาต้นชายา ที่ทางพิพิธภัณฑ์เขาปลูกเป็นพุ่มเป็นแนวตามริมถนนหน้าแปลง

    ผักชายานั้นเกิดง่ายโตง่าย แต่ตัดยอดอ่อนเสียบลงดินมันก็เกิดแล้ว ขนาดข้างถนนที่ปลูกเป็นดินปนหินพวกมันยังเกิดได้ และเป็นพุ่มให้ตัดแต่งได้เร็ว จนพวกนักเรียนชาวนาทั้งหลายชอบแซวกันว่า ถ้าใครปลูกผักชายาไม่เกิดก็ไม่ต้องเรียนเพาะปลูกอะไรแล้ว เวลาเก็บกินพวกฉันมักจะเลือกหักเอายอดอวบๆ ที่มีขนาดใหญ่ใกล้เคียงนิ้วโป้ง นำมาริดใบแยกไว้ต่างหาก แล้วนำก้านมาปอกเปลือกเหนียวๆสีเขียวด้านนอกออกไป เนื้อในยอดที่ปอกแล้วหน้าตาละม้ายคล้ายกับเนื้อในของก้านยอดคะน้าอย่างไรอย่างนั้น นอกจากหน้าตาจะเหมือนแล้ว เมื่อนำไปผัดกินก็กรอบอร่อยไม่แพ้กัน

    ผักชายามีประโยชน์มากมาย  โดย National Institute of Nutrition ของเม็กซิโก ได้กล่าวถึงประโยชน์ของผักชายาไว้ว่า ผัชนิดนี้ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น ลดคอเรสเตอรอล ช่วยลดน้ำหนัก ช่วยเพิ่มธาตุเหล็กในเลือด เพิ่มพูนความจำ และช่วยให้อาการเบาหวานดีขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอีกว่า ผักชายามีโปรตีนสูง และมีธาตุเหล็กสูง แถมยังมีปริมาณแคลเซี่ยมที่สูงกว่าผักโขมหลายเท่า ดังนั้นจึงมีการนำใบชายามาใช้แทนผักโขม จนได้ขึ้นชื่อว่า “Chaya Spinach” นั่นเอง และยังมีการนำต้นชายาไปใช้เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ อีกด้วย ทั้งยังมีการรายงานว่าต้นชายา เป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าผักใบเขียวอื่นๆ 2-3 เท่าเลยทีเดียว

    ฟังจากที่กล่าวมานี้ก็เรียกได้ว่าเป็นพืชที่มหัศจรรย์จริงๆ ทว่าอย่าเพิ่งชะล่าใจ เพราะเหรียญมักมีสองด้านเสมอ

    ผักชายา ผักสรรพคุณดีแต่มีพิษ มารู้จักด้านมืดของชายา และวิธีนำไปใช้ 

    จากข้อมูลประโยชน์ของผักชายา หลายคนคงอยากหามาปลูกและมาปรุงลิ้มลอง ทว่าก่อนจะไปถึงจุดนั้นฉันขอแนะให้อ่านข้อมูลนี้สักหน่อย เพราะผักชายานั้นถึงจะมีประโยชน์มากมาย ทว่าชายานั้นมีพิษในตัว โดยเฉพาะใบและยอดชายาจะมีสารพิษในกลุ่มไฮโดรไซยานิก ไกลโคไซด์ ซึ่งทำให้เกิดพิษระคายเคืองในระบบทางเดินอาหารได้ ดังนั้นการจะนำผักชายาไปใช้จึงต้อรู้วิธีกำจัดสารพิษดังกล่าวก่อน ซึ่งวิธีดังกล่าวก็คือ ห้ามรับประทานผักชนิดนี้แบบสดๆ แต่ให้ปรุงผ่านความร้อนทุกครั้ง เพราะสารพิษดังกล่าวจะสลายหายไปเมื่อผ่านความร้อน ยิ่งผ่านความร้อนได้ 15-20 นาที ก็จะปลอดภัย และผู้ที่ผิวแพ้ง่ายต้องระวังยางของต้นสัมผัสผิวเพราะอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้

    ผักชายา

    ฝรั่งเรียก ผักชายา คนไทยนั้นหนาเรียก “ต้นผงชูรส”

    เหตุที่คนไทยเรียกผักชายา ว่าต้นผงชูรส ก็เพราะ ในต้นและใบชายา มีรสหวานธรรมชาติ ลักษณะรสคล้ายดั่งผงชูรส เมื่อนำมาปรุงอาหารจะทำให้อาหารมีรสกลมกล่อมคล้ายใส่ผงชูรสลงไปนั่นเอง การใช้ใบชายามาปรุงอาหารและอาศัยรสหวานอร่อยของผักนี้แทนการใส่ผงชูรสจึงช่วยให้ผู้รับประทานปลอดภัยจากระดับโซเดียมที่สูงเกินไป ดีต่อผู้ป่วยโรคไต ที่ต้องลดปริมาณโซเดียม ด้วยเหตุนี้เองที่คนไทยที่รู้จักผักชนิดนี้จึงตั้งชื่ออีกชื่อหนึ่งให้กับเจ้าผักชนิดนี้ นอกเหนือจากชื่อเดิม (ชายา หรือ คะน้าเม็กซิโก หรือ มะละกอกินใบ ) ว่า “ต้นผงชูรส” ซึ่งฉันเคยได้สูตรวิธีทำผงนัวจากพืชธรรมชาติที่แลกเปลี่ยนกันในกลุ่มเกษตรอินทรี ก็พบว่า ในสูตรดังกล่าว มีการใส่ใบของต้นชายาคั่วจนแห้งกรอบแล้วบดเป็นผงใส่ลงไปด้วย หรือแม้แต่การต้มน้ำปลาร้าปรุงรสสำหรับนำไปปรุงส้มตำ ก็มีสูตรที่ใส่ใบชายาลงไปต้มกับน้ำปลาร้าและส่วนผสมอื่นๆ โดยไม่ใส่ผงชูรสอีกด้วย

    ผักชายากับสารพัดเมนูอูมามิ ที่นำมาเล่าสู่คุณฟัง

    อย่างที่เล่าไปข้างต้นว่าสมัยเรียนทำนาฉันใช้ผักชนิดนี้ปรุงอาหารอยู่บ่อยหน แต่นอกเหนือจากปรุงกินแล้วยังนำผักชายาไปปรุงเป็นอาหารขายที่ตลาดนัดอินทรีย์ในพิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติในช่วงต้นเดือนอีกหลายหน จึงอยากนำวิธีปรุงผักชายาแบบต่างๆ ที่เคยทำมาเล่าสู่คุณฟัง เผื่อใครจะลองนำไปทำตามก็รับประกันว่าอร่อยน่าทาน อูมามิสุดๆ

    ใบชายาชุบแป้งทอดกับน้ำจิ้มไก่ ใบชายามีลักษณะหน้าตาสวยคล้ายใบเมเปิ้ล นำแป้งโกกิมาผสมกับโซดาให้ข้นพอดี แล้วนำใบชายาสดลงชุบแล้วทอดทีละใบ เสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มไก่ หรือใช้เป็นเหมือดขนมจีนน้ำพริกก็ทั้งสวยและดูน่ากิน หรือจะเสิร์ฟกับน้ำจิ้มปอนสึแล้วบอกว่าเป็นเทมปุระชายา ก็ดูไฮโซน่ากินขึ้นไปอีก

    ราดหน้ายอดผักชายา และ ผัดผักชายาน้ำมันหอย อย่างที่บอกว่าเนื้อในก้านช่วงยอดของผักชายานั้นละม้ายคล้ายกันกับผักคะน้า เพียงคุณนำมาริดใบออก แล้วปอกเปลือกเหลือแต่ก้านด้านในใสๆ อวบๆ แล้วนำไปผัดกับหมูหมัก ตีเป็นน้ำร้าดหน้ากินกับก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ผัด ก็อร่อยไม่แพ้คะน้าแถมยังเพิ่มความอูมามิได้ดีทีเดียว ส่วนใครขี้เกียจทำเป็นราดหน้า จะนำก้านชายาไปผัดอย่างผัดน้ำมันหอย หรือจะเรียงใส่จานนึ่งจนสุกแล้วนำน้ำมันหอยมาราด โรยกระเทียมเจียว ก็ได้เมนูชายาหน้าตาเหลาๆ รสอร่อยไว้กินกันแล้ว

    ผักชายา.4

    ก้านผักชายาดองด่วน เมนูนี้อร่อยมาก ฉันคิดทำเพราะตอนนั้นทำน้ำพริกแล้วอยากกินกับผักดอง เพียงนำก้านชายาที่ปอกเปลือกแล้ว มาตัดเป็นท่อนพอคำ ลวกน้ำให้สุก ตักขึ้นพักไว้ จากนั้น ต้มน้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย เกลือ ชิมรสให้เปรี้ยว หวาน เค็ม ตามชอบ แล้วใส่ผักชายาลงต้มสักอึดใจแล้วปิดไฟแช่ไว้อย่างนั้น สักครู่จึงนำมากิน ก็จะได้ก้านผักชายาดองด่วนสามรสไว้กินกับน้ำพริกชวนเจริญอาหาร การทำอาหารชนิดนี้ทำให้พบข้อดีอีกประการของผักชายาคือ สามารถต้มนานได้มากกว่าคะน้า โดยยังคงความกรุบกรอบอยู่ ซึ่งถ้าใครจะนำก้านชายาที่ปอกเปลือกแล้วต้มสุกแล้วนำไปใช้ทำหมูมะนาวแทนก้านคะน้า ก็บอกเลยว่า กรอบอร่อยไม่แพ้กัน

    ข้าวเกรียบปากหม้อใส้ใบผักชายา  นำใบผักชายามาล้างสะอาดแล้วซอยเป็นเส้นฝอย ก่อนนำผัดปรุงรสด้วยน้ำมันหอย น้ำตาล  ซีอิ๊วขาว เติมน้ำต้มให้นิ่มดี จากนั้นขึงผ้าที่ปากหม้อละเลงแป้งลงไป แล้วทำคล้ายข้าวเกรียบปากหม้อ ก็จะได้ขนมปากหม้อไส้ผักชายาที่อร่อยดีทีเดียว เมนูนี้ฉันเองเคยทำขายที่งานตลาดนัด ขายดิบขายดี ใครจะเพิ่มไชโปว๊ กุ้งแห้ง อะไรลงไป ก็แล้วแต่ชอบ ข้อนี้ไม่จำกัด

    ใบชายาอบชีส นำใบชายาไปต้มจนสุก จากนั้นนำขึ้นมาบีบน้ำให้หมาด แล้วซอยเป็นเส้น ก่อนนำไปผัดกับเนย กระเทียม พริกไทย ไวน์ขาว เกลือเล็กน้อย แล้วเติมซอสขาว (เบชาเมล) ลงไปต้มสักพัก ตักใส่ถาดแก้วทนไฟ ถาดเซรามิกส์ หรือ ถาดฟอยล์ โรยหน้าด้วยพามีซานด์ชีสขูดผสมกับมอสซาเรลล่าชีสขูด แล้วนำไปอบด้วยไฟ 250 องศา จนชีสละลายและขึ้นสีสวยดี จึงปิดไฟ นำออกจากเตา เท่านี้ก็ได้ผักชายาอบชีสไว้กินแล้ว

    จริงๆผักชายายังนำไปทำประโยชน์ได้อีกมากมาย ฉันจึงแนะนำว่าให้คุณลองหามาปลูกไว้ที่บ้านสักพุ่มสองพุ่มรับรองว่าทั้งสนุกปรุงและสนุกกินอาหารจานอร่อยรสนัวโดยไม่ต้องง้อผงชูรสกันเลย

    เรื่องและภาพ : สิทธิโชค ศรีโช

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    งานวิจัยชี้ กุยช่าย ช่วยล้างไขมันในเลือด

    Antioxidant Food ผักมีสารต้านอนุมูลอิสระ ตัวช่วยสยบมะเร็ง

    รวม ผักพื้นบ้าน คุมน้ำตาล ความดัน ลดเสี่ยงมะเร็ง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    เทคโนโลยีผ่าตัดผ่านกล้อง

    Q&A เทคโนโลยีผ่าตัดผ่านกล้อง ในโรคผู้หญิง

    เทคโนโลยีผ่าตัดผ่านกล้อง กับ 5 คำถาม ที่คุณควรรู้

    เทคโนโลยีผ่าตัดผ่านกล้อง “แผลเล็ก เจ็บนิดเดียว ฟื้นตัวไว” คือคุณสมบัติที่โรงพยาบาลชั้นนำกล่าวถึง เทคโนโลยีผ่าตัดผ่านกล้อง โดยเฉพาะการผ่าตัดผ่านกล้องที่เกี่ยวข้องกับโรคผู้หญิง

    วันนี้เราจึงเกาะกระแสเทคโนโลยีการแพทย์ดังกล่าวมาฝากเพื่อให้ทราบถึงวิธีการ ประโยชน์ ผลข้างเคียง รวมถึงสนนราคาในการเข้ารับการรักษา โดยได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ นายแพทย์อัมพัน  เฉลิมโชคเจริญกิจ ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เป็นผู้มาตอบคำถามข้อสงสัยให้ฟัง

    Q: การผ่าตัดผ่านกล้อง แผลเล็กจริงหรือ
    A : จริง

    เพราะ เทคโนโยีผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic Surgery) โดยเฉพาะทางนรีเวชเป็นการเจาะรูขนาดเล็ก ประมาณ 5-8 มิลลิเมตร  จำนวน 1 - 4 แผล  แต่ที่เป็นการยอมรับว่าเป็นมาตรฐานการผ่าตัดผ่านกล้องคือ ต้องมีจำนวน 3 - 4 แผล โดยเจาะที่สะดือหรือบริเวณหน้าท้องเพื่อสอดกล้องกำลังขยายสูงและเครื่องมือผ่าตัดขนาดเล็กลงไป โดยกล้องนี้สามารถซอกซอนลงไปในช่องท้องเพื่อดูอวัยวะต่างๆ ได้ละเอียดกว่าการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง ซึ่งบางครั้งไม่สามารถเห็นอวัยวะที่อยู่ด้านหลังได้

    จากนั้นจะส่งภาพอวัยวะกลับมายังจอมอนิเตอร์ ซึ่งยิ่งจอมอนิเตอร์มีขนาดใหญ่มากเท่าไร  หมอจะยิ่งเห็นรอยโรคหรือความผิดปกติชัดเจนยิ่งขึ้น จึงสามารถทำการผ่าตัดได้แม่นยำมากขึ้นนอกจากนี้การผ่าตัดผ่านกล้องไม่ว่าจะเป็นทางนรีเวช ระบบทางเดินอาหารหรือระบบอื่นๆ จะมีการสอดเครื่องมือผ่านทางช่องธรรมชาติ เช่น ช่องคลอดลำคอ ทวารหนัก เพื่อเข้าไปตรวจหรือรักษาอวัยวะที่อยู่ใกล้ช่องตามธรรมชาติด้วย จึงไม่จำเป็นต้องเจาะรูเปิดหน้าท้อง ซึ่งจะทำให้เกิดบาดแผลด้านนอก

    สำหรับ เทคโนโลยีผ่าตัดผ่านกล้อง ช่องธรรมชาติที่ใช้รักษาโรคทางนรีเวชจะใช้การสอดเครื่องมือผ่าตัดผ่านทางช่องคลอดเข้าไปตรวจหรือรักษาโรคที่อยู่บริเวณโพรงมดลูกเช่น เนื้องอก ติ่งเนื้อ พังผืดในโพรงมดลูก แต่หากก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่กว่า 3 เซนติเมตรอาจไม่สามารถผ่าตัดวิธีนี้ได้

    เทคโนโลยีผ่าตัดผ่านกล้อง, ผ่าตัดส่องกล้อง, ผ่าตัดหน้าท้อง,

    Q: ปัจจุบันการผ่าตัดผ่านกล้องใช้รักษาโรคอะไรของผู้หญิงมากที่สุด
    A: จากสถิติที่ผ่านมาโรคที่เราทำการผ่าตัดมากที่สุดคือ ช็อกโกแลตซีสต์หรือเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่และเนื้องอกมดลูก

    ซึ่งทั้งสองโรครวมกันพบถึงร้อยละ 80 ของการผ่าตัดผ่านกล้องทั้งหมด โดยปีหนึ่งๆ ทางโรงพยาบาลศิริราช เฉพาะโรคทางนรีเวชจะมีผู้เข้ารับการผ่าตัดผ่านกล้องประมาณ 1,000 คน เฉลี่ยแล้ววันละประมาณ 5 คน ถามว่าเพราะเหตุใดจึงพบโรคช็อกโกแลตซีสต์หรือเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่และเนื้องอกมดลูกกันมากที่สุด

    ตอบได้ว่า การเกิดช็อกโกแลตซีสต์นั้นเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย เช่น ไลฟ์สไตล์การกินอยู่ พันธุกรรม  ที่สำคัญ  การแต่งงานช้า  เนื่องจากพบว่า การแต่งงานมีลูกจะช่วยให้อาการช็อกโกแล็ตซีสต์ดีขึ้น บางคนจากที่เคยปวดท้อง เมื่อตั้งครรภ์คลอดลูกแล้วอาการปวดก็หายไป รวมถึงเมื่อผู้หญิงเหล่านี้กินยาคุมจะช่วยทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญผิดที่แห้งลงด้วย

    นอกจากนี้โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ยังเป็นโรคที่มีการตรวจพบค่อนข้างช้า งานวิจัยในประเทศแถบสแกนดิเนเวียพบว่า กว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะตรวจพบว่าตนเองเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่นับตั้งแต่มีอาการต้องใช้เวลาเฉลี่ยถึง 10 ปี  เช่นเดียวกับผู้หญิงในประเทศไทย

    เนื่องจากการตรวจหาโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่จำเป็นต้องใช้วิธีตรวจคัดกรองที่ละเอียดบางครั้งการทำอัลตราซาวนด์ไม่สามารถทำให้เห็นรอยโรคต้องทำการตรวจภายในหรือตรวจผ่านทวารหนักเพื่อเข้าไปคลำอวัยวะภายในโพรงมดลูกว่า กดเจ็บหรือไม่ มีความนุ่มหรือแข็ง หากนุ่มถือว่าปกติ

    แต่หากแข็งหรือไม่เรียบลื่นแสดงว่าอาจมีการกระจายของเยื่อบุโพรงมดลูกผิดที่ความอันตรายของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่คือ หากกระจายเข้าไปอยู่ในอุ้งเชิงกรานจะทำให้เกิดพังผืดที่อาจไปเชื่อมติดกับมดลูก อาจกินลึกเข้าไปในลำไส้ ทะลุกระเพาะปัสสาวะเบียดท่อไต บางรายทำให้ไตเสื่อมโดยไม่รู้ตัว หรือกระจายไปเกิดพังผืดที่ปอด บางครั้งพบผู้หญิงมีภาวะปอดแตกขณะมีประจำเดือนเนื่องมาจากโรคนี้

    เนื่องจากโรคนี้จะทำให้มีการเจริญของเยื่อบุในส่วนต่างๆ ของช่องท้อง ดังนั้นการผ่าตัดผ่านกล้องจึงสามารถเข้าไปจัดการเลาะพังผืดที่กระจายอยู่ในส่วนต่างๆ ได้ดี แต่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อน ความเชี่ยวชาญ และต้องใช้เวลาในการผ่าตัดค่อนข้างนานส่วนสาเหตุการโรคเนื้องอกมดลูกนั้นบอกได้ยาก

    เชื่อว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย ไลฟ์สไตล์ พันธุกรรม มักเกิดกับผู้หญิงในช่วงเจริญพันธุ์  คืออายุระหว่าง 25 - 45 ปีและบางคนเข้าใจผิดว่า เนื้องอกจะฝ่อไปเองเมื่อหมดประจำเดือน ซึ่งไม่เป็นความจริงเนื้องอกที่เกิดขึ้นจะไม่มีขนาดเล็กลง  แต่จะมีขนาดเท่าเดิม ไม่โตขึ้น  นอกจากนี้เนื้องอกเหล่านี้จะมีโอกาสเจริญไปเป็นโรคมะเร็งต่ำมาก พบอุบัติการณ์เกิดโรค 1 ต่อ 700 คน

    โดยอาการของโรคเนื้องอกมดลูกนั้นมีระดับความรุนแรงที่ต่างกัน บางคนแค่มีอาการปวดท้องประจำเดือน บางคนมดลูกมีขนาดใหญ่แล้วไปกดเบียดกระเพาะปัสสาวะทำให้ฉี่บ่อย ดังนั้นวิธีรักษาเบื้องต้นคือ การให้กินยาหรือฉีดยาที่เรียกว่า “ยาวัยทองเทียม” เพื่อช่วยลดขนาดของมดลูกลง

    ทั้งเพื่อรักษาในกรณีไม่ต้องการผ่าตัดหรือช่วยให้มดลูกมีขนาดเล็กลง เพื่อให้สามารถผ่าตัดเนื้องอกผ่านกล้องได้ง่ายขึ้นการรักษาเนื้องอกมดลูก โดย เทคโนโลยีผ่าตัดผ่านกล้อง สามารถทำได้ด้วยการตัดมดลูกออกทั้งหมด หรือคว้านออกเฉพาะส่วนที่เป็นเนื้องอกแล้วเก็บมดลูกไว้

    สำหรับผู้หญิงที่ต้องการมีลูกโดยจะมีเครื่องมือชนิดที่ช่วยปั่นเนื้อเยื่อให้มีขนาดเล็กลง แล้วค่อยๆ ดึงเนื้อเยื่อผิดปกตินั้นผ่านมาทางรูเล็กๆ บริเวณช่องท้องที่เจาะไว้ ซึ่งต้องอาศัยเวลาในการผ่าตัดเช่นกัน

    อ่านเพิ่มเติม

    New Technology : ผ่าตัดต้อกระจก รพ.วัดไร่ขิง @ สุขุมวิท

    เรื่องเล่าจากห้องผ่าตัด : มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก โรคร้ายที่ไม่มีใครอยากเป็น

    Q: การผ่าตัดผ่านกล้องมีข้อดีและข้อควรระวังอย่างไร
    A: เนื่องจากการผ่าตัดผ่านกล้องนั้นทำให้มีแผลขนาดเล็กไม่เกิน 1 เซนติเมตร

    แผลบริเวณหน้าท้องหรือสะดือ ซึ่งเป็นผิวหนังส่วนที่บางที่สุด เวลาเจาะจึงต้องเจ็บน้อยที่สุด และเมื่อแผลหายแล้วจะไม่เห็นแผลเป็นเพราะอยู่ในรูสะดือ นอกจากนี้เพราะแผลมีขนาดเล็กจึงเกิดความเจ็บปวดหลังผ่าตัดเพียงเล็กน้อยคนไข้สามารถลุกเดินได้ภายใน 1 วัน ส่วนใหญ่ผ่าตัดวันนี้ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วและสามารถกลับไปทำงานได้อย่างรวดเร็ว

    แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ การผ่าตัดผ่านกล้องก็เหมือนการผ่าตัดหรือการรักษาโรคทั่วไปที่ต้องอาศัยผู้ชำนาญในการผ่าตัด เนื่องจากการผ่าตัดผ่านกล้องเป็นงานที่มีความละเอียดสูง ดังนั้นระหว่างการผ่าตัดเครื่องมืออาจไปเกี่ยวกับอวัยวะส่วนอื่นในช่องท้องทำให้เกิดบาดแผลซึ่งต้องรีบทำการห้ามเลือดให้เร็วที่สุด

    ที่น่ากังวลที่สุดคือ การผ่าตัดไปโดนลำไส้ ซึ่งหากลำไส้ทะลุอาจทำให้สิ่งสกปรกที่ตกค้างในลำไส้หลุดออกมาในช่องท้องและเกิดการติดเชื้อได้ จึงต้องวินิจฉัยและให้ยาแก้ทันที แต่ประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังคือ การเกิดแผลเล็กบริเวณลำไส้โดยไม่ทันสังเกต ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในช่องท้องภายหลังได้

    ดังนั้น เทคโนโลยีผ่าตัดผ่านกล้องการผ่าตัดผ่านกล้องจึงจำเป็นต้องรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์และความละเอียดรอบคอบสูงนอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดในผู้ป่วยที่มีเนื้องอกขนาดใหญ่กว่า 15 เซนติเมตรขึ้นไปผู้ป่วยที่เป็นโรคกะบังลมรั่ว โรคปอด หรือโรคหัวใจ

    Q: ควรดูแลสุขภาพก่อนและหลังเข้ารับการผ่าตัดผ่านกล้องอย่างไร
    A: ก่อนเข้ารับการผ่าตัดต้องเตรียมสุขภาพให้แข็งแรง

    โดยการออกกำลังกายเพื่อป้องกันการเป็นหวัดหรือเจ็บป่วยระหว่างผ่าตัด กินอาหารอ่อนๆ ก่อนการผ่าตัด 2 วัน เพื่อให้ลำไส้ทำงานน้อยลง และไม่เกิดอาการท้องอืดหลังผ่าตัดวันที่เข้ารับการผ่าตัด แพทย์จะทำการสวนล้างลำไส้ ทำความสะอาดผิวบริเวณหน้าท้อง และต้องมีการวางยาสลบ

    หลังจากผ่าตัดเสร็จแล้วในช่วงพักฟื้นให้กินอาหารอ่อนๆ และสามารถขยับตัวทำกิจวัตรประจำวันได้ ยกเว้นการออกกำลังกายหนัก ๆ

    Q: การผ่าตัดผ่านกล้องมีค่าใช้จ่ายเท่าไรและสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้หรือไม่
    A: ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดผ่านกล้อง สำหรับโรงพยาบาลรัฐบาลเฉลี่ยอยู่ที่ราคา 50,000 - 60,000 บาท

    สำหรับโรงพยาบาลเอกชนทั่วไป 150,000 - 200,000 บาทโรงพยาบาลเอกชนระดับพรีเมียม 200,000 - 300,000 บาท ส่วนสิทธิ์ในการรักษาพยาบาลสำหรับการผ่าตัดโรคทางนรีเวช ข้าราชการเบิกได้เฉพาะการผ่าตัดมาตรฐานที่เป็นการเปิดหน้าท้อง

    ดังนั้นหากต้องการผ่าตัดผ่านกล้องจำเป็นต้องจ่ายส่วนต่างเอง เช่น สิทธิ์ค่าผ่าตัดมาตรฐานให้งบที่ 20,000 บาท มีค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดผ่านกล้องจำนวน 50,000 บาท คนไข้ต้องจ่ายส่วนต่างเองจำนวน 30,000 บาท

    ส่วนสิทธิ์ประกันสังคมและบัตรทองนั้นไม่ครอบคลุมการรักษาด้วยการผ่าตัดผ่านกล้อง  นอกจากว่าเป็นวิธีการรักษาเดียวที่สามารถช่วยคนไข้ได้ ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์นี่แหละค่ะ

    ตัวอย่างของเทคโนโลยีการแพทย์ เทคโนโลยีผ่าตัดผ่านกล้อง ที่ช่วยให้ชีวิตปลอดภัย ห่างไกลจากโรค ถึงอย่างนั้นก็อยากให้คุณผู้อ่านมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ซึ่งถือว่าคือสุดยอดแห่งการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ

    ที่มา : คอลัมน์ TRENDY HEALTH เรื่องโดย ชมนาด นิตยสารชีวจิต

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    บ.ก.ขอตอบ : 11 วิธีกินให้อร่อย แก้ปัญหา โรคกรดไหลย้อน

    แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

    ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา

    กฎเหล็ก ป้องกันมะเร็งเต้านม

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    โยคะลดหน้าท้อง

    “นาวาสนะ” โยคะลดหน้าท้อง ช่วยเรียกเหงื่อ

    โยคะลดหน้าท้อง หรือ “นาวาสนะ”

    โยคะลดหน้าท้อง หรือ “นาวาสนะ” เป็นอีกหนึ่งท่าที่ ครูกาญจน์–กาญจนา พันธรักษ์ ครูโยคะคนเก่ง ขอนำมาฝากพวกเราคนรักสุขภาพ

    โดยวันนี้ครูกาญจน์มาชวนคุณเรียกเหงื่อแถมลดหุ่น โดยการฝึกโยคะลดหน้าท้อง ด้วยท่าที่เรียกว่า “นาวาสนะ” ว่าแล้วไปติดตามพร้อมกันเลย…

    โยคะเล่นแล้วเสียเหงื่อด้วยหรือ” หลายคนสงสัยเช่นนี้ เพราะตำนานเล่าว่าโยคะมีต้นกำเนิดมาจากฤาษีที่อยู่ในป่า จึงจินตนาการกันไปว่า การฝึกโยคะต้องนั่งสมาธิทั้งคลาส มีแต่ท่ายืดเหยียด หรือจับดัดให้ตัวอ่อนเท่านั้น

    แต่ในปัจจุบัน โยคะมีหลายประเภท ทั้งประเภทการยืดเหยียด และประเภทการใช้พลัง ฉะนั้นหากใครกำลังคิดว่าฝึกโยคะแล้วไม่ได้ออกแรงกำลังเท่าไรนัก ผู้เขียนอยากให้ลองฝึกท่าปราบเซียนนี้ดูค่ะ  นั่นคือ ท่าเรือ (Boat Pose) หรือ นาวาสนะ (Navasana) ถือเป็นท่ายากสำหรับผู้ฝึกใหม่ แต่อย่าท้อเพราะท่าเดียวได้ทั้งซิกแพค กล้ามเนื้อต้นขา และอุ้งเชิงกรานแข็งแรงค่ะ

    โยคะลดหน้าท้อง, โยคะ
    การฝึกโยคะเป็นประจำช่วยลดหน้าท้องได้

    วิธีปฏิบัติ 

    1.นั่งชันเข่า มือวางจับเกี่ยวที่นิ้วโป้งเท้าให้แน่น เอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย แล้วหายใจเข้า (เตรียมเก็บหน้าท้อง ยืดหลังตรง ยืดอกขึ้นไว้ตลอดท่าปฏิบัติ)

    2.ค่อยๆ งอเข่า ยกขาและเท้าขึ้น ใช้มือประคองไว้ หายใจออก

    3.หากทำได้ให้เหยียดขาให้ตรง โดยไม่แอ่นหลัง

    4.เหยียดแขนขึ้น หรือจะไว้ระดับไหล่ก่อนก็ได้

    5.อยู่ในท่าประมาณ 5 ลมหายใจ (เข้าลึก-ออกยาว) แล้วพักท่า ทำซ้ำอีก 2-5 ครั้ง

    ข้อควรระวัง อย่าแอ่นหลัง เพราะจะทำให้ปวดหลัง

    ขอให้โยคะดูแลร่างกายของผู้ฝึกตลอดไปค่ะ  (ข้อมูลจาก : นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 440)

    เฟิร์มหน้าท้องแบบ เลดี้ กาก้า

    สำหรับผู้ที่ไม่ชอบฝึกโยคะ อาจลองทำตามคำแนะนำของ คุณฮาร์เลย์ พาสเทอร์แนก เทรนเนอร์คู่ใจของนักร้องสาว เลดี้ กาก้า ก็ได้

    ท่าบริหาร มีดังนี้

    ท่าเอียงข้าง

    ยืนกางขากว้าง หนึ่งช่วงสะโพก มือซ้ายถือเวท มือขวาแตะขมับขวา(หรือเริ่มจากด้านขวาก่อนก็ได้) เกร็งเอวพร้อมกับเอียงลําตัวท่อนบนไปทางซ้ายให้ได้มากที่สุด กลับสู่ท่าเตรียม สลับทําด้านขวา ทําซ้ํา 20-30 ครั้ง

    ท่าปั่นจักรยานข้าง

    นอนหงาย มือทั้งสองข้างจับท้ายทอย กางศอกออก ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้น บิดลําตัวท่อนบนไปทางซ้าย พร้อมกับดึงเข่า ซ้ายมาแตะกับศอกขวา และเหยียด ขาขวาออกไปจนสุด สลับทําอีกด้าน ทําซ้ำ 20-30 ครั้ง

    ท่าบิดช่วงล่าง

    นอนหงาย กางแขนทั้งสองข้างออก ปลายเท้าเหยียดตรง ชันเข่าขึ้น บิดลําตัวท่อนล่างไปทางซ้ายให้ได้มากที่สุด โดยเกร็งขาไม่ให้เข่าแตะถึงพื้น กลับสู่ท่าเตรียม สลับทําด้านขวา ทําซ้ำ 20-30 ครั้ง

    ชีวจิต Tips อาหาร ลดพุง

    1. ไข่ไก่  โดยเฉพาะไข่ต้มนั้น เป็นส่วนประกอบสำคัญของเมนูลดความอ้วนหลายๆ เมนูเพราะอุดมไปด้วยโปรตีนที่ร่างกายต้องการในช่วงลดน้ำหนัก รวมถึงยังมีไขมันต่ำและเมื่อกินแล้วยังอยู่ท้อง ทำให้เราไม่หิวบ่อยจนเผลอกินขนมที่ทำลายสุขภาพ
    2. เนื้อไก่ อกไก่เป็นเนื้อสัตว์ที่ให้พลังงานสูง อุดมไปด้วยโปรตีนจำนวนมาก แต่มีไขมันน้อย จึงพบอาหารชนิดนี้ได้ในอาหารเพื่อสุขภาพหลากหลายเมนู โดยคนเชื่อว่าการบริโภคอกไก่อาจช่วยลดและควบคุมน้ำหนัก อีกทั้งอาจเสริมสมรรถภาพระหว่างการออกกำลังกายได้ด้วย เนื้ออกไก่ที่ไม่มีหนังปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 120 แคลอรี่ และให้โปรตีนสูงถึง 22.50 กรัม ในขณะที่มีไขมันเพียง 2.62 กรัมเท่านั้น อีกทั้งยังปราศจากน้ำตาลและประกอบไปด้วยสารโภชนาการที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมายอย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม และวิตามินเอ

    อย่างไรก็ตามเนื่องจากอกไก่มีโปรตีนย่อยยาก จึงแนะนำให้กินอาหารประเภทถั่ว ที่มีสารให้โปรตีนจำนวนมาก ทั้งลดความอยากอาหาร และย่อยง่ายอีกด้วย

    • ธัญพืช ธัญพืชอบแห้งประเภทข้าวโอ๊ต เมล็ดทานตะวันอบแห้ง เมล็ดแตงโมอบแห้ง และข้าวไม่ขัดขาวต่างๆ เป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงแต่แคลอรี่ต่ำ รวมถึงยังมีใยอาหาร ช่วยย่อย และช่วยขับถ่ายและยังอยู่ท้องอีกด้วย ซึ่งเราสามารถเลือกธัญพืชเหล่านี้ มาเป็นของว่างกินระหว่างมื้อเพื่อบรรเทาความหิวได้
    • น้ำผึ้ง ถึงแม้ว่าจะมีความหวาน แต่หากต้องการความหวาน ควรใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาลจะดีกว่า เพราะในน้ำผึ้ง มีวิตามินบี แคลเซียม ฟอสฟอรัส นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งมีคุณประโยชน์มากกว่าการกินน้ำตาล
    • น้ำเปล่า น้ำเป็นปัจจัยสำคัญต่อกระบวนการทำงานภายในร่างกาย เช่น การล้างสารพิษออกจากอวัยวะ หรือการนำสารอาหารและออกซิเจนไปสู่เซลล์ต่าง ๆ รวมถึงประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย

    ดังนั้น น้ำเปล่าจึงมีประโยชน์อย่างมากและขาดไม่ได้เลยต่อสุขภาพ นอกจากลดน้ำหนักได้แล้วยังได้สุขภาพที่ดีอีกด้วย

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    2 สเต็ป ลดพุง

    วิ่งอย่างไร ไม่ให้เจ็บ

    ขาดการออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายขาดวิตามิน

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    โปรแกรมวิ่งให้ ขาเรียว ภายใน 7 สัปดาห์

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ถ่ายยาก

    5 อาหารเช้ากินง่ายสำหรับคน ” ถ่ายยาก “

    แก้ ” ถ่ายยาก ” ด้วยการกินมื้อเช้า

    วันนี้ผู้เขียนหยิบยกปัญหาที่ทางลูกเพจของ เพจนิตยสารชีวจิตมักประสบบ่อย ๆ นั่นก็คือ ถ่ายยาก ธาตุหนัก ขับถ่ายไม่เป็นเวลา ประจวบเหมาะกับได้ไปเจอคำแนะนำดีๆจากเว็บไซต์ LIVESTRONG มาดูกันเลยว่าเขาแนะนำแบบไหนบ้าง

    ข้าวโอ๊ต

    อุดมไปด้วยใยอาหารทั้งละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ ทั้งยังเป็นพรีไบโอติกส์ ช่วยดูแลลำไส้ เสริมภูมิคุ้มกัน และลดระดับน้ำตาลในเลือดได้

    อาหารเช้า ถ่ายยาก ท้องผูก

    กาแฟ

    แม้จะไม่แนะนำให้ดื่มมากๆ แต่ดื่มตอนมื้อเช้าช่วยได้มาก เพราะคาเฟอีนจะไปกระตุ้นกระเพาะอาหารให้เกิดกรด และกระตุ้นลำไส้ให้เคลื่อนไหว

    อาหารเช้า ถ่ายยาก ท้องผูก

    ผลไม้

    อุดมไปด้วยในอาหารและน้ำ ช่วยกระตุ้นลำไส้ ผลไม้แนะนำคือกล้วย เพราะมีอนูลินที่เป็นพรีไบโอติกส์ ดีต่อลำไส้เข้าไปอีก

    อาหารเช้า ถ่ายยาก ท้องผูก

    โยเกิร์ต

    มีโพรไบโอติกส์ โดยเฉพาะแลคโตบาซิลัส คาเซอิ ที่ช่วยทำให้อุจจาระนุ่มลงได้

    อาหารเช้า ถ่ายยาก ท้องผูก

    ก็แค่กินมื้อเช้า

    หลายคนมักข้ามมื้อเช้าไป แต่ความจริงแล้วการกินมื้อเช้า ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ช่วยให้ระบบย่อยเริ่มกระบวนการทำงานโดยอัตโนมัติ

    อาหารเช้า ถ่ายยาก ท้องผูก

    สูตรเน้นใยอาหาร ช่วยขับถ่ายคล่อง

    การกินใยอาหารไม่ถูกวิธีนอกจากไม่ช่วยให้ขับถ่ายคล่อง อาจทำให้อาการท้องผูกทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ฉะนั้นเรามาเรียนรู้วิธีกินใยอาหารเพื่อสุขภาพกันเถอะค่ะ

    กินใยอาหารในปริมาณที่เพียงพอ สำหรับผู้ใหญ่ต้องการใยอาหารวันละ 25 – 35 กรัม เทคนิคการกินใยอาหารให้เพียงพอทำได้ง่ายๆ โดยกินผักผลไม้อย่างน้อยวันละ 5 ส่วน และกินธัญพืชไม่ขัดสีอย่างน้อยวันละ 3 ส่วน

    ผัก 1 ส่วน       =       ผักสด 1 ทัพพี  ผักสุก 1/2 ทัพพี เช่น บรอกโคลี ผักโขม แครอต

    ผลไม้ 1 ส่วน   =      แอ๊ปเปิ้ล ส้ม หรือกล้วยน้ำว้า 1 ผลกลาง ลูกพรุนแห้ง 4 ผล

    ธัญพืช 1 ส่วน  =     ข้าวกล้อง 1 ทัพพี ข้าวโอ๊ตสุก 1/2 ถ้วย รำข้าวโอ๊ต 1/4 ถ้วย  ถั่วเมล็ดแห้งสุก เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ปริมาณ 1/2 ถ้วย

    ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะใยอาหารอาศัยน้ำในการช่วยให้อุจจาระอ่อนตัวสามารถเคลื่อนที่ในระบบทางเดินอาหารและขับออกได้ง่าย จึงควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว

    4 วิธี แก้ท้องผูก ขับถ่ายดี ง่าย สไตล์แพทย์แผนจีน

    แพทย์แผนจีนโสรัจ นิโรธสมาบัติ  รองคณบดี คณะการแพทย์แผนจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉลียวเฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า การขับถ่ายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายขับของเสียและสารพิษตกค้างออกไปได้ ดังนั้นถ้ามีอาการท้องผูกเป็นเวลานานย่อมทำให้ของเสียค้างในร่างกาย เกิดการสะสมสารพิษได้ โดยแบ่งได้ 4 ประเภท และมีวิธีบรรเทาอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้

    1. กินอาหารรสเผ็ดหรือหวานมัน

    หากกินปริมาณมากเกินไป จะทำให้ความร้อนเข้าสู่ลำไส้ น้ำในลำไส้แห้ง อุจจาระจึงเคลื่อนตัวออกมาไม่ได้ เกิดการตกค้างในลำไส้ ยิ่งทำให้อุจจาระมีลักษณะแห้งแข็ง มักมีอาการร่วมเกิดขึ้น ได้แก่ คอแห้ง กระหายน้ำ มีกลิ่นปาก และปัสสาวะอาจมีสีเข้ม

    วิธีแก้ไข

    ใช้การขับความร้อนและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ลำไส้  เพื่อให้อุจจาระเดินทางได้สะดวก โดยแนะนำให้กินกล้วย ฝรั่ง มะละกอ มันเทศ แตงกวา ถั่วงอก มะเขือเทศ ฟัก และผักบุ้งค่ะ

    2. กินอาหารที่ดิบหรือเย็นมากเกินไป

    เช่น น้ำแข็ง ไอศกรีม ผลไม้แช่เย็น ทำให้ความเย็นเข้าสู่ลำไส้ ชี่ที่ลำไส้ไหลเวียนไม่สะดวกจนเกิดอาการท้องผูกขึ้นได้  มีอาการรถ่ายอุจจาระยาก แต่อุจจาระไม่แห้งแข็ง มักมีอาการปวดท้อง แน่นท้อง มือเท้าเย็นร่วมด้วย

    วิธีแก้ไข

    ใช้วิธีเพิ่มความอุ่นให้ลำไส้ ขจัดความเย็นออกโดยกินหัวหอม ขิง ข่า ต้นหอม และเพิ่มปริมาณพริกในการปรุงอาหาร

    3. มีความเครียดสะสมหรือนั่งมาก ขาดการออกกำลังกาย

    ทำให้การไหลเวียนของชี่ที่ลำไส้ติดขัด ขับอุจจาระออกยาก นอกจากอุจจาระแห้งแล้ว ยังมีอาการปวดอยากถ่ายแต่ถ่ายไม่ออก หรือถ่ายออกแต่ไม่สุด ผายลมหรือเรอบ่อย

    วิธีแก้ไข

    ต้องกระตุ้นการไหลเวียนของซี่ให้กลับมาเป็นปกติแนะนำให้กินหัวไช้เท้า  แครอท มะละกอ กล้วย ส้ม มะนาว แอปเปิลเขียว

    4. การเจ็บป่วย

    เช่น สตรีหลังคลอด ร่างกายอ่อนแอ เป็นผู้สูงอายุหรือคนที่มีเลือดลมน้อย  ทำให้ลำไส้ไม่มีแรงบีบตัว ถ่ายอุจจาระลำบาก

    วิธีแก้ไข

    หากเป็นกลุ่มชี่พร่อง ลักษณะอุจจาระจะไม่แห้งแข็ง แต่จะไม่มีแรงเบ่ง ต้องกินอาหารที่บำรุงชี่ช่วยขับถ่าย เช่น ซุปฟักทอง ซุปงาดำพุทราจีนใส่น้ำผึ้ง

    หากเป็นกลุ่มเลือดพร่อง ลักษณะอุจจาระจะแห้งแข็ง และมีอาการหน้าซีด เวียนศีรษะ หน้ามือดร่วมด้วย แนะนำให้กินอาหารที่บำรุงเลือด ช่วยขับถ่าย เช่น ซุปงาดำใส่ตังกุย ลูกหม่อนหรือน้ำลูกหม่อน

    หากเป็นกลุ่มหยินพร่อง อุจจาระแห้งแข็งเป็นเม็ด ๆ และมีอาการหงุดหงิด นอนไม่หลับหรือนอนดึกร่วมด้วย ต้องใช้อาหารบำรุงหยินช่วยขับถ่าย เช่น กล้วย เห็ดหูหนูขาว น้ำผึ้ง งาดำ

    หากเป็นกลุ่มหยางพร่อง อุจจาระอาจแข็งหรือไม่ก็ได้ แต่จะถ่ายออกยาก ปัสสาวะจะมากและใส แขนขาเย็น ต้องกินอาหารที่บำรุงหยางและช่วยขับถ่าย เช่น ต้นหอม กุยช่าย ถั่ว วอลนัท หรือใช้ขิง ข่า พริกหอมเสฉวนในการปรุงอาหาร

    (อ่านเพิ่มเติม  4 สุดยอดวิธีแก้ท้องผูก ถ่ายไม่ออก ให้ระบายง่ายถ่ายสะดวก )

    ข้อมูลจาก นิตยสารชีวจิต 532

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ท่าโยคะแก้ท้องผูก สุดง่าย ทำตามได้ สบายท้อง

    ทำไม วัยทองเสี่ยงโรค หัวใจและหลอดเลือด และโรคกระดูกพรุน

    วิ่งอย่างไร ไม่ให้เจ็บ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ออกกำลังกาย

    7 พฤติกรรมผิด ๆ เกี่ยวกับการ ออกกำลังกาย

    ออกกำลังกาย ให้ถูกหลักกันเถอะ

    รู้ไหมว่า หากอยาก ออกกำลังกาย แต่กลับมีความเข้าใจที่ไม่ถ่องแท้ วิธีการเหล่านั้นแทบเปล่าประโยชน์ เผลอ ๆ เสียสุขภาพอีกด้วย

    จากคำแนะนำของ พีท แมคคอล เทรนเนอร์มืออาชีพ และ มิเชล โอลสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีรวิทยาการออกกำลังกาย จากมหาวิทยาลัยโอเบิร์น อลาบามา ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ระบุถึง 7 พฤติกรรมสุขภาพผิด ๆ ที่หากทำอยู่ จงหยุดเสียเดี๋ยวนี้

    ใช้สมาร์ทโฟนขณะ ออกกำลังกาย

    ปกติแล้ว การใช้ฟังก์ชั่นบนสมาร์ทโฟนอย่างชาญฉลาดย่อมได้ผลดีทั้งนั้น แต่หากคุณคือคนที่ไม่ยอมละสายตาจากหน้าจอ เช่น หยิบขึ้นมาดู เช็กข่าวสาร แชทอยู่ตลอดเวลา แม้จะอยู่บนเทรดมิลล์ (Treadmill) นั่นแปลว่า ความสนใจของคุณถูกดึงดูดไปผิดจุด และใช้เวลากับการออกกำลังกายได้ไม่เต็มที่

    ออกกำลังกาย

    อยู่กับกิจกรรมเดิม ๆ ติดต่อกัน

    การเข้าฟิตเนสแล้ว เล่นแต่เครื่องบริหารเดิมๆ จะทำให้ร่างกายของคุณรู้จักแต่การขยับเขยื้อนแบบเดิมๆ กระตุ้นกล้ามเนื้อในจุดเดิมๆ ดังนั้น ควรทำกิจกรรมให้หลากหลาย เพื่อให้ร่างกายทุกส่วนได้ใช้งานเต็มประสิทธิภาพ

    อยู่แต่บนโซฟาในวันพักผ่อน

    การเอาแต่นอนดูทีวีอยู่บนโซฟา จะทำให้ร่างกายไม่ได้ขยับเขยื้อน ส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจไม่สูงพอ ระบบเผาผลาญพลังงานต่างๆ ก็เฉื่อยชาไปด้วย จึงควรเปิดโอกาส ให้ร่างกายได้ผ่อนคลายความเมื่อยล้า สะสมจากการทำงาน ด้วยการออกไปทำกิจกรรม เพื่อให้ร่างกายได้ยืดเหยียด และหัวใจได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

    โฟกัสแต่จุดที่มีปัญหา

    หลายคนมัวแต่บริหาร หรือให้ความสนใจรูปร่างเฉพาะส่วนที่อยากให้ดูดีที่สุด แต่กลับลืมว่า รูปร่างที่ดีมาจากภาพลักษณ์โดยรวมของทั้งร่างกาย ดังนั้นการให้ความสำคัญในภาพกว้างขึ้น จะให้ผลโดยรวมที่ดีกว่า เช่น โฟกัสร่างกายช่วงบนทั้งหมดไปเลย

    วอร์มอัพก่อนการยืดเหยียด

    การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ก่อนการวอร์มอัพ จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการตึงตัว และอาจเกิดอาการบาดเจ็บ หรือทำให้ออกกำลังกายได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทางที่ดี ควรให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวก่อน เช่น การแกว่งแขนไปมา การซอยเท้าอยู่กับที่ เพื่อวอร์มอัพร่างกาย จะเป็นวิธีที่ถูกต้อง และสนับสนุนให้คุณออกกำลังกายได้ดียิ่งขึ้น

    ไม่สนใจเวลาอาหาร

    คนที่ลดน้ำหนักมักละเลยเวลากิน หรือพยายามกินให้น้อยที่สุด แต่หารู้ไม่ว่า ชนิดอาหารและเวลาในการกินมีส่วนสำคัญอย่างมาก มีงานวิจัยระบุว่า หากกินอาหารประเภท คาร์โบไฮเดรตก่อนการออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงต้าน จะช่วยยืดเวลาการออกกำลังกายได้ และหากกินหลังออกกำลังกายภายใน 1 ชั่วโมงจะช่วยให้ร่างกาย สังเคราะห์โปรตีนได้ดียิ่งขึ้นด้วย

    เลิกกินคาร์บโดยสิ้นเชิง

    ต่อจากข้อ 6 คือมีไม่น้อยที่เลิกกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตไปเลย เพราะคิดว่า เป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงและกลัวจะเหลือสะสมในร่างกาย แต่ความเป็นจริงแล้วร่างกายยังต้องการคาร์โบไฮเดรตอยู่ เพราะช่วยในการสังเคราะห์โปรตีน และเมื่อทำงานร่วมกัน จะช่วยเพิ่มการกักเก็บไกลโคเจนในกล้ามเนื้อ ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ถึงอย่างนั้นก็ควรเกินลือกคาร์โบไฮเดรตที่ดี เช่น ข้าวไม่ขัดสี ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต

    หากหยุดพฤติกรรมผิด ๆ ทั้งหมดที่กล่าวมาได้ รับรองว่าวิถีการดูแลสุขภาพ ของผู้อ่านจะมีคุณภาพมากขึ้นหลายเท่าตัวค่ะ

    ข้อมูลเรื่อง “7 พฤติกรรมผิด ๆ เกี่ยวกับการออกกำลังกาย” โดย สุนิสา สมคิด จากนิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 433

    ฟิตเนส ที่คุณเข้าเป็นประจำ อาจทำชีวิตพัง ถ้าไม่หยุดพฤติกรรมเหล่านี้

    ฟิตเนส เป็นสถานที่ที่ขึ้นชื่อว่า ช่วยสร้างรูปร่างสุดเฟิร์มให้กับเรา แต่หลายคนที่เป็นสมาชิกฟิตเนสและแวะเวียนไปเวิร์คเอ๊าต์ ต่างหนีไม่พ้นเลยคือ การต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทํากิจกรรมส่วนตัว(นอกบ้าน) ในห้องล็อกเกอร์รวมและเมื่อต้องใช้พื้นที่ร่วมกับผู้อื่น ซึ่งเราก็มีข้อไม่พึงปฏิบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ควรระวัง เพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพกายสุขภาพใจ ส่วนจะมีอะไรบ้าง มาดูกัน

    1.อย่าปัสสาวะขณะอาบน้ําฝักบัว

    เพราะในปัสสาวะเต็มไปด้วยแบคทีเรียกว่า 33 ชนิด และอาจมากถึง 77 ชนิด หากของเหลวออกจากกระเพาะปัสสาวะเร็วเกินไป ทําให้เชื้อโรคสามารถกระจายไปทั่วห้องอาบน้ําได้

    2. อย่าเปลือยล่อนจ้อนในบริเวณเปิดโล่ง

    ในบรรดาผู้ร่วมใช้ห้องล็อกเกอร์คนอื่นๆ อาจมีทั้งคนที่ไม่ถือสาเวลาเห็นใครแก้ผ้า และก็อาจมีคนที่กระอักกระอ่วนใจจนไปแจ้งผู้ดูแลฟิตเนสได้เช่นกัน

    3. อย่าถ่ายเซลฟี่

    แม้จะอยากแชร์ให้โลกรู้เพียงใดว่าฉันออกกําลังกาย แต่ภายในห้องล็อกเกอร์เต็มไปด้วยคนที่คุณไม่รู้จักกําลังเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือนั่งพักให้หายเหนื่อย คงไม่มีใครอยากไปติดอยู่ในรูปของคุณขณะที่ยังไม่พร้อมแน่นอน

    4. อย่ามองต่ำ

    ในห้องล็อกเกอร์ฝั่งผู้ชาย คงไม่มีใครรู้สึกสะดวกใจหากมีเพื่อนร่วมห้องที่คอยมองพวกเขาด้วยระดับสายตาต่ํากว่าเข็มขัด

    5. อย่าคุยเล่นเสียงดัง

    เวลาเจอเพื่อนหรือคนรู้จักควรรอให้เขาแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยเข้าไปทักทาย จากนั้นออกไปคุยกันข้างนอก เพราะในห้องล็อกเกอร์มีพื้นที่จํากัดและมีคนที่ไม่ได้อยากฟังบทสนทนาเรื่องส่วนตัวของคุณเท่าไรนัก

    6. อย่าเปลือยในห้องซาวน่า

    แม้เราจะอยากให้ไอน้ําสัมผัสผิวกายทุกส่วน แต่เมื่อต้องใช้ห้องซาวน่าส่วนรวม ควรปกปิดร่างกายตามสมควรเพื่อให้ผู้อื่นไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะใช้ร่วมด้วย

    7. อย่านําดรายร์ไปเป่าส่วนอื่น

    ดรายร์เป่าผมส่วนรวมมีไว้สําหรับเป่าผมเท่านั้น หากนําไปเป่าส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย รวมไปถึงเป่าเสื้อผ้า ถุงเท้าที่ชื้นเหงื่อ แน่นอนว่าไม่มีใครอยากใช้ต่อจากคุณหรอก

    Did you know?

    หากชอบเข้าฟิตเนส ให้เลือกเครื่องบริหารที่ชอบ เช่น เทรดมิลล์ อิลิปติคอล บันไดอัตโนมัติ แล้วเล่นเบา ๆ เพื่อวอร์มอัพ 5 นาที จากนั้นให้เพิ่มความเร็วและแรงต้านให้อยู่ในระดับการออกกําลังกายที่มีความเข้มข้นสูงสัก 30 วินาที จากนั้นลดความเร็วและแรงต้านให้อยู่ในระดับที่ทําได้สบายๆ 90 วินาที ทําซ้ํา โดยสลับหนักเบาประมาณ 5 ครั้ง ปิดท้ายด้วยการคูลดาวน์ 5 นาที วิธีนี้จะช่วยพัฒนาศักยภาพในการออกกําลังกาย ทําให้ครั้งต่อ ๆ ไปสามารถเพิ่มเวลาและระยะทางได้เรื่อย ๆ

    3 กฏเหล็ก เพื่อการออกกำลังกาย

    • ไม่ควรกลั้นหายใจขณะค้างท่า เนื่องจากการกลั้นหายใจจะทําให้กล้ามเนื้อเกร็งและไม่ผ่อนคลาย ดังนั้นให้หายใจเข้าในท่าเตรียม จากนั้นหายใจออกเมื่อทําท่าปฏิบัติ
    • ไม่ควรหยุดพักระหว่าง การฝึกในแต่ละเซต ควรทําต่อเนื่องจนครบ
    • ควรทําทุกวัน วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น และทําเพิ่มเติมเมื่อมีเวลาว่าง เพราะจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการบริหาร

    แม้จะดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่พฤติกรรมเหล่านี้ อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของฟิตเนส ไปจนถึงการหลุดจากสมาชิกหากถูกจับได้เลยละค่ะ

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    บ.ก.ขอตอบ : สงสัยเรื่อง การล้างพิษตับ จะต้องทำอย่างไร

    50+ ร่างกายเปลี่ยนไป แค่ไหนกัน

    4 สุดยอดวิธีexercise ช่วยให้ อายุยืนได้

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    อาหารรสจัด, ปรุงอาหาร, เมนูอาหาร

    อร่อยปาก ลำบากกาย ภัยเงียบของคนรัก อาหารรสจัด

    อร่อยปาก ลำบากกาย อาหารรสจัด เสี่ยงหลายโรค

    อาหารรสจัด ไม่ว่าจะ หวานจัด เค็มจัด เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด มันจัด ล้วนกระตุ้นให้เกิดการพลังงานความร้อนขึ้นในร่างกาย และสามารถทำลายเซลล์เนื้อเยื่อในร่างกายของเราได้ ยิ่งหากกินรสจัดเป็นประจำทุกวัน ก็จะยิ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการโรคร้ายต่าง ๆ ได้อีกด้วย

    เครื่องปรุงรส, รสจัด

    รสเค็มจัด

    การกินรสเค็มจัด หรือกินอาหารที่มีโซเดียม ไม่ว่าจะเป็น เกลือ เครื่องปรุงรส อาหารแปรรูป ขนมขบเคี้ยวต่างๆ เกินปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของคนเราต้องการโซเดียมต่อวันเพียง 1 ช้อนชาหรือประมาณ 2000 มิลลิกรัม แต่หากกินมากเกินไป หรือกินรสเค็มเป็นประจำ ก็จะทำให้ไตทำงานหนัก เพื่อเร่งขับเกลือออกจากร่างกายให้มากที่สุด ส่งผลให้ไตเกิดความเสียหาย ทำลายไตและหัวใจในที่สุด

    โรคที่เกิดขึ้นจากการรสเค็มจัด อาทิ ความดันโลหิตสูง  โรคไต  โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือด และโรคหอบหืด เป็นต้น

    (อ่านเพิ่มเติม  กินเค็ม เสี่ยง 6 โรคร้าย ทำลายสุขภาพ )

    รสหวานจัด

    รสหวานได้จากทั้งน้ำตาล ข้าว แป้ง รวมถึงอาหารที่ผ่านการปรุงแต่งต่างๆ โดยแต่ละวันเราไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกินวันละ 6 ช้อนชา และหากร่างกายได้รับปริมาณน้ำตาลที่มากเกินไป จนระดับน้ำตาลในเลือดสูงจนเสียสมดุล ตับอ่อนก็ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อผลิตอินซูลินมากขึ้น ส่งผลเสียต่อสุขภาพตามมา อาทิ โรคอ้วน ไขมันสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันพอกตับ โรคไมเกรน และโรคอื่น ๆ ที่สามารถเกิดได้จากการทำงานของเซลล์ในร่างกายที่เสื่อมถอยลงนั่นเอง

    (อ่านเพิ่มเติม  ระวัง! กินแป้ง กินหวาน มาก อาการย่น เหี่ยว ชา มากันครบ )

    รสเผ็ด, พริก

    รสเผ็ดจัด

    หลายๆ คนอาจจะชื่นชอบรสเผ็ด เพราะช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นตื่นตัว ขับเหงื่อสร้างความอบอุ่นได้ อีกทั้งยังช่วยแก้อาการจุก เสียด แน่น เฟ้อ ช่วยขับเสมหะ แต่รู้ไหมรสเผ็ดจัดๆ ที่เกิดจากพริก ซึ่งในพริกมีสารแคปไซซิน (Capsaicin) ที่สามารถเข้าไปสร้างความระคายเคืองให้เยื่อบุต่างๆ ในร่างกาย ถึงกระเพาะอาหาร และจนถึงตอนขับถ่ายได้เลยทีเดียว และหากเราทานรสเผ็ดจัดเป็นประจำ แน่นอนว่าจะส่งผลเสียต่อ กระเพาะอาหาร ลำไส้ได้ และนำพาโรคต่างๆ มาด้วย อาทิ โรคลำไส้แปรปรวน กรดไหลย้อน โรคไต โรคระบบทางเดินอาหาร โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคหัวใจ เนื่องจากอาหารที่มีรสเผ็ดมีฤทธิ์การกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้หัวใจทำงานหนัก เป็นต้น

    รสเปรี้ยว, เปรี้ยวจัด

    รสเปรี้ยวจัด

    ถึงแม้รสเปรี้ยวจะมีคุณสมบัติสำคัญในการกระตุ้นตับและถุงน้ำดีให้ปล่อยน้ำย่อย ช่วยในการดูดซึมอาหารของร่างกาย  และเป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยขับเสมหะ ลดอาการไอ แก้เลือดออกตามไรฟันได้ แต่หากบริโภคมากเกินไปหรือกินเปรี้ยวจัด ก็จะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้เช่นกัน โดยโรคที่มากับอาหารรสเปรี้ยว ได้แก่ ฟันผุ กระดูกผุง่าย ท้องเสีย ท้องร่วง  โรคกรดไหลย้อน โรคระบบทางเดินอาหาร ไปจนถึงแผลอาจหายช้า แผลหายช้า เนื่องจากการกินรสเปรี้ยวจัด ส่งผลให้ระบบน้ำเหลืองในร่างกายมีปัญหานั่นเอง

    รสมันจัด

    รสมันที่ว่า มักอยู่ในอาหารที่มีไขมันสูง อาทิ หมูสามชั้น หนังสัตว์ติดมัน แกงพวกกะทิและของทอดต่างๆ เป็นต้น ซึ่งแม้ว่าไขมันจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น ช่วยในการทำงานของประสารทและสมอง แต่จริงๆ แล้วร่างกายต้องการไขมันเพียงแค่ 6 ช้อนชาเท่านั้น หากรับประทานมากเกินไป ย่อมทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ ได้ เพราะจะส่งผลให้ไขมันในเลือดสูง เกิด โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคความดันสูง ไขมันพอกตับ จนเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด

    หมั่นตวงและชิมอาหารตอนปรุง เพื่อให้ได้รสที่พอดีต่อสุขภาพ

    เทคนิคเลิกคบ อาหารรสจัด

    คุณหมอส้ม แพทย์ด้านเวชปฏิบัติทั่วไปเกี่ยวกับการฝังเข็มและยาสมุนไพร บอกเทคนิคลดอาหาร “รสจัด” ไว้ในนิตยสารชีวจิต 342 ดังนี้

    อย่าตามใจปาก ต้องเตือนตัวเองไว้เสมอว่า อาหารที่ถูกใจเราอาจไม่ใช่อาหารที่ดีต่อสุขภาพ ต้องบังคับใจตัวเองให้ได้โดยนึกถึงผลเสียที่เกิดจากโรคร้ายต่างๆ จากการกินรสจัด

    เปลี่ยนหรือหาตัวช่วยทดแทน

    • กินเครื่องเทศต่าง ๆ เป็นตัวช่วยเติมรสเผ็ดแทนการกินพริก
    • กินน้ำตาลทรายแดงหรือใช้หญ้าหวานเพื่อให้รสหวานแทนการกินน้ำตาลทรายขาว
    • เลือกน้ำปลาที่ผสมเกลือโพแทสเซียมคลอไรด์ (Potassium Shloride) แทนเกลือโซเดียมคลอไรด์ (Sodium Choride)
    • เลือกน้ำมะนาวให้ความเปรี้ยวแทนน้ำส้มสายชูเทียม
    • เลือกใช้น้ำมันคุณภาพดีจากพืช เช่น น้ำมันมะกอก

    ตวงทุกอย่างที่กิน ไม่ว่าจะเป็นพริกป่น  น้ำ มะนาว น้ำตาล น้ำมัน หรือเกลือ เพื่อให้รู้ว่าเราตักเครื่องปรุงหรือส่วนผสมเหล่านี้มากเกินพอดีหรือไม่

    ที่มาข้อมูลเพิ่มเติม นิตยสารชีวจิต 342

    ชีวจิต Tips บอกลา อาหารรสจัด แล้วกินแบบนี้ สุขภาพดีชัวร์

    1. ฝึกรับประทานอาหารรสจืดแต่เด็ก การฝึกรับประทานอาหารรสจืดตั้งแต่เด็กเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพื่อหัดการบริโภคที่ถูกต้องเป็นนิสัยให้ติดไปจนโต ผู้ปกครองอาจมีส่วนช่วยโดยการปรุงอาหารให้ลูกรับประทานในรสจืด
    2. ลดเค็มทีละน้อย กรณีที่รับประทานรสเค็มจัดติดไปจนโตแล้ว แต่อยากปรับพฤติกรรมให้ลดการรับประทานรสเค็มลงทีละน้อย ค่อย ๆ ปรับวิธีการปรุงอาหารทีละเล็กน้อย เพื่อให้ร่างกายปรับตัว การปรับทีละน้อยร่างกายจะไม่รู้สึกตัวว่ากินเค็มน้อยลง และจะค่อย ๆ ชินไปเอง
    3. หลีกเลี่ยงอาหารกรุบกรอบ/อาหารสำเร็จรูป อาหารกรุบกรอบพวกขนมขบเคี้ยว หรืออาหารสำเร็จรูปพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊กกึ่งสำเร็จรูป มักมีโซเดียมสูง รวมถึงอาหารจานด่วนต่าง ๆ ควรหลีกเลี่ยง
    4. หลีกเลี่ยงการเติมน้ำจิ้ม/ซอส อาหารพวกที่ต้องรับประทานคู่กับน้ำจิ้มหรือซอส เช่น ลูกชิ้น/ไส้กรอกทอด เกี๊ยวซ่า ซูชิ เป็นต้น หากอยากรับประทานแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเติมน้ำจิ้มหรือซอส จะช่วยลดเค็มได้ในระดับหนึ่ง
    5. หลีกเลี่ยงการปรุงรสเพิ่ม หากรับประทานก๋วยเตี๋ยว สามารถลดเค็มได้โดยการไม่เพิ่มน้ำปลา หรือลดหวานได้โดยการไม่เติมน้ำตาล รวมถึงพวกอาหารตามสั่งที่มักใส่พริกน้ำปลาเพิ่ม ควรหลีกเลี่ยงการเติมเครื่องปรุงเพื่อลดการรับประทานอาหารรสจัด
    6. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มรสหวาน เครื่องดื่มรสหวานเป็นตัวการสำคัญของโรคเบาหวาน เช่น เครื่องดื่มอัดลม น้ำหวาน ชา กาแฟ ส่วนมากมีปริมาณน้ำตาลสูง จึงควรหลีกเลี่ยง
    7. หลีกเลี่ยงอาหารติดมันและของทอด เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ให้รับประทานอาหารที่มันจัด ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีเนื้อสัตว์ติดมันและของทอด อาจเปลี่ยนไปรับประทานอาหารประเภทนึ่งหรือต้มแทน รวมถึงหลีกเลี่ยงอาหารประเภทกะทิ

    รับประทานอาหารนอกบ้านอย่างไรดี

    การรับประทานอาหารนอกบ้านอาจเป็นเรื่องยากในเรื่องของการควบคุมรสชาติ แต่สามารถทำได้ โดยการอ่านฉลากให้ละเอียด และเลือกอาหารที่มีปริมาณแคลอรี่เหมาะสม หรือเลือกรับประทานอาหารที่มีฉลากสีเขียวแสดงออกถึงอาหารสุขภาพ เป็นต้น ทั้งนี้องค์กรต่าง ๆ ควรมีนโยบายชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่น ในโรงเรียนควรห้ามขายเครื่องดื่มอัดลม ขนมกรุบกรอบ หรือองค์กรอื่น ๆ ตามบริษัท มีการกำหนดให้ขายอาหารสุขภาพ เป็นต้น

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    น้ำเต้าหู้ ของดีใกล้ตัว บำรุงสมอง ดูแลหัวใจ

    ทำไม วัยทองเสี่ยงโรค หัวใจและหลอดเลือด และโรคกระดูกพรุน

    พฤติกรรมอันตราย ก่อโรคหัวใจ

    ซอสมะเขือเทศโฮมเมด จากห้องครัวปูเป้

    งานวิจัยชี้ กุยช่าย ช่วยล้างไขมันในเลือด

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    กุยช่าย

    งานวิจัยชี้ กุยช่าย ช่วยล้างไขมันในเลือด

    งานวิจัยชี้ กุยช่าย ช่วยล้างไขมันในเลือด

    กุยช่าย เป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ในอาหารประจำชาติเกาหลีหลายชนิด เช่น กิมจิ ซุปต่าง ๆ นักวิทยาศาสตร์เกาหลี จึงสนใจศึกษาประโยชน์ของกุยช่าย โดยหนึ่งในนั้นคือคุณสมบัติเกี่ยวกับการลดไขมันในเลือด

    งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Korean Nutrition Society ให้ข้อมูลการทดลองว่า หลังจากทีมนักวิจัยเลี้ยงอาหารหนูทดลองจนอ้วน จากนั้นจึงป้อนสารสกัดจากใบกุยช่ายต่อเนื่องนาน 4 สัปดาห์ หลังสิ้นสุดการทดลอง ผลปรากฏว่า หนูทดลองมีระดับไขมันในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัด

    นอกจากนี้ เภสัชกรหญิงจุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก อธิบายสรรพคุณทางยาของกุยช่ายในหนังสือ สมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด ไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

    เหง้า มีสรรพคุณทำให้ร่างกายอบอุ่น ขับสิ่งคั่งค้าง ลดอาการท้องอืด ตกขาว แก้ฟกช้ำ ลดอาการบวม ต้น มีสรรพคุณแก้โรคนิ่ว หนองในใบ ลดไขมันในเลือด ขับปัสสาวะ แก้ช้ำใน ส่วนเมล็ด ขับพยาธิเส้นด้าย ขับโลหิตประจำเดือน

    กุยช่าย สีเขียว

    มีสารอาหารสูง มีกลิ่นฉุน แต่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่ากุยช่ายสีขาว

    กุยช่าย สีขาว

    เป็นพันธุ์เดียวกันกับกุยช่ายสีเขียวแต่มีวิธีปลูกต่างกัน โดยหลังปลูกนาน 6 เดือนจะได้ต้นกุยช่ายสีเขียว ผู้ปลูกจะตัดกอกุยช่ายให้สั้นลงและใช้กระถางหรือภาชนะทึบแสงครอบกอไว้ หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ เมื่อไม่ได้รับแสงแดด ต้นกุยช่ายที่งอกขึ้นใหม่จะไม่มีการสังเคราะห์แสง จึงไม่เกิดการสร้างสารสีเขียวที่เรียกว่าคลอโรฟิลล์ ลำต้นและใบจึงกลายเป็นสีขาว มีกลิ่นฉุนและสารอาหารน้อยกว่า

    เสริมให้อีกนิดค่ะ โดยธรรมชาติแล้วนั้นของผัก ชนิดนี้  กุยช่ายมีสีเขียว ส่วนกุยช่ายสีขาวที่เราเห็นในเมนูผัดต่างๆ เกิดจากเกษตรกร หาถัง กระถาง หรือวัสดุทึบแสงมาครอบกอกุยช่ายเขียวที่เพิ่งตัดเก็บเกี่ยวไปขาย เพื่อไม่ให้กุยช่ายชุดใหม่ที่กำลังจะงอกขึ้นมาได้พบปะแสงอาทิตย์ เมื่อไม่ได้รับแสง เปรียบเทียบง่ายๆก็เหมือนผิวคนที่ไม่โดนแดด เม็ดสีเมลานินจะไม่เพิ่มจำนวน ผิวจึงดูขาว กุยช่ายไม่เจอแดดก็ไม่เกิดการสังเคราะห์แสง และไม่สร้างคลอโรฟิลล์เช่นกัน ผิวพรรณของกุยช่ายจึงอ่อนจางลง

    เรื่องนี้เขาวิจัยกันแล้ว สรุปคร่าว ๆ กุยช่ายเขียว มีเบต้าแคโรทีน แคลเซียม และฟอสฟอรัสมากกว่า  กุยช่ายขาว ส่วนสารอาหารอื่นๆ นั้นเหมือนกัน คือ วิตามินเอ ใยอาหาร และสารอัลลิซิน เป็นต้น

    • แคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูก
    • วิตามินเอ บำรุงดวงตาให้แข็งแรง และสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
    • เบต้าแคโรทีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันมะเร็ง
    • ใยอาหาร กุยช่ายเป็นผักที่มีแคลอรีน้อย แต่ใยอาหารเยอะมากจึงช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
    • สารอัลลิซิน อยู่ในน้ำมันหอมระเหยในกุยช่าย เจ้ากลิ่นฉุนๆในกุยช่ายนี่ละ ที่มีการวิจัยพบว่าช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ความดันโลหิต (หากกินสดบ่อยๆ)

    เมื่อรู้ความแตกต่างของกุยช่ายทั้งสองสีแล้ว หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนแล้วละค่ะว่าจะเลือกกินกุยช่ายสีไหน ถ้าใครชอบของธรรมชาติแบบบริสุทธิ์มากกว่าก็แฮปปี้กับการกินกุยช่ายเขียวได้เลย ส่วนใครที่เป็นแฟนกุยช่ายขาวก็ไม่เป็นไรนะ เพราะกุยช่ายขาวไม่ใช่ผักชนิดเดียวที่เรากิน เราทดแทนสารอาหารที่ขาดหายไปด้วยการกินผักหลากหลายชนิดได้อยู่แล้ว

    กุยช่าย

    กุยช่ายลดเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมาก

    การศึกษาทางระบาดวิทยาและห้องปฏิบัติการพบว่า กุยช่ายและพืชที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน ได้แก่ กระเทียม ต้นหอม หอมเล็ก และหอมหัวใหญ่ อุดมด้วยสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) และสารในกลุ่มออร์แกโนซัลเฟอร์ (Organosulfur) เช่น สารอัลลิซิน (Allicin) ซึ่งมีคุณสมบัติ เป็นสารแอนติออกซิแดนต์ช่วยต่อต้านฟรีแรดิคัล และยับยั้งการก่อตัวของเนื้องอกและเซลล์มะเร็ง

    งานวิจัยหนึ่งที่ตีพิมพ์ใน Journal of the National Cancer Institute ซึ่งเก็บข้อมูลเกี่ยวกับอาหารประจำวันของชายชาวจีน ในเมืองเซี่ยงไฮ้ จำนวน 238 คน พบว่า ผู้ที่กินกุยช่ายและพืชในตระกูลเดียวกันเป็นประจำมากกว่าวันละ 10 กรัม จะลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้

    ทั้งนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งที่อวัยวะอื่นๆ ด้วย เช่น หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ ดังปรากฏในวารสารวิชาการ The American Journal of Clinical Nutrition และ Journal of Nutrition

    เก็บกุยช่ายให้อยู่นาน

    ควรใช้กุยช่ายทำอาหารให้หมดในครั้งเดียว เพราะยิ่งเก็บนาน วิตามินยิ่งสูญสลาย คุณค่าทางอาหารยิ่งลดลง แต่หากใช้ไม่หมด แนะนำให้เก็บในถุงพลาสติกแล้วนำไปแช่ตู้เย็น เก็บไว้ได้นาน 1 สัปดาห์ หรือหากต้องการยืดอายุการเก็บรักษาให้นานขึ้น ควรใส่กุยช่ายในกล่องพลาสติกเก็บอาหาร เติมน้ำพอท่วม ปิดฝาและแช่ในช่องแช่แข็ง เมื่อต้องการนำมาใช้จึงตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องให้น้ำแข็งละลาย วิธีนี้สามารถเก็บรักษากุยช่ายได้นานประมาณ 1 เดือน

    คุณแม่บ้านท่านใดทราบแล้ว รีบหาเมนูหลากหลาย ทั้งกุยช่ายและผักในตระกูลเดียวกัน มาปรุงอาหารป้องกันโรคร้ายไม่ให้มากล้ำกรายคุณผู้ชายกันค่ะ

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    น้ำเต้าหู้ ของดีใกล้ตัว บำรุงสมอง ดูแลหัวใจ

    ทำไม วัยทองเสี่ยงโรค หัวใจและหลอดเลือด และโรคกระดูกพรุน

    พฤติกรรมอันตราย ก่อโรคหัวใจ

    ซอสมะเขือเทศโฮมเมด จากห้องครัวปูเป้

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ออยล์ทาผิว น้ำมันทาผิว ผิวหน้า

    ผิวหน้าแบบนี้ ต้องเลือก ออยล์ทาผิว แบบไหน

    ผิวหน้าแบบนี้ ต้องเลือก ออยล์ทาผิว แบบไหนจึงจะเหมาะ

    สาว ๆ หลายคนคงจะรู้กันเป็นอย่างดีใช่ไหมคะ ว่า ออยล์ทาผิว ช่วยมอบความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าของพวกเธอ แต่ก็ไม่ใช่กับทุกคนนะคะที่จะใช้ออยล์แล้วผิวจะดีขึ้น

    บางคนใช้แล้วเป็นสิว รูขุมขนอุดตัน ทำให้เกิดปัญหามีความเครียด วิตกกังวลไม่กล้าใช้ออยล์อีก และนั่นก็เป็นปัญหาที่เกิดจากการเลือกใช้น้ำมันที่ไม่เหมาะสมกับผิวหน้า

    วันนี้เราจึงจะมาแนะนำ THE 10 BEST FACE OILS เลือกออยล์ อย่างไรให้เหมาะกับผิวหน้า โดย เรอเน่ รูโล  ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผิวและความงามที่มีประสบการณ์มากกว่า 30 ปี เคยให้ข้อมูลกับนิตยสารชื่อดังของฝรั่งไว้ ดังนี้ค่ะ

    ออยล์ บำรุงผิวหน้า

    ผิวแห้งกร้าน

    หลายคนมีความเชื่อผิด ๆ ว่าน้ำมันเป็นสกินแคร์ที่เหมาะสมกับคนผิวแห้งมากที่สุด แต่กับความงามอาจไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะว่าน้ำมันบางชนิดมีเนื้อสัมผัสที่แห้งและเบาตามธรรมชาติ คนที่มีผิวแห้งกกร้านจึงเหมาะกับน้ำมันที่อุดมไปด้วยกรดโอเลอิกสูง ซึ่งเป็น กรดไขมัน ช่วยปรับสภาพผิว กักเก็บความชุ่มชื้น และลดการระคายเคืองจากความแห้งกร้าน

    ออยล์ทาผิว ที่เหมาะกับคนผิวแห้งกร้าน

    1. น้ำมันอัลมอนด์  ให้ความชุ่มชื้นอย่างเข้มข้น อ่อนโยนสำหรับคนที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบ มีผดผื่นขึ้นตามผิวหน้า ช่วยปรับผิวให้เรียบเนียน ทำให้ผิวแข็งแรง ไม่แพ้ง่าย
    2. น้ำมันมารูล่า  ชนิดนี้ไม่นิยมใช้ในบ้านเรา ส่วนใหญ่ตามสถาบันเสริมความงามมักใช้ในการนวดหน้า เพราะน้ำมันชนิดนี้สามารถดูดซึมได้เร็ว สยบผิวแห้งให้ดูมีชีวิตชีวา

    ผิวมัน

    อาจฟังดูขัด ๆ ใช่ไหมคะ แต่น้ำมันที่เหมาะสมกับสภาพผิวจะทำหน้าที่เสมือนยาสมานแผล กำจัดไขมันส่วนเกินบนใบหน้า และช่วยควบคุมเสถียรภาพในการผลิตซีบัมของผิวหรือน้ำมันตามธรรมชาติ เพื่อความมันส่วนเกินของใบหน้า

    ออยล์ที่เหมาะกับคนผิวมัน

    1. น้ำมันโจโจบา  เป็นน้ำมันที่น้ำหนักเบาและระเหยได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ เหมาะกับทั้งผิวมันและผิวผสมที่ต้องการความชุ่มชื้นอยู่บ้าง  การทำงานของน้ำมันโจโจบาจะแตกตัวและสลายซีบัม ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งหลังใช้อย่างสม่ำเสมอ
    2. น้ำมันเมล็ดองุ่น  หากผิวมีความมันอยู่ตลอดเวลา แม้จะอยู่ในห้องแอร์หรืออากาศที่เย็น จนไม่เคยรู้สึกว่ามีรอยแพ้แห้งแตกบนใบหน้า แนะนำให้เลือกใช้น้ำมันเมล็ดองุ่นที่มีฤทธิ์ที่เป็นยาสมานแผลตามธรรมชาติ ช่วยปรับสภาพผิวให้กลับสู่สภาวะปกติ

    ผิวสุขภาพดี

    หากผิวไม่แห้ง ไม่มันจนเกินไป และไม่มีอาการแพ้สิ่งแปลกปลอมได้ง่าย ถือได้ว่าจัดอยู่ในกลุ่มของผิวธรรมดา แต่ยังจำเป็นต้องใช้ออยล์ในการบำรุงเติมสารอาหารให้ผิวมีสุขภาพดียิ่งขึ้น สามารถใช้ Original Face Oil ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องรูขุมขนอุดตัน การระคายเคือง หรือผิวแห้งกร้าน

    ออยล์ทาผิว ที่เหมาะกับคนผิวสุขภาพดี

    1. น้ำมันอาร์แกน  น้ำมันบำรุงใบหน้าเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้ผิวรู้สึกเย็นสบายและให้ความผ่อนคลาย มีวิตามินอีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันความเสียหายของผิวหนัง จุดด่างดำ และริ้วรอย ใช้ได้ทั้งเช้าและเย็น แต่ควรใช้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการดูแลผิว
    2. น้ำมันมะพร้าว เป็นอีกหนึ่งชนิดที่มีวิตามินอีสูงไม่แพ้น้ำมันอาร์แกน เป็นอาหารผิวชั้นดี บางคนใช้แทนเซรั่ม ช่วยบำรุงผิวให้กระจ่างใส และช่วยลดจำนวนแบคทีเรียสแตฟิโลค็อกคัสบนผิวหนัง เพิ่มความแข็งแรงให้ผิวหน้า
    ออยล์ บำรุงผิวหน้า

    ผิวที่เป็นสิว

    ใครจะรู้ว่าการบำรุงหน้าด้วยน้ำมันเป็นกุญแจสำคัญในการลดปัญหาการเกิดสิว ผลิตภัณฑ์รักษาสิวตามท้องตลาดเต็มไปด้วยส่วนผสมที่ระคายเคืองต่อผิว ซึ่งส่งผลให้ผิวของคุณขาดน้ำมันจากธรรมชาติ เมื่อผิวของคุณแห้งหรือเกิดการอักเสบ ผิวจะผลิตซีบัมมากเกินไป นำไปสู่การเกิดสิวเสี้ยนและสิวหัวดำ

    ออยล์ทาผิว ที่เหมาะกับคนผิวที่เป็นสิว

    1. น้ำมันทับทิม  เป็นน้ำมันที่เนื้อสัมผัสบางเบา ให้ความรู้สึกเหมือนมาสก์ มีคุณสมบัติช่วยกำจัดแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวในรูขุมขน และช่วยลดการอักเสบของผิวในส่วนอื่น ๆ ตามธรรมชาติ
    2. น้ำมันโรสฮิป  เป็นน้ำมันที่ไม่มีพิษ ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างล้ำลึก โดยไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน มีกรดไขมันที่ช่วยให้รอยแผลเป็นจากสิวดูจางลง ช่วยลดรอยแดงในเวลา 3 สัปดาห์

    ผิวบอบบางแพ้ง่าย

    หากมีผิวที่บอบบาง ต้องการใช้ออยล์เป็นเกราะป้องกันผิวพร้อมทั้งปลอบประโลมผิวในเวลาเดียวกัน ควรค้นหาผลิตภัณฑ์น้ำมันบำรุงผิวหน้าที่อ่อนโยน ปราศจากน้ำมันหอมระเหยอย่างลาเวนเดอร์ เปปเปอร์มินต์ และกุหลาบ เพราะจะทำให้ผิวบอบบางเกิดการระคายเคือง

    ออยล์ทาผิว ที่เหมาะกับคนผิวบอบบางแพ้ง่าย

    1. น้ำมันมะรุม  เป็นน้ำมันที่ให้ความชุ่มชื้นอย่างมาก เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันผิวหน้าจากการระคายเคือง มีกรดไขมันช่วยซ่อมแซมเกราะป้องกันผิวที่แห้งเสียและมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ สามารถทาก่อนแต่งหน้า โดยไม่เป็นปัญหากับเครื่องสำอางบนใบหน้าของคุณ
    2. น้ำมันว่านหางจระเข้  มีคุณสมบัติคล้ายน้ำมันมะรุม เนื่องจากเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และความพิเศษคือน้ำมันว่านหางจระเข้เป็นสารต้านเชื้อแบคทีเรียชั้นดี เปรียบเป็นยาสมานแผลตามธรรมชาติ เหมาะกับคนที่มีผิวบอบบางที่มีความมันและเป็นสิวได้ง่าย

    เคล็ดลับการใช้

    • ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกวัน
    • ทาเป็นเบสก่อนแต่งหน้า หรือแล้วแต่ผลิตภัณฑ์
    • สามารถผสมได้กับทุกอย่าง
    • ทาใบหน้าเสร็จ อย่าเพิ่งล้างมือ (สามารถช่วยบำรุงเส้นผมหรือบริเวณข้อศอกได้อีกด้วย)
    • ใช้นวดหน้ากับอุปกรณ์ชิ้นโปรดได้

    ข้อมูลจาก : หนังสือนิตยสารชีวจิต ฉบับ 535 ,  https://www.harpersbazaar.co.th/BEAUTY/SKINCARE/how-to-use-face-oil

    ชีวจิต Tips แจกสูตรสวยด้วยข้าวกล้อง

    ครีมบำรุงผิวหน้า(สำหรับทุกสภาพผิว)

    ช่วยลดริ้วรอย และช่วยให้ผิวหน้าขาวนวลเนียน

    ส่วนผสม

    • ข้าวกล้องแช่น้ำบดละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ
    • โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ½ ถ้วย
    • น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ

    วิธีทำ

    • ปั่นส่วนผสมทั้งหมดให้ละเอียดเป็นเนื้อครีมข้น
    • วิธีใช้คือ ทาครีมให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 – 25 นาที ล้างออก ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    อิ่มไม่พอ ประโยชน์ของข้าวกล้อง ยังช่วยให้ผิวใส

    เรื่องต้องรู้ ก่อนตัดสินใจ ฉีดสลายไขมัน

    ทานาคา สมุนไพร ประทินผิวสวย

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ผ่าตัดกระเพาะ

    ผ่าตัดกระเพาะ รักษาโรคอ้วน ได้จริงหรือไม่

    ผ่าตัดกระเพาะ รักษาโรคอ้วน ทำได้จริงหรือไม่ คนอ้วนควรทำไหม

    ผ่าตัดกระเพาะ รักษาโรคอ้วน ทำได้จริงหรือไม่ คุณหมอตอบเลยว่า “จริง” คนไข้โรคอ้วนที่มาผ่าตัดจะมีโอกาสมากที่สุดที่จะลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

    ผศ.นพ.ปรีดา สัมฤทธิ์ประดิษฐ์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์อุบัติเหตุ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายไว้ว่า 

    จุดมุ่งหมายแท้จริงของการผ่าตัดกระเพาะเพื่อรักษาโรคอ้วนคือ การรักษาคนที่เป็นโรคอ้วนที่ทำให้ใช้ชีวิตประจำวันลำบากและอาจมีโรคแทรกซ้อนหลายโรค เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวานโรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต มะเร็งหลาย ๆ รูปแบบ โรคตับ มีบุตรยาก และอื่น ๆ อีกมาก

    ซึ่งนอกจากการผ่าตัดจะช่วยควบคุมโรคแทรกซ้อนจากโรคอ้วนแล้ว ยังช่วยควบคุมน้ำหนักในระยะยาวได้ผลดีที่สุด การผ่าตัดกระเพาะนั้น จุดมุ่งหมายหลักไม่ได้ทำเพื่อความสวยงาม แต่ทำเพื่อสุขภาพกายและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไปไหนมาไหนสะดวกขึ้น ออกกำลังกายได้ ลดการเจ็บป่วยจากน้ำหนักที่มากเกินไปและโรคแทรกซ้อนได้

    ใครที่ควร ผ่าตัดกระเพาะ

    1. ต้องเป็นโรคอ้วน คำนวณจากดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 32.5 กิโลกรัมต่อตารางเมตรขึ้นไป หากไม่เป็นโรคอ้วน ผ่าตัดแล้วจะได้ผลไม่คุ้มกับความเสี่ยง
    2. พยายามใช้วิธีการอื่นมาก่อนแล้ว แต่ไม่สำเร็จ ปาฏิหาริย์เรื่องการลดน้ำหนักด้วยตัวเองมีให้ประจักษ์อยู่เนื่อง ๆ แต่หากพยายามเองแล้วไม่สำเร็จอาจต้องใช้การผ่าตัดเป็นเครื่องช่วย

    คนไข้ต้องมีความเข้าใจการปฏิบัติตัวก่อน ระหว่าง และหลังผ่าตัด ทั้งระยะสั้นและระยะยาว การลดน้ำหนักจะค่อยเป็นค่อยไป เฉลี่ยควรลดหนึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ เช่น ตั้งเป้าว่าจะลดให้ได้ 50 กิโลกรัม ก็ต้องใช้เวลาประมาณ 1 ปี เมื่อทำการผ่าตัดแล้ว จะกินได้น้อยลง จากกินเป็นชาม ๆ จะกินได้แค่ 3-4 ช้อน ต้องเลือกกิน เลือกดื่ม ต้องติดตามการรักษาเป็นระยะตลอดไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อจิตใจและร่างกายอย่างไร ผู้ป่วยจึงต้องทำความเข้าใจให้มากที่สุด

    ข้อสำคัญของผู้ป่วยหลังการผ่าตัดกระเพาะ คือ เน้นกินโปรตีนกินคาร์โบไฮเดรตที่เป็นไฟเบอร์มาก ๆ เช่น ผักต่าง ๆ เนื่องจากดูดซึมยากกว่า หลีกเลี่ยงคาร์โบไฮเดรตที่ดูดซึมง่าย  เช่น ข้าว แป้ง น้ำตาล อาหารเส้นทั้งหลาย กินไขมันให้น้อยกินวิตามินสม่ำเสมอ เมื่อออกกำลังกายไหว ให้ออกกำลังกายให้มากไว้ และมาพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ

    เมื่อตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด ศัลยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าควรใช้การผ่าตัดรูปแบบใดนอกจากนี้ยังต้องมีทีมแพทย์ประเมินและควบคุมโรคร่วมที่คนไข้มีให้มีความเสี่ยงต่ำที่สุด

    การรับการผ่าตัดกระเพาะเพื่อรักษาโรคอ้วน (Bariatric Surgery) ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยทีมแพทย์หลากหลายสาขา นักกำหนดอาหาร พยาบาล และทำในสถาบันที่พร้อม

    ที่สำคัญที่สุดคือตัวคนไข้เองต้องให้โอกาสตัวเอง ในการที่จะหายจากโรคอ้วน โดยตัดสินใจเข้าสู่เส้นทาง และเดินไปบนเส้นทางที่ไม่ง่ายนักนี้ ซึ่งเป็นเส้นทางสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมาก

    BMI

    ในทางการแพทย์แบ่งภาวะของการมีน้ำหนักเกินออกเป็นหลายระดับ โดยใช้วิธีวัดที่เรียกว่า “ดัชนีมวลกาย” BMI (Body Mass Index) โดยวัดจากการชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูง ซึ่งนำค่าน้ำหนักตั้งหารด้วยส่วนสูงที่เป็นเมตรยกกำลังสอง

    โดยทั่วไป คนปกติที่ไม่อ้วนไม่ผอม ค่าดัชนีมวลกายจะประมาณ 17.5 ถึง 21.5 ซึ่งผู้ป่วยโรคอ้วนที่มีค่าดัชนีมวลกาย 32.5 ขึ้นไป มักจะพบโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ความ “ดันโลหิตสูง เบาหวาน ซึ่งมีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง

    “ที่สำคัญที่สุดคือตัวคนไข้เองต้องให้โอกาสตัวเอง ในการที่จะหายจากโรคอ้วนโดยตัดสินใจเข้าสู่เส้นทาง และเดินไปบนเส้นทางที่ไม่ง่ายนักนี้ ซึ่งเป็นเส้นทางสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมาก”

    ข้อมูลจาก : ผศ.นพ.ปรีดา สัมฤทธิ์ประดิษฐ์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์อุบัติเหตุ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

    ชีวจิต Tip เพื่อคนต้องการลดความอ้วน

    ลดโรค ลดความอ้วนได้ เพียงแค่เรากินมื้อเช้าทุกวัน และต้องเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน หลักง่ายๆ ที่หลายคนอาจมองข้ามและอาจไม่เห็นความสำคัญ แต่ความจริงหลักการนี้ส่งผลดีต่อร่างกายอย่างมาก จากข้อมูลของหนังสือ อ่อนวัยแน่ แค่ปรับฮอร์โมน โดย ฮิเดะยุกิ เนะโกะโระ สำนักพิมพ์ AMARIN Health ระบุไว้ ดังนี้

    ทำไมต้องเคี้ยวอาหาร 30 ครั้งก่อนกลืน

    เมื่ออายุเพิ่มขึ้น การหลั่งฮอร์โมนเลปตินและเกรลินจะเริ่มเสียสมดุล จากเดิมที่เลปตินหลั่งออกมาเมื่อกินถึงระดับร่างกายต้องการเพื่อให้อิ่ม ส่วนเกรลินหลั่งเมื่อกระเพาะอาหารว่างเพื่อให้หิว จากการวิจัยชิ้นหนึ่งได้ตั้งสมมติฐานว่า ปัญหาการเสียสมดุลของฮอร์โมนทั้งสองชนิดกระทบต่อศูนย์ควบคุมความอยากอาหาร ทำให้ทำงานไม่เต็มที่ จึงส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการกินของผู้สูงอายุที่กินแบบเกินพอดี และกินเฉพาะเนื้อสัตว์

    หากต้องการกระตุ้นให้ฮอร์โมนทั้งสองชนิดยังทำงานเป็นปกติมากที่สุดแม้เริ่มเสียสมดุลแล้ว คือ “การเคี้ยวอาหารให้ได้ 30 ครั้งทุกก่อนกลืน” เนื่องจากการผลิตและหลั่งฮอร์โมนควบคุมความอยากอาหารจะดำเนินไปอย่างช้าๆ หากกินเร็วและเยอะเกินไป ระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าที่เลปตินจะหลั่งออกมาเต็มที่

    ฉะนั่น การฝึกเคี้ยวอาหารให้ละเอียดราวคำละ 30 ครั้ง จนเป็นนิสัย เป็นการเพิ่มเวลาให้ระบบในร่างกายได้ทำงานเพิ่มขึ้น เฉลี่ยมื้อละ 30 นาทีเลยทีเดียว

    ผลเสียของการรีบกินรีบกลืนคืออะไร

    การปล่อยให้ร่างกายเผชิญภาวะเลปตินและเกรลินเสียสมดุลประจำ อาจเป็นเหตุนำไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งมาจากพฤติกรรมการกินเป็นสำคัญ กลุ่มคนที่มักติดนิสัยกินเร็วคือ คนทำงาน ซึ่งต้องทำงานแข่งกับเวลา จึงมีเวลาให้มื้อเช้าและมื้อกลางวันไม่กี่นาที

    เมื่อการกินเร็วทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เพราะเรากินหมดก่อนที่ร่างกายจะส่งข้อมูลไปหน่วยรับอินซูลินว่า เกรลินหยุดทำงานแล้วได้ทัน อินซูลินยังถูกส่งออกมาต่อเนื่องทั้งที่ระดับน้ำตาลลดลงแล้ว เท่ากับว่าการกินเร็วคือการใช้อินซูลินไปโดยเปล่าประโยชน์

    ส่วนการกินเยอะเกินไปเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน ร่างกายจึงต้องเร่งผลิตอินซูลินเพิ่มเพื่อลดน้ำตาลเหล่านี้ ในระยะยาว พฤติกรรมนี้ยังทำให้การหลั่งอินซูลินผิดปกติ เซลล์ต่างๆ จึงเสื่อมสภาพ ซึ่งเป็นต้นเหตุของการแก่ชรา ส่วนน้ำตาลส่วนเกินในกระแสเลือดจะถูกอินซูลินเปลี่ยนเป็นน้ำตาลในตับและเนื้อเยื่อ จึงทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นและกลายเป็นโรรอ้วนในท้ายที่สุด

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ไม่อดมื้อเช้า เคี้ยวข้าวให้ละเอียด ช่วยอายุยืน ลดความอ้วนได้

    ว่าด้วยเรื่องของ สาหร่ายวากาเมะ กับการลดความอ้วน

    วิธี ฝึกกล้ามเนื้อ “ป้องกันล้ม” ในผู้สูงวัย

    เรื่องต้องรู้ เมื่อจะ “ล้างจมูก”

    ลืมความกังวล ด้วยกิจกรรมง่ายๆ วันละ 5 นาที

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ออกกำลังกาย อายุยืน

    4 สุดยอดวิธีexercise ช่วยให้ อายุยืนได้

    อายุยืนได้ แค่ใช้ 4 สุดยอดวิธีexercise

    เวลานี้ใคร ๆ ก็รู้แล้วว่า การออกกำลังกาย ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ซึ่งนำพาไปสู่ความปลอดโปร่งของสมอง หุ่นดี อ่อนเยาว์ และ ช่วยให้ อายุยืนได้

    ว่าแต่ การออกกำลังกายแบบไหนที่ให้ผลสูงสุด โดยเฉพาะหากต้องการอายุยืนอย่างมีคุณภาพ จากคำถามนี้ คุณหมอเหมาชิงนิ เจ้าของหนังสือ Secrets of Longevity : Hundreds of Ways to Live to Be 100  แนะนำดังนี้

    “ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ ครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 4 – 5 ครั้ง โดยไม่ควรเป็นการออกกำลังกายหนัก เพราะจะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บมากกว่าจะเกิดผลดีต่อร่างกาย

    “และนี่คือการออกกำลังกาย 4 ประเภทที่มีงานวิจัยรองรับว่า ช่วยให้อายุยืน…”

    1. “ไทชิ” เนิบช้า อ่อนโยน แต่ให้ผลดีมหาศาล

    ไทชิ เป็นการออกกำลังกายที่ปรับมาจากท่าทางการต่อสู้แบบจีนในศตวรรษที่ 12 ซึ่งต้องใช้สมาธิ และการกำหนดลมหายใจเป็นหลัก เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย งานวิจัยล่าสุดยืนยันว่า ไทชิช่วยเพิ่มพลังกายอิมมูนซิสเต็ม และช่วยลดความดันโลหิต

    1. “เต้นรำ” สนุกและได้ผลดี

    เต้นรำ คือการออกกำลังกายที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของข้อต่อต่าง ๆ และสมดุลร่างกาย คุณอาจทำเองที่บ้าน หรือเข้าร่วมกิจกรรมเต้นรำกับเพื่อนฝูง มีการศึกษาพบว่าการเต้นซุมบ้าเพียง 1 ชั่วโมง สามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 500 แคลอรี นอกจากนี้ ยังช่วยให้สมองหลั่งเซโรโทนิน และสารสุขในสมองอีกด้วย

    1. “เดินเร็ว” ปลอดภัย เพิ่มพลัง

    การเดินเร็วที่ว่า เป็นการเดินเร็วที่ต้องแกว่งแขนสูง และก้าวเท้าให้อยู๋ในแนวตรง แบบที่ฝรั่งเรียกว่า Brisk walk ซึ่งจะช่วยบำรุงหัวใจ เพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญ เพิ่มพลังกาย และอิมมูนซิสเต็ม

    เดินแบบนี้ บอกเลย ป่วยยาก ต้องการมีอายุยืนขึ้นไปอีกกี่ปี ลองดูตามตารางได้เลยว่าจะต้องเดินสัปดาห์ละกี่นาที

    อายุยืนได้

    หากท่านมีดัชนีมวลกายเกิน 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร และไม่ออกกําลังกายหรือขยับเขยื้อนร่างกายน้อยมาก อายุท่านจะสั้นลง 7 ปี แต่ถ้าเริ่มออกเดินวันละนิดจนในที่สุดได้ตามเป้าหมายคือ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที ก็จะเป็นการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาตัวเองออกไปถึง 3 ปี เมื่อถึงตอนนั้น หากน้ำหนักลดลงไปอีก ชะตาท่านจะไม่ขาดก่อนกําหนดเป็นแน่

    โยคะ อายุยืนได้

    1. “โยคะ” ช่วยสมดุลกายใจ และจิตวิญญาณ

    เพราะการออกกำลังกายแบบโยคะ เน้นที่ลมหายใต ซึ่งไม่ได้แค่ช่วยให้การไหลเวียนออกซิเจน และโลหิตดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยผ่อนคลายความเครียด และสร้างความสงบเย็นภายในจิตใจอีกด้วย นอกจากนี้ โยคะยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความยืดหยุ่นของร่างกาย พร้อมทั้งเยียวยาโรคเรื้อรังอย่างไม่เกรน และข้ออักเสบ

    เห็นประโยชน์มหาศาลจากการออกกำลังง่าย ๆ เหล่านี้แล้ว ปฎิบัติด่วน

    ยิ่งถ้าปรับการกินเป็นอาหารชีวจิตด้วยแล้ว อายุยืน อ่อนเยาว์ แข็งแรงอยู่แค่เอื้อมค่ะ

    Did you know ? ชีวิตใกล้ชิดสมุนไพร ช่วยอายุยืน

    หากต้องการหุ่นดี อ่อนเยาว์ และอายุยืน พร้อมทั้งมีคุณภาพชีวิตที่ดี คุณหมอเหมาชิง นิ แนะนำให้เลือกสมุนไพร มาใช้ในชีวิตประจำวันบ้าง ทั้งอาหารการกินที่ควรประกอบด้วยพืชผักสมุนไพรแบบกินสด หรือปรุงเป็นอาหาร ผลิตภัณฑ์สมุนไพรในการอุปโภค รวมไปถึงการใช้ยาสมุนไพรในการบำบัดโรค และอาการผิดปกติที่ไม่ซับซ้อน

    ข้อมูลเรื่อง “4 สุดยอด วิธีออกกำลังกาย ช่วยอายุยืน” เขียนโดย เชิญตะวัน ตีพิมพ์ในคอลัมน์ เกร็ดสุขภาพ (ชีวจิตมือโปร) นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 373

    ถั่ว อัลมอนด์ อายุยืนได้

    ชีวจิต Tip ถั่วมหัศจรรย์ ยิ่งกินยิ่งอายุยืน

    อัลมอนด์

    อัลมอนด์ให้พลังงานเพียง 160 แคลอรี่ต่อ 1 เสิร์ฟ ประกอบไปด้วยโปรตีน 6 กรัม และใยอาหาร 4 กรัม จัดว่ามากเป็นอันดับต้นๆ ของพืชตระกูลถั่ว ทั้งยังเป็นแหล่งรวมวิตามินอี ทองแดง แมกนีเซียม และมีแคลเซียมสูงถึง 75 มิลลิกรัมต่อปริมาณ 1 ออนซ์

    มีคุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนัก เป็นโรคหัวใจ หรือกำลังเป็นโรคเบาหวาน และจากวารสารของ The American College of Nutrition ระบุว่า การกินอัลมอนด์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลินในผู้ที่มีภาวะเสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้อีกด้วย

    เม็ดมะม่วงหิมพานต์

    เป็นถั่วที่ให้พลังงาน 160 แคลอรี่ต่อ 1 เสิร์ฟ มีโปรตีน 4 กรัม และมีไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่นเดียวกับถั่วอื่นๆ เม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นแหล่งอุดมสารอาหารมากมาย อย่างทองแดง แมกนีเซียม ทั้งยังช่วยลำเลียงธาตุเหล็กได้ดีเยี่ยม

    จากงานวิจัยในวารสารการแพทย์ของ The New England พบว่า การบริโภคเม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้นมีความเชื่อมโยงกับการชะลอวัยในมนุษย์อีกด้วย

    แมคคาเดเมีย

    เป็นถั่วอีกหนึ่งชนิดที่มักไปปรากฏในเมนูของหวาน แต่ก็เป็นส่วนผสมที่มีประโยชน์นะ เพราะให้พลังงานประมาณ 200 แคลอรี่ต่อ 1 เสิร์ฟ และยังอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว รวมไปถึงไทอามินและแมงกานีส

    จากการศึกษามากมายพบว่าแมคคาเดเมียยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูงด้วย

    นี่ล่ะ ตัวช่วยอายุยืนที่หาได้ตามท้องตลาด กินง่าย ประยุกต์ได้หลายเมนู เพียงกิน ถั่ว วันละ 1 กำมือก็ช่วยชะลอวัย ไกลโรคชัวร์

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    บ.ก.ขอตอบ : สงสัยเรื่อง การล้างพิษตับ จะต้องทำอย่างไร

    50+ ร่างกายเปลี่ยนไป แค่ไหนกัน

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    เป็นมะเร็ง

    ปอมอ = เป็นมะเร็ง (เพราะไม่เชื่อหมอ) ตอน 3

    แฟนๆ ที่กำลังรอบทสรุปของการรักษามะเร็ง ของ ปอมอ หรือ คุณประมวล โกมารทัต ที่ถ่ายทอดประสบการณ์ การเป็นมะเร็ง และการรักษา ตั้งแต่วันแรกที่พบ การผ่าตัด มาสู่บทสรุปในตอนสุดท้าย เมื่อต้องเข้าสู่กระบวนการถัดไป นั้นคีอ กระบวนการคีโม เรื่องราวจะเป็นอย่างไร การดูแลตัวเองแบบไหน เพื่อให้ได้ผล เราไปตามอ่านกันต่อเลยค่ะ

    ปอมอ = เป็นมะเร็ง (เพราะไม่เชื่อหมอ)  ตอนที่ 3

    คีโม

    หนึ่งชื่อสองพยางค์เท่านั้น แต่ทำเอาผู้ป่วยมะเร็งแทบทุกคนได้ยินแล้วถึงผวา หมดอารมณ์สุนทรีย์ไปเลย ด้วยคำเล่าขานเกี่ยวกับฤทธิ์เดชของเจ้านี่  

    ทำไมต้องทำคีโม

    หลักการรักษามะเร็งของแพทย์ปัจจุบันที่จะนำมาใช้รักษาร่วม ก่อนหรือหลังการผ่าตัด เพื่อกำจัดมะเร็งให้สิ้นซาก คือ คีโม หรือฉายแสง หรือยามุ่งเป้า (ฝรั่งเรียก Chemotherapy , Radiotherapy และ Targeted therapy ตามลำดับ)

    แพทย์จะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามความเหมาะสมและด้วยความยินยอมของผู้ป่วย

    สำหรับมะเร็งลำไส้ใหญ่นั้น หลังการผ่าตัดแล้ว แทบทุกรายมักจะมาจบที่ คีโม

    คีโม หรือการใช้ยาเคมีบำบัด จะออกฤทธิ์ต้านหรือทำลายเซลล์มะเร็งที่แบ่งตัวเร็วและต่อเนื่อง ให้ไม่สามารถแบ่งตัวได้และตายไปในที่สุด ขณะเดียวกันยาเคมีนี้ก็จะทำลายเซลล์ดีๆที่ไม่ใช่เซลล์มะเร็งไปด้วย ผู้รับคีโมจะได้รับผลกระทบในทางไม่สู้ดีต่อร่างกาย บางคนถึงใช้คำว่าต้องทนทุกข์ทรมานจากคีโม (นี่เองที่ทำให้ผู้ป่วยกลัวกันนักกลัวกันหนา)

    ถามว่า ทำคีโมแล้ว มะเร็งจะหายไปหมดเสร็จเด็ดขาด ไม่กลับมาอีก และผู้ป่วยไม่ตาย(ในเวลาอันควร)ทุกรายไหม

    คำตอบคือ ไม่ 100 %

    ถามว่า ถ้าแพทย์เลือกวิธีทำคีโม แล้วผู้ป่วยจะเลือกไม่ทำคีโมล่ะ ได้ไหม

    ก็ลองดูซิ ชีวิตของเรา (เนอะ)

    ค่าซีอีเอสูงไม่มากก็เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

    ถึงวันนัดพบอาจารย์หมอ ต้องเจาะเลือดก่อน เพื่อดูค่าของสารบ่งชี้มะเร็ง สำหรับมะเร็งลำไส้ใหญ่ เรียกค่า CEA  (Carcinoembryonic  antigen) หลายคนเรียกง่ายๆ ว่า ค่ามะเร็ง แต่ความมุ่งหมายจริงๆ คือ เพื่อติดตามดูผลการรักษา

    คนมักเข้าใจผิดว่า ค่าซีอีเอ บอกว่ามีมะเร็งอยู่มากน้อยเพียงใด แล้วทึกทักเอาว่าเป็นหรือยังเป็นมะเร็งอยู่หรือไม่ ซึ่งไม่ถูกต้องนัก ค่าซีอีเอ ไม่มีความหมายมากมายถึงขนาดนั้น การมีค่าซีอีเอต่ำ ไม่แปลว่ามีมะเร็งน้อยหรือหายจากมะเร็ง คนเป็นมะเร็งถึงขั้นต้องผ่าตัด ไม่จำเป็นต้องมีค่าซีอีเอสูงมากๆ เช่นรายนี้ เมื่อตอนคุณหมอที่ศูนย์การแพทย์ตรวจพบมะเร็งนั้น ค่าซีอีเออยู่ที่ 5.5 แล้วตอนที่ผ่าตัด ค่าซีอีเอ 4.77 เท่านั้น การจะชี้ว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ หมอจะดูหลายอย่างประกอบกัน แต่นี แค่ส่องกล้องลำไส้ใหญ่ก็เห็นก้อนมะเร็งชัดเจนแล้ว (จึงเมินค่าซีอีเอได้เลย)

    ที่โรงพยาบาลนี้กำหนดเอาค่าซีอีเอ 5 เป็นตัวกลาง ถ้าต่ำกว่าแปลว่าการรักษาได้ผล ถ้าสูงกว่า แสดงว่า น่าจะมีปัญหาอะไรบางอย่าง (ในการรักษา)  

    วันพบอาจารย์หมอ เพื่อประเมินผลหลังผ่าตัด ค่าซีอีเอ 2.9  แสดงว่าการผ่าตัดรักษาอยู่ในขั้นดีมาก  

    อาจารย์หมอหน้าเปื้อนยิ้มอีกครั้ง  เพราะผลการผ่าตัด “เป็นที่น่าพอใจของแพทย์” ฝ่ายคนไข้น่ะไม่ใช่แค่ “น่าพอใจ” แต่หัวใจสิ พองโตขึ้นมาทันทีเลย

    “ขั้นตอนต่อไปคือ จะทำคีโมกันนะ” เห็นคนไข้ทำท่าชะงักเมื่อได้ยินคำว่า คีโม    

    “เคมีบำบัดน่ะ” อาจารย์หมอจ้องหน้า

    “ไม่ต้องกลัวหรอก อาจารย์หมอคีโมท่านเก่งและชำนาญมาก อย่ากลัวไปเลย เดี๋ยวออกไปนี่ ไปจัดการนัดหมายเลย ให้เขาจัดคิว นัดวันพบอาจารย์หมอคีโม” ท่านรีบสรุป

    “เอาละ จากนี้อีก 3 เดือนเราค่อยพบกัน นะ”

    ประสบการณ์หน้าห้องหมอคีโม

    วันไปพบอาจารย์หมอคีโม มีคุณภรรยา(คนเก่ง) กับหลานสาว(เจ้าปัญญา) และลูกชายคนเล็ก (ผู้มากประสบการณ์) ประกบไปเป็นกำลังใจด้วย  ที่หน้าห้องหมอ มีคนไข้รอคิวกันอยู่ 6-7 คน ทักทายพวกเขา จึงได้รู้ว่า ทุกคนผ่านคีโมมาแล้ว (มีแต่เราที่จะมาเป็นน้องใหม่)

    ฟังเล่าจากพวกเขาถึงบรรยากาศตอนรับคีโมของแต่ละคนแล้ว ชวนให้น่าหวาดเสียวอย่างบอกไม่ถูก เพราะแต่ละคำเล่า ออกมาทางลบทั้งหมด คนหนึ่งเปิดใจว่า เคยคิดจะเลิกกลางคันแล้ว แต่ที่ต้องทนทำต่อก็เพราะถูกญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิดฝ่ายลูก  ขอร้องแกมบังคับ

    หลายคนทำคีโมกันมานานปีแล้ว จนคิดว่าน่าจะหายขาด แต่กลับพบมะเร็งหวนคืนมาอีก บางคนมะเร็งเปลี่ยนที่ไปจากอวัยวะเดิม บางคนต้องผ่าตัดอีก และต้องกลับมาทนทรมานกับคีโมอีก บางคนผ่านมาตั้ง 5 – 6 ปี นึกว่าหายแน่แล้ว แต่มะเร็งก็ยังกลับมา(ที่เก่า)

    คนหนึ่งเล่าว่า คุณหมอบอกหายแล้วเมื่อ 12 ปีก่อน ตอนนี้มีตัวใหม่โผล่หน้ามาเยี่ยมๆ มองๆ โชคดีที่รู้ตัวเร็ว รีบมาหาหมอ จึงไม่ถึงต้องผ่าตัด ที่มาก็เพื่อให้คุณหมอดูว่าจะต้องทำคีโมแทนหรือไม่

    เป็นมะเร็ง

    นั่นแปลว่า แม้จะผ่าตัดแล้ว ทำคีโมแล้ว มะเร็งก็ยังไม่หมดเสร็จเด็ดขาด อาจกลับมา หรืออาจลามไปอวัยวะอื่น หรือเกิดตัวใหม่ขึ้น

    ส่วนกระบวนการทำคีโม ก็คือทำเป็นชุด บางคน 6 ชุด บางคนถึง 8 ชุด ชุดหนึ่งๆ ใช้เวลา 1 – 5 วัน แต่ละชุด ห่างกัน 3 หรือ 4 สัปดาห์

    ส่วนผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นขณะรับยาคีโมดูจะเหมือนๆ กันเกือบทุกคน โดยเฉพาะอาการคลื่นไส้  อ่อนเพลียหมดแรง จนลุกไม่ขึ้น เดินไม่ไหว คนหนึ่งเล่าว่า เคยเกิดอาการวูบ ขณะนั่งอยู่ดีๆ ล้มหน้าคว่ำลงไปเฉยเลย โชคดีเป็นขณะอยู่บ้าน  

    เกือบทุกคนจะเจ็บในปากมากจนกินไม่ได้ เพราะเยื่อบุในปากอักเสบ บางคนหนังฝ่ามือลอก บางคนเล็บเปลี่ยนเป็นสีดำ บางคนถึงเล็บหลุด (แล้วงอกใหม่หลังจบคีโม) บางคนผมร่วงหมดแล้วจึงขึ้นใหม่ (ก็ไม่เหมือนเดิม) ผมของบางคนร่วงแล้วร่วงเลย เห็นคนหนึ่งผมยาวสลวย ถามเธอว่า คือเส้นผมที่ขึ้นใหม่หรือ ดูดีเชียว ตอบว่า วิก (ไม่เสียมารยาทขอให้ถอดดูหรอก)

    ฟังแล้วล้วนแต่ออกมาในทางลบต่อ ‘คีโม’ (ผู้โหดร้ายหรือน่าสงสารดีนะ) ยิ่งฟังยิ่งหวาดเสียวมากขึ้น

    ลูกชาย (ผู้มากประสบการณ์) เตือนสติว่า อย่าไปถามพวกเขามากนักเลย ฟังแล้วทำให้กลัวและไม่สบายใจเปล่าๆ

    โดยส่วนตัว ยังคิดว่าการรักษาร่วมหลังการผ่าตัดด้วยวิธีคีโมนี้ น่าจะมีผลดีอยู่บ้างหรอก หรือดีเป็นส่วนใหญ่ด้วยซ้ำไป ถ้าไม่ดีจริง ไม่มีคนหายจากมะเร็งได้จริง ก็คงเลิกทำกันไปแล้ว ที่เล่ากันมานี่ ก็เพียงแค่คำระบายจากคนไข้ส่วนหนึ่งที่เผอิญได้รับผลกระทบไม่ดีมาเท่านั้นเอง (เนอะ)

    คีโมเป็นการรักษาร่วมหลังการผ่าตัด

    ถึงคิวพบอาจารย์หมอคีโมเป็นครั้งแรก พบว่าท่านอารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส น่านับถือ ท่านถามไถ่อาการทั่วไป (ซ้ำติดตลก) เช่น รู้สึกเบาตัวดีไหม ผ่าตัดครั้งนี้ได้ลดน้ำหนักตัวลงตั้งสิบกิโลกรัม

    เรื่องน้ำหนักตัวนี้ ปกติเคยถึง 95 แล้วเริ่มลดลงเองในช่วงที่พบภาวะโลหิตจาง แต่ยังไม่เฉลียวใจว่ามะเร็งอาจเริ่มก่อตัวขึ้น แอบกินเลือดที่ลำไส้ใหญ่แล้ว ก่อนวันผ่าตัดลดเหลือ 80 และหลังผ่าตัดเหลือ 70 เท่านั้น

    อาจารย์หมอคีโมเสนอทางเลือกให้ ว่าจะมานอนรับยาคีโม (ชนิดน้ำ) ที่โรงพยาบาลตามนัด หรือจะเลือกวิธีรับยา (ชนิด เม็ด)ไปกินที่บ้าน แต่วิธีหลังนี่ต้องมีค่าใช้จ่าย (ในเวลานั้น ค่ายาคีโม 12 ชุด ชุดละประมาณ 7,000 บาท รวมอื่นๆ แล้วไม่เกินหนึ่งแสน) ส่วนอย่างแรก (มาทำและนอนที่โรงพยาบาล) สิทธิบัตรทองครอบคลุมหมด ไม่ต้องจ่ายเลย !      

    หรือถ้าไม่ต้องการทำคีโม ก็ไม่บังคับกัน เพราะเป็นสิทธิของคนไข้  

    เพียงแต่ในความคิดของท่านเห็นว่า น่าจะทำ เพราะคีโมเป็นการรักษาร่วมหลังผ่าตัด เพื่อกำจัดมะเร็งที่หลงเหลือให้หมดไป ส่วนใหญ่จริง อาจมีผลข้างเคียงบ้าง บางคนรุนแรงจนกลัว แต่จริงๆ แล้วไม่น่ากลัวเลย มีอาการก็แค่ชั่วคราว

    ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคนไข้และญาติจะตัดสินใจ ให้เวลาคิดหนึ่งสัปดาห์ว่าจะเอาอย่างไร แล้วมาบอก ถ้าตัดสินใจไม่ทำคีโมแน่ จะไม่ต้องนัดวันมาอีก (ก็ได้)

    อาจารย์หมอคีโมท่านน่ารักมาก เสนอทั้งทางเลือกและคำแนะนำที่น่ารับฟังอย่างยิ่ง

    ขอบพระคุณแล้วลากลับ …

    วันนั้น ไม่ได้คิดเลยว่า จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของการพบกับอาจารย์หมอคีโม (เป็นการพบเพื่อจากโดยแท้)

    เมื่อกลับถึงบ้าน เปิดประชุมผู้มีส่วนร่วมทั้งสี่และลูกหลานโตๆ ปรึกษาและฟังเหตุผลกับประสบการณ์ของแต่ละคน  

    ทุกความเห็นตรงกันว่า คีโมไม่น่าจะเป็นวิธีเดียวที่จะใช้กับคนไข้มะเร็งได้ทุกคน ในการกำจัดและป้องกันมะเร็งไม่ให้กลับมาอีก ซ้ำจะต้องทนทรมานจากผลกระทบของคีโม (โดยเฉพาะลูกชายคนเล็กน่ะ ยืนยันไม่ให้ทำเด็ดขาด) ที่สุด มติจึงออกมาเป็นเอกฉันท์

    “ไม่ทำคีโม”

    การกินผักรักษามะเร็งยังไม่มีผลวิจัยหรืองานวิจัยรองรับ

    เมื่อตัดสินใจไม่ทำคีโม ก็ต้องมีวิธีรักษาที่ดีที่สุดแทน เพื่อกำจัดมะเร็งให้จบเสร็จเด็ดขาด และป้องกันไม่ให้หวนกลับมา(ที่เก่า) หรือลามไปยังอวัยวะอื่น หรือมีเชื้อตัวใหม่เข้ามาจนเกิดมะเร็งอีก

    วันรุ่งขึ้น “งานใหญ่” จึงเริ่มทันที ไม่ใช่งานฉลองความสำเร็จในการผ่าตัดเอามะเร็งออกไปจากร่างกาย แต่เป็นงานที่ต้องทำให้สำเร็จ เพื่อชีวิตดำรงอยู่อย่างเป็นสุขโดยปราศจากมะเร็ง จนตลอดอายุขัย จึงเป็นงานใหญ่ งานสำคัญที่ต้องทำทันที

    “งานเพื่อชีวิต”

    ครบสามเดือนตามนัด  ต้องไปพบอาจารย์หมอ  

    “เป็นอย่างไรบ้าง ทำคีโมกี่ชุดแล้ว” ถามอย่างอารมณ์ดี

    “ต้องกราบขออภัยอาจารย์หมออย่างยิ่งค่ะ พวกเราตัดสินใจไม่ทำคีโม”

    คุณภรรยา (คนเก่ง) เป็นตัวแทนแจ้งและชี้แจงเรื่องการตัดสินใจไม่รับคีโมว่า ทั้งที่ได้ศึกษาและจากประสบการณ์วันไปพบอาจารย์หมอคีโม พบว่าคนไข้หลายคนที่เคยทำคีโมแล้ว มะเร็งก็ยังหวนกลับมา บางรายมีมะเร็งเกิดใหม่ จึงคิดว่าคีโมไม่น่าจะเป็นวิธีเดียวที่กำจัดมะเร็งให้หมดสิ้น ทั้งยังไม่สามารถป้องกันมะเร็งตัวใหม่ได้ด้วย  จึงจะใช้วิธีอื่น ซึ่งเชื่อว่ามะเร็งตัวเดิมจะไม่กลับคืนมาอีก และไม่มีตัวใหม่เกิดขึ้นได้   

    “ท่านอาจารย์หมอเคยบอกว่า ตัดมะเร็งออกไปหมดแล้ว รวมทั้งยังตัดเผื่อให้ เลยออกไปจากที่เป็นด้วย จึงเชื่อว่าไม่น่าจะมีมะเร็งเหลืออยู่แล้ว หากจะเกิดเป็นอีกก็คงจากตัวใหม่ จึงคิดไปถึงการป้องกันด้วย”

    ขณะพูดนั้น ไม่มีใครสักคนกล้าสบตาอาจารย์หมอที่มองมายังพวกเรา

    “ก็จริงอยู่ที่ว่า ตัดเผื่อออกไปให้แล้ว แต่ที่ตัดไปนั่น เป็นเพียงส่วนที่มองเห็นด้วยตาเท่านั้น เซลล์มะเร็งนี่มันเล็กมาก เล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นหรอก แล้วส่วนที่มองไม่เห็น มันอาจจะยังหลงเหลืออยู่ก็ได้ ไปอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ การทำคีโมเป็นวิธีกำจัดเซลล์มะเร็งที่มองไม่เห็นและที่ยังหลงเหลือเล็ดรอดสายตาให้หมดสิ้นไป เราไม่ควรประมาท”

    อาจารย์หมออธิบายอย่างง่ายๆ ไม่ได้แสดงอาการว่าไม่พอใจหรืออะไรเลย

    “แล้วจะใช้วิธีการอย่างไร”

    “เริ่มแล้วค่ะ คือปรับการบริโภค เลิกกินเนื้อสัตว์ เลิกกินน้ำตาล เลิกกินอาหารแปรรูป และกินแต่ผักและผลไม้ และอาหารที่ให้สารอาหารทดแทนเนื้อสัตว์ได้ค่ะ”

    “ยังไม่มีผลวิจัย หรืองานวิจัยใด รับรองว่า กินผักรักษามะเร็งได้” ท่านพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ช้าๆ

    “ก็ตามใจ เอาอย่างนั้นก็ได้”

    อาจารย์หมอไม่ได้ยอมแพ้ แม้จะไม่สนับสนุน แต่ก็ไม่เอ่ยคำค้าน

    “ส่วนเรื่องของเรา”

    อาจารย์หมอหันมาพูดถึงแผนการดูแลหลังผ่าตัด

    “ช่วงต้นๆ นี้ จะพบกันเพื่อตามดูผลทุก 3 เดือน ตลอดไป 5 ปีก่อนนะ”

    นี่เป็นมาตรฐานการติดตามผลการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ทั่วไปสำหรับผู้ป่วยเกือบทุกคน ในระยะห้าปีแรกหลังผ่าตัด

    “อีกสามเดือนพบกัน ขอให้โชคดี”  

    สูตร “อาหารเพื่อชีวิต” เมื่อไม่คีโม

    “งานเพื่อชีวิต” มีคุณภรรยา (คนเก่ง) เป็นผู้บัญชาการ วางแผนและดำเนินการทุกอย่าง รวมทั้งงานปรุงอาหาร ส่วนคนไข้มีหน้าที่ปฏิบัติโดยเคร่งครัด (คือ ต้องกิน) อย่างเดียวเท่านั้น

    ผู้บัญชาการของเรา ศึกษาและมีประสบการณ์โภชนาการทั้งแบบชีวจิต แมคโครไบโอติกส์ และมังสวิรัติ นำมาประสมประสานกัน เป็น “สูตรอาหารเพื่อชีวิต” โดยวางหลักการสำคัญคือ แม้เบื้องต้นนี้จะงดเนื้อสัตว์ทุกชนิด แต่ต้องยึดหลักตามแผนโภชนาการว่า ร่างกายจะต้องได้รับสารอาหารครบ 5 หมู่ คือ  โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน ไขมัน เกลือแร่และแร่ธาตุ  

    เป็นมะเร็ง

    เนื้อสัตว์ที่งดนั้น หมายรวมถึงนมเนยและผลิตภัณฑ์จากสัตว์ด้วย สารอาหารหลักทั้งห้าที่มาทดแทนจึงต้องบริโภคให้เพียงพอ (แต่ไม่มากจนเกินไป) ดังนี้

    โปรตีน จากถั่วชนิดต่างๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากถั่ว (เต้าหู้ เตมเป้) ไข่ และเห็ด

    คาร์โบไฮเดรต จากข้าวกล้อง ข้าวไม่ขัดสี

    เกลือแร่และแร่ธาตุ จากผักสดสะอาด ผักปรุงสุก เห็ด และผลไม้

    ไขมัน ใช้แต่น้ำมันมะกอกและน้ำมันงา ปริมาณน้อยเมื่อจำเป็น

    วิตามิน จากผักและผลไม้สดทุกชนิด ที่รสไม่หวานจัด ยกเว้นกล้วยน้ำว้าสุก ที่แม้จะมีน้ำตาล แต่ก็มีสารอาหารที่ร่างกายต้องการอยู่มาก ทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินเอ บี 1 และบี 2

    นอกจากอาหารหลักที่สำคัญและกินทุกมื้ออย่าง ข้าว ถั่ว เห็ด และผักผลไม้สดและปรุงสุก ยังมีที่สำคัญมากคือ ไข่ไก่

    กินไข่ไก่มื้อละ 2 ฟอง (รวมวันละ 6 ฟอง) เพื่อให้ได้สารอาหารที่มีอยู่ในไข่ ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ไข่ขาวเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีและมีกรดอะมีโนที่ร่างกายต้องการ  ไข่แดงมีทั้งวิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 6 บี 12 แล้วยังมีแคลเซียม ไขมัน และอื่นๆ อีก จะใส่ไข่ในข้าวต้มที่มีผักต้มและซุปผัก เป็นต้น  ถ้าทำไข่ดาว จะทอดด้วยน้ำ

    คุณภรรยา (คนเก่ง) ลงทุนสั่งผักผลไม้อินทรีย์ ไข่อินทรีย์ เป็นวัตถุดิบปรุงอาหารมาโดยตลอด

    สิ่งที่ใช้ปรุงแต่งและประกอบอาหาร ใช้เครื่องปรุงที่ไม่ผ่านกระบวนการใดๆ มีเพียง ดอกเกลือ หรือซีอิ๊วชนิดปลอดสาร ใส่พอมีรสปะแล่มๆ ใช้มิโซะ เครื่องปรุงรสของญี่ปุ่น ที่ใช้ถั่วและข้าวบาร์เลย์หมัก ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ ถ้ารสเปรี้ยวใช้มะนาวสด เครื่องเทศจะใช้ พริกไทย พริกสด ตะไคร้ ใบมะกรูด วาซาบิ โรสแมรี่ ออริกาโน เป็นต้น

    นอกจากอาหารตาม “สูตร” นี้แล้ว ไม่มีอาหารเสริมหรือยาบำรุงใดๆ

    สุขภาพจากอาหารและการแพทย์ในสามปีแรก

    ในช่วงสามปีแรก แม้จะเน้นหนักและเคร่งครัดเรื่องอาหาร แต่ไม่พบว่ากระทบต่อสุขภาพของคนไข้ ทั้งร่างกายและจิตใจ พบว่าอยู่ในภาวะปกติดี ไม่อ่อนเพลีย ไม่บ่งชี้ว่าขาดสารอาหาร รูปลักษณ์ไม่ดูว่าร่างกายผ่ายผอมลง ผมไม่ร่วง ผิวไม่คล้ำลง น้ำหนักตัวคงที่ (ตื่นเช้า 68 – 69 กิโลกรัม ก่อนนอน 70 -71 ตลอดหลังผ่าตัด) สมบูรณ์แข็งแรง ใช้กำลังได้สมวัยดี เดินได้เองดีเช่นคนปกติ (ไม่ต้องใช้ไม้เท้า) ใช้เครื่องสูบน้ำเอาน้ำในคลองหลังบ้านมารดน้ำต้นไม้ในสวนหลังบ้านได้เช่นเคยทำมาก่อน (จนวันนี้) อารมณ์สดชื่นแจ่มใส หยอกล้อเล่นหัวกับลูกหลานและสุนัขเลี้ยง ฟังวิทยุ (รายการสุขภาพ) และดูทีวี(ข่าวและกีฬา) นึกครึ้มๆ ก็ยังร้องเพลงเบาๆ เป็นปกติ ความจำมีลืมบ้างตามวัย (ดูดีไปหมดเนอะ)

    ส่วนทางด้านการแพทย์ในระหว่าง 3 ปีแรกนี้ อาจารย์หมอให้เจาะเลือดตรวจค่าซีอีเอทุกสามเดือนเว้นสามเดือน ตัวเลขจะสูงต่ำขึ้นลงต่างกันบ้างเล็กน้อย ระหว่าง 3.1 – 4.1 ในสามปีมีการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ 2 ครั้ง ผลก็คือ “เป็นที่น่าพอใจของแพทย์” ไม่มีติ่งเนื้อเกิดใหม่ในลำไส้ และไม่มีร่องรอยการกลับมาหรือเกิดใหม่ของมะเร็ง

    อาหารและการติดตามผลทางการแพทย์ในปีที่สี่และห้า

    ทางด้านการบริโภคเมื่อขึ้นปีที่สี่ต่อไปจนจบปีที่ห้า ผู้บัญชาการผ่อนคลายเงื่อนไขอาหารลง เริ่มให้กินปลาทะเล สัปดาห์ละ 1-2 มื้อ คือข้าวสวยกับปลาทะเลนึ่ง (เปล่าๆ) หรือต้มยำปลา (ปรุงแต่มะนาวสดและดอกเกลือ) หรือข้าวต้มปลา ส่วนใหญ่ใช้แซลมอน จึงได้น้ำมันปลาและโอเมก้า 3 กับสารอื่นที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากอยู่

    การติดตามผลทางการแพทย์ในปีที่สี่ นอกจากเจาะเลือดดูค่าซีอีเอแล้ว ยังทำซีทีสแกนบริเวณหน้าท้อง เพื่อตรวจดูอวัยวะในท้อง ทั้งลำไส้ และตับไต กับอวัยวะอื่นๆ ซึ่งพบว่า ทุกอย่างปกติดี ยังคง “เป็นที่น่าพอใจของแพทย์”

    ล่วงเข้าปีที่ห้า อาจารย์หมอท่านไม่ประมาท คงยังไม่วางใจนัก และคงสงสัยด้วยว่าเจ้ามะเร็งร้ายหายหัวไปไหนหมด หายไปจริงๆ หรือไปแอบหลบฟักตัวอยู่ที่อวัยวะอื่น โดยเฉพาะปอด ที่พบกันบ่อยมาก

    อาจารย์หมอจึงส่งไปหาอาจารย์หมอผู้ชี่ยวชาญโรคมะเร็งปอด

    สภาพปอดของคนไข้เคยเสพบุหรี่

    วันแรกพบอาจารย์หมอปอด ท่านซักประวัติการเสพ  เล่าว่าเคยเสพบุหรี่อยู่ 20 ปี แต่ก็หยุดเด็ดขาดมา 42 ปีแล้ว สารเสพติดอื่นไม่มี ส่วนแอลกอฮอล์เคยดื่มหนักแต่ก็หยุดมา 10 ปีแล้ว

    หลังการเอกซเรย์ปอด ปรากฏมีร่องรอยเหมือนฝ้าที่ปอด ลักษณะเป็นผงๆ เม็ดๆ ขนาดเล็กมากกระจายอยู่ทั่วๆ ไป วินิจฉัยว่า “ไม่น่าจะผิดปกติ สำหรับคนเคยเสพบุหรี่นานกว่ายี่สิบปี” เพราะไม่พบเม็ดใหญ่ๆ ที่พอจะวัดหรือกำหนดขนาดได้ รวมทั้งนับจำนวนก็ไม่ได้ จึงนัดอีกสามเดือนพบกันใหม่ และให้ทำซีทีสแกนทรวงอกมาก่อน

    ผลซีทีสแกนในสามเดือนต่อมา บ่งชี้ว่า ไม่พบการเพิ่มขึ้น ทั้งจำนวนและขนาดของเม็ดเล็กๆ ที่เห็น

    “ถ้าไม่เคยเป็นมะเร็งที่ใดมาก่อน ก็จะปล่อยผ่านไปแล้ว แต่ตอนนี้พูดได้เพียงว่า ณ ขณะนี้ ทุกอย่างไม่มีสิ่งผิดปกติ”

    อาจารย์หมอปอดอธิบาย เป็นผลให้คนไข้หายใจคล่องปอด และสดชื่นขึ้นมาทันทีเลย

    “เพื่อความไม่ประมาท จะขอติดตามดูขนาดของเม็ดเล็กๆ ที่เห็นต่อไปนะ”

    นัดพบครั้งใหม่อีกหกเดือนต่อมา และให้ทำซีทีสแกนก่อนพบหมอ ผลก็ยังออกมาเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไป

    “หมอว่า เราอย่าเพิ่งใจร้อนกันเลย เอาใหม่ อีกหกเดือน มาพบกันอีกที ทำซีทีสแกนดูกันอีกที เอาให้ชัดๆ”   

    หกเดือนต่อมา จากซีทีสแกน ก็ยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงใดๆ เม็ดและฝ้ายังคงมีอยู่ แต่ไม่เพิ่มจำนวนและขนาดไม่ใหญ่ขึ้น จึงคิดว่าเม็ดเหล่านี้ไม่น่าจะมีผลอะไร และเชื่อว่าไม่น่าจะมีมะเร็งมาอยู่ที่ปอด !

    อาจารย์หมอปอดพูดอย่างมั่นใจ

    “หมอว่า คุณหายจากโรคมะเร็งแล้วละ นี่ก็เลยห้าปีมาแล้วด้วย”

    มะเร็งหายแล้ว !

    เป็นไปได้หรือ

    “แต่เพื่อความไม่ประมาท หมอขอติดตามต่อไปอีกสักพัก” อาจารย์หมอปอดก็ไม่ทอดทิ้งเช่นกัน

    “อีกหกเดือน มาพบอีกทีก็แล้วกัน ทำซีทีสแกนทรวงอกส่วนบน ล่วงหน้าไม่เกินหนึ่งสัปดาห์นะ”

    แต่หลายประโยคท้ายก่อนจากกันนี่ซี ที่ทำให้เกิดอาการปอดกระเส่าขึ้นมาอีก

    “เพียงแต่ ยังมีสิ่งหนึ่งที่หมอสงสัย แต่ก็ไม่มั่นใจ ทั้งไม่ได้ดูแลเคสนี้โดยตรง คือค่าซีอีเอครั้งนี้ มันสูงขึ้นจากเดิม 4.1 เป็น 4.6   แนะนำให้ถามอาจารย์หมอเรื่องนี้ด้วย นะ” แสดงความห่วงใยอย่างจริงจัง

    “หมอไม่สบายใจ ที่ตัวเลขมันสูงขึ้น” อาจารย์หมอปอดย้ำ

    การพบวันนี้เป็นคิวสุดท้าย จึงใช้เวลานานร่วมครึ่งชั่วโมง (เท่าที่สังเกต ท่านจะให้เวลาคนไข้แต่ละคนไม่ต่ำกว่า 20 นาที ทั้งซักถามและตรวจอย่างละเอียด ท่านจะไม่หยุดพักจนกว่าจะหมดคิวคนไข้ที่นัด แม้จะเลยเวลาเที่ยงไปมากแล้วก็ตาม)

    ออกจากห้องหมอมาอย่างมีความสุข สุขจากการได้พบแพทย์ (ทุกท่าน) ที่มีความเป็นแพทย์ยิ่งกว่าแพทย์

    กลับถึงบ้าน สูดหายใจโล่งปอด และเปี่ยมสุข        

    “หมอว่า คุณหายจากโรคมะเร็งแล้วละ”

    สุขที่สุดในโลก (ได้ไหม)

    ห้าปีกว่าแล้ว มะเร็งไปอยู่ไหนนะ

    ถึงวันนัดพบอาจารย์หมอ วันนี้ นับได้ 5 ปี  4 เดือน 5 วัน หลังวันผ่าตัด

    ทันทีที่พบกัน ท่านจ้องมองสำรวจใบหน้าและร่างกายคนไข้ ก่อนลุกเดินมาใช้สเต็ทโตสโคป แนบที่หน้าอกคนไข้ ฟังเสียงหัวใจและภายในทรวงอก ช่องท้อง เลื่อนไปมาทั่วหน้าท้อง แล้วกลับไปนั่ง

    “ภายในก็ดี ไม่ผิดปกติใดๆ เลย” อาจารย์หมอพูดถึงผลการฟังเสียงภายในท้อง (มีแต่เสียงลม) และช่วงอก (มีแต่เสียงหัวใจเต้น – ดังโครมครามหรือเปล่านะ ก็รู้สึกว่ามันเต้นระทึกน่ะ)

    “ท่านอาจารย์หมอปอดฝากให้เรียนว่า ท่านกังวลค่าซีอีเอที่สูงขึ้นครับ” มัวมีความสุขจนเกือบลืมเรื่องนี้

    “ผมเห็นแล้ว ในรายงาน” สีหน้าอาจารย์หมอไม่วิตกกังวลอะไรเลย มีแต่รอยยิ้ม

    “เพิ่มนิดหน่อย ขึ้นไม่ถึง 1 โดยรวมก็ยังไม่ถึง 5 แล้วครั้งนี่ก็แค่ 3.6 เอง” หยุดนิดหนึ่ง

    “ซีอีเอไม่มีผลอะไรหรอก และเลยห้าปีมามากแล้ว ไม่มีมะเร็งแล้ว” อาจารย์หมอจ้องหน้าและพูดอย่างจริงจัง

    “มะเร็งคุณหายแล้ว !”

    “คุณหายแล้ว แต่เรายังจะพบกันต่อ คราวนี้จะเป็นปีละครั้งนะ” ท่านเน้นเหมือนจะให้แน่ใจ ว่าฟังไม่ผิด

    “ขอบพระคุณมากที่สุดครับ” ก้มลงกราบงามๆ บนโต๊ะอาจารย์หมอ ท่านยิ้ม (อีกแล้ว)

    ลุกยืนไหว้ลาอาจารย์หมอ เดินเหมือนลอยออกจากห้องมาอย่างไม่รู้ตัว แต่ในใจคงยังคิดอะไรอยู่แน่ มะเร็งมันหายไปไหน หายไปจริงหรือ หันหาคุณพยาบาล ขอกลับเข้าห้องอาจารย์หมออีกที  ไปยืนพนมมืออยู่ตรงหน้าโต๊ะ ท่านเงยหน้าขึ้นมอง

    “อาจารย์หมอครับ นี่หมายความว่า ผมหายจากโรคมะเร็งแล้ว จริงๆ หรือครับ”

    “ใช่ คุณหายจากโรคมะเร็งแล้ว”

    อ่านตอนที่ 1 และ 2

    ปอมอ = เป็นมะเร็ง (เพราะไม่เชื่อหมอ) ตอน 1

    ปอมอ = เป็นมะเร็ง (เพราะไม่เชื่อหมอ) ตอน 2

    ที่มา นิตยสาร ชีวจิต สั่งซื้อ คลิก

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าติดตาม

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ ทำอย่างไร เมื่อรู้ว่าตัวเอง ” เป็นมะเร็ง “

    ลำไส้ไม่ปกติ มีอะไรบ้างที่พังตาม

    เช็ก 7 พฤติกรรม ทำบ่อยเสี่ยง มะเร็งตับ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    โยคะแก้ปวดหลัง

    โยคะแก้อาการปวดหลัง มัสเยนดราสนะ ทำง่ายกว่าที่คิด

    โยคะแก้ปวดหลัง ทำง่าย ได้ประโยชน์มากกว่าที่คิด

    โยคะแก้ปวดหลัง มีประโยชน์มากนะคะ เพราะหลายคนตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกปวดหลัง แต่ไม่ต้องตกใจไป วันนี้มีท่าโยคะแก้อาการปวดหลัง แบบง่ายๆ มาฝากกันค่ะ

    คุณกาญจนา หรือครูกาญจน์ อดีตนักกรีฑาทีมชาติชุดซีเกมส์ถึงสองสมัย มีประสบการณ์อยู่ในวงการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายตลอดมา ทั้งฟิตเนสและโยคะ อธิบายว่า

    เคยสงสัยว่าทำไมหลังตื่นนอนตอนเช้า คนเราต้องบิดขี้เกียจ จนรู้คำตอบภายหลังว่า นั่นคือ กลไกธรรมชาติ ที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อสร้างสมดุลให้กับร่างกาย หลังจากนอนหรือนั่งเป็นระยะเวลานานๆ ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อไม่มีการเคลื่อนไหว เกิดความเครียดหรือการกดทับทำให้ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ และเกิดอาการปวดหลังได้

    นอกจากนี้ การบิดขี้เกียจยังเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นและกลับมาตื่นตัวอีกครั้ง แม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่การบิดเช่นนี้ไม่สามารถใช้กับอวัยวะบางส่วนได้ โดยเฉพาะกระดูกสันหลัง ซึ่งถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางที่เชื่อมต่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย และเป็นแหล่งรวมเส้นประสาทมากมาย

    วันนี้ ผู้เขียนจึงขอแนะนำการบิดตัวตามศาสตร์ของโยคะ ชื่อท่าว่า Masyendrasana (มัสเยนดราสนะ) ซึ่งเป็นชื่อ “เทพแห่งปลา” ผู้ที่ได้ยินคำสอนจากพระศิวะเพท

    ท่าบิดตัวคลายกระดูกสันหลัง มีข้อดีอย่างไร

    – กระตุ้นเส้นประสาท

    – เพื่อจัดกระดูกสันหลัง

    – เพื่อให้เลือดมาหล่อเลี้ยงกระดูกสันหลังมากขึ้น

    – บีบนวดนวดอวัยวะช่องท้องดีที่สุดเมื่อเทียบกับท่าโยคะแนวอื่น  ถ้าไม่นับการทำเนาลิกับอุทธิยานะพันธะ (ท่าเฉพาะของการโยคะ ที่ไว้ใช้นวดหน้าท้องได้ดีที่สุด)

    – บรรเทาอาการปวดหลังได้ดี

    – ขับลมเสียที่คั่งค้างในช่องท้อง

    เริ่มฝึกปฏิบัติ ท่าโยคะแก้อาการปวดหลัง กันเลยดีกว่าค่ะ

    ปวดหลัง แก้ง่าย ๆ ด้วยท่าต่อไปนี้

    ท่าเตรียม

    โยคะแก้ปวดหลัง, ท่าโยคะแก้ปวดไหล่, ท่าโยคะแก้ปวดคอ, ท่าโยคะ, โยคะแก้อาการปวดขา

    นั่งไขว้ขาโดยวางเข่าซ้ายอยู่ด้านล่าง เข่าขวาตั้งขึ้นดังรูป ประสานมือแล้วยืดกระดูกสันหลัง

    ท่าปฏิบัติ

    หายใจเข้า วางมือขวาและชี้นิ้วมือ ไปทางด้านหลัง ยกแขนซ้ายเหยียดขึ้นไปบนเพดานจนสุดตึง ยืดกระดูกหลัง คอ และขยายทรวงอก

    โยคะแก้ปวดหลัง, ท่าโยคะแก้ปวดไหล่, ท่าโยคะแก้ปวดคอ, ท่าโยคะ, โยคะแก้อาการปวดขา, โยคะแก้อาการปวดหัว

    หายใจออก บิดลำตัวและแขม่วหน้าท้อง เพื่อไขว้แขนซ้ายมาพาดวางด้านนอกเข่าขวา แล้วจับไปที่ข้อเท้า หันไปมองด้านหลัง ผ่านหัวไหล่ขวา

    ค้างท่าไว้ 1-3 นาที หรือ 10 รอบหายใจพร้อมกับส่งสมาธิไปอยู่กับการบิดตัว กระดูกสันหลัง ความสบายของท่า และลมหายใจ  (ไม่ปล่อยให้อยู่ตามธรรมชาติ ย้ำจิตรู้ตามร่างกายเสมอ) เพื่อให้การบิดตัวทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากนั้นค่อยๆ คลายท่าอย่างช้าๆ แล้วเปลี่ยน ทำอีกข้างเช่นกัน

    Emag 419-48-3


    สำหรับผู้ฝึกโยคะเพื่อใช้บำบัดอาการปวดหลัง พยายามรู้จักกับร่างกายตัวเองให้มาก คือรู้ว่าแค่ไหนจึงพอดี และช่วงแรกๆ อาการป  วดอาจยังไม่ดีขึ้น แต่ขอเวลา สัก 2-3 เดือน (ทำทุกวัน) ในการบำบัดนะคะ รับรองเห็นผล

    โยคะเกือบทุกท่าทำหน้าที่ถึง 3 รูปแบบคือ เป็นท่าป้องกัน เป็นท่าแก้ และเป็นท่าบำบัด ประโยชน์มากมายขนาดนี้ ต้องหมั่นลงมือปฏิบัติกันนะคะ

    เรื่อง “มัสเยนดราสนะ โยคะแก้ปวดหลัง ทำง่าย ๆ ได้เองที่บ้าน” จากนิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 419

    3 ท่านอนใช้ “หมอน” แก้อาการปวดหลัง 

    นอกจากเสริมความแข็งแรงให้แผ่นหลังด้วยการบริหารกายแล้ว เราก็มี 3 เทคนิคใช้หมอนเพื่อลดอาการปวดหลังที่ตีพิมพ์ในรายงานพิเศษเรื่อง “อาการปวดหลัง” ของวิทยาลัยการแพทย์ฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา มาฝากอีกด้วย

    1. ท่านอนหงาย นําหมอนหนุนขนาดปกติหรือหมอนข้างสอดไว้ใต้เข่าทั้งสอง
    2. ท่านอนตะแคง โดยก่ายขาข้างหนึ่งบนหมอนหนุนขนาดปกติหรือหมอนข้าง
    3. ท่านอนคว่ำ นําหมอนใบเล็กสอดไว้บริเวณใต้อุ้งเชิงกราน ขยับจนอยู่ในตําแหน่งที่สบาย

    กุญแจสําคัญของเทคนิคเหล่านี้ก็คือ หมอนเป็นตัวช่วยให้ความโค้งกระดูกสันหลังอยู่ในระดับที่เหมาะสม จึงช่วยลดแรงกดที่ทําให้ปวดหลัง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ควรนอนท่าเดิมติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ นะคะ

    ลูกประคบ ทำง่าย แก้อาการปวดเมื่อย

    เคยเห็น ลูกประคบ กลม ๆ อวบ ๆ กันใช่ไหมคะ เจ้าลูกนี้แหละแก้ปวดดีนักแล

    การประคบสมุนไพรคือ การใช้สมุนไพรหลายอย่างมาห่อรวมกัน ส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหยมานึ่งให้ร้อน แล้วจึงใช้ประคบบริเวณที่มีปวด หรือเคล็ดขัดยอก

    น้ำมันหอมระเหยเมื่อถูกความร้อนจะระเหยออกมาความร้อนจากลูกประคบจะช่วยการกระตุ้นไหลเวียนโลหิตที่ดีขึ้น

    สมุนไพรไทยใกล้ตัวบางชนิดมีในครัวให้หยิบฉวยมาค่ะ ปวดเมื่อยเมื่อไร นำมาล้าง สับ ๆ บุบ ๆ ก่อนเดาะการบูร พิมเสนลงไปสักหน่อย ช่วยเพิ่มกลิ่นหอม ห่อเป็นลูกประคบไว้นวดเฟ้นกล้ามเนื้อแข็งเกร็งให้หย่อนคลาย ช่วยลดปวดแสนทรมานให้อาการดีขึ้นจนยิ้มแฉ่ง

    ส่วนผสม (สำหรับลูกประคบ 2 ลูก)

    • ไพลสดล้างสะอาดหั่นชิ้นเล็กประมาณข้อนิ้วก้อย 100 กรัม
    • ขมิ้นอ้อยล้างสะอาดหั่นชิ้นเล็กประมาณข้อนิ้วก้อย 50 กรัม
    • ตะไคร้สดซอย 50 กรัม
    • ใบมะขามสด 50 กรัม
    • การบูร 10 กรัม
    • พิมเสน 10 กรัม
    • ผ้าด้ายดิบขนาด 80&times80 เซนติเมตร
    • ซักให้สะอาด ตากแห้งสนิท 2 ผืน
    • เชือกสีขาวสำหรับมัด
    • ลูกประคบยาว 1.5 เมตร 2 เส้น

    วิธีทำ
    1. บุบสมุนไพรสดทีละชนิดในครกแค่พอแตกแล้วนำมาเคล้ารวมกัน โรยพิมเสน การบูรลงไป เคล้าให้ทั่ว ตักใส่ผ้าขาวบางห่อ และมัดตามวิธี

    2. เมื่อจะใช้นำไปนึ่งในลังถึงประมาณ 30 นาทีให้ร้อน หยิบลูกประคบออกมาทีละลูกพักคลายร้อนสักครู่ ก่อนนำไปกดนวดบริเวณกล้ามเนื้อที่ปวดเกร็ง เมื่อลูกแรกที่ใช้เย็นแล้วเปลี่ยนสลับเอาลูกประคบอีกลูกในลังถึงมาใช้

    ชีวจิต Tips

    1. ก่อนนำลูกประคบไปใช้ ให้ผู้นวดลองนวดบนท้องแขนของตนเพื่อเช็กระดับความร้อนว่าไม่ร้อนเกินไป จึงนำไปใช้
    2. ลูกประคบสดเมื่อทำแล้วหากยังไม่ใช้ให้ห่อพลาสติกอย่างมิดชิดป้องกันกลิ่นแล้วนำไปแช่ในตู้เย็น เก็บไว้ใช้ได้นานประมาณ 5 – 7 วัน
    3. การนวดด้วยลูกประคบเพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว ควรนวดประคบต่อเนื่องประมาณ 30 นาทีขึ้นไป
    4. ผู้ที่มีอาการของไข้พิษ เช่น งูสวัด หัด อีสุกอีใส ฯลฯ ไม่ควรนวดและประคบ

    ลูกประคบ ดีอย่างไร

    ทำไมลูกประคบ จึงมีคุณสมบัติที่ช่วยบรรเทาและรักษาอาการปวดได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะลูกประคบสมุนไพร ใช้หลักการรักษาโดยอาศัยความร้อนจากการนึ่ง ซึ่งจะส่งผลต่อเนื้อเยื่อผิวหนังระดับตื้น กล่าวคือ ความร้อนสามารถทำให้เนื้อเยื่อมีอุณหภูมิสูงขึ้น ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดบริเวณผิวหนังเพิ่มขึ้น ทำให้ของเหลวในร่างกายไหลเวียนไปสู่ เนื้อเยื่อได้ดี สามารถนำพาสารอาหารไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นอ่อนนุ่มลง และเพิ่มอัตราเมแทบอลิซึมได้อีกด้วย

    นอกจากนี้ความร้อนยังส่งผลต่อความ ยืดหยุ่น ลดอาการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดอักเสบเรื้อรัง และลดอาการปวดข้อด้วย

    อย่างไรก็ตาม การใช้ความร้อนในการประคบนั้นอาจให้ผลการรักษาเช่นเดียวกับการใช้ความร้อนเพื่อการรักษาแบบอื่น ๆ อย่างเช่น การใช้แผ่นประคบร้อน ถุงประคบร้อนในการแพทย์แผนปัจจุบัน หรือแม้กระทั่งการทับหม้อเกลือ การเผายาสมุนไพร

    แต่ที่พิเศษกว่าแบบอื่น ๆ คือ ลูกประคบสมุนไพรส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น และอาจมีผลทำให้ระดับความดันโลหิตลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในอาสาสมัครที่มีสุขภาพแข็งแรง

    ลูกประคบสมุนไพรประกอบด้วย สมุนไพรหลากหลายชนิด ทั้งที่มีฤทธิ์เย็น ร้อน เปรี้ยว มีทั้งสารอัลลาคอยด์และน้ำมันหอมระเหย โดยอาศัยความร้อนเป็นตัวนำพาสารสำคัญส่งผ่านรูขุมขน ซึบซาบเข้าสู่เนื้อเยื่อ ส่งผลให้รู้สึกสบาย ผ่อนคลายความตึงเครียด และทำให้อัตราการเต้นของหัวใจลดลง แถมกลิ่นของลูกประคบยังทำให้จมูกโล่งอีกด้วย โดย เฉพาะหากใช้ในคนไข้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ทางเดินหายใจ และโรคหึดชนิดไม่รุนแรง

    แต่ถ้สจะให้ได้ผลดีนั้น ขอแนะนำให้ใช้ลูกประคบสมุนไพรแบบสด ซึ่งจะดีกว่าลูกประคบสมุนไพรแบบแห้ง เพราะว่าความร้อนสามารถนำพาสารสำคัญสู่เนื้อเยื่อผิวหนังได้ดีกว่า แถมมีกลิ่นสดชื่นกว่า ข้อเสียของลูกประคบแห้งคือ มีปริมาณน้ำมันหอมระเหยน้อย เพราะสูญเสียสภาพไปขณะแปรรูปและการทำให้สมุนไพรแห้ง

    ข้อควรระวัง

    การใช้ลูกประคบสมุนไพรก็มีข้อควรระวังอยู่เหมือนกัน เช่น คนที่มีอาการแพ้สมุนไพรจากลูกประคบ คนที่มีแผลสดหรือแผลติดเชื้อ คนที่มีอาการชาตามผิวหนัง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะอาจทำให้เกิดอาการผิวหนังไหม้พุพองได้เช่นกัน

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ผู้ป่วยมะเร็ง ออกกำลังกายอย่างไรดี ?

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    วิธีแก้ปวดหลัง แบบไม่พึ่งยา แค่ออกกำลังกายเอง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ซอสมะเขือเทศโฮมเมด

    ซอสมะเขือเทศโฮมเมด จากห้องครัวปูเป้

    ซอสมะเขือเทศโฮมเมด จากห้องครัวปูเป้ คุณสุพัตรา อุสาหะ

    ครั้งนี้คุณปูเป้จะนำเสนอ ซอสมะเขือเทศโฮมเมด แบบปลูกเอง ปรุงเอง กินเอง แจกจ่ายและขายด้วยในแบบของเธอ

    ทุกครั้งที่คุณปูเป้ไปสาธิต หรือสอนการทำอาหาร เครื่องปรุง หรือเครื่องดื่มโฮมเมดให้ผู้สนใจฟัง จะบังเกิดพลังบวกขึ้นรอบเวที เนื่องมาจากตัวเธอมีพลังร่างกายและสมองที่ล้นเหลือ จากการปลูก ปรุง กินแบบห้องครัวมินิของเธอ

    “ที่ทำซอสมะเขือเทศเกิดจากเป้ปลูกมะเขือเทศแล้วมันออกลูกดกมาก แค่ปลูกสองสามต้นเองนะ เรากินไม่ทันหรอก เพราะกินคนเดียวด้วย ก็มาคิดว่ามะเขือเทศทำอะไรได้บ้างนะ เลยเสิร์ชข้อมูลวิธีทำซอสมะเขือเทศ มันทำไม่ยากเลยเก็บมะเขือเทศมาครึ่งกิโล ก็ดูสูตรว่าเขาใส่อะไรบ้าง แต่เราไม่ได้ชั่งตวงวัดตามสูตรนะ ปรุงได้รสชาติที่ชอบก็โอเค แต่ก็มีมาปรับสูตรบ้างตามสิ่งที่เรามีในบ้าน คือในสูตรใช้หอมหัวใหญ่ให้ความหวานแทนน้ำตาลสำหรับคนไม่ชอบหวาน

    แต่ในตอนนั้นครัวเป้ไม่มีหอมหัวใหญ่ มีแต่หอมแดง ก็ใส่หอมแดงแทน เพียงแต่ใส่เล็กน้อยเพื่อให้ความหวาน ใส่มากไม่ได้เพราะมีกลิ่นฉุน แล้วเติมน้ำตาลทรายไม่ขัดสีเพิ่มลงไปเล็กน้อย และเราชอบกลิ่นกานพลูก็ใส่เพิ่มลงไปเล็กน้อยกลายเป็นสูตรที่เราชอบ”

    นอกจากซอสมะเขือเทศโฮมเมดที่เธอทำเองแล้ว ในห้องครัวมินิยังมีอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องปรุงรสอีกหลายชนิดที่เธอทำด้วยความอุตสาหะและตั้งใจ ซึ่งมาจากผักผลไม้ที่เธอปลูกไว้รอบบ้าน

    “เมื่อก่อนเป้ใช้ชีวิตแบบคนกลางคืน คือเปิดร้านอาหาร ฝากชีวิตไว้กับเชฟที่ร้าน ไม่เคยทำอาหารเองเลย กินข้าวมื้อดึก นอนตีสามตีสี่ แต่กลับมานึกย้อนว่า เราใช้ชีวิตแตกต่างจากคนอื่น กลางวันเป็นกลางคืน กลางคืนเป็นกลางวัน จะใช้ชีวิตอย่างนี้ต่อไปตลอดเหรอ มันไม่ยั่งยืน ทั้งการงาน สุขภาพ จึงค่อยปรับตัว แล้วเริ่มหางานที่เราชอบ คือ การทำอาหารการปลูกต้นไม้ และงานแฮนด์เมด

    “สมัยยังเป็นเด็ก บ้านเราทำอาหารเอง ปู่ย่าจะฝึกหลานทุกคนให้ทำกับข้าวเป็น ต้องใช้คำว่าตระกูลอุสาหะ จะทำกับข้าวเป็นทุกคนเพราะได้รับการปลูกฝังมาอย่างนี้ ยิ่งพอมาทำงานอยู่่บ้านคนเดียว เราเป็นคนกินน้อย กินง่าย ก็เลยทำอาหารเอง ทำง่าย ๆ แบบไม่ปรุงรสชาติก็โอเคแล้ว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้เราเลือกวัตถุดิบเอง จะใส่ผักโน่นผักนี่ตามชอบ

    “รวมกับมีกระแสเรื่องสารเคมีตกค้างในพืชผักเยอะ แล้วเราเป็นคนไม่กินเนื้อสัตว์ กินผักเยอะกว่าเนื้อสัตว์ ก็มองว่าควรปลูกผักกินเอง ตอนนั้นที่บ้านไม่มีพื้นที่ มีระเบียงชั้นสองยื่นออกไปสามเมตร ก็ลองปลูกผักจากต้นที่ปลูกง่าย ๆ และจากความชอบคือ ชอบกินเผ็ดก็ปลูกพริก ชอบกินผัดกะเพราก็ปลูกกะเพรา หรือไปร้านจิ้มจุ่มมีต้นโหระพาก็เอามาจิ้มลงดินมันก็งอกงามดี จากน้นั เราเลยขยับขยายพันธ์ุพืชเพิ่มขึ้น ชีวิตเริ่มพลิกผันจากตรงนี้แหละ”

    ความพลิกผันคือ เธอมีความสุขในการปลูกและปรุงกินเอง เพราะเหมือนว่าได้ดูแลสุขภาพอย่างเต็มร้อย ที่สำคัญเธอยังค้นพบว่าสามารถบริหารจัดการเวลาและยังหารายได้จากการปลูกเอง ปรุงเองของเธอได้ด้วย

    “พอมาอยู่คนเดียว ไม่ได้ทำงานประจำ ก็มีเวลาทำอาหารกินเองแทบทุกมื้อเลย แต่เราก็เข้าใจคนทำงานนอกบ้านนะ ที่เขาอาจไม่มีเวลา แต่เป้ก็ค้นพบว่า จะรอให้มีเวลาแล้วมาทำกับข้าวกินเองคงไม่ใช่ มันคือการจัดเวลา เช่นรู้ว่าไม่ใช่คนตื่นเช้า อาหารเช้าเราควรจะเตรียมไว้ตั้งแต่กลางคืนก่อนนอน คิดไว้เลยว่าจะทำอะไรง่ายสุด อย่างแซนด์วิชทำง่ายมาก เพราะเป็นคนทำขนมปังเอง เช้ามาก็แค่เอาขนมปังมาวางไข่ดาวออร์แกนิกวางลงไป วางผัก โรยพริกป่น แค่นี้ก็เป็นมื้อเช้าที่โอเคแล้ว

    หรือถ้ากินอาหารเช้าหนัก ๆ ไม่ไหว กินสลัดไหม แต่ถ้ากินลำบากก็ปั่นสิ ผักทุกอย่างที่กินดิบได้เอามาใส่โถปั่น ใส่ขวดนั่งกินไประหว่างขับรถ มันก็อยู่ท้องเหมือนกัน นี่คือเรื่องการจัดเวลา แต่สิ่งสำคัญที่จะบอกต่อคือ เราต้องรู้ที่มาของอาหาร”

    คุณปูเป้มักบอกตัวเองและทุกคนที่มาพูดคุยกับเธอเสมอว่าให้สนใจ

    “ที่มาของอาหาร”

    “บางคนเข้าใจว่าที่มาของอาหารคือ ซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตไหนอันนี้ไม่ใช่ แต่คือรู้ว่าผักผลไม้ หรืออาหารผลิตอย่างไร ปลูกแบบไหน แบบอินทรีย์ปลอดสาร หรือใช้สารเคมี ใครเป็นคนปลูก เชื่อถือได้แค่ไหน มีกระบวนการผลิตและแปรรูปอย่างไร เป้พยายามสื่อสารให้คนรู้ถึงเรื่องนี้ เพราะเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกอาหารที่จะนำมาปรุงในบ้านเรา”

    นอกจากการทำอาหารกินเองและรู้จักเลือกแหล่งอาหารปลอดภัย จะทำให้เธอมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง ความดัน เบาหวาน หัวใจ ผลตรวจเลือดล่าสุดก็อยู่ในเกณฑ์ดีสุด ๆ ทำให้สบายใจว่าเธอได้ดูแลตัวเองเต็มที่แล้ว ไม่ว่าในอนาคตจะมีปัญหาสุขภาพเป็นโรคร้ายแรงอะไรหรือไม่ เธอพร้อมจะน้อมรับ เพราะถือว่าอยู่เหนือการควบคุมจริง ๆ

    แต่ที่สามารถควบคุมและบริหารจัดการได้คือรายได้จากการทำผลิตภัณฑ์โฮมเมดจำหน่าย ซึ่งเธอแนะนำว่าไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำ
    หรือฟรีแลนซ์สามารถทำได้ทั้งนั้น

    “เป้มีทางเลือกให้คนทำงานแบบนี้ว่า คุณกลับมาจัดเวลาให้ได้แล้วลองทำซอสโฮมเมด ซีอิ๊วโฮมเมด อย่างซีอิ๊วถั่วเหลืองลงทุนหาโหล 10 ลิตร 2 ใบ หมักทิ้งไว้ 3 เดือน ระหว่างรอก็หมักเพิ่มอีก ทำไปเรื่อย หรืออย่างปลูกอัญชันไว้ลองเก็บมาทำน้ำส้มดอกอัญชัน หรือถ้าไม่ปลูกลองไปเดินตลาดสีเขียว ชาวบ้านเขาเอามาขายกันเยอะ

    หมักทิ้งไว้ 3 เดือน เอามาขายผ่านเฟซบุ๊กหรือหิ้วไปออฟฟิศ เชื่อเถอะเพื่อนในออฟฟิศเราต้องมีอย่างน้อยสักคนสองคนที่เขามีข้อจำกัดเรื่องเวลา ไม่มีเวลาทำเอง แต่อยากได้ผลิตภัณฑ์ ก้าวแรกอาจจะยาก แต่พอลองเริ่มทำแล้ว คุณจะรู้ว่าไม่ยาก และเป็นช่องทางสร้างรายได้ที่ดีทีเดียว”

    เห็นไหมคะว่า วิถีห้องครัวสีเขียวของปูเป้สามารถสร้างอาหาร สร้างงาน สร้างสุขภาพให้เราได้ ถ้ารู้จักบริหารเวลาให้เป็น

    ซอสมะเขือเทศโฮมเมด

    ส่วนผสม

    มะเขือเทศราชินีหรือมะเขือเทศเนื้อ 1/2กิโลกรัม
    หอมเล็ก 2 – 3 หัว
    กระเทียม 3 – 4 กลีบ
    ดอกเกลือ 1 ช้อนชา
    น้ำตาลทรายไม่ฟอกขาว 1 ช้อนโต๊ะ
    น้ำส้มสายชูหมักธรรมชาติ 1 ช้อนโต๊ะ
    กานพลู 3 – 4 ดอก
    อบเชย 1 แท่ง
    น้ำเปล่าพอท่วมมะเขือเทศ

    วิธีทำ

    1. วางมะเขือเทศลงในหม้อตุ๋น เทน้ำลงไปจนท่วมมะเขือเทศ นำกานพลูและอบเชยใส่ถุงผ้ามัดปม ใส่ลงในหม้อตุ๋น ตามด้วยกระเทียมและหอมเล็ก ตุ๋นด้วยไฟอ่อนจนกว่ามะเขือเทศเละ
    2. ตั้งมะเขือเทศที่ตุ๋นได้ทิ้งไว้ให้เย็น ตักถุงผ้าห่อกานพลูและอบเชยขึ้น ถ้าใช้มะเขือเทศเนื้อต้องลอกเปลือกออก หลังจากนั้นนำไปปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเนียน
    3. ปรุงรสด้วยดอกเกลือ น้ำตาลทรายไม่ฟอกขาว น้ำส้มสายชูหมักตามธรรมชาติ คนให้เข้ากัน กรองด้วยกระชอนตาถี่หรือจะใช้ผ้าขาวบางซ้อนสองชั้นกรองก็ได้
    4. เทส่วนผสมที่กรองได้ลงในหม้อตุ๋น ตุ๋นด้วยไฟอ่อนหมั่นคนเพื่อไม่ให้ก้นหม้อไหม้ รอควันขึ้นทั่วหม้อประมาณ 15 นาที จากนั้นบรรจุใส่ขวดที่ฆ่าเชื้อแล้ว ปิดฝา

    ชีวจิต Tips

    1. เราสามารถเติมน้ำตาลทรายไม่ฟอกขาวหรือน้ำส้มสายชูหมักมากขึ้น เพื่อความเข้มข้นของรสชาติ
    2. สามารถใช้มะเขือเทศได้ทุกพันธุ์ แต่ที่นิยมใช้คือ มะเขือเทศลูกเล็ก เช่น มะเขือเทศราชินีเพราะมีรสชาติเข้มข้น เมื่อนำไปต้มจะเปื่อยง่ายทั้งเปลือกและเมล็ด เวลาปั่นก็จะได้เนื้อละเอียด
    3. การบรรจุซอสมะเขือเทศแบบร้อน หมายถึง การนำขวดไปนึ่งฆ่าเชื้อโรคประมาณ 15 นาทีให้ขวดร้อน แล้วเทซอสมะเขือเทศที่ตุ๋นใหม่ ๆ บรรจุลงในขวดร้อนเลย จะสามารถเก็บในตู้เย็นได้นานถึง 2 เดือน
    4. การบรรจุซอสมะเขือเทศแบบเย็น หมายถึง การนำขวดไปนึ่งหรือต้มฆ่าเชื้อโรค 15 นาที แล้วนำขวดไปผึ่งให้แห้ง นำไปบรรจุซอสที่ตุ๋นแล้วและตั้งทิ้งไว้ให้เย็น ซึ่งวิธีนี้ต้องระมัดระวังเรื่องการปนเปื้อน จากการสัมผัสปากขวดหรือการตากขวดในบริเวณที่มีฝุ่นผง

    เรื่อง ชมนาด

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    น้ำเต้าหู้ ของดีใกล้ตัว บำรุงสมอง ดูแลหัวใจ

    ทำไม วัยทองเสี่ยงโรค หัวใจและหลอดเลือด และโรคกระดูกพรุน

    พฤติกรรมอันตราย ก่อโรคหัวใจ

    อาหารบำรุงหัวใจ ของดีใกล้ตัว มีอยู่ในตู้เย็น

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    оформить карту рассрочки онлайн

    หัวใจวาย

    เทคนิครับมือ 3 สัญญาณอันตรายก่อน หัวใจวาย

    สัญญาณอันตรายก่อน หัวใจวาย

    หัวใจวาย น่ากลัวใช่ไหม … ไม่ต้องกังวล คุณหมอสันต์มีวิธีป้องกันก่อนหัวใจหยุดเต้นกระทันหันมาฝาก

    เวลเนสคลาส (Wellness Class) ต้องการนำความรู้ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนสุขภาพที่ผมสอนที่เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ (Wellness We Care Center) มาให้ได้เรียนรู้ โดยไม่จำเป็นต้องไปเข้าคอร์สด้วยตัวเอง

    ชั้นเรียนแรกเป็นชั้นเรียนที่ชื่ออาร์ดี 1 (RD 1) ฟังชื่อแล้วไม่เก็ตเลยใช่ไหมครับ อาร์ดี 1 ย่อมาจากประโยคเต็มว่า Reversing Disease by Yourself แปลว่า “ชั้นเรียนวิธีพลิกผันโรคด้วยตัวคุณเอง” เลขหนึ่งที่ห้อยท้ายจึงหมายความว่าเป็นบทเรียนแรกหรือครั้งแรก

    แรกเริ่ม ชั้นเรียนนี้จัดขึ้นสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) ฟังชื่อแล้วก็ไม่เก็ตเลยเช่นกันใช่ไหมครับ โรคหลอดเลือดแดงแข็ง แปลว่าโรคหลอดเลือดตีบที่เป็นความผิดปกติพื้นฐานของโรคไม่ติดต่อ ยอดนิยมทั้งหลายทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ได้แก่ โรคหัวใจ โรคอัมพาต โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันสูง และโรคอ้วน

    คุณลองนึกภาพคอร์สสุขภาพที่นำคนเป็นโรคเหล่านี้ระดับไปไหนไม่รอดแล้วมารวมกัน แบบว่ารายหนึ่งก็บอลลูนไปสองครั้ง บายพาสไปหนึ่งครั้ง หมอจะให้บายพาสอีกสักหนจนบางท่านกว่าจะผูกเชือกรองเท้าได้เรียบร้อยก็ต้องหยุดอมยาเสียก่อนหนึ่งครั้ง ประมาณนี้

    เมื่อรวมผู้ป่วยระดับนี้มาเข้าแคมป์กินนอนเพื่อเรียนรู้วิธีดูแลตัวเอง ทั้งการกินอาหาร การออกกำลังกาย และอื่น ๆ มันน่าเสียวไส้ไหมล่ะครับ อิอิผมก็เสียวนะ

    การเตรียมแคมป์แบบนี้ก็ต้องว่ากันเต็มยศ มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตฉุกเฉินครบเทียบเท่าห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ มีเครื่องช็อร์ตไฟฟ้า หมอเวชบำบัดฉุกเฉินที่คล่องแคล่วว่องไวอยู่กินนอนประจำร่วมกับผู้ป่วยตลอดคอร์ส มีพยาบาลเวชบำบัดฉุกเฉินที่แก่วัด เอ๊ยไม่ใช่…แก่วอร์ดได้ที่แล้วตามประกบอย่างใกล้ชิด

    แต่เชื่อไหมครับ ทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามานั้นฟังดูขลังและน่าเลื่อมใสดี แต่แทบไม่มีความหมายอะไรเลย

    ที่พูดมาเนี่ยไม่ได้ปรามาสความจำเป็นของการบำบัดฉุกเฉินนะครับ เพราะตัวผมเองก็เป็นหมอที่คร่ำหวอดอยู่กับการช่วยชีวิต การปั๊มหัวใจมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ถึงขั้นเคยได้ร่วมงานกับสมาคมหัวใจอเมริกัน (AHA) พัฒนากระบวนการช่วยชีวิตเรื่อยมาเป็นเวลาร่วมยี่สิบปี และร่วมงานกับสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย พัฒนาระบบการช่วยชีวิตของเมืองไทยขึ้นมาจนเป็นมาตรฐานเดียวกันอย่างทุกวันนี้

    แต่ท้ายที่สุดเรามาลงเอยเป็นเอกฉันท์ตรงที่ว่า ในการช่วยชีวิตหรือการฟื้นคืนชีพนี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่าการจัดการในระยะก่อนที่หัวใจจะหยุดเต้น (Pre-cardiac arrest management) ซึ่งก็บังเอิญเหลือเกินที่คนทำการจัดการที่ว่านี้ได้ดีที่สุดไม่ใช่หมอเวชบำบัดวิกฤตที่เก่งกาจที่ไหน แต่เป็นตัวคนไข้เอง

    ปลายทางของโรคหลอดเลือดแดงแข็ง ไม่ว่าจะมาจากทางสายเบาหวานสายอัมพาต สายความดันโลหิตสูงสายหัวใจขาดเลือด สายไขมันสูงหรือสายอ้วน มักจะมาจบที่เดียวกันคือ การตายกะทันหันจากอวัยวะสำคัญขาดเลือดเฉียบพลัน อวัยวะสำคัญที่ว่าอาจเป็นหัวใจหรือสมองก็ได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นหัวใจมากกว่าสมองเราเรียกว่า Heart Attack หรือเรียกแบบบ้าน ๆ ว่า “หัวใจวาย” ก็ได้ความเหมือนกัน

    ถ้าจุดจบตรงนี้คือจุดเริ่มต้นของหัวใจหยุดเต้น และหลักวิชาฟื้นคืนชีพ (Resuscitation) บอกว่าอะไรก็ไม่สำคัญเท่าการจัดการก่อนที่หัวใจจะหยุดเต้น ดังนั้นมันจึงสำคัญมากใช่ไหมครับที่คนป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังทั้งหลาย หรือแม้กระทั่งคนทั่วไปที่ยังไม่ป่วยจะได้เรียนรู้ไว้เสียแต่ต้นมือว่า ปัจจัยอะไรบ้างที่จะนำเราไปสู่ภาวะหัวใจวายและตายกะทันหัน

    หัวใจวาย

    ปัจจัยที่นำไปสู่ หัวใจวาย กะทันหัน    

    1. โรคที่เป็นงอมได้ที่จนต่อมไขมันบนหลอดเลือดแตกออก

    แหม ข้อนี้ไม่ต้องเอาหลักฐานวิทยาศาสตร์มาอ้างก็ได้ คนธรรมดาใครๆ ที่ไหนก็รู้กันทั่วว่าคนเป็นโรคมานานจนงอมได้ที่ก็ต้องตายง่าย ถูกไหมครับ

    คำตอบก็คือ… อาจจะไม่ถูกนะ เพราะการชันสูตรหลอดเลือดหัวใจของผู้ที่เกิดหัวใจวายเสียชีวิตกะทันหันเกินครึ่งพบว่า โรคยังไม่ทันงอมได้ที่เลยไม่มีต่อมไขมันแตกเติกอะไรเลย บางคนที่อายุระดับสามสิบปลายๆ สี่สิบต้นๆ เพิ่งจะเริ่มเป็นโรค แต่ก็มาหัวใจวายตายเสียแล้ว โดยที่ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าตัวเองเป็นโรค ดังนั้นจึงต้องมีปัจจัยอื่นที่มาร่วม “ซ้ำเหงา” ให้เกิดเรื่องทั้งๆ ที่หลอดเลือดเพิ่งเริ่มเป็นโรคเท่านั้นเองปัจจัยซ้ำเหงาที่ว่าคือ…

    2.ความเครียดเฉียบพลันที่เจ้าตัวไม่รู้วิธีรับมือ

    งานวิจัยทางระบาดวิทยาพบว่า ผู้ที่เสียชีวิตกะทันหันจำนวนหนึ่งมีความเครียดเฉียบพลันเป็นตัวเหนี่ยวนำ วิทยาศาสตร์รู้มานานแล้วว่าความเครียดทำให้หลอดเลือดหดตัว ถ้าเครียดมากก็หดมาก ถ้าเครียดมากที่สุดก็หดแบบไม่ยอมคลายถ้าเป็นการหดที่หลอดเลือดหัวใจเรียกว่า Coronary Spasm

    ความเครียดระดับนี้พูดภาษาบ้านๆ ก็คือ เป็นความเครียดระดับ “ปรี๊ดแตก” คือปากสั่นคอสั่น พูดจะไม่เป็นคำแล้วถ้าไม่รู้วิธีรับมือก็จะม่องเท่งได้ง่ายๆ

    ดังนั้นทุกท่านต้องมีวิทยายุทธ์ในการรับมือกับความเครียดเฉียบพลันคือต้องฝึกสติ รู้ตัวว่าอารมณ์เรากำลังเดือดปุดๆ หรือยัง ถ้าเห็นว่าเริ่มจะปุดๆ แล้ว ให้รีบพาตัวเองออกจากสถานการณ์นั้นทันที อย่างน้อยก็ให้หายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ระบายลมหายใจออก พร้อมกับบอกกล้ามเนื้อทั่วตัวให้ผ่อนคลาย บอกใจให้ปล่อยวางเสียเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้…ตายไม่รู้ด้วยนะ

    3.การที่ระดับไขมันในเลือดสูงขึ้นพรวดพราด

    เช่น หลังอาหารมื้อหนักๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ซึ่งมีไขมันจากสัตว์สูงงานวิจัยพบว่า หลังมื้ออาหารประเภทนี้ไขมันในเลือดจะสูงขึ้น แม้จะสูงแป๊บเดียวก็จริง คือสูงอยู่ประมาณชั่วโมงกว่า แล้วลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว แต่ฤทธิ์ของไขมันในเลือดสูงจะมีผลอยู่นานถึง 4 – 6 ชั่วโมง

    ฤทธิ์ที่ว่านั้นคือ เลือดจะหนืดขึ้นไหลช้าลง เมื่อเอาอัลตราซาวนด์สอดเข้าไปถ่ายรูปหลอดเลือดดู ก็พบว่าหลอดเลือดหดตัวแน่นไม่ยอมคลายเพราะไขมันทำลายกลไกการผลิตก๊าซไนตริกออกไซด์ (NO) ที่คอยทำให้หลอดเลือดขยายตัว จังหวะที่หลอดเลือดหดตัวฟุบควบกับเลือดหนืด นื้ดหนืด เนี่ยแหละ ลิ่มเลือดก็ก่อตัวขึ้นและอุดตันหลอดเลือดที่ตีบอยู่แล้ว…จึงเป็นเรื่อง

    ดังนั้นการจะป้องกันการตายกะทันหันจากสาเหตุนี้ก็มีวิธีเดียวคือ อย่ากินไขมันมาก

    แหม หมอสันต์เนี่ย ขู่กันเสียขนลุกแล้ว…

    ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ทุกท่านรับข่าวสารกลับบ้านสองประเด็นเท่านั้น คือให้หัดดับความเครียดเฉียบพลันก่อนที่ปรี๊ดจะแตกและ…อย่ากินไขมันมาก

    จาก คอลัมน์ WELLNESS CLASS นิตยสารชีวจิต ฉบับ 416 (1 กุมภาพันธ์ 2559)

    ชีวจิต Tips อาหารบำรุงหัวใจ ล้วนเป็นพืชผักใกล้ตัว 

    หัวใจ และหลอดเลือดเป็นอวัยวะสำคัญลำดับต้นๆ ของร่างกายเราเลยค่ะ แต่ก็เป็นอวัยวะต้นๆ เช่นเดียวกันที่มักมีโรคภัยมาก่อกวน แต่โรคเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็มาจากพฤติกรรมการกิน และการใช้ชีวิต ดังนั้นเรามากิน อาหารบำรุงหัวใจ กันดีกว่าเพื่อดูแลหัวใจดวงน้อยๆ ให้แข็งแรงอยู่เสมอ

    หอม ทั้งหอมหัวใหญ่ หอมเล็ก และต้นหอม

    มีข้อดีในเรื่องการช่วยบำรุงเลือดและหัวใจ เนื่องจากในหอมจะมี สารพลาโวนอยด์ที่ช่วยยับยั้งไม่ให้เกล็ดเลือดไปรวมตัวกันจนแข็งตัวแล้วไปอุดตันตามเส้นเลือด ทำให้ลดความเสี่ยงที่จะป็นโรคหัวใจลงไปได้ นอกจากนี้หอมต่างๆ ยังช่วยลดอาารอักเสบ แก้หวัด คัดจมูก และยังมีสารเควอร์ซิทิน ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ จึงป้องกันโรคมะเร็งได้

    พริก

    มีสารแคปไซซินที่ให้ความเผ็ด ช่วยทำให้จับกลุ่มของเกล็ดเลือด ลดการสร้างไขมันในร่างกาย ลดการดูดซึมไขมันในเส้นเลือด ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้หัวใจสูบฉีดเลือดไปใช้ได้สะดวก ไม่มีเลือดมาอุดตันตามหลอดเลือด

    ใบบัวบก

    มีธาตุเหล็กสูง ซึ่งธาตุเหล็กเป็นสารช่วยบำรุงหัวใจ และยังมีสรรพคุณที่ช่วยบำรุงเลือด ป้องกันการเป็นโรดเลือดจางช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรงขึ้น และยังช่วยแก้อาการชำในและร้อนในด้วย โดยวิธีการทำใบบัวบกรับประทาน ให้นำก้านและใบมาล้างให้สะอาด จากนั้นนำมาบดให้ละเอียดและคั้นเอาส่วนที่เป็นน้ำไปต้ม อาจจะเติมน้ำตาลหรือเกลือบ้างเล็กน้อย เสร็จแล้วก็นำมาดื่มได้เลย

    กระเจี๊ยบแดง

    นำกระเจี๊ยบแดงมาต้มกับน้ำ แล้วเติมน้ำตาลลงไปเล็กน้อยเพื่อลดความเปรี้ยว หากดื่มบ่อย ๆ จะช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ลดความดันเลือด บำรุงเลือดให้ไหลเวียนดีขึ้น เป็นการบำรุงร่างกายได้ หรือจะนำกระเจี๊ยบแดงมาต้มกับพุทราจีนก็ช่วยกำจัด ไขมันไม่ดีในร่างกายได้

    ข้อมูล คอลัมน์ เรื่องพิเศษ นิตยสารชีวจิต ฉบับ 541


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ฉี่แล้วอย่าเพิ่งกด! สังเกตปัสสาวะ สักนิด สังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย

    โรคเบาหวาน กับความเข้าใจผิด ๆ ที่ทุกคนควรรู้ หมอตอบเอง

    อาหารของโรคไต ป้องกันภาวะไตเสื่อม

    เมื่อ ทวารหนักผิดปกติ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    การล้างพิษตับ

    บ.ก.ขอตอบ : สงสัยเรื่อง การล้างพิษตับ จะต้องทำอย่างไร

    การล้างพิษตับ จะต้องทำอย่างไร

    การล้างพิษตับ หรือการขับท็อกซินออกจากตับ โดยการปรับพฤติกรรมการกิน เพื่อให้กระบวนการล้างพิษมีประสิทธิภาพขึ้น แล้วต้องทำอย่างไร บก.มีคำตอบค่ะ

    ถาม

    ได้ยินเรื่องการล้างพิษตับมานาน แต่ไม่เคยลองทำสักที ไม่กล้าครับ ที่จริงอยากรู้ว่า การล้างพิษตับจำเป็นหรือเปล่า คนเราจะต้องทำด้วยหรือครับ

    บ.ก.ขอตอบ

    จะว่าไป ขอให้เครดิต ดร.สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิตหน่อยนะคะ ท่านน่าจะเป็นผู้นำคำว่า “ดีท็อกซ์” หรือแปลเป็นไทยว่า การล้างพิษมาใช้ในบ้านเรา โดยเริ่มจากคำว่า “ท็อกซิน” หรือพิษ ที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมี หรือการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในร่างกายเรา ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

    และจากข้อมูลในหนังสือ Cracking the Metabolic Code: The Nine Keys to Peak Health โดยคุณหมอเจมส์ บี. ลาเวลล์ (James B. Lavalle R.P.H. C.C.N. N.D.) พบว่า ตับจะเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยขับท็อกซินออกจากร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นท็อกซินที่เกิดจากการย่อยอาหารและเผาผลาญพลังงานในร่างกายเรา รวมทั้งฮอร์โมน หรือท็อกซินที่เข้าสู่ร่างกายจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสารอนุมูลอิสระ สารเคมีที่ใช้ในบ้าน มลพิษจากสิ่งแวดล้อม ยาต่างๆ

    ฉะนั้น บ.ก.จึงอนุมานได้ว่า คำว่า “ล้างพิษตับ” ที่ได้ยินกันในปัจจุบันน่าจะมาจากวิธีคิดว่าจะ “เอาพิษออกจากตับ” โดยอิงความรู้ตั้งต้นดังกล่าว

    อย่างไรก็ตาม หนังสือของคุณหมอเจมส์ ไม่ได้กล่าวถึงกระบวนการล้างพิษตับอื่นใด โดยเฉพาะในแบบที่เราได้ยินได้ฟังกันในบ้านเรา คุณหมอเจมส์กล่าวถึงการเลี่ยงท็อกซินจากภายนอก ได้แก่

    • ท็อกซินที่เกิดจากภาวะโลกร้อน เช่น ชั้นโอโซนลดลง แสงแดด
    • โลหะที่เป็นพิษต่อร่างกาย เช่น อะลูมิเนียม แคดเมี่ยม
    • ยาฆ่าแมลง และยากำจัดศัตรูพืช
    • fungicide fumigant fertilizer ที่ปะปนอยู่ในดิน
    • น้ำยาทำความสะอาด
    • พรม
    • คอมพิวเตอร์
    • เครื่องใช้ไฟฟ้า ทีวี
    • สารกันบูด
    • คาร์บอนมอนน็อกไซด์
    • แอลกอฮอล์
    • นิโคตินในบุหรี่

    โดยเน้นการกินอาหารที่อุดมไปด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ เพื่อสร้างสมดุลในกลไกการขับท็อกซินหรือขับพิษในตับ และลดการสะสมของอนุมูลอิสระที่จะไปขัดขวางกระบวนการขับท็อกซิน หรือขับพิษของตับ เช่น วิตามินซี วิตามินอี แคโรทีนอยด์  ซีเรเนียม

    ฉะนั้นกล่าวโดยสรุปคือ การล้างพิษตับ คือการปรับพฤติกรรมการกิน เพื่อให้กระบวนการล้างพิษมีประสิทธิภาพขึ้นนั่นเอง

    (พบกับรายละเอียดการล้างพิษตับ อาหารและเมนูที่ช่วยตับในการขับพิษให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งเรื่องราวของโรคตับ ไวรัสตับอักเสบ ไขมันพอกตับ พร้อมวิธีการป้องกันและรักษา ในนิตยสารชีวจิต ฉบับวันที่ 16 สิงหาคม 2560)

    ส่วนการล้างพิษ หรือการขับท็อกซินออกจากร่างกายนั้น นอกจากตับ ร่างกายยังสามารถขับผิดออกทางผิวหนัง ในรูปของเหงื่อได้อีกด้วย

    อาจารย์สาทิส กล่าวถึงวิธีการดีท็อกซ์หรือกำจัดท็อกซินออกจากร่างกาย มีอยู่ด้วยกัน 5 วิธี ได้แก่

    1. การอบไอน้ำ อบซาวน่า
    2. การออกกำลังกาย และการนวด
    3. การใช้ยา-สมุนไพร และเอนไซม์
    4. การถ่ายเลือด
    5. การสวนทวาร

    การล้างพิษแบบชีวจิต

    ท็อกซ์ด้วยการสวนทวารด้วยน้ำกาแฟ, ล้างพิษสะสมที่ตับ, ดีท็อกซ์แบบชีวจิต, น้ำกาแฟ, ล้างพิษ
    ท็อกซ์ด้วยการสวนทวารด้วยน้ำกาแฟ ช่วยล้างพิษสะสมที่ตับ

    สำหรับคนที่รู้จักชีวจิตอยู่ก่อนแล้ว จะรู้ว่าชีวจิตแนะนำให้ล้างพิษด้วยการสวนทางทวาร โดยใช้น้ำกาแฟ ซึ่งเป็นการกำจัดท็อกซินที่คั่งค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ ไม่ใช่ทำเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยของโรค หรือเพื่อแก้อาการท้องผูก แต่อย่างใด การถ่ายอุจจาระออกมาด้วยถือว่าเป็นผลพลอยได้เท่านั้น

    จะว่าไปวิธีล้างพิษแบบนี้ ค้นคิดโดย นายแพทย์แมกซ์ เกอร์สัน ผู้ก่อตั้งสถาบันการแพทย์เกอร์สัน เมืองซานดิเอโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งครั้งที่ บ.ก.ไปร่วมอบรมวิธีการดูแลตนเองและผู้ป่วยมะเร็งในแบบเกอร์สัน เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว พบว่าในโปรแกรมการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง สถาบันเกอร์สันแนะนำให้ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับคีโม ทำดีท็อกซ์ด้วยการสวนทวารด้วยน้ำกาแฟ ถึงวันละ 3-4 ครั้งในช่วง 4-5 สัปดาห์แรก ทั้งนี้เพื่อล้างพิษจากยาเคมี ที่ผู้ป่วยมะเร็งได้รับขณะรับการรักษานั่นเอง

    นั่นเป็นเพราะในกาแฟมี “คาเฟอีน” ที่ช่วยในการกระตุ้นให้ท็อกซินถูกขับมาตามเครือข่ายเส้นเลือดดำ ซึ่งเชื่อมโยงต่อเนื่องตั้งแต่ตับ กระเพาะ ถุงน้ำดี ตับอ่อน ม้าม ลำไส้เล็ก จนถึงลำไส้ใหญ่

    ถึงตอนนี้ คนที่เพิ่งเคยรู้จักชีวจิต คงอยากรู้แล้วล่ะว่าจะต้องทำอย่างไร

    1. ทำความรู้จักกับถุงดีท็อกซ์ ซึ่งจะประกอบไปด้วยตัวถุงลักษณะคล้ายถุงน้ำเกลือ ที่ก้นของถุงจะมีสายยางเล็กๆ ต่อยาวลงมาที่ปลายสายมีวาวส์เปิด-ปิด และมีรูสำหรับน้ำไหล 2 รู
    2. ปิดวาวส์ที่ปลายสาย แล้วใส่น้ำกาแฟที่อุ่นพอดีลงในถุงดีท็อกซ์ ไล่อากาศออกจากสายยาง โดยเปิดวาวส์ปล่อยให้น้ำกาแฟไหลผ่านสายยางเล็กน้อยแล้วปิดวาวส์

    ก่อนจะสวนทวารต้องปล่อยน้ำออกจากสายยางเพื่อไล่ลมก่อน มิเช่นนั้นจะเกิดลมในช่องท้อง ทำให้อึดอัด และในกรณีคนที่ไม่กินกาแฟ อาจเกิดอาการคลื่นไส้ เวียนหัวได้

    1. แขวนถุงดีท็อกซ์ไว้ที่ปลายเท้าให้สูงจากพื้นประมาณ 120 เซนติเมตร (ถ้าแขวนสูงไป ความดันน้ำมากทำให้น้ำไหลเร็วอาจกลั้นไม่อยู่ ถ้าแขวนต่ำเกินไป น้ำจะไหลช้า) แล้วทาเจลหล่อลื่นที่ปลายสาย
    2. นอนตะแคงขวา ให้สะโพกด้านขวาวางราบกับพื้น เหยียดขาขวาให้ตรง ขาซ้ายก่ายขาขวา แบบท่ากอดหมอนข้าง
    3. สอดปลายสายยางเข้าไปในช่องทวารหนักให้ลึกประมาณ 2 นิ้ว เปิดวาวส์ให้น้ำกาแฟค่อยๆ ไหลเข้าไป ระหว่างนั้นให้หายใจลึกๆ ไม่ต้องเครียด ร้องเพลงไปด้วยก็ได้ ปล่อยให้น้ำกาแฟไหลเข้าไปจนหมดแล้วจึงดึงสายยางออก

    เปลี่ยนเป็นท่านอนหงาย เหยียดขาตรง ใช้มือนวดท้องบริเวณเหนือสะดือจากขวาไปซ้ายประมาณ 5-10 นาที แต่ถ้ากลั้นไม่ได้ให้ลุกไปถ่ายโดยไม่ต้องเบ่ง นั่งถ่ายสักพักจนรู้สึกว่าน้ำกาแฟออกจนหมดแล้ว

    ทั้งนี้ปริมาณน้ำกาแฟที่เหมาะสมกับร่างกายของเรา คือ

    1. ผู้ชายใช้น้ำกาแฟ 1,500 ซีซี.
    2. ผู้หญิงใช้น้ำกาแฟ 1,000-1,200 ซีซี
    3. ผู้ที่ผ่าตัดไส้ติ่งให้ใช้น้ำกาแฟที่ 800 ซีซี.
    4. ผู้ที่ผ่าตัดลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่ขับถ่ายทางหน้าท้องไม่แนะนำให้ทำดีท็อกซ์ หากมีบาดแผลทางทวารหนักก็ไม่ควรทำดีท็อกซ์เช่นกัน
    5. ผู้ที่เป็นริดสีดวงทวารต้องใช้เจลทาที่ปลายสายยางให้มากว่าปกติ

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    อาหารที่ผู้สูงอายุควรกินเพื่อช่วยชะลอความเสื่อมตามวัย

    เจาะลึกการดูแลผิว บำรุงข้อ ด้วยการ ใช้คอลลาเจน

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    50+ ร่างกายเปลี่ยนไป แค่ไหนกัน

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    วิธีดูแลสุขภาพร่างกาย

    อุณหภูมิร้อน-เย็นกับ วิธีดูแลสุขภาพร่างกาย

    วิธีดูแลสุขภาพร่างกาย รับอากาศเปลี่ยนแปลง

    หากวันหนึ่งคุณตื่นขึ้นแล้วพบว่า คุณต้องเผชิญสภาพอากาศที่แปรปรวนตั้งแต่เช้าจดเย็น เพื่อป้องกันการป่วยไข้ คุณคงต้องหา วิธีดูแลสุขภาพร่างกาย หรือวิธีการต่าง ๆ ที่ช่วย ปรับอุณหภูมิของร่างกายให้เหมาะสม เพื่อรับมือกับอุณหภูมิที่ขึ้นลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้

    คุณเคยสงสัยกันไหมว่า อุณหภูมิร้อน ๆ เย็น ๆ ที่เกิดจากสภาพแวดล้อมรอบตัวคุณนั้นมีความสัมพันธ์กับร่างกายของคุณเช่นไร แล้วคุณจะมีวิธีการอย่างไรบ้างที่ช่วยป้องกันโรคภัยที่อาจเกิดขึ้นจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวัน

    ก่อนอื่นคงต้องทำร่างกายของคุณให้อบอุ่นแล้วตามเรามากันค่ะ เพราะชีวจิตจะพาคุณไปสัมผัสอุณหภูมิรอบกาย เรื่องใกล้ ๆ ตัวที่บางครั้งคุณเองอาจไม่เคยรู้

    คุณรู้จักอุณหภูมิในร่างกายดีแค่ไหน

    การที่เราสามารถรับรู้อุณหภูมิต่าง ๆ ได้ เพราะร่างกายมีตัวรับอุณหภูมิซึ่งอยู่ทั่วตัวเรา ซึ่งก็คือ ชั้นผิวหนัง ส่วนการที่สามารถปรับอุณหภูมิที่เหมาะสมได้ เพราะในร่างกายของเรามีศูนย์กลางการควบคุมอุณหภูมิที่สมองส่วน ไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) เป็นส่วนสำคัญที่เชื่อมระหว่างระบบประสาทกับระบบต่อมไร้ท่อ เซลล์ประสาทสมองบริเวณนี้สร้างฮอร์โมนประสาทหลายชนิดไปควบคุมการสร้างฮอร์โมนของต่อมใต้สมอง มีหน้าที่ควบคุมกระบวนการพฤติกรรมของร่างกาย เช่น อุณหภูมิ ความดันเลือด อารมณ์ การเต้นของหัวใจ ควบคุมการเผาผลาญสารอาหารในร่างกาย ไฮโปทาลามัส (Metabolism) เป็นส่วนที่มีความไวต่อการตอบสนองการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของร่างกาย โดยที่ด้านหน้าของไฮโปทาลามัสจะเป็นส่วนควบคุมการสูญเสียความร้อนออกจากร่างกาย ในขณะที่ด้านหลังจะมีหน้าที่ควบคุมการผลิตความร้อน

    ถ้าเป็นเช่นนั้นในเมื่อร่างกายของเราสามารถควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมเองได้ แล้วทำไมอุณหภูมิร่างกายของเราจึงยังมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลง อยู่บ่อยๆ หรือในบางครั้งที่เราไม่สบายและเป็นไข้เราจะมีอุณหภูมิในร่างกายสูงหรือต่ำกว่าปกตินั้นเป็น เพราะอะไร ชักสงสัยกันแล้วสิคะ

    ตัวการของอุณหภูมิที่เปลี่ยนไป

    ตามปกติอุณหภูมิของร่างกายคนเรามีค่าเฉลี่ยประมาณ 37 องศาเซลเซียส แต่ค่านี้ไม่คงที่ และจะเปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้ในแต่ละวัน ซึ่งปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิภายในร่างกายของเรามีอยู่ด้วยกัน 9 ปัจจัย ดังต่อไปนี้

    1. อายุ อุณหภูมิร่างกายของคนเราในแต่ละวัยจะแตกต่างกันไป เช่น อุณหภูมิร่างกายของเด็กจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายตามสภาวะแวดล้อม เนื่องจากศูนย์ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายยังทำงานไม่เต็มที่เมื่อเทียบกับวัยผู้ใหญ่ ส่วนในผู้สูงอายุเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังและไขมันมีน้อย อีกทั้งมีการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือด เลือดจึงมาเลี้ยงผิวหนังลดลง ทำให้อุณหภูมิร่างกายต่ำ เสี่ยงต่อภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ (Hypothermia) ได้ง่าย
    1. ฮอร์โมน เพศหญิงมีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิร่างกายมากกว่าเพศชาย ในรอบของการมีประจำเดือน ซึ่งเป็นระยะที่มีการตกไข่ จะมีการหลั่งฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน (Progesterone) ทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายเพิ่มขึ้นอีก 0.3 – 0.5 องศาเซลเซียส
    2. ความเครียด ผู้ที่มีความเครียดจะทำให้ไปกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous  System) เพิ่มการหลั่งสาร Epinephrine และ Norepinephrine ซึ่งจะเพิ่มอัตราการ เผาผลาญภายในเซลล์ (BMR: Basal  Metabolic  Rate) จึงมีผล ทำให้มีการผลิตความร้อนเพิ่มมากขึ้น
    3. สภาพแวดล้อม อุณหภูมิที่เย็นจัดหรือร้อนจัดของสภาพ แวดล้อมสามารถเพิ่มหรือลดอุณหภูมิของร่างกายได้ ถ้าร่างกาย ของเราสัมผัสอุณหภูมิแวดล้อมที่เย็นหรือร้อนนั้นเป็นเวลานาน
    4. การออกกำลังกายอย่างหนัก ทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อ (Muscular  Activity) และอัตราการเผาผลาญภายในเซลล์ (BMR) เพิ่มขึ้น ทำให้มีการผลิตความร้อนเพิ่มมากขึ้นส่งผลให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นตาม
    5. เชื้อโรค กระบวนการติดเชื้อจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสเชื้อรา และอื่นๆ   ส่งผลให้มีการหลั่งสารก่อไข้   หรือ Endogenous Pyrogens ทำให้อุณหภูมิร่างกายเราสูงขึ้น
    6. ภาวะโภชนาการ คนผอมมากจะมีเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังน้อย และมีไขมันน้อย ส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าคนที่มีรูปร่างอ้วน ซึ่งมีชั้นไขมันเยอะกว่าได้
    7. การดื่มเครื่องดื่มร้อนหรือเย็นสามารถทำให้อุณหภูมิ ภายในช่องปากเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อย
    8. ช่วงเวลาระหว่างวัน อุณหภูมิร่างกายปกติจะลดลงถึงจุดต่ำสุด (ประมาณ 35.5 องศาเซลเซียส) ระหว่างเวลา 03.00 – 05.00 น. จากนั้นจะพุ่งสูงขึ้นในช่วงเช้า และลดต่ำลงชั่วครู่ในช่วงบ่าย ประมาณเวลา 15.00 น. (จึงเหมาะสำหรับการงีบ) และจะขึ้นถึงจุดสูงสุดอีกครั้งในเวลาประมาณ 19.00 น.- 20.00 น. ก่อนจะลดลงอีกครั้ง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณทางกายบอกว่าถึงเวลานอนแล้ว

    เมื่อปัจจัยต่าง ๆ มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของร่างกาย ขนาดนี้ บางช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ เราจึงปรับร่างกายให้เข้า กับสภาพแวดล้อมไม่ได้ ก่อให้เกิดอาการไข้หรืออาการป่วยอื่นๆ ฉะนั้นเราจะดูแลและรักษาตัวเองอย่างไร

    ผลจากความร้อน – เย็นต่อสุขภาพในวิถีไทย

    ทฤษฎีร้อน – เย็น (Hot-Cold Theory) เป็นความเชื่อที่ก่อเกิดในยุคกรีกโบราณ เมื่อพ่อค้าชาวอาหรับและชาวสเปนนำไปใช้จนแพร่หลายมากขึ้น จึงเป็นความเชื่อพื้นฐานของการแพทย์แบบดั้งเดิมหลายแขนง ปัจจุบันนี้แนวคิดและแนวปฏิบัติของทฤษฎีร้อน – เย็นจึงนำมาใช้ในหลายชนชาติ เช่น ประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย และประเทศแถบละตินอเมริกา

    ความเชื่อแบบร้อน – เย็น จึงอยู่ในวิถีชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่น คนจีนเชื่อว่า หากเป็นผู้ชายไม่ควรรับประทานอาหารที่มีคุณสมบัติร้อนมากเกินไป และผู้หญิงควรหลีกเลี่ยงอาหารเย็นมากเกินไป เพราะถือว่าคุณสมบัติร้อน – เย็นของอาหารจะช่วยสร้างสมดุลให้ร่างกาย และในหลายสังคมเชื่อว่าผู้หญิงที่กำลัง

    มีประจำเดือนจะอยู่ในภาวะร้อน ควรหลีกเลี่ยงอาหารเย็นและหญิงที่กำลังให้นมบุตร ควรรับประทานอาหารร้อนหรือสมุนไพรรสร้อน เป็นต้น

    สำหรับประเทศไทยแล้ว เรามีระบบการแพทย์พื้นบ้านซึ่งเป็นวิถีการดูแลสุขภาพที่สืบทอดกันมาช้านาน อย่างทฤษฎีการแพทย์แผนไทย ซึ่งเชื่อว่าสาเหตุแห่งการเจ็บป่วยเกิดจากอิทธิพลทั้ง 6 ประการ ได้แก่ มูลเหตุธาตุทั้ง 4 (ธาตุสมุฏฐาน) อิทธิพลของฤดูกาล (อุตุสมุฏฐาน) อายุที่เปลี่ยนไปตามวัย (อายุสมุฏฐาน) ถิ่นที่อยู่อาศัย (ประเทศสมุฏฐาน) อิทธิพลของกาลเวลาและสุริยจักรวาล (กาลสมุฏฐาน) และพฤติกรรมที่เป็น มูลเหตุก่อโรค

    แต่หากเอ่ยถึงอุณหภูมิกับสุขภาพในทฤษฎีการแพทย์แผนไทยแล้ว ความสัมพันธ์ของความร้อนและความเย็นที่มีผลต่อสุขภาพของเรานั้นย่อมหมายรวมถึงปัจจัยสำคัญ 3 ประการ อันได้แก่ อิทธิพลของฤดูกาล กาลเวลา และถิ่นที่อยู่อาศัย

    เป็นหวัด, หวัด, วิธีดูแลสุขภาพร่างกาย, สภาพอากาศ, แก้หวัด
    เมื่อเข้าฤดูฝน ความเย็นที่มีมากเกินไป ทำให้ป่วยเป็นหวัดได้ง่าย

    ฤดูกาลกับสุขภาพร่างกาย

    อิทธิพลของฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว และช่วงรอยต่อระหว่างฤดูกาลที่มีผลทำให้ร่างกายของเราแปรปรวน และหากปรับตัวไม่ได้จะเกิดเสียสมดุล ทำให้เจ็บป่วย ทั้งความร้อนและความเย็นที่สัมผัสกายเราจึงมีผลต่อสุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนเราจึงต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับฤดูกาลต่างๆ และรู้ถึงวิธีการรักษาตามสมดุลธาตุแบบไทยๆ ได้แก่

    ฤดูร้อน จะเจ็บป่วยด้วยธาตุไฟ ความร้อนส่งผลให้ร่างกาย มีอาการตัวร้อน ปวดศีรษะ วิงเวียน อ่อนเพลีย คอแห้ง ปากแห้ง กระหายน้ำ ร้อนใน ท้องผูก ปัสสาวะน้อยและมีสีเหลืองจัด หรืออาจเกิดเป็นเม็ดผดขึ้นตามร่างกาย

    ฤดูฝน จะเจ็บป่วยด้วยธาตุลม ความเย็นที่มีมากเกินไปทำให้เกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ   ครั่นเนื้อครั่นตัว   เป็นไข้หวัดได้

    ฤดูหนาว จะเจ็บป่วยด้วยธาตุน้ำ และทำให้มีอาการผิวแห้ง มึนศีรษะ น้ำมูกไหล ขัดยอก ขยับเขยื้อนร่างกายไม่สะดวก ท้องอืด

    นอกจากเรื่องของฤดูกาลที่เปลี่ยนไปจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราแล้ว การเปลี่ยนแปลงในทุก 24 ชั่วโมงในรอบหนึ่งวัน ยังสามารถทำให้เกิดการแปรปรวนของธาตุต่างๆ แตกต่างกัน ซึ่งตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทยเรียกว่ากาลสมุฏฐาน

    – อุณหภูมิเปลี่ยนตามคืนและวัน กาลสมุฏฐาน หมายถึงอิทธิพลแห่งกาลเวลา ได้แก่พลังอำนาจแห่งดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ และดวงดาวต่างๆในระบบสุริยจักรวาลการที่โลกหมุนรอบตัวเอง ทำให้เกิดกลางวันและกลางคืนน้ำขึ้นน้ำลง และทำให้เรามีเวลา 24 ชั่วโมงในหนึ่งวัน ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ตลอดจนการเกิด ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติบนโลก ใบนี้ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ล้วนมีอิทธิพลทำให้เกิดความแปรปรวนของธาตุต่างๆ แตกต่างกันไป และส่งผลให้คนเราต้องปรับตัวทุกนาที ซึ่งสรุปได้ว่า

    เวลา 6.00 น. – 10.00 น. และเวลา 18.00 น. – 22.00 น. มีอิทธิพลของธาตุน้ำมา กระทำโทษŽ หมายถึงส่งผลต่อ สุขภาพ โดยมักมีอาการน้ำมูกไหลหรือท้องเสีย

    เวลา 10.00 น. – 14.00 น. และเวลา 22.00 น. – 02.00 น. มีอิทธิพลของธาตุไฟมา กระทำโทษŽ โดยมักมีอาการไข้หรือแสบท้อง ปวดท้อง

    เวลา 14.00 น. – 18.00 น. และเวลา 02.00 น. – 06.00 น. มีอิทธิพลของธาตุลมมา กระทำโทษŽ มักมีอาการวิงเวียน ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย เป็นลมในยามบ่ายได้

    ตัวอย่างของโรคที่สัมพันธ์กับเวลา ได้แก่ โรคใหลตาย ซึ่งมักเกิดช่วง 02.00 น. – 04.00 น. ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวกับธาตุไฟ และธาตุลม อาจเกี่ยวกับการกินอาหารไม่ถูกกับธาตุและการ ย้ายสถานที่ ประกอบกับความเครียดในช่วงเวลานั้น

    เจ็บป่วยจากถิ่นที่อยู่อาศัย

    ที่อยู่อาศัยหรือสิ่งแวดล้อมก็มีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่และสุขภาพของตัวเรา ตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทยเรียกว่า ประเทศสมุฏฐาน ซึ่งสามารถแบ่งภูมิประเทศที่มีอิทธิพลต่อสุขภาพได้ดังนี้

    ประเทศร้อน สถานที่ที่เป็นภูเขาสูง เนินผา มักเจ็บป่วยด้วยธาตุไฟ

    ประเทศเย็น สถานที่ที่เป็นน้ำฝน โคลนตม มีฝนตกชุก มักเจ็บป่วยด้วยธาตุลม

    ประเทศอุ่น สถานที่ที่เป็นน้ำฝน กรวดทราย เป็นที่เก็บน้ำ ไม่อยู่ มักเจ็บป่วยด้วยธาตุน้ำ

    ประเทศหนาว สถานที่ที่เป็นน้ำเค็ม มีโคลนตมชื้นแฉะ ได้แก่ ชายทะเล มักเจ็บป่วยด้วยธาตุ

    อิทธิพลที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่าจะเกิดจากฤดูกาล กาลเวลา และถิ่นที่อยู่อาศัย ล้วนเป็นผลพวงจากอุณหภูมิที่มีผลต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆ เราสามารถป้องกันและรักษาได้หากรู้จักปรับตัวและแก้ไขให้เหมาะสมด้วยการกินอาหารตามธาตุ ที่เหมาะสม เพื่อปรับสมดุลธาตุของคุณดังนี้ค่ะ

    กินตามธาตุแก้ป่วย

    ตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทยที่กล่าวไว้ว่า เหตุที่ทำให้เราเจ็บป่วยได้นั้น เกิดจากความไม่สมดุลของธาตุทั้ง 4 ตลอดจน พฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องที่จะก่อให้เกิดโรคได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น การดูแลสุขภาพเพื่อปรับสมดุลของธาตุเจ้าเรือนนั้น ต้องปรับธาตุ 4 ภายในร่างกายด้วยการรับประทานอาหารตามธาตุ

    และละเว้นอาหารที่ไม่สอดคล้องกับธาตุเจ้าเรือน ได้แก่

    ธาตุไฟ

    ควรรับประทานอาหาร ที่มีรสขม เย็น และจืด เช่น สะเดา มะระ หัวผักกาด แตงกวา ฟักเขียว คะน้า บวบ ไม่ควรรับประทานอาหาร รสร้อน รสเผ็ดจัด รสมันเพราะจะเป็นธาตุไฟในร่างกาย เป็นผลเสียต่อสุขภาพ เช่น ลำไย ขนุน ทุเรียน สำหรับ เครื่องดื่มที่เหมาะสำหรับธาตุไฟ คือ น้ำคั้นจากผลไม้รสเปรี้ยว และเหยาะเกลือเล็กน้อย จะช่วยคลายร้อนได้ ตัวอย่างเช่น มะนาว ส้ม สับปะรด

    นอกจากนี้ยังมีผลไม้ที่มีสรรพคุณช่วยคลายความร้อนในร่างกาย ได้แก่

    – ลูกตาล ช่วยละลายเสมหะในลำคอ แก้กระหายน้ำช่วยลดอุณหภูมิความร้อนในร่างกาย

    – ลิ้นจี่ ช่วยย่อย บำรุงอวัยวะภายในและระบบประสาท แก้กระหายน้ำ

    – ส้มเขียวหวาน บรรเทาอาการกระหายน้ำ ป้องกันโรคหวัดและการติดเชื้อแบคทีเรีย ลดปริมาณคอเลสเทอรอลในเลือด ช่วยระบบย่อยอาหารของร่างกาย

    – สาลี่ บำรุงร่างกายและอวัยวะภายใน เช่น กระเพาะอาหาร ปอด และไต ช่วยย่อยอาหาร ลดอุณหภูมิความร้อน ของร่างกาย แก้ไอและละลายเสมหะ บรรเทาโรคหวัดและหลอดลมอักเสบ

    – อ้อย บรรเทาอาการกระหายน้ำ ช่วยย่อยอาหารแก้คลื่นไส้อาเจียน

    – อินทผลัม แก้กระหายน้ำ ลดเสมหะในลำคอ

    ธาตุลม

    ควรรับประทานอาหาร รสขม รสเผ็ดร้อน และผักพื้นบ้านที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น กะเพรา โหระพา ตะไคร้ ข่า ขิง กระเทียม หากมีอาการเจ็บป่วยเพราะฝน คือ เป็นไข้ ไอ มีเสมหะ บางรายมีน้ำมูกและเจ็บคอ สมุนไพรที่ขึ้นชื่อว่าทั้งกินและแก้อาการเหล่านี้ได้ชะงัดนักซึ่งคนไทยคุ้นเคยกันดี คือ

    • มะขามป้อม แก้หวัด แก้กระหายน้ำ แก้ไข้ และผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ระบุชัดเจนว่า ในผลมะขามป้อมมีสาร ที่มีฤทธิ์ขับเสมหะ บรรเทาอาการไอได้จริง
    • มะนาว ทำให้ร่างกายสดชื่น และเป็นยาฝาดสมานอย่างอ่อนๆ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ระงับการเติบโตของเชื้อโรค จึงเหมาะสำหรับรักษาอาการไข้ อาการหวัด หรือไอ มีเสมหะ

    ธาตุน้ำ

    ควรรับประทานอาหาร รสขม ร้อน และรสเปรี้ยว ผักผลไม้พื้นบ้านที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะเขือเทศ ส้มโอ ส้มเขียวหวาน ยอดมะขามอ่อน และผักที่มีรสเผ็ดร้อนทุกชนิดเช่น พริกไทย ยอดพริก ขมิ้น

    สำหรับ เครื่องดื่ม ควรจะเป็นเครื่องดื่มร้อนๆ เช่น น้ำขิง  ชาสมุนไพร เพื่อช่วยให้ชุ่มคอ ลดอาการไอ ช่วยให้เสมหะอ่อนขับตัวออกได้ง่าย ป้องกันการเป็นหวัดได้อีกทางหนึ่ง

    อย่างไรก็ตาม ช่วงหน้าหนาวเรายังมีภูมิปัญญาแบบไทยๆ ที่บอกต่อกันมา คือ แนะนำให้รับประทานแกงส้มดอกแคแก้ไข้ หัวลม เพราะในดอกแค ทั้งแคขาว แคแดง มีวิตามินซีสูงมาก หากไม่มีดอก ใช้ยอดอ่อนของแคลวกจิ้มน้ำพริกก็ได้

    นอกจากการรับประทานอาหารแบบไทยๆ จะอร่อยและได้รสชาติที่หลากหลายแล้ว การนำพืชสมุนไพรมาปรุงเป็นอาหาร ซึ่งมีแต่ประโยชน์ที่ดีต่อร่างกายแล้ว ยังช่วยปรับสมดุล ให้สอดคล้องกับธาตุเจ้าเรือนหรืออาการของโรคได้อีกด้วย

    ถึงแม้ในทุกวันนี้วิถีชีวิตของครอบครัวและสังคมไทยจะเปลี่ยนแปลงไปมาก จากความเรียบง่ายสู่ความยุ่งยาก วุ่นวาย แต่การดูแลสุขภาพเบื้องต้นตามหลักการแพทย์แผนไทย ก็ดูเหมือนจะสอดคล้องกับวิถีชีวิตเรียบง่ายในแบบชีวจิต และเป็น สิ่งที่ใช้ได้จริงในทุกยุคทุกสมัย

    เช่นเดียวกับหลักธรรมานามัย ของการแพทย์แผนไทยที่ว่า กายานามัย จิตตานามัย ชีวิตานามัย ซึ่งก็หมายถึงการรักษากาย ด้วยการออกกำลังกาย การกินอาหารให้ถูกกับธาตุ กินแต่พอเหมาะ การรักษาจิต ด้วยการฝึกสมาธิให้จิตเข้มแข็ง ส่งเสริมสุขภาพใจ และสุดท้ายเป็นการรักษาการดำเนินชีวิต ยึดหลักทางสายกลาง เลี้ยงชีวิตชอบ ไม่ผิดศีล ด้วยการรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ รักษาสิ่งแวดล้อมให้สะอาด และสมดุล ไปด้วยธาตุทั้งสี่

    ข้อมูลจาก : นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 168 

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ผู้ป่วยมะเร็ง ออกกำลังกายอย่างไรดี ?

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    โปรแกรมช่วย ชะลอวัย ลดไขมันในเลือด

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    โกโก้

    เปิดโลก โกโก้ กับ เท้ม – จิรัฎฐ์ วิจิตรายศภักดิ์

    โกโก้ เครื่องดื่มเพื่อกาย ใจ เลือกปรุงรสที่ใช่ ฮีลลิ่งไลฟ์คนดื่ม

    ไม่ว่าจะเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือคนชรา เราต่างชื่นชอบในการดื่ม โกโก้ แต่เคยรู้กันบ้างมั้ยว่า เครื่องดื่มชนิดนี้ ดีอย่างไร และถ้าปรุงให้ถูกวิธี นี่ก็คือผลงานชิ้นโบว์แดงจากธรรมชาติที่ให้เราได้ประโยชน์เต็ม ๆ

    วันนี้ เราได้พูดคุยกับชายผู้รู้ลึกรู้จริงเรื่องโกโก้ และอาจนับได้ว่าเขาคือเบอร์หนึ่งของแวดวงโกโก้ในประเทศไทย คุณเท้ม-จิรัฎฐ์ วิจิตรายศภักดิ์ เจ้าของร้าน Kokomary ซึ่งมีพระเอกเป็นคาเคา หรือโกโก้ หรือช็อกโกแลต สร้างประสบการณ์ให้กับการดื่มช็อกโกแลตจะต้องเปลี่ยนไป ด้วยพิธีกรรม วิธีการปรุง และการเชื่อมโยงกับเสียงเพลง ที่บอกเลยว่า โกโก้ ของชายคนนี้ จะเขย่าโลกของคุณ

    โกโก้

    อยากจะเรียกให้ถูก ต้องเรียก โกโก้ หรือ คาเคา กันแน่

    คุณเท้มอธิบายว่า “ให้ลองทำความเข้าใจว่า โกโก้หรือคาเคา คือชื่อเรียกของผลผลิตหรือตัวต้นไม้นั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นต้นโกโก้ ต้นคาเคา เราอาจจะไม่เรียกต้นช็อกโกแลต แต่เรียกเป็นผลโกโก้ ผลคาเคา เป็นเหมือนวัตถุดิบ ยังเป็น raw materials

    “แต่พอเป็นคำว่าช็อกโกแลต คือเริ่มตั้งแต่เอาลูกโกโก้ หมักโกโก้ การตาก การคั่ว การบด พวกนี้ยังเรียกโกโก้ได้หมดเลย เพราะยังไม่ได้ใส่ส่วนผสมอื่นเข้าไปในโกโก้

    “ในโกโก้ประกอบไปด้วย solids กับ butter ในเมล็ด ซึ่งเวลาโม่ออกมามันก็จะเป็นเหมือนของเหลวเลย มันถูกคั้นออกมาในอุณหภูมิที่อุ่นนิดนึง แต่ก็ยังไม่มีอะไรผสมเข้าไปแปลกใหม่ ขณะที่การทำช็อกโกแลต จะต้องใส่น้ำตาล หรือปรุงรสชาติเพิ่ม บางทีเราก็จะได้เจอช็อกโกแลตรสนั้นรสนี้ เรียกได้ว่า พอเป็นช็อกโกแลตคือการปรุงเพิ่มเข้าไป ใส่อย่างอื่นเพิ่มเข้าไป เพื่อทำให้เป็นช็อกโกแลตบาร์เป็นต้น

    “ทีนี้มันจะมีเรื่องของชื่อโกโก้กับคาเคา ที่ทำให้เอ๊ะว่ามันคืออันเดียวกันรึเปล่า ถ้าเอาตามข้อมูลในอินเตอร์เน็ตที่มีคนพิมพ์ไว้ เขาก็จะมองว่า คาเคาเป็นวัตถุดิบที่ดิบมาก ๆ แต่พอเป็นโกโก้จะผ่านกระบวนการในช่วงของการคั่วหรือการแปรรูปที่ยังไม่ได้ใส่อย่างอื่นด้วยอุณหภูมิความร้อนที่สูงขึ้น เขาเลยมองว่าพออุณหภูมิความร้อนที่สูงเกิน สมมติเกินร้อยองศา มันจะทำให้สูญเสียประโยชน์บางอย่างไปได้ ตัวโมเลกุลมันเปลี่ยนสภาพ สารบางอย่างพอโดนความร้อนแล้วมันกลายเป็นตัวอื่น ซึ่งมันจะเป็นการเปลี่ยนคุณประโยชน์ของสารชนิดนั้นไป

    “สมมติโกโก้มี 10-20 สาร อาจจะเปลี่ยนไป 1 อย่าง เช่น พูดถึง antioxidant ที่โกโก้มี เขาก็จะพูดกันว่าสารต้านอนุมูลอิสระ ถ้าเอามาเทียบกับตัวที่ไม่คั่วกับคั่ว ตอนไม่ผ่านความร้อนจะมีค่า antioxidant ที่สูงกว่า 

    “แต่ตัวชื่อแรกของเขาเลยคือ Theobroma cacao เป็นชื่อต้นคาเคาที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งชื่อไว้ ซึ่งพอย้อนกลับไปจะไม่มีใครเรียกโกโก้หรอก เขาก็จะเรียกกันคาเคา หรือช็อกโกแลตไปเลย มันเลยพูดยากเรื่องข้อมูลที่ถูกที่สุด เราอาจจะมองไว้แบบนี้เลยก็ได้ว่า โกโก้ คือการแปรรูปด้วยความร้อนที่สูงกว่า เขาอาจจะพูดแบบนั้นกัน จะเรียกว่าคาเคาหรือโกโก้ก็คืออันเดียวกันเหมือนกัน

    “บางทียุโรป เขาขายโกโก้พาวเดอร์ กับคาเคาพาวเดอร์ ปรากฎว่าการใช้คำว่าคาเคาขายดีกว่า เพราะมันดูแพงดูดั้งเดิมกว่า มันเป็นเรื่องการตลาดด้วย ไม่มีผิดไม่มีถูก”

    โกโก้

    กว่าจะได้โกโก้สักแก้ว

    “พอเก็บเกี่ยวผลโกโก้ ข้างในก็จะเป็นเนื้อเหมือนผลไม้ คล้าย ๆ มังคุด น้อยหน่า แต่ว่ามันจะขึ้นเป็นพวง ๆ พอผ่าออกมาเสร็จขั้นตอนแรกคือเอาไปหมัก(บ่ม) คล้ายทำกับกาแฟ หมักหนึ่งอาทิตย์ด้วยลังไม้ ให้เกิดการ fermentation ด้วยจุลินทรีย์ธรรมชาติ

    “เราเลยจะเห็นว่า ตอนหมักโกโก้จะมีใบตองมาคลุม เป็นหนึ่งในเทคนิกในการสร้างจุลินทรีย์ในท้องถิ่น อากาศ ใบไม้ มีผลต่อรสชาติด้วย มันเลยทำให้โกโก้ในแต่ละจังหวัดรสชาติไม่เหมือนกัน ระหว่างหมักอาจมีการพลิก หรือคลุกให้อุณหภูมิทั่วถึงกัน และมีการวัดค่า ph พอครบ 7-10 วัน ก็จะเอาออกมาตากที่โรงตาก ตากแดด 7-10 วัน เพื่อให้แห้งและไล่ความเป็นกรดให้ค่อย ๆ ระเหยออก ขั้นตอนนี้ก็มีผลต่อรสชาติ เช่น ถ้าในช่วงหน้าฝน แดดน้อย กรดก็อาจจะคายช้า ทำให้โกโก้ในล็อตหน้าฝนอาจจะมีความเป็นผลไม้หรือความเปรี้ยวสูงกว่าช่วงหน้าร้อน

    “แต่ละคนก็จะมีเทคนิกที่ต่างกันช่วงหน้าฝน เช่น ทำโรงปิดและใช้ลมใช้อากาศช่วย พอตากเสร็จได้เมล็ดแห้งแล้วก็ต้องเอาไปคั่ว ถ้าทำเยอะ ๆ ก็เอาเมล็ดแห้งใส่กระสอบสต็อกไว้ ร้านขายโกโก้หรือแม้แต่เราเอง ก็สามารถเอาเมล็ดแห้งมาคั่วได้เองถ้าเราอยากทำ 

    “ในช่วงคั่วก็เป็นอีกขั้นตอนที่ในยุคปัจจุบันสายคาเฟ่ หรือวงการช็อกโกแลต ก็จะมีเรื่อง test note เช่น ช็อกโกแลตตัวนี้รสผลไม้ รสแอปเปิ้ล ซึ่งไม่ได้มีการใส่เพิ่ม แต่มันเป็นเรื่องของเทคนิค เหมือนเวลาเรากินกาแฟแล้วได้รสเชอร์รี่ เบอร์รี่ กลิ่นนั้นกลิ่นนี้ เขาก็จะเล่นเรื่องการคั่ว แต่ยุคโบราณเขาจะคั่วกันง่าย ๆ คือคั่วกระทะ ทำด้วยมือ คั่วเสร็จก็เอามาโม่ เป็นหินโม่ ปันจจุบันก็จะมีเครื่องมือแล้ว หมุนไปตลอดเวลา 24 ชั่วโมง 3 วัน ยุคโบราณก็จะใช้ครกหิน เรียกว่า มาตาเต้(Matate) ของแมกซิโก จะได้ออกมาเป็นคาเคาเพส(Cacao Paste) เป็นของเหลวและไขมันโกโก้(เนยขาวๆ ในโกโก้มีเป็น50%)  พอเป็นน้ำเหลว ๆ แล้วก็เทใส่กล่อง ถ้าเป็นของแมกซิโก ชาวบ้านเขาก็จะเอาใบตองห่อปิดไว้ แล้วพอมันเย็นตัวก็จะกลับมาเป็นก้อน

    “ผงโกโก้พอมันเป็นของเหลวหลังโม่เสร็จ เขาเอาไปเข้าเครื่องไฮโดรลิก เหมือนเป็นการบีบแยกระหว่างเนยกับของเหลวออก เขาก็จะได้เนยโกโก้ออกมาเป็นสีขาว ๆ เลย ซึ่งผงโกโก้มันเกิดมาจากนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง เขามองเห็นว่าเนยของโกโก้มันมีประโยชน์มากในทางด้านยาและทรีตเมนท์ เขาก็เลยสกัดโกโก้เอาเนยส่งขายบริษัทยา เขาเลยหาทางจัดการกับกาก เปรี้ยว ๆ แข็ง ๆ แห้ง ๆ ที่เหลืออยู่ เขาเลยลองปั่นจากกากกลายเป็นผงและใส่แอลคาไลน์ปรับความด่างให้หายเปรี้ยวจากการหมัก ความเปรี้ยวจะหายไป รสชาติจะขมเฝื่อนขึ้น ส่วนเรื่องกลิ่นไม่แน่ใจว่าเขาใส่อะไรเพิ่มไปบ้างในขั้นตอนการทำในโรงงานอุตสาหกรรม แต่ประโยชน์ตรงผงก็จะมี แต่น้อยมาก น่าจะไม่กี่เปอร์เซ็นต์ เพราะสารต่าง ๆ อยู่ในเนยหมดเลย 

    “ตอนนี้บางแบรนด์ในบ้านเราเขาก็ทำผงโกโก้แบบ natural process ไม่ได้ใส่สารแอลคาไลน์อะไรลงไป แค่สกัดเนยออก แล้วเอามาปั่นเป็นผง ทำให้ยังได้กลิ่นที่ดีอยู่ สำหรับของบางที่ อย่างที่ของเชียงรายที่ผมใช้อยู่ เขาทำรสชาติดี เพราะตัวดั้งเดิมดี พอออกมาเป็นผงเลยออกมาเพอร์เฟ็ค

    “อยู่ที่ฤดูกาลด้วย อย่างช่วงหน้าฝนเราก็จะหารสชาติยากแล้ว เพราะจะติดเปรี้ยว เราก็ต้องยอมรับความเป็นธรรมชาติที่มอบให้เรา อันนี้คือขั้นตอน ทีนี้ก้อนนั้นที่เราได้มาจะเอาไปทำอะไรต่อก็แล้วแต่ เอาไปทำไอศกรีม จะไปทำเครื่องดื่ม จะไปทำช็อกโกแลต คือจะเบสจากก้อนโกโก้ 

    “สารอาหารในก้อนนั้นจะไปกระทบกับสารเคมีในสมองด้วย ที่เราจะเคยได้ยินว่า กินแล้วอารมณ์ดี ผ่อนคลาย มันเป็นพื้นฐานเลยว่า มันช่วยไปหลั่งโดพามีน พวกสารแห่งความสุข ทำให้มันอยู่ในส่วนของการฮีลใจ ทำคู่กัน พอดื่มแล้วเราคิดดี เรามีเจตนา มีเป้าหมาย หรือแม้กระทั่งเราอยู่กับปัจจุบัน เช่น ตื่นเช้ามาดื่มโกโก้ ตั้งว่า ‘วันนี้จะตั้งใจออกไปให้พลังงานที่ดีกับทุกคน!!’ มันก็เป็นการดื่มโกโก้คู่กับการฝึกปฏิบัติทางด้านจิตใจ หรือแม้กระทั่งการทำสมาธิ การฝึกโยคะ มันก็เป็นการทำให้เราอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับลมหายใจ อยู่กับความรู้สึก เชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อ กับการเคลื่อนไหว หรือการทำโกโก้กับการทำเสียงบำบัด คลื่นเสียงบำบัด หรือ sound healing (เสียงบำบัด) มันก็เอามาเชื่อมโยงกัน เพราะสารในโกโก้ที่พูดไปมันช่วย

    “นอกจากมีความสุขผ่อนคลายแล้ว ยังช่วยให้โฟกัส ช่วยให้จดจ่อ ทางเราก็เลยมีการใช้ประโยชน์จาก effect ของโกโก้ แล้วหากิจกรรมเข้ามาทำร่วมกันให้เกิดประโยชน์มากขึ้น ไม่ใช่แค่ดื่มโกโก้เฉย ๆ มันจะได้แค่เรื่องสุขภาพ ถ้ากินประจำ แต่ถ้าเป็นเรื่องการทำงานกับจิตใจ เรามองว่ากิจกรรมต่าง ๆ พวกนี้สามารถเอามาร่วมกันได้หมดเลย จัดดอกไม้ หรืออะไรก็ได้ เรามองว่าเป็นการฝึกฝนจิตใจเรา”

    โกโก้

    โกโก้ คือตัวเปิด เพื่อเตรียมความพร้อมให้ร่างกายเปิดรับสิ่งต่าง ๆ

    “เวลาหาข้อมูลจะเจอว่า คาเคาคือ heart medicine มันช่วยไปเปิดใจเรา มันทำให้รู้สึกอย่างนั้น เพราะช่วยในการสูบฉีดเลือด เวลากินเข้าไปแล้วมัน activate กับร่างกาย มันจะรู้สึกเลยว่า ใจเราเปิด พอเรารู้สึกผ่อนคลาย กล่องความรู้สึกข้างในใจจะถูกเปิด ทางเราเลยจะมีกิจกรรมให้ล้อมวงกัน ระบายสิ่งที่อยู่ในใจแต่ไม่ได้แสดงออก ชวนมาร้องเพลง ปลดปล่อยทั้งอารมณ์ดีและไม่ดี ภายในวงนี้จะปลอดภัย สามารถร้องไห้ได้โดยไม่ต้องอายใคร”

    และสำหรับคนที่ถามว่าในโกโก้มีคาเฟอีนมั้ย จะดีรึเปล่าถ้าดื่มทุกวัน คุณเท้มตอบว่า “มีแต่น้อยมาก ประมาณ 0.03% ไม่ได้มีผลต่อใจสั่น จริง ๆ แล้วใจที่รู้สึกว่าเต้น มันมาจากตัวแมกนีเซียมที่มันเข้าไปสูบฉีดกระตุ้น แต่ว่ามันจะมีข้อที่น่าสนใจ คือโกโก้มันจะเข้าไปทำงานในร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่สำหรับบางคนต้องคอยดูดี ๆ เช่น เรื่องไมเกรน คุณหมอแนะนำให้กินไปลดไมเกรน แต่บางครั้งกินเข้าไปก็ไปกระตุ้นก็มี ต้องดูเป็นกรณี ๆ ไป”

    ปรุงโกโก้นั้นสนุก อร่อย และดี 

    “อย่างในงานบ้านและสวน ผมจะมีการเตรียมโกโก้ไว้สองรสชาติที่ต่างกัน จะให้ชิมก่อน โกโก้จะเป็นแบบ 100% เพราะเราไม่สนับสนุนให้กินน้ำตาลเยอะ นอกจากก้อนโกโก้ก็จะมีนม มีดอกเกลือ แล้วก็จะพูดถึงการสนับสนุนชุมชน เช่น ดอกเกลือจากสมุทรสงคราม อบเชย หรือตัวให้ความหวานก็อาจจะเป็นอินทผลัม หรือน้ำผึ้ง คนจะได้ไม่ต้องกลับไปซื้อน้ำตาลทรายฟอก หรือบางคนไม่ชอบน้ำตาลก็ใช้หญ้าหวานได้ หรืออะไรก็ได้ที่ตัวเองรู้สึกสบายใจ 

    “มองไว้ว่า จะแบ่งเป็นสองหม้อ เป็นนม(พืช) กับเป็นน้ำ เพราะบางทีคนก็ชงกับน้ำง่าย ๆ เพราะไม่ชอบนม หรือบางทีนมมันแน่นเกิน จะได้เป็นทางเลือกที่ชัดเจน การปรุงจะสาธิตสองสามแบบเลยคืออุปกรณ์ จะเป็นไม้พิเศษที่เป็นอุปกรณ์ดั้งเดิมของแมกซิโก หรือพวกอุปกรณ์แบบที่หาได้ตามบ้าน ตามออนไลน์ บางทีใช้ช้อน แรงคนมันไม่พอที่จะคน เพราะพอมันเป็นก้อนแล้วมวลมันหนากว่า เลยเอาพวกนี้มาใช้ทุ่นแรงเรา อาจจะเสิร์ฟสองหม้อพร้อม ๆ กัน ให้ลองชิม และอาจจะมีเครื่องปรุงนิดหน่อยให้เผื่อคนอยากเติม เช่น ไซรัปอินทผลัม พริกคาเยน อันนี้จะเป็นส่วนผสมแบบมายัน พริกไทยดำก็ใส่ได้ อบเชยจะเป็นแบบ triple cinnamon เป็นสามสายพันธุ์ผสมกัน กลิ่นก็จะฟุ้งกว่า แล้วก็จะมีพวกดอกไม้โรยหน้าให้ด้วย

    “ให้คนได้ลองมีส่วนร่วมในแก้วของตัวเอง ให้ลองเทสรสชาติเอง บางคนจะรู้สึกว่าชงกับน้ำแล้วกินยาก แต่บางคนอาจจะชอบแบบน้ำ เพราะกินแล้วสบายดี โดยช่วงนี้ก็จะทำไปคุยไปได้เลย พวกของที่เตรียมไว้ให้ เช่น เกลือ จะเป็นแค่ทางเลือกไม่ได้จำเป็น วันนั้นอาจจะเตรียมชาสมุนไพรที่เบลนด์ดอกไม้แบบต่าง ๆ ให้เหมือนเราปรุงยาเลย ว่าชอบกลิ่นของเครื่องเทศอะไร พร้อมพูดคุยแนะนำหน้างานได้เลย”

    ทำไมโกโก้ถึงเป็นเครื่องดื่มที่ถูกนำมาอยู่ในพิธีกรรม

    “ล่าสุดเท่าที่นักโบราณคดีไปพบหม้อโกโก้ที่เอกวาดอร์ พบอายุโกโก้ที่มันแห้งเหลืออยู่ในนั้น 5000 ปีแล้ว ในข้อมูลเขาดื่มกินกันเป็นยา เรียกว่าโกโก้คือ medicine เลย ใน ceremony หรือ spiritual part เป็น heart medicine หรือยาของหัวใจ ซึ่งมันน่าสนใจเพราะในยุคก่อนมันไม่มีหมอมาบอกหรอกว่าในโกโก้มันมีสารอะไรแต่เขาเรียนรู้ เขารู้สึกว่าโกโก้เป็นพืชศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะว่ากินเข้าไปแล้วเขาหายป่วยจากหลาย ๆ โรค เขาจึงเรียกโกโก้ว่าเป็นยาครอบจักรวาล 

    “ต้นกำเนิดมาจากอเมริกาใต้ เอกวาดอร์ เปรู ข้อมูลส่วนใหญ่จะพูดถึงว่ามาจากชนเผ่ามายันกับแอซเท็ก ต้องลองไปค้นหาดูถึงจะรู้ เพราะช่วงของอเมริกาใต้เขาไม่มีการจดบันทึก ไม่มีภาษาเขียน ก็เลยไม่มีข้อมูลตอนนั้นเลย มีแต่ของโบราณที่เจอหม้อ เจอวิถีชีวิตดั้งเดิม แต่ว่ามายันกับแอซเท็กเป็น civilization ที่ยิ่งใหญ่มากในยุคนึง แล้วก็มีการจดบันทึก และภาพเขียนบันทึก แล้วเหมือนเขายกระดับมันขึ้นมา เพราะก่อนหน้านั้นคนในชุมชนดื่มกินกันเป็นปกติ เหมือนปาร์ตี้ ดื่มโกโก้เพื่อเฉลิมฉลอง เพราะพออยู่ร่วมกับธรรมชาติก็จะมีพิธีกรรมที่เคารพต่อผืนป่า น้ำ ธรรมชาติ หรืออยู่ในหลาย ๆ การเฉลิมฉลอง แต่พอมาอยู่ในช่วงมายันกับแอซเท็ก ที่นั่นเขาไม่ปลูกโกโก้กัน มันเป็นอเมริกากลาง มันปลูกไม่ได้ มันเป็นพืชของทางใต้ ยุคนั้นเขามีโกโก้อย่างจำกัด แล้วพอเขาเป็นอณาจักรที่ใหญ่ที่สุด อาณาจักรที่เหลือก็จะเป็นเหมือนทาสบริวาร ที่นี้ทางอเมริกาใต้เป็นชาวอินคา เขาก็เลยต้องเอาเมล็ดโกโก้มาเป็นเครื่องราชบรรณาการให้กับชาวมายันกับแอซเท็ก ดังนั้นในอาณาจักรใหญ่นั้น โกโก้ก็เลยจะไม่ได้ถูกใช้กับคนทั่วไป สำหรับชนชั้นสูงเท่านั้น ในงานแต่งงาน งานวันเกิด เขาก็จะใช้โกโก้ในการเฉลิมฉลอง และจะใช้เมล็ดโกโก้เป็นเงิน ใช้แทนเครื่องแลกเปลี่ยน มันก็เลยดูเหมือนเป็นพิธีกรรมจริงจัง เชื่อมต่อกับเทพเจ้า เพราะคำว่า Theobroma cacao เป็นคำที่มาจากคำว่า ‘food of god’ เพราะความพิเศษของพืชนี้ทำให้คนในยุคนั้นเชื่อว่า พอกินเข้าไปแล้วมันจะทำให้เขาเกิดการตื่นรู้ทางจิตวิญญาน พอพูดถึงเรื่องนั้น เขาก็เลยรู้สึกว่าพืชนี้พิเศษมาก พระเจ้าเป็นคนประทานให้ สีของโกโก้มันเป็นสีที่พิเศษมาก มันเป็นสีที่ออกแดงเข้ม เหมือนสีของเลือดเนื้อของเรา เขาก็จะมีความเชื่อแบบนี้ ว่าเทพพระเจ้าส่งพืชชนิดนี้มาให้พวกเรา พิธีนี้ก็เลยถูกทำขึ้นเหมือนเป็นการรำลึกถึงพระเจ้าของเขา ซึ่งก็คือธรรมชาติ ก็คล้ายกับปลูกจิตสำนึกให้เรารักโลกนั่นแหละ ให้ดูแลต้นน้ำ เคารพต่อผืนดินศักดิ์สิทธิ์ เพราะเขาต้องใช้พื้นดินเพาะปลูก โกโก้มันเลยเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของการกตัญญู จิตสำนึก เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ตัวเองและคนรอบ ๆ ปัจจุบันในพิธีการเลยมีการทำกิจกรรมอื่น ๆ คล้าย ๆ self reflection การเชื่อมโยงกับจิตใจ ความรู้สึกของตัวเองทั้งบวกและลบด้วย 

    แนวทางฮีลลิ่งตัวเอง

    ก่อนจากกัน คุณเท้มกล่าวทิ้งท้ายว่า “นอกจากดื่มแล้ว เราสามารถจะทำกิจกรรมเรื่องของการทำสมาธิ หรือความคิดสร้างสรรค์ เช่น นั่งอ่านหนังสือใต้ต้นไม้ มันก็จะเป็นการเชื่อมต่อและผ่อนคลายจากธรรมชาติ ได้อยู่กับความคิด ความรู้สึกของตัวเอง อยู่กับปัจจุบัน และรับมือกับสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น สำหรับผม โกโก้มันทำให้สงบได้เร็วขึ้น มีสมาธิ และเข้าสู่ meditation state ได้ง่ายขึ้นครับ”

    Cacao DIY at Home ปรุงรสที่ใช่ ฮีลลิ่งไลฟ์คนดื่ม

    ดื่มโกโก้ (Cocoa) อย่างไรให้ดีสุขภาพ? นิตยสารชีวจิต x Amarin Academy ชวนเหล่า Cocoa Lover เรียนรู้วัฒนธรรมโบราณ และศาสตร์การบำบัดฟื้นฟูด้วยโกโก้ ตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบ เอกลักษณ์ของโกโก้ แต่ละแหล่ง ลงลึกถึงประโยชน์ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ โดย คุณเท้ม – จิรัฎฐ์ วิจิตรายศภักดิ์ เจ้าของร้าน Kokomary พร้อมด้วยคุณเก๋ – วาสนา พลายเล็ก บรรณาธิการบริหาร นิตยสารชีวจิต

    พร้อมสร้างประสบการณ์การดื่ม และค้นหารสชาติที่ใช่ กับ Workshop ปรุงรสชาติโกโก้ในแบบเฉพาะคุณ!!!

    ลงทะเบียนล่วงหน้า >> https://amarinfair.com/event/bs-midyear-2024/activity/435/

    ฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่าย

    รับจำนวนจำกัด เพียง 15 ท่าน เท่านั้น

    แล้วพบกันที่งานบ้านและสวนแฟร์ Midyear 2024
    วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม 2024
    เวลา 14.00 – 15.00 น.
    ณ เวที กินดีอยู่ดี Hall 104 (Relax zone) ไบเทค บางนา

    เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

    7 อโรมาเทอราปี กลิ่นบำบัด ผ่อนคลายสมอง ลดซึมเศร้า

    รู้หรือไม่? แค่สูดดม กลิ่นช่วยลดเครียด สู้กับมะเร็งได้

    ลดกลิ่นตัว ด้วย 5 สมุนไพรไทย

    เมื่อเราลองใช้ เสียงเพลงบำบัด กายสบาย ใจสงบ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

     

    วิธีแก้ปวดหลัง

    วิธีแก้ปวดหลัง แบบไม่พึ่งยา แค่ออกกำลังกายเอง

    วิธีแก้ปวดหลัง ที่คุณเองก็ทำได้

    วิธีแก้ปวดหลัง มีด้วยกันมากมายหลายวิธี แต่รู้ไหมคะว่า วิธีที่ง่ายสุด ๆ แถมไม่ต้องเสียสตางค์ก็คือการ ออกกำลังกาย แต่จะมีท่าไหนบ้าง มาดูกัน

    ก่อนอื่น เราต้องรู้ถึงสาเหตุที่ทําให้ปวดหลังประการหนึ่งคือ อาการกล้ามเนื้อหดเกร็ง เนื่องจากการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ถูกต้องในชีวิตประจําวัน การหักโหมออกกําลังกายหรือเล่นกีฬา

    บางประเภท ฉะนั้นเราจึงปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือเรื่องใกล้ตัวที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ และนี่คือ เทคนิคการเยียวยาอาการปวดหลังเบื้องต้นที่สามารถทําเองได้ที่บ้านจาก Sport Injury Bulletin ประเทศสหรัฐอเมริกา

    ใช้น้ำแข็ง

    ระคบด้วยถุงน้ำแข็ง (Ice Pack) บริเวณที่เป็น เพื่อบรรเทาอาการปวด ค่อยๆ เลื่อนถุงน้ำแข็ง ไปตามแนวหลังคล้ายการนวด (หรืออาจให้คนที่บ้านช่วยได้) ประมาณ 12 นาที ถึงแม้ว่าน้ำแข็งจะไม่ได้ทําให้หายปวด แต่จะช่วยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อโดยรอบ

    ยืดเหยียดเล็กน้อย

    การยืดเหยียดจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง โดยทําตามวิธีดังต่อไปนี้

    1. นอนบนพื้นราบหรือบนเตียง แขนทั้งสองอยู่ข้างลําตัว
    2. เกร็งหน้าท้อง กดแผ่นหลังให้ติดพื้น ค้างท่าไว้ ประมาณ 12 วินาที เป็นท่าง่ายๆ ที่ช่วยบริหารกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    เวิร์คเอ๊าต์ช่วงขา

    ท่านอนยกขาจะช่วยบริหารกล้ามเนื้อ หลังส่วนล่างให้แข็งแรงขึ้นได้ โดยทําตามวิธีดังต่อไปนี้

    1. นอนบนพื้นราบหรือบนเตียง แขนสองข้างอยู่ข้างลําตัว
    2. ยกแขนขวาขึ้นพร้อมกับยกขาซ้ายขึ้นให้สูงที่สุดเท่าที่จะทําได้
    3. ค้างท่าไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทําได้ จากนั้นกลับสู่ท่าเดิม แล้วทําสลับข้าง นับเป็น 1 ครั้ง
    4. ทําซ้ำ 10 ครั้ง นับเป็น 1 เซต ทําประมาณ 2 เซต
    วิธีแก้ปวดหลัง, ออกกำลังกาย, ปวดหลัง

    ออกกำลังกายแก้ปวดหลัง

    นายแพทย์บุญวัฒน์ จะโนภาษ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ คลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา กล่าวว่า “โดยปกติแล้ว กล้ามเนื้อแผ่นหลังของคนเราจะถูกใช้งานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทําให้เกิดอาการตึงของกล้ามเนื้อ ทําให้เวลานั่งนานๆ เช่น นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ หรือขยับตัว เปลี่ยนอิริยาบถ จะเกิดอาการปวดล้าบริเวณกลางหลังและปีกหลัง”

    โดยแนวทางป้องกันอาการปวดหลังที่ดีที่สุดคือ การหมั่นฝึกออกกําลังกายเพื่อความ แข็งแรงและสร้างความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหลัง กระดูกสันหลัง วันนี้มีวิธีบริหารกล้ามเนื้อแผ่นหลัง กระดูก สันหลัง ซึ่งท่าบริหารเหล่านี้จะช่วยยืดและผ่อนคลายเส้นเอ็นกระดูกสันหลัง ทําให้คุณไม่ต้องกังวลกับอาการปวดหลังอีกต่อไป

    Step 1

    ท่าเตรียม นอนหงายลงบนพื้น

    ท่าปฏิบัติ งอเข่าข้างหนึ่งเข้าหาลําตัว ใช้มือทั้งสองข้างกอดเข่า ค้างไว้ นับ 1-10 ทําจนครบ 10 เซต ท่าเตรียม นอนหงายลงบนพื้น

    Step 2

    ท่าปฏิบัติ ยกขาข้างหนึ่งขึ้นทํามุม 45 องศากับพื้น โดยพยายามเหยียดขาให้ตรง ค้างไว้ นับ 1-10 ทําจนครบ 10 เซต

    แค่ทำตามขั้นตอนง่ายๆ เหล่านี้ ก็จะช่วยลดอาการปวดหลังได้ค่ะ

    3 ท่านอนใช้ “หมอน” แก้อาการปวดหลัง 

    นอกจากเสริมความแข็งแรงให้แผ่นหลังด้วยการบริหารกายแล้ว เราก็มี 3 เทคนิคใช้หมอนเพื่อลดอาการปวดหลังที่ตีพิมพ์ในรายงานพิเศษเรื่อง “อาการปวดหลัง” ของวิทยาลัยการแพทย์ฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา มาฝากอีกด้วย

    1. ท่านอนหงาย นําหมอนหนุนขนาดปกติหรือหมอนข้างสอดไว้ใต้เข่าทั้งสอง
    2. ท่านอนตะแคง โดยก่ายขาข้างหนึ่งบนหมอนหนุนขนาดปกติหรือหมอนข้าง
    3. ท่านอนคว่ำ นําหมอนใบเล็กสอดไว้บริเวณใต้อุ้งเชิงกราน ขยับจนอยู่ในตําแหน่งที่สบาย

    กุญแจสําคัญของเทคนิคเหล่านี้ก็คือ หมอนเป็นตัวช่วยให้ความโค้งกระดูกสันหลังอยู่ในระดับที่เหมาะสม จึงช่วยลดแรงกดที่ทําให้ปวดหลัง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ควรนอนท่าเดิมติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ นะคะ

    ลูกประคบ ทำง่าย แก้อาการปวดเมื่อย

    เคยเห็น ลูกประคบ กลมๆ อวบๆ กันใช่ไหมคะ เจ้าลูกนี้แหละแก้ปวดดีนักแล

    การประคบสมุนไพรคือ การใช้สมุนไพรหลายอย่างมาห่อรวมกัน ส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหยมานึ่งให้ร้อน แล้วจึงใช้ประคบบริเวณที่มีปวด หรือเคล็ดขัดยอก

    น้ำมันหอมระเหยเมื่อถูกความร้อนจะระเหยออกมาความร้อนจากลูกประคบจะช่วยการกระตุ้นไหลเวียนโลหิตที่ดีขึ้น

    สมุนไพรไทยใกล้ตัวบางชนิดมีในครัวให้หยิบฉวยมาค่ะ ปวดเมื่อยเมื่อไร นำมาล้าง สับ ๆ บุบ ๆ ก่อนเดาะการบูร พิมเสนลงไปสักหน่อย ช่วยเพิ่มกลิ่นหอม ห่อเป็นลูกประคบไว้นวดเฟ้นกล้ามเนื้อแข็งเกร็งให้หย่อนคลาย ช่วยลดปวดแสนทรมานให้อาการดีขึ้นจนยิ้มแฉ่ง

    ส่วนผสม (สำหรับลูกประคบ 2 ลูก)

    • ไพลสดล้างสะอาดหั่นชิ้นเล็กประมาณข้อนิ้วก้อย 100 กรัม
    • ขมิ้นอ้อยล้างสะอาดหั่นชิ้นเล็กประมาณข้อนิ้วก้อย 50 กรัม
    • ตะไคร้สดซอย 50 กรัม
    • ใบมะขามสด 50 กรัม
    • การบูร 10 กรัม
    • พิมเสน 10 กรัม
    • ผ้าด้ายดิบขนาด 80&times80 เซนติเมตร
    • ซักให้สะอาด ตากแห้งสนิท 2 ผืน
    • เชือกสีขาวสำหรับมัด
    • ลูกประคบยาว 1.5 เมตร 2 เส้น

    วิธีทำ
    1. บุบสมุนไพรสดทีละชนิดในครกแค่พอแตกแล้วนำมาเคล้ารวมกัน โรยพิมเสน การบูรลงไป เคล้าให้ทั่ว ตักใส่ผ้าขาวบางห่อ และมัดตามวิธี

    2. เมื่อจะใช้นำไปนึ่งในลังถึงประมาณ 30 นาทีให้ร้อน หยิบลูกประคบออกมาทีละลูกพักคลายร้อนสักครู่ ก่อนนำไปกดนวดบริเวณกล้ามเนื้อที่ปวดเกร็ง เมื่อลูกแรกที่ใช้เย็นแล้วเปลี่ยนสลับเอาลูกประคบอีกลูกในลังถึงมาใช้

    ชีวจิต Tips

    1. ก่อนนำลูกประคบไปใช้ ให้ผู้นวดลองนวดบนท้องแขนของตนเพื่อเช็กระดับ
    ความร้อนว่าไม่ร้อนเกินไป จึงนำไปใช้
    2. ลูกประคบสดเมื่อทำแล้วหากยังไม่ใช้ให้ห่อพลาสติกอย่างมิดชิดป้องกันกลิ่น
    แล้วนำไปแช่ในตู้เย็น เก็บไว้ใช้ได้นานประมาณ 5 – 7 วัน
    3. การนวดด้วยลูกประคบเพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว ควรนวดประคบต่อเนื่องประมาณ 30 นาทีขึ้นไป
    4. ผู้ที่มีอาการของไข้พิษ เช่น งูสวัด หัด อีสุกอีใส ฯลฯ ไม่ควรนวดและประคบ

    ลูกประคบ ดีอย่างไร

    ทำไมลูกประคบ จึงมีคุณสมบัติที่ช่วยบรรเทาและรักษาอาการปวดได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะลูกประคบสมุนไพร ใช้หลักการรักษาโดยอาศัยความร้อนจากการนึ่ง ซึ่งจะส่งผลต่อเนื้อเยื่อผิวหนังระดับตื้น กล่าวคือ ความร้อนสามารถทำให้เนื้อเยื่อมีอุณหภูมิสูงขึ้น ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดบริเวณผิวหนังเพิ่มขึ้น ทำให้ของเหลวในร่างกายไหลเวียนไปสู่ เนื้อเยื่อได้ดี สามารถนำพาสารอาหารไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นอ่อนนุ่มลง และเพิ่มอัตราเมแทบอลิซึมได้อีกด้วย

    นอกจากนี้ความร้อนยังส่งผลต่อความ ยืดหยุ่น ลดอาการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดอักเสบเรื้อรัง และลดอาการปวดข้อด้วย

    อย่างไรก็ตาม การใช้ความร้อนในการประคบนั้นอาจให้ผลการรักษาเช่นเดียวกับการใช้ความร้อนเพื่อการรักษาแบบอื่น ๆ อย่างเช่น การใช้แผ่นประคบร้อน ถุงประคบร้อนในการแพทย์แผนปัจจุบัน หรือแม้กระทั่งการทับหม้อเกลือ การเผายาสมุนไพร

    แต่ที่พิเศษกว่าแบบอื่น ๆ คือ ลูกประคบสมุนไพรส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น และอาจมีผลทำให้ระดับความดันโลหิตลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในอาสาสมัครที่มีสุขภาพแข็งแรง

    ลูกประคบสมุนไพรประกอบด้วย สมุนไพรหลากหลายชนิด ทั้งที่มีฤทธิ์เย็น ร้อน เปรี้ยว มีทั้งสารอัลลาคอยด์และน้ำมันหอมระเหย โดยอาศัยความร้อนเป็นตัวนำพาสารสำคัญส่งผ่านรูขุมขน ซึบซาบเข้าสู่เนื้อเยื่อ ส่งผลให้รู้สึกสบาย ผ่อนคลายความตึงเครียด และทำให้อัตราการเต้นของหัวใจลดลง แถมกลิ่นของลูกประคบยังทำให้จมูกโล่งอีกด้วย โดย เฉพาะหากใช้ในคนไข้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ทางเดินหายใจ และโรคหึดชนิดไม่รุนแรง

    แต่ถ้สจะให้ได้ผลดีนั้น ขอแนะนำให้ใช้ลูกประคบสมุนไพรแบบสด ซึ่งจะดีกว่าลูกประคบสมุนไพรแบบแห้ง เพราะว่าความร้อนสามารถนำพาสารสำคัญสู่เนื้อเยื่อผิวหนังได้ดีกว่า แถมมีกลิ่นสดชื่นกว่า ข้อเสียของลูกประคบแห้งคือ มีปริมาณน้ำมันหอมระเหยน้อย เพราะสูญเสียสภาพไปขณะแปรรูปและการทำให้สมุนไพรแห้ง

    ข้อควรระวัง

    การใช้ลูกประคบสมุนไพรก็มีข้อควรระวังอยู่เหมือนกัน เช่น คนที่มีอาการแพ้สมุนไพรจากลูกประคบ คนที่มีแผลสดหรือแผลติดเชื้อ คนที่มีอาการชาตามผิวหนัง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะอาจทำให้เกิดอาการผิวหนังไหม้พุพองได้เช่นกัน


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ผู้ป่วยมะเร็ง ออกกำลังกายอย่างไรดี ?

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

    มหัศจรรย์แห่ง การเดิน แรงกระแทกต่ำ ทำได้ทุกคน

    บอกต่อวิธีชะลอวัย 1. เร่งเมแทบอลิซึม 2. เร่งขับพิษ เพื่อสุขภาพดี

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    มะเร็งตับ

    เช็ก 7 พฤติกรรม ทำบ่อยเสี่ยง มะเร็งตับ

    7 พฤติกรรมทำบ่อยเสี่ยง มะเร็งตับ

    เมื่อพูดถึงโรค มะเร็งตับ หรือมะเร็งชนิดไหน ๆ ก็ตาม คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่รู้หรือไม่ว่า พฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยเฉพาะการกินอยู่ มีผลใหญ่หลวงต่อการรอดพ้นจากการเป็นโรคมะเร็งร้ายค่ะ

    เรามาดูกันค่ะว่า พฤติกรรมแบบไหนมีโอกาสนำไปสู่โรค เมื่อทราบแล้วจะได้ปรับเปลี่ยนทันเวลา

    1. มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยกับผู้มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ 

    การมีเพศสัมพันธ์กับผู้มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซีโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้

    เนื่องจากเชื้อไวรัสตับอักเสบสามารถติดต่อผ่านทางสารคัดหลั่งอย่างน้ำอสุจิหรือน้ำในช่องคลอดบุคคลต่าง ๆ เหล่านี้จึงมีโอกาสติดเชื้อไวรัสตับอักเสบและนำไปสู่การเป็นมะเร็งตับได้

    2. คลุกคลีกับผู้มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ 

    ผู้ที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้ออาจมีโอกาสได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบผ่านทางเลือด น้ำมูก น้ำลาย เช่น เลือดของผู้ป่วยเปื้อนหรือกระเซ็นถูกบาดแผล การสัก ผู้เสพยาที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การติดเชื้อจากแม่ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ซึ่งจะส่งผลให้เป็นมะเร็งตับเมื่ออายุมากขึ้น

    เชื้อไวรัสตับอักเสบ, มะเร็งตับ, ดูแลตับ, ตับ, โรคมะเร็ง
    ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เสี่ยงเป็นมะเร็งตับได้ในอนาคต

    3. ใช้ของส่วนตัวร่วมกัน 

    เช่น แปรงสีฟัน มีดโกนหนวด ซึ่งของใช้ประจำตัวเหล่านี้อาจสัมผัสถูกน้ำลายและเลือดของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี ทำให้มีโอกาสได้รับเชื้อจากการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน

    4. ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ 

    ผู้ที่ดื่มเหล้าเบียร์เป็นประจำ มีความเสี่ยงเป็นโรคตับแข็งได้ และโรคตับแข็งก็มีโอกาสพัฒนาไปเป็นมะเร็งตับในที่สุดช่วงหนุ่มสาวร่างกายยังแข็งแรงดี ดื่มเท่าไรก็ไม่มีใครเป็นมะเร็งตับแบบเฉียบพลัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนอายุ 50 - 60 ปี ก็เริ่มแสดงอาการผิดปกติที่สะสมมาตั้งแต่สมัยหนุ่มสาว การที่ผู้ชายเป็นโรคมะเร็งตับมากกว่าผู้หญิง สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าผู้หญิง

    5. กินอาหารเสี่ยงมะเร็งตับ 

    มีอาหารหลายชนิดที่ชักนำไปสู่การเป็นมะเร็งตับได้หากกินเป็นประจำ ได้แก่

    • อาหารอุดมเชื้อรา อาหารที่มักมีเชื้อราปนเปื้อนอยู่โดยที่เรามองไม่เห็น โดยสารแอลฟาท็อกซินที่เชื้อราผลิตขึ้นจะเป็นตัวก่อโรคมะเร็งตับ คือ อาหารแห้งและหมักดอง เช่น พริกป่น พริกแห้ง ปลาแห้ง เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ เมล็ดพืชที่มีน้ำมันปริมาณสูง อาทิ ถั่วลิสง ข้าวโพด ข้าวฟ่าง มะพร้าว เครื่องเทศและสมุนไพรต่าง ๆ อาทิ กระเทียม หัวหอม
    • อาหารทอด ปิ้ง ย่าง และรมควัน เช่นไก่ย่าง หมูปิ้ง ไส้กรอกรมควัน ขาหมู ปลารมควัน โดยอาหารเหล่านี้จะมีสารเฮเทอโรไซคลิกอะมีน (Heterocyclic Amine) และสารอะคริลาไมด์ (Acrylamide) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่ทำให้เกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ รวมทั้งตับด้วย
    • เนื้อปลาดิบ ๆ สุก ๆ เช่น ปลาน้ำจืดต่าง ๆ อย่างปลาตะเพียน ปลาสร้อย ปลาซิว ปลาแก้มช้ำ ปลาขาว ปลาแม่สะแด้ง ฯลฯ ที่นำมากินแบบดิบ ๆ หรือปรุงกึ่งดิบกึ่งสุก เช่น ก้อย ลาบ ปลาส้ม ปลาจ่อม หม่ำปลา ปลาหมก ฯลฯ อาจมีพยาธิใบไม้ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อในท่อน้ำดีหรือถุงน้ำดีและนำไปสู่มะเร็งท่อน้ำดีในตับ
    • เนื้อสัตว์หมักที่ผสมดินประสิว อาหารประเภทนี้จะมีสารไนโตรซามีน (Nitrosamine) ซึ่งเป็นสารพิษเมื่อร่างกายได้รับสะสมไว้นานวัน ก็นำไปสู่การเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด
    อาหารปิ้งย่าง, มะเร็งตับ, ดูแลตับ, ตับ, โรคมะเร็ง
    อาหารปิ้งย่าง มีสารก่อมะเร็ง ไม่ควรกินบ่อยเกินไป

    6. เป็นโรคอ้วน เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง

    พบว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ แม้ไม่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซีและไม่ได้ดื่มเหล้า แต่เป็นโรคอ้วนเบาหวาน และไขมันในเลือดสูง ก็มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งตับ เนื่องจากโรคทั้งสามนี้ทำให้เกิดการอักเสบภายในตับจนกระทั่งนำไปสู่มะเร็งตับได้

     7. สูบบุหรี่ 

    การสูบบุหรี่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังหรือตับแข็งอยู่แล้ว

    โรค มะเร็งตับ ป้องกันได้

    มีหลายวิธีที่ช่วยให้เราห่างไกลจากโรค มะเร็งตับ ได้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยเฉพาะการกินอยู่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดและเป็นสิ่งที่เราทุกคนสามารถทำได้ เพื่อสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาวอย่างมีความสุข มีคำแนะนำดังนี้

    1. เลิกใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น รวมทั้งไม่กินอาหารและดื่มน้ำในภาชนะเดียวกัน ควรคำนึงถึงอนามัยพื้นฐานง่าย ๆ ข้อนี้ไว้เสมอ
    2. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ ซึ่งวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีมักจะได้รับการฉีดตั้งแต่เป็นทารกแรกเกิด
    3. งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากเป็นสาเหตุของโรคตับแข็งที่นำไปสู่มะเร็งตับ
    4. ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป คนอ้วนมักมีระดับไขมันในเลือดสูงซึ่งจะชักนำไปสู่มะเร็งตับได้ง่ายกว่าคนรูปร่างปกติ จึงควรออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
    5. ควรกินอาหารสะอาด ปรุงสุกใหม่ ๆ ข้อมูลจากหนังสือ แนวทางป้องกันโรคมะเร็งสำหรับประชาชน โดยนายแพทย์บุญเติม แสงดิษฐ แนะนำว่า ไม่ควรกินอาหารที่เกิดเชื้อราได้ง่าย อาหารที่ปรุงไว้ค้างคืน อาหารใส่สารกันบูด อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ
    6. ผู้ป่วยโรคตับอักเสบเรื้อรังหรือเป็นพาหะโรคไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ต้องงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ข้อมูลจากหนังสือ จับเข่าคุยกันเรื่องไวรัสตับอักเสบบี ภัยเงียบที่ป้องกันและรักษาได้ โดย นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ และนายแพทย์ ดร.ปิยะวัฒน์ โกมลมิศร์ แนะนำว่า คนที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและมีอายุเกิน 40 - 45 ปี หรือผู้ป่วยโรคตับอักเสบเรื้อรัง ต้องตรวจหามะเร็งตับทุก 6 เดือนเพื่อป้องกันและรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ
    ไวรัสตับอักเสบ, มะเร็งตับ, ดูแลตับ, ตับ, โรคมะเร็ง
    ไวรัสตับอักเสบ ติดต่อได้ผ่านทางเลือด น้ำมูก และน้ำลาย

    เทคนิคสุดเลิศช่วยดูแลตับ

    เรามีวิธีปรับพฤติกรรมเพื่อส่งเสริมการทำงานของตับมาแนะนำ ดังนี้

    1. นอนก่อนห้าทุ่ม ตามตำราแพทย์แผนจีนกล่าวว่า เวลานอนมีความสำคัญต่ออวัยวะต่าง ๆ รวมทั้งตับด้วย ข้อมูลจากหนังสือ 100วิธีรู้ทันโรคตับ โดย นายแพทย์หวังเจียฉี แพทย์หญิงเฉียวเซิ่งหลินและ นักโภชนาการหยางเหม่ยหยิง แนะนำให้ผู้ป่วยโรคตับเข้านอนก่อนเวลา 23.00 น. เนื่องจากเป็นเวลาที่ตับกำลังทำหน้าที่ในการกำจัดพิษออกจากร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

    2. ใจเย็น ๆ และผ่อนคลาย อารมณ์ต่าง ๆ เช่น ความโกรธความเศร้าเสียใจ ดีใจมากไป จะทำร้ายตับของเรา เมื่อเกิดความโกรธระดับความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลเสียต่อตับโดยตรง จึงควรฝึกใจให้สงบผ่อนคลาย ลดความโกรธหรือโมโหด้วยการหายใจเข้า-ออกช้า ๆ

    3. กินเม็ดบัวสดโดยเฉพาะเม็ดบัวไทย ลดความเสี่ยงการเกิด มะเร็งตับ ได้ เพราะอุดมไปด้วยสารแอนติออกซิแดนต์ ซึ่งมีคุณประโยชน์ในการป้องกันมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งตับ และสามารถช่วยขับแอลฟาท็อกซินออกจากร่างกายได้

    แนะนำให้กินเม็ดบัวสดโดยไม่ต้องลอกเยื่อหุ้มสีขาว และไม่ต้องดึงดีบัวที่อยู่กลางเมล็ดออก ก็จะได้รับสารแอนติออกซิแดนต์เต็ม ๆ

    ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อห่างไกลโรคมะเร็งตับในวันข้างหน้า ชีวจิต เชื่อว่าทุกคนทำได้ค่ะ

    คอลัมน์ชีวจิต นิตยสารชีวจิต ฉบับ 385


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ผู้ป่วยมะเร็ง ออกกำลังกายอย่างไรดี ?

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

    มหัศจรรย์แห่ง การเดิน แรงกระแทกต่ำ ทำได้ทุกคน

    บอกต่อวิธีชะลอวัย 1. เร่งเมแทบอลิซึม 2. เร่งขับพิษ เพื่อสุขภาพดี

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    สูตรน้ำผักผลไม้

    10 สูตรน้ำผักผลไม้ เสริมให้สุขภาพดวงตาดี สวย ชะลอความเสื่อม

    10 สูตรน้ำผักผลไม้ เสริมให้สุขภาพดวงตาดี สวย ชะลอความเสื่อม

    สูตรน้ำผักผลไม้ เป็นหนึ่งในกรรมวิธีสำคัญที่จะทำให้ได้สารที่มีแอนติออกซิแดนต์และแร่ธาตุแบบเต็มน้ำเต็มเนื้อ ประหยัดเวลา รับประทานง่าย ได้แก่ การทำน้ำผักผลไม้แบบแยกกาก

    4 สูตรน้ำผักเพื่อสุขภาพตา

    น้ำผักสูตร 1

    ฟักทอง  มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินเอสูง วิตามินซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม แป้ง รวมทั้งเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ สร้างภูมิคุ้มกันโรค ลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ ทั้งยังช่วยต้านความชรา และป้องกันโรคผิวหนังได้เป็นอย่างดี

    ประโยชน์ต่อดวงตา : บำรุงสายตา รักษาอาการตาฟาง ต้อกระจก และกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ช่วยทำให้ดวงตาสดใส

    สะระแหน่ ขิง และผักชี มีวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ลูทีน ซีแซนทิน วิตามินบี 1 บี2 บี3 บี5 บี6 บี12 และแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก

    ประโยชน์ต่อดวงตา : ช่วยบำรุงและรักษาสายตา บำรุงธาตุในร่างกาย และกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต

    ส่วนผสม คือ

    ฟักทอง 200 กรัม

    สะระแหน่ 10 ใบ

    ขิง 1 แท่ง

    ผักชี 2-3 ต้น

    สูตรน้ำผักผลไม้ สูตรน้ำผัก สูตรน้ำผลไม้ สุขภาพดวงตา บำรุงดวงตา ดูแลดวงตา ดวงตา

    น้ำผักสูตร 2

    แครอต  มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุมากมาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินซี วิตามินอี แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เบต้าแคโรทีน นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระบบไหลเวียนเลือด

    ประโยชน์ต่อดวงตา : บำรุงสายตา รักษาอาการตาฟางและต้อกระจกช่วยทำให้ดวงตาสดใส

    หัวไชเท้า มีประโยชน์มากมายไม่แพ้กัน หัวไชเท้าอุดมไปด้วยวิตามินซี การดื่มน้ำคั้นหัวไชเท้าเพียงครึ่งแก้วจะทำให้ได้รับวิตามินซีในปริมาณมากถึง 15 เปอร์เซ็นต์ที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน หัวไชเท้ายังอุดมไปด้วยแอนติออกซิแดนต์ และช่วยควบคุมกระบวนการเมแทบอลิซึมของร่างกาย

    ประโยชน์ต่อดวงตา : ช่วยทำให้ดวงตาสดใส

    ส่วนผสม คือ

    หัวไชเท้า 1 หัว

    แครอต 1 หัว

    น้ำผักสูตร 3

    ผักโขม มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุมากมาย เช่น วิตามินเอ วิตามินซี เหล็ก แมกนีเซียม และแคลเซียมสูง รวมทั้งมีเบต้าแคโรทีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ สร้างภุมิคุ้มกันโรค และลดการเกิดมะเร็ง

    ประโยชน์ต่อดวงตา : ช่วยทำให้ดวงตาสดใส

    กะหล่ำปลี  มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุมากมาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี1 บี2 บี3 บี6 บี8 บี12 วิตามินซี วิตามินเค แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก รวมทั้งมีสารแอนโทไซยานิน ช่วยสร้างเสริมสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสมาธิและสภาพจิตใจได้

    ประโยชน์ต่อดวงตา : ช่วยทำให้ดวงตาสดใส

    ส่วนผสม คือ

    ผักโขม 5 ใบ

    กะหล่ำปลี ½ หัว

    สูตรน้ำผักผลไม้ สูตรน้ำผัก สูตรน้ำผลไม้ สุขภาพดวงตา บำรุงดวงตา ดูแลดวงตา ดวงตา

    น้ำผักสูตร 4

    มะระจีน มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุมากมาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี1 บี2 และวิตามินซี รวมทั้งอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ สร้างภูมิคุ้มกันโรค และลดการเกิดมะเร็ง

    ประโยชน์ต่อดวงตา : ช่วยทำให้ดวงตาสดใส

    ส่วนผสม คือ

    มะระจีน 1 ลูก (หั่นเป็นแท่งยาวๆ)

    น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ

    สามารถเพิ่มมะนาวได้

    เคล็ดลับ

    เวลาดื่มน้ำผักเพื่อสุขภาพตา แนะนำให้จิบแล้วอมไว้ในปากก่อนค่อยกลืนช้าๆ เพื่อให้เอนไซม์ในน้ำลายค่อยๆ ย่อยน้ำผักซึ่งเป็นน้ำตาลมอลโทส เมื่อผ่านกระบวนการย่อยจะถูกเปลี่ยนให้เป็นกลูโคสซึ่งละลายน้ำได้ดี และดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย สูตรน้ำผักเหล่านี้แนะนำให้ดื่มทุกวัน และควรดื่มให้หลากหลายชนิดไม่ซ้ำกัน

    6 สูตรน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพตา

    หลักธรรมชาติบำบัด (Naturoparthy) กล่าวไว้ว่า วิธีหนึ่งที่ช่วยบำรุงดวงตาได้อย่างดีคือ การรับประทานผลไม้ในช่วงท้องว่างหรือก่อนมื้ออาหารหลายชั่วโมง เพื่อให้ได้คุณค่าจากผลไม้อย่างเต็มที่ ยิ่งหากเป็นการดื่มน้ำผลไม้ก็ยิ่งทำให้ร่างกายดูดซึมวิตามินต่างๆ โดยเฉพาะวิตามินซีและเกลือแร่ได้อย่างดีทีเดียว

    ทั้งนี้เพราะน้ำผักผลไม้ปั่นแยกกากหรือปั่นเป็นน้ำนั้นถือเป็นอาหารย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารไปใช้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ต่างจากอาหารที่ต้องเคี้ยว (Solid Food) ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมได้เพียง 35 เปอร์เซ็นต์ โดยเคล็ดลับสำคัญสำหรับการดื่มน้ำผักผลไม้ให้ได้คุณค่ามากที่สุดคือ ดื่มช่วงเช้าตอนท้องว่าง เพราะเป็นช่วงเวลาที่ต้องกำลังชำระล้าง (5.00 – 7.00 น.) เป็นช่วงเวลาทำงานของลำไส้ใหญ่ที่ต้องขับถ่าย ลำไส้ใหญ่จะทำงานได้ดีในช่วงเวลานี้ ทำให้ของเสียและกากอาหารถูกขับออกจากร่างกายได้ดีที่สุด จากนั้นเวลา 7.00 – 9.00 น. จะเป็นช่วงเวลาทำงานของกระเพาะอาหารและเป็นเวลาที่กระเพาะดูดซึมและย่อยสารอาหารต่างๆ ได้ดีที่สุด

    น้ำผักผลไม้ที่ดื่มนั้นควรเป็นน้ำผักผลไม้สด ไม่ใช่น้ำผักผลไม้แบบกล่อง

    น้ำผลไม้สูตร 1

    ลูกแพร์  มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุมากมาย เช่น วิตามินซี อีก และบีบางชนิด สังกะสี เหล็ก รวมทั้งมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด โดยเฉพาะพอลิฟีนอล ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งสารก่อมะเร็ง ต้านมะเร็งชนิดต่างๆ ได้ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากการอักเสบต่างๆ

    ประโยชน์ต่อดวงตา : ช่วยล้างพิษในร่างกายและช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้

    มะเขือเทศ  มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุมากมาย เช่น วิตามินซี เอ เค บี1 บี2 แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก โดยเฉพาะวิตามินเอและซีที่มีปริมาณมาก มะเขือเทศขนาดปานกลาง 1 ลูกมีปริมาณวิตามินซีมากถึงครึ่งหนึ่งของส้มโอทั้งผล และมีปริมาณวิตามินเอถึงหนึ่งสามของวิตามินเอที่ร่างการต้องการต่อวัน

    มะเขือเทศยังอุดมไปด้วยลูกทีน ซีแซนทิน ป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อม รวมทั้งมีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ สร้างภูมิคุ้มกันโรค และลดการเกิดมะเร็ง

    ประโยชน์ต่อดวงตา : ป้องกันโรคจอตาเสื่อม และช่วยบำรุงสายตาทำให้ดวงตาสดใส

    มันฝรั่ง  อุดมไปด้วยวิตามินบี1 บี2 บี3 บี5 บี6 บี12 และแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก

    ประโยชน์ต่อดวงตา : ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง ทำให้ผลิตสารสื่อประสาทได้เป็นปกติ เช่น เซโรโทนิน (ช่วยกระตุ้นอารมณ์) กาบา (ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย)

    ส่วนผสม คือ

    ลูกแพร์ 2 ผล

    มะเขือเทศ 1 ลูก

    มันฝรั่ง 2 หัว

    สูตรน้ำผักผลไม้ สูตรน้ำผัก สูตรน้ำผลไม้ สุขภาพดวงตา บำรุงดวงตา ดูแลดวงตา ดวงตา

    น้ำผลไม้สูตร 2

    ส้ม  มีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย เช่น วิตามินซี เอ บี ดี แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และคอลลาเจน ส้มยังมีเบตาแคโรทีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ สร้างภูมิคุ้มกันโรค และลดการเกิดมะเร็ง

    ประโยชน์ต่อดวงตา : ช่วยบำรุงสายา ป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก และช่วยทำให้ดวงตาสดใส

    ส่วนผสม คือ

    ส้ม 5-6 ผล

    มะเขือเทศ 1 ลูก

    ลูกแพร์ 1 ผล

    น้ำผลไม้สูตร 3

    ชมพู่  มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุมากมาย เช่น วิตามินซี เอ บี ดี แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก แมกนีเซียม แมงกานีส สังกะสี และคอลลาเจน ชมพู่ยังเป็นผลไม้ไม่กี่ชนิดที่มีไลโคปีน (Lycopene) รงควัตถุสีแดงที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ สร้างภูมิคุ้มกันโรค และลดการเกิดมะเร็งได้

    ประโยชน์ต่อดวงตา : เพิ่มประสิทธิภาพให้กับสารตาและบำรุงรักษาเซลล์ประสาทตา ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ขจัดสารพิษในร่างกาย และชะลอการเสื่อมของเซลล์

    ส่วนผสม คือ

    ชมพู่สีแดงหรือชมพู่ 5-6 ผล

    น้ำผลไม้สูตร 4

    แตงโม แคนตาลูป และละมุด มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุมากมาย เช่น วิตามินเอ ซี บีรวม แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้น

    ประโยชน์ต่อดวงตา : ช่วยบำรุงสายตาและช่วยล้างพิษจากอาหาร

    ส่วนผสม คือ

    แตงโมหรือแคนตาลูป ¼ ผล

    ละมุด 2 ผล (ถ้าชอบรสหวานอาจเพิ่มเป็น 3-4 ผล)

    น้ำผลไม้สูตร 5

    กีวี มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุมากมาย เช่น วิตามินเอ ซี อี วิตามินบี1 บี2 บี3 บี6 บี9 วิตามินเค แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียว สังกะสี แมงกานิส เป็นต้น ว่ากันว่าการรับประทานกีวีเพียง 1 ผล จะได้รับวิตามินซีมากถึงร้อยละ 155 ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน

    ประโยชน์ต่อดวงตา : ช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย ชะลอการเสื่อมสของเซลล์ ซ่อมแซมกล้ามเนื้อและเส้นใยประสาท และช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดในร่างกายให้ดียิ่งขึ้น

    แอ๊ปเปิ้ล มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุมากมาย เช่น วิตามินเอ ซี อีก วิตามินบี1 บี2 บี3 บี5 บี6 แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม สักกะสี ซีลีเนียม โฟเลต นอกจากนี้แอ๊ปเปิ้ลสีแดงยังให้สารแอนโทไซยานินซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระมาก (ถือว่ามีประโยชน์มากที่สุด)

    ประโยชน์ต่อดวงตา : ช่วยป้องกันการเกิดต้อกระจำ

    ส่วนผสม คือ

    กีวี 5 ผล

    แอ๊ปเปิ้ล 1 ผล

    น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ หรือจะใช้น้ำตาลทรายแดงก็ได้

    น้ำผลไม้สูตร 6

    องุ่น  มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุมากมาย เช่น วิตามินเอ ซี อีก เหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม นอกจากนี้องุ่นดำและองุ่นแดงยังให้สารแอนโทไซยานินซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระด้วย

    ประโยชน์ต่อดวงตา : ช่วยล้างพิษ ทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดดี ช่วยเพิ่มความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

    ส่วนผสม คือ

    องุ่น 200 กรัม

    ลูกแพร์ 1 ผล

    มะเขือเทศ 1 ลูก

    ขิงเล็กน้อย

    ข้อมูลจาก หนังสือสายตาดีด้วยวิธีมหัศจรรย์ สำนักพิมพ์ AMARIN Health


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ผู้ป่วยมะเร็ง ออกกำลังกายอย่างไรดี ?

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    โปรแกรมช่วย ชะลอวัย ลดไขมันในเลือด

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    รักษาอาการทวารหนักผิดปกติ, ยา, ทวารหนัก, ทวารหนักผิกปกติ, อาการทวารหนักผิดปกติ

    เมื่อ ทวารหนักผิดปกติ

    ทวารหนักผิดปกติ เพราะอะไร

    แย่แล้ว ทวารหนักผิดปกติ ….. ทวารหนักเป็นอวัยวะส่วนสุดท้ายของลำไส้ ภายในประกอบด้วยกล้ามเนื้อหูรูดสองชนิด คือ กล้ามเนื้อหูรูดภายใน (Internal Sphincter) ซึ่งถูกควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติ ไม่อยู่ภายใต้การบังคับของจิตใจและกล้ามเนื้อหูรูดภายนอก (External Sphincter) ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับของจิตใจ และมีหน้าที่สำคัญคือควบคุมการเปิด – ปิดของทวารหนักในขณะที่ร่างกายขับถ่ายของเสีย

    แม้ทวารหนักจะถือว่าเป็นอวัยวะสำคัญของระบบขับถ่ายที่ทำงานหนัก แต่เชื่อไหมครับว่า อวัยวะส่วนนี้ถูกพูดถึงน้อยมากเมื่อเทียบกับอวัยวะอื่นๆ

    นายแพทย์เจริญ เดโชธนวัฒน์ แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปโรงพยาบาลหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวถึงอาการทวารหนักทำงานผิดปกติไว้ว่า เกิดจากการที่ร่างกายของเราได้รับเชื้อโรคบางชนิดเข้าไปในระบบขับถ่าย ได้รับอุบัติเหตุจนระบบขับถ่ายกระทบกระเทือน มีพยาธิในลำไส้ใหญ่ หรือเกิดจากการรักษาความสะอาดไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลให้ทวารหนักไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

    ทวารหนัก, ทวารหนักผิดปกติ, ระบบขับถ่าย, ทวารหนักเป็นแผล, ความผิดปกติของทวารหนัก
    ออกกำลังกายและดื่มน้ำอย่างเพียงพอ ช่วยระบบขับถ่าย ป้องกันทวารหนักผิดปกติ

    เราสามารถจำแนกความผิดปกติของทวารหนักได้ตามอาการดังนี้ครับ

    • ความผิดปกติที่ทวารหนัก แผลปริที่ขอบทวารหนัก (anal fissures) สาเหตุและอาการ เกิดจากอาการท้องผูกเรื้อรังจนทำให้มีอุจจาระที่แข็งมากไปเบียดเยื่อบุขอบทวารหนักจนเกิดเป็นแผลอักเสบ ในการขับถ่ายแต่ละครั้ง เมื่อกล้ามเนื้อหูรูดหดตัวเพื่อขับอุจจาระออกมาจะยิ่งดึงให้รอยปรินั้นแยกออกมากขึ้น และทำให้เจ็บมากเวลาก่อนและหลังการถ่ายอุจจาระ ในรายที่เป็นมากอาจมีเลือดออกมาด้วย
    • ความผิดปกติที่ทวารหนัก ฝีคัณฑสูตร (anorectal abscesses) สาเหตุและอาการ ร่างกายได้รับเชื้อแบคทีเรียบางชนิดเข้าไป ทำให้เกิดฝีเม็ดใหญ่ข้างในเป็นหนองขึ้นที่บริเวณขอบทวารหนัก หรือฝีรอบขอบทวารหนัก ทำให้รู้สึกเจ็บเวลานั่งและขับถ่าย
    • ความผิดปกติที่ทวารหนัก แผลชอนทะลุ (anorectal fistulas) สาเหตุและอาการ เกิดจากอาการอักเสบที่ลำไส้ใหญ่ ซึ่งมีผลต่อเนื่องมาถึงทวารหนัก ทำให้ช่องเปิด – ปิดระหว่างลำไส้ใหญ่ส่วนปลายกับผิวหนังรอบๆ ผิดปกติ ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดบริเวณทวารหนักเป็นอย่างมากเวลาขับถ่าย
    • ความผิดปกติที่ทวารหนัก คันทวารหนักเรื้อรัง (pruritus ani) สาเหตุและอาการ เกิดจากมีพยาธิเข็มหมุดหรือพยาธิเส้นด้ายอาศัยอยู่ในบริเวณทวารหนักหรือการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเสื้อผ้าหรือจุดซ่อนเร้นรุนแรงเกินไป การสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ การรักษาความสะอาดที่บริเวณทวารหนักไม่ดีพอ ผู้ป่วยมักจะมีอาการคันเรื้อรังบริเวณขอบทวารหนัก หากเกาก็จะยิ่งทำให้ผิวหนังในบริเวณนั้นอักเสบและระคายเคืองมากขึ้น

    อาการทั้งหมดนี้เราทุกคนมีสิทธิ์เป็นเท่า ๆ กันครับ

    การรักษา ทวารหนักผิดปกติ

    ในกรณีของผู้ที่เพิ่งมีอาการทวารหนักผิดปกติยังไม่ต้องกังวลใจไปนะครับ เพราะในระยะแรกนี้ คุณไม่จำเป็นต้องไปหาหมอ เพียงแค่ใส่ใจในการดูแลความสะอาดบริเวณที่เป็นมากขึ้น และพยายามหลีกเลี่ยงภาวะเสี่ยงที่จะทำให้โรคกำเริบหนัก เช่น การนั่งนานๆ การกลั้นอุจจาระและปัสสาวะเป็นเวลานานๆ เพียงเท่านี้อาการของคุณจะดีขึ้นตามลำดับครับ

    สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการทวารหนักผิดปกติในระยะอันตราย หากไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการ

    ปัจจุบันแพทย์จะมีวิธีในการรักษาทางเดียว คือการผ่าตัด โดยจะรักษาลักษณะของอาการที่แสดงออก เช่น หากพบว่าเป็นฝีคัณฑสูตรที่ทวารหนักขนาดใหญ่มาก แพทย์จะใช้วิธีกรีดที่บริเวณแผลเพื่อระบายหนองออก และให้ยาปฏิชีวนะที่โพรงหนองเพื่อลดอาการเจ็บ

    หรือในกรณีที่เป็นแผลชอนทะลุ หรือแผลปริที่ขอบทวารหนักก็เช่นเดียวกัน แพทย์จะใช้วิธีผ่าตัดเปิดแผลออกเพื่อรักษาแผล ซึ่งวิธีนี้จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถรักษาด้วยการกินยาได้แล้ว

    ดูแลทวารหนักอย่างไรให้ไกลโรค

    สำหรับผู้ที่มีอาการทวารหนักผิดปกติอยู่เรามีข้อแนะนำสำหรับคุณดังนี้ครับ

    • หลีกเลี่ยงการเบ่งถ่ายอุจจาระ โดยเฉพาะคนที่มีแผลปริที่ขอบทวารหนัก ฝีคัณฑสูตรแผลชอนทะลุ เพราะยิ่งเบ่งจะยิ่งทำให้คุณเจ็บปวดมากขึ้น
    • กินผักและผลไม้ให้มากขึ้น เพราะอาหารที่อุดมไปด้วยเส้นใยจะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้งยังทำให้อุจจาระนิ่ม ส่งผลให้ขับถ่ายง่ายขึ้น
    • ออกกำลังกายและดื่มน้ำอย่างเพียงพอจะยิ่งช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้งยังทำให้ผิวพรรณสดใส และทำให้แผลบริเวณที่เป็นแห้งเร็วขึ้นอีกด้วย
    • รักษาความสะอาด ก่อนและหลังถ่ายอุจจาระและปัสสาวะควรล้างมือด้วยสบู่และเช็ดให้แห้งทุกครั้ง เพื่อป้องกันการรับเชื้อโรคเพิ่มขึ้น และไม่ควรเกา เพราะยิ่งจะทำให้บาดแผลบริเวณนั้นเกิดการอักเสบและระคายเคือง
    • ในรายที่มีอาการคันบริเวณทวารหนัก ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์จำพวกทำความสะอาดในร่มผ้า เช่น น้ำยาปรับผ้านุ่ม สบู่ หรือผงซักฟอกที่มีสารเคมีรุนแรงและมีกลิ่นฉุน เพราะจะยิ่งทำให้เกิดอาการคันและระคายเคืองได้

    รู้ข้อมูลกันอย่างนี้แล้ว เข้าห้องน้ำครั้งต่อไป อย่าลืมใส่ใจเรื่องความสะอาดนะครับ

    ข้อมูลจาก คอลัมน์โรคภัยใกล้ตัว นิตยสารชีวจิต

    ชีวจิต Tips ปรับอาหารด้วยสูตรชีวจิต สู้ริดสีดวง

    อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง ให้คำแนะนำแก่ผู้ที่มีปัญหา ริดสีดวง ไว้ดังนี้

    (ข้าวกล้อง 50 เปอร์เซ็นต์ ผัก 25 เปอร์เซ็นต์ โปรตีนจากพืช 15 เปอร์เซ็นต์ เบ็ดเตล็ด 10 เปอร์เซ็นต์) และกินสับปะรดอย่างน้อยหนึ่งเสี้ยวถึงครึ่งผลทุกวันรวมถึงคั้นน้ำสับปะรดดื่มวันละแก้ว (อย่าใช้น้ำสับปะรดกระป๋อง) ทั้งกิน ทั้งดื่มประมาณหนึ่งสัปดาห์ สับปะรดจะช่วยในการย่อยอาหาร และช่วยให้การขับถ่ายสะดวกดีขึ้น

    น้ำส้มสายชูแอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์

    ใช้ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำสุกเล็กน้อย (4 ช้อนโต๊ะ) แล้วจิบตลอดวัน ช่วยแก้อาการคันและแสบของริดสีดวงได้

    ทำดีท็อกซ์ตอนเช้า

    ควรใช้น้ำมันหล่อลื่นหรือครีมแก้ริดสีดวงทาที่ปลายสายยางสำหรับทำดีท็อกซ์จนเยิ้ม อย่าให้ปลายสายฝืดเป็นอันขาด ต้องหล่อลื่นให้มาก ๆ

    อย่ากินเค็ม

    การกินเค็มทำให้อ้วน และทำให้น้ำอยู่ในร่างกายมาก น้ำมากทำให้เส้นเลือดพอง ริดสีดวงจะพองโตตามไปด้วย

    สร้างสุขนิสัยที่ดีในการขับถ่าย

    ได้แก่ ควรถ่ายให้เป็นเวลา ไม่นั่งถ่ายหรือเบ่งอยู่นาน ๆ และเมื่อปวดก็อย่าอั้นไว้ ควรถ่ายทันที เพื่อป้องกันการเกิดริดสีดวง

    หลังอุจจาระควรใช้น้ำล้าง  

    และหลีกเลี่ยงการใช้กระดาษเช็ด

    ควรหลีกเลี่ยงการยกของหนัก

    เช่น โซฟาหรือตู้ เพราะจะก่อให้เกิดแรงกดที่ก้น ทำให้คนที่เป็นริดสีดวงอยู่แล้วอาการกำเริบได้เช่นกัน

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ฉี่แล้วอย่าเพิ่งกด! สังเกตปัสสาวะ สักนิด สังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย

    โรคเบาหวาน กับความเข้าใจผิด ๆ ที่ทุกคนควรรู้ หมอตอบเอง

    อาหารของโรคไต ป้องกันภาวะไตเสื่อม

    สังเกตด่วน! คุณมี อาการโรคไต หรือไม่

    กินเป็น ก่อนแก้ ช่วย ป้องกันโรคไต ในระยะยาวได้

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ออกกำลังกาย ลดระดับน้ำตาลในเลือด, เบาหวาน, โรคเบาหวาน, ผู้ป่วยเบาหวาน

    เบาหวาน คุมอยู่! ด้วยเทคนิคออกกำลังกายคุมน้ำตาลในเลือด

    เบาหวาน จะไม่น่ากลัวอีกต่อไป ถ้ารู้จักออกกำลังกาย

    เบาหวาน เห็นชื่อหวาน ๆ แต่ร้ายนะจ๊ะ เพราะร่างกายของผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะไม่สามารถผลิตหรือนําฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ซึ่งมีหน้าที่นําน้ำตาลไปให้ร่างกายใช้เป็นพลังงานได้เต็มที่ จึงทําให้เกิดโรคเบาหวานหรือภาวะน้ำตาลในเลือดสูง

    หากปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานานจะส่งผลเสียต่อหลอดเลือดแดงทั่วร่างกาย ทําให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง โรคเบาหวานขึ้นจอตาและไตวาย เราสามารถเช็กอาการผิดปกติที่เกิดจากโรคเบาหวาน ได้ดังนี้

    1. เหนื่อยหรืออ่อนเพลีย
    2. ผิวหนังแห้งและคัน
    3. มีความอยากอาหารมากขึ้น
    4. แผลหายช้า
    5. กระหายน้ำบ่อย
    6. ครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนเป็นไข้
    7. ปัสสาวะบ่อย
    8. ปวดศีรษะ
    9. ตาพร่ามัว

    ทั้งนี้ คุณกาญจนา พันธรักษ์ หรือครูกาญจน์ อดีตนักกรีฑาทีมชาติชุดซีเกมส์ถึงสองสมัย มีประสบการณ์อยู่ในวงการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายตลอดมา ทั้งฟิตเนสและโยคะ แนะนำว่า เราสามารถเยียวยาโรคเบาหวานด้วยการกินยา ควบคุมอาหาร และออกกําลังกาย เนื่องจากการออกกําลังกายจะช่วยให้กล้ามเนื้อดึงน้ำตาลในกระแสเลือดมาสร้างเป็นไกลโคเจน (Glycogen)

    โดยพบว่า หลังการออกกําลังกาย 24 ชั่วโมง ระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลง และอินซูลินก็ทํางานดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ การออกกําลังกายยังช่วยลดปริมาณไขมันสะสมในตับจึงลดภาวะดื้ออินซูลินได้ แต่จะออกกําลังกายอย่างไร ประเภทไหนดี ครูกาญจน์มีคําแนะนํามาฝาก

    ออกกำลังกาย ลดน้ำตาลในเลือด

    การเตรียมตัว

    1. ควรคํานวณหาชีพจรในการออกกําลังกายที่เหมาะสม สําหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือผู้ที่ไม่เคยออกกําลังกายมาก่อนเลย โดยใช้เกณฑ์การเต้นของชีพจรที่ 60-70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นขั้นต่ำ ดังสูตรนี้

    ชีพจรในการออกกําลังกายขั้นต่ำ = 60 เปอร์เซ็นต์ x (220- อายุ) ครั้ง/นาที

    ตัวอย่างเช่น อายุ 60 ปี คํานวณชีพจรขั้นต่ำได้ดังนี้ = 60/100 x (220-60) ครั้ง/นาที = 96 ครั้ง/นาที

    1. หาข้อจํากัดหรือความไม่พร้อมของร่างกาย เช่น ข้อเสื่อม น้ำหนักเกินมาตรฐาน แล้วเลือกประเภทกีฬาให้เหมาะสมกับตัวเอง
    โยคะ, ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด, ออกกำลังกาย, เบาหวาน, โรคเบาหวาน
    ออกกำลังกายด้วยการฝึกโยคะ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

    ประเภทการออกกําลังกาย เพื่อคนเป็น เบาหวาน ที่แนะนํา

    สำหรับการออกกําลังกายที่ครูกาญจน์แนะนำมี 2 ประเภท คือ

    1.คาร์ดิโอหรือแอโรบิก

    เป็นการออกกําลังกายที่ต้องใช้ออกซิเจน จึงมีความสัมพันธ์กับการทํางานของหัวใจ เช่น การเดินเร็ว เต้นแอโรบิก ปั่นจักรยาน และว่ายน้ำ แนะนําให้ออกกําลังกายประเภทนี้อย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน หากไม่เคยเล่นมาก่อน ให้เริ่มจากวันละ 15 นาที แล้วค่อยเพิ่มเวลาในวันต่อๆ มา

    2.การออกกําลังกายแบบใช้แรงต้าน (Resistant Exercise)

    เช่น ยกน้ำหนัก นอกจากนี้ยังรวมถึงประเภทที่ต้องฝึกหายใจ และใช้สมาธิ เช่น โยคะ พิลาทีส และไทเก๊ก การยกน้ำหนักช่วยให้กล้ามเนื้อดึงน้ำตาลและไขมันมาใช้เป็นพลังงานขณะยกลูกน้ำหนัก

    การฝึกโยคะและพิลาทีสก็ต้องใช้พลังงานในการฝึกท่าต่างๆ และควรเสริมท่าโยคะที่ช่วยบริหารไตและตับอ่อน รวมถึงท่าที่กระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน ได้แก่ ท่าตั๊กแตน ท่าสามเหลี่ยม ท่าบิดตัว และท่ายืนด้วยไหล่

    แนะนําให้ฝึกออกกําลังกายประเภทไทเก๊กครั้งละ 2 ชั่วโมง จะส่งผลดีต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก ส่วนการออกกําลังกายจะทําให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระยะเวลา ความหนัก ระดับน้ำตาลก่อนออกกําลังกาย คําแนะนําเพิ่มเติมคือ หากออกกําลังกายแบบคาร์ดิโอร่วมกับการใช้แรงต้านจะทําให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้ดีกว่าการออกกําลังประเภทใดประเภทเดียว

    ข้อควรระวัง

    ในช่วงแรกไม่ควรออกกําลังกายด้วยความแรง เพราะจะทําให้ฮอร์โมนแคทีโคลามีน (Catecholamine) หลั่งออกมา ซึ่งจะทําให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นจึงควรเริ่มออกกําลังกายด้วยความแรงจากน้อยไปหามาก

    มาออกกําลังกายกันนะคะ เพื่อให้คุณสามารถดูแลตัวเองและคนที่คุณรักได้นาน ๆ

    อาหารที่คนเป็น เบาหวาน ควรเลี่ยง

    คนเป็นเบาหวานควรลดอาหารให้พลังงานลง แคลอรีคือหน่วยนับพลังงานที่ร่างกายใช้ ร่างกายสร้างแคลอรีจากอาหารพลังงาน ดังนั้นจึงควรควบคุมปริมาณอาหารเหล่านี้ ได้แก่

    คาร์โบไฮเดรต

    เช่น ข้าว แป้ง น้ำตาล อาหารกลุ่มนี้จะถูกร่างกายเอามา เผาผลาญเป็นพลังงานก่อนเพื่อน โดยคาร์โบไฮเดรต 1 กรัมจะเผาผลาญได้พลังงาน 4 แคลอรี

    ไขมัน

    ให้พลังงานมากกว่าคาร์โบไฮเดรตหนึ่งเท่าตัว คือไขมัน 1 กรัม ให้พลังงสย 9 แคลอรี ดังนั้นการลดแคลอรีจึงต้องมุ่งลดอาหารไขมัน

    โปรตีน

    โดยโปรตีน 1 กรัมให้พลังงานได้ 4 แคลอรี แต่ร่างกายจะหันมาใช้โปรตีนเป็นพลังงานก็ต่อเมื่อไม่มีไขมัน และคาโบไฮเดรตให้ใช้แล้ว ดังนั้นการลดอาหารให้พลังงานจึงควรมุ่งไปที่ไขมันและคาร์โบไฮเดรต ไม่จำเป็นต้องลดโปรตีน
    เพราะฉะนั้นเราจึงควรทราบปริมาณแคลอรีในอาหารที่ตนเองชอบรับประทาน โดยวิธีอ่านฉลากหรือศึกษาจากผลวิจัย
    เช่น สถาบันวิจัยมหิดลรายงานไว้ว่าเส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วให้พลังงาน 635 แคลอรี ข้าวราดกะเพราไก่ให้ 495 แคลอรี ชีส
    เบอร์เกอร์ให้ 280 แคลอรี ปาท่องโก๋ 140 แคลอรี


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ผู้ป่วยมะเร็ง ออกกำลังกายอย่างไรดี ?

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    โปรแกรมช่วย ชะลอวัย ลดไขมันในเลือด

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    แพลนต์เบสด์

    HOW TO เริ่มกิน แพลนต์เบสด์ เทคนิคเข้าวงการผักแบบเต็มตัว

    เริ่มกิน แพลนต์เบสด์ ต้องทำอย่างไร

    สำหรับผู้ที่สนใจอยากลองกินอาหาร แพลนต์เบสด์ ควรเริ่มต้นอย่างไรดี คุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์ แนะนำว่า คนทั่วไปสามารถนำวิธีนี้ไปใช้ได้ โดยใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงประมาณ 6 เดือน

    มื้อเช้า มื้อใหม้หัดกิน แพลนต์เบสด์

    เปลี่ยนเป็นกินผลไม้ เรียกว่า “ฟรุตโบวล์” (Fruit Bow)) สับเป็นท่อนเล็ก ๆ ปริมาณไม่อั้น เน้นให้อิ่ม ส่วนชนิดก็ไม่จำกัด ผลไม้อะไรก็ได้ รสหวานไม่หวานกินได้หมด แต่ต้องกินให้หลายชนิด แม้แต่ทุเรียนก็กินได้ โดยหลักการคือ ผลไม้ตามฤดูกาลที่หลากหลาย ถ้าเรากินผลไม้ทั้งปี เราก็จะได้ความหลากหลายทั้งชนิด สี และรสชาติ เอาให้ครบทุกประเด็น ส่วนใครจะราดโยเกิร์ตเพิ่มลงไปหรือไม่ก็ได้ ทดลองเปลี่ยนมื้อเช้าเป็นผลไม้ล้วน ๆ ให้สำเร็จ จะใช้เวลา 1-2 เดือน ก็ไม่เป็นไร ทำตามสบาย ช่วงนี้อย่าเพิ่งไปเปลี่ยนนิสัย กินขนมหวาน ยังสามารถกินได้อยู่ จากนั้นพอเปลี่ยนมื้อเช้าได้แล้ว ค่อยมาเปลี่ยนมื้อกลางวัน ซึ่งเป็นอาหารแพลนต์เบสด์แทน

    มื้อกลางวัน

    หลักการง่าย ๆ ของมื้อกลางวันคือ แบ่งอาหารเป็น 3 กลุ่ม

    • กลุ่มที่ 1 ผลไม้ทุกรูปทรง ทุกแบบ ทุกรสชาติ สามารถกินได้หมดและกินได้ไม่อั้น พืชผักหรือ เมล็ดพืชที่มีไขมันต่ำกินได้หมด
    • กลุ่มที่ 2 พืชที่มีไขมันสูง กินได้พอประมาณ (ไม่เกี่ยวกับคนผอม) เช่น แป้งไม่ขัดสี ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วเปลือกแข็ง งา ทุเรียน อะโวคาโด
    • กลุ่มที่ 3 กินเนื้อสัตว์ให้น้อยที่สุด หรือไม่กินได้เลย ยิ่งดี ถ้าถามว่าควรงดจากเนื้อสัตว์ชนิดไหนก่อน ก็ไล่จากความไม่ดีที่สุดของชนิดเนื้อสัตว์ชนิดนั้น ๆ ก่อน นั่นคือต้องงดเนื้อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก่อน เพราะสัมพันธ์กับสารก่อมะเร็ง ซึ่งเรื่องนี้มีข้อมูลชัดเจน พองดชนิดนั้นได้แล้ว ก็เริ่มกินปู ปลา กุ้ง หอย เป็ด ไก่ ให้น้อยลง และเมื่อชินก็ค่อย ๆ งดไป ให้บริหารตัวเองโดย ใช้หลักแบ่งอาหารเป็น 3 กลุ่มตามที่กล่าวมานี้ พอเปลี่ยนอาหารกลางวันสำเร็จ ค่อยมา เปลี่ยนมื้อเย็นตาม ซึ่งอาจจะใช้เวลาหลายเดือน ก็ไม่เป็นไร

    มื้อเย็น

    มีเรื่องที่ต้องเปลี่ยน 2 ประเด็น ได้แก่

    ประเด็นที่ 1 เปลี่ยนวัตถุดิบของอาหารตามแนวคิดอาหารกลางวัน อาหารแพลนต์เบสด์

    ประเด็นที่ 2 ร่นเวลามื้อเย็นให้เร็วขึ้น เพื่อที่จะรูดซิปปาก (หยุดกิน) ให้เร็วขึ้น เพราะเราต้องการให้มีช่วงขาดอาหารนานอย่างน้อย 12 ชั่วโมง ถ้าสามารถขาดอาหารได้ถึง 16 ชั่วโมงก็ยิ่งดี นั่นคือการทำ IF (Intermittent Fasting)

    การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของมื้ออาหารทั้ง 3 มือ นี่คือการเปลี่ยนผัน ค่อย ๆ ทำไปทีละขั้น ยิ่งทำสำเร็จไป 1 ขั้นก็จะทำให้ขั้นที่ตามมามีความหนักแน่นมากขึ้น ท้ายที่สุดการเลิกขนมหวานและเครื่องดื่ม รสหวานก็ทำได้ไม่ยาก

    แพลนต์เบสด์

    วิธีนี้ยังสามารถนำไปเปลี่ยนรูปแบบการกินอาหารของคนทั่วไปที่สนใจอยากเริ่มกินอาหารแพลนต์เบสต์ได้ด้วย อย่าไปหักด้ามพร้าด้วยเข่า โดยที่อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนมากินอาหารแพลนต์เบสด์เลย เพราะอาหารเป็นสิ่งเสพติด หากขาดสิ่งที่ชอบไป ก็อาจลงแดงได้ ซึ่งเราจะทนไม่ได้ นั่นเป็นเหตุ ที่ทำไมจึงต้องค่อย ๆ เปลี่ยน

    ส่วนใครที่กังวลเรื่องยาโรคเรื้อรัง มุ่งเน้น อยากไปลดยา เลิกกินยา จริง ๆ แล้วเรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่สาระสำคัญ ขอบอกว่ายาโรคเรื้อรังทุกตัว มีตัวชี้วัดกำกับ ยาเบาหวานใช้ระดับน้ำตาลในเลือดเป็นตัวชี้วัด ยาลดไขมันในเลือดก็ใช้ระดับไขมันในเลือดเป็นตัวชี้วัด และยาลดความดันโลหิตสูงก็ใช้ระดับความดันโลหิตเป็นตัวชี้วัด

    ดังนั้นการเปลี่ยนอาหารขณะที่กินยาอยู่ จะค่อย ๆ ทำให้ตัวชี้วัดดีขึ้นอย่างสังเกตได้ พอทำไปเรื่อย ๆ จนตัวชี้วัดกลับมาเป็นปกติ แพทย์ผู้ดูแลก็อาจพิจารณาลดปริมาณยาลง หรือลดชนิดของยาตามที่เห็นสมควรเป็นกรณีไปเอง

    สิ่งที่ควรมุ่งเน้นคือการเปลี่ยนนิสัยการกินให้ได้ต่างหากที่เป็นสาระสำคัญ ทำให้ได้ ทำให้สำเร็จก่อน แล้วเรื่องลดยาหรือเลิกยาจะสุกงอม และหล่นลงมาเองตามธรรมชาติ

    ที่มา : นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 595

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ผู้ป่วยมะเร็ง ออกกำลังกายอย่างไรดี ?

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    โปรแกรมช่วย ชะลอวัย ลดไขมันในเลือด

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ชะลอวัย

    โปรแกรมช่วย ชะลอวัย ลดไขมันในเลือด

    โปรแกรมง่ายช่วย ชะลอวัย ลดไขมันในเลือด

    ไม่ว่าหญิงหรือชาย ใคร ๆ ก็อยาก ชะลอวัย ชะลอความชราด้วยกันทั้งนั้น แต่หากถามว่า ปัจจุบันเรื่อง Anti-aging หรือศาสตร์ด้านการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพนี้ มีอะไรได้ผลจริงจังบ้างขอตอบว่า หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เรื่อง Anti-aging (ในคน) ทุกวันนี้มีน้อย เพราะไม่มีตัวชี้วัดที่เชื่อถือได้ หากจะเอาความยืนยาวของชีวิตเป็นตัวชี้วัด ก็ต้องทำงานวิจัยกันนานถึง 20-40 ปีเป็นอย่างน้อย ซึ่ง ณ วันนี้ยังไม่มีใครทำงานวิจัยแบบนี้สักชิ้นเดียว

    ในบรรดาตัวชี้วัด Anti-aging ที่พอใช้ได้ทุกวันนี้ วงการแพทย์ดูจะยอมรับการยืดหรือหดตัวของทีโลเมียร์ (Telomere) ว่ามีความสัมพันธ์กับการแก่ช้าหรือเร็วมากที่สุด โดยเจ้าทีโลเมียร์ที่ว่าก็คือส่วนปลายเส้นโมเลกุลของโครโมโซม ซึ่งเป็นแหล่งรวมรหัสพันธุกรรมที่เรียกว่า “ยีน (Gene)” ผู้บงการชะตาชีวิตของเซลล์ร่างกายเรานั่นเอง

    ทีโลเมียร์มีหน้าที่คุ้มกันยีนไม่ให้หลุดลุ่ยเสียหายจากการแบ่งตัวของเซลล์ซ้ำ ๆ ซาก ๆ เปรียบเหมือนตรงปลายของเชือกผูกรองเท้าที่จะมีปลอกพลาสติกหรือปลอกเหล็กเล็ก ๆ รัดไว้ไม่ให้ปลายเชือกผูกรองเท้าหลุดลุ่ย

    ประเด็นก็คือ เมื่อเซลล์แบ่งตัวรุ่นแล้วรุ่นเล่า ทีโลเมียร์จะหดสั้นลงจนหมดเกลี้ยงในที่สุด เมื่อทีโลเมียร์หมดเกลี้ยง ยีนจะเริ่มหลุดลุ่ยเสียหายทำให้เซลล์รุ่นต่อไปออกอาการผิดเพี้ยนเหลาเหย่ เป็นมะเร็ง หมดอายุ หรือพูดง่าย ๆ ว่าความแก่มาเยือน

    บรรทัดนี้ ขอหยุด 1 นาที เพื่อคารวะนักศึกษาปริญญาโทสาวชาวออสซี่คนหนึ่งชื่อ แครอล กรีเดอร์ (Carol W. Greider) ผู้ค้นพบเอนไซม์ทีโลเมียเรส (Telormerase) ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันการหดสั้นของทีโลเมียร์ ขณะที่เธอทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท และผลงานนี้ส่งผลให้เธอได้รับรางวัลโนเบลร่วมในสาขาชีวโมเลกุล

    นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่สรุปผลได้ว่าความเครียดเรื้อรังทำให้ความแอ๊คทีฟของเอนไซม์ทีโลเมียเรสลดลง และทำให้ทีโลเมียร์หดสั้นเร็วกว่าปกติ จึงอาจมีผลให้อายุสั้นลงด้วย ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคืองานวิจัยที่แคลิฟอร์เนีย ทำโดยกลุ่มคนที่เชื่อถือได้รวมทั้งผู้ที่ได้รางวัลโนเบลเรื่องทีโลเมียร์ได้เอาคนอายุมากตัวเป็นๆ 30 คนมาวัดกิจกรรมของเอนไซม์ทีโลเมียเรสและความยาวของทีโลเมียร์ไว้หมด แล้วให้เข้า

    ชะลอวัย ลดไขมันในเลือด
    ออกกำลังกายเป็นประจำ ช่วยชะลอวัย ลดไขมันในเลือด

    โปรแกรมปรับวิถีชีวิต อย่างสิ้นเชิงเป็นเวลา 3 เดือน โดยไปเริ่มต้นกันที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง ซึ่งในโปรแกรมนี้ทุกคนจะต้องทำสิ่งต่อไปนี้ คือ

    1. เปลี่ยนอาหารที่เคยกิน ไปกินอาหารแคลอรีต่ำ ไขมันต่ำ (มีแคลอรีจากไขมันไม่เกินร้อยละ 10) เป็นอาหารแนวมังสวิรัติ (Plant Based) มีผักผลไม้ ถั่วต่างๆ จำนวนมากกินธัญพืชไม่ขัดสีแทนแป้ง และบังคับให้กินเต้าหู้กับน้ำมันปลาทุกวัน โดยมีนักโภชนาการคอยจัดอาหารและคุมอาหารให้

    2. ออกกำลังกายแบบแอโรบิก ด้วยวิธีเดินเร็วจนถึงระดับหนักพอควร (หอบจนร้องเพลงไม่ได้) อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 6 ครั้ง

    3. จัดการความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ โดยใช้เวลาวันละ 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 6 วัน เช่น ฝึกโยคะแบบผ่อนคลาย หรือฝึกสติตามดูลมหายใจ (Breathing Meditation) หรือฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

      4. พบปะกันในกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง

    ทำอยู่อย่างนี้นาน 3 เดือน แล้ววัดดูตัวชี้วัดต่างๆ รวมทั้งกิจกรรมของทีโล-เมียเรสและความยาวของทีโลเมียร์ พบว่าตัวชี้วัดสุขภาพพื้นฐานของทุกคนดีขึ้น เช่นดัชนีมวลกายที่สูงเกินปกติลดลง ไขมันเลว

    ในเลือดที่สูงอยู่ลดลง ความดันเลือดที่สูงลดลง น้ำตาลในเลือดและการใช้ยาเบาหวานลดลง แล้วยังพบว่าทุกคนมีกิจกรรมของทีโลเมียเรสเพิ่มขึ้น และความยาวของทีโลเมียร์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย

    ผมเองก็พยายามทำตามหลักการปรับวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิงทั้งข้อ 1 2 3 4 เหยงๆ ตอนนี้ข้อ 1 2 ทำได้แล้วพอควรข้อ 3 4 ยังทำไม่ได้ แต่ก็กำลังพยายามอยู่ ความยากอยู่ที่มีเวลาไม่พอใช้ แหะ…แหะ แบบว่าป่วยเป็นโรคคลาสสิก “กลุ่มอาการเวลาไม่พอใช้” หรือ “Not Enough Time Syndrome” เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องตัดใจโชะจึงจะรักษาให้หายได้

    แต่ตอนนี้ยังตัดใจไม่ขาด เอาไว้รอให้รายการทีวีหมดซีซั่นก่อนนะ คราวนี้จะ…โชะ ปรับวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง เอาให้หายขาดแน่

    จาก คอลัมน์ WELLNESS CLASS นิตยสารชีวจิต ฉบับ 449

    ชีวจิต Tips กินอาหาร ชะลอวัย ทำอย่างไร

    1. อาหารคือแหล่งพลังงานชีวิต
      ก่อนซื้อ หรือกินอาหารทุกครั้ง ให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ร่างกายของฉันต้องการ หรือแค่อยากกินอาหารชนิดนี้” เพื่อเตือนตนเอง ให้ใส่ใจการเลือกอาหาร
      หากทำอย่างต่อเนื่องทุกวัน คุณจะเห็นว่า สัดส่วนของอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพจริง ๆ จะเพิ่มมากขึ้นโดยธรรมชาติ
      หากตระหนักได้เสมอว่า อาหาร คือแหล่งพลังงานชีวิต มิใช่เป็นแค่เพียงการกิน เพื่อให้อิ่มเป็นครั้งคราว คุณจะมองเห็นคุณค่า ในการใส่ใจเลือกอาหารให้ตนเอง และมองเห็นคุณค่าของการใส่ใจสุขภาพในทุก ๆ มิติ
    2. เลือกอาหารโภชนาการสูง
      การเลือกกินผักผลไม้ที่สด ธัญพืช ถั่วหลากสี จำกัดแป้ง น้ำตาล และเครื่องปรุงรส เลือกโปรตีนย่อยง่าย และมีปริมาณไม่มากเกินไป เน้นอาหารที่ปลูก หรือผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ จะทำให้กินน้อยลง แต่ได้รับคุณประโยชน์ทางโภชนาการมากขึ้น อิ่มนานขึ้น
      และทำให้ร่างกายสดชื่น
      วิธีนี้ ส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย ช่วยให้อารมณ์คงที่ สมองแจ่มใส ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้น มากกว่า การกินอาหารทั่ว ๆ ไป โดยเฉพาะอาหารที่มีพลังงานชีวิตต่ำ ได้แก่ อาหารทอดและอาหารที่ผลิตในเชิงอุตสาหกรรม
    3. กินอย่างเจริญสติ
      เน้นกินด้วยความสำรวม และพิจารณาอาหาร โดยมองให้เห็นประโยชน์มากกว่ากิน เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน โดยมีวิธีดังนี้ ระลึกถึง และขอบคุณผู้ที่มีส่วนให้เราได้รับอาหารในมื้อนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร คนขนส่งอาหาร พ่อค้าแม่ค้า และคนปรุงอาหาร ต่อมาจึงตักอาหารมาใส่จานในปริมาณที่ตนเองกินหมด เคี้ยวช้า ๆ เคี้ยวให้ละเอียด เมื่อปฏิบัติเป็นประจำ ทุกมื้อในทุก ๆ วัน จะช่วยลดความอยากอาหารก่อโรค เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารทอด อาหารมัน อาหารที่มีน้ำตาลสูง การกินอาหารตามความเคยชิน และการบริโภคเกินขนาดได้
    4. เพิ่มอาหารรสเปรี้ยว
      ในบรรดา 6 รสชาติ ที่คนเรารับรู้ได้นั้น คุณดอนน่า อธิบายว่า รสเปรี้ยว เป็นรสชาติแห่งสุขภาพ เพราะได้จากผักผลไม้สด และอาหารหมักดอง ดังนั้น แทนที่จะติดรสหวาน ขอให้ค่อย ๆ ฝึกให้คุ้นชินกับรสเปรี้ยวทีละน้อย มีสุภาษิตไทยกล่าวว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” ข้อนี้นำมาปรับใช้ได้เลย เบื้องต้นเราได้รับรสขม จากผักและสมุนไพรบางประเภทอยู่แล้ว ถัดไปขอให้ “เพิ่มเปรี้ยวเพิ่มประโยชน์” โดยเติมผักผลไม้รสเปรี้ยว และอาหารหมักดองลงไปในแต่ละมื้อด้วย
    5. งดกินอาหารทำลายสุขภาพ
      นายแพทย์ลีโอนาร์ด สมิท ศัลยแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร และสมาชิกกรรมการที่ปรึกษาแพทยสภาแห่งสหรัฐอเมริกา (Clinical Advisory Board) หนึ่งในแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่คุณดอนน่าคัดสรรมาร่วมงานอธิบายว่า จุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร “จำ” อาหารได้เหมือนการอ่านหนังสือ จึงมีปฏิกิริยาตอบสนองกับอาหารแต่ละชนิดอย่างแม่นยำเสมอ และรู้ว่าอาหารชนิดใดมีประโยชน์ อาหารชนิดใดมีโทษต่อสุขภาพ

    ดังนั้น เมื่อคนคนนั้นกินอาหารก่อโรคซ้ำ ๆ เช่น อาหารจากน้ำมันทอดซ้ำ อาหารไขมันสูง อาหารหวานจัด เค็มจัด อาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูป จะทำให้จุลินทรีย์ดีในร่างกายค่อย ๆ ตายและลดจำนวนช้า ๆ

    พฤติกรรมดังกล่าว ส่งผลให้สมดุลจุลินทรีย์ ในระบบทางเดินอาหารทั้งหมดสูญเสียไป การขับถ่ายย่อมผิดปกติ เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูกบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมีกากอาหารตกค้างนานกว่าปกติ เซลล์ผนังลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนปลายของระบบขับถ่ายจะดูดซึมสารพิษตกค้างเข้าไปสะสมอีก

    หากไม่ปรับเปลี่ยนอาหาร โดยหันมากินผักผลไม้ ซึ่งกระตุ้นให้ลำไส้เคลื่อนไหวตามปกติจะยิ่งมีปัญหาต่อระบบขับถ่ายโดยรวม และในที่สุดเซลล์ที่อยู่ในผนังลำไส้ อาจเกิดการเจริญเติบโตผิดปกติ จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้

    เรื่อง สาทิส อินทรกำแหง


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ผู้ป่วยมะเร็ง ออกกำลังกายอย่างไรดี ?

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

    มหัศจรรย์แห่ง การเดิน แรงกระแทกต่ำ ทำได้ทุกคน

    บอกต่อวิธีชะลอวัย 1. เร่งเมแทบอลิซึม 2. เร่งขับพิษ เพื่อสุขภาพดี

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสาชีวจิต

    วิ่ง ขาเรียว ออกกำลังกาย

    โปรแกรมวิ่งให้ ขาเรียว ภายใน 7 สัปดาห์

    โปรแกรมวิ่งให้ ขาเรียว ภายใน 7 สัปดาห์

    วันนี้เรามี โปรแกรมวิ่ง ที่จะทำให้ ขาเรียว น้ำหนักลด และที่สำคัญทำตามง่าย มาฝากทุกคน เพราะเราเห็นนักวิ่งขาเรียว สวย มีกล้ามเนื้อชัดเจน ว่าแล้ว ก็ควรคว้ารองเท้าผ้าใบออกไปวิ่งกันบ้าง

    ซึ่งการวิ่ง ช่วยทำให้ขาเรียวได้จริง และที่สำคัญไม่ได้ลดแค่ขา!! เพราะน้ำหนักยังจะลดลงไปทั้งตัว แต่เมื่อเราวิ่ง เราใช้กล้ามเนื้อขามากขึ้น ขาก็จะดูกระชับและแข็งแรงค่ะ

    อย่ารีบหยิบรองเท้าผ้าใบคู่ใจลงลู่วิ่งนะคะ หากคุณยังไม่รู้เทคนิคของการวิ่งลดเหลาขา ซึ่งเราอาจเห็นหลายคนวิ่งเท่าไรก็ไม่ผอมเสียที สุดท้ายก็ล้มเลิกความตั้งใจ นั่นเพราะคุณกําลังวิ่งผิดวิธี

    การวิ่งเพื่อลดน้ำหนัก หรือแม้แต่ลดต้นขา คือการวิ่งที่ทําให้อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ช่วง Moderate หรือชีพจรเต้นอยู่ที่ร้อยละ 75-85 ซึ่งนักวิ่งจะรู้สึกเหนื่อยระดับปานกลาง หายใจแรง มีเหงื่อออกพอชุ่ม แต่ยังพูดเป็นประโยคได้ การวิ่งให้อัตราการเต้นหัวใจอยู่ในระดับนี้จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันออกมาใช้ได้ถึงร้อยละ 60 และเป็นช่วงที่ร่างกาย ดึงไขมันออกมาใช้มากที่สุดเมื่อเทียบกับอัตราการเต้นของหัวใจในระดับอื่น

    เตรียมตัวก่อนสตาร์ท

    การเตรียมตัวก่อนวิ่งเพื่อปั้นหุ่น เหลาขา ซึ่งหลายคนอาจไม่เคยวิ่งอย่างจริงจังมาก่อนจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมดังนี้

    รองเท้าวิ่ง, โปรแกรมวิ่ง, ขาเรียว, วิ่ง, ออกกำลังกาย
    รองเท้าวิ่งที่ดี จะช่วยลดการบาดเจ็บขณะวิ่งได้
    • รองเท้าวิ่ง ควรเลือกรองเท้าสําหรับวิ่งโดยเฉพาะ เนื่องจากสามารถรองรับแรงกระแทกได้ดีกว่ารองเท้าผ้าใบชนิดอื่น ขณะเดียวกันรองเท้าวิ่งจะช่วยลดอาการบาดเจ็บบริเวณข้อเท้าและข้อเข่าระหว่างที่วิ่งติดต่อกันนาน ๆ
    • อบอุ่นร่างกาย ต้องอบอุ่นร่างกายให้พร้อมก่อนออกวิ่งทุกครั้ง ใช้เวลา 10 นาที โดยแบ่งเป็น 2 แบบ คือ
    1. การอบอุ่นข้อต่อต่าง ๆ เช่น การหมุนข้อ การเตะขา การหมุนเอว
    2. การยืดเหยียดและค้างไว้ เช่น ก้มตัวให้มากที่สุด ดึงแขนขาให้ตึง โดยต้องค้างท่าไว้ 5-10 วินาที
    • การดื่มน้ำ ให้ค่อย ๆ จิบน้ำ 1 แก้วก่อนวิ่ง เพื่อชดเชยน้ำที่ร่างกายจะสูญเสียระหว่างวิ่ง
    • ข้อควรระวัง อย่าวิ่งอย่างหักโหมติดต่อกันสัปดาห์ละ 7 วัน เพราะจะเกิดอันตรายต่อข้อต่อต่างๆทางที่ดีควรวิ่งสัปดาห์ละ 3-4วัน เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูสภาพ

    วิ่ง, ออกกำลังกาย, รองเท้าวิ่ง, โปรแกรมวิ่ง, ขาเรียว
    หลีกเลี่ยงการวิ่งออกกำลังกายติดต่อกัน 7 วัน อาจทำให้กล้ามเนื้ออักเสบได้

    HOT PROGRAM FOR HOT LEGS

    รูปแบบการวิ่งที่จําเป็นในโปรแกรมนี้มี 2 แบบ คือ

    1. การเดินเร็ว เทคนิคคือ งอศอกเล็กน้อย จากนั้นก้าวเท้าสั้นๆ แต่ให้เร็วที่สุดเท่าที่ทําได้ โดยวางส้นเท้าก่อนจึงตามด้วยปลายเท้า ไม่เดินลากเท้า
    2. การวิ่งเหยาะ มีเทคนิคคือ วิ่งโดยก้าวเท้าความกว้างเท่าช่วงไหล่ และต้องลงน้ำหนักที่ปลายเท้า ไม่ต้องวิ่งเร็วมากนัก เป็นการวิ่งแบบเบาๆ ไม่หักโหม แกว่งแขนตามสบาย

    ก่อนและหลังวิ่งให้ยืดกล้ามเนื้อนาน 10 นาที ควรออกกําลังกายในช่วงเย็นและไม่ควรวิ่งติดต่อกัน 7 วัน เพราะจะทําให้กล้ามเนื้ออักเสบ ให้วิ่งสัปดาห์ละ 3-4 วัน

    สัปดาห์

    เดินเร็ว (นาที)

    วิ่งเหยาะ(นาที)

    1

    12

    3

    2

    12

    6

    3

    12

    8

    4

    12

    12

    5

    10

    15

    6

    12

    16

    7

    10

    20

    สัปดาห์ที่ 1-3

    โปรแกรมวิ่งช่วงสัปดาห์นี้ออกแบบมาเพื่อให้ร่างกายผู้ที่ไม่เคยวิ่งหรือออกกําลังกายมาก่อนปรับสภาพ โดยใช้เวลาในการเดินเร็วมากกว่าการวิ่งเหยาะและยังทําให้ผู้วิ่งรู้สึกว่าการออกกําลังกายเป็นเรื่องง่ายและมีแรงฮึดในการขยับไปสู่สัปดาห์ต่อๆ ไป

    สัปดาห์ที่ 4-6

    ในช่วงสัปดาห์นี้ผู้วิ่งเริ่มมีความมั่นใจในสมรรถนะร่างกายของตนเอง จึงมีการปรับโปรแกรมให้มีระยะเวลาในการวิ่งเหยาะใกล้เคียงกับการเดินเร็ว เพื่อพัฒนาความแข็งแรงของร่างกาย แต่ยังคงความเบาในการวิ่งไว้

    สัปดาห์ที่ 7

    ในช่วงสัปดาห์นี้ร่างกายจะแข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผู้วิ่งสามารถวิ่งได้นานขึ้นและที่สําคัญ ผู้วิ่งสามารถวิ่งจนทําให้อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในช่วงโมดีเรตได้ ซึ่งจะทําให้เกิดการเผาผลาญไขมันค่ะ

    ชีวจิต Tips เทคนิคการหายใจ ที่มือใหม่หัดวิ่งควรรู้

    เทคนิคการหายใจอย่างถูกวิธีในขณะวิ่งนั้น เป็นสิ่งที่นักวิ่งมือใหม่ควรจะต้องเรียนรู้ และฝึกตั้งแต่ช่วงแรกที่เริ่มหัดวิ่งเลย เพราะจะช่วยทำให้เราสามารถวิ่งไปได้เร็วขึ้น และวิ่งได้นานขึ้นอีกด้วย

    การหายใจมี 2 แบบ

    1. การหายใจด้วยกล้ามเนื้อซี่โครง (Costal หรือ Chest Breathing) คือ เวลาที่เราหายใจเข้าไป หน้าอกจะขยายตัว และหน้าท้องจะยุบ ส่วนเวลาหายใจออกนั้นหน้าอกจะยุบ และหน้าท้องจะขยายตัวหรือพองออก ซึ่งเวลาที่เราวิ่งเร็ว ๆ และวิ่งนาน ๆ จะทำให้จุกเสียดชายโครงได้ง่าย
    2. การหายใจด้วยกล้ามเนื้อกะบังลม (Abdominal Breathing) คือ เวลาที่เราหายใจเข้า กล้ามเนื้อกะบังลมจะเคลื่อนตัวลง ทำให้ลมเข้าไปในปอด หน้าท้องจะพองหรือขยายตัว และเมื่อเราหายใจออก กล้ามเนื้อกะบังลมจะเคลื่อนตัวขึ้น พุงจะยุบวิธีการหายใจแบบนี้จะไม่ทำให้จุกเสียดชายโครงเวลาที่วิ่งนาน ๆ

    ตามปกติแล้วเมื่อวิ่งไปได้สักพัก จังหวะการหายใจของเรา จะปรับเข้ากับจังหวะการวิ่งได้เอง ซึ่งจะเป็นช่วงจังหวะที่เรารู้สึกว่าลงตัวและรู้สึกสบาย โดยจังหวะในการวิ่งและการหายใจ 2 แบบที่นักวิ่งหน้าใหม่ควรรู้มีดังต่อไปนี้

    จังหวะการวิ่ง 2 – 2

    1. หายใจเข้าพร้อมกับก้าวเท้าขวานับ 1
    2. เท้าซ้ายลงพื้นนับ 2
    3. หายใจออกพร้อมกับเท้าขวาลงพื้นนับ 1
    4. ซ้ายลงนับ 2
    5. เท้าขวาลงอีกครั้งนับ 1 คือรอบจังหวะการหายใจต่อไป

    จะเห็นได้ว่าการหายใจเข้า – ออก จะลงที่เท้าขวาทุกครั้ง จังหวะแรงกระแทกที่ส่งจากช่วงล่างจากเท้าที่กระทบพื้นสู่ช่วงลำตัวและกล้ามเนื้อกะบังลม (Diaphragm) ขณะยืดหดตัวนั้นก็มาจากเท้าขวา ทุกครั้งที่หายใจเราก็ได้รับแรงจากด้านขวาเพียงข้างเดียว

    จังหวะการวิ่ง 3 – 2

    1. จังหวะที่ก้าวเท้าขวาลง และหายใจเข้านับ 1
    2. ขาซ้ายก้าวนับ 2
    3. ขาขวาก้าวนับ 3
    4. ขาซ้ายก้าว และหายใจออกนับ 1
    5. ขาขวาก้าวนับ 2
    6. ขาซ้ายลง และหายใจเข้านับ 1 คือรอบจังหวะการหายใจต่อไป

    การสร้างจังหวะวิ่ง แบบ 3 – 2 หรือช่วงจังหวะหายใจเข้าจะลงเท้า 3 ครั้ง และหายใจออก 2 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บได้ดีขึ้น เพราะช่วงที่เราหายใจอยู่นั้น กล้ามเนื้อจะมีการยืดหด และจะเห็นได้ว่าจังหวะหายใจเข้า จะสลับกันระหว่างซ้ายและขวา ทำให้กะบังลมไม่ต้องรับแรงกระแทกอยู่ที่ข้างใดข้างหนึ่งนั่นเอง แต่ในการนำไปใช้ช่วงแรกควรลองฝึกหายใจ โดยการเดินวอร์มอัพเบา ๆ ก่อน เพื่อปรับตัวให้คุ้นเคยกับการหายใจและจังหวะลงของเท้า


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    วิ่งอย่างไร ไม่ให้เจ็บ

    ขาดการออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายขาดวิตามิน

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    50+ ร่างกายเปลี่ยนไป แค่ไหนกัน

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ต้อลม

    ต้อลม โรคดวงตาที่ควรระวัง

    ต้อลม โรคดวงตาที่ควรระวัง ก่อนลุกลามจนยากจะรักษา

    เพราะดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญมากที่สุดอีกหนึ่งอวัยวะ เราควรดูแลและสังเกตความผิดปกติอยู่เสมอ และอีกหนึ่งปัญหาทางสายตาที่คนส่วนใหญ่เป็นกันมากก็คือ ต้อลม

    และเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่รุนแรงในดวงตา ซึ่งหากพบว่าเริ่มมีอาการผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง เพื่อปลอดภัยมากที่สุด

    สำหรับปัญหาทางสายตาที่คนส่วนใหญ่เป็นกันมากก็คือ “ต้อ “ ซึ่งโรคนี้มีหลายประเภทด้วยกัน คนส่วนใหญ่ที่มีปัญหาโรคตาส่วนใหญ่เมื่อมาพบแพทย์ จะได้รับการวินิจฉัยว่า ตาเป็นต้อ และมักจะตกใจกลัว เพราะเข้าใจว่าโรคต้อจะต้องร้ายแรงทำให้ตาบอด

    ความจริงแล้วโรคต้อมีหลายชนิด บางชนิดอันตรายทำให้ตาบอดได้ เช่น ต้อหิน ต้อกระจก แต่บางชนิดไม่มีอันตรายไม่ทำให้ตาบอด เช่น ต้อเนื้อ ต้อลม โดยต้อเนื้อและต้อลมเป็นโรคตาที่พบได้บ่อยมากแต่ไม่เป็นอันตรายร้ายแรงแบบต้อหิน และต้อกระจก

    วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับอีกหนึ่งชนิดของต้อ นั่นก็คือต้อลม ที่อาจไม่รุนแรงมาก แต่หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รีบรักษา หรือหาทางป้องกันก็อาจส่งผลนำไปสู่อาการที่รุนแรงได้ค่ะ

    ทำความรู้จักกันก่อนว่า ต้อลม คืออะไร

    ต้อลม (Pinguecula) เป็นโรคที่เกี่ยวกับดวงตาชนิดหนึ่ง เกิดจากการเสื่อมของเยื่อบุตาขาว โดยจะมีก้อนเม็ดเล็ก ๆ  สีเหลืองใส นูนอยู่บริเวณตาขาว ซึ่งสามารถขึ้นได้ทั้งหัวตาหรือหางตา หลายคนมักเข้าใจผิดว่าการเป็นต้อลมคือเนื้องอกในตา หรือเป็นโรคที่สามารถติดต่อกับผู้อื่นได้ ซึ่งในความจริงแล้วตุ่มที่นูนขึ้นมานั้นไม่สามารถกลายเป็นเนื้อร้ายหรือแพร่เชื้อได้

    โดยส่วนมากเราจะพบโรคต้อลมในคนที่มีอายุค่อนข้างเยอะ  แต่ในยุคปัจจุบันนี้ผู้ที่อายุน้อย หรือ อยู่ในวัยกลางคน เช่น วัยทำงาน ก็มีโอกาสเป็นโรคชนิดนี้ได้เช่นกัน อันเนื่องมาจากการทำงานในสภาวะแวดล้อมที่มีฝุ่นควัน ลม หรือ รับรังสีอัลตราไวโอเลต (รังสีUV) เป็นเวลานาน ซึ่งปัจจัยข้างต้นจะมีผลกระทบกับดวงตาตรง ๆ ทำให้เสี่ยงเป็นโรคต้อลมได้เช่นกัน

    ต้อลม

    สาเหตุที่ทำให้เกิด ต้อลม

    • ดวงตาสัมผัสแสง UV เป็นประจำ โดยปราศจากการป้องกัน
    • ดวงตาที่สัมผัสกับฝุ่นควัน ลม สารเคมี มลภาวะ รวมไปถึงความร้อน ก็สามารถสร้างความระคายเคืองให้กับเยื่อบุตาขาวได้
    • ผู้ที่มีปัญหาตาแห้งบ่อยๆ เช่น การใช้สายตาหนัก เป็นต้น

    อาการของโรคต้อลมเป็นอย่างไร

    ผู้ที่มีอาการของต้อลม จะปรากฏอาการน้อยหรือมากนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยและการใช้ชีวิตของแต่ละคน ซึ่งอาการของต้อลมนั้น มักจะมีการระคายเคืองดวงตาและมีอาการที่ปรากฏชัดเจน ดังนี้

    • เกิดตุ่มนูนขนาดเล็กสีเหลือง ๆ บริเวณที่ตาขาว
    • มีความรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในดวงตา เช่น เศษผง เม็ดทราย
    • บางรายมีอาการตาแดง คันตา และอักเสบร่วมด้วย
    • รู้สึกตาแห้ง และ แสบตา

    วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดโรคต้อลม

    โรคต้อลมเป็นโรคที่เกี่ยวกับดวงตาที่สามารถป้องกันได้ตั้งแต่เนิน ๆ  แม้โรคต้อลมจะเป็นโรคที่ไม่รุนแรงถึงขนาดตาบอด แต่ก็เป็นสาเหตุของโรคดวงตาอื่น ๆ ได้ในอนาคต ซึ่งการป้องกันโรคต้อลม สามารถป้องกันได้ง่ายๆ ดังนี้

    • หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ไปกระตุ้นการเกิดโรคต้อลม เช่น ลม แสงแดด ความร้อนจากรังสี UV  แต่หากจำเป็นต้องเผชิญกับปัจจัยเหล่านี้ ควรสวมแว่นตากันแดด เพื่อป้องกันดวงตาเมื่ออยู่ท่ามกลางแสง UV เวลานาน ๆ
    • สำหรับคนที่ตาแห้งบ่อย ๆ ควรหยอดน้ำตาเทียมช่วย เพื่อลดอาการตาแห้ง
    • สำหรับพนักงานออฟฟิศที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ควรพักสายตาจากคอมพิวเตอร์บ้าง เพื่อป้องการอาการตาแห้ง

    การรักษา

    ในกรณีที่ไม่มีอาการผิดปกติ อาจไม่จำเป็นต้องให้การรักษา แต่ถ้ามีอาการ เคืองตา ตาแดง อาจให้ยาหยอดตาเพื่อลดอาการ สำหรับต้อลม ไม่ต้องทำการผ่าตัด แต่สำหรับต้อเนื้อ ถ้าเนื้อเยื่อเข้าไปจนถึงกลางกระจกตาจะทำให้บดบังการมองเห็นได้ หรือเกิดอาการมัวจากการที่ต้อเนื้อดึงกระจกตาดำให้เกิดสายตาเอียง จักษุแพทย์จะพิจารณาผ่าตัดลอกต้อเนื้อออก หรือ ในกรณีที่ตาแดงอักเสบบ่อยๆ สามารถทำผ่าตัดลอกต้อเนื้อเพื่อให้ดูสวยงาม ขึ้น ในปัจจุบันมักผ่าตัดและวางเนื้อเยื่อใหม่ (graft) ซึ่งอาจเป็น เยื่อบุตาขาวของเจ้าตัวเองหรือใช้เยื่อหุ้มรกที่เตรียมพิเศษ เพื่อลดโอกาสการกลับเป็นซ้ำใหม่

    ข้อมูลประกอบจาก: รพ.ศิครินทร์

    ชีวจิต Tips สารอาหารบำรุงสายตา ที่ควรกินหากอยากสายตาดีไปนานๆ

    อายุมากขึ้น อวัยวะต่างๆ ของร่างกายก็เริ่มเสื่อม รวมเป็นถึงดวงตาด้วย วันนี้เราจึงนำข้อมูลเกี่ยวกับ สารอาหารบำรุงสายตา จากหนังสือ สายตาดี ด้วยวิธีมหัศจรรย์ โดย อุราภา วิฒนะโชติ สำนักพิมพ์ AMARIN Health มาฝากค่ะ จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

    วิตามินเอ

    ช่วยไม่ให้เยื่อบุตาแห้ง ลดการปวดกระบอกตา บำรุงสายตา ป้องกันอาการตาบอดตอนกลางคืน เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น เสริมสร้างเม็ดสีที่มีคุณสมบัติไวต่อแสงในตา ช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับจอตา วิตามินเอแบบสำเร็จที่เราเรียกว่า เรตินอล พบได้ในอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้น ส่วนแคโรทีน พบในอาหารที่มาจากพืชและสัตว์

    วิตามินบี

    วิตามินบีรวม บี1 บี2 และบี6 เป็นวิตามินที่บำรุงระบบประสาท ส่งผลต่อการทำงานของสมองและหัวใจ การต่อสู้กับความเครียด ส่งเสริมการเจริญเติบโต ช่วยเผาผลาญไขมัน ช่วยสมานแผล และป้องกันโรคตาได้ หากได้รับวิตามินบี2ไม่พอ ตาจะอักเสบ แดง และระคายเคืองได้ง่าย

    วิตามินบีพบมากในข้าวกล้องและธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ขนมปังโฮลวีต ถั่วเหลือง ถั่วลิสง วอลนัต รำข้าว นม ไข่แดง ปลา ตับ ชีส โยเกิร์ต ฯลฯ

    วิตามินซี

    เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสุดทรงพลัง สามารถป้องกันไม่ให้เลนส์ตาขุ่น ช่วยให้เลนส์ตาใส ป้องกันต้อกระจก วิตามินซีจะทำงานได้ประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อทำงานกับไบโอฟลาโวนอยด์ (ฺBioflavonoid) สารที่เพิ่มความแข็งแรงของเส้นเลือดฝอยและควบคุมการดูดซึมของสารต่างๆ ในร่างกาย เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม

    วิตามินซีพบมากในส้ม มะนาว มะขามป้อม ฝรั่ง บรอกโคลี พริกหยวกสีแดงกับเขียว สตรอว์เบอร์รี่ แคนตาลูป องุ่น ลูกพลัม และจากโรสฮิปหรือผลกุหลาบ

    วิตามินอี

    วิตามินอีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของวิตามินเอ โดยเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม ช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชันของสารในกลุ่มไขมันชนิดไม่ดี รวมทั้งช่วยป้องกันโรคที่เกี่ยวกับการอักเสบเรื่อรัง ชะลอการเสื่อมของเซลล์ และลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจก

    วิตามินอีพบมากในจมูกข้าว ผักใบเขียว ไข่ วอลนัต เมล็ดทานตะวัน ซีเรียลชนิดโฮลเกรน (ธัญพืชยังมีส่วนประกอบครบถ้วน ทั้งเยื่อหุ้มเมล็ด เนื้อเมล็ด และจมูกข้าว)

    แอนโทไซยานิน

    ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น บิลเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ โกจิเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ นับว่าอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินต่างๆ เช่น เอ บี ซี อี เค แร่ธาตู เช่น โพแทสเซียม โดยเฉพาะแอนโทไซยานิน ซึ่งพบในพืชและผลไม้ที่ให้สีแดง น้ำเงิน หรือม่วง โดยเฉพาะ ตระกูลเบอร์รี่

    แอนโทไซยานินทำหน้าที่จับกับเซลล์บุผิวที่จอภาพเรติน่าได้ดี ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์และคืนสภาพสารโรดอปซิน (หรือสารสีม่วงแดงที่อยู่ในเยื่อหุ้มเซลล์รูปแท่ง) ออกมาหลังจากถูกแสง จึงช่วยทำให้มองเห็นในที่มืดได้ดี ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตาเมื่อใช้สายตานานๆ ลดการเสื่อมที่มักจะเกิดขึ้นกับดวงตา เช่น ต้อกระจก ต้อหิน ต้อเนื้อ ตาเสื่อมในคนสูงอายุ

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส ผู้บัญญัติศัพท์ “Cancer” หรือมะเร็ง คนแรกของโลก

    สังเกตลิ้น เช็ค แพ้อากาศ + ไรฝุ่น

    เกลือและโซเดียม ภัยเงียบบั่นทอนสุขภาพ

    5 วิธีลดความดันโลหิตสูง ด้วยตัวเอง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    วิตามิน

    รวมคุณประโยชน์ วิตามิน A / C / K / D / E

    วิตามิน A / C / K / D / E มีประโยชน์อย่างไรบ้าง

    วิตามิน คืออะไร ตอบชัด ๆ เลยว่า วิตามินที่เข้าสู่ร่างกายของเราส่วนใหญ่ได้มาจากอาหารที่กินเข้าไป กับส่วนหนึ่งร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง วิตามินที่ดีที่สุดต้องสกัดจากอาหาร แต่ถึงแม้วิตามินจะมาจากอาหาร เราก็ใช้วิตามินแทนอาหารไม่ได้ เพราะฉะนั้นจง อย่าเข้าใจว่า วิตามินคือ ยาวิเศษ หรือยาบำรุง

    วิตามินไม่ใช่ยา แต่เป็นสารสกัดจากสิ่งมีชีวิต (Organic) ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ช่วยทำให้การทำงานของระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงาน ได้โดยถูกต้อง และช่วยให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ ถ้าขาดวิตามิน และแร่ธาตุ ร่างกายจะหยุดทำงาน

    คุณประโยชน์ของ วิตามิน

    1. วิตามินเอ : พบได้ในผัก ผลไม้ เช่น กล้วย มันเทศ มะเขือเทศสีดา มะเขือเทศ กระถิน ขี้เหล็ก แครอท ตำลึง ใบทองหลาง ใบมันสำปะหลัง ใบมะขาม ใบมะยมอ่อน มะละกอสุก ส้มเขียวหวาน นม เนย มาร์การีน สับปะรถ ข้าวโพด ผักบุ้ง มะม่วงสุก คะน้า ผักกาดหอม ถั่ว ถั่วเหลือง เนยแข็ง นม ไข่

    ประโยชน์ต่อร่างกาย : วิตามินเอมีประโยชน์บำรุงตา ฟัน กระดูก ผม ผิว เนื้อเยื่ออ่อน ช่วยเสริมเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของร่างกาย และเมื่อเริ่มเป็นหวัดในขนาดสูง จะป้องกันได้ นอกจากนี้ยังทำให้ผิวนุ่ม และเกลิ้งเกลา ต้านทานการติดเชื้อโรค และยังมีรายงานว่าอาจป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ด้วย

    อาการขาดวิตามิน : ร่างกายจะแคระ ไม่โต ฟันจะผุง่าย เพราะเคลือบฟันไม่แข็ง ผมจะร่วง หนังศีรษะเป็นขุย มีรังแค ผิวจะแห้งเป็นเกล็ด จะเป็นสิวที่หลัง รูขุมขนใหญ่ เนื้อเยื่ออ่อนไม่แข็งแรง และยังทำให้เป็นหวัดง่าย ติดเชื้อทางหู ต่อมทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ ตาฟางในตอนกลางคืน นัยน์ตาแห้งแดงอักเสบ ตาไม่สามารถสู้แสงได้ และอาจเป็นหมัน หรือนิ่ว

    1. วิตามินซี : พบได้ในผักสด ผลไม้สด ส้ม มะเขือเทศ กล้วย ตำลึง ดอกแค ใบทองหลาง ใบมะยมอ่อน ใบมะละกออ่อน ผักกระเฉด ผักกาดขาว ผักโขม ผักคะน้า พริก เชอร์รี่ ฝรั่ง มะกอกไทย มะขามป้อม มะละกอสุก สับปะรด กะหล่ำปลี แครอท กะหล่ำดอก แตงกวา ผักกาดหอม หัวหอม ถั่ว งา

    ประโยชน์ต่อร่างกาย : เป็นยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติ มีความสำคัญในการรักษาเหงือก ฟัน กระดูก หน้าที่สำคัญ คือ ช่วยร่างกายสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นการที่ยึดเซลล์ การกินวิตามินซีจะทำให้ผิวสวย เล็บสวย เหงือก เลือดดี เพิ่มความต้านทานโรค ทำให้แผลหายเร็ว ไม่เกิดอาการแพ้ต่าง ๆ ง่าย นักโภชนาการว่า การกินวิตามินซี กับวิตามินเอ จะทำให้หวัดหายเร็วขึ้น (วิตามินซี 2,000 – 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน) สกัดมะเร็งไม่ให้ลุกลามป้องกัน และรักษามะเร็งได้ แต่ข้อที่ว่าวิตามินซีสร้าง ความต้านทานต่อมะเร็งนั้น ยังไม่ยืนยันแน่นอน

    อาการขาดวิตามิน : มีเลือดออกตามไรฟัน เบื่ออาหาร เหงือกบวมในเด็ก น้ำหนักตัวจะลด โลหิตจาง ติดเชื้อง่าย ท้องไส้ผิดปกติ แผลในกระเพาะอาหารต้องการวิตามินซีสูง ๆ และการขาดวิตามิน จะทำให้ผนังเนื้อเยื่อเปราะ เส้นเลือดแตกง่าย ตับจะอักเสบ หากเกิดอาการขาดที่รุนแรง จะทำให้เป็นมะเร็งได้ง่าย

    วิตามิน

    1. วิตามินเค : พบในผักสด ผลไม้ คะน้า รำข้าว กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ มะเขือเทศ ข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง

    ประโยชน์ต่อร่างกาย : ช่วยให้เลือดแข็งตัว คือวิตามินเค จะผลิตสารที่ทำให้เลือดแข็งตัว

    อาการขาดวิตามิน : เวลามีแผล เลือดจะแข็งตัวช้า และเลือดจะหยุดไหลช้า

    1. วิตามินดี : พบในเนย เนยแข็ง นม และควรถูกแดดทุกวัน วันละ 2 – 3 ชั่วโมง

    ประโยชน์ต่อร่างกาย : มีประโยชน์ต่อกระดูก และฟัน ช่วยในการย่อยอาหาร เพิ่มพลังงาน ช่วยรักษาสิวร่วมกับบี 6 ถ้ากินในขนาดสูง ๆ จะรักษาข้ออักเสบ เรื้อน

    อาการขาดวิตามิน : ในเด็กจะเกิดเป็นโรคกระดูกอ่อน วิตามินดี จะทำงานได้ ต้องมีแคลเซียม และฟอสฟอรัส

    1. วิตามินอี : พบในรำละเอียด และพวกธัญพืช ข้าวโพด ถั่วแดง ถั่วเหลือง ผักกาดหอม เมล็ดทานตะวัน งา น้ำมันรำ น้ำมันถั่วลิสง

    ประโยชน์ต่อร่างกาย : จะช่วยเร่งออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ ทำให้แผลเป็นหายเร็วขึ้น ช่วยในการจับตัวของรกกับผนังมดลูก หากขาดวิตามินอี กล้ามเนื้อจะไม่แข็งแรง เกิดการตกเลือด นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ และโรคประสาท ในระยะหมดประจำเดือนด้วย และยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ช่วยละลายเลือดที่แข็งตัว ป้องกัน การอุดตันของหลอดเลือด เช่น หัวใจ สมอง และยังป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ด้วย

    ข้อมูลจาก : นิตยสารชีวจิต


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส ผู้บัญญัติศัพท์ “Cancer” หรือมะเร็ง คนแรกของโลก

    สังเกตลิ้น เช็ค แพ้อากาศ + ไรฝุ่น

    เกลือและโซเดียม ภัยเงียบบั่นทอนสุขภาพ

    5 วิธีลดความดันโลหิตสูง ด้วยตัวเอง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ตะคริว

    8 สาเหตุ และ 7 วิธีแก้ เพื่อบอกลา ตะคริว แบบถาวร

    8 ต้นเหตุ พร้อม 7 วิธีแก้ ตะคริว แบบถาวร

    ผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก คนชรา นักกีฬา หรือสตรีมีครรภ์ …ใคร ๆ ก็ต้องเสี่ยงกับตะคริวกันทั้งนั้น ชีวจิต จึงขอชวนคุณมาเรียนรู้อาการและสาเหตุการเกิด ตะคริว ปัญหาสุขภาพเล็ก ๆ ที่ความทรมานไม่เล็กแถมยังรบกวนชีวิตประจำวันของคุณ ที่สำคัญ เรายังมี 7 หนทางเยียวยาโรคนี้มาฝากกันด้วยค่ะ

    ตะคริว เกิดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรงเฉียบพลันและกล้ามเนื้อนั้นเกิดการเกร็งตัว แข็ง คลำได้เป็นก้อน และไม่ยอมคลายตัวออก ทำให้ไม่สามารถใช้งานกล้ามเนื้อมัดนั้นได้และมีอาการเจ็บปวด

    ตะคริวสามารถเกิดกับกล้ามเนื้อได้ทุกมัด ทั้งกล้ามเนื้อลาย (กล้ามเนื้อแขนขา) และกล้ามเนื้อเรียบ (กล้ามเนื้อของอวัยวะภายใน) อาจเกิดกับกล้ามเนื้อเพียงมัดเดียว หรือหลายๆมัดพร้อมกันก็ได้ แต่ที่พบส่วนมาก มักเกิดที่กล้ามเนื้อน่อง รองลงมาคือ กล้ามเนื้อเท้า และกล้ามเนื้อต้นขา

    ปกติตะคริวจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาที แต่บางรายที่มีอาการรุนแรง อาจเกิดเป็นชั่วโมงหรือนานกว่านั้น ซึ่งทำให้เกิดความเจ็บปวดทรมาน แม้ตะคริวจะเป็นอาการที่ไม่มีอันตราย แต่หากเกิดระหว่างขับรถหรือว่ายน้ำ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือมีอันตรายถึงชีวิตได้

    ตะคริวเกิดได้กับคนทุกวัย มีโอกาสเกิดทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย พบได้ทั้งในผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ และผู้สูบบุหรี่จัด แต่พบบ่อยในนักกีฬาที่ออกกำลังหนักหรือมากเกินไป หากเกิดเวลากลางวันจะเป็นช่วงที่ใช้งานกล้ามเนื้อมัดนั้นๆ หากเกิดช่วงกลางคืน มักเกิดกับกล้ามเนื้อขา เรียกว่า น็อซทูนอล เลก แครมป์(Nocturnal Leg Cramp)หรือ ไนท์ เลก เครมป์ (Night Leg Cramp)

     8 ต้นเหตุตะคริวเล่นงาน

    สาเหตุทั่วไปของตะคริวเกิดได้จาก กล้ามเนื้อมัดนั้นๆขาดการยืดตัว (Stretching) อย่างเพียงพอ และมีการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดการคั่งของกรดแลคติก (Latic Acids) โดยทั้งสองปัจจัยมีสาเหตุมาจาก

    1. สุขภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ มวลกล้ามเนื้อจึงลดลง
    2. การใช้งานกล้ามเนื้อมัดนั้นเกินกำลัง เช่น เล่นกีฬาหนัก การยกของหนัก หรือมีการงานอาชีพที่ต้อง ยืน เดิน นานๆ
    3. เกลือแร่ที่ใช้ในการทำงานของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะ เกลือแร่ชนิดโซเดียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียมเสียสมดุล ซึ่งภาวะที่ทำให้เกลือแร่ในร่างกายเสียสมดุลได้แก่มีอาการ ท้องร่วงอาเจียน เสียเหงื่อมากจากการทำงาน เล่นกีฬา หรืออยู่ท่ามกลางอากาศร้อน
    4. อุณหภูมิของร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันจากร้อนเป็นเย็น หรือจากเย็นเป็นร้อน
    5. ดื่มน้ำน้อย ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อขาดน้ำ มักเกิดในผู้สูงอายุ
    6. อายุมากขึ้น ยิ่งอายุมากขึ้นเซลล์ทุกชนิดของร่างกายจะเสื่อมถอย ซึ่งรวมทั้งเซลล์กล้ามเนื้อ ดังนั้นจึงพบอาการนี้ในผู้สูงอายุได้บ่อย
    7. ดื่มสุรา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะทำให้เกิดการขับน้ำออกทางปัสสาวะมากขึ้น ร่างกายและกล้ามเนื้อจึงขาดน้ำ
    8. เป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคเรื้อรังที่เกี่ยวกับความผิดปกติของกระดูกสันหลังและไขสันหลัง จึงส่งผลให้ระบบประสาทสั่งงานกล้ามเนื้อผิดปกติ เช่น โรคช่องกระดูกสันหลังตีบ เป็นโรคหลอดเลือดส่วนปลายแข็ง จึงส่งผลให้การไหลเวียนโลหิตไม่ดี กล้ามเนื้อจึงขาดเลือด

    เป็นโรคจากความผิดปกติทางฮอร์โมน เช่น โรคของต่อมไทรอยด์ และการใช้ยาฮอร์โมน การใช้พลังงานของร่างกาย (Metabolic syndrome)ผิดปกติเช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นโรคตับและโรคไต เพราะทั้งสองอวัยวะมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย

    ป้องกันตะคริวได้อย่างไร

    1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะเวลาเหงื่อออกมาก ร่างกายจะสูญเสียทั้งน้ำและเกลือแร่ ดังนั้น ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร หรือ วันละ 8 แก้ว
    2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะตะคริวมักเกิดในผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอหรือคนที่ขาดการออกกำลังกายที่ดีพอ
    3. ฝึกยืดเหยียด(Stretching) โดยเฉพาะกล้ามเนื้อมัดที่เกิดตะคริวบ่อยๆการยืดกล้ามเนื้อสม่ำเสมอจะช่วยให้ร่างกายคลายความตึงล้า และมีความยืดหยุ่น จึงลดโอกาสเกิดตะคริวได้
    4. หลีกเลี่ยงการทำงานหรือกิจกรรมที่ต้องใช้กล้ามเนื้อเกินกำลัง เช่น ยกของหนัก เล่นกีฬาหนัก เมื่อจำเป็นต้องใช้กล้ามเนื้อทำงานหนัก ควรมีการอบอุ่นกล้ามเนื้อตามวิธีที่ถูกต้องก่อนเสมอ เช่น วิ่งเบาๆประมาณ 10 นาที
    5. ถ้าออกกำลังกายหนักควรดื่มน้ำและเกลือแร่ทดแทนให้เพียงพอ หากเกิดอาการตะคริวเพราะสูญเสียเหงื่อมาก ขณะออกกำลังกายอาจจำเป็นจะต้องมีการปรับสมดุลของน้ำและเกลือแร่ด้วยเครื่องดื่มเกลือแร่
    6. กินอาหารที่มีวิตามิน และเกลือแร่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของกล้ามเนื้อเช่น กล้วย หรือผักผลไม้ชนิดต่าง ๆ
    7. ผู้สูงอายุควรค่อยๆขยับแขนขาอย่างช้าๆ หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพอากาศเย็นมากๆ ควรสวมถุงเท้าขณะนอนเพื่อป้องกันการเกร็งของเท้า

    วิธีการที่แนะนำเหล่านี้ ทำตามได้ไม่อยากเลยใช่ไหมคะ ซึ่งจะช่วยให้เราบอกลาอาการตะคริวได้ แถมทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นอีกด้วยค่ะ

    ตะคริว

    ชีวจิต Tip

    คลายตะคริวแบบทันใจ

    หากเกิดตะคริวที่กล้ามเนื้อน่อง ให้เหยียดเข่าและกระดกปลายเท้าขึ้น หรือยืนกดปลายเท้าลงบนพื้น งอเข่าและโน้มตัวไปข้างหน้า เมื่อกล้ามเนื้อหายจากอาการเกร็งแล้วให้นวดกล้ามเนื้อโดยใช้ยานวดคลึงเบาๆ หรือประคบด้วยน้ำอุ่นจะช่วยบรรเทาอาการได้โดยเฉพาะหากเป็นตะคริวที่กล้ามเนื้อท้อง

    ข้อมูลจากนิตยสารชีวจิต โดย พ.ญ.สุมาภา ชัยอำนวย


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส ผู้บัญญัติศัพท์ “Cancer” หรือมะเร็ง คนแรกของโลก

    สังเกตลิ้น เช็ค แพ้อากาศ + ไรฝุ่น

    เกลือและโซเดียม ภัยเงียบบั่นทอนสุขภาพ

    5 วิธีลดความดันโลหิตสูง ด้วยตัวเอง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ไฟเบอร์และโพรไบโอติก

    7 สัญญาณเตือนร่างกายต้องกิน ไฟเบอร์และโพรไบโอติก ด่วน!

    สัญญาณเตือนร่างกายต้องกิน ไฟเบอร์และโพรไบโอติก ด่วน!

    วันนี้ ชีวจิตขอนำเสนอ สัญญาณของร่างกายที่บ่งบอกว่าเราต้องรีบเติม ไฟเบอร์และโพรไบโอติก หรืออาหารที่มีเส้นใยแบบที่ละลายน้ำได้ และอาหารที่ช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ดี ด่วน!!!

    ทั้งนี้ หากปล่อยไว้ นอกจากจะก่ออาการท้องผูก ท้องเสีย ลำไส้ขี้เกียจ โรคภูมิแพ้ โรคแพ้ภูมิตนเองแล้ว ยังอาจลามไปถึงการเกิดมะเร็งในช่องท้องอีกด้วย

    อย่างไรก็ตาม ที่จริงบทเรียน “การบำบัดโรคด้วยอาหาร” ของ บ.ก. ชีวจิต ยังบอกทางแก้ไขอื่น ๆ ได้แก่ การกินอาหารเสริมและเอนไซม์เพิ่มเติมสำหรับแต่ละอาการที่กำลังจะกล่าวไว้ด้วย แต่นั่นน่าจะเป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญมาแนะนำให้ส่วนตัว (เนื่องจากการบำบัดโรคด้วยอาหารนั้น จำเป็นต้องซักประวัติการกินอยู่เกือบ 300 ข้อ จึงจะสามารถรักษาได้)

    เพื่อการแบ่งปัน ที่ทุกคนสามารถกลับไปดูแลตนเองง่าย ๆ ได้ที่บ้าน จึงเลือกแต่เฉพาะอาการที่ใช้การ “กินไฟเบอร์หรืออาหารที่มีเส้นใยแบบละลายน้ำได้เพิ่มขึ้น กินอาหารที่อุดมไปด้วยจุลินทรีย์แล็คโตบาซิลัสหรือโพรไบโอติก” เป็นหลักเท่านั้น

    เอาล่ะ เรามาว่าเรื่อง ไฟเบอร์และโพรไบโอติก กันเลยค่ะ

    รู้จัก ไฟเบอร์และโพรไบโอติก

    ไฟเบอร์ หรือที่รู้จักในชื่อ ใยอาหาร พบมากในผักผลไม้และธัญพืช แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ และใยอาหารชนิดละลายน้ำ

    โดยส่วนใหญ่ผักผลไม้และธัญพืชมีใยอาหารทั้งสองชนิดอยู่ครบถ้วน แต่อาจมีปริมาณมากน้อยต่างกัน ผักผลไม้หรือธัญพืชบางชนิดอาจมีใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำปริมาณมากกว่าชนิดละลายน้ำ จึงอาจได้รับการจัดหมวดหมู่ให้เป็นแหล่งใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ เช่นเดียวกับบางชนิดที่มีใยอาหารชนิดละลายน้ำปริมาณมากกว่า จึงได้รับการจัดให้เป็นแหล่งใยอาหารชนิดละลายน้ำ

    ใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ

    มีคุณสมบัติเด่นในการช่วยลดระยะเวลาการตกค้างของอาหารในลำไส้ใหญ่ โดยใยอาหารชนิดนี้จะสามารถดูดซับน้ำในระบบทางเดินอาหาร ช่วยเพิ่มน้ำหนักอุจจาระ กระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่ส่วนต้นบีบตัวเพื่อดันอุจจาระไปสู่ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายเร็วขึ้น ทำให้รู้สึกว่าข้าศึกมาเคาะประตู อยากรีบลุกไปเข้าห้องน้ำ

    วารสาร The American Journal of Gastroenterology ศึกษาคุณสมบัติของใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ เช่น รำข้าว พบว่าช่วยแก้ปัญหาท้องผูกอย่างได้ผล โดยการกินรำข้าววันละ 20 กรัม ช่วยเพิ่มความถี่ในการเคลื่อนไหวของลำไส้ 55 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มน้ำหนักอุจจาระ 157 เปอร์เซ็นต์ และลดเวลาการลำเลียงของเสียในลำไส้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์

    นอกจากนั้นยังมีรายงานจากวารสาร Scandinavian Journal of Gastroenterology ซึ่งทดลองให้ผู้ที่มีปัญหาท้องผูกในระยะเริ่มต้นกินรำข้าวครั้งละ 10 กรัม วันละ 2 ครั้ง พบว่า สามารถแก้ปัญหาท้องผูก และช่วยลดเวลาการลำเลียงของเสียในลำไส้ได้ดี กว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการกินใยอาหารชนิดละลายน้ำ

    ใยอาหารชนิดละลายน้ำ

    แม้ใยอาหารชนิดละลายน้ำจะเพิ่มน้ำหนักอุจจาระได้น้อยกว่าใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ และทำให้เกิดการขับของเสียออกได้ช้ากว่า แต่ใยอาหารชนิดละลายน้ำก็มีข้อดีคือ ช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่ม เคลื่อนตัวง่าย ไม่ทำร้ายผนังลำไส้

    นอกจากนี้ ใยอาหารชนิดละลายน้ำยังมีบทบาทสำคัญในการลดการดูดซึมไขมันและกลูโคส ผ่านเยื่อบุผนังลำไส้เล็ก จึงมีประโยชน์ต่อการควบคุมระดับไขมันและระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย

    วารสาร Alimentary Pharmacology & Therapeutics ซึ่งทำการศึกษาคุณสมบัติของใยอาหารชนิดละลายน้ำกับผู้ที่มีปัญหาท้องผูกเรื้อรัง 22 คน พบว่า หลังกินไซเลียมฮัสก์ (Psyllium Husk) หรือเทียนเกล็ดหอย ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยในการขับถ่าย ครั้งละ 5 กรัม วันละ 2 ครั้ง ต่อเนื่อง 8 วัน ผู้ที่มีปัญหาท้องผูกเรื้อรังขับถ่ายง่ายและถี่ขึ้น อาศัยแรงเบ่งน้อยลงความเจ็บปวดขณะขับถ่ายลดลงโดยไซเลียมฮัสก์อุดมไปด้วยใยอาหารชนิดละลายน้ำ เมื่อแช่ในน้ำหรือเครื่องดื่มให้เมล็ดพองตัวเต็มที่จะมีลักษณะเป็นเมือกคล้ายเม็ดแมงลัก

    โพรไบโอติก คือจุลินทรีย์ดีขนาดเล็ก ที่พบได้ในนมเปรี้ยว โยเกิร์ต อาหารหมักดอง ที่ทำให้สุขภาพดีในคงทนต่อกรดและด่าง สามารถกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่ดี

    ประโยชน์ของโพรไบโอติกส์ 

    โพรไบโอติกส์มีประโยขน์หลากหลาย โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร

    1. ช่วยสร้างเกราะป้องกันเยื่อบุลำไส้ ไม่ให้เชื่อก่อโรคมาอยู่ 
    2. ยับยั้งไม่ให้เชื้อก่อโรคเติบโต
    3. สร้างเอนไซม์ที่ช่วยย่อยอาหาร
    4. รักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกาย
    5. กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย

    ซึ่งประโยชน์เหล่านี้ช่วยเยียวยาอาการและโรคภัยต่างๆ ของร่างกาย

    1. โรคระบบทางเดินอาหาร เช่น กรดไหลย้อน ลำไส้แปรปรวน ท้องร่วงจากการเดินทาง ท้องผูก เป็นต้น
    2. โรคภูมิแพ้
    3. โรคภายในผู้หญิง เช่นภาวะติดเชื้อในช่องคลอด  ช่องคลอดแห้งหลังหมดประจำเดือน เป็นต้น
    4. โรคระบบทางเดินปัสสาวะ เช่นภาวะติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ 

    สัญญาณเตือน ต้องรีบกิน ไฟเบอร์ และโพรไบโอติก ด่วน!

    1. ลิ้นเป็นฝ้า

    เป็นสัญญาณของการที่ลำไส้ถูกรบกวน ซึ่งอาจมาจากท็อกซินในลำไส้ใหญ่ หรือลำไส้เล็กดูดซึมมากเกินไป ซึ่งนั่นหมายความว่า จุลินทรีย์ในระบบย่อยไม่สมดุล ร่างกายต้องการเอนไซม์ช่วยย่อยเพิ่มขึ้น หรือไม่ก็น้ำย่อยชนิดเม็ด

    ลิ้นเป็นฝ้า

    2. รู้สึกไม่ค่อยสบายในที่ที่มีกลิ่นอับ

    หรือที่ที่มีเชื้อรา เป็นสัญญาณบอกว่า มียีสต์แคนดิด้าเติบโตอยู่ในระบบย่อยของเรา โดยร่างกายเริ่มไม่ไหวกับเจ้ายีสต์ดังกล่าวแล้ว

    3. กินยาแอนตี้ไบโอติก หรือยาแก้อักเสบ

    ซึ่งยาเหล่านี้จะทำให้ยีสต์แคนดิด้าเติบโตผิดปกติ นอกจากนี้ฤทธิ์ยาเองก็กำจัดจุลินทรีย์ดีออกไปจากร่างกายด้วย และในสิ่งแวดล้อมแบบนี้ จะกระตุ้นการเกิดโรคภูมิแพ้ ยิ่งถ้าช่วงนี้ขยันกินแป้งขาวและน้ำตาลด้วยแล้ว ก็จะยิ่งช่วยให้เจ้ายีสต์ดังกล่าวเติบโตได้ดี สถานการณ์ภายในระบบย่อยจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

    4. ถ่ายอุจจาระเป็นก้อนแข็ง หรือถ่ายยาก

    นี่คือสัญญาณของโรคท้องผูก ซึ่งทุกคนรู้จักกันดี ยิ่งถ้าถ่าย 3 วันครั้งด้วยแล้ว เข้าข่ายว่าลำไส้ใหญ่ไม่มีการบีบตัวขับอุจจาระออกจากร่างกาย วิธีแก้ไขง่ายๆ นอกจากกินไฟเบอร์และจุลินทรีย์ดังกล่าวแล้ว ควรดื่มน้ำเยอะๆ โดยเฉพาะในรายที่กินไฟเบอร์ชนิดเม็ดด้วยแล้ว จำเป็นต้องดื่มน้ำเพิ่มจากที่ดื่มอีก 1 เท่าตัว เนื่องจากไฟเบอร์ชนิดเม็ดจะดูดน้ำจากร่างกายของเรา เพื่อการแตกตัวของตนเอง

    ถ่ายยาก, อุจจาระเป็นก้อนแข็ง, ไฟเบอร์, โพรไบโอติก,
    กินอาหารที่มีไฟเบอร์และโพรไบโอติก ช่วยแก้ปัญหาการถ่ายยาก อุจจาระเป็นก้อนแข็ง

    5. มีกลิ่นตัวแรง หรือปากเหม็น

    ซึ่งปกติแล้วเป็นสัญญาณของระบบย่อยทำงานผิดปกติ อาหารที่กินเข้าไปได้รับการย่อยไม่สมบูรณ์ จึงมีการหมักหมมและบูดเน่าขึ้นในอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบย่อย นอกจากการกินไฟเบอร์และโพรไบโอติกที่แนะนำนั้น ควรปรับพฤติกรรมการกินร่วมด้วย เช่น เคี้ยวช้าๆ ไม่ดื่มน้ำระหว่างการกินอาหาร งดของหวานหลังมื้ออาหาร และอย่าลืมว่าแป้งขาวและของหวานเป็นอาหารของเชื้อใดๆ ก็ตามที่เติบโตขึ้นในร่างกาย ฉะนั้นเพื่อแก้ไขอาการนี้ ควรงดแป้งขาวและน้ำตาลด้วย

    6. ปวดท้องบริเวณสะดือ

    เมื่อใดที่อาการนี้เกิดขึ้น ให้รีบไปหาหมอด่วน ย้ำไปพบแพทย์ด่วน ดูว่ามีการอักเสบในช่องท้องหรือไม่ มีก้อนเนื้องอกหรือเปล่า ถ้าคุณหมอวินิจฉัยละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ไม่พบอะไร แต่ยังมีอาการปวดท้องแบบนี้อยู่ หน่วงๆ เรื้อรังๆ ถ้าประกอบกับท้องผูกบางครั้งบางคราด้วยแล้ว นี่อาจเป็นสัญญาณว่า ช่วงวาล์วที่เชื่อมต่อระหว่างลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ปิดไม่สนิท

    ปวดท้อง, ปวดท้องรอบสะดือ, ปวดท้องบริเวณสะดือ, ช่องท้องอักเสบ, เนื้องอกในช่องท้อง
    ปวดท้องบริเวณสะดือ อาจมีการอักเสบในช่องท้อง หรือมีก้อนเนื้องอก

    7. ขอบตาดำ

    เป็นสัญญาณพื้นฐานของการแพ้อาหาร ซึ่งกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน และระบบภูมิคุ้มกันทำงานเป็นเหมือนเครือข่ายที่ซับซ้อน เมื่อใดก็ตามที่เกิดความผิดปกติต่อระบบนี้ มันจะแสดงตัวอยู่ในระบบเม็ดเลือดขาว และระบบประสาททั่วร่างกาย โดยเฉพาะถ้าสาเหตุการแพ้นั้นมาจากระบบย่อยอาหาร มันจะไปส่งผลกระทบต่อ Gut Associated Lymphiod Tissue (GALT) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน การเพิ่มจุลินทรีย์ที่ดี ที่เรียกว่า Gut Flora ซึ่งมาจากโพรไบโอติก จะช่วยทำให้เซลล์ต่างๆ แข็งแรงขึ้น ลดอาการแพ้ นอกจากนี้การย่อยแป้ง ไขมัน และโปรตีนที่ไม่สมบูรณ์ทำให้เกิดการบูดเน่าขึ้นในระบบย่อยอาหาร ก็ส่งสัญญาณแบบเดียวกัน และแก้ไขเบื้องต้นแบบเดียวกัน

    อย่างไรก็ตาม อาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์หรือใยอาหาร ชนิดละลายน้ำได้ ได้แก่ ธัญพืช ถั่วฝัก ผลไม้อย่างแอปเปิล แอพพริค็อต ลูกฟิกซ์ มะม่วง ส้ม ลูกพีช และลูกแพร์ ผักอย่างกระหล่ำปลี ถั่วงอก มันฝรั่ง รวมทั้งเมล็ดแฟล็ก ข้าวโอ๊ต บาร์เล่ย์ ลูกเดือย ข้าวกล้อง

    ส่วนอาหารที่อุดมด้วยโพรไบโอติก ได้แก่ โยเกิร์ต ผักดอง กิมจิ มิโซะ เทมเป้ นมเปรี้ยว คีเฟอร์ คอมบูชะหรือชาหมัก


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    เยียวยาภาวะ ตับอักเสบ ตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน

    “ไขมันพอกตับ” ภัยเงียบของคนอ้วน รักษาด้วยสมุนไพร

    แจ่วมะเขือเทศ อร่อย ทำง่าย กินต้านการเกิดมะเร็ง

    ชีวจิต ชวนรู้จัก 6 สมุนไพร ป้องกันโรค NCDs

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    บำรุงเลือด

    สูตรน้ำคั้นแบบชีวจิต บำรุงเลือด ตับ ไต

    สูตรน้ำคั้นแบบชีวจิต บำรุงเลือด ตับ ไต

    บำรุงเลือด ตับ ไต ด้วยเครื่องดื่มแบบชีวจิต ที่ทำได้เองที่บ้าน แต่สิ่งที่ทุกคนต้องรู้คือ ผักและผลไม้จากธรรมชาติล้วนมีคุณประโยชน์ หากแต่เมื่อผ่านกระบวนการผลิตที่แตกต่างไป ก็จะมีสรรพคุณในการป้องกันและรักษาโรคที่แตกต่างกัน ฉะนั้นควรทำความรู้จักน้ำผักผลไม้ชนิดต่าง ๆ ให้ถ้วนถี่ด้วย เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ

    คำถาม

    พอดีมีเนื้องอกบริเวณลำไส้ ปรับอาหารเป็นอาหารสุขภาพ ตามแนวทางชีวจิตแล้ว อยากทราบวิธีทำน้ำเอนไซม์ และสูตรการรักษาโรคด้วยค่ะ

    บ.ก. ขอหาคำตอบให้

    ความจริงคุณผู้หญิงท่านนี้ถามเรื่องน้ำเอนไซม์ พร้อมกับเรื่องเนื้องอกในลำไส้ของเธอ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ฉะนั้นเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด จึงขอแบ่งตอบเป็น 2 ตอน โดยขอตอบเรื่องน้ำเอนไซม์ (enzyme juice) ก่อน และบ.ก.แอบปรับชื่อเรื่องให้เป็น “สูตรน้ำคั้นแบบชีวจิต” เพราะวิธีการทำน้ำเอนไซม์นั้นต้องใช้วิธีคั้น และการคั้นแบบนี้ อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิตเป็นคนแรกที่นำมาเผยแพร่ในบ้านเรา

    อาจารย์สาทิสกล่าวไว้ในคอลัมน์เรื่องพิเศษ นิตยสารชีวจิต ปักษ์หนึ่งปีพ.ศ. 2545 ว่า เอนไซม์มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชีวิต ถ้าไม่มีเอนไซม์ก็ไม่มีชีวิต ฉะนั้นเอนไซม์จึงสำคัญ เป็นตัวกระตุ้นหรือเริ่มต้นให้วงจรหรือระบบต่างๆ ของชีวิตทำงาน ทั้งนี้เป็นไปด้วยจุดประสงค์ 2 ประการคือ เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น และเพื่อบำรุงส่งเสริมให้ระบบต่างๆ ของชีวิตทำงานดีขึ้นฉะนั้น อาจารย์สาทิสจึงแนะนำให้ใช้นำเอนไซม์ของผักผลไม้บางชนิด (โดยแต่ละชนิดทำงานแตกต่างกันไป) มาช่วยส่งเสริมการทำงานของเอนไซม์ในร่างกายมนุษย์ที่มีอยู่แล้ว ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

    ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เอนไซม์จากผักผลไม้ถูกทำลายง่ายมาก ย้ำครั้งที่ 1 “เอนไซม์จากผักผลไม้ถูกทำลายง่ายมาก” ย้ำครั้งที่ 2 “เอนไซม์จากผักผลไม้ถูกทำลายง่ายมาก” การเคี้ยวกิน การปั่นด้วยเครื่องปั่นไฟฟ้า หรือการปรุงสุก จึงเป็นการทำลายเอนไซม์จากผักผลไม้นั้นๆ

    นอกจากนี้ การนำผักผลไม้หลายอย่างมาทำน้ำเอนไซม์รวมกัน เอนไซม์ที่แตกต่างของผักผลไม้แต่ละชนิด อาจทำลายเอนไซม์ของกันและกัน จึงต้องทำน้ำเอนไซม์ดื่ม ด้วยผักผลไม้ทีละอย่างเท่านั้น

    ย้ำครั้งที่ 1 “เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากเอนไซม์ของผักผลไม้แต่ละชนิด เราจำเป็นต้องทำน้ำเอนไซม์ดื่ม ด้วยผักผลไม้ทีละอย่างเท่านั้น”

    ย้ำครั้งที่ 2 “เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากเอนไซม์ของผักผลไม้แต่ละชนิด เราจำเป็นต้องทำน้ำเอนไซม์ดื่ม ด้วยผักผลไม้ทีละอย่างเท่านั้น”

    เครื่องคั้นน้ำแยกกาก, น้ำเอนไซต์ชีวจิต, บำรุงเลือด, บำรุงตับ, บำรุงไต

    วิธีทำน้ำเอนไซม์

    คุณสามารถเลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    1. แบบดั้งเดิม โดยนำผักผลไม้ที่ต้องการทำน้ำเอนไซม์ไปสับ แล้วนำลงไปตำในครก จากนั้นเทใส่ผ้าขาวบาง กรองเอาแต่น้ำมาดื่ม
    2. แบบใช้ตัวช่วย ซึ่งคือ การใช้เครื่องคั้นน้ำแยกกาก หรือ juicer ที่มีขายตามท้องตลาด วิธีทำน้ำเอนไซม์ก็ทำได้โดย หั่นผักหรือผลไม้เป็นท่อนใหญ่แล้วใส่ลงเครื่องคั้นแยกยาก ดื่มแต่น้ำ

    วิธีดื่ม

    1. ดื่มทันที หรือภายในครึ่งชั่วโมงหลังจากคั้นแยกกาก
    2. ดื่มทีละชนิด ตามที่ย้ำกันไปแล้ว การนำผักผลไม้มาคั้นแยกการวมกัน อาจทำให้ร่างกายไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร
    3. ดื่มให้หลากหลายในหนึ่งสัปดาห์ ผู้ที่กำลังทดลองสูตร 14 วันชีวจิต หรือผู้ที่กำลังบำบัดเยียวยาโรคร้ายของตนเอง และต้องการดื่มน้ำเอนไซม์ทุกวัน จำเป็นต้องดื่มให้หลากหลาย เช่น วันนี้ดื่มน้ำเอนไซม์แครอท พรุ่งนี้ดื่มน้ำเอนไซม์แอปเปิ้ล วันต่อไปดื่มน้ำเอนไซม์จากเซเลอรี่
    4. ห้ามเติมเกลือหรือน้ำตาล ทั้งนี้เครื่องปรุงดังกล่าวอาจทำลายเอนไซม์จากผักผลไม้ชนิดนั้นๆ
    5. ไม่ควรดื่มน้ำผักผลไม้บรรจุกล่อง/ขวด หรือน้ำปั่นผักผลไม้ แทนน้ำเอนไซม์ เพราะน้ำผลไม้บรรจุกล่อง/ขวดที่ผ่านการกระบวนการผลิตและต้องเก็บยาวนานนั้นไม่เหลือเอนไซม์ที่ร่างกายต้องการแล้ว (อาจได้ประโยชน์อื่นๆ) ส่วนน้ำปั่นผักผลไม้นั้นก็ไม่ได้ให้เอนไซม์ เนื่องจากการปั่นด้วยคมมีดไฟฟ้าทำลายเอนไซม์ในผักผลไม้ชนิดนั้นไปเรียบร้อยแล้ว (แต่อาจให้ประโยชน์อื่นๆ)
    น้ำเอนไซม์แครอท, น้ำแครอท, สูตรน้ำคั้นแบบชีวจิต, บำรุงตับ, บำรุงเลือด, บำรุงไต
    น้ำเอนไซม์แครอท เครื่องดื่มสุขภาพช่วยบำรุงตับ

    ประโยชน์ของเอนไซม์จากผักผลไม้ชนิดต่าง ๆ

    • แครอท ช่วยล้างไขมันและการทำงานของตับ
    • เซเลอรี่ ช่วยให้เลือดสะอาดขึ้น และล้างคอเรสเอตรอลในหลอดเลือด
    • รากบัวหลวง ช่วยการทำงานของปอด ช่วยการเผาผลาญอาหาร
    • ตำลึง ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหาร
    • มะระ ช่วยการทำงานของไต
    • แตงโตหรือแคนตาลูป ช่วยการทำงานของไต

    อิ่มอกอิ่มใจในคำตอบแบบนี้ ฉะนั้นแฟนเพจชีวจิตอยากรู้อะไร ตั้งถามเข้ามาในอินบ็อกซ์ บ.ก.ขอหาคำตอบให้ค่ะ

    น้ำผักและผลไม้ปั่น เพื่อสุขภาพ ต้านมะเร็ง

    น้ำผักและผลไม้ปั่น ในที่นี้หมายถึง น้ำปั่นเพื่อสุขภาพ ที่ใช้ผักและผลไม้สดปั่นผสมรวมกันดื่มพร้อมกากใยปราศจากน้ำแข็ง น้ำเชื่อม และน้ำหวานปรุงแต่งรส

    ดร.ทอม อู๋(Dr.Tom Wu) ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ เป็นผู้หนึ่งที่หันมาดื่มน้ำผักและผลไม้ปั่นละเอียดวันละ 4-6 แก้ว ร่วมกับกินอาหารอินทรีย์และกินผักผลไม้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เพื่อเยียวยาตนเองจากโรคมะเร็งปอดระยะที่ 3 และผลจากการกินอาหารที่มีเส้นใยสูงทุกวันติดต่อกันนาน 9 เดือนช่วยให้ ดร.ทอม หายขาดจากโรคมะเร็ง

    เพราะผักและผลไม้อุดมด้วยสารต้านมะเร็ง แถมใยอาหารยังมีคุณสมบัติช่วยดักจับและเจือจางสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย รวมถึงสกัดกั้นสารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนมากับอาหาร ทั้งช่วยเพิ่มน้ำหนักอุจจาระ มีผลกระตุ้นให้ร่างกายขับถ่ายเร็วขึ้น ช่วยขับสารพิษและป้องกันเซลล์มะเร็งเจริญเติบโต

    มีงานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นถึงผลดีของใยอาหารต่อการต้านโรคมะเร็ง เช่น รายงานจากวารสาร Clinical Nutrition Supplements แสดงให้เห็นว่า การกินใยอาหารเพียงวันละ 13 กรัม สามารถลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งในชาวอเมริกันได้ถึงร้อยละ 31 และหากกินติดต่อกันนาน 3 – 4 ปี พบว่าสามารถยับยั้งการเกิดเนื้อร้ายในผู้ป่วยที่มีก้อนเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ได้

    สำหรับวิธีปั่นน้ำผักและผลไม้ ดร.ทอมให้ข้อมูลไว้ในหนังสือ ธรรมชาติช่วยชีวิต ว่า ควรเลือกผักและผลไม้ที่สด สะอาด ปลอดภัย ปราศจากสารเคมีปนเปื้อน เช่น ผักและผลไม้อินทรีย์ จากนั้นล้างผิวเปลือกให้สะอาดและหากเป็นไปได้ควรปั่นทั้งเปลือกและเมล็ด

    พร้อมแนะนำให้เลือกเครื่องปั่นที่ทนความร้อนสูงโดยเรียกว่าเครื่องปั่นขนาด 3.5 แรงม้า มีความเร็วในการปั่นเท่ากับ 45,000 รอบ/นาที เหตุที่ต้องเลือกเครื่องปั่นที่มีความเร็วรอบสูง เพราะต้องการบดปั่นเส้นใยของพืชจนละเอียด เพื่อให้ปล่อยอินทรียสารออกมาเต็มที่ ช่วยให้เซลล์ดูดซึมได้ทันที โดยเฉพาะอินทรียสารจากพืชซึ่งพบมากในราก หน่อ และเมล็ด แต่คนส่วนใหญ่ตัดทิ้ง เพราะแข็งและเคี้ยวยาก

    ดร.ทอมเสริมว่า น้ำผักและผลไม้ปั่นสามารถปั่นผสมผักผลไม้รวมกันได้หลากหลาย ให้ทั้งประโยชน์จากใยอาหารและอินทรียสารจากพืช ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันและระบบรักษาตัวเองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    แจ่วมะเขือเทศ อร่อย ทำง่าย กินต้านการเกิดมะเร็ง

    เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส ผู้บัญญัติศัพท์ “Cancer” หรือมะเร็ง คนแรกของโลก

    สังเกตลิ้น เช็ค แพ้อากาศ + ไรฝุ่น

    เกลือและโซเดียม ภัยเงียบบั่นทอนสุขภาพ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    โรคหลอดเลือดตีบแดงแข็ง

    วิธีรักษาแนวใหม่หยุด โรคหลอดเลือดตีบแดงแข็ง

    วันนี้เป็นเรื่องเก่าเล่าซ้ำ แต่ย้ำในแนวใหม่ นั่นคือเรื่อง โรคหลอดเลือดตีบแดงแข็ง กับวิธีการรักษาแนวใหม่ ที่จริง ๆ ก็ใกล้ตัวเรา

    โดยววันนี้เรามี คุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจหลอดเลือดและทรวงอกและคอลัมนิสต์คนเก่ง มีเรื่องดี ๆ มาฝากเช่นเคย

    ว่าแล้ว ไปติดตามพร้อมกันเลย

    “มีโรคประหลาดชนิดใหม่เกิดขึ้นอีกแล้วเหรอ”

    อิอิ ไม่ใช่หรอกครับ คำว่า โรคหลอดเลือดแดงตีบแข็ง ภาษาอังกฤษใช้คำว่า atherosclerosis ก็แปลว่าหลอดเลือดแดงตีบแข็งนั่นแหละ มันเป็นโรคหนึ่งเดียวแท้จริง แต่คนนิยมเอาไปเรียกชื่อตามอวัยวะที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคหัวใจขาดเลือด (ischemic heart disease) หรือกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (acute MI) บ้าง โรคอัมพาตหรืออุบัติการณ์หลอดเลือดในสมอง (CVA) บ้าง โรคความดันเลือดสูงชนิดปฐมภูมิ (primary HT) บ้าง โรคไตเรื้อรังชนิดปฐมภูมิบ้าง

    ทั้งหมดนี้ มีโคตรเหง้าศักราชมาจากเรื่องเดียวกันคือ โรคหลอดเลือดแดงตีบแข็งทั้งสิ้น แต่ละคนก็เรียกกันไปสุดแล้วแต่ว่าโรคจะไปสำแดงเดชที่อวัยวะไหน

    ยิ่งไปกว่านั้น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นโรคยอดนิยมของคนวัยรุ่นยุคใหม่ก็ยังเป็นโรคพี่น้องกับโรคนี้คือเป็นเบาหวานต้องมีหลอดเลือดแดงตีบแข็งและต้องตาย เอ๊ย..ไม่ใช่ ส่วนใหญ่ตายด้วยโรคหลอดเลือดแดงตีบแข็ง ไม่ได้ตายด้วยเบาหวานดอก

    ยิ่งไปกว่านั้น งานวิจัยที่ศึกษาจากการชัณสูตรสมองของคนเป็นโรคอัลไซเมอร์พบว่า นอกจากจะพบเซลสมองงอก่องอขิงและมีสารอะเมอลอยด์แทรกอันเป็นเอกลักษณ์ของโรคอัลไซเมอร์แล้วยังพบหลอดเลือดแดงตีบแข็งในหลอดเลือดเล็ก ๆ ที่เลี้ยงสมองนั้นด้วยเสมอ ไม่แน่นะ ทำไปทำมาโรคอัลไซเมอร์ก็อาจจะเป็นอีกสาขาหนึ่งของโรคหลอดเลือดแดงตีบแข็งก็ได้

    “เออ..แล้วเอาเรื่องความสับสนในการเรียกชื่อโรคของพวกแพทย์มาพูดทำไม จะสอนให้ชาวบ้านเขามีสมองที่สับสนแบบพวกแพทย์เรอะ”

    อิอิ เปล่าพะยะค่ะ ที่เอามาพูดนี้ ผมมีวาระซ่อนเร้นอยู่ 3 วาระ คือ

    • โรคหลอดเลือดแดงตีบแข็งและโรคบริวารของมันทั้งหมดที่เรียกเหมาเข่งว่า “โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” เนี่ย มันเริ่มเป็นกันมาตั้งแต่วัยเด็ก ไม่ใช่มาเป็นเอาตอนแก่เหนียงยานแล้วอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจกัน
    • โรคหลอดเลือดแดงตีบแข็งที่ว่าทำให้คนตายเป็นเบือและล้างผลาญเงินงบประมาณการดูแลรักษาจนจะพาหลาย ๆ ประเทศล้มละลายนี้ จริง ๆ แล้วมันเป็นโรคที่ป้องกันได้
    • ความเข้าใจที่ว่าโรคหลอดเลือดแดงตีบแข็งที่ว่าใครเป็นแล้วไม่หายต้องตายลูกเดียวนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด ความเป็นจริงคือเราพลิกผันให้มันถอยกลับได้ แปลไทยให้เป็นไทยว่า “หายได้”

    ทั้งหมดที่ผมพูดมานี้ไม่ได้นั่งเทียนหรือยกเมฆพูดนะครับ แต่พูดตามหลักฐานวิทยาศาสตร์ระดับมาตรฐานน่าเชื่อถือที่มีคนทำวิจัยกันไว้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

    เอาในประเด็นที่ว่าโรคนี้มันเริ่มเป็นตั้งแต่อายุน้อยก่อน หลักฐานยืนยันอันแรกคืองานวิจัยที่รวบรวมผลการผ่าพิสูจน์ศพทหารหนุ่ม ๆ ที่ตายในสนามรบหลายครั้ง นับตั้งแต่สงครามเกาหลีเป็นต้นมา ทุกครั้งให้ผลเหมือนกันหมดว่า ทหารหนุ่มที่ฟิตเปรี๊ยะเหล่านั้นมีโรคหลอดเลือดแดงแข็งเกิดขึ้นแล้ว บางคนเป็นโรคมากถึงกับมีรอยตีบที่มีนัยสำคัญขึ้นที่หัวใจแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่มีอาการให้เห็นเท่านั้นเอง

    งานวิจัยอีกกลุ่มหนึ่งเป็น รายงานจากการผ่าศพเด็กฝรั่งที่ตายด้วยโรคอื่นพบว่าเด็กเกือบทุกคนมีไขมันพอกหลอดเลือดเป็นเส้นยาว (fatty streak) ซึ่งเป็นปฐมบทของการเป็นหลอดเลือดแดงตีบแข็งอยู่แล้วตั้งแต่วัยเด็ก

    เรื่องนี้ผมรู้มาตั้งนานแล้ว สมัยผมเรียนผ่าตัดหัวใจอยู่เมืองนอก เวลาเด็กตายผมต้องผ่าศพตรวจหัวใจทุกซอกทุกมุมและเห็นเด็กอายุเก้าขวบสิบขวบมีหลอดเลือดหัวใจตีบเรียบร้อยแล้ว

    พอผมกลับมาเมืองไทย สมัยนั้นไม่มีคนไทยเป็นโรคนี้ ผมหาคนไข้ผ่าตัดไม่ได้เลย คนไข้คนแรกของผมอายุ 83 ปี นับตั้งแต่นั้นมา คนไข้ที่ผมผ่าตัดก็อายุน้อยลง ๆ คนสุดท้ายที่ผมผ่าตัดบายพาสก่อนบอกลาอาชีพหมอผ่าตัดหัวใจ มีอายุ 27 ปีเท่านั้นเอง

    โรคหลอดเลือดตีบแดงแข็ง

    ป้องกัน โรคหลอดเลือดตีบแดงแข็ง

    ประเด็นที่ว่าโรคนี้ป้องกันได้นั้น มีหลักฐานมาจากสองส่วน ส่วนที่หนึ่งคือหลักฐานเชิงระบาดวิทยาที่บ่งชี้ว่าชุมชนหรือประเทศที่กินแต่พืชผักผลไม้นั้นหาคนเป็นโรคหลอดเลือดแดงแข็งแทบไม่ได้เลย ส่วนที่สองเป็นหลักฐานที่แสดงว่าโรคลดจำนวนลงหากมีการแทรกแซงด้วยการจัดการปัจจัยเสี่ยงของโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนอาหารเพื่อลดไขมันในเลือด

    ตัวอย่างที่ชัดมากคือชุมชนคาเรเรีย (Karelia) ในประเทศฟินแลนด์ ซึ่งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอาหารการกินในชุมชนอย่างขนาดใหญ่ทำให้การป่วยและการตายจากโรคลดลงไปถึงร้อยละ75ในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา

    ประเด็นที่ว่าโรคนี้รักษาให้หายได้นั้น ผมไม่ได้หมายถึง การทำบอลลูนหรือบายพาสหรือแม้แต่การใช้ยาลดไขมันหรือยาลดความดันนะครับ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้โรคหาย แต่หลักฐานวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าโรคนี้หายได้นั้นมาจากสองทาง

    ทางหนึ่งคือหลักฐานการปรับอาหารในคนไข้อย่างเข้มงวดไปสู่การไม่กินเนื้อสัตว์เลย กินแต่อาหารจากพืช อาหารไขมันต่ำ หรือไม่มีการใช้น้ำมันเลย

    หลักฐานอีกทางหนึ่งเป็นการปรับการใช้ชีวิตในสี่ด้านรวมกัน คือกินอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ร่วมกับการออกกำลังกาย การจัดการความเครียด และการเข้ากลุ่มเพื่อนเกื้อกูล

    ในส่วนหลังนี้ ปัจจุบันมีความคืบหน้ามากขึ้นจนบางรัฐในสหรัฐอเมริกา ยอมให้คนไข้เบิกจ่ายเงินค่ารักษาไปเข้าคอร์สปรับวิถีชีวิตได้เหมือนเบิกจ่ายค่ายาหรือค่าผ่าตัด

    การป้องกันและรักษาโรคนี้ต้องทำกันทุกคนตั้งแต่วัยเด็กจนถึงแก่เฒ่า แต่ไฮไลท์ของเรื่องนี้อยู่ตรงที่ว่าในยามที่สังคมไทยไม่มีใครลุกขึ้นมานำชุมชนกวาดล้างโรคแบบแคว้นคาเรเรีย การจะป้องกันหรือจะทำให้โรคหลอดเลือดแดงแข็งหาย คนที่จะทำได้มีอยู่คนเดียวนะครับ..คือตัวคุณเองนั่นไง

    อย่างที่คุณหมอบอกนั่นล่ะค่ะ “โรคหลอดเลือดแดงตีบแข็ง” เป็นปัญหาที่คนไทยจำนวนไม่น้อยต้องเผชิญกัน แต่ก็มีวิธีการรักษาแนวใหม่ นั่นคือการดูแลอาหารการกินอย่างเข้มงวด ลดการกินเนื้อ (เลิกเลยยิ่งดี) เพิ่มการกินผัก ผลไม้ และอาหารจากธรรมชาติ …ตรงใจชีวจิตจริง ๆ

    เมนูคนสองใจ จานอร่อยบรรเทาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และหัวใจขาดเลือด

    โดย อ. วันทนี ธัญญา เจตนธรรมจักร ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนไทยประยุกต์

    สำหรับการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้ป่วยโรคนี้ต้องระมัดระวัง เรื่องอาหารการกินและการประพฤติตัว เป็นพิเศษ

    ดิฉันขอแนะนำอาหารสำหรับ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคดังกล่าวที่อยากจะลดไขมัน และโปรตีนลง แต่ก็เกรงว่าจะกินไม่อร่อย เหมือนรักพี่เสียดายน้อง ชื่อว่าเมนู“คน สองใจ” ที่รับรองว่าทั้งป้องกันและควบคุม ภาวะของผู้ที่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ และไม่เสียรสสำหรับผู้ป่วยที่ยังรักการกิน อาหารเป็นชีวิตจิตใจทั้งหลายเป็นแน่ค่ะ

    เมนูคนสองใจ

    ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่) เตรียม 30 นาที  ปรุง 15 นาที

    ส่วนผสม 1 เจี๋ยนเห็ดเพื่อหัวใจ

    เห็ดเข็มทอง 60 กรัม

    เห็ดแชมปิญอง 60 กรัม

    เห็ดนางฟ้า 60 กรัม

    เห็ดฟาง 60 กรัม

    เห็ดหอมสด 3 ดอก

    ดอกไม้จีนแช่น้ำจนนุ่ม 30 กรัม

    เครื่องปรุง น้ำมันงา 2 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วขาว 1 – 2 ช้อนโต๊ะ ขิงสับ 1 ช้อนโต๊ะ กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะละลายน้ำ 3 ช้อนโต๊ะ พริกไทยเล็กน้อย น้ำตาลเล็กน้อย

    วิธีทำ

    หั่นเห็ดต่าง ๆ ให้เป็นชิ้นพอคำ ส่วนดอกไม้จีนให้ฉีกเป็นเส้นและล้างน้ำอีกครั้ง เพื่อไม่ให้มีรสเปรี้ยว จากนั้นเติมน้ำมันงา ใส่กระทะ ใส่กระเทียมสับ ขิงสับลงผัดด้วย ไฟกลางให้หอมและเหลือง จึงใส่เห็ดหอม ผัดให้มีกลิ่นหอม ใส่ดอกไม้จีน เห็ด แชมปิญอง เห็ดฟาง และเห็ดนางฟ้าลงผัด คลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่เห็ดเข็มทอง ตามด้วย ซีอิ๊วขาว น้ำตาล พริกไทย ผัดคลุกเคล้า ชิมให้ออกรสเค็มเล็กน้อย ใส่น้ำละลายแป้ง ลงผัดจนมีลักษณะเหนียวเล็กน้อย ตักใส่จาน

    ส่วนผสม 2 ยำพิชิตใจ

    ใบบัวบกสด 60 กรัม

    เนื้อปลาต้มแล้วฉีก 60 กรัม

    เนื้อกุ้งต้มฉีกเป็นเส้น 60 กรัม

    ตะไคร้ซอย 2 ช้อนโต๊ะ

    หอมเล็ก ซอย 2 ช้อนโต๊ะ

    กระเทียมซอย 2 ช้อนโต๊ะ

    ส่วนผสมน้ำยำ

    เนื้อในเสาวรส 3 ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูซอย 1 – 2 ช้อนชา เกลือ 1 – 2 ช้อนชา น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมันงา 2 ช้อนชา น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชาพูน

    วิธีทำ

    คนส่วนผสมน้ำยำรวมกัน เตรียมไว้ จัดใบบัวบกลงจาน ตามด้วยตะไคร้ซอย หอมซอย กระเทียมซอย เนื้อปลา เนื้อกุ้ง เวลาเสิร์ฟจึงราดน้ำสลัดลงบนจานแล้ว คลุกเคล้าให้เข้ากันก่อนรับประทาน

    การจัดเสิร์ฟควรเสิร์ฟกับจานที่มีการแบ่งจานเป็นสองซีก โดยด้านหนึ่ง ใส่เจี๋ยนเห็ดเพื่อหัวใจและอีกด้านใส่ยำพิชิตใจ รับประทานกับข้าวกล้องหุงใส่กับลูกเดือย และอาจรับประทานกับชาสุขภาพคือชาเจียวกู่หลานใบเตย ทั้งช่วยลดไขมัน ควบคุม ความดันโลหิตสูง และควบคุมน้ำตาล ในเลือดได้

    เห็ดต่าง ๆ ช่วยควบคุมไขมันในเลือด เสริมภูมิคุ้มกัน ลดภาวะเสี่ยงต่อการมีไขมันอุดตัน กระเทียม ช่วยลดไขมันในเลือดดี ขิงช่วยระบบการย่อยอาหาร ป้องกันท้องอืดท้องเฟ้อ ใบบัวบก ป้องกันการอุดตันของเลือด ช่วยการกระจายของเลือดได้ดี บำรุงสมอง บำรุงหัวใจ ตะไคร้ช่วยให้การขับถ่ายปัสสาวะดีขึ้น ขับลมในลำไส้ ดอกไม้จีน บำรุงเลือด บำรุงประสาท ถอนพิษ ช่วยขยายกะบังลม

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    5 วิธีลดความดันโลหิตสูง ด้วยตัวเอง

    เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส ผู้บัญญัติศัพท์ “Cancer” หรือมะเร็ง คนแรกของโลก

    สังเกตลิ้น เช็ค แพ้อากาศ + ไรฝุ่น

    เกลือและโซเดียม ภัยเงียบบั่นทอนสุขภาพ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    สมุนไพรป้องกันโรค NCDs

    ชีวจิต ชวนรู้จัก 6 สมุนไพร ป้องกันโรค NCDs

    สมุนไพร ป้องกันโรค NCDs

    สมุนไพร ป้องกันโรค NCDs  หรือโรคเรื้อรัง เป็นโรคที่สร้างความตื่นตระหนกในสังคมทั่วโลก เพราะทำให้มีผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างมหาศาล แถมยังมีค่าใช้จ่ายเพื่อการรักษาประชาชนในแต่ละประเทศสูงลิ่วด้วย

    เมื่อวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาสู่ประเทศไทย ทำให้วิถีการดำเนินชีวิตของคนในประเทศมีความแตกต่างไปจากเดิม กล่าวคือ วัฒนธรรมการกินอาหารจั๊งฟู้ดมากขึ้น เพราะการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ รีบกิน รีบทำงาน รีบกลับบ้าน จนลืมออกกำลังกาย ทำให้ลักษณะการดำเนินชีวิตแบบเดิมหายไป

    ดังนั้น การเตรียมความพร้อมในการรับมืออาจจะไม่ใช่คำตอบ แต่เราอาจต้องเปลี่ยนกลวิธีเป็นการปรับเข้าหาโรค NCDs โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างให้ห่างจากโรค NCDs แทนก็แล้วกัน

    ในทางการแพทย์แผนไทย ระบุว่า โรคเรื้อรังเกิดจากความไม่สมดุลของธาตุทั้ง 4 ในร่างกาย เช่น โรคความดันโลหิตสูงเกิดจากความร้อนจากธาตุไฟพัดพาธาตุลม และธาตุน้ำ ส่งผลให้แรงดันเลือดผิดปกติ ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ จะกลายเป็นลมอัมพฤกษ – อัมพาต ทำให้การรักษายุ่งยาก และสุดท้ายก็จะกลายเป็นอัมพาตแทนได้

    ชีวจิตออนไลน์ ขอแนะนำ ชาสุขภาพต่าง ๆ ดังนี้

    ตะกร้าสมุนไพรป้องกันโรค NCDs  

    1. ชากระเจี๊ยบแดง ลดไขมัน รักษาความดันโลหิตสูง

    กลีบเลี้ยงดอกกระเจี๊ยบ มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งจัดเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ และสามารถลดไขมันในเลือดได้ มีรายงานวิจัยระบุว่า การกินสารสกัดจากดอกกระเจี๊ยบ 2 แคปซูลระหว่างมื้ออาหาร วันละ 3 ครั้ง นาน 4 สัปดาห์  ระดับคอเลสเตอรอลลดลงภายใน 2 สัปดาห์

    วิธีกิน ใช้กลีบดอกกระเจี๊ยบแดงแห้ง 3 กรัม บดเป็นผงหรือดอกแห้ง ชงกับน้ำเดือด 300 มิลลิลิตร ดื่มวันละ 3 ครั้ง เช้า กลางวัน เย็น

    นอกจากนี้กระเจี๊ยบแดงยังช่วยขับปัสสาวะ รักษาระดับความดันเลือด และฆ่าเชื้อในทางเดินปัสสาวะ เพราะฤทธิ์ของความเปรี้ยวที่มีลักษณะเป็นกรด เป็นสารฆ่าเชื้อได้เป็นอย่างดี

    2. ชาดอกคำฝอย ป้องกันไขมันอุดตัน

    ดอกคำฝอย มีสารสีเหลืองส้ม ที่คนโบราณใช้ในการแต่งสีอาหาร  รายงานวิจัยระบุว่า น้ำมันดอกคำฝอยสามารถป้องกันไม่ให้ระดับคอเลสเตอรอลสูงและป้องกันการอุดตันของไขมันในเส้นเลือดได้

    วิธีกิน ใช้ดอกแห้งปริมาณ 1 หยิบมือ ต้มหรือชงกับน้ำเดือด แล้วดื่ม

    ข้อควรระวังการใช้น้ำมันดอกคำฝอย อาจชะลอการแข็งตัวของเลือด ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ ผู้ที่มีภาวะเลือดออกมากผิดปกติ แผลในกระเพาะอาหาร และประจำเดือนมามากผิดปกติ เพราะจะทำให้เลือดออกมากขึ้นกว่าเดิมได้

    3.ชาใบหม่อน รักษาระดับน้ำตาลในเลือด

    ต้นหม่อนปลูกเพื่อใช้เป็นอาหารของตัวไหม จากงานวิจัยระบุว่า สารสกัดสารใบหม่อนด้วยน้ำร้อน สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือด และสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหลังกินอาหารได้ อีกทั้งไม่พบอาการข้างเคียงอีกด้วย

    วิธีกิน ใช้ใบแห้งหรือสด ปริมาณ 1 หยิบมือ ต้มหรือชงกับน้ำเดือด แล้วดื่มวันละ 1-2 ครั้ง

    ระวังในผู้ป่วยที่ใช้ร่วมกับยารักษาเบาหวาน เพราะใบหม่อนอาจจะไปเสริมฤทธิ์ของยา ทำให้น้ำตาลลดต่ำลงมากไปอีก

     4. ชามะระขี้นก ปรับฮอร์โมนอินซูลิน

    รสขมของมะระขี้นก สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ช่วยให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดดีขึ้น เพราะเข้าไปช่วยลดระดับการใช้ฮอร์โมนอินซูลินในร่างกาย

    วิธีกิน กินมะระสด มื้อละ 2 ผล หรือกินในรูปแบบของชาชง

    แต่อย่าเผลอกินเมล็ดผลสุกของมะระขี้นก เพราะว่ามีพิษ และการใช้ร่วมกับยารักษาเบาหวาน อาจจะทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้

    5.ชาปัญจขันธ์ ลดการดูดซึมน้ำตาล

    ปัญจขันธ์มีอีกชื่อเรียกว่า เจียวกู่หลาน มีสารสำคัญที่กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจากเบต้าเซลล์ของหนูในหลอดทดลอง ทำให้มีความทนต่อกลูโคสดีขึ้น ไม่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ และไม่พบอาการข้างเคียง

    วิธีกิน ใช้ชาปริมาณ 3 กรัม ชงกับน้ำร้อน ดื่ม วันละ 2 ครั้ง  ก่อนอาหาร เช้าและเย็น

    ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้ร่วมกับยาต้านเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน เนื่องจากชาอาจจะไปเสริมฤทธิ์ของยา ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออก

    6.ชาผักเชียงดา ดีท็อกซ์น้ำตาล

    ปัจจุบันญี่ปุ่นได้วิจัยและจดสิทธิบัตรผักเชียงดาในรูปแบบอาหารและชาชงสุขภาพ เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    เพราะพบว่าผักเชียงดามีสารจิมนีมิค เอซิด  (Gymnemic acid) ที่ช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลกลูโคส และทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง

    วิธีกิน ใช้ชาปริมาณ 3 กรัม ชงกับน้ำร้อนดื่ม วันละ 1-2 ครั้ง

    มีตะกร้าของขวัญสุขภาพ สมุนไพร ป้องกันโรค NCDs ให้คนที่คุณรัก หรือจะเพื่อตัวคุณเองก็ได้ รับรองว่า สุขใจผู้ให้ อิ่มใจผู้รับ แน่นอน

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    เยียวยาภาวะ ตับอักเสบ ตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน

    “ไขมันพอกตับ” ภัยเงียบของคนอ้วน รักษาด้วยสมุนไพร

    แจ่วมะเขือเทศ อร่อย ทำง่าย กินต้านการเกิดมะเร็ง

    เยียวยาเบาหวาน ด้วยการ เดินย่อย

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    เดินย่อย

    เยียวยาเบาหวาน ด้วยการ เดินย่อย

    เดินย่อย ช่วยลดเบาหวานได้

    คนส่วนใหญ่เมื่อกินอาหารเสร็จแล้วมักชอบนั่งนิ่ง ๆ หรืองีบหลับมากค่ะ แต่รู้มั้ยคะ จากนี้ควรลุกขึ้นแล้ว เดินย่อย หลังมื้ออาหารดีกว่า เพราะวิธีการนี้ดีต่อสุขภาพมาก อีกทั้งยังดีต่อผู้ที่เป็นโรคเบาหวานอีกด้วย

    มีผลวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาที่มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา แนะนำว่าควรปรับเปลี่ยนนิสัยงีบหลับ หรือนั่งรากงอกหลังมื้ออาหาร ก็เนื่องมาจากว่า ช่วงเวลาที่เราอิ่ม ระดับน้ำตาลในเลือดมักเพิ่มสูงขึ้น ร่างกายบางคนจึงควบคุมน้ำตาลไม่ได้ บางคนยิ่งไปกว่านั้น คือมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน หรือไม่ตับอ่อนก็ผลิตอินซูลินน้อยเกินไป เนื่องจากเริ่มมีอาการของโรคเบาหวาน โดยเฉพาะในหมู่ของผู้สูงอายุ และการยิ่งนั่งรากงอกก็ยิ่งทำให้ร่างกายเกิดภาวะเหล่านี้ได้เร็วขึ้น

    แต่หากเปลี่ยนมาออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดินเล่น หรือออกไปรดน้ำต้นไม้ในสวยสักครู่ ประมาณ 15 นาที จะทำให้ระบบการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินดีขึ้น

    การทดลองเริ่มศึกษาจากกลุ่มผู้ป่วยกลุ่มหนึ่ง โดยให้ออกไปเดินเล่นหลังมื้ออาหารทั้ง 3 มื้อ พบว่าสามารถช่วยให้ร่างกายควบคุมน้ำตาลได้ดีเทียบเท่ากับการออกกำลังกายหนัก ยิ่งเป็นมื้อเย็นที่มักมีระดับน้ำตาลเพิ่มสูงที่สุด วิธีการนี้ยิ่งช่วยได้เป็นอย่างดี

    …จากนี้ หลังมื้ออาหารอย่ามัวแต่นั่งจุ้มปุ๊ก หรืองีบหลับ แต่ลุกขึ้นมาเดินยืดเส้นสายเบา ๆ กันดีกว่านะคะ

    ข้อมูล “เยียวยาเบาหวาน ด้วยการเดินย่อย” จากคอลัมน์ ทันโลกสุขภาพ นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 355

    เดินย่อย

    อาหารที่คนเป็นเบาหวานควรเลี่ยง

    คนเป็นเบาหวานควรลดอาหารให้พลังงานลง แคลอรีคือหน่วยนับพลังงานที่ร่างกายใช้ ร่างกายสร้างแคลอรีจากอาหารพลังงาน ดังนั้นจึงควรควบคุมปริมาณอาหารเหล่านี้ ได้แก่

    คาร์โบไฮเดรต

    เช่น ข้าว แป้ง น้ำตาล อาหารกลุ่มนี้จะถูกร่างกายเอามา เผาผลาญเป็นพลังงานก่อนเพื่อน โดยคาร์โบไฮเดรต 1 กรัมจะเผาผลาญได้พลังงาน 4 แคลอรี

    ไขมัน

    ให้พลังงานมากกว่าคาร์โบไฮเดรตหนึ่งเท่าตัว คือไขมัน 1 กรัม ให้พลังงสย 9 แคลอรี ดังนั้นการลดแคลอรีจึงต้องมุ่งลดอาหารไขมัน

    โปรตีน

    โดยโปรตีน 1 กรัมให้พลังงานได้ 4 แคลอรี แต่ร่างกายจะหันมาใช้โปรตีนเป็นพลังงานก็ต่อเมื่อไม่มีไขมัน และคาโบไฮเดรตให้ใช้แล้ว ดังนั้นการลดอาหารให้พลังงานจึงควรมุ่งไปที่ไขมันและคาร์โบไฮเดรต ไม่จำเป็นต้องลดโปรตีน
    เพราะฉะนั้นเราจึงควรทราบปริมาณแคลอรีในอาหารที่ตนเองชอบรับประทาน โดยวิธีอ่านฉลากหรือศึกษาจากผลวิจัย
    เช่น สถาบันวิจัยมหิดลรายงานไว้ว่าเส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วให้พลังงาน 635 แคลอรี ข้าวราดกะเพราไก่ให้ 495 แคลอรี ชีส
    เบอร์เกอร์ให้ 280 แคลอรี ปาท่องโก๋ 140 แคลอรี

    คำนวนแคลอรีที่ใช้ต่อวัน

    คนทั่วไปต้องแคลอรีประมาณ 20-35 วัน แคลอรีต่อน้ำหนักตัว แต่หากแบ่งอย่างละเอียด จะแบ่งได้ดังนี้

    กลุ่มที่ 1 ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ออกกำลังกายสม่ำาเสมอ

    หรือผู้หญิงรูปร่างปานกลานไม่ได้ออกทำลังกายสม่ำเสมอ แต่กำลังต้องการลดน้ำหนัก กลุ่มนี้ต้องการพลังงานวันละ 1,200 – 1,600 แคลอรี

    กลุ่มที่ 2 ผู้หญิงตัวใหญ่หรือผู้ชายร่างเล็กที่ใช้แรงงานมาก

    หรือผู้ชายรูปร่างปานกลางที่ไม่ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หรือผู้ชายรูปร่างปานกลางที่ใช้แรงงาน มากอยู่แล้วแต่อยากลดน้ำหนักด้วย กลุ่มนี้ต้องการใช้พลังงานวันละ 1,600 – 2,000 แคลอรี

    กลุ่มที่ 3 ชายหรือหญิงรูปร่างขนาดกลางถึงใหญ่ที่ชอบออกแรงแข็งขันทั้งวัน

    หรือผู้ชายตัวใหญ่มากที่ไม่ได้ใช้แรงงานอะไรมากมาย หรือคนตัวใหญ่มากและใช้แรงงานมากแต่ต้องการลดน้ำหนัก คนกลุ่มนี้ต้องการใช้พลังงานวันละ 2,000 – 2,400 แคลอรี

    อาหารที่คนเป็นเบาหวานควรกินและไม่ควรกิน

    • เลือกรับประทานผักสด สลัด หรือซุปใสก่อนการรับประทานอาหารอื่น ซึ่งจะช่วยลดปริมาณอาหารที่มีไขมันหรือแคลอรีสูงได้
    • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมักมีแคลอรีอยู่มาก ควรดื่มน้ำเปล่า หรือชาจีนแทนจะดีกว่า
    • งดน้ำหวาน หรือน้ำอัดลม
    • หลีกเลี่ยงอาหารมันหรือหวาน
    • เสี่ยงอาหารไขมันที่มองเห็นด้วยตาทุกชนิด
    • เปลี่ยนวิธีปรุงอาหารจากทอด ผัด แกงกะทิ มาเป็นปิ้ง ต้ม นึ่ง ย่างแทน
    • รับประทานผักและผลไม้เต็มที่ แต่ไปลดไขมันและคาร์โบไฮเดรตจากแหล่งอื่น เช่น ข้าว แป้ง และน้ำตาลในอาหารจานหลัก
    • รับประทานอาหารที่ปรุงจากธัญพืชทั้งเมล็ด หรือธัญพืชไม่ขัดสึ เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง โอ๊ตแบรนด์ ขนมปังโฮลวีต เพราะมีกากชนิดละลายได้เป็นส่วนประกอบ
    • ลดไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์ โดยครวได้รับไม่เกิน 10% ของแคลอรีที่ร่างกายได้รับต่อวัน

    เทคนิคจำกัดอาหารเพื่อคนเป็นเบาหวาน

    • เลือกนั่งกับผู้ที่รู้จักและสนทนากับผู้ที่นั่งข้างเคียงขณะรับประทาน เพื่อจะได้รับประทานช้าลง
    • ก่อนรับประทานอาหารควรดื่มน้ำเปล่า เพื่อให้อิ่มเร็วขึ้น
    • ไม่รับประทานอาหารจนอิ่มมากเกินไป เมื่อเหลืออีก 4 – 5 คำจะอิ่มควรหยุดได้
    • ไม่ปล่อยให้ตนเองหิวจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนไปงานเลี้ยง ควรรับประทานอาหารว่างก่อนไปงานเผื่อมีการเสิร์ฟอาหารช้า
    • ไม่รับประทานเพราะความเกรงใจผู้อื่น แต่รับประทานเพื่อสุขภาพของตนเอง

    ที่มา นิตยสารชีวจิต

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    เยียวยาภาวะ ตับอักเสบ ตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน

    “ไขมันพอกตับ” ภัยเงียบของคนอ้วน รักษาด้วยสมุนไพร

    แจ่วมะเขือเทศ อร่อย ทำง่าย กินต้านการเกิดมะเร็ง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ตับอักเสบ

    เยียวยาภาวะ ตับอักเสบ ตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน

    ตับอักเสบ เยียวยาตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน

    ภาวะ ตับอักเสบ สำหรับ “ตับ” ในภาษาจีนเรียกว่า “ gan กาน” ในศาสตร์ทางการแพทย์แผนจีนให้ความหมายของตับว่า อวัยวะสำคัญเปรียบเสมือนเป็นแม่ทัพใหญ่ของร่างกาย ทำหน้าที่เก็บเลือดและส่งเลือดไปสู่อวัยวะต่าง ๆ เพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้า

    แพทย์จีนให้นิยามว่า ตับเป็นอวัยวะที่เป็น “หยิน” แต่การทำงานมีความเป็น “หยาง” กลไกพลังของตับมีทิศทางขึ้นสู่ด้านบนเพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจระบบความสมดุลของหยินและหยางของตับคือ การเก็บเลือดและการขับเคลื่อนเลือดของร่างกาย

    ปัจจุบันนี้ โรคเกี่ยวกับตับมีหลายโรค เช่น “โรคไขมันพอกตับ” เนื่องจากภาวะอ้วน เบาหวาน การบริโภคอาหารหวานหรือแป้งมากเกินไป ไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง และ “โรคตับอักเสบ” เกิดจาก “โรคไวรัส

    ตับอักเสบที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและโรคไวรัสตับอักเสบซี หรือการได้ยาเคมีสารพิษ สมุนไพรบางชนิด หรือภายหลังป่วยเป็นไข้เลือดออก ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันนี้มีคนไทยเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบีประมาณร้อยละ 10 ของจำนวนประชากรทั้งหมด

    “โรคตับอักเสบเรื้อรัง” เมื่อเป็นนานเข้าอาการจะลุกลามไปทำลายเซลล์ตับมากจนเป็นภาวะตับแข็ง สุดท้ายป่วยกลายเป็นมะเร็ง ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบัน

    หน้าที่ของตับในทางการแพทย์ปัจจุบันเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ขับสารพิษออกจากร่างกาย และเป็นเมแทบอลิซึมสำคัญ ช่วยสร้างน้ำดีเพื่อย่อยไขมันในระบบย่อยอาหาร มีหน้าที่เปลี่ยนสภาพของเสียจากโปรตีนเป็นกรดยูเรีย สร้างคอเลสเตอรอล เป็นที่สะสมน้ำตาลส่วนเกินเป็นคลังสต๊อกไว้ เพื่อเวลาฉุกเฉินร่างกายจะดึงมาใช้เป็นพลังงาน

    ภาวะไขมันพอกตับส่วนใหญ่มีสาเหตุเกิดจากไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานที่มีไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง เกิดจากพฤติกรรมการกินอาหารที่ผิด การดื่มเหล้าจัด การสูบบุหรี่ และไม่ออกกำลังกาย เป็นต้น

    ตับอักเสบ โรคตับ ตับ แพทย์แผนจีน

    ในศาสตร์การแพทย์จีนตับมีบทบาทความสำคัญ คือ เป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่เก็บเลือด ตับจะขับดันเลือดที่สำรองไว้ให้ร่างกายได้ใช้ การที่ร่างกายเกิดการเก็บเลือดได้อย่างดีเยี่ยมต้องมีการนอน ร่างกายจะเกิดความสงบ คือ ต้องปิดตา อยู่ในความมืด ไม่มีแสงกระตุ้น การเก็บเลือดเข้าสู่ตับจะทำได้ดีที่สุดในช่วงกลางคืน ช่วงตี 1 ถึงตี 3 ของวัน

    กลไกระบบการทำงานของตับจะไม่สมดุลต่อเมื่อร่างกายทำงานตลอดเวลา ร่างกายมีการเคลื่อนไหวไม่ได้พัก จึงทำให้ตับขับเลือดออกมาอยู่ภายนอกร่างกายตลอด ในทางการแพทย์แผนจีน เมื่อร่างกายมีสิ่งเร้ากระตุ้น เลือดจะไหลเวียนและสูบฉีดอยู่ภายนอก เพราะฉะนั้นการนอนหลับที่ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยให้เลือดกลับเข้าตับ ตับจึงทำงานขับสารพิษ ขับของเสียออกจากร่างกายได้ และมีการสำรองเลือดไว้มากพอ

    การนอนที่ดีในความหมายของศาสตร์แพทย์แผนจีนคือ การนอนหลับสนิทแล้วโกร๊ธฮอร์โมนหลั่งออกมาเพื่อมาซ่อมแซมเตรียมพร้อมร่างกาย ยิ่งนอนหลับสนิท เลือดจะกลับเข้าสู่ตับมากยิ่งขึ้น มีการล้าง การฟอกเลือดที่ดี เพื่อมีเลือดสะอาดให้ร่างกายในวันรุ่งขึ้นระบบการทำงานของตับก็จะสมดุล เวลาที่เหมาะสมเพื่อการนอนหลับที่ดี คือ ช่วงเวลา 01.00 น. – 03.00 น. ร่างกายควรเริ่มนอนตั้งแต่เวลา 23.00 น. เป็นต้นไป

    ตามศาสตร์ของแพทย์จีน “ตับ” สัมพันธ์กับปัจจัยอื่น

    1. ดวงตา

    คนจีนเชื่อว่า ถ้าดวงตาเปิดตลอด เลือดลมต่างๆ จะหมุนเวียนทั่วร่างกาย มีคำจีนพูดไว้ว่า “ตับเปิดทวารที่ตา” และถ้าเราปิดตา ไม่มีสิ่งเร้า สิ่งกระตุ้น เลือดจะสามารถกลับเข้ามาที่ตับได้ดี เพราะฉะนั้นการนอนหลับที่ดีต้องปิดไฟ ป้องกันแสงไฟรบกวน สำหรับเด็กชาวจีนตอนเด็กๆ พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะมีผ้าปิด

    เพื่อให้ตอนนอนไม่ให้มีแสงรบกวน

    2. อารมณ์

    เช่น อารมณ์โกรธโมโหนั้นกระทบการทำงานของตับ เพราะตับเป็นอวัยวะที่ขับเคลื่อนพลัง เมื่อร่างกายโกรธ โมโหพลังจะถูกดึงขึ้นข้างบนมาก จึงทำให้เกิดความดันโลหิตสูง เลือดจะขึ้นที่สมองมาก เสี่ยงเกิดเป็นภาวะเส้นเลือดสมองแตกและเส้นเลือดสมองตีบ

    3. การติดขัดหมกมุ่นของอารมณ์

    การแพทย์จีนมองว่า ตับไม่ชอบการปิดกั้น อารมณ์ติดขัด ขุ่นมัว ทำให้พลังงานไม่สามารถกระจายออกมาเต็มที่ เมื่อร่างกายสะสมความเครียดไว้มาก พลังของตับจะถูกปิดกั้น ทำให้ซึมเศร้า ยังส่งผลทำให้เกิดโรคหลายโรคตามมาโดยเฉพาะผู้หญิง เช่น โรคประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ เลือด

    ไหลเวียนไม่คล่อง มีอาการปวดประจำเดือน เกิดก้อนเนื้อที่เต้านมหรือมดลูก สาเหตุมาจากการเก็บเลือดจากระบบตับไม่สมบูรณ์

    ตับอักเสบ โรคตับ ตับ แพทย์แผนจีน

    4. สีเขียว

    ในทางการแพทย์แผนจีนมองว่า สีเขียวจะวิ่งที่เส้นลมปราณตับ อาหารผักสีเขียวจึงช่วยบำรุงตับ ตับทำงานได้ดีในสิ่งแวดล้อมสีเขียว สวน ต้นไม้ ป่าไม้ ทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย

    5. รสชาติเปรี้ยวอมหวานจากอาหารผัก

    ผลไม้หรือสมุนไพรรสเปรี้ยวเข้าเส้นลมปราณตับ ส่งผลให้การทำงานของตับสมดุล แต่ควรเป็นรสเปรี้ยวที่มีอมหวานเพื่อเสริมการทำงานของม้าม เช่น ลิ้นจี่ เก๋ากี้ เก๊กฮวย กุยช่าย

    6. การนอนตะแคงด้านขวา

    ช่วยให้เลือดกลับเข้าตับมากขึ้นการทำงานของตับในการทำลายสารพิษ ขับของเสียทำได้ดีขึ้น

    หลีกเลี่ยง 9 ปัจจัยเสี่ยงทำลายระบบการทำงานของตับ

    1. ความเครียด

    หลีกเลี่ยงอารมณ์รุนแรง โกรธ ฉุนเฉียวควรฝึกสมาธิหรือการปล่อยวางความคิด ประมาณวันละ 15 – 30 นาที

    2. นอนดึก

    นอนไม่เพียงพอ ควรฝึกร่างกายเข้านอนตามกำหนดเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้เลือดกลับเข้ามาสู่ตับร่างกายได้เก็บพลังงาน เก็บเลือด ซ่อมแซมร่างกาย เสมือนได้ชาร์จไฟโทรศัพท์มือถือ

    3. หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์

    เมื่อดื่มแอลกอฮอล์เข้าร่างกายจะอยู่ในกระเพาะอาหารประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ และถูกส่งไปที่ตับประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นภาระกับตับ ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ ไขมันพอกตับ เกิดพังผืดในตับ ระยะยาวเกิดภาวะตับแข็งลุกลามเป็นมะเร็งได้

    4. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหลังกินข้าว

    ควรเว้นระยะประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง เพราะจะทำให้ร่างกายดึงเลือดจากกระเพาะอาหารไปที่อวัยวะอื่น เช่น ปอด หัวใจ ทำให้ระบบการย่อยอาหารไม่สมบูรณ์ ขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง ควรพักจิตใจหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังเพื่อควบคุมเลือดไม่ให้กระจายไปสู่ภายนอก

    5. ความเมื่อยล้าอ่อนล้า

    เมื่อร่างกายเกิดอาการเมื่อยล้าจะส่งผลให้การทำงานของตับไม่สมดุล เพราะฉะนั้นควรปิดตาสงบจิต หรือนอนพักให้เพียงพอ เพื่อดึงเลือดกลับสู่ร่างกายบรรเทาอาการอ่อนล้า

    ตับอักเสบ โรคตับ ตับ แพทย์แผนจีน

    6. หลีกเลี่ยงการกินอาหารมื้อดึก

    ตับจะทำงานช่วงเวลากลางคืนขณะที่ร่างกายปิดตานอนหลับ เป็นช่วงที่ร่างกายเกิดความสงบ จึงไม่ควรกินอาหารมื้อดึกซึ่งเป็นการขัดขวางการเก็บเลือดของตับ เพราะการย่อยอาหารต้องดึงเลือดไปที่กระเพาะอาหาร ระยะเวลาที่ควรกินมื้อเย็นกับเวลานอนจึงควรห่างกันประมาณ 4 ชั่วโมง

    7. หลีกเลี่ยงการใช้สายตาตอนดึก

    งดการทำงาน การดูจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ในเวลากลางคืน ควรพักสายตาจากการใช้งานทั้งวัน เพื่อปิดสิ่งเร้า สิ่งกระตุ้นให้ระบบของตับได้ทำงานเต็มที่

    8. หลีกเลี่ยงอาหารเย็น

    อาหารเย็นในความหมายของคนจีนคือ อาหารที่เย็นจัด น้ำเย็น อาหารที่แช่เย็น เมื่อร่างกายกินของเย็นเข้าไปจะทำให้การไหลเวียนเลือดช้าลง รบกวนการขับเคลื่อนเลือด

    9. งดสูบบุหรี่

    เพราะสารเคมีในบุหรี่เมื่อเข้าสู่กระแสเลือดจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับ และเป็นภาระหนักในการดูดซึมสารพิษ ทำลายสารพิษมากขึ้น

    ท้ายนี้ผู้อ่านจะเห็นว่า การดูแลระบบการทำงานของตับนั้นต้องดูแลสุขภาพ ปรับวิถีชีวิตประจำวันให้ดี มีการกินอาหารให้ถูกต้องสอดคล้องกับสภาพร่างกาย และมีการนอนในเวลาที่เหมาะสม การนอนหลับสนิทให้เพียงพอ มีอารมณ์ที่ปลอดโปร่งเพิ่มพลังบวกให้ร่างกาย ฝึกทำสมาธิระหว่างวัน โดยเฉพาะเวลาที่ร่างกายอ่อนล้า เพื่อช่วยการทำงานของตับให้สมดุล

    ศาสตราจารย์คลินิกแพทย์จีน นายแพทย์ภาสกิจ วัณนาวิบูล

    อุปนายกและเลขาธิการสมาคมแพทย์แผนจีนประเทศไทยวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออกมหาวิทยาลัยรังสิต

    ข้อมูลจาก คอลัมน์หมอจีนประจำบ้าน นิตยสารชีวจิต ฉบับ 506


    บทความน่าสนใจอื่นๆ

    “ตับ” ของเราป่วยด้วยอาการใดได้บ้าง

    “ไขมันพอกตับ” ภัยเงียบของคนอ้วน รักษาด้วยสมุนไพร

    แจ่วมะเขือเทศ อร่อย ทำง่าย กินต้านการเกิดมะเร็ง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    แหนมเห็ด

    แจกสูตร! แหนมเห็ด เมนูแพลนต์เบสด์แสนอร่อย ได้สุขภาพ

    แหนมเห็ด เมนูแพลนต์เบสด์ ที่ดีต่อสุขภาพ

    แหนมเห็ด เป็นหนึ่งในการเมนูที่คนรักสุขภาพส่วนใหญ่คอนเฟิร์มว่า อร่อย เพราะมีทั้งความเหนียวจากเนื้อเห็ด และยังเปรี้ยวจากการหมัก เมนูนี้จะดีต่อสุขภาพอย่างไร และขั้นตอนการทำมียังไงบ้าง วันนี้ เรานำสูตรมาแจกแล้ว

    แหนมเห็ดแสนอร่อย

    ส่วนผสม แหนมเห็ด (สำหรับ 1 – 2 คน)

    • พืชบดแทนเนื้อสัตว์ 120 กรัม
    • เห็ดนางฟ้าฉีกต้มสุก 80 กรัม
    • กระเทียมไทย 30 กรัม
    • เกลือป่นหยาบ 3 กรัม
    • ข้าวสวยหุงสุก 60 กรัม
    • พริกขี้หนูสวน 2 กรัม

    วิธีทำ แหนมเห็ด

    1. โขลกข้าวสวย กระเทียม และเกลือให้ละเอียด พักไว้
    2. ใส่พืชบดแทนเนื้อสัตว์และเห็ดนางฟ้าลงไนส่วนผสมข้อ 1 ตามด้วยพริกขี้หนู คนให้เข้ากัน
    3. บรรจุใส่ถุง มัดปากถุงให้แน่น วางไว้ในอุณหภูมิท้อง 3-4 วัน ก่อน นำมารับประทาน

    Did You Know? ทำไมกินกระเทียม แล้วตัวเหม็น

    เมื่อกระเทียมถูกย่อย สารในกลุ่มซัลเฟอร์บางส่วนจะไหลเข้าสู่ กระแสเลือด และถูกปล่อยออกมาทางปอดผ่านลมหายใจ หรือ ถูกขับออกมากับเหงื่อ

    เนื่องจากจมูกมนุษย์ไวต่อกลิ่นซัลเฟอร์ แม้เพียงหนึ่งในพันล้านส่วนของสารนี้ในอากาศที่ออกมาจากร่างกายก็จับกลิ่นได้แล้ว จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมกลิ่นกระเทียมจึงสังสังเกตง่ายมาก การกินพาร์สลีย์ อาจช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ของกระเทียมได้บ้าง เนื่องจากฤทธิ์ของคลอโรฟิลล์ในพาร์สลีย์นั่นเอง

    Healthy Tip เห็ดนางฟ้า

    เห็ดนางฟ้าจัดเป็นเห็ดสกุลเดียวกับเห็ดเป๋าฮื้อ มีถิ่นกำเนิดแถบเทือกเขาหิมาลัย ประเทศอินเดีย มักพบตามตอไม้ผุ ๆ สภาพความชื้นสูง อุณหภูมิต่ำ 15-35 องศาเซลเซียส มีลักษณะคล้ายเห็ดเป้าฮื้อและเห็ดนางรม หมวกดอกหนา ดอกเห็ดมีสีขาวนวลถึงสีน้ำตาล

    ประเทศไทยเพาะเลี้ยงเองได้มายาวนาน เพาะง่าย ให้ผลผลิตเร็ว มีรสหวาน ปรุงอาหารได้สารพัดชนิด เห็ดนางฟ้า 100 กรัม ให้ พลังงานเพียง 35 กิโลแคลอรี ในเห็ดนางฟ้าประกอบไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานต่ำ จึงช่วยควบคุมน้ำหนักได้

    ข้อมูลจาก นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 595

    แหนมเห็ด

    “เห็ด” ของหาง่าย ช่วยต้านมะเร็ง

    เห็ดเป็นแหล่งโปรตีนจากพืชชั้นยอด และที่สำคัญคือเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดีกว่าในผักเสียด้วย แต่นอกจากนั้น เห็ดก็ยังมีประโยชน์ได้ด้านอื่นๆ ด้วยนะคะ เพราะในตัวเห็ดนั้นมีสารอาหารและแร่ธาตุที่จำเป็นมากมาย เรามาดูกันดีกว่าว่าเห็ดมีประโยชน์อย่างไรบ้าง 

    พลังงานต่ำ 

    นอกจากโปรตีนสูงแล้ว เห็ดยังให้พลังงานต่ำ ดังนั้นสาวๆ ที่กำลังมองหาพืชผักต้องไม่มองข้ามเห็ดเด็ดขาดเลยค่ะ 

    ช่วยต้านมะเร็ง

    มีผลงานวิจัยศึกษาพบว่า สารสกัดเห็ดนางรมสีเหลือง มีสารฟีโนลิก ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระสูง ในขณะที่เห็ดนางรมสีดำและสีชมพูช่วยยับยั้งการเติบโตของมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ดี

    ควบคุมความดันโลหิต

    โพแทสเซียมในเห็ดช่วยปรับสมดุลโซเดียมในร่างกายได้ หากกินเห็ดในปริมาณที่พอเหมาะ จึงควบคุมความดันในเลือดได้

    ดูแลไขมันในเลือด 

    เห็ดนางรมนอกจากจะช่วยเรื่องยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งแล้ว ยังช่วยในเรื่องการดูแลหลอดเลือดของเราให้สะอาดลดการสะสมคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้

    คุมระดับน้ำตาลในเลือด

    โดยสารสกัดเห็ดหลินจือนั้นมีคุณสมบัติที่ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ และเพิ่มความไวต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เป็นเบาหวานที่มีปัญหาร่างกายดื้อต่ออินซูลิน

    เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย 

    เบต้ากลูแคนส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสารสำคัญของเห็น สามารถช่วยปรับภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้ โดยจะเพิ่มประสิทธิภาพการต่อต้านเชื้อโรค และการติดเชื้อ โดยผลการวิจัยที่ทำกับเด็กก่อนวัยเรียน เมื่อกินเป็นประจำติดต่อกัน 3 เดือน พบว่า ช่วยลดความถี่การเกิดโรคในระบบทางเดินหายใจส่วนบนได้ 

    ว่าแล้วก็กินแกงเห็ดกันดีกว่าค่ะ อุดมด้วยของดีมีประโยชน์ แถมรสชาติก็อร่อยสุด 

    ข้อมูล จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

    ประโยชน์จากเห็ด ช่วยสุขภาพดี

    วันนี้จะมาแนะนำ ประโยชน์จากเห็ด ที่จะช่วยส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง ต้านทานโรค เป็นอีกหนึ่งเหตุผลดี ๆ ที่ทุกคนควรกินเห็ดกันให้มากขึ้น หรืออาจเป็นแรงบันดาลใจให้สร้างสรรค์เมนูเห็ดในช่วงสุดสัปดาห์นี้ค่ะ

    ว่าด้วยเห็ด

    เห็ด เป็นอาหารมหัศจรรย์ที่หลายคนนิยมนำมาประกอบอาหาร โดยเฉพาะในเมนูอาหารมังสวิรัติ ที่มักมีเห็ดเป็นส่วนสำคัญ เนื่องจากเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง ทดแทนโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ และเห็ดบางชนิดยังนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคได้อีกด้วย

    นอกจากนี้เห็ดยังเป็นอาหารที่ปราศจากไขมัน มีปริมาณน้ำตาลและเกลือต่ำมาก แถมยังมีวิตามินและแร่ธาตุสำคัญมากมาย ดังนี้ค่ะ

    วิตามินบีรวม

    เห็ดขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบีรวม ไม่ว่าจะเป็น ไรโบฟลาวิน ช่วยบำรุงสุขภาพผิวพรรณและการมองเห็น ขณะที่ ไนอะซินจะช่วยควบคุมการทำงานของระบบย่อยอาหารและระบบประสาท

    โพแทสเซียม

    ช่วยในการควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ความสมดุลของน้ำในร่างกาย การทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทต่างๆ จากการวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารที่ปรุงจากเห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญองหนึ่งจาน จะให้โพแทสเซียมได้พอๆ กับส้มลูกโต ๆ เลยทีเดียว

    ซีลีเนียม

    เป็นสารอาหารที่เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านออกซิแดนท์ (Antioxidant) จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยต่าง ๆ ที่มากับวัยสูงอายุ เช่น โรคต้อกระจก โรคหัวใจและหลอดเลือดการรับประทานเห็ดหอม (ชิ้นขนาดกลาง 5 ชิ้น) จะให้ซีลีเนียมประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน

    ทองแดง

    ช่วยในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง เสริมการทำงานของธาตุเหล็ก อีกทั้งเป็นตัวสำคัญในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยบำรุงรักษากระดูกและผิวหนัง

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องกินอาหารอื่น ๆ ให้หลากหลาย ได้สารอาหารครบ แล้วอย่าลืมเพิ่มพลังกายด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำด้วยค่ะ

    ข้อมูลจากนิตยสารชีวจิต

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส ผู้บัญญัติศัพท์ “Cancer” หรือมะเร็ง คนแรกของโลก

    สังเกตลิ้น เช็ค แพ้อากาศ + ไรฝุ่น

    เกลือและโซเดียม ภัยเงียบบั่นทอนสุขภาพ

    แจ่วมะเขือเทศ อร่อย ทำง่าย กินต้านการเกิดมะเร็ง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    โรคหลอดเลือดสมอง

    ดูแลตัวเองอย่างไร ให้ห่างไกล โรคหลอดเลือดสมอง

    ทำอย่างไรให้ห่างไกล โรคหลอดเลือดสมอง

    โรคหลอดเลือดสมอง หรือสโตรก (Stroke) คือโรคซึ่งเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ โรคหลอดเลือดสมองแตก และโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน โรคนี้ทำให้เกิดอาการทางระบบประสาทอย่างเฉียบพลัน เช่น ปากเบี้ยวพูดไม่ชัด แขนขาชา อ่อนแรง เดินเซ ทรงตัวไม่อยู่ โดยเป็นอยู่นานมากกว่า 24 ชั่วโมง หรือเสียชีวิต

    จะพูดเสียใหม่ว่า เจ้าโรคนี้คือตัวการของการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ที่ทำให้คนตายทั้งเป็นก็ไม่ผิดนัก ยิ่งไปกว่านั้น โรคหลอดเลือดสมองยังเป็นโรคที่กำลังมาแรงแซงโค้งขึ้นสู่การเป็นโรคอันดับต้นๆ ที่คร่าชีวิตคนไทยทุกวันนี้

    เมื่อใครก็มีสิทธิ์เป็นได้ การเรียนรู้สาเหตุ และการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเป็นโรคร้าย ก็อาจช่วยชีวิตคุณและคนที่คุณรักได้ทันท่วงที

    ปัญหาอะไรบ้างที่จะเปิดประตูให้โรคร้ายนี้เข้ามาจู่โจมเราโดยไม่ทันตั้งตัว

    บางปัญหาเป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา เช่น “อารมณ์ด้านลบ” ไม่ว่าจะเป็นความเครียด (stress) ความหดหู่ใจ (depress) ความวิตกกังวล (anxiety) เพราะนอกจากจะกัดกร่อนสุขภาพจิตแล้ว ยังมีผลโดยตรงต่อสุขภาพเส้นเลือดสมอง นอกจากนี้การมีชีวิตที่สะดวกสบาย นั่งกิน นอนกิน ไม่สนใจทำกิจวัตรประจำวันใดๆ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขของประเทศสหรัฐอเมริกาให้คำจำกัดความว่าเป็น “silent killer” หรือเพชรฆาตรเงียบ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ป่วยเป็นสโตรกได้ สุดท้ายคือ วิถีชีวิตปัจจุบัน ทำให้คุณเสี่ยงสโตรก ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิตคนทำงานแบบไนน์ทูไฟว์ ที่เวลาทำงานจำกัดให้ต้องนั่งประจำโต๊ะตั้งแต่เวลาประมาณ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น การมีชีวิตที่เร่งรีบ ทำให้ขาดการกินอาหารที่ถูกต้อง และการขาดการออกกำลังกาย

    ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่นำมาซึ่งปัญหาสุขภาพที่พร้อมจะจุดชนวนให้หลอดเลือดในสมองตีบ-แตกเมื่อไหร่ก็ได้ มาเช็กกันดีกว่าค่ะว่า คุณเข้าข่ายเป็นหนึ่งในบุคคลที่เสี่ยงจะเป็นสโตรกหรือเปล่า ถ้าใช่ อย่านิ่งดูดาย นำวิธีการปรับวิถีชีวิตที่เรานำมาฝากไปใช้ทันที

    อารมณ์ดีหนีสโตรก

    • คุณเป็นคนที่…ทำงานภายใต้ความกดดันของเวลา คาดหวังสูง ไม่สบอารมณ์สิ่งรอบข้างเป็นประจำ ขุ่นเคือง หงุดหงิด มักโกรธ โมโห เจ็บใจ อาฆาต และพยาบาทหากคุณกำลังมีอารมณ์เช่นที่กล่าวมา คุณกำลังติดบ่วงความเครียด (stress) นายแพทย์ธนบูรณ์ วรกิจธำรงค์ชัย สถาบันประสาทวิทยา อธิบายถึงอารมณ์เครียดที่มีอิทธิพลต่อความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองว่า

    “อารมณ์ด้านลบต่างๆ เช่น เครียด ตื่นเต้นตกใจง่าย โมโห วู่วาม ถ้าเป็นบ่อยๆ ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ เพราะอารมณ์เหล่านี้ ทำให้ร่างกายหลั่งสารอะดรีนาลีน ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียด ส่งผลทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ซึ่งความดันโลหิตสูงจะนำมาสู่สโตรกได้”

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา ศึกษาพบว่า คนที่มีปฏิกิริยาทางร่างกายตอบสนองต่อความเครียดมาก เช่น มีอาการหัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง จะมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดในสมองได้มาก

    How to Fix: พยายามพาตัวเองไปอยู่ในสภาวะหรือสถานที่ที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายให้เร็วที่สุด อาจใช้เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ช่วยได้ เช่น ใช้กลิ่นหอมบำบัด (aromatherapy)

    ในระยะยาวให้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนรอบข้าง ให้ความสำคัญกับคนสนิท เพราะจะช่วยลดความรู้สึกโดดเดี่ยว ซึมเศร้า เมื่อมีปัญหา นอกจากนี้ควรใช้เวลาว่างกับคนที่รักความสงบ และใช้ชีวิตอย่างสมดุล ไม่สุดโต่ง

    • คุณเป็นคนที่…กลัวผิดพลาด ชอบคิดถึงอนาคต หนักใจ ร้อนใจ วุ่นวายใจในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง จิตใจไม่อยู่กับปัจจุบัน ขาดความมั่นใจ ชอบลังเลสงสัย และคลางแคลงใจ อารมณ์ดังกล่าวข้างต้น เป็นที่มาของภาวะวิตกกังวล (anxiety) การศึกษาของ San Francisco VA Medical Center ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าคนที่มีภาวะวิตกกังวลมักจะไม่ค่อยดูแลตัวเอง มักจะกินนอนไม่ถูกต้อง และมีแนวโน้มว่าจะสูบบุหรี่ และออกกำลังกายน้อยกว่าปกติ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ป่วยเป็นสโตรกได้

    • คุณเป็นคนที่…ชอบคิดว่าตัวเองไม่มีค่า ไม่มีเพื่อนแท้ ไร้ที่พึ่ง หงอยเหงา เปล่าเปลี่ยว หรือมักรู้สึกเบื่อ ละเหี่ยใจ เอือมระอา ห่อเหี่ยว สิ้นหวัง และหมดอาลัยตายอยาก หากความรู้สึกใดความรู้สึกหนึ่งตามที่กล่าวมาเกิดขึ้นบ่อยๆ ความรู้สึกด้านลบดังกล่าว จะนำมาซึ่งภาวะหดหู่ใจ (depress) ซึ่งอารมณ์นี้จะทำร้ายหลอดเลือดไม่เป็นรองใครเช่นกัน ดร. โรเบิร์ต เอ็ม. คาร์นีย์ อาจารย์ด้านจิตวิทยาเวชศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย Washington University School of Medicine ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าคนวัยกลางคนที่มีอาการ ท้อแท้หดหู่ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดสมองที่อันตรายถึงแก่ชีวิตมากกว่าคนทั่วไปถึง 3 เท่า

    เมื่อดูแลใจให้เข้าสู่อารมณ์ที่สมดุลแล้ว เดินหน้าไปปรับวิถีชีวิตกันต่อ เริ่มด้วยเรื่องอาหารการกินที่ถูกต้องค่ะ

    อารมณ์ดี ป้องกันสโตรกได้อย่างไร ?

    นายแพทย์ธนบูรณ์ วรกิจธำรงค์ชัย สถาบันประสาทวิทยา อธิบายว่า อารมณ์ด้านบวกส่งผลดีต่อ 3 ฮอร์โมน

    ฮอร์โมนเอ็นดอฟิน เมื่ออารมณ์ดี ผ่อนคลาย ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอ็นดอฟิน ทำให้หลอดเลือดผ่อนคลาย ยืดหยุ่นดี อวัยวะทุกส่วน ตลอดจนจิตใจทำงานประสานกันเป็นปกติ ฮอร์โมนเมลาโทนิน เมื่ออารมณ์เป็นปกติ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งช่วยให้วงจรการนอนหลับเป็นปกติ ทำให้การไหลเวียนโลหิตดี เนื่องจากหัวใจทำงานเป็นปกติ สมองได้พักผ่อนเต็มที่โกร๊ธฮอร์โมน สภาพอารมณ์และจิตใจที่ดี โดยเฉพาะในวัยผู้ใหญ่หรือวัยสูงอายุ ช่วยให้เกิดการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมน ซึ่งช่วยรักษาสมดุลในร่างกายให้เป็นปกติ ช่วยเรื่องการไหลเวียนโลหิตดี

    สำรวจปัจจัยเสี่ยงสโตรก

    1. ท่านอายุมากกว่า 40 ปี หรือไม่
    2. ท่านเป็นความดันโลหิตสูงหรือไม่
    3. ท่านสูบบุหรี่หรือไม่
    4. ท่านเป็นเบาหวานหรือไม่
    5. ท่านมีระดับไขมัน คอเลสเตอรอลในเลือดสูงหรือไม่
    6. ท่านเป็นโรคหัวใจหรือไม่
    7. ท่านมีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วนไม่
    8. ท่านมีกิจกรรมทางกาย เช่น เดิน หรือออกกำลังกาย น้อยกว่า 30 นาที ต่อครั้ง น้อยกว่า 3 ครั้งในหนึ่งสัปดาห์หรือไม่
    9. ท่านชอบกินอาหารประเภททอด ของมัน หรืออาหารรสเค็ม หรือไม่
    10. ท่านดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ มากกว่า 2 แก้ว ต่อวันหรือไม่
    11. ท่านมีพ่อ แม่ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือไม่

    ถ้าท่านตอบว่าใช่ข้อใดข้อหนึ่ง แสดงว่ามีความเสี่ยง ถ้าตอบว่าใช่มากกว่าหนึ่งข้อ แสดงว่ายิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น

    ข้อมูลจาก : นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 315

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส ผู้บัญญัติศัพท์ “Cancer” หรือมะเร็ง คนแรกของโลก

    5 วิธีลดความดันโลหิตสูง ด้วยตัวเอง

    แจ่วมะเขือเทศ อร่อย ทำง่าย กินต้านการเกิดมะเร็ง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    วิธีลดความดันโลหิตสูง

    5 วิธีลดความดันโลหิตสูง ด้วยตัวเอง

    วิธีลดความดันโลหิตสูง ด้วยตัวเอง ทำได้ไม่ยาก

    วิธีลดความดันโลหิตสูง สามารถทำได้ด้วยตัวของคุณเอง โดยวันนี้ เรามี คุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจหลอดเลือดและทรวงอก มาให้คำแนะนำ

    แต่ก่อนอื่น ชีวจิตอยากชวนคุณมาเรียนรู้ 3 ข้อเท็จจริงที่หลายคนยังคงมีความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง ที่ควรทำความเข้าใจก่อนเข้าสู่วิธีการค่ะ

    คุณหมอสันต์ อธิบายว่า สมัยนี้ใคร ๆ ก็เป็นความดันเลือดสูง (ความดันโลหิตสูง) ดังนั้น ถ้าจะทักทายกันให้ทันสมัยก็ต้องทักว่า “ความดันคุณสูงหรือยัง”

    น่าประหลาดใจว่า ความชุกในการเกิดโรคความดันเลือดสูงนั้นแตกต่างกันมาก อย่างในชนบทของประเทศอินเดีย ซึ่งผู้คนกินเนื้อสัตว์กันน้อย มีอุบัติการณ์เกิดโรคต่ำแค่ 3.4 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น แต่ในประเทศที่คนกินเนื้อสัตว์กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เช่น โปแลนด์ อุบัติการณ์เกิดความดันเลือดสูงพุ่งถึง 78 เปอร์เซ็นต์ เลยทีเดียว

    ผมเองเคยทำงานวิจัยกับกลุ่มคนที่มาตรวจสุขภาพประจำปีที่โรงพยาบาล พบว่า มีคนเป็นความดันเลือดสูง 33 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าคนไทยมีค่าเฉลี่ยอยู่ระดับกลาง ๆ ตามเคย ไม่มากไม่น้อย

    เป็นความดันเลือดสูงแล้วใครจะทำไม มีอะไรไหม แฮ่ะ ๆ มีสิครับ

    งานวิจัย GBD ซึ่งเป็นงานวิจัยแบบทุ่มทุนสร้างขนาดใหญ่ระดับโลกเพราะได้รับเงินสนับสนุนจากมูลนิธิของบิลเกตส์ ได้พบข้อสรุปเป็นเอกฉันท์ว่า ปัจจัยเดียวที่ใช้ทำนายการเจ็บป่วย การเสียชีวิต และความทุพลภาพของผู้คนทั่วโลกได้อย่างแม่นยำที่สุดก็คือ การมีความดันเลือดสูง

    ผมพบว่า สมัยนี้คนไทยที่เป็นโรคความดันเลือดสูงแล้วมีแฟชั่นอย่างหนึ่งคือ การบ้าวัดความดัน วัดกันตั้งแต่เช้ายันเย็น คนไข้ของผมบางคนวัดความดันทุกห้านาที น่าเป็นห่วงว่า เขาจะเป็นอะไรไปเสียก่อน เพราะความบ้ามากกว่าโรคความดันเลือดสูงเอง

    ความดันโลหิตสูง

    แล้วเขาจะมารายงานผลให้ผมฟังด้วยนะว่า วัดตอนเช้า ค่าความดันค่อนข้างนิ่ง ไปห้องสุขาก็ยังนิ่ง ไปออกกำลังกายก็ยังนิ่ง กินข้าวเช้าก็ยังนิ่ง พอญาติโทรศัพท์มาหา บ่นปัญหาซึ่งไม่ใช่ปัญหาใกล้ตัวเขาเลย พอวางหูแล้วมาวัดความดัน เขาบอกว่า โอ้โฮ..คราวนี้มันวิ่งขึ้นจู๊ดเลยครับคุณหมอ

    คือแค่ฟังญาติบ่น ความดันก็วิ่งได้แล้ว นี่นับเป็นผลวิจัยที่ไม่มีการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์มาก่อน

    กลับมาคุยเรื่องใคร ๆ ก็เป็นความดันเลือดสูงกันดีกว่า คนสมัยนี้เชื่อกันว่า เมื่อแก่ตัวแล้วความดันเลือดจะค่อย ๆ สูงขึ้น ๆ เป็นเรื่องปกติ แต่นั่นเป็นความเข้าใจผิด แท้จริงแล้ว ความดันเลือดต้องมีค่าปกติไปตลอดอายุขัย แต่ที่ความดันเลือดสูงขึ้นเป็นเพราะการกินอาหารและการใช้ชีวิตผิด

    งานวิจัยสุขภาพ ที่เรียกว่า INTERSALT STUDY ได้สำรวจชนเผ่าอินเดียนยาโนมามิ (Yanomani) ที่กินแต่พืช เดินป่าเป็นหลัก ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จำนวน 10,079 คน ซึ่งกระจายอยู่ใน 32 ประเทศในทวีปอัฟริกา พบว่าไม่มีใครเป็นความดันเลือดสูงเลย ความดันเฉลี่ยอยู่ที่ 95/61 มิลลิเมตรปรอทตลอดอายุขัยโดยไม่เพิ่มขึ้นเมื่อแก่ตัวลง

    นอกจากนี้ยังมีระดับเกลือโซเดียมในปัสสาวะต่ำ (0.9 nmol/24h) มีระดับโพแทสเซียมในปัสสาวะสูง ซึ่งวงการแพทย์รู้กันดีว่า โซเดียมซึ่งมาจากอาหารเค็มทำให้ความดันเลือดสูง ส่วนโพแทสเซียมซึ่งมาจากอาหารจำพวกพืชผักผลไม้ทำให้ความดันเลือดต่ำ

    3 ความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง

    ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับความดันเลือดสูงยังมีอีกมาก ยกตัวอย่างเช่น

    ความจริงที่ 1

    ค่าความดันที่วัดที่บ้านเชื่อถือไม่ได้ ส่วนความดันที่วัดที่โรงพยาบาลเชื่อถือได้มากกว่า ซึ่งไม่เป็นความจริง

    งานวิจัยพาเมลา (PAMELA) ซึ่งเป็นงานวิจัยที่มีชื่อเสียงเรื่องหนึ่ง นำคนในชุมชน 3,200 คน มาวัดความดันที่คลินิก จากนั้นให้ติดเครื่องวัดความดันแบบต่อเนื่องตลอดวันไว้กับตัว

    นอกจากนี้ยังแจกเครื่องวัดความดันแบบวัดเองกลับไปที่บ้านด้วยโดยให้วัดความดันวันละสองครั้งคือเวลา 7 โมงเช้าและหนึ่งทุ่ม

    สรุปว่า วิธีวัดความดันของคนคนหนึ่งจะมี 3 แบบ คือ ความดันที่วัดโดยหมอ ความดันที่วัดเองที่บ้าน และความดันที่วัดจากเครื่องวัดแบบต่อเนื่องตลอดวัน โดยติดตามผลจากคนเหล่านี้เป็นเวลาเฉลี่ย 11 ปี เพื่อดูว่า การวัดความดันแบบไหนจะสัมพันธ์กับการป่วยหรือเสียชีวิตด้วยโรคที่เกิดจากความดันเลือดสูงมากกว่ากัน

    ผลปรากฏว่า ค่าความดันจากการวัดทั้ง 3 แบบล้วนมีความสัมพันธ์กับการป่วยและเสียชีวิตใกล้เคียงกัน โดยค่าความดันที่แม่นยำที่สุดคือค่าที่วัดจากเครื่องวัดความดันแบบวัดต่อเนื่องตลอด 24ชั่วโมง รองลงมาคือค่าความดันจากเครื่องวัดแบบวัดเองที่บ้าน ส่วนค่าความดันที่แม่นยำน้อยที่สุดคือค่าความดันที่หมอเป็นผู้วัดในโรงพยาบาล

    อนึ่งงานวิจัยพบว่า การวัดความดันของผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่โรงพยาบาลจะได้ค่าสูงผิดจากความจริงประมาณ 10 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งเรียกว่า ความดันเลือดสูงเพราะเห็นเสื้อกราวด์ของหมอ (White Coat Hypertension)

    ความดันโลหิตสูง

    ความจริงที่ 2

    เมื่อความดันขึ้นจะต้องมีอาการปวดหัว ซึ่งไม่เป็นความจริง

    เพราะการมีความดันเลือดสูงไม่สัมพันธ์กับอาการใดๆ จนกระทั่งเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นกับอวัยวะปลายทาง เช่น เจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือด หอบเหนื่อย หายใจไม่อิ่มจากภาวะหัวใจล้มเหลว อัมพาตอัมพฤกษ์จากหลอดเลือดหัวใจตีบหรือเลือดออกในสมอง อ่อนเพลียหรือบวมจากโรคไตเรื้อรัง ปวดปลายเท้าหรือปวดน่องจากหลอดเลือดส่วนปลายตีบ มองเห็นไม่ชัดจากหลอดเลือดที่จอประสาทตาตีบหรือมีเลือดออก

    ความจริงที่ 3

    ต้องกินยาลดความดันไปจนตาย และต้องกินจำนวนมากขึ้นๆ โดยไม่มีวิธีรักษาอื่นๆ

    ความเป็นจริงคือ สามารถทำให้ความดันเลือดสูงหายได้ด้วยการปรับวิถีชีวิต ข้อมูลงานวิจัยสรุปได้ว่า

    1. ถ้าลดน้ำหนักได้ 10 กิโลกรัม ค่าความดันตัวบนจะลดได้ถึง 20 มิลลิเมตรปรอท

    2. ถ้าปรับไปกินอาหารที่มีพืชผักผลไม้เป็นหลัก ค่าความดันตัวบนจะลดได้ถึง 14 มิลลิเมตรปรอท

    3. ถ้าออกกำลังกายให้หนักพอควรสม่ำเสมอ ค่าความดันตัวบนจะลดได้ถึง 9 มิลลิเมตรปรอท

    4. ถ้าลดปริมาณเกลือในอาหารลง ค่าความดันตัวบนจะลดได้ถึง 8 มิลลิเมตรปรอท

    5. สำหรับคนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ ถ้าลดหรือเลิกได้ ค่าความดันตัวบนจะลดได้ถึง 4 มิลลิเมตรปอรท โดยคนที่จะทำให้ได้ไม่มีใครอื่นเลย นอกจากตัวเองเท่านั้น ตัวท่านเท่านั้นที่มีอำนาจช่วยตัวท่านได้

    เครื่องวัดความดันก็มีแล้ว วิธีการก็มีแล้ว อำนาจดำเนินการก็มีแล้ว แล้วท่านจะรออะไรอยู่อีกละครับ


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส ผู้บัญญัติศัพท์ “Cancer” หรือมะเร็ง คนแรกของโลก

    สังเกตลิ้น เช็ค แพ้อากาศ + ไรฝุ่น

    เกลือและโซเดียม ภัยเงียบบั่นทอนสุขภาพ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    แจ่วมะเขือเทศ อาหาร

    แจ่วมะเขือเทศ อร่อย ทำง่าย กินต้านการเกิดมะเร็ง

    แจ่วมะเขือเทศ เมนูแพลนต์เบสด์ง่าย ๆ กินต้านมะเร็ง

    ใครที่อยากเป็นสายกินพืชผัก ชีวจิตขอแนะนำ แจ่วมะเขือเทศ เมนูแพลนต์เบสด์ที่ทำง่าย ได้ประโยชน์เยอะ เพราะปรุงแต่งไม่มาก แต่อร่อยได้ด้วยเนื้อมะเขือเทศที่อุดมด้วยสารอาหารคับคั่ง

    แจ่วมะเขือเทศ (สำหรับ 3 คน)

    ส่วนผสม

    มะเขือเทศสุก (ยิ่งมะเขือเทศสุกมากยิ่งมีความหวานธรรมชาติ) 300 กรัม

    หอมเล็ก 50 กรัม

    กระเทียม 30 กรัม

    ผักชีไทย 5 กรัม

    ผักชีฝรั่ง (ผักชีใบเลื่อย) 5 กรัม

    ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ

    พริกป่น 1 ช้อนชา

    น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนชา

    ซอสปรุงรสฝาเขียว 1 ช้อนโต๊ะ

    เกลือ (หรือดอกเกลือ) 1/4 ช้อนชา

    วิธีทำ

    1. นำกระทะตั้งไฟกลาง เมื่อร้อนใส่มะเขือเทศ หอมเล็ก และกระเทียมลงคั่วพอเหลือง
    2. นำฝามาครอบกระทะ อบไว้เล็กน้อย เพื่อให้มะเขือเทศสก ทั้งผลและส่วนผสมอื่น ๆ สุก มีสีน้ำตาลเข้ม ตักขึ้นพักไว้
    3. ลอกเปลือกมะเขือเทศออก เอาแต่เนื้อพักไว้ จากนั้นโขลก หอมเล็กและกระเทียมที่คั่วไว้พอหยาบ ใส่มะเชื่อเทศที่ลอกเปลือกออก โขลกรวมกันเบา ๆ
    4. ปรุงรสด้วยดอกเกลือ น้ำมะชามเปียก และซอสปรุงรส ฝาเขียว คนให้เข้ากัน
    5. ใส่ข้าวคั่วและพริกปน คนให้เข้ากัน โรยผักชีไทยและผักชี ฝรั่ง ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมผักชนิดต่าง ๆ

    Did You Know?

    ไลโคปืนดูดซึมง่าย เมื่อผ่านความร้อน ไลโคปินดูดซึมได้ดีที่สุดเมื่ออยู่ในรูปมะเชื่อเทศเข้มข้น เช่น น้ำมะเชื่อเทศ ซอสมะเขือเทศ ซุปมะเชื่อเทศ ยิ่งซอส มะเขือเทศเข้มข้นเท่าไรก็ยิ่งมีไลโคปืนมากเท่านั้น ความร้อน และน้ำมันจะช่วยในการดูดซึมไลโคปืนและเบต้าแคโรทีน แต่ จะสูญเสียวิตามินซี

    Healthy Tip มะเขือเทศ

    มะเขือเทศและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ มีสารพฤกษเคมีชนิดต่าง ๆ สารอาหารเหล่านี้ ดีต่อสุขภาพ

    เบต้าแคโรทีนช่วยป้องกันการเกิดสิว การก่อตัวของมะเร็งบางชนิด และการสูญเสียการมองเห็น ไลโคปืนมีมากในมะเขือเทศสีแดง เม็ดสีชนิดนี้ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าเบต้าแคโรทีน และช่วยป้องกันเซลล์ถูกทำลาย ซึ่งนำไปสู่ภาวะหัวใจวาย รวมถึงป้องกันมะเร็ง

    งานวิจัยระบุว่า ผู้ชายที่กินอาหารที่อุดมไปด้วยไลโคปืนจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวายได้ครึ่งหนึ่ง และงานวิจัย อีกหลายชิ้นพบว่า ไลโคปืนป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้ โดยน้ำมะเขือเทศจะมีไลโคปืนเข้มข้นมากเป็นพิเศษ

    วิตามินชีพบมากที่สารวุ้นหุ้มเมล็ดมะเขือเทศ ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจ มะเร็งผิวหนัง และปัญหาสายตา

    ข้อมูลจาก นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 595

    แจ่มมะเขือเทศ

    ประโยชน์จากมะเขือเทศ 1 ผล

    รสชาติอันหวานฉ่ำ เป็นเอกลักษณ์ ทั้งยังมีคุณประโยชน์มากมาย รู้ไหมว่ามะเขือเทศ 1 ผล มีปริมาณวิตามินเอราว 1 ใน 3 ที่ร่างกายต้องการต่อวัน ทั้งยังมีแคโรทีนอยด์ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินซี ฯลฯ ซึ่งเป็นวิตามินและแร่ธาตสำคัญที่ช่วยบำรุงผิว ลดริ้วรอย ช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื่นสดใส

    กินมะเขือเทศอย่างไรได้ ไลโคปีนสูง 

    เทรนด์การดื่มน้ำผัก ผลไม้ ที่กำลังมาแรงเป็นกระแสในตอนนี้น่าจะเป็นการดื่มน้ำมะเขือเทศที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยม แต่จะบริโภคอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้น ลองไปดูวิธีการกันและเลือกบริโภคตามความชอบได้เลย

    1. ควรรับประทานมะเขือเทศสด หรือมะเขือเทศที่ผ่านการปรุงอาหารแล้ว
    2. มะเขือเทศสด และผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ ชนิดใดให้ไลโคปีนสูงกว่ากัน โดยทั่วไป ปริมาณไลโคปีนในผลไม้ และมะเขือเทศสดจะไม่แตกต่างกันมาก แต่เมื่อนำมะเขือเทศสดไปผ่านกระบวนการผลิตให้อยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์มะเขือเทศชนิดต่างๆ พบว่าปริมาณไลโคปีนสูงขึ้นมาก

    ผู้ป่วยโรคไตไม่ควรทานหรือดื่มน้ำมะเขือเทศ จริงหรือไม่?

    จริง ๆ แล้วสามารถรับประทานได้แต่ควรรับประทานแต่พอเหมาะ ถึงแม้มะเขือเทศจะมีโพแทสเซียมสูงมากก็จริง แต่ว่าก็ยังมีโซเดียมที่เกิดจากธรรมชาติ ถ้ารับประทานมากไปจะทำให้ติดรสเค็มของโซเดียมที่มาจากมะเขือเทศ จึงอาจจะให้โทษมากกว่าคุณประโยชน์ เพราะฉะนั้นรับประทานแต่พอเหมาะจึงจะดีกว่า

    มะเขือเทศ เก็บอย่างไร ให้ถูกวิธี

    บ่อยครั้งที่ซื้อมะเขือเทศกลับมา มักมีปัญหาเน่าเสียได้ง่าย สาเหตุเกิดจาก “ความชื้น” ในผลมะเขือเทศนั้นมีอยู่มาก เป็นต้นเหตุให้เกิดเชื้อราได้ง่าย ควรเก็บมะเขือเทศไว้ในที่แห้งและเย็น

    เมื่อจะปรุงอาหารจึงนำออกมาล้างในปริมาณที่เพียงพอกับการใช้งาน และควรใช้ให้หมดทันที หากใช้ไม่หมดไม่ควรนำไปเก็บรวมกับมะเขือเทศที่ยังไม่ได้ล้าง เพราะจะทำให้เกิดเชื้อราได้ง่าย ส่งผลให้มะเขือเทศที่มีอยู่พากันเน่าเสีย

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส ผู้บัญญัติศัพท์ “Cancer” หรือมะเร็ง คนแรกของโลก

    สังเกตลิ้น เช็ค แพ้อากาศ + ไรฝุ่น

    เกลือและโซเดียม ภัยเงียบบั่นทอนสุขภาพ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ขี้โมโห, ขี้โกรธ, ความโกรธ, ปัญหาสุขภาพ

    ขี้โมโห ก่อ 7 โรคอันตรายถึงชีวิต!

    จะเกิดอะไรขึ้นกับสุขภาพ เมื่อเราเป็นคน ขี้โมโห

    ขี้โมโห หรือโกรธง่าย เป็นนิสัยที่อันตรายกว่าที่คิดนะคะ เพราะไม่เพียงทำให้คุณหมดความสุขใจ แต่ยังทำลายสุขภาพถึง 7 ประการ ดังนี้

            1. โรคหัวใจและหลอดเลือด

    ทราบหรือไม่คะ การระเบิดอารมณ์โกรธทำให้เสี่ยงเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้น อย่างที่คุณหมอคริส เอเคน ผู้อำนวยการศูนย์บำบัดด้านอารมณ์แห่ง นอร์ทคาโรไลนา สหรัฐอเมริกา อธิบายว่า ในช่วง 2 ชั่วโมงแรกของการระเบิดอารมณ์โกรธ หัวใจคุณมีความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

            2. อาการเส้นเลือดอุดตันในสมอง

    โกรธเมื่อใด เสี่ยงเกิดลิ่มเลือดอุดตันสมองเมื่อนั้น เพราะ 2 ชั่วโมงที่เดือดดาลนี้ อาจเกิดลิ่มเลือดขึ้นไปอุดตันสมองได้ อีกทั้งยังเสี่ยงเกิดเส้นเลือดในสมองแตกได้มากกว่าเวลาปกติถึง 6 เท่า

             3. ภาวะภูมิต้านทานต่ำ เสี่ยงต่อการติดเชื้อต่าง ๆ

    ความโกรธทำให้ร่างกายอ่อนแอ มีงานวิจัยที่ชี้ชัดแล้วว่า แม้แต่คนที่มีสุขภาพดี ถ้าชอบเอาเรื่องเสียอารมณ์มาคิดซ้ำๆ จะส่งผลให้ระบบภูมิต้านทานในร่างกายทำงานต่ำลงจนป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ไม่ได้

             4.โรควิตกกังวล

    ยิ่งขี้โมโหยิ่งป่วยเป็นโรควิตกกังวล อันนี้ยืนยันได้จาก งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Cognitive Behavior Therapy ที่กล่าวถึงความโกรธว่าทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรควิตกกังวล (Generalized Anxiety Disorder – GAD) ได้มากขึ้น

             5. โรคเครียด

    นิสัยขี้โมโหต่อสายตรงสู่ปัญหาความเครียด จากคำยืนยันของคุณหมอเอเคนที่ว่าเมื่อลองได้โกรธใคร ไม่ว่าจะระเบิดอารมณ์โกรธ หรือหมกมุ่นอยู่เงียบๆ ก็ล้วนส่งผลโดยตรงให้ผู้นั้นเครียดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนที่ชอบเก็บกดความโกรธไว้ไม่ระบายออก ความเครียดจะยิ่งพุ่งสูงเร็วกว่าจนน่าใจหาย

             6. โรคระบบทางเดินหายใจ

    ความคิดร้ายๆ (ต่อคนอื่น) ทำลายปอด เพราะแม้คุณไม่ใช่นักสูบแต่จากสถิติการเก็บตัวอย่างในผู้ชาย 670 คนต่อเนื่องนาน 8 ปีของฮาวาร์ดชี้ว่าคนที่มีแนวโน้มขี้โมโหและคิดร้ายต่อคนอื่นเป็นนิจจะทำให้ การทำงานของปอดแย่ลงและเสี่ยงจะมีปัญหาการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย

              7. อายุสั้นลง

    จากสาเหตุที่เล่ามาทั้งหมด สรุปง่ายๆ ได้ว่า ความโกรธทำให้อายุสั้นลง ตอกย้ำความจริงนี้จากผลการวิจัยของ มหาวิทยาลัยมิชิแกน ที่ศึกษาคู่ชีวิตหลายคู่นานกว่า 17 ปี พบว่าคู่ชีวิตที่ใช้ชีวิตเต็มไปด้วยการถือโกรธต่อกัน จะมีอายุสั้นกว่าคู่ที่ไม่ค่อยมีปากเสียง

    ขี้โมโห

    อ่านจบแล้ว คิดว่าคงถึงเวลาที่ใครหลายคนต้องมองหาวิธีการบำบัดอารมณ์โมโหร้ายกันเสียที เริ่มตั้งแต่วันนี้สุขภาพจะแข็งแรงนะคะ…

    เขียนโดย ศุภรา ตีพิมพ์ในคอลัมน์ เกร็ดสุขภาพใจ นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 408

    อาหารต้านเครียด ช่วยอารมณ์ดี

    เชื่อว่าในหนึ่งวัน ย่อมมีเรื่องกวนใจมาให้คิดมาก คิดเยอะไม่ว่างเว้น ความเครียดเกิดได้ง่ายกว่าที่คิด วันนี้ผู้เขียนจะมาแนะนำ อาหารต้านเครียด ที่เป็นตัวช่วยลดความเครียดได้อีกทาง

    ปลาแซลมอน

    คนที่กินอาหารที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ที่มีDHAสูง เช่น ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีนและปลาแซลมอน สองถึงสามครั้งต่อสัปดาห์จะมีอัตราการเป็นโรคซึมเศร้าต่ำ เพราะปลามีโฟเลตและมีวิตามินบี12 ที่ช่วยลดอาการซึมเศร้า โดยเฉพาะปลาแซลมอนที่เป็นแหล่งของวิตามินดี หากไม่สามารถกินปลาแซลมอลได้

    มีงานวิจัยมากมายเกี่ยวกับอาหารเสริมแต่ละชนิดที่ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้น อย่างน้ำมันปลาโอเมก้า -3 วิตามินบีและอาหารเสริมอื่น ๆ

    กาแฟหรือชาเขียว

    กาแฟมีกาเฟอีนที่ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดภาวะซึมเศร้าในผู้หญิง  นอกจากกาแฟแล้ว ชาเขียวคุณภาพสูงที่อุดมไปด้วย แอล-ธีอะนีน (L-theanine) ช่วยทำให้สมองสดชื่นและทำให้มีสมาธิในการคิดหรือการทำงานดีขึ้น

    อาหารเสริมวิตามินดี

    หลายการศึกษาชี้ให้เห็นว่าคนที่มีภาวะซึมเศร้าโดยเฉพาะ “ภาวะซึมเศร้าจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ( Seasonal Affective Disorder – S.A.D.)” จะมีอาการดีขึ้นเมื่อได้รับวิตามินดีเพิ่มขึ้น

    เบอร์รี่

    ผลเบอร์รี่ โดยเฉพาะบลูเบอร์รี่และแบล็กเบอร์รี่ต่างอุดมไปด้วยแอนโธไซยานิดิน(anthocyanidins) ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง  แนะนำว่าควรบริโภคเบอร์รี่ในปริมาณมากกว่าหนึ่งถ้วยต่อสัปดาห์พริกสด ทั้งพริกแดง พริกเขียวและพริกหวานต่างอุดมไปด้วยวิตามินซีสูง ซึ่งมีส่วนช่วยลดคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) และสามารถพบได้ในผลไม้สด เช่น ส้ม, แคนตาลูป, มะละกอและกีวี

    ผักใบเขียว

    ควรบริโภคผักใบเขียว เช่น ผักขม ผักคะน้า ผักกาดคอส คะน้าฝรั่ง(collards) หรือชาร์ด(ผักกาดก้านแดง) อย่างน้อยหนึ่งมื้อหรือสองมื้อต่อวัน เพราะผักเหล่านี้มีกรดโฟลิกสูง ซึ่งเมื่อขาดก็อาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้

    น้ำ

    หนึ่งในสัญญาณแรก ๆ ของอาการขาดน้ำ คือ ความเหนื่อยล้า โดยนักวิจัยพบว่าการขาดน้ำเพียงเล็กน้อยก็ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ ระดับพลังงาน และการทำงานของจิตใจ ดังนั้นเราควรดื่มน้ำตลอดทั้งวัน

    อินทผลัม

    ผลไม้ที่มีอัตราส่วนของทริปโตเฟน(tryptophan) ต่อฟีนิลอะลานีน(phenylalanine) และลิวซีน(leucine)ที่ดี อย่างเช่น อินทผลัม มะละกอและกล้วย สามารถเพิ่มระดับเซโรโทนินและทำให้รู้สึกมีความสุข

    นอกจากนี้อินทผลัมยังเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่ช่วยตอบสนองความอยากของหวานได้อย่างดี

    หอย

    หอยเป็นแหล่งวิตามินบี 12 ที่สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งหากได้รับไม่เพียงพอ จะสามารถส่งผลให้เกิดอาการเซื่องซึม หงุดหงิดและซึมเศร้า อาจเสริมด้วยอาหารเสริมที่มีวิตามินบี
    เพราะวิตามินบีเป็นส่วนสำคัญสำหรับการสร้างสารสื่อประสาทหลายชนิดและยังเป็นวิตามินช่วยต้านความเครียดอีกด้วย

    ป๊อปคอร์นที่ไม่ใช้น้ำมัน ไม่ปรุงแต่งรส

    เพื่อไม่ให้เกิดอาการหงุดหงิดจากความหิวและอาการน้ำตาลในเลือดต่ำยามบ่าย แนะนำว่าให้ลองทานอาหารว่าง ที่เป็นคาร์โบไฮเดรต เช่น ป๊อปคอร์นทำเองที่ไม่ใช้น้ำมัน ไม่ปรุงแต่งรสสักสี่ถ้วย เพื่อทำให้เซโรโทนินเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผ่อนคลายและทำให้อารมณ์ดีขึ้น แต่วิธีนี้ควรทานเท่าที่จำเป็น

    เพราะอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตสูงโปรตีนต่ำ จะเพิ่มเซโรโทนินโดยการหลั่งอินซูลิน ซึ่งหากกินเช่นนี้บ่อยครั้งอาจทำให้เกิดการต่อต้านอินซูลินและลดระดับเซโรโทนิน

    น้ำมันมะกอก

    จากการศึกษาล่าสุดได้ข้อสรุปว่า คนที่กินผลไม้ ถั่ว ปลา ผักและน้ำมันมะกอกน้อย มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้ามากขึ้น นอกจากนี้การศึกษาอื่นๆ ยังชี้ให้เห็นว่าน้ำมันมะกอกมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่อาจช่วยลดการลุกลามของโรคซึมเศร้า

    ดาร์กช็อกโกแลต

    ปี 2009 นักวิจัยพบว่าดาร์กช็อกโกแลตสามารถช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียดได้ นอกจากนี้ผลการศึกษาอื่น ๆ ยังแสดงให้เห็นว่าดาร์กช็อกโกแลตผลิตสารเคมีที่มีลักษณะคล้ายฝิ่นในสมอง (enkephalin) ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและยังคงอยู่ในระดับสูง

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส ผู้บัญญัติศัพท์ “Cancer” หรือมะเร็ง คนแรกของโลก

    สังเกตลิ้น เช็ค แพ้อากาศ + ไรฝุ่น

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ ทำอย่างไร เมื่อรู้ว่าตัวเอง ” เป็นมะเร็ง “

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    เกลือและโซเดียม

    เกลือและโซเดียม ภัยเงียบบั่นทอนสุขภาพ

    เกลือและโซเดียม ภัยเงียบสุดร้าย

    ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่เริ่มรู้แล้วว่า แต่ละวันเรากินน้ำตาลกันมากเกินพอดี แต่ก็ยังมีสารปรุงแต่งรสชาติและช่วยถนอมอาหารอีกประเภทหนึ่งที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพไม่แพ้กัน นั่นคือ เกลือและโซเดียม

    วันนี้จึงอยากพาไปสำรวจโทษของวายร้ายเงียบชนิดนี้และตามไปดูความคืบหน้าว่า ในบ้านเรามีความคืบหน้าในการรับมือกับปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการการกินเกลือและโซเดียมเกินอย่างไรบ้าง

    ไทยกินโซเดียมเกิน 2 เท่า ปัจจัยก่อโรคที่ต้องรีบแก้ไข

    โซเดียมเป็นแร่ธาตุซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเกลือแกงหรือโซเดียมคลอไรด์ และเป็นส่วนประกอบของสารปรุงแต่งรสและถนอมอาหารอื่นๆ เช่น ผงชูรส และ ผงฟู ขณะที่ทางองค์การอนามัยระบุว่า คนเราไม่ควรกินโซเดียมเกิน 2 กรัมต่อวัน หรือ เกลือแกงไม่เกิน 5 กรัมต่อวัน ผลสำรวจของเครือข่ายลดบริโภคเค็ม พ.ศ. 2550 พบว่า คนไทยรับโซเดียมจากอาหารเกินถึง 2 เท่าตัว ประมาณ 4.35 กรัมต่อคนต่อวัน ยังไม่นับรวมถึงโซเดียมที่อยู่ในน้ำจิ้ม น้ำปลาและซอสปรุงรสที่ตักเติมกันเป็นประจำ

    เกลือ
    เกลือและโซเดียม ภัยเงียบบั่นทอนสุขภาพและก่อโรคร้าย

    เมื่อร่างกายรับโซเดียมปริมาณสูง ไตจึงต้องทำงานหนักเพื่อกำจัดโซเดียมส่วนเกินเหล่านั้นออกจากร่างกาย หากยังคงบริโภคโซเดียมเกินอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้ไตเสื่อมเร็วและมีภาวะความดันโลหิตสูงตามมา เพิ่มโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ทำให้โรคแทรกซ้อนของผู้เบาหวานรุนแรงขึ้น

    ทุกโรคที่กล่าวมาล้วนเป็นโรคเรื้อรัง ต้องรักษาต่อเนื่อง และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมาก จึงมีผลกระทบทั้งต่อครอบครัวผู้ป่วยและรัฐในการรักษาพยาบาลและรณรงค์เพื่อป้องกันโรค

    ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานคณะทำงานประเด็นนโยบายการลดบริโภคเกลือเพื่อโรคไม่ติดต่อและ หัวหน้าสาขาวิชาโรคไต ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า

    “ผลการศึกษาทั่วโลกชี้ชัดว่าประชากรประเทศใดบริโภคโซเดียมมากจะมีผู้ป่วยโรคกลุ่มNDCs เร็วขึ้นและมากขึ้นเด็กๆ ยุคนี้เขากินอาหารแปรรูปมาตลอดจึงทำให้ป่วยเร็วขึ้น คนยุคก่อนกว่าจะป่วยด้วยโรคกลุ่มนี้ก็ต้องสะสมจนถึงอายุ 30 ปีขึ้นไปแต่ทุกวันนี้พบผู้ป่วยอายุน้อยลงเรื่อยๆ เพียง 20 ปีเศษก็ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคเบาหวาน และมีแนวโน้มที่จะป่วยด้วยโรคไตและหลอดเลือดหัวใจตามมาแล้วนะครับ”

    แล้วคนไทยจะหันกลับมาตั้งหลักดูแลสุขภาพได้อีกครั้งได้อย่างไร ตามไปดูคำตอบที่หน้า 2 ได้เลยค่ะ

    เกลือ

    เลือกกินให้เป็นลดโซเดียมลดโรค

    ขึ้นชื่อว่าอาหารไทยทุกคนรู้ดีว่าเน้นปรุงรสจัดจ้านเป็นหลัก ข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขพบว่า ครัวไทยมีเครื่องปรุงรสซึ่งเป็นแหล่งโซเดียมก่อโรคสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ น้ำปลา ซีอิ๊วขาว เกลือ กะปิ ซอสหอยนางรม นี่ยังไม่นับรวมถึงผงชูรสและอาหารแปรรูป อาหารหมักดอง ขนมกรุบกรอบต่างๆ ที่เป็นปัจจัยเสริมทำให้ในมื้ออาหารของคนไทยเรามีโซเดียมสูงเกินรับไหวแทบทุกครัวเรือน

    ดร.เนตรนภิส วัฒนสุชาติ นักวิจัยจากสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อธิบายถึงแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวว่า

    “ทางสถาบันฯ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำปรุงอาหารสำเร็จรูปใช้ปรุงอาหารได้ทันที และคิดค้นสูตรอาหารลดโซเดียม จัดทำเป็นคู่มือเพื่อเป็นแนวทางปรุงอาหารให้กับประชาชนผู้สนใจ มีอาหาร 3 หมวด ได้แก่ อาหารเรียกน้ำย่อย เช่น ส้มตำไทย พล่าทูน่า อาหารจานเดียว เช่น ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ผัดไทย และ อาหารประเภทกับข้าว เช่น แกงเลียงผักรวม น้ำพริกกะปิ ผัดคะน้า”

    โดยในคู่มือฯ ได้ระบุถึงอาหารโซเดียมสูงซึ่งควรลดปริมาณหรือใช้ให้น้อยที่สุด ดังนี้

    เกลือ

    Checklist ลด-ละอาหารโซเดียมสูง

    • เครื่องปรุงรสที่มีโซเดียมสูง เช่น เกลือ น้ำปลา ซอสปรุงรส ซีอิ๊ว น้ำมันหอย น้ำบูดู น้ำปลาร้า ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ผงและก้อนปรุงรสต่าง ๆ
    • สารปรุงแต่งอาหารที่ไม่มีรสเค็ม เช่น ผงชูรส ผงฟู แป้งชุบทอด สารกันเชื้อรา
    • อาหารหมักดองและอาหารแปรรูป ผักดอง ผลไม้ดอง ไข่และเนื้อสัตว์ที่ผ่านการถนอมอาหาร เช่น ไข่เค็ม เนื้อเค็ม ปลาแห้ง กุ้งแห้ง ไส้กรอก แหนม ปลากระป๋อง เนยแข็งชนิดเค็ม
    • ถั่วที่ผ่านการถนอมอาหาร เช่น เต้าเจี้ยว ถั่วเน่า เต้าหู้ยี้
    • น้ำจิ้ม เช่น น้ำจิ้มสุกี้ น้ำจิ้มไก่ น้ำปลาหวาน
    • น้ำพริก เช่น น้ำพริกเผา น้ำพริกปลาย่าง น้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแกงทุกชนิด
    • ขนม เช่น ขนมกรุบกรอบ ข้าวเกรียบ ข้างตังเสวย ขนมแปรรูปอื่น ๆ

    กระแสสุขภาพทั้งไทยและเทศ ชีวจิต คัดสรรมาให้ทราบเสมอ รับรองไม่มีตกเทรนด์ค่ะ

    ข้อมูลเรื่อง “เกลือ & โซเดียมภัยเงียบสุดร้าย” จากนิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 415

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส ผู้บัญญัติศัพท์ “Cancer” หรือมะเร็ง คนแรกของโลก

    สังเกตลิ้น เช็ค แพ้อากาศ + ไรฝุ่น

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ ทำอย่างไร เมื่อรู้ว่าตัวเอง ” เป็นมะเร็ง “

    How to Sleep หลับลึก เพิ่มอิมมูน ชะลอแก่ สไตล์ชีวจิต

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    โรคหัวใจ ออกกำลังกาย

    4 เทคนิค ออกกำลังกายสำหรับคนเป็น โรคหัวใจ

    4 เทคนิค ออกกำลังกายสำหรับคนเป็น โรคหัวใจ

    การออกกำลังกายมีความจำเป็นอย่างมากสำหรับผู้ป่วย โรคหัวใจ เพราะจะช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจ และเซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ส่งผลให้หลอดเลือดมีการขยายตัว กล้ามเนื้อหัวใจมีการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมากขึ้น นอกจากนั้น การออกกำลังกายยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงที่หัวใจ ลดปัจจัยการเกิดโรคหัวใจชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบ โรคหัวใจจากความดันโลหิตสูง โรคหัวใจจากเส้นเลือดหัวใจตีบ และภาวะหัวใจล้มเหลว โรคความดันโลหิตสูง และที่สำคัญยังทำให้อัตราการเจ็บหน้าอกของผู้ป่วยโรคหัวใจลดลงอีกด้วย

    ทั้งนี้ เพื่อให้หัวใจทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงสุด ผู้ป่วยโรคหัวใจ ที่ต้องการออกกำลังกาย จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อการเลือก ประเภทกีฬาที่เหมาะสม กับตัวเอง ประเภทกีฬาที่เหมาะสม กับผู้ป่วยโรคหัวใจ

    ถ้าคนที่เป็น โรคหัวใจ ต้องออกกำลังกาย ต้องทำอะไรบ้าง

    ปรึกษาแพทย์ก่อนออกกำลังกาย เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพความพร้อมของร่างกาย อัตราการเต้นของหัวใจ และอาการแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่าง หรือหลังการออกกำลังกาย ตลอดจนถึงความแรงของการออกกำลังกาย เพื่อหาความเหมาะสมว่าคว รออกกำลังกายด้วยกีฬาประเภทไหน ซึ่งจะเป็นการป้องกันอันตราย ที่อาจจะเกิดขึ้น

    รู้จักประเมินอาการของตัวเอง เป็นต้นว่า การวัดชีพจร ความเหนื่อยของร่างกาย หากอาการที่แสดงออก บ่งบอกถึงความผิดปกติ เช่น เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ มึน วิงเวียนศีรษะ ให้รู้ว่าเป็นอาการของการออกกำลังกายหนักเกินไป ควรหยุดและปรึกษาแพทย์

    มีเป้าหมาย ควรออกำลังกายให้ได้อย่างน้อยครั้งละ 30-60 นาที สัปดาห์ละ 3 – 5 ครั้ง เพื่อให้ร่างกาย มีความเคยชิน อีกทั้งควรออกกำลังกาย ให้เป็นประจำสม่ำเสมอ เพราะหากเผลอละเลย เป็นเวลานานแล้วกลับมาออกกำลังกาย หัวใจจะทำงานหนักขึ้น

    ไม่ควรออกกำลังกายเพียงลำพัง เนื่องจากผู้ป่วยโรคหัวใจมีภาวะเสี่ยงต่อการวูบได้ง่าย ดังนั้นเวลาออกกำลังกาย ไม่ว่าจะวิ่ง ว่ายน้ำ หรือประเภทอื่นๆ ควรมีเพื่อนอยู่ด้วย เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้น

    เป็น โรคหัวใจ ออกกำลังกาย แค่ไหนถึงพอดี

    นอก เหนือจากการกินยา ผ่าตัดแล้ว การออกกำลังกายอย่างเป็นประจำและสม่ำเสมอ เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่สามารถรักษาโรคหัวใจให้หายได้ ทั้งนี้ การออกกำลังกายของคนที่เป็นโรคหัวใจนั้น ต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้ทำการรักษาด้วยว่า ควรออกกำลังกายประเภทไหน ถึงจะได้ประโยชน์สูงสุด อีกทั้งผู้ป่วยโรคหัวใจไม่ควรออกกำลังกายอย่างหักโหม แต่ให้ออกกำลังกายทีละน้อยและเพิ่มให้มากขึ้นหรือน้อยตามความเหมาะสมของ สภาพร่างกาย ซึ่งจะช่วยให้อาการของโรคหัวใจดีขึ้นได้

    เราแบ่งการออกกำลังกายออกเป็นสองประเภทคือ

    การออกกำลังกายชนิดแอโรบิก (Aerobic or isotonic exercise) คือการออกกำลังกายที่ต้องใช้พลังกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายในการเคลื่อน ไหว ซึ่งในขณะที่กล้ามเนื้อของเราออกแรงอย่างเต็มที่นั้น จะทำให้มีการรับออกซิเจนเข้าไปในกระแสเลือด ส่งผลให้หัวใจเต้นแรงและเร็วขึ้น มีการสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายมากขึ้นด้วย

    การออกกำลังกายชนิดแอนแอโรบิก (Anaerobic or isometric exercise) โดยการออกกำลังกายชนิดนี้ ร่างกายจะมีการเคลื่อนไหวน้อย แต่ใช้แรงมาก ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อตามส่วนต่างๆให้มีขนาดใหญ่ขึ้นมากกว่า เช่น การยกน้ำหนัก เป็นต้น

    สำหรับการออกกำลังกายที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคหัวใจคือ การออกกำลังกายชนิดแอโรบิกครับ ซึ่งดูได้จากตัวอย่างต่อไปนี้

    • การเดินเร็ว เป็นการออกกำลังกายที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคหัวใจซึ่งอายุมากแล้ว เพราะการออกกำลังกายชนิดนี้ จะไม่ทำให้ผู้ป่วยเหนื่อยจนเกินไป ทั้งนี้ผู้สูงอายุที่มีการเดินเร็วสัปดาห์ละ 1-3 ชั่วโมง จะลดอัตราการเกิดโรคหัวใจได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์
    • การวิ่ง เป็นการออกกำลังกายที่ทำได้ไม่ยาก ใช้เวลาน้อยกว่า ทั้งยังให้ผลดีต่อหัวใจมากกว่าการเดิน เพราะช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจได้ออกแรงสูบฉีดเร็วกว่า ลดความเครียด และช่วยให้กล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ แข็งแรงอีกด้วย
    • การเล่นเทนนิส – เป็นการออกกำลังกายอีกชนิดหนึ่งที่ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะกล้ามเนื้อแขนและขา นอกจากนั้นยังทำให้การเคลื่อนไหวของผู้ป่วยดีขึ้น และเมื่อมีการออกกำลังกายอย่างเต็มที่จะทำให้ระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายดีขึ้น
    • การว่ายน้ำ – การออกกำลังกายในน้ำ มีผลดีต่อสุขภาพหัวใจ เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง และมีความยืดหยุ่น อีกทั้ง น้ำยังเป็นตัวพยุงน้ำหนักที่ดี ทำให้แม้จะออกแรงมากแต่ก็รู้สึกว่าเหนื่อยน้อยกว่าการออกกำลังกายบนบก

    ข้อมูลเรื่อง 4 เทคนิคออกกำลังกาย สำหรับคนเป็น โรคหัวใจ จากนิตยสาร ชีวจิต

    โรคหัวใจ ออกกำลังกาย

    ชีวจิต แนะนำ อาหารเพื่อผู้ป่วย โรคหัวใจ

    หอม ทั้งหอมหัวใหญ่ หอมเล็ก และต้นหอม

    มีข้อดีในเรื่องการช่วยบำรุงเลือดและหัวใจ เนื่องจากในหอมจะมี สารพลาโวนอยด์ที่ช่วยยับยั้งไม่ให้เกล็ดเลือดไปรวมตัวกันจนแข็งตัวแล้วไปอุดตันตามเส้นเลือด ทำให้ลดความเสี่ยงที่จะป็นโรคหัวใจลงไปได้ นอกจากนี้หอมต่าง ๆ ยังช่วยลดอาารอักเสบ แก้หวัด คัดจมูก และยังมีสารเควอร์ซิทิน ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ จึงป้องกันโรคมะเร็งได้

    พริก

    มีสารแคปไซซินที่ให้ความเผ็ด ช่วยทำให้จับกลุ่มของเกล็ดเลือด ลดการสร้างไขมันในร่างกาย ลดการดูดซึมไขมันในเส้นเลือด ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้หัวใจสูบฉีดเลือดไปใช้ได้สะดวก ไม่มีเลือดมาอุดตันตามหลอดเลือด

    ใบบัวบก

    มีธาตุเหล็กสูง ซึ่งธาตุเหล็กเป็นสารช่วยบำรุงหัวใจ และยังมีสรรพคุณที่ช่วยบำรุงเลือด ป้องกันการเป็นโรดเลือดจางช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรงขึ้น และยังช่วยแก้อาการชำในและร้อนในด้วย โดยวิธีการทำใบบัวบกรับประทาน ให้นำก้านและใบมาล้างให้สะอาด จากนั้นนำมาบดให้ละเอียดและคั้นเอาส่วนที่เป็นน้ำไปต้ม อาจจะเติมน้ำตาลหรือเกลือบ้างเล็กน้อย เสร็จแล้วก็นำมาดื่มได้เลย

    กระเจี๊ยบแดง

    นำกระเจี๊ยบแดงมาต้มกับน้ำ แล้วเติมน้ำตาลลงไปเล็กน้อยเพื่อลดความเปรี้ยว หากดื่มบ่อย ๆ จะช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ลดความดันเลือด บำรุงเลือดให้ไหลเวียนดีขึ้น เป็นการบำรุงร่างกายได้ หรือจะนำกระเจี๊ยบแดงมาต้มกับพุทราจีนก็ช่วยกำจัด ไขมันไม่ดีในร่างกายได้

    กระเทียม

    เป็นสมุนไพรที่ถือได้ว่าต้องมีคิดอยู่ทุกบ้านมีสรรพคุณและประโยชน์ดี ๆ มากมายที่มีต่อสุขภาพหัวใจ ในกระเทียมนั้นมีสารอัลลิชินที่ช่วยลดไขมันเลวในเลือด และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายของหัวใจ กระเทียมจึงช่วยลดโอกาสการอุดตันไขมันในหลอดเลือด ซึ่งทำให้เกิดโรคหัวใจได้ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่พบว่ากระเทียมมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการแข็งตัวของเลือด ช่วยลดความดันเลือด รวมทั้งเป็นสารต้านการจับตัวเป็นก้อนของเลือดด้วยการทำให้เกล็ดเลือดบางลง จึงป้องกันภาวะหัวใจขาดเลือดหรือสมองขาดเลือดได้ด้วย ซึ่งจากงานวิจัยพบว่าหากกินกระเทียมสดวันละ 2 – 3 กลีบ จะช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรงขึ้นได้

    ดอกคำฝอย

    นำมาต้มน้ำดื่มช่วยป้องกันโรคหัวใจและรักษาหลอดเลือดได้ เพราะน้ำมันจากดอกคำฝอยมีฤทธิ์ลดการจับตัวของเกล็ดเลือด ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ลดความดันเลือดสูง บำรุงเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้มากขึ้น ช่วยป้องกันโรคหัวใจวาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ และเส้นเลือดหัวใจตีบได้

    เสาวรส

    นำเสาวรสที่แก่จัดหลายๆ ลูกมาล้าง คั้นเป็นน้ำผลไม้ เติมเกลือกับน้ำตาลเข้าไปเล็กน้อย เมื่อดื่มกินบ่อยๆ จะช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ทำให้ไม่เป็นโรคหัวใจได้ เพราะการที่เส้นเลือดของเรามีไขมันสูงมากเกินไปจะไปกระตุ้นทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ นอกจากนี้ในเสาวรสยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียมถึง 384 มิลลิกรัมต่อเสาวรส 100 ซึ่งโพแทสเซียมมีความสำคัญต่อเซลล์และของเหลวในร่างกาย รวมทั้งช่วยควบคุมการทำงานของหัวใจและความดันโลหิตให้เป็นปกติได้ด้วย

    ใบเตยหอม

    ช่วยบำรุงหัวใจและลดความดันโลหิตสูงได้ ซึ่งวิธีการคือนำใบสดมาคั้นดื่ม ครั้งละประมาณ 2 – 4 ช้อนแกง (4 -8 ช้อนโต๊ะ) หรือต้มใบเตยกับน้ำเปล่าแล้วดื่มเช้า – เย็น จะช่วยให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เพราะใบเตยมีฤทธิ์บำรุงกำลังและระบบประสาท

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส ผู้บัญญัติศัพท์ “Cancer” หรือมะเร็ง คนแรกของโลก

    สังเกตลิ้น เช็ค แพ้อากาศ + ไรฝุ่น

    เกลือและโซเดียม ภัยเงียบบั่นทอนสุขภาพ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต


    อาการวัยทอง

    How to ฟิต 5 ระบบ สู้ อาการวัยทอง

    วิธีฟิต 5 ระบบ สู้ อาการวัยทอง

    ผู้หญิงนอกจากจะมีเรื่องของประจำเดือนที่มากวนใจในทุกเดือนแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะสร้างความกังวลใจให้ผู้หญิงอย่างเรา ๆ ได้นั่นก็คือ อาการวัยทอง เป็นอาการที่ผู้หญิงหลายคนหรือแทบทุกคนก็ว่าได้ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ซึ่งเราไม่อาจรู้เลยว่าจะสามารถรับมือกับอาการเหล่านั้นได้ดีแค่ไหน

    แต่ในเมื่อตอนนี้อาการเหล่านั้นยังมาไม่ถึง เราจึงควรจะศึกษาอาการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยทอง เพื่อจะได้หาแนวทางในการรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้

    ภาวะการเข้าสู่อาการวัยทอง มีสาเหตุมาจากอะไร

    ส่วน​ใหญ่อาการวัยทองในผู้หญิงนั้น จะเกิดขึ้นในช่วงอายุ 40-59 ปี เป็นผลมาจาก​ความ​ผิด​ปกติ​ของ​ฮอร์โมนความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ตั้งแต่ช่วงกลาง ๆ อายุ 30 ซึ่งแต่ละคนนั้นอาจเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน จะอยู่ระหว่างวัยเจริญพันธุ์และวัยผู้สูงอายุ เป็นวัยที่ความสามารถในการผลิตฮอร์โมนเพศลดน้อยลงจนเกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และมีโอกาสเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพได้ง่าย

    ผู้​หญิง​บาง​คน​อาจ​เริ่ม​มี​อาการ​ประจำ​เดือน​มา​ไม่​สม่ำเสมอเลือด​ออก​กะปริบ​กะ​ปรอย หรือ​ประจำ​เดือน​มา​มาก​กว่า​ปกติ ​ไปจนถึงการไม่มีประจำเดือนแล้ว หรือที่เรียกกันว่า วัยหมดประจำเดือน

    ข้อมูลจาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เคยระบุเอาไว้ว่า แม้ว่าอาการวัยทองส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับผู้หญิงก็จริง แต่ในผู้ชายก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน โดยมีสาเหตุมาจากระดับฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ลดลงตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายมากมาย และส่งผลไปถึงด้านจิตใจด้วย ซึ่งทางการแพทย์เรียกผู้ชายวัยทองว่า “แอนโดรพอส” (Andropause) นั่นเอง

    รู้แบบนี้เราลองมาหาวิธีบรรเทาอาการผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดจากวัยทองด้วยวิธีธรรมชาติ ไล่เป็นข้อ ๆ ไปดังนี้กันค่ะ

    ออกกำลังกายแบบแอโรบิก (Aerobic exercise)

    การออกกำลังกายทั่วไปหากทำอย่างเหมาะสมกับเป้าหมายและความพร้อมของสภาพร่างกายก็จะส่งผลดีต่อการเสริมสร้างระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้ทำงานได้ดี แต่สำหรับการออกกำลังกายเพื่อมุ่งเป้าหมายไปที่การส่งเสริมสุขภาพของระบบไหลเวียน ซึ่งได้แก่ หัวใจ ปอด และหลอดเลือด วิธีที่ปลอดภัยและได้ผลดีที่สุดวิธีหนึ่งก็คือการออกกำลังกายแบบแอโรบิก (Aerobic exercise)

    การออกกำลังกายแบบแอโรบิก คือ การออกกำลังกายด้วยความหนักเล็กน้อยถึงปานกลาง มากเพียงพอให้เกิดการกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตด้วยกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เต้นแอโรบิค รวมไปถึงกิจกรรมอื่น ๆ ที่สามารถทำให้เกิดกระตุ้นมากเพียงพออย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

    Pilates (พิลาทิส)

    ช่วงหลังมานี้มีเทรนการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมในหมู่ Hollywood  เซเลปเบอร์ตี้ หรือแม้แต่เหล่าบรรดาดาราไทยก็เล่นกันอย่างแพร่หลาย กับการออกกำลังกายที่เรียกว่า  Pilates (พิลาทิส) เป็นกสรออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้โครงสร้างภายในร่างกาย การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีนั้น มีหลายวิธีด้วยกัน

    พิลาทิสมีการเล่นที่หลากหลายรูปแบบ ซึ่งผู้เรียนสามารถนำมาประยุกต์เพื่อปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเองที่สุดได้ และเสริมสร้างความมั่นใจด้วยการเรียนกับผู้สอนที่มีประสบการณ์ และอย่ากลัวที่จะถามพวกเขาว่าทำอย่างไรคุณถึงจะทำมันได้อย่างถูกต้อง

    เวทเทรนนิ่ง

    ไม่ใช่ว่าเข้าสู่วัยกลางคนแล้วจะสร้างซิกแพคไม่ได้ เพราะความจริงแล้ว การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง ติดอันดับ 6 การออกกำลังกายที่จำเป็นต่อวัยกลางคนเลยทีเดียว เพราะในวัยนี้มักมีปัญหามวลกล้ามเนื้อน้อยลง ซึ่งไม่เพียงการเวทเทรนนิ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและช่วยกระชับรูปร่างกายเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ทั้งยังช่วยพยุงอวัยวะภธี “บริหารสมอง” ลดเสี่ยงอัลไซเมอร์ เพิ่มความจำ

    หมั่นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

    สำหรับคนวัยทองควรหมั่นเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เช่น ฝึกทำสูตรอาหารใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำ เรียนภาษาใหม่ ๆ เครื่องดนตรีใหม่ๆ ที่ไม่เคยเรียน หรือไปท่องเที่ยวในสถานที่ใหม่ ๆ เป็นต้น มีกิจกรรมทางสังคมสม่ำเสมอ เช่น ออกไปกินข้าวกับเพื่อน เข้ากลุ่มออกกำลังกาย เป็นต้น หากมีความเครียด พยายามหาทางจัดการกับความเครียดให้ดี อย่าปล่อยให้ตัวเองเครียดนาน ๆ เช่น หยุดงาน หยุดอ่านหนังสือเครียดๆ แล้วฟังเพลง ดูหนังสนุกๆ นั่งสมาธิ พูดคุยกับคนอื่น เป็นต้น ทำกิจกรรมที่ช่วยฝึกทักษาสมองทั้งสองซีก เช่น เล่นเกมบอร์ด เล่นดนตรี

    ทำกิจกรรมงานอดิเรกที่ช่วยฝึกสมอง และการทำสมาธิไปด้วยในเวลาเดียวกัน เช่น วาดรูป ปั้นดิน ทำตุ๊กตา ถักนิตติ้ง งานประดิษฐ์ต่างๆ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พาสุนัขไปเดินเล่น ช่วยผ่อนคลายสมองได้เป็นอย่างดี

    การทำสมาธิ

    ผู้หญิงเราพออายุย่างเข้าสู่วัยทอง ฮอร์โมนผู้หญิงก็จะเริ่มลดน้อยลง ทำให้เกิดอาการและความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างตามมา อาการหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนมากที่สุดก็คือ อาการทางด้านอารมณ์ที่ขึ้น ๆ ลง ๆ หงุดหงิดง่าย ขี้น้อยใจ อารมณ์แปรปรวนง่าย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรับมือให้อยู่หมัด เพราะไม่เช่นนั้นสิ่งเหล่านี้อาจจะทำให้เสียสุขภาพจิตทั้งต่อตนเองและต่อผู้ที่อยู่รอบข้าง

    ควรหากิจกรรมบำบัดเยียวยากายใจ คนที่เข้าสู่วัยทองมักจะมีปัญหาด้านอารมณ์ เช่นความเครียดก้าวร้าว ซึมเศร้า หรืออารมณ์แปรปรวนง่าย ดังนั้นการทำกิจกรรมที่มีประโยชน์และช่วยลดทอนเวลาว่าง จึงเป็นอีกหนทางที่จะช่วยเยียวยาจิตใจได้ อย่างเช่นการทำดอกไม้ประดิษฐ์ซึ่งช่วยในเรื่องการฝึกกล้ามเนื้อในส่วนต่าง ๆ ของมือ รวมถึงการใช้เทคนิคและการแก้ไขปัญหา ซึ่งเมื่อทำสำเร็จแล้วก็จะเกิดความภาคภูมิใจในผลงานของตัวเอง และเห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น หรือจะเป็นการเล่นดนตรี ปลูกต้นไม้ วาดรูป เย็บปักถักร้อย เลี้ยงสัตว์ ฯลฯ ก็จะช่วยบำบัดและเยียวยาทางด้านอารมณ์ได้เช่นกัน

    อาหารลดอาการร้อนวูบวาบ ในวัยทอง

    1. อาหารที่ทำจากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ เทมเป้ แป้งถั่วเหลือง เพราะในถั่วเหลืองมีสารไอโซฟลาโวน (Isoflavone) ซึ่งคล้ายกับเอสโทรเจน จะช่วยชดเชยการขาดเอสโทรเจน และยังช่วยปรับระดับเอสโทรเจนให้ลดลงอยู่ในเกณฑ์ที่สมดุลกับโพรเจสเทอโรนด้วย
    2. อาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม วิตามินซี และวิตามินอี ซึ่งจะช่วยให้กระดูกแข็งแรงและปรับระดับไขมันในเลือดให้สมดุล รวมทั้งช่วยป้องกันการเกิดอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกในเวลากลางคืน และช่องคลอดแห้งได้
    3. อาหารที่อุดมไปด้วยกรดไขมันจากพืช เช่น ถั่วแดงหลวง ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา ถั่วแขก เมล็ดพืชต่างๆ เช่น เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ธัญพืชจำพวกข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ และข้าวไรย์
    4. ปลาที่มีไขมันมาก เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน ปลาทู ปลาซาบะ ปลาสวาย และ
      พุงปลาช่อน สัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง เพื่อเพิ่มกรดไขมันจำเป็นให้ร่างกายนำไปสร้างความชุ่มชื่นแก่ผิวหนัง ช่องคลอด และเยื่อบุช่องคลอด
    5. ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม แอ๊ปเปิ้ล เซอร์รี่ พลัม สับปะรด เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอ
    6. หลีกเลี่ยงอาหารก่อพิษ เช่น กาแฟ เครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ ไวน์ ช็อกโกแลต ชีส และเลี่ยงอาหารรสจัด เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการร้อนวูบวาบมากขึ้น

    ข้อมูลจาก หนังสือ108 เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับประจำเดือน

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส ผู้บัญญัติศัพท์ “Cancer” หรือมะเร็ง คนแรกของโลก

    สังเกตลิ้น เช็ค แพ้อากาศ + ไรฝุ่น

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ ทำอย่างไร เมื่อรู้ว่าตัวเอง ” เป็นมะเร็ง “

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    หลับลึก การนอน

    How to Sleep หลับลึก เพิ่มอิมมูน ชะลอแก่ สไตล์ชีวจิต

    เทคนิคช่วย หลับลึก เพิ่มอิมมูน ชะลอแก่

    หนึ่งในปัญจกิจ หรือหลัก 5 เล็กของชีวจิตคือ การนอน ซึ่งต้องเป็นการ หลับลึก โดยอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง ผู้ก่อตั้งองค์ความรู้ชีวจิต เห็นว่าการนอนเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างภูมิชีวิตหรืออิมมูนซิสเต็ม (Immune System) ที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยป้องกันป่วย ชะลอแก่ของทุกคนได้

    วันนี้เราจึงนำความรู้ที่อาจารย์สาทิสเคยเขียนไว้ในคอลัมน์ “ปั้นชีวิตใหม่ด้วยชีวจิต” ซึ่ง ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หลายฉบับมาแนะนำผ้อู ่าน ให้ได้เห็นนิยามของการ “นอน” ในมุมมองที่เปลี่ยนไป

    การ “นอน” ที่ถูกต้องคืออะไร

    ผมว่าเรื่อง “นอน” เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตคนเรารองมาจากเรื่องการกินในเรื่องการแพทย์เกี่ยวกับการนอน ผมคิดว่าเราจำจากฝรั่งมาใช้มากเกินไปทั้ง ๆ ที่เรื่องของการนอนเป็นเรื่องทางธรรมชาติ ธรรมชาติบังคับว่าเมื่อกินแล้วก็ต้องนอน เมื่อทำงานแล้วก็ต้องนอน ไม่ว่าจะทำอะไร ๆ มาตลอดวัน ถึงเวลากลางคืนเราก็ต้องนอน

    เราถูกสอนว่า คืนหนึ่ง ๆ ต้องนอนให้ได้ 8 ชั่วโมง การนอน 8 ชั่วโมงนั้นเราถูกสอนกันมานาน จนบัดนี้ ความรู้เรื่องการนอนและวิธีนอนมีมากมาย ได้ศึกษาเรื่องการนอน กลไกการนอน กลไกของระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ได้ข้อสรุปว่าการนอนที่ดีและถูกต้องนั้นไม่ได้อยู่ที่ระยะเวลาหรือชั่วโมงของการนอน แต่อยู่ที่ “อาการของการนอน” นั้นคุณสามารถนอนได้หลับสนิท และหลับลึกหรือเปล่า เพราะถ้าคุณหลับลึกและหลับสนิท นอนกี่ชั่วโมงไม่สำคัญ เมื่อหลับสนิทและหลับลึกร่างกายจะบอกคุณเองว่าควรจะตื่นได้แล้ว นอนเช่นนี้ นอนเพียง 5 ชั่วโมงก็เพียงพอ 6 ชั่วโมงกำลังดี

    นอนมากกว่า 8 ชั่วโมงหรือบางคนนอนสามวันสามคืน แบบที่เรียกว่านอนกินบ้านกินเมืองนั้นลองไปคุยกับเขาดูบ้าง เขาจะดูเหมือนคนเมา สะลึมสะลือ พูดไม่รู้เรื่อง เพราะนอนนานเกินไปท็อกซินสะสมในตัวมากเกินไปนอนมากเกนิ ไป แทนทสี่ ขุ ภาพจะดีกลับกลายเป็นคนป่วยไป

    How to Sleep

    นอนผิดปกติทำอายุสั้น

    ถ้ามีปัญหาการนอน สุขภาพจะเสียไปตลอด และอายุจะสั้นลงทำไมถึงอายุสั้น ทำไมสุขภาพเลวก็เพราะการนอนเป็นกิจกรรมที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของร่างกายรองลงมาจากการกิน เราอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะเรามีแรง จะให้มีแรงต่อเน่อื งกันไปจนตลอดชีวิตของเรา เราต้องกิน เพราะอาหารที่เรากินเข้าไปจะกลายเป็นพลังงานหรือกลายเป็นแรงของเรา

    เมื่อมีแรงเราก็ตื่นอยู่ทำงานได้ เคลื่อนไหวได้ หลายคนก็เลยเกิดความเชื่อว่า หลายคนก็เลยเกิดความเชื่อว่า จะให้มีแรงต้องกินและกินอย่างเดียว การกินเท่านั้น จะช่วยให้เรามีแรงความเชื่อเช่นนี้มีมานานหลายพันหลายหมื่นปี จนกระทั่งว่าบางชาติเชื่อจนกลายเป็นคติประจำชาติว่าการมีชีวิตที่แข็งแรงนั้นขึ้นอยู่กับการกินอย่างเดียวถ้าเชื่อ เช่นนั้น เราก็จะลืมความสำคัญที่สุดของชีวิตไป นั่นคือ การนอน จากประวัติศาสตร์และจากการดูชีวิตความเป็นไปของมนุษย์สมัยเก่า ๆ ตามจนมาถึงสมัยใหม่เมื่อไม่นานมานี้ เรามองข้ามกิจกรรมสำคัญที่สุดของชีวิตไปเลย นั่นคือ การนอน

    เรานอนโดยลืมคิดถึงความสำคัญของการนอนพูดอย่างนี้อาจจะเข้าใจยากสักหน่อย ขออธิบายต่อว่า เราไม่ค่อยเห็นความสำคัญของการนอนเพราะเรานึกว่าการนอนเป็นการปฏิบัติไปเองโดยอัตโนมัติ เราไม่ต้องมาเตือนตัวเองหรือสั่งตัวเองว่าตอนนี้ต้องนอนแล้วนะ แต่มักจะคิดว่า ถึงเวลามันก็ง่วงเองแล้วก็นอนเองหลับแล้วก็ตื่นตื่นแล้วก็แล้วกันไป

    แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้นและแค่นั้น แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณอยู่ได้เพราะคุณต้องกินและได้กินคุณมีแรงก็เพราะคุณได้กิน ก็ขอให้รู้ตั้งแต่ตอนนี้เลยว่า ถ้าคุณได้แต่กิน แต่ไม่ได้นอน ไม่ช้าคุณก็จะอายุสั้น ตายแต่อายุน้อย เพราะอะไรหรือเพราะธรรมชาติสร้างร่างกายมาอย่างนั้นคุณต้องกิน ต้องนอน ต้องออกแรง ต้องเคลื่อนไหว ชีวิตของคุณจึงจะดำรงได้

    ร่างกายเมื่อออกแรงก็ต้องพัก เพราะแรงจะหมดไปเป็นระยะ ๆ หมายความว่า ออกแรงครั้งหนึ่ง แรงก็หายไปหนึ่งหน่วย สมมติว่าวันหนึ่ง ๆ คุณมีแรง 100 หน่วย พอคุณออกแรงไปถึง 100 หน่วย คุณก็ต้องพัก ถ้าไม่พัก ลองออกแรงต่อไปคุณก็จะเป็นลม ทำไมถึงเป็นลม เพราะร่างกายไม่ต้องการให้คุณตาย พอหมดแรงจึงให้เป็นลมไปเสียก่อน

    ดังนั้นเมื่อหมดแรงไปวันหนึ่ง ๆ คุณก็ต้องนอน นอนเพื่อพักผ่อน พักผ่อนเพื่อให้ร่างกายเติมแรงของคุณให้ครบ 100 หน่วย กินแล้วต้องออกแรง ออกแรงแล้วต้องพัก การพักก็คือการนอน

    นอน หลับลึก ก่อผลดีอย่างไรกับร่างกาย

    ถ้าจะอธิบายในด้านการแพทย์ ประโยชน์ของการนอนมีมากมายหลายอย่างแต่ถ้าจะพูดสั้น ๆ แบบชาวบ้าน เราพูดเพียง 3 อย่างก่อนก็พอ การนอนนั้นเพื่อ

    1. พักผ่อน (Rest)
    2. ซ่อมแซม (Repair)
    3. สร้างความกระชุ่มกระชวย (Rejuvenate)

    ขออธิบายต่อว่า

    การพักผ่อนนั้นเพื่อให้ระบบร่างกายทุกระบบได้พักผ่อน ได้หยุดการทำงานชั่วคราว หรือทำงานน้อยลงอย่างน้อยลง อย่างเช่น ระบบกล้ามเนื้อถ้าตราบที่คุณยัง ไม่นอน คุณต้องออกแรง เช่น เดินท้งั วัน โกยดินท้งั วัน กล้ามเน้อื โดยเฉพาะแขนขาของคุณจะตึง จะปวดจะเมื่อย เมื่อคุณนอน กล้ามเนื้อซึ่งตึงปวดและเมื่อยจะคลายตัว ระบบอื่น ๆ จะทำงานช่วยซ่อมแซม เช่น เลือดจะไปเลี้ยงกล้ามเนื้อมากขึ้น การหมุนเวียนเลือดเพื่อนำท็อกซินออกจากกล้ามเนื้อ จะนำท็อกซินออกจากตัวมากขึ้น การขับถ่ายในตอนเช้า (ปัสสาวะ อุจจาระ) จะขับถ่ายท็อกซินออกไปจากตัวเราได้ดีขึ้น ตื่นขึ้นมาคุณจึงรู้สึกสบายตัว

    ฉะนั้น การนอนที่ดีจึงได้ทั้งข้อที่ 1 คือ การพักผ่อน และ ข้อที่ 2 คือ การซ่อมแซม พร้อมกันไปในตัว ส่วนในข้อที่ 3 คือความกระชุ่มกระชวยนั้น เกี่ยวข้องกับเคล็ดลับของระบบบางอย่างในร่างกายโดยเฉพาะเกี่ยวกับระบบฮอร์โมน

    ผมเคยพูดถึงยาวิเศษในตัวเราเองมาหลายครั้ง ในตัวเรามียาวิเศษคือ ฮอร์โมนชนิดต่างๆ หลายสิบชนิด ฮอร์โมนเหล่านี้มีคุณภาพพิเศษ จะหลั่งออกมาเมื่อเราปฏิบัติภารกิจให้กับตัวเราเองถึงจุดสูงสุด อย่างเช่น การนอนหลับสนิทจะช่วยให้โกร๊ธฮอร์โมน (Growth Hormone) หลั่งออกมา เป็นต้น โกร๊ธฮอร์โมนที่หลังออกมาจะทำให้เรารู้สึกกระชุ่มกระชวย มีเรี่ยวแรง สดชื่น และจิตใจผ่องใสเป็นตัว Rejuvenate หรือทำให้ร่างกายและจิตใจกระชุ่มกระชวย รักษาความ เป็นหนุ่มเป็นสาวได้ยาวนาน

    ฉะนั้นขอแนะนำหลักใหญ่ของการนอนไว้ก่อนว่า ต้องนอนให้หลับสนิทและหลับลึก เพื่อให้ร่างกายหลั่งโกร๊ธฮอร์โมนออกมา เราจึงได้ทั้ง 3 R คือ Rest, Repair และ Rejuvenate ซึ่งทำให้ร่างกายสดชื่น แข็งแรง และกระชุ่มกระชวยและโกร๊ธฮอร์โมนยังเป็นตัวกระตุ้นระบบการสร้างอิมมูนซิสเต็มหรือภูมิชีวิตตัวสำคัญด้วย

    พอคุณเริ่มหลับ โกร๊ธฮอร์โมนซึ่งเป็นโปรตีนนี้ก็จะกระจายไปทั่วสมองในลักษณะเหมือน
    น้ำพุแตก เมื่อโปรตีนโกร๊ธฮอร์โมนกระจายไปทั่วสมองตอนกลางคืน ก็จะลดปริมาณของ
    คาร์โบไฮเดรตหรือกลูโคสลงทันที และเจ้าโปรตีนนี้จะเข้าไปเป็นพลังงานแทนคาร์โบโฮเดรต

    เวลาพักผ่อนที่ดีที่สุดของร่างกายก็คือการนอนนี่เอง ยังมีกลไกของสมองและร่างกาย อีกหลายส่วนที่ต้องเปลี่ยนแปลงเมื่อนอนแต่ขอพูดสั้นๆ ว่าโกร๊ธฮอร์โมนโผล่ออกมาร่างกายก็ได้พักเพราะพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตลดลงและโปรตีนจากฮอร์โมนได้ออกแรง ช่วยทำให้ร่างกายทั้งหมดได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

    โกร๊ธฮอร์โมน…ฮอร์โมนชะลอวัย หลั่งได้จากการนอนดี

    ขออธิบายด้านชีวเคมีเกี่ยวกับกลไกของสมองกับการขับโกร๊ธฮอร์โมน

    โกร๊ธฮอร์โมนจะถูกขับออกมาจากต่อมพิทูอิทารีในสมอง หน้าที่ของโกร๊ธฮอร์โมนก็คือ ปล่อยพลังงานของโปรตีนออกมาทดแทนพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต หรือจากแป้ง ปกติแล้วอาหารสำคัญของสมองส่วนหนึ่งคือน้ำตาลกลูโคส ซึ่งเป็นพลังงานที่เราได้จากแป้ง หรือคาร์โบไฮเดรต พลังงานตัวนี้มีฤทธิ์มีเดชมากในเวลากลางวัน แต่จะออกฤทธิ์น้อยลงในเวลากลางคืน

    เกี่ยวอะไรกับกลางวันและกลางคืน ก็เพราะมนุษย์ส่วนมากทำงานตอนกลางวัน ตัวประสานของสมองส่วนต่าง ๆ คือ นิวโรทรานส์มิตเตอร์ (Neurotransmitter)ต้องทำงานหนัก และอาหารสำคัญที่นิวโรทรานส์มิตเตอร์ต้องการคือน้ำตาลกลูโคสซึ่งผลิตมาจากแป้ง ตอนกลางวันร่างกายจึงต้องการแป้งมากกว่าสารอาหารชนิดอื่น ๆ แต่โกร๊ธฮอร์โมนเป็นฮอร์โมนที่ได้มาจากโปรตีน

    พอคุณเริ่มหลับ โกร๊ธฮอร์โมนซึ่งเป็นโปรตีนนี้ก็จะกระจายไปทั่วสมองในลักษณะ เหมือนน้ำพุแตก เมื่อโปรตีนโกร๊ธฮอร์โมนกระจายไปทั่วสมองตอนกลางคืน ก็จะลด ปริมาณของคาร์โบไฮเดรตหรือกลูโคสลงทันที และเจ้าโปรตีนนี้จะเข้าไปเป็นพลังงานแทนคาร์โบโฮเดรต

    ตอนนี้แหละ เราเริ่มง่วง เหมือนรถยนต์ซึ่งวิ่งมาเต็มสูบได้ชะลอความเร็วลง รถเริ่มช้าลง น้ำมันใช้น้อยลง ไฟน้อยลง การสึกหรอของเครื่องยนต์ก็น้อยลงด้วย

    รถทั้งคันก็เริ่มได้พัก ถ้าเปรียบกับคนเรา เราก็ได้พบแล้วว่า เวลาพักผ่อนที่ดีที่สุดของร่างกายก็คือการนอนนี่เอง ยังมีกลไกของสมองและร่างกายอีกหลายส่วนที่ต้องเปลี่ยนแปลงเมื่อนอน แต่ขอพูดสั้น ๆ ว่า โกร๊ธฮอร์โมนโผล่ออกมา ร่างกายก็ได้พักเพราะพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตลดลงและโปรตีนจากฮอร์โมนได้ออกแรง ช่วยทำให้ร่างกายทั้งหมดได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

    เมื่อรู้ว่าโกร๊ธฮอร์โมนสำคัญกับการนอน แล้วทำอย่างไรจึงบังคับให้โกร๊ธฮอร์โมนหลั่งออกมา ตรงนี้ต้องแนะนำวิธีฝึกกันและต้องทราบเคล็ดลับที่ทำให้โกร๊ธฮอร์โมนหลั่งด้วยว่า

    1. โกร๊ธฮอร์โมนจะหลั่งออกมาเมื่อหลับสนิท ขออธิบายเพิ่มว่า พอเริ่มหลับ โกร๊ธฮอร์โมนจะเริ่มหลั่ง เมื่อโกร๊ธฮอร์โมนหลั่งก็จะลดคาร์โบไฮเดรตหรือพลังงาน ถ้าเรายังไม่หลับโกร๊ธฮอร์โมนจะหลั่งออกมาได้อย่างไร คำตอบคือ เราหลับโดยธรรมชาติได้อยู่แล้ว ลองนึกถึงเด็กอ่อน แกจะหลับฟี้และหลับอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน นั่นแหละคือการหลับสนิทตามธรรมชาติ การหลับตามลักษณะนั้น ทั้งการหลับสนิทและการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมนต่างหมุนเวียนส่งเสริมซึ่งกันและกัน
    2. โกร๊ธฮอร์โมนจะหลั่งเมื่อออกกำลังกายถึงพีค (Peak) ข้อนี้ดูเหมือนไม่เกี่ยวกับการนอน แต่จริง ๆ แล้วเกี่ยวกันมากเลย เพราะทั้ง 2 ข้อคือการนอนและออกกำลังกายนั้นเป็นส่วนสำคัญ
    3. โกร๊ธฮอร์โมนจะหลั่งออกมาเมื่ออยู่ในสภาพของการเจ็บปวดหรือเจ็บหนักที่เรียกว่า Trauma หรือพูดสั้น ๆ คือ ใกล้ตาย
    How to Sleep

    2 โปรแกรมช่วยหลับง่ายสไตล์ชีวจิต

    ส่วนวิธีฝึกร่างกายที่จะช่วยให้ร่างกายและจิตใจหย่อนคลายและนอนหลับได้ดีขึ้น คือ การผ่อนคลาย (Relaxation) วิธีทำ ดังนี้

    1. นอนราบบนพื้น จะนอนบนเสื่อหรือที่นอนก็ได้ แนะนำว่าควรเป็นที่นอนที่ค่อนข้างแข็ง นอนปล่อยตัวตามสบายทิ้งตัว ทั้งแขน – ขา ทิ้งน้ำหนักให้เหมือนกับตัวเราจะม้วนลงไปในพื้น
    2. เริ่มคลายเกร็งแขนทั้งสองข้าง ด้วยการกำมือทั้งสองข้างเกร็งเต็มที่จนแขนสั่นนับ 1 – 10 แล้วปล่อยแขนเหยียดตามสบาย
    3. คลายเกร็งเท้าทั้งสองข้าง ด้วยการเหยียดปลายเท้าไปข้างหน้า นับ 1 – 10 แล้วปล่อยขาหย่อนคลายตามสบาย
    4. คลายเกร็งบริเวณคอและไหล่ ด้วยการยกศีรษะขึ้น พยายามให้คางจรดอกหมุนคอช้า ๆ จากทางซ้ายไปทางขวาให้ครบรอบ นับ 1 – 5 ให้คางจรดอกอีกครั้งหมุนคอกลับจากทางขวาไปทางซ้าย นับ 1 – 5 วางศีรษะลงบนพื้น นอนหงายตามปกติ
    5. คลายเกร็งบริเวณลำตัว ด้วยการแขม่วท้องให้สะดือจรดกระดูกสันหลังหายใจเข้ายาว ๆ กลั้นไว้ นับ 1 – 10 แล้วจึงหายใจออก ทำซ้ำอีกครั้ง
    6. ต่อจากนั้นหายใจยาว ๆ ตามปกติ จะรู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลาย
    7. ถ้ายังรู้สึกว่าร่างกายยังผ่อนคลายไม่หมด ให้ทำซ้ำจากข้อ 1 – 5 อีกครั้ง หรือสองครั้ง

    แบบทดสอบ คุณป่วยเพราะนอนไม่ดีหรือไม่

    1. เวลาเพลีย ไม่ว่าจะตอนไหนของวัน เช้า กลางวัน เย็น พอเพลียขึ้นมาก็อยากกินของหวานหรือเครื่องดื่มหวาน ๆ อย่างรุนแรง
    2. รู้สึกง่วงนอนหลังกินอาหารเย็น ง่วงจนลุกจากโต๊ะไม่ไหว จะหลับอยู่ตรงนั้น แต่พอรีบเข้านอนกลับนอนไม่หลับ ลืมตาโพลงตลอดรุ่ง
    3. เวลากินอาหารเย็นอิ่ม ๆ ต้องดื่มเหล้าหรือเบียร์ แค่ดื่มเพียงเล็กน้อยก็หลับคาโต๊ะแล้ว
    4. ง่วงนอนเวลาขับรถ พอรถจอดติดไฟแดงจะหลับคาพวงมาลัย จนรถคันหลังบีบแตรไล่
    5. วันหยุดเสาร์ – อาทิตย์หรือวันหยุดราชการต้องนอนตื่นสายเป็นการแถมหรือทดแทนที่ต้องทนตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงานให้ทัน
    6. เวลานอนชอบฝันร้ายบ่อย ๆ ฝันว่าต้องต่อสู้กับใครที่ไหนไม่ทราบชนิดเอาเป็นเอาตาย บางทีก็เกิดความกลัววิ่งหนีอะไรไม่ทราบจนตกใจตื่น พอตื่นก็เหมือนจะเป็นลมหมดแรง
    7. ตอนเช้าตั้งนาฬิกาปลุกแต่เช้า แต่พอนาฬิกาดังเอื้อมมือไปกดสวิตช์นอนต่อไม่ยอมตื่น
    8. ถ้าตื่นตามปกติ ลืมตาไม่ขึ้น ไม่มีแรงลุกจากเตียง
    9. ติดกาแฟ ตื่นขึ้นมาต้องกินกาแฟติดต่อกัน 2 – 3 แก้ว มิฉะนั้นตาลืมไม่ขึ้น
    10. ก่อนจะนอนนึกย้อนไปตอนเช้าตลอดเย็นทำอะไรบ้าง คำตอบคือจำไม่ได้
    11. หงุดหงิดโมโหง่าย ไม่ว่าจะทำอะไรหรือใครทำอะไรให้ โมโหตลอดวัน
    12. คิดอะไรใหม่ ๆ หรือคิดวางแผนงานในทางบวกหรือสร้างสรรค์ คิดไม่ออก
    13. กำลังดูทีวีไม่กี่นาทีก็นั่งหลับ
    14. ชอบฝันว่าคืนนี้คงสบายใจ นอนหลับสนิทและฝันดี
    15. หนังตาด้านล่างมีวงกลมหรือถุงตาหย่อนสีคล้ำเหมือนคนถูกชนจนตาเขียว

    การแปลผลคะแนน

    ถ้าตอบว่า ใช่ 5 ข้อ แสดงว่ากำลังเป็นโรคนอนไม่หลับ

    6 – 10 ข้อ แสดงว่าต้องรีบปรับตัว ต้องใจแข็งบังคับตัวเองให้ได้

    11 – 15 ข้อ แสดงว่าเป็นโรคประสาทมานาน อิมมูนซิสเต็มหรือภูมิชีวิตของคุณใช้ไม่ได้

    การนอนสมาธิ

    เรามักทำการผ่อนคลายข้างต้นช่วงก่อนนอน เพื่อคลายเครียดทางกาย ถ้าจะให้หลับลึก ควรคลายเครียดทางใจตามไปด้วย เรียกวิธีการนี้ว่า “นอนสมาธิ” ลองทำไปพร้อม ๆ กันเลย

    1. หลับตา ให้ใจเพ่งไปที่จุดตาที่สามซึ่งอยู่ระหว่างคิ้ว
    2. หายใจสบาย ๆ 3 จังหวะ คือ หายใจเข้า กลั้นไว้ หายใจออก
    3. กลับมาหายใจธรรมดา นับลมหายใจเดินหน้า – ถอยหลัง โดยการ
      หายใจเข้า – ออกครั้งแรก นับ 1
      หายใจเข้า – ออกครั้งที่สอง นับ 2
      หายใจเข้า – ออกครั้งที่สาม นับ 1
      หายใจเข้า – ออกครั้งที่สี่ นับ 2
      หายใจเข้า – ออกครั้งที่ห้า นับ 3
      หายใจเข้า – ออกครั้งใหม่ ย้อนกลับมานับ 1 อีกครั้ง จากนั้นนับ 2 และ 3 และ 4 แล้วย้อนกลับมานับ 1 – 2 –
      3 – 4 – 5 นับลมหายใจเดินหน้า – ถอยหลังแบบนี้จนหลับไป

    นี่คือตัวอย่างโปรแกรมอย่างง่ายที่ทำให้การหลับเป็นไปอย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างนั้นต้องรวมกับการปฏิบัติตัวด้วยหลัก 5 เล็กอื่น ๆ คือ ต้องกิน พักผ่อน ออกกำลังกาย และทำงานด้วยความสมดุลด้วย การนอนจึงเป็นไปด้วยดี

    เรื่อง ชมนาด ภาพ iStock

    นิตยาสารชีวจิต เล่มที 520 ปีที่ 22 : 1 มิถุนายน 2563


    100 เคล็ดลับนอนหลับง่าย ไม่ต้องพึ่งยา

    นิตยาสารชีวจิต เล่มที 520 ปีที่ 22 : 1 มิถุนายน 2563

    – – –  – – – – –  – – – – –  – – – –  – – – –  – – –  – – –  – – –  – – –  – –  – –

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส ผู้บัญญัติศัพท์ “Cancer” หรือมะเร็ง คนแรกของโลก

    สังเกตลิ้น เช็ค แพ้อากาศ + ไรฝุ่น

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ ทำอย่างไร เมื่อรู้ว่าตัวเอง ” เป็นมะเร็ง “

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ทอนซิล อักเสบ เจ็บคอ

    ทอนซิล อักเสบ…เป็นมากกว่าเจ็บคอ

    ทอนซิล อักเสบ ไม่ใช่แค่อาการเจ็บคอที่ต้องเผชิญ

    คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า ทอนซิล มีเฉพาะที่ลำคอ แต่จริง ๆ แล้ว ทอนซิลซึ่งเป็นกลุ่มเนื้อเยื่อประเภทต่อมน้ำเหลืองนั้นมีอยู่ในร่างกายทั้งหมด 3 ตำแหน่ง ตำแหน่งที่เห็นได้ง่ายที่สุดและเกิดการอักเสบบ่อย ๆ ก็คือทอนซิลที่อยู่สองฝั่งข้างช่องปาก ส่วนทอนซิลอีกสองตำแหน่งที่เหลือจะอยู่ในบริเวณที่สังเกตได้ยากคืออยู่บริเวณโคนลิ้น และอยู่เหนือเพดานอ่อนในคอ

    อาการแบบนี้อย่านิ่งนอนใจ

    ทอนซิลอักเสบอาจเกิดจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่มเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคหวัด หรือเชื้อที่ทำให้เกิดระบบทางเดินหายใจตอนบนอักเสบ อาการของผู้เป็นทอนซิลอักเสบจะมีไข้ หนาวสั่นและเจ็บคอมาก โดยเฉพาะเวลากลืนอาหารหรือดื่มน้ำจะเจ็บมาก หากปล่อยให้เกิดการอักเสบกระจายวงกว้างจะกลายเป็นหนองบริเวณทอนซิล ถ้าเกิดการอักเสบบ่อยๆก็จะกลายเป็นทอนซิลอักเสบเรื้อรัง

    ทอนซิล อักเสบ เจ็บคอ

    เด็กเล็กกับ ทอนซิล อักเสบ

    เด็กเล็กมักจะป่วยเป็นหวัดและทอนซิลอักเสบได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากภูมิต้านทานน้อยกว่า และการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มหนาแน่นในโรงเรียนก็ทำให้ได้รับเชื้อและแพร่เชื้อได้มากกว่าผู้ใหญ่ หากปล่อยให้เกิดการอักเสบเรื้อรังจนติดเชื้อเข้าสู่ปอดและหัวใจก็จะกลายเป็นโรคหัวใจรูมาติกหรือลิ้นหัวใจตีบรั่วได้

    อาการโดยทั่วไปมักพบว่าเด็กจะเจ็บคอมาก เบื่ออาหาร(เพราะเจ็บที่ทอนซิลจึงทำให้ไม่อยากกลืนอาหาร) หนาวสั่น มีไข้สูงราว 39-40 องศาเซลเซียส ในรายที่เกิดอาการอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียมักจะพบว่าทอนซิลบวมโต มีสีแดงจัด และมีหนองสีขาวๆเหลืองๆเป็นจุด ถ้าทอนซิลบวมโตมากจะทำให้เกิดเสียงดังเวลาหายใจในขณะที่นอนหลับ อาเจียน ไอ ปวดท้อง บางครั้งอาจสังเกตเห็นว่ามีก้อนบวมหรือเจ็บใต้คางข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง

    ส่วนในรายที่เป็นเรื้อรังอาจจะสังเกตอาการได้ยากกว่า พบว่าจะมีอาการเจ็บคอบ่อยๆ อ่อนเพลีย ไอแห้งๆ มีเสมหะบ้าง แต่มักไม่มีไข้ หรือถ้าหากมีไข้ก็จะเป็นไข้ต่ำ ๆ

    ทอนซิล อักเสบ เจ็บคอ

    ดูแลสุขภาพอีกสักหน่อย

    ผู้ป่วยทอนซิลอักเสบ ต้องพักผ่อนให้มาก ดื่มน้ำบ่อยๆ แม้จะเจ็บคอมากก็ต้องหมั่นจิบน้ำ เพราะเมื่อทอนซิลเกิดอาการอักเสบแล้วมักจะทำให้มีไข้ ร่างกายของผู้ป่วยจึงต้องการน้ำไปช่วยลดอุณหภูมิลง รวมทั้งควรกลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่นๆเพื่อช่วยขับเสมหะและลดการอักเสบในเวลาตื่นเช้าและก่อนนอน โดยผสมเกลือป่น 1/2 ช้อนโต๊ะกับน้ำอุ่น 1 แก้ว และควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง อย่าง ฝรั่ง ส้ม มะนาว และผักใบเขียว เพื่อช่วยเสริมภูมิต้านทาน

    ฟ้าทะลายโจรก็ช่วยได้

    ปัจจุบันมีผลการวิจัยพบว่าฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรที่ให้ผลดีในการรักษาอาการเจ็บคอ รวมไปถึงอาการทอนซิลอักเสบได้อีกด้วย ดังนั้นเมื่อเกิดอาการทอนซิลอักเสบอาจจะชงชาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรดื่มวันละแก้ว นอกจากจะมีสรรพคุณช่วยลดไข้แล้วยังช่วยลดอาการอักเสบได้ดีอีกด้วย

    ข้อมูลเรื่อง ” ทอนซิลอักเสบ…เป็นมากกว่าเจ็บคอ ” จากนิตยสารชีวจิต

    ชีวจิต Tips 7 สูตรง่าย ดูแลต่อมทอนซิล

    จะดูแลต่อมทอนซิลอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อเกิดอาการอักเสบ มีคำแนะนำดังนี้

    1. เลิกนิสัยติดยาปฏิชีวนะ

    ยาเก่าๆ ประเภทปฏิชีวนะนั้น ขอให้กินต่อไปจนหมด เมื่อหมดแล้วหมดเลย ไม่ต้องซื้อมากินต่อ

    1. กินวิตามินซี

    แนะนําให้กินวิตามินซีขนาด 1,000 มิลลิกรัม ครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า – เย็น นาน 10 วัน

    1. เพิ่มสังกะสีในร่างกาย

    กินสังกะสี หรือซิงค์ (Zinc) ขนาด 100 มิลลิกรัม วันละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า – เย็น เพื่อช่วยให้การอักเสบของต่อมทอนซิลและหูหายเร็วขึ้น

    1. เติมวิตามินบีรวม

    กินวิตามินบี 1 , บี 6, บี 12 (แบบเป็นวิตามินรวมในเม็ดเดียว) 1 เม็ด หลังอาหารเช้า ร่วมกับกินวิตามินบีคอมเพล็กซ์ 1 เม็ด หลังอาหารกลางวัน (วิตามินรวม กับวิตามินบีคอมเพล็กซ์ เป็นคนละชนิด ไม่เหมือนกัน อย่าเข้าใจผิด)

    1. ลดแป้งขาว เพิ่มโปรตีน

    งดอาหารประเภทแป้งขาว ของหวาน (น้ำตาลขาว) ให้กินข้าวกล้อง ผัก ถั่ว (ประเภทถั่วแดง ถั่วเขียว และถั่วเหลือง) และปลา

    1. เสริมสุขภาพด้วยของขบเคี้ยว

    กินอาหารกลุ่มเบ็ดเตล็ด (ตามสูตรชีวจิต) เช่น สาหร่ายทะเล เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง และผลไม้ไม่หวาน เช่น มะละกอ ฝรั่ง แอ๊ปเปิ้ลเขียว พุทรา

    1. ล้างพิษในร่างกาย

    ชีวจิตแนะนำกาทําดีท็อกซ์วันละ 1 ครั้ง วันเว้นวัน จํานวน 7 ครั้ง

    ทำครบถ้วนแบบนี้ รับรองสุขภาพดีขึ้นอย่างแน่นอน

    4 วิธีแก้อาการเจ็บคอ โดย อาจารย์สาทิส กูรูต้นตำรับชีวจิต

    ถ้าคุณเริ่มรู้สึกเจ็บคอเล็กน้อย และคุณเป็นคนที่เอาใจใส่ดูแลตัวเองอยู่เสมอ ขั้นต้นคุณลองสังเกตเรื่องกลิ่นปาก หรือกลิ่นคอก่อนดีไหม

    คุณจะสังเกตเห็นว่า คุณหายใจมีกลิ่นคาว ๆ และเค็ม ๆ และก็เริ่มทำท่าคล้าย ๆ จะเป็นหวัด คุณมีอาการ เพลียนิด ๆ ควรปฏิบัติดังนี้

    1. ลองนอนพักเสียก่อนดีไหม นอนพักอย่างชนิดพักผ่อนจริง ๆ ทำตัวให้สบาย ทำใจให้สบาย อ่านหนังสือ ฟังเพลงก็ได้ จะได้ไม่เครียด

    2. ใช้น้ำเกลืออุ่นๆ กลั้วคอวันละ 4 – 5 ครั้ง

    3. ดื่มน้ำมะนาว (ไม่ใส่น้ำตาล) วันละ 2 แก้ว

    4. กินฟ้าทลายโจรมื้อละ 3 เม็ด 4 มื้อ บวกกับวิตามินซี 1,000 มิลลิกรัม วันละ 3 มื้อ

    เอาละ ทีนี้ถ้าการเจ็บคอของคุณรุนแรงจนถึงขั้นต่อมทอนซิลอักเสบหรือปอดบวมจะทำอย่างไร ตอบว่า ต้องไปหาหมอด่วน

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส ผู้บัญญัติศัพท์ “Cancer” หรือมะเร็ง คนแรกของโลก

    สังเกตลิ้น เช็ค แพ้อากาศ + ไรฝุ่น

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ ทำอย่างไร เมื่อรู้ว่าตัวเอง ” เป็นมะเร็ง “

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต


    การวิ่ง ออกกำลังกาย

    การวิ่ง ไม่ทำให้เข่าเสื่อม!!

    การวิ่ง บอกลาเข่าเสื่อม พร้อมเทคนิควิ่งเสริมข้อแข็งแรง

    การวิ่ง นับเป็นหนึ่งในการออกกําลังกายที่แสนง่ายดาย แถมยังประหยัด แค่มีรองเท้าผ้าใบสักคู่กับถนนหนทางที่ปลอดภัย เพียงเท่านี้ก็เป็นอันว่าวิ่งได้ แต่ก่อนจะก้าวขาลงสู่ลู่วิ่งเพื่อสุขภาพ ลองเช็กสิ คุณรู้จักกับการออกกำลังกายแบบนี้ดีแล้วหรือยัง

    หากความเชื่อเดิมๆ ที่ใครต่อใครพร่ำบอกว่า วิ่งมากไปข้อเข่าจะเสื่อม หรือคนอ้วนและผู้สูงวัยไม่ควรวิ่ง ยังอยู่ในความคิด บอกเลยว่า การออกไปวิ่งของคุณคงไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่ต้องลบความเชื่อเหล่านี้ทิ้ง เพราะการวิ่งที่ถูกต้องนอกจากจะทําให้ร่างกายแข็งแรงยังช่วยป้องกันข้อเข่าเสื่อมได้อีกด้วย

    การวิ่ง กับข้อเข่าเสื่อม

    หลายๆ คน มักโยนความผิดให้ว่า วิ่ง เป็นสาเหตุประการหนึ่งของ “โรคข้อเข่าเสื่อม” ทั้งที่ความเป็นจริง ข้อเข่าเสื่อมเกิดจากความร่วงโรยตามวันเวลา กระดูกอ่อนบริเวณข้อย่อมเสื่อมสภาพจนไม่สามารถเป็นเบาะรองรับน้ำหนัก และสูญเสียคุณสมบัติการเป็นน้ำหล่อเลี้ยงเข่า เมื่อมีการเคลื่อนไหวจนเกิดการเสียดสีและสึกหรอของกระดูกอ่อน

    นายแพทย์ธนพจน์ จันทร์นุ่ม ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวถึงความเชื่อที่ว่า “ยิ่งวิ่งยิ่งเข่าเสื่อม” ว่า

    “ความจริงแล้ววิธีวิ่งที่ถูกวิธีอย่างต่อเนื่องช่วยป้องกันข้อต่อไม่ให้เสื่อมเร็ว การหยุดวิ่งหรือขาดการออกกําลังกายที่เหมาะสมต่างหากที่เป็นปัจจัยเสี่ยงให้ข้อเสื่อม เพราะการวิ่งแต่ละก้าวจนทําให้เกิดแรงกดที่กระดูกอ่อนผิวข้อ ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายฟองน้ำคอยรับแรงกระแทกในข้อ แรงกดและปล่อยอย่างเป็นจังหวะจากการวิ่งจะเพิ่มการหมุนเวียนน้ำหล่อเลี้ยงภายในข้อ ซึ่งเป็นสารอาหารให้เซลล์กระดูกอ่อนที่ไม่มีเลือดมาเลี้ยง แต่จะได้สารอาหารและออกซิเจนจากน้ำหล่อเลี้ยงข้อเท่านั้น การเคลื่อนไหวข้อที่มีแรงกดที่กระดูกอ่อนอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอจึงเป็นการให้สารอาหารกระดูกอ่อน กระตุ้นการสร้างและซ่อมส่วนที่สึกหรอ ช่วยลดความเสี่ยงข้อเสื่อม”

    ใครบ้างเสี่ยงข้อเข่าเสื่อม

    -ผู้สูงอายุ

    -คนที่ร่างกายได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ

    -ผู้หญิง จากสถิติผู้หญิงมักเป็นมากกว่าผู้ชาย

    -มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม

    -ภาวะอ้วน น้ำหนักตัวที่มากทําให้ข้อเข่าต้องรับน้ำหนักและแรงกดทับมากขึ้น

    การวิ่ง- วิ่ง-ออกกำลังกาย
    การหยุดวิ่งหรือขาดการออกกําลังกายที่เหมาะสม คือปัจจัยเสี่ยงให้ข้อเสื่อม

    การวิ่ง ถนอมข้อ

    1. ยืดข้อให้สุดในทิศทางต่างๆ แล้วค้างไว้เป็นเวลา 10-15 วินาที ทําซ้ำประมาณ 5-10 ครั้ง โดยเน้นกล้ามเนื้อหลักบริเวณน่อง กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า และกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง

    2. การออกกําลังกายด้วยวิธีวิ่งต้องอาศัยการอบอุ่นร่างกายที่มากเพียงพอ ฉะนั้นอาจเริ่มจากการเดินเร็วหรือวิ่งเหยาะๆ เป็นเวลา 5-10 นาที ก่อนจะวิ่งเต็มที่ เพื่อให้กล้ามเนื้อระบบไหลเวียนโลหิตและระบบหายใจได้ปรับตัวก่อนออกกําลังกาย

    3. การเลือกรองเท้าวิ่งก็เป็นสิ่งสําคัญ ควรเป็นแบบที่มีพื้นกันแรงกระแทก กระชับพอดีกับเท้าและออกแบบมาสําหรับการวิ่งโดยเฉพาะ ทั้งนี้ลักษณะของเท้ายังเป็นอีกปัจจัยที่ต้องคํานึงถึงในการเลือกรองเท้าที่เหมาะกับการออกกําลังกาย

    ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบคือ ลักษณะเท้าแบนหรือไม่มีอุ้งเท้าสูงเพียงพอเวลาวิ่งนานๆ อาจทําให้มีแรงปฏิกิริยาจากพื้นต่อข้อเท้าและข้อเข่าผิดปกติ ทําให้เกิดอาการปวดเข่าหรือข้อเท้าเรื้อรัง

    วิธีแก้ไขคือ หาแผ่นเสริมอุ้งเท้าสําเร็จรูปหรือรองเท้าที่เสริมแผ่นรองภายใน เพื่อช่วยให้มีการกระจายแรงปฏิกิริยาดังกล่าวมากขึ้น และควรเลือกวิ่งบริเวณที่เป็นพื้นเสมอกัน หลีกเลี่ยงพื้นเอียงหรือเส้นทางที่มีการหักเลี้ยวอย่าง ฉับ พลัน สําหรับพื้นวิ่งดีที่สุดคือ พื้นยางสังเคราะห์ เพราะมีความนุ่มและเก็บพลังงานเพื่อเปลี่ยนเป็นแรงส่งตัวได้ดีหรืออาจวิ่งบนพื้นดินแทน หากจะวิ่งบนพื้นคอนกรีตก็ได้เช่นกัน แต่ควรเลือกรองเท้าที่รับแรงกระแทกได้ดี เพราะข้อเท้าต้องรับแรงกระแทกมากขึ้น

    4. ไม่ควรวิ่งแบบก้าวเท้ายาวหรือยกเข่าสูงเกินไป เพราะข้อเข่าต้องงอมากเกินความจําเป็น อาจทําให้ปวดเข่าง่ายขึ้น และควรลงน้ำหนักที่ส้นเท้า มิเช่นนั้นจะทําให้ปวดกล้ามเนื้อน่องและเข่าด้านหน้าได้ อย่างไรก็ดีการวิ่งลงน้ำหนักที่ปลายเท้าทําได้ในกรณีที่ต้องการเร่งความเร็ว หรือสําหรับนักกีฬาที่มีความฟิตเพียงพอ

    5. ไม่ควรวิ่งขึ้น-ลงเนิน แต่หากจําเป็นต้องวิ่งลงเนิน ควรเกร็งลําตัวให้ตั้งตรง เพราะแรงโน้มถ่วงอาจทําให้เสียหลัก นอกจากนี้ควรก้าวเท้าให้ยาวและเร็วขึ้นกว่าตอนวิ่งบนพื้นที่เรียบเสมอกัน

    6. หากเป็นผู้ป่วย ที่มีภาวะข้อเสื่อมอยู่แล้ว ควรเปลี่ยนจากการวิ่งเป็นเดินเร็วแทน และต้องระวังเรื่องระยะทางที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย ไม่ควรเพิ่มระยะทางหรือความเร็วอย่างกะทันหัน นอกจากนี้ หลังจากวิ่งสักพักควรสลับเป็นเดิน เพื่อให้ร่างกายได้กําจัดกรดแล็กติกที่สะสมขณะวิ่งออกไปจากกล้ามเนื้อบ้าง เพื่อช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อ

    7. หมั่นบริหารกล้ามเนื้อต้นขาด้วยการเหยียดเข่าตรงและเกร็ง ค้างไว้ครั้งละ 5 วินาที ประมาณวันละ 10-20 ครั้ง หรืออาจเข้ายิมเล่นเวต เพิ่มกําลังกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและด้านหลังสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีสะโพกกว้างซึ่งมีแนวโน้มเกิดปัญหาปวดเข่าได้ง่าย การออกกําลังกายด้วยวิธีดังกล่าวจะสร้างกล้ามเนื้อให้ช่วยรั้งกระดูกสะบ้าเข้าด้านใน เพื่อลดปัญหาปวดเข่าในระยะยาว

    อย่ากลัวที่จะวิ่ง แค่รู้จักวิ่งให้ถูกวิธี รับรองว่า เข่าไม่เสื่อม แถมแข็งแรงขึ้นอีกเป็นกอง

    ชีวจิต Tips เทคนิคการหายใจ ที่มือใหม่หัดวิ่งควรรู้

    เทคนิค การหายใจ อย่างถูกวิธีในขณะวิ่งนั้น เป็นสิ่งที่นักวิ่งมือใหม่ควรจะต้องเรียนรู้ และฝึกตั้งแต่ช่วงแรกที่เริ่มหัดวิ่งเลย เพราะจะช่วยทำให้เราสามารถวิ่งไปได้เร็วขึ้น และวิ่งได้นานขึ้นอีกด้วย

    การหายใจมี 2 แบบ

    1. การหายใจด้วยกล้ามเนื้อซี่โครง (Costal หรือ Chest Breathing) คือ เวลาที่เราหายใจเข้าไป หน้าอกจะขยายตัว และหน้าท้องจะยุบ ส่วนเวลาหายใจออกนั้นหน้าอกจะยุบ และหน้าท้องจะขยายตัวหรือพองออก ซึ่งเวลาที่เราวิ่งเร็ว ๆ และวิ่งนาน ๆ จะทำให้จุกเสียดชายโครงได้ง่าย
    2. การหายใจด้วยกล้ามเนื้อกะบังลม (Abdominal Breathing) คือ เวลาที่เราหายใจเข้า กล้ามเนื้อกะบังลมจะเคลื่อนตัวลง ทำให้ลมเข้าไปในปอด หน้าท้องจะพองหรือขยายตัว และเมื่อเราหายใจออก กล้ามเนื้อกะบังลมจะเคลื่อนตัวขึ้น พุงจะยุบวิธีการหายใจแบบนี้จะไม่ทำให้จุกเสียดชายโครงเวลาที่วิ่งนาน ๆ

    ตามปกติแล้วเมื่อวิ่งไปได้สักพัก จังหวะการหายใจของเรา จะปรับเข้ากับจังหวะการวิ่งได้เอง ซึ่งจะเป็นช่วงจังหวะที่เรารู้สึกว่าลงตัวและรู้สึกสบาย โดยจังหวะในการวิ่งและการหายใจ 2 แบบที่นักวิ่งหน้าใหม่ควรรู้มีดังต่อไปนี้

    จังหวะการวิ่ง 2 – 2

    1. หายใจเข้าพร้อมกับก้าวเท้าขวานับ 1
    2. เท้าซ้ายลงพื้นนับ 2
    3. หายใจออกพร้อมกับเท้าขวาลงพื้นนับ 1
    4. ซ้ายลงนับ 2
    5. เท้าขวาลงอีกครั้งนับ 1 คือรอบจังหวะการหายใจต่อไป

    จะเห็นได้ว่าการหายใจเข้า – ออก จะลงที่เท้าขวาทุกครั้ง จังหวะแรงกระแทกที่ส่งจากช่วงล่างจากเท้าที่กระทบพื้นสู่ช่วงลำตัวและกล้ามเนื้อกะบังลม (Diaphragm) ขณะยืดหดตัวนั้นก็มาจากเท้าขวา ทุกครั้งที่หายใจเราก็ได้รับแรงจากด้านขวาเพียงข้างเดียว

    จังหวะการวิ่ง 3 – 2

    1. จังหวะที่ก้าวเท้าขวาลง และหายใจเข้านับ 1
    2. ขาซ้ายก้าวนับ 2
    3. ขาขวาก้าวนับ 3
    4. ขาซ้ายก้าว และหายใจออกนับ 1
    5. ขาขวาก้าวนับ 2
    6. ขาซ้ายลง และหายใจเข้านับ 1 คือรอบจังหวะการหายใจต่อไป

    การสร้างจังหวะวิ่ง แบบ 3 – 2 หรือช่วงจังหวะหายใจเข้าจะลงเท้า 3 ครั้ง และหายใจออก 2 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บได้ดีขึ้น เพราะช่วงที่เราหายใจอยู่นั้น กล้ามเนื้อจะมีการยืดหด และจะเห็นได้ว่าจังหวะหายใจเข้า จะสลับกันระหว่างซ้ายและขวา ทำให้กะบังลมไม่ต้องรับแรงกระแทกอยู่ที่ข้างใดข้างหนึ่งนั่นเอง แต่ในการนำไปใช้ช่วงแรกควรลองฝึกหายใจ โดยการเดินวอร์มอัพเบา ๆ ก่อน เพื่อปรับตัวให้คุ้นเคยกับการหายใจและจังหวะลงของเท้า


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    วิ่งอย่างไร ไม่ให้เจ็บ

    ขาดการออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายขาดวิตามิน

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    50+ ร่างกายเปลี่ยนไป แค่ไหนกัน

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    อาหารของโรคไต

    อาหารของโรคไต ป้องกันภาวะไตเสื่อม

    อาหารของโรคไต และอาหารป้องกันภาวะไตเสื่อม

    หลายท่านคงเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของโรคไตมาแล้ว และคงทราบเกี่ยวกับ อาหารของโรคไต หรืออาจเคยเห็นผู้ป่วยโรคไตซึ่งต้องรับประทานยาต่อเนื่องหรือต้องฟอกไต ซึ่งถ้าเข้าสู่กระบวนการอย่างหลังจะหมายถึง ไตไม่สามารถทำหน้าที่ได้เหมือนเดิมแล้ว สร้างความทรมานต่อผู้ป่วยอย่างยิ่ง ทั้งยังต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อรักษาพยาบาล

    ทว่าการแพทย์ในปัจจุบันก้าวหน้ามากจึงสามารถรักษาดูแลและยืดอายุผู้ป่วยโรคไตได้ยาวนานขึ้น พร้อมทั้งสิทธิในการรักษาพยาบาลหรือแม้กระทั้งการปลูกถ่ายไต เช่น หลักประกันสุขภาพ (30 บาท) ประกันสังคมสิทธิของราชการ เว้นกรณีผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาซึ่งไม่ได้อยู่ในข้อกำหนด คนไข้จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง

    อาหารผู้สูงอายุที่มีปัญหาโรคไต

    การแพทย์แผนไทยกล่าวถึง “ไต” (ปิหกัง หรือในพุทธศาสนาเรียกว่า วักกัง)เป็นอวัยวะหนึ่งในธาตุดิน (ปถวีธาตุ) มีอยู่สองข้าง ซ้าย – ขวา ติดไปทางด้านหลังส่วนของกลางหลัง มีหน้าที่กรองน้ำต่าง ๆ(อาโปธาตุ) ของร่างกาย และสังเกตการทำงานของไตได้จากการขับถ่ายปัสสาวะ (น้ำมูตร)

    หลายคัมภีร์(เนื้อเรื่องตำรา)ในการแพทย์แผนไทย กล่าวเกี่ยวกับความผิดปกติของปัสสาวะไว้ทั้งอาการปกติจนถึงอาการผิดปกติต่าง ๆ ทั้ง สี กลิ่น สิ่งที่ขับออกมากับปัสสาวะ เช่น เลือด น้ำดี นิ่ว เมือกมูกต่างๆ หรือแม้กระทั่งหนองและน้ำตาลหรือโปรตีนที่ปนมากับปัสสาวะ หรือลักษณะการขับปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะขัด ขับกะปริบกะปรอย

    อาการเหล่านี้บ่งบอกถึงความไม่ปกติของร่างกาย ทั้งอาจป่วยเป็นโรคอื่น เช่น เป็นกษัยปู (โรคกระเพาะที่มีความรุนแรง) ป่วยเป็นไข้ที่มีอาการรุนแรงหรือเป็นกษัยไตพิการเหล่านี้เป็นอาการของไตที่มีภาวะความเสื่อมจากการมีอายุมากขึ้นและไตนั้นเสื่อมตามสภาพ(ธรรมชาติ) หรือเสื่อมจากการป่วยเป็นโรค เช่น เบาหวานเรื้อรังจากยาหรือการรับประทานอาหารที่มีรสจัดมาก ๆ เป็นเวลานาน ทำให้ไตเสื่อมเร็วเพราะต้องกรองของเสียมากขึ้น

    โดยเฉพาะอาหารที่มีรสเค็ม อาหารหมักดอง หรืออาหารปรุงแต่งสำเร็จต่าง ๆ หรือจากการรับประทานยารักษาโรคประจำตัวอยู่นานและไม่ระมัดระวังเรื่องอาหาร ก็ส่งผลให้ไตทำงานหนักและเสื่อมเร็วขึ้น บางครั้งทำให้บวมตามร่างกาย ปวดบริเวณกลางหลังเพียงแค่ใช้มือลูบหรือเคาะเบา ๆ ก็จะปวดสะดุ้ง ซึ่งต้องแยกจากอาการของกล้ามเนื้อหลังอักเสบ และมักมีปัสสาวะผิดปกติ เช่น ขุ่น มีตะกอน เป็นฟอง มีกลิ่นฉุนผิดปกติหรือมีอาการบวมผิดปกติ ฯลฯ หากมีอาการเหล่านี้ควรเร่งปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจอาการและนำไปสู่การรักษาที่เหมาะสม

    การรักษาโรคไตในแบบแพทย์แผนไทยมักใช้ยาที่มีฤทธิ์ช่วยขับปัสสาวะ เสริมการทำงานของไตหรือบำรุงไตและอวัยวะอื่นไปพร้อม ๆ กัน หรือจะใช้ยาที่ทำหน้าที่ขับความร้อนโดยขับปัสสาวะหรือการลดบวมต่างๆ หรือขับของเสียให้ออกทางน้ำมูตร (ปัสสาวะ)หรือบำรุงไตเป็นต้น ทั้งนี้จะไม่ใช้วิธีดังกล่าวในผู้ที่ต้องทำการฟอกไต เพราะต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์เฉพาะทางเพื่อประโยชน์ของคนไข้และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะอันตราย

    อาหารโรคไต

    โดยสมุนไพรที่ใช้จะมีรสจืดเป็นส่วนใหญ่เพื่อช่วยขับปัสสาวะ เช่น ผักกาดน้ำ รากหรือตาไผ่ป่า ขลู่ ตำลึง เหง้าสับปะรดหญ้าหนวดแมว หรือสมุนไพร รสเปรี้ยวเพื่อช่วยขับปัสสาวะและรักษาดุลน้ำหรืออาโปธาตุของร่างกาย เช่น ดอกกระเจี๊ยบแดงเนื้อสับปะรด หรือสมุนไพร รสปร่า (เผ็ดร้อนน้อย) เพื่อรักษาสมดุลของธาตุไฟและ ธาตุลมที่ส่งเสริมให้การขับถ่ายต่างๆ ที่ส่งเสริมให้การขับถ่ายต่าง ๆ ระบบการย่อยการเผาผลาญ การไหลเวียนเป็นปกติ เช่น ตะไคร้ หรืออาจใช้สมุนไพรที่มีรสเค็มเล็กน้อย เพื่อเสริมฤทธิ์ในการขับปัสสาวะและรักษาดุลของอาโปธาตุ สมดุลน้ำและเกลือแร่ อย่างโคกกระสุนที่ช่วยขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ

    ข้อมูลโดย : อาจารย์วันทนี ธัญญา เจตนธรรมจักร ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนไทย

    ชีวจิต Tips กินอย่างไร ไตไม่เสื่อม

    สิ่งสำคัญคือการดูแลตัวเอง โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารที่เป็นหัวใจสำคัญในการชะลอไตวายเรื้อรัง  ช่วยควบคุมอาการและดูแลไม่ให้ไตทำงานหนักจนเกินไป โดยอาหารที่ควรระมัดระวังในการรับประทานคือ

    1) เนื้อสัตว์ เพราะหากรับประทานมากจนเกินไปจะส่งผลเสีย ทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้นและเกิดการคั่งของของเสีย แต่หากรับประทานน้อยไปอาจสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ภูมิคุ้มกันตำลง เสี่ยงในการเสียชีวิตได้

    2) ข้าวและแป้ง อาหารกลุ่มนี้มีแหลงโปรตีนในปริมาณที่แตกต่างกัน อาจทำให้ผู้ป่วยไตเสื่อมระยะ 3-5 จำกัดการรับประทานโปรตีนได้ยาก ผู้ป่วยควรได้รับความรู้ในการเลือกกลุ่มแป้งที่ถูกต้องและปลอดภัย เช่น วุ้นเส้น ก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ และสาคู เพื่อให้การรักษาโรคไตเสื่อมเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

    3) ไขมัน ไขมันที่ดีคือไขมันไม่อิ่มตัวสูง ไขมันอิ่มตัวสูงพบในมันและหนังสัตว์ น้ำมันจากสัตว์ เป็นต้น

    4) ผักและผลไม้ เเหล่งเเร่ธาตุที่มีความสำคัญมาก เเต่เมื่อไตสูญเสียความสามารถในการรักษาสมดุลเกลือเเร่บางตัว การเลือกรับประทานผักผลไม้ที่มีเเร่ธาตุต่ำจึงมีความสำคัญต่อการรักษาอย่างมาก ผลไม้กับผลที่ควรเลือกทานขึ้นอยู่กับ ระดับโพแทสเซียม เเมกนีเซียม เเคลเซียม เเละโซเดียมในเลือดขณะนั้น

    5) เกลือ หากรับประทานมากเกินไปจะทำให้ได้รับโซเดียมเกินความจำเป็น อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น

    6) น้ำ ผู้ที่ไตขับปัสสาวะได้ลดลงมีความจำเป็นต้องจำกัดปริมาณน้ำดื่มเพื่อป้องกันภาวะบวมน้ำเเละน้ำท่วมปอด ปริมาณน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวันจะนับรวมถึงอาหารทุกชนิดที่เป็นของเหลวเเละเครื่องดื่ม เช่น น้ำเปล่า ซุป น้ำผลไม้ น้ำผัก เป็นต้น 

    และไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ต้องดูแล โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไตต้องใส่ใจเป็นพิเศษ อยากให้ทุกคนตระหนักถึงโรคไตและป้องกันโรคไตด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลี่ยงอาหารเค็มจัด หวานจัด ดื่มน้ำวันละ 8 – 10 แก้ว ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่ ตรวจคัดกรองไตอย่างน้อยปีละครั้ง สำหรับผู้ป่วยโรคไตควรพบแพทย์ตามนัดหมายและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

    ที่มา : โรงพยาบาลกรุงเทพ

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    แดเนียลแพลน สูตรลดอ้วน ข้ามศตวรรษ

    ถ่ายเป็นเลือด สัญญาณผิดปกติในลำไส้ใหญ่

    สวยอ่อนเยาว์ ด้วยอาหารเกาหลี

    ลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำง่าย ได้ผลชัวร์

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    อาหารเพื่อสุขภาพ

    คุณหมอขอตอบ อาหารแพลนต์เบสด์ ดีต่อสุขภาพ จริงหรือ?

    อาหารแพลนต์เบสด์ ดีต่อสุขภาพ จริงหรือไม่

    อาหารแพลนต์เบสด์ (Plant-Based Diet) เป็นรูปแบบการกินอาหารที่ได้ชื่อว่า “ดีต่อสุขภาพ” ช่วยป้องกันควบคุมโรค NCDs จึงช่วยชะลอการเสียชีวิตได้

    เช่นเดียวกับอาหารเมดิเตอร์เรเนียน อาหารแดช ซึ่งอาหารทั้งหมดนี้ต่างมีงานวิจัยมากมายที่ยืนยันประโยชน์ต่อสุขภาพ ไปในทางเดียวกัน ล่าสุดเมืองไทยเองก็มีงานวิจัยอาหารแพลนต์เบสด์ ที่ทดลองในคนไทย โดยใช้เมนูอาหารไทยทั้งคาวและหวาน ซึ่งได้ผลวิจัยที่น่าสนใจไม่น้อย แถมยังล้มล้างความเชื่อที่ว่า อาหารไทยไม่ดีต่อสุขภาพลงได้ด้วย อาหารแพลนต์เบสด์แท้จริงแล้วคืออะไร มีวิธีกิน อย่างไร ผลวิจัยอาหารแพลนต์เบสด์ที่ทดลองในคนไทย มีอะไรน่าสนใจบ้าง เราจะพาไปหาคำตอบค่ะ

    นอกจากอาหารจะช่วยให้ท้องอิ่ม ร่างกายมีพลังงานแล้ว อาหารยังสัมพันธ์กับสุขภาพของเราอีกด้วย เหมือนคำที่ว่า “You are what you eat.” หากกินอาหารที่ดี ร่างกายก็มีโอกาสแข็งแรง

    แต่หากกินอาหารที่ไม่ดี ร่างกายก็มีโอกาสย่ำแย่ โรคภัยรุมเร้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มโรค NCDs เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โขมันในเลือดสูง อ้วน โรคเกี่ยวกับหลอดเลือด ที่สำคัญกลุ่มโรคนี้ ยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตและความพิการอันดับต้น ๆ ในคนทั่วโลก

    เปิดโลกอาหาร แพลนต์เบสด์

    ชีวจิตได้รับเกียรติจาก นายแพทย์สันต์ ใจยอดศิลย์ แพทย์ด้านเวชศาสตร์ครอบครัว ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกูรูแพลนต์เบสด์เมืองไทย ที่รู้จริงทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ท่านจะมาให้ความรู้เรื่องอาหารแพลนต์เบสด์และงานวิจัยล่าสุดที่เราเกริ่นนำไว้ค่ะ

    อาหารแพลนต์เบสด์คืออะไร

    แพลนต์เบสด์ (Plant-Based) เป็นรูปแบบการกินอย่างหนึ่ง (Dietary Pattern) ที่หมายถึงการกินพืชเป็นหลัก ถ้าแบบคลาสสิก คือไม่มีเนื้อสัตว์เลย แต่ยังมีกลุ่มย่อยที่นอกจากจะกินพืชเป็นหลัก แล้วก็ยังกินเนื้อสัตว์ด้วย เช่น ปู ปลา กุ้ง หอย เป็ด ไก่ ขณะเดียวกันก็มีส่วนน้อยที่กินเนื้อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งเรียกกว้าง ๆ ว่า “The Flexitarian Diet” หรือมังสวิรัติแบบยืดหยุ่น

    เรารู้แน่ชัดได้อย่างไรว่า อาหารแพลนต์เบสด์ ดีต่อสุขภาพ

    จริง ๆ รูปแบบการกินเป็นสิ่งที่ติดอยู่กับมนุษย์มานานมากแล้ว แต่พอผู้คนเริ่มป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจมากขึ้น ก็เริ่มมีการตั้งคำถามว่า “จะทำอย่างไรให้อัตราการตายของโรคนี้ลดลง”

    นั่นจึงนำมาสู่งานวิจัยอาหารของแต่ละชุมชน ทำให้พบความสัมพันธ์ของอาหารกับสุขภาพในบางชุมชนตามมา เช่น อาหารบางชุมชนสัมพันธ์กับการเป็นโรคหัวใจน้อย อาหารบางชุมชนสัมพันธ์กับการเป็นโรคหัวใจมาก ซึ่งข้อหลังนี้พบเป็นส่วนใหญ่ด้วย

    ตั้งต้นเลยคือการค้นพบ “อาหารเมดิเตอร์เรเนียน” (The Mediterranean Diet) จากงานวิจัยชื่อ Seven Countries Study ของแอนเซล บี. คีย์ส (Ancel B. Keys) และคณะเมื่อปี 1950 – 1960 พบว่า ชาวกรีช ชาวอิตาลีในเมืองมอนเตจิออร์จิโอ และชาวโครเอเชียในเมืองดัลเมเชีย ซึ่งต่างเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีอัตราการป่วยด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจต่ำ แต่ไม่รู้สาเหตุแน่ชัด จนเมื่อดูอาหารการกินของคนเหล่านั้นก็พบว่าอาหารส่วนมากได้แคลอรีจากพืชราว 60 – 80 เปอร์เซ็นต์ หลัก ๆ จะเป็น ธัญพืช ข้าว แป้งไม่ขัดสี ถั่ว พืชหัวใต้ดิน มันเทศ มันฝรั่ง แม้จะให้ไขมันสูง แต่ก็เป็นไขมันที่ดี เน้นการกินผักผลไม้ กินปลา แต่ลดการกินเนื้อแดงและเนื้อแปรรูป

    ในงานวิจัยที่มีชื่อเสียงอีกชิ้นหนึ่ง ชื่อ Lyon Diet Heart Study ซึ่งทำที่เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี 1993 นำอาสาสมัครที่มีไขมันในเลือดสูงเท่ากัน ระดับคอเลสเตอรอลเท่ากันมาแบ่ง เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้กินอาหารมดิเตอร์เรเนียน กลุ่มที่สองให้กินอาหารยุโรป-อเมริกันแบบปกติ หลังติดตามไป 46 สัปดาห์พบว่า กลุ่มที่กินอาหารเมดิเตอร์เรเนียนมีอัตราเสียชีวิตจากโรคหัวใจน้อยกว่า ทำให้เห็นประโยชน์ของอาหารเมดิเตอร์เรเนียนที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

    คราวนี้พอคนรู้ว่ารูปแบบการกินบางแบบ ช่วยให้ป่วยน้อยลง ก็เป็นที่มาของการพยายามรักษาโรคโดยการเปลี่ยนรูปแบบของอาหารที่กิน

    อาหารแพลนต์เบสด์

    งานวิจัยที่จะกล่าวถึงต่อไปคืองานวิจัยของดอกเตอร์ ดีน ออร์นิช (Dean Ornish) และดอกเตอร์คาลด์เวลล์ เอสเซลสตีน (Caldwell Esselstyn) ซึ่งทดลองใช้ “อาหาร วีแกน” (Vegan Dietary) มารักษาผู้ป่วยโรคหัวใจ

    อาหารวีแกนเลียนแบบอาหารเมดิเตอร์เรเนียน แต่พยายามไปให้สุดโต่งยิ่งกว่า คือไม่กินอาหารที่มีส่วนประกอบใด ๆ ที่มาจากสัตว์เลย หลังนำอาหารวีแกนมารักษาผู้ป่วยโรคหัวใจก็พบว่า “ได้ผล” และเป็นต้นแบบว่าอาหารจากการกินพืชเป็นหลักสามารถรักษาโรคหัวใจได้

    ในระหว่างที่ดอกเตอร์ออร์นิชและดอกเตอร์เอสเซลสตีน ทำวิจัยนั้น ก็มีศัพท์ “Whole Food” เพิ่มเข้ามา กลายเป็น “Plant-Based, Whole Food” เพื่อจะย้ำว่าพืชที่กินนั้น ต้องอยู่ในรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด เช่น ถ้าเป็นธัญพืชหรือข้าวก็ต้องไม่ขัดสี หรือขัดสีให้น้อยที่สุด ถ้าเป็นพืชที่ให้อาหารไขมันก็ต้องเป็นพืชทั้งเมล็ดหรือทั้งผล ไม่ได้สกัดมาแค่น้ำมันเท่านั้น พูดง่าย ๆ ว่า “Plant-Based, Whole Food คือไม่สกัดไม่ขัดสี” กรณีที่ปั่นผักหรือผลไม้เพื่อดื่มก็ต้องปั่นโดยไม่ทิ้งกาก

    งานวิจัยขนาดใหญ่ที่ควรพูดถึงอีกชิ้นคืองานวิจัยของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา (National Institutes of Health : NIH) เกี่ยวกับ “อาหารแดช” (Dietary pproaches to Stop Hypertension : DASH Die แม้อาหารแดชจะยังเน้นกินพืชเป็นหลัก แต่ก็มีการ ปรับลดบางส่วนลงเพื่อให้กินได้สบายขึ้น ได้แก่ กินธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วเมล็ดแห้ง งา ถั่วเปลือกแข็งวันละกำมือ หวานน้อย เค็มน้อย น้ำมันน้อย กินผักผลไม้ เมื่ออาสาสมัครที่มีโรคความดันโลหิตสูงกินอาหารแดชไประยะหนึ่งก็พบว่า อาหารแดชสามารถลดระดับความดันโลหิตได้ดีเทียบเท่าหรือดีกว่ายาลดความดันโลหิตบางชนิด

    นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ติดตามคนไข้เป็นโรคไตเรื้อรัง นาน 8 ปี พบว่า กลุ่มที่กินอาหารมังสวิรัติโดยรวม (หมายรวม ทุกกลุ่มย่อย ไม่ว่าจะกินนม กินไข่ กินปลา) มีอัตราการเสียชีวิต 11 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกลุ่มที่กินอาหารที่มีเนื้อสัตว์ กลับมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 59 เปอร์เซ็นต์

    ฉะนั้นงานวิจัยที่หยิบยกมาเล่าทั้งหมดนี้บ่งชี้ไปในทางเดียวกันว่า “อาหารพืชเป็นหลักอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโพแทสเซียม แคลเซียม และแมกนีเซียม ที่มีผลในการควบคุมระดับความดันโลหิต ดังนั้นอาหารพืชจึงไม่เพียงแต่สามารถรักษาโรคเรื้อรังอย่าง ความดันโลหิตสูงหรือไตวายเรื้อรังได้เท่านั้น ยิ่งถ้าปราศจาก ไขมันแอลดีแอลด้วยแล้ว ก็ยิ่งรักษาโรคไขมันในเลือดสูง และกลุ่มโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดต่าง ๆ ได้ด้วย

    อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญของการกินอาหารแพลนต์เบสด์ คือต้องกินอาหารหมู่อื่น ๆ ควบคู่กันไปด้วย ได้แก่ คาร์ โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน ในสัดส่วนที่เหมาะสม เพราะ ถ้ากินแต่ผักผลไม้อย่างเดียว ร่างกายจะมีพลังงานไม่เพียงพอ และขาดสารอาหารที่จำเป็น ทำให้เกิดความผิดปกติของร่างกายตามมาได้

    ข้อมูลจาก นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 595

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    สวยอ่อนเยาว์ ด้วยอาหารเกาหลี

    กำราบ สิว ใน 21 วัน ด้วยแพทย์แผนจีน

    12 อาหาร คาร์โบไฮเดรต คู่หูใหม่ คนไซส์ XL

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    แพ้อากาศ ลิ้น

    สังเกตลิ้น เช็ค แพ้อากาศ + ไรฝุ่น

    สังเกตลิ้น เพื่อเช็คดูว่า แพ้อากาศ และไรฝุ่นมั้ยนะ

    ช่วงปลายฝนต้นหนาว บางคนมักมีอาการ แพ้อากาศ หรือบางครั้งไม่เกี่ยวกับสภาพอากาศ แต่เป็นเพราะขาดการพักผ่อน มีความเครียด หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีสารก่อภูมิแพ้ก็สามารถทำให้อาการกำเริบได้

    แพทย์จีนนภษร แสงศิวะฤทธิ์ อาจารย์ประจำคณะการแพทย์แผนจีน มีคำแนะนำเกี่ยวกับการเช็คลิ้น เพื่อดูอาการแพ้อากาศ ดังนี้

    ลิ้น
    เช็กลิ้นเพื่อดูอาการแพ้อากาศ

    สังเกตลิ้นเช็ค แพ้อากาศ +ไรฝุ่น

    มีผู้ป่วยหญิงอายุ 21 ปี คนหนึ่ง มาพบหมอ ด้วยอาการผื่นคันลมพิษที่แขน ขาและลำตัว อาการเป็นๆหายๆมาเกือบ 2 ปีแล้ว โรคมักกำเริบในช่วงนอนน้อย มีความเครียด และมักเกิดหลัง 6 โมงเย็น

    เมื่อซักประวัติ พบว่า เธอมีอาการอื่นๆร่วมด้วยคือ เหงื่อออกมากตอนกลางวัน คอแห้ง กระหายน้ำบ่อย ฝ่ามือ ฝ่าเท้าร้อน อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ขี้หงุดหงิด ปัสสาวะบ่อยทุก 1-2 ชั่วโมง ประจำเดือนมาตรงเวลาสม่ำเสมอ ประจำเดือนสีแดงสด มีลิ่มเลือดปน มักมีอาการปวดท้องเมื่อมีประจำเดือน ชีพจรเต้นลื่น เล็ก เร็ว

    ส่วนพฤติกรรมด้านอื่นๆของเธอนั้น คือ อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียม ซึ่งอาจมีไรฝุ่นและสภาพอากาศไม่ถ่ายเท ชอบกินอาหารทะเล ดื่มน้ำเย็น ถ่ายเป็นปกติทุกวัน วันละครั้งไม่เคยเข้ารับการตรวจสกินเทสต์ (Skin Test) ไม่มีโรคประจำตัวและไม่มีประวัติการแพ้ยา

    หมอได้ทำการตรวจลิ้น พบว่า ลิ้นมีสีแดงคล้ำ มีตุ่มเม็ดสีแดงคล้ายกับตุ่มในผลสตรอว์เบอร์รี่บนลิ้นและมีฝ้าขาวเป็นเยื่อบางๆ เส้นเลือดใต้ลิ้นมีสีม่วงคล้ำ ริมฝีปากแห้งและคล้ำ

    ก่อนจะทำการวินิจฉัยอาการของผู้ป่วยหญิงท่านนี้ เรามาเช็กสภาพลิ้นในภาวะต่าง ๆ กันก่อน

    ลิ้น
    เช็กลิ้นเพื่อดูอาการแพ้อากาศ

    สำหรับคนที่ร่างกายอยู่ในสภาวะปกติ ฝ้าบนลิ้นจะเป็นสีขาวบาง สามารถมองเห็นลิ้นเป็นสีแดงอ่อน แต่หากฝ้าบนลิ้นค่อยๆเปลี่ยนจากเยื่อบางเป็นเยื่อหนา แสดงว่า การดำเนินของโรครุนแรงขึ้น ในถ้ากลับกัน ถ้าฝ้าบนลิ้นค่อยๆเปลี่ยนจากเยื่อหนาเป็นเยื่อบาง แสดงว่า สุขภาพของผู้ป่วยดีขึ้น

    ฝ้าบนลิ้นชุ่มชื้น แสดงว่า มีความชื้นสะสมในร่างกายค่อนข้างมาก แต่ ถ้า ฝ้าบนลิ้นแห้ง แสดงว่า สารน้ำในร่างกายถูกทำลายไปมาก ซึ่งสามารถแบ่งเป็น ร้อนและย็น แยกชนิดได้จากสี คือ ฝ้าสีเหลืองแสดงว่า ร่างกายมีภาวะโรคร้อน ฝ้าสีขาว แสดงว่า ร่างกายมีภาวะโรคเย็น

    เส้นเลือดใต้ลิ้นค่อนข้างคล้ำ แสดงว่า ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี แต่ถ้า เส้นเลือดใต้ลิ้นซีด แสดงว่า มีภาวะเลือดและลมปราณพร่อง

    สำหรับผู้ป่วยหญิงท่านนี้ หมอวินิจฉัยจากลิ้นและพฤติกรรมต่างๆได้ว่า ร่างกายอยู่ในภาวะเลือดร้อน ระบบไหลเวียนเลือดติดขัด จึงทำให้มีอาการแพ้ หมอรักษาโดยการให้ผู้ป่วยกินยาสมุนไพรจีนเพื่อช่วยปรับสมดุลร่างกาย ทำให้ความรุนแรง ความถี่ และอาการคันลดลง

    เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว เราควรสังเกตสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงของเราทุกวัน ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ โดยการเช็กลิ้นหรืออาการผิดปกติอื่นๆ รวมถึง ตรวจสอบพฤติกรรมด้านต่างๆในชีวิต เช่น อาหาร อารมณ์ สภาพแวดล้อม ที่อยู่อาศัย ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพของเราทั้งสิ้น

    การหมั่นสังเกตเป็นหนทางช่วยป้องกันความป่วยไข้และทำให้สุขภาพแข็งแรงได้ค่ะ

    ข้อมูลเรื่อง “สังเกตลิ้น เช็ค แพ้อากาศ + ไรฝุ่น” จากนิตยสารชีวจิต

    ลิ้นเป็นแผลบ่อย ๆ เตือนไว้เลย โปรดระวัง มะเร็งลิ้น

    โรคมะเร็งลิ้น เป็นหนึ่งในโรคมะเร็งช่องปากที่มีความรุนแรง และมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยค่อนข้างมาก โดยสาเหตุหลักของการเกิดโรคมาจากพฤติกรรมสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาถึงพฤติกรรมการเคี้ยวหมาก และการมีแผลบริเวณลิ้นเรื้อรัง ซึ่งอาจจะมีส่วนทำให้เกิดโรคมะเร็งลิ้นได้

    แพทย์เฉพาะทางด้านโสต ศอ นาสิกวิทยา อนุสาขาด้านศัลยกรรมโรคมะเร็งศีรษะและลำคอ โรงพยาบาลเวชธานี อธิบาย “ลิ้น” เป็นอวัยวะสำคัญในการรับรสชาติ การรับประทานอาหารและการพูด และเป็นอวัยวะที่สามารถเกิดมะเร็งได้เหมือนกับอวัยวะอื่น ๆ หรือที่เรียกว่า “มะเร็งลิ้น” โดยโรคมะเร็งลิ้น จัดเป็นโรคมะเร็งในช่องปากที่พบบ่อยที่สุด หากไม่ได้รับการรักษาอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างรุนแรง

    อาการแสดงที่ควรสงสัยว่าอาจเป็นโรคมะเร็งลิ้น ได้แก่ มีก้อน เจ็บ หรือมีแผลที่ลิ้นเรื้อรังนานประมาณ 2–4 สัปดาห์ขึ้นไป หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที เนื่องจากหากพบว่าเป็นโรคมะเร็งลิ้นตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โอกาสในการรักษาหายมีมากกว่า

    หลักการวินิจฉัยของโรคมะเร็งลิ้น เบื้องต้นแพทย์จะตรวจดูลักษณะและขนาดของก้อนหรือแผล และตัดตัวอย่างชิ้นเนื้อตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อให้ได้ผลตรวจยืนยันอย่างทางการ รวมถึงอาจมีการทำ CT Scan หรือ MRI ร่วมด้วย เพื่อดูขนาดของก้อนเพิ่มเติม

    การรักษาโรคมะเร็งลิ้น จะขึ้นกับระยะของตัวโรคและสุขภาพของผู้ป่วย โดยส่วนใหญ่จะเริ่มด้วยการผ่าตัดเป็นหลัก จากนั้นจะดูความรุนแรงของโรคจากผลชิ้นเนื้อหลังการผ่าตัดประกอบว่าผู้ป่วยควรได้รับรังสีรักษา และหรือให้ยาเคมีบำบัดต่อไปหรือไม่ ซึ่งหลักการของการผ่าตัดลิ้น ที่สำคัญคือเอาส่วนที่เป็นมะเร็งออกให้หมด และจะพิจารณาต่อไปว่าสูญเสียเนื้อลิ้นไปเพียงใด และสามารถซ่อมแซมอย่างไรได้บ้าง หากสูญเสียไม่มาก อาจซ่อมแซมโดยการเย็บปิดแผลได้เลย แต่หากสูญเสียเนื้อลิ้นมาก อาจจำเป็นต้องนำเนื้อเยื่อบริเวณอื่นมาซ่อมแซม เพื่อให้ลิ้นมีรูปร่างและการทำงานใกล้เคียงภาวะปกติ เช่น ผิวหนังบางๆบริเวณต้นขา ผิวหนังและหรือร่วมกับกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก ผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังแบบหนาบริเวณแขนหรือต้นขายกลอยมาซ่อมแซมซึ่งกรณีนี้ต้องมีการเย็บต่อเส้นเลือด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสุขภาพผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์ บางกรณีอาจต้องมีการผ่าตัดเลาะต่อมน้ำเหลืองที่คอร่วมด้วยเนื่องจากมะเร็งลิ้นมักจะมีการแพร่กระจายไปตามต่อมน้ำเหลืองที่คอ ส่วนในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ แพทย์อาจพิจารณาให้รังสีรักษา และหรือให้ยาเคมีบำบัดต่อไป

    อย่างไรก็ตาม การสูญเสียเนื้อลิ้น อาจมีผลต่อการพูด และการรับประทานอาหารไปบ้าง แต่เนื้อลิ้นส่วนที่ยังอยู่ จะสามารถรับรสชาติได้เท่าหรือใกล้เคียงของเดิม

    “เวลา” เป็นสิ่งสำคัญในชีวิต ในเรื่องของมะเร็งลิ้นก็เช่นกัน หากปล่อยทิ้งไว้นาน แล้วไม่ได้รับการรักษาจนกระทั่งผ่าตัดไม่ได้ หรือมีการลุกลามหรือแพร่กระจายของมะเร็ง การรักษาจะยากลำบากมากกว่า ทำให้เสียโอกาสที่จะรักษาหายไป แต่หากตรวจพบเร็ว อาจจะผ่าตัดได้ในระยะเริ่มต้น การพยากรณ์โรคก็จะดีกว่า โอกาสหายก็จะมากกว่า นายแพทย์ดนุภัทร กล่าว

    จะเห็นได้ว่าการเป็นมะเร็งลิ้นนั้นส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นเหนือสิ่งอื่นใด การป้องกันการเกิดโรคจึงมีความสำคัญที่สุด โดยหลีกเลี่ยงปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดโรคเช่น การสูบบุหรี่ และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลิ้นแล้ว ยังลดความเสี่ยงการเกิดโรคอื่นๆ และทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงอีกด้วย

    ข้อมูลจาก  โรงพยาบาลเวชธานี

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    แนะวิธีจับคู่ สมุนไพรรักษาโรค บำรุงเลือด ป้องกันไขมันพอกตับ

    สายกิน สายบุฟเฟ่ต์ต้องรู้ เทคนิคแก้ท้องอืดไว้ดูแลตัวเองหลังพุงระเบิด

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    ปรับลิ้นรับรส หยุดมะเร็งเต้านม มะเร็งสมอง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    โรคมะเร็ง

    เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส ผู้บัญญัติศัพท์ “Cancer” หรือมะเร็ง คนแรกของโลก

    เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส

    ฮิปโปเครตีส เป็นผู้ริเริ่มความเชื่อเรื่องการรักษาโรคโดยการปรับวิถีชีวิต เขาเชื่อว่า ร่างกายของมนุษย์สามารถรักษาตัวเองได้ตามธรรมชาติ โรคต่าง ๆ จึงสามารถหายได้โดยไม่ต้องวอนขอจากเทพเจ้า

    แนวทางการรักษาโรคตามแบบของเขา จึงมุ่งเน้นให้ผู้ป่วยดูแลตัวเองด้วยการกินอาหารสะอาด ดูแลความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ อยู่ในสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ พักผ่อนอย่างเพียงพอ และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม อันเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดในการดูแลสุขภาพที่เชื่อว่า มนุษย์ ทุกคนคือหมอรักษาตัวเอง

    กรีซ…ดินแดนแห่งตำนาน บิดาการแพทย์ยุโรป

    ย้อนกลับไปยังสมัยกรีกโบราณเมื่อกว่าพันปีก่อน จุดเริ่มต้นของการแพทย์แผนปัจจุบันได้ก่อกำเนิดขึ้น จากแนวคิดของ ฮิปโปเครตีส (Hippocrates) นักปราชญ์ชาวกรีก ผู้ได้ชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งวิชาการแพทย์” (Father of the Medicine)

    ฮิปโปเครตีสเกิดในช่วง 460 ปีก่อนคริสตกาล ที่เกาะโคส (Cose) ประเทศกรีช เขาคือผู้ปฏิวัติความเชื่อของชาวกรีกโบราณ ที่มนุษย์ต่างนิยมการบูชาเทพเจ้าและมีความเชื่อว่า โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการลงโทษของเทพเจ้า

    การรักษาผู้ป่วยในสมัยก่อนจึงมีรูปแบบที่แตกต่างออกไปจากทุกวันนี้ คือเมื่อเจ็บป่วยชาวกรีกโบราณจะใช้วิธีการรักษาโรคโดยการสวดมนต์วิงวอนและทำพิธีกรรมบูชาเทพเจ้า โดยผู้ป่วยจะต้องเดินทางไปยังโบสถ์ของเทพเอสกลีเพียส ซึ่งเป็นเทพแห่งการแพทย์ตามความเชื่อของชาวกรีก หลังจากนั้นจะต้องเข้ารับการรักษาจากแพทย์ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบุตรของเทพเอสกลีเพียส โดยมีทั้งวิธีการรักษา การสวดมนต์ อดอาหาร อาบน้ำชำระร่างกาย และทำพิธีบูชายัญ

    ทว่าฮิปโปเครตีสได้ทำลายความงมงายของผู้คน พร้อมทั้งวางหลักการวินิจฉัย โรคด้วยวิธีการแบบการแพทย์สมัยใหม่ โดยก่อนจะรักษาอาการใด ๆ ต้องมีการค้นหาเหตุของโรค จดบันทึกอาการ และสอบถามถึงประวัติส่วนตัวของผู้ป่วยอย่างละเอียด อันเป็นจุดเริ่มต้นของการรักษาโรคตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน

    เปิดตำราหมอ ฮิปโปเครตีส ผู้บัญญัติศัพท์ “Cancer”

    นอกจากแนวคิดด้านการรักษาผู้ป่วยแล้ว หนังสือเรื่องสู้มะเร็งด้วยหลินจือ เขียนโดยนายแพทย์สุรพล รักปทุม ได้กล่าวถึง ประวัติของฮิปโปเครตีสไว้ว่า ผลงานโดดเด่นของฮิปโปเครตีส คือการเป็นผู้บัญญัติศัพท์คำว่า “Cancer” หรือมะเร็ง เป็นคนแรกของโลก

    Cancer มีที่มาจากคำว่า “คาร์คินอส” หรือ “คาร์ซินอส” ในภาษากรีก ซึ่งแปลว่า ปู ซึ่งเปรียบเหมือนลักษณะการโตของ ก้อนมะเร็งที่มีการลุกลามไปยังเนื้อเยื่อรอบ ๆ เหมือนขาปู

    การรักษามะเร็งตามแบบของฮิปโปเครตีสจะเน้นการรักษาที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วย ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่นิยมการ ผ่าตัดให้ผู้ป่วยทันที หากยังไม่ทราบว่ามะเร็งมีการแพร่กระจายไปถึงส่วนใดอย่างแน่ชัด แต่จะเน้นให้ร่างกายของผู้ป่วยได้เยียวยาตัวเองก่อน

    และด้วยความเชื่อที่ว่า ร่างกายประกอบไปด้วยธาตุ 4 อย่าง คือ โลหิต เสมหะ น้ำดีสีเหลือง และน้ำดีสีดำ การรักษาโรค ให้หายจึงเป็นการสร้างความสมดุลให้ธาตุทั้ง 4 ในร่างกาย ด้วยการขับของเหลวส่วนเกินออกไป

    นี่จึงกลายเป็นต้นกำเนิดของการใช้พืชสมุนไพรในการรักษาอาการต่าง ๆ เช่น ใช้ขับเลือด ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ และใช้เป็นยาถ่าย ซึ่งมีการบันทึกไว้ในตำรายาของชาวกรีก และทำให้เกิดการพัฒนาด้านเภสัชกรรมในเวลาต่อมา

    จุดเริ่มต้นจรรยาบรรณแพทย์

    ไม่เพียงแต่การทำประโยชน์ในฐานะแพทย์ผู้ช่วยชีวิตของมวลมนุษยชาติ แต่เขายังได้ชื่อว่า เป็นผู้ริเริ่มการกล่าวคำปฏิญาณ สำหรับนักศึกษาแพทย์ที่เรียกว่า “Hippocratic Oath” ซึ่งได้กลายเป็นจรรยาบรรณที่แพทย์ในยุคปัจจุบันต้องยึดถือ

    สาระสำคัญของ Hippocratic Oath มีใจความเกี่ยวกับการปฏิบัติตนเพื่อประโยชน์สุขของผู้ป่วยที่อยู่ในความดูแล โดยต้องไม่เพิ่มความทรมานให้ผู้ป่วย เช่น ไม่ใช้ยาที่เป็นพิษต่อร่างกายของผู้ป่วย ไม่ทำแท้งให้สตรี

    อีกทั้งหากยังขาดความชำนาญ แพทย์ไม่ควรรักษาผู้ป่วย ด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง ไม่นำเรื่องของคนไข้มาเผยแพร่ และ รักษาสัตย์ในการเยี่ยมเยียนผู้ป่วยที่บ้าน เพื่อจุดประสงค์ในการดูแลผู้ป่วยเท่านั้น โดยไม่สร้างความเสียหายใด ๆ มีความสำรวม ไม่ล่วงเกินคนไข้

    แม้ว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์จะก้าวหน้าไปมากเพียงใด แต่จรรยาบรรณที่ได้รับการถ่ายทอดยังเป็นสิ่งที่ช่วยย้ำเตือนใจแพทย์ทุกยุคสมัยเสมอมา

    หมอมะเร็งคนแรกของโลก

    ยุคกรีกเป็นยุคที่มีการพูดถึงโรคมะเร็งอย่างแพร่หลาย โดยหมอที่ได้ชื่อว่าเป็นหมอด้านมะเร็งคนแรกของโลก คือ หมอชาวกรีก ชื่อกาเลน (Dr. Galen) หมอกาเลนสนใจเรื่องการผ่าตัดอย่างมาก ว่ากันว่าเขาเป็นผู้ริเริ่มการผ่าตัดสมองและผ่าตัดต้อกระจกในยุคสมัยกรีกโบราณที่ไม่มีใครกล้าทำ

    อีกทั้งยังสนใจการทดลองต่าง ๆ โดยเฉพาะการทดลองใช้พืชสมุนไพรเพื่อรักษาอาการผิดปกติในสัตว์ ก่อนจะนำมาใช้กับมนุษย์ จนกระทั่งเขาได้ค้นพบหลักการรักษาโรค 2 แบบ คือรักษาโรค โดยสิ่งที่มีคุณสมบัติตรงข้ามกับโรค และรักษาโรค โดยตัวยาที่เหมือนกับโรค

    ข้อมูลจาก นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 346

    5 วิธีรักษาโรคมะเร็ง แบบแพทย์แผนปัจจุบัน

    เนื่องจากยาเคมีบำบัดออกฤทธิ์ต่อเซลล์ที่มีการแบ่งตัว ทำให้ไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างเซลล์ปกติที่กำลังแบ่งตัว เช่น เซลล์รากผม เซลล์เยื่อบุทางเดินอาหาร กับเซลล์มะเร็งที่มีการแบ่งตัวได้ ทำให้เกิดผลข้างเคียง

    การพัฒนายาเคมีบำบัดในปัจจุบันนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เซลล์มะเร็งตอบสนองต่อการรักษามากขึ้น รวมถึงช่วยให้ผลของการรักษาที่จำกัดเฉพาะเซลล์มะเร็ง โดยมีผลต่อเซลล์ปกติอื่น ๆ น้อยที่สุด เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้

    1. การรักษาแบบมุ่งเป้า

    คุณหมอธีรภัทรอธิบายว่า การรักษาแบบมุ่งเป้า (Target Therapy) เป็นการรักษาโรคมะเร็งที่ต้องการให้ยาออกฤทธิ์จำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง โดยให้ยา หรือสารไปยับยั้งกระบวนการส่งสัญญาณระดับเซลล์ ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง

    ผู้ป่วยจำเป็นต้องมีตัวรับหรือเป้าหมาย (Target) ที่ตอบสนองต่อยา โดยก่อนเข้ารับการรักษา แพทย์จะต้องทำการตรวจผู้ป่วยก่อนว่ามียีนหรือตัวรับที่สามารถใช้รักษาได้หรือไม่

    2. ภูมิคุ้มกันบำบัด

    เนื่องจากโรคมะเร็งทำให้ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันต่ำ ร่างกายไม่สามารถตอบรับการรักษาด้วยยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ การให้ยาเพิ่มภูมิคุ้มกันจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวกลับมาทำงานเป็นปกติ สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ ซึ่งมีการนำไปใช้รักษากันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ แต่สำหรับในประเทศไทยอาจต้องใช้เวลาอีกประมาณ 3-5 ปี เพื่อดำเนินการขอการรับรองจากองค์การอาหารและยา

    3. ฮอร์โมนบำบัด

    คือการรักษาโรคมะเร็งด้วยการให้ยาฮอร์โมนเข้าไปยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนที่ส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง เช่น โรคมะเร็งเต้านมโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก

    4. วัคซีนรักษาโรคมะเร็ง

    วัคซีนรักษาโรคมะเร็ง นั้นมีความเเตกต่างจากวัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกและโรคไวรัสตับอักเสบ ซึ่งวัคซีนรักษาโรคมะเร็งนี้ผลิตขึ้นจากเซลล์มะเร็ง หรือชิ้นส่วนของเซลล์มะเร็ง หรือแอนติเจนของเซลล์มะเร็ง เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายแล้วจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ของภูมิคุ้มกันในการต่อต้านเซลล์มะเร็ง และมีแอนติบอดีที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น

    ปัจจุบันวัคซีนที่ได้รับการอนุญาตให้ใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาคือวัคซีนรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก

    5. การรักษาแบบใช้ยาเฉพาะบุคคล

    หลังจากโลกคิดค้นวิธีการถอดจีโนมระดับดีเอ็นเอเฉพาะรายได้สำเร็จ ซึ่งนำไปสู่การรักษาแบบใช้ยาเฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) ที่เหมาะสมกับยีนของแต่ละคน ทำให้การรักษามีความเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น ทั้งยังลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาและการแพ้ยาได้

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    แดเนียลแพลน สูตรลดอ้วน ข้ามศตวรรษ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    แดเนียลแพลน ลดน้ำหนัก

    แดเนียลแพลน สูตรลดอ้วน ข้ามศตวรรษ

    ชวนทำความรู้จัก แดเนียลแพลน สูตรลดอ้วน 2000 ปี

    ใครที่กังวลใจเรื่องน้ำหนักส่วนเกิน ซึ่งอาจนำพาโรคร้ายมาสู่ตัว วันนี้ เราขอแนะนำ แดเนียลแพลน สูตรลดอ้วนที่ คุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจหลอดเลือดและทรวงอก และคอลัมนิสต์คนดัง บอกเลยว่าดี โดยเป็นสูตรลดน้ำหนักที่มีที่มากว่า 2,000 ปี …ยาวนานอย่างนี้ ไม่ดีก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว

    DANIEL PLAN สูตรลดอ้วนยุคบาบิโลน

    ตำนานของ แดเนียลแพลน ในพระคัมภีร์

    อาหารเมดิเตอร์เรเนียนโด่งดังจากผลการศึกษาสุขภาพของประชากรที่อาศัยอยู่บนเกาะครีต (Crete) ประเทศกรีก ซึ่งพบว่า การกินอาหารที่มีพืชผักผลไม้ ถั่วต่างๆ น้ำมันมะกอก นม ไข่ไก่ ปลาและดื่มไวน์ของชาวบ้านนั้นทำให้พวกเขามีอายุยืน  แต่ไม่มีใครพูดถึงเรื่องเบื้องหลังว่า คนบนเกาะครีตนี้ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายกรีกออร์โธด็อกซ์ (Greek Orthodox) ซึ่งใช้การถือศีลอดเป็นวัตรปฏิบัติทางศาสนาที่สำคัญ

    ศาสนาคริสต์นิกายนี้มีวิธีถือศีลอดที่พิสดารหลากหลายแนวทาง สุดแต่ทางโบสถ์จะประกาศว่าเทศกาลไหนจะถือศีลอดรูปแบบใด ซึ่งรวมแล้วปีหนึ่งชาวบ้านต้องถือศีลอดประมาณ 190 วัน หมายความว่า ห้ามกินเนื้อสัตว์ทุกชนิดรวมทั้ง ไข่ นม น้ำมันมะกอกทุกวันพุธและวันศุกร์รวมถึง ห้ามดื่มไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย แต่กินหอยกาบ (Shellfish) ได้ อ้าว! ทำไมถึงเป็นอย่างงั้นละ เออ..ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

    รู้แต่ว่า การถือศีลอดแบบกรีกออร์โธดอกซ์เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้คนบนเกาะครีตอายุยืนกว่าคนทั่วไป แต่วงการแพทย์กลับไม่มีใครพูดถึงประเด็นนี้ คนทั่วไปก็เลยเหมาตามที่วงการแพทย์บอกว่า กินอาหารเมดิเตอร์เรเนียนทุกวันแล้วสุขภาพจะแข็งแรง แถมบางคนที่เห็นแก่กินยังเจาะจงเลือกเฉพาะอาหารที่ชอบ ต้องตะลุยกินนม ไข่ไก่ ปลาและดื่มไวน์ทุกวันอีกต่างหาก ส่วนผัก ผลไม้ ถั่วและนัทปริมาณเยอะๆ นั้นไม่กิน… อามิตตาพุทธ!

    ส่วนแดเนียลฟาสต์ (Daneil Fast) หรือการอดอาหารแบบแดเนียลนั้นเป็นเรื่องในพระคัมภีร์เก่า ที่เล่าว่า เมื่อ 605 ปีก่อนพระเยซูประสูติ กษัตริย์บาบิโลนได้เข้าตีกรุงเยรุซาเล็มแตกและเลือกเอาหนุ่มชาวยิวที่แข็งแรงและเฉลียวฉลาดไปเรียนรู้ศิลปะวิทยาการในวังบาบิโลนเป็นเวลาสามปี ซึ่งแดเนียลก็เป็นหนึ่งในคนหนุ่มเหล่านั้น

    โดยพระราชาให้พวกเขากินอาหารดีๆ เหมือนพระราชา ให้ดื่มไวน์ดีๆที่พระราชาดื่ม แต่แดเนียลปฏิเสธแล้วขอพัศดีว่า จะกินแต่พืชผักผลไม้และดื่มน้ำเปล่าเท่านั้น พัศดีบอกว่า

    “ได้ไง เดี๋ยวตอนจบคอร์สพระราชาเห็นหุ่นเจ้าทรุดโทรมเส็งเคร็งก็จะมากุดหัวข้านะสิ”

    แดเนียลจึงท้าว่า ให้ลองทำสักสิบวันก่อนก็ได้ “โดยข้ากับพวกอีกสามคนคือ ฮานาเนีย มิเชล และอาซาเรียที่กินแต่พืชผักผลไม้และดื่มน้ำเปล่า กับพวกอื่นที่กินแบบพระราชา ดูสิ! ใครจะโทรมมากกว่ากัน” แล้วการประลองก็เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการทำวิจัยแบบแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบทางโภชนาการครั้งแรกเท่าที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เลยทีเดียว

    เมื่อครบสิบวันปรากฎว่า กลุ่มของแดเนียลซึ่งกินแต่ผักผลไม้ หล่อจ๊าบกว่ากลุ่มที่กินเนื้อและดื่มไวน์ แดเนียลจึงได้กินอาหารมังสวิรัติและดื่มน้ำเปล่าตลอดสามปีที่ถูกกักขังไว้เพื่อเรียนวิทยายุทธ์ในวังบาบิโลน ครั้นจบคอร์สการอบรม พวกเขาต้องมาทอสอบต่อหน้าพระราชา ผลปรากฎว่า กลุ่มของแดเนียลทำคะแนนสอบได้สูงกว่ากลุ่มคนอื่นถึงสิบเท่า หมอสันต์ไม่ได้โม้นะ ในพระคัมภีร์เก่าเขียนไว้อย่างนี้จริงๆ

    ทราบที่มาของการอดอาหารแบบแดเนียล หรือแดเนียลฟาสต์ กันไปแล้ว ต้องทราบต่อว่าวิธีการนี้นิยมทำกันครั้งละสามสัปดาห์ วิธีการก็คือ งดเนื้อสัตว์และจั๊งฟู้ดทุกชนิด กินแต่ผัก ผลไม้ ถั่วนัทและดื่มน้ำเปล่าเท่านั้น ต่อมาวิธีนี้ได้กลายเป็นสูตรอาหารแบบถาวรที่ชื่อแดเนียลแพลน (Daneil Plan) ซึ่งมีหลักการอยู่ 5 F คือ

    1. Fruit & Vegetable คือกินแต่พืช
    2. Fitness คือออกกำลังกาย
    3. Focus คือมีสติจดจ่อกับเรื่องที่กำลังทำ
    4. Faith คือศรัทธาในพระเจ้า
    5. Friends คือมีพวกร่วมด้วยช่วยกัน

    โดยสูตรอาหารนี้ทำให้หมู่ผู้เคร่งศาสนาคริสต์ที่เมืองแซดเดิลแบค (Saddleback) ประเทศสหรัฐอเมริกา ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักอย่างสูง คือมีจำนวนผู้ปฏิบัติตามสูตรนี้อยู่หมื่นกว่าคน แต่ช่วยให้น้ำหนักลดลงได้แสนกว่ากิโลกรัม

    ใครอยากจะลองทำตามดูบ้างก็ลองเปิดหาสูตรแดเนียลแพลนในอินเตอร์เน็ทได้นะ

    ยาลดอ้วน อันตรายถึงตาย

    นักเรียน ม.6 กินยาลดความอ้วน เสียชีวิต เตือนโจ๋สาวลดอ้วน อย.ชี้อาจถึงเสียชีวิต” เป็นพาดหัวข่าวที่มีโอกาสได้เห็นอยู่บ่อย ๆ เพราะอาหารเสริมหรือยาลดน้ำหนักมีอันตรายแฝงอยู่ เพราะความสวยไม่เคยปราณีผู้หญิงส่วนใหญ่ในโลกนี้ จึงไม่แปลกที่จะต้องพยายามหาตัวช่วยในการกระตุ้นจิตใจให้ฮึกเหิมในการลดน้ำหนัก โดยเฉพาะช่วงแรกของการลดน้ำหนักซึ่งต้องใช้ทุกสิ่งอย่างมาช่วย มากระตุ้นให้ผ่านช่วงแรกไปให้ได้ จึงมีโอกาสเป็นเหยื่อของอาหารลดน้ำหนักหลายชนิด

    จะขอยกตัวอย่างยา(สารเคมี)ชนิดหนึ่ง ชื่อ ไซบูทรามีน เคยเป็นยาที่ใช้ลดน้ำหนักทั่วโลก โดยออกฤทธิ์รบกวนกระบวนการปกติ ในการสื่อประสาทของสาร serotonin และ norepinephrine ส่งผลต่อการรับรู้ ทำให้ไม่หิวรู้สึก หรืออิ่มเร็วขึ้นเมื่อได้รับสารนี้เข้าไป

    เมื่อ 3-5 ปี ก่อนหลายประเทศได้ถอนยาตัวนี้ออกบัญชีไปแล้ว เช่น ออสเตรเลีย กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา แคนาดา จีน ไทย เป็นต้น เพราะยาตัวนี้มีผลข้างเคียงหลายอย่าง เช่น ปากแห้ง คลื่นไส้ การรับรสผิดปกติ แน่นท้อง ท้องผูก นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ปวดประจำเดือนมากกว่าปกติ วูบวาบ ปวดตามข้อ และที่อันตรายคือ ส่งผลเสียต่อสมอง และหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตสูง และอาจเกิดหัวใจวายเสียชีวิต หากเกิดที่สมองก็จะทำให้พิการจากโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตหรืออาจเสียชีวิตได้

    ปัจจุบันมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้ง รีโมตโทรทัศน์ แอร์ บันไดเลื่อน ลิฟท์ โซเชียลมีเดีย ต่าง ๆ เหล่านี้ช่วยให้เราใช้พลังงานน้อยลงมาก การใช้ร่างกายน้อยเกินไป กล้ามเนื้อก็ฝ่อลีบ หัวใจก็ป้อแป้

    หากบังเอิญกินยาลดน้ำหนักเข้าไปอีกทีนี้จะพิการหรือเสียชีวิตโดยไม่รู้ตัวนะครับ

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    ถ่ายเป็นเลือด สัญญาณผิดปกติในลำไส้ใหญ่

    สวยอ่อนเยาว์ ด้วยอาหารเกาหลี

    ลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำง่าย ได้ผลชัวร์

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ยาแก้ปวดไมเกรน Ergotamine

    ต้องอ่าน! ยาแก้ปวดไมเกรน Ergotamine ใช้อย่างไรถึงจะปลอดภัย

    ยาแก้ปวดไมเกรน Ergotamine ใช้อย่างไรจึงจะปลอดภัย

    จัดเป็นมิตรรักขวัญใจคนเป็นไมเกรน เชื่อว่าคงไม่มีใครที่เผชิญกับอาการนี้ไม่เคยกิน ยาแก้ปวดไมเกรน Ergotamine อย่างแน่นอน แต่ยานี้ก็เป็นยาที่มีข้อบ่งใช้ค่อนข้างเฉพาะ และมีผลข้างเคียงที่ควรใส่ใจ เราจึงมาแนะนำการกินยาแก้ปวดไมเกรนอย่างปลอดภัยค่ะ

    ว่าด้วยอาการ ไมเกรน

    ไมเกรน (migraine) เป็นโรคปวดศีระษะที่พบได้บ่อยทั้งเด็กและผู้ใหญ่  สาเหตุของโรคเชื่อว่าอาจเกิดจากพันธุกรรม หรือ ปัจจัยกระตุ้น (trigger factor)จากสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่งผลทำให้หลอดเลือดแดง (vasodilation) ทั้งด้านในและด้านนอกกระโหลกเกิดการขยายตัวได้มากและง่ายกว่าคนปกติ และทำให้เกิดอาการปวดศีรษะในที่สุด

    การค้นหาปัจจัยกระตุ้นให้พบ และหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นเหล่านั้น เป็นการป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรนที่ดีและปลอดภัย แต่อย่างไรก็ดีการใช้ยารักษาอาการปวดศีรษะไมเกรนก็อาจมีความจำเป็นในผู้ป่วยบางราย เช่น ผู้ป่วยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นได้ หรือเมื่ออาการกำเริบผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะที่รุนแรง เป็นต้น

    ยาที่ใช้ในโรคปวดศีรษะไมเกรนอาจแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ

    • ยาที่ใช้รักษาอาการปวดศีรษะไมเกรนฉับพลัน (abortive drugs)
    • ยาที่ใช้ป้องกันการเกิดไมเกรน (preventive drugs)

    ยาที่พบว่ามีการใช้บ่อยและมีข้อควรระวังในการใช้ยาค่อนข้างมาก คือ ยา ergotamine ซึ่งเป็นยาประเภทที่ใช้รักษาอาการปวดศีรษะไมเกรนฉับพลัน

    ติดหวาน, ไมเกรน, กินหวาน, ปวดหัวไมเกรน, ไฮโปไกลซีเมีย ยาแก้ปวดไมเกรน Ergotamine

    Ergotamine คืออะไร

    Ergotamine เป็นยาที่ใช้สำหรับรักษาอาการปวดศีรษะไมเกรน ออกฤทธิ์ในการรักษาอาการปวดศีรษะโดยการกระตุ้นตัวรับของสารสื่อประสาทซีโรโทนิน (serotonin) ชนิด 1B และ 1D (5-HT1B และ 5-HT1D) ซึ่งส่งผลให้หลอดเลือดที่ขยายตัวผิดปกติเกิดการหดตัวลงและทำให้อาการปวดศีรษะหายไปในที่สุด นอกจากนี้ ergotamine ยังสามารถกระตุ้นตัวรับอื่นๆ ได้ ได้แก่  α-1 และ dopamine-2 (D2) ซึ่งการกระตุ้นตัวรับเหล่านี้จะทำให้เกิดผลข้างเคียงจากยา ergotamine

    ในประเทศไทยยา ergotamine มีชื่อทางการค้า เช่น

    • Cafergot®
    • Avamigran® 
    • Tofago® 
    • Poligot-CF®

    ซึ่งประกอบไปด้วยตัวยาสำคัญ คือ  ergotamine tartrate ขนาด 1 มิลลิกรัม ผสมอยู่กับ caffeine 100 มิลลิกร้ม  ส่วน Ergosia®จะประกอบไปด้วยตัวยาสำคัญ คือ ergotamine tartrate ขนาด 1 มิลลิกรัม เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

    การใช้ยา ergotamine ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร

    การใช้ยา ergotamine สำหรับรักษาโรคปวดศีรษะไมเกรนจะต้องใช้เฉพาะเวลาที่มีอาการปวดเท่านั้น ห้ามใช้ติดต่อกันทุกวันเพื่อป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรนเด็ดขาด 

    ขนาดการรับประทานยาที่เหมาะสม คือ รับประทานเมื่อมีอาการปวดศีรษะไมเกรนในครั้งแรก 1 หรือ 2 เม็ด จากนั้นทุกๆ ครึ่งชั่วโมงหากอาการไม่ดีขึ้นสามารถรับประทานซ้ำอีกครั้งละ 1 เม็ด

    • ห้ามรับประทานเกิน 6 เม็ดต่อวัน
    • ห้ามรับประทานยาเกิน 10 เม็ด ต่อสัปดาห์

    เนื่องจากหากรับประทาน ergotamine ในปริมาณที่มากกว่านี้อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น รวมทั้งมีอาการเจ็บหน้าอก คลื่นไส้ อาเจียนมากกว่าเดิมได้

    การใช้ยา ergotamine อย่างผิดวิธีส่งผลเสียอย่างไร

    Ergotamine เป็นยาที่ใช้เฉพาะเวลาที่มีอาการปวดศีรษะกำเริบเท่านั้น แต่ผู้ป่วยบางรายกลับรับประทานยา ergotamine ติดต่อกันทุกวันเพื่อป้องกันไม่ให้มีอาการปวดศีรษะไมเกรน ซึ่งถือว่าเป็นการใช้ยาอย่างผิดวิธีที่อาจส่งผลเสียรุนแรงต่อชีวิตของผู้ป่วยได้

    การรับประทานยา ergotamine ติดต่อกันไปเรื่อยๆ จะส่งผลทำให้ผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูงขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดในสมองแตก หรือ หัวใจวายได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจหรือหลอดเลือดสมองอยู่แล้ว  

    นอกจากนี้ในระหว่างที่ผู้ป่วยรับประทานยา ergotamine ติดต่อกันทุกวันนั้น หลอดเลือดแดงที่ผิดปกติจะถูกยา ergotamine ทำให้หดตัวอยู่ตลอดเวลาซึ่งผู้ป่วยจะไม่มีอาการปวดศีรษะไมเกรนเลย แต่เมื่อใดที่หยุดรับประทานยาหลอดเลือดดังกล่าวจะขยายตัวอย่างมากและทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนอย่างรุนแรง (rebound headache )

    ข้อควรระวังในการรับประทานยา ergotamine

    ผู้ป่วยที่รับประทานยา ergotamine อาจมีอาการดังต่อไปนี้

    • คลื่นไส้ อาเจียน เป็นผลจากการกระตุ้นตัวรับ ชนิด D2 (D2-receptor) ซึ่งถ้าอาการรุนแรงสามารถแก้ไขได้โดยการรับประทานยาต้านอาเจียนกลุ่ม D2-receptor antagonist  คือ domperidone
    • ความดันโลหิตสูงขึ้น เป็นผลจากการกระตุ้นตัวรับชนิด α1 (α1-receptor) ทำให้หลอดเลือดส่วนปลายหดตัว
    • ปลายมือ-เท้าเย็น หรือ ชา (numbness) เป็นผลจากการกระตุ้น α1-receptor เช่นกัน หากมีอาการรุนแรงร่วมกับมีอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณแขน มือ ขา หรือเท้า ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีป
    • ใจสั่น เจ็บหน้าอก เป็นผลมาจากการกระตุ้นตัวรับ 5-HT1B ที่บริเวณหลอดเลือด coronary ที่หัวใจ หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์
    • ปฏิกิริยากับยาอื่นๆ หรือ ยาตีกัน (drug interaction) ยา ergotamine ถูกทำลายโดยใช้เอนไซม์ที่มีชื่อว่า Cytochrome P450 ชนิด 3A4 (CYP 3A4) ดังนั้นอาจต้องระมัดระวังในการรับประทานร่วมกับยาที่มีผลยับยั้งเอนไซม์ดังกล่าว เช่น azithromycin, clarithromycin, ketoconazole, ritonavir หรือ verapamil เป็นต้น  เนื่องจากการรับประทานยาร่วมกันจะส่งผลทำให้ระดับยา ergotamine ในกระแสเลือดสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยอาจได้รับผลข้างเคียง หรือความเป็นพิษจากยาเพิ่มขึ้นได้ และเพื่อป้องกันการเกิด drug interaction ดังกล่าว ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งว่ายาที่ตนเองรับประทานอยู่มีอะไรบ้าง

    ข้อห้ามใช้ของยา ergotamine

    ผู้ป่วยที่ห้ามใช้ยา ergotamine ได้แก่

    • ผู้ที่มีประวัติแพ้ยา ergotamine หรือสารที่เป็นอนุพันธ์ของ ergot alkaloid
    • ผู้ป่วยที่มีประวัติหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน (peripheral arterial disease)
    • ผู้ป่วยที่มีความบกพร่องในการทำงานของตับ และไต
    • ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ (coronary artery disease) และกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (angina)
    • ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ยังควบคุมไม่ได้
    • ผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด (sepsis)
    • ผู้หญิงตั้งครรภ์ (ทุกระยะ)

    Ergotamineเป็นยารักษาอาการปวดศีรษะไมเกรนที่มีประสิทธิภาพดี แต่มีข้อควระวังและข้อห้ามใช้ค่อนข้างมาก ดังนั้น การรับประทานยาอย่างถูกต้อง และ การเฝ้าระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น จึงเป็นหนทางที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากยา ergotamine ได้ดีที่สุด

    ข้อมูลจาก บทความสุขภาพ โดย คณาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล


    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    รู้จัก ยาไมเกรน ใครมียาตัวไหนเอาออกมาเช็กวิธีใช้ให้ถูกต้อง

    ตับแข็ง ไม่ต้องเมาก็เป็นได้

    ดูแลสุขภาพอย่างไร? ให้ห่างไกล แผลในกระเพาะอาหาร

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    คาร์โบไฮเดรต

    12 อาหาร คาร์โบไฮเดรต คู่หูใหม่ คนไซส์ XL

    กิน คาร์โบไฮเดรต มากเกินไปก็สามารถทำให้อ้วนได้

    ลองจนครบ ทั้งอาหารไขมันต่ำ อาหารจำกัดพลังงาน อาหารมังสวิรัติ หรือแม้แต่อดอาหาร ก็ยังไม่ผอมสมใจ อาจต้องถอยหลังกลับมามองตัวเองใหม่ว่า อาหารลดน้ำหนักที่เพียรกินมีปริมาณ คาร์โบไฮเดรต มากเกินไปหรือไม่

    เพราะ คาร์โบไฮเดรต เปลี่ยนรูปเป็นไขมันได้ และทำให้อ้วนง่ายไม่แพ้กัน มื้อสุขภาพปักษ์นี้จึงอยากชวนคนไซส์ใหญ่ มาทำความรู้จักคาร์โบไฮเดรต รู้ให้ลึกถึงกลไกทำให้อ้วนและที่พลาดไม่ได้ คือ 12 อาหาร คาร์โบไฮเดรตต่ำ ที่ช่วยให้ผอมไวสมใจ

    คาร์โบไฮเดรต ทำให้อ้วนได้อย่างไร

    หลังผ่านกระบวนการย่อย คาร์โบไฮเดรต จะมีขนาดเล็กลง จนอยู่ในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว หนึ่งในนั้นมีชื่อแสนคุ้นหูว่า “กลูโคส”

    กลูโคสจะเปลี่ยนเป็นพลังงานให้กับเซลล์ ช่วยให้อวัยวะต่างๆ ขับเคลื่อนเป็นปกติ หากเซลล์ได้รับพลังงานอย่างเหลือเฟือ กลูโคสจะเปลี่ยนเป็นไกลโคเจน เก็บสะสมในตับและกล้ามเนื้อสำรองเพื่อใช้เป็นพลังงานภายหลัง

    แต่หากกินอาหาร จนไม่เหลือที่ว่างทั้งในตับและกล้ามเนื้อให้เก็บสะสม กลูโคสจะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมตามอวัยวะต่างๆ พอกพูนตามอวัยวะภายในได้อย่างไม่มีสิ้นสุด

    ฉะนั้นวิธีลดน้ำหนักที่ง่ายและเห็นผล คือ กินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ เพิ่มปริมาณโปรตีน เลือกไขมันดี และกินผักเพิ่มขึ้น สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง เพียงกินข้าวลดลงครึ่งทัพพี เพิ่มผักสดทดแทน หลีกเลี่ยงขนมขบเคี้ยวประเภทแป้ง เช่น โดนัท เค้ก คุกกี้ และแทนที่น้ำหวานด้วยน้ำเปล่า

    เพียงเท่านี้ ปริมาณไขมันส่วนเกินที่สะสมตามอวัยวะต่าง ๆ จะลดลง เมื่อร่างกายดึงไขมันที่สะสมไว้บางส่วนมาเผาผลาญเป็นพลังงาน จึงส่งผลให้น้ำหนักลดลงตามมา

    12 อาหาร คาร์โบไฮเดรต ต่ำ ที่อยากแนะนำ

    ปลา กุ้ง หอย ปู เป็นอาหารที่ปราศจากคาร์โบไฮเดรต โดยน้ำหนัก 30 กรัม หรือ ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ให้โปรตีน 7 กรัม และไขมัน 3 กรัม อาหารเหล่านี้จัดอยู่ในกลุ่มเนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำ และให้พลังงานต่ำที่สุด คือ 55 กิโลแคลอรี

    นอกจากนี้ ปลา โดยเฉพาะปลาทะเล ไม่เพียงปราศจากคาร์โบไฮเดรต แต่ยังอุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็น (essential fatty acid) ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้

    กรดไขมันโอเมก้า-3

    มีส่วนช่วยให้การลดน้ำหนักประสบผลสำเร็จ ดังรายงานจากมหาวิทยาลัยเซาท์ ออสเตร์เลีย (University of South Australia) ประเทศออสเตรเลีย ตีพิมพ์ใน the Journal Food & Function พบว่า อาสาสมัครที่ได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 จากน้ำมันปลาทูน่า ร่วมกับออกกำลังกกายโดยการวิ่ง นาน 45 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง สามารถลดน้ำหนักได้ 2 กิโลกรัมภายใน 3 สัปดาห์ มีเปอร์เซ็นต์ไขมันรวมในร่างกายลดลง และลดน้ำหนักได้มากกว่าผู้ที่ออกกำลังกาย แต่ไม่ได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 เสริม อีกด้วย

    กรดไขมันโอเมก้า-3 พบในปลาทะเล เช่น ทูน่า แซลมอน แมคเคอเรล ซาร์ดีน เฮร์ริ่ง แอนโชวี่ นอกจากนี้ ปลาทะเลและปลาน้ำจืดของประเทศไทยก็มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูงเช่นกัน ได้แก่ จะละเม็ดขาว สำลี กระพงขาว อินทรีย์ ดุก สวาย ช่อน และสลิด

    เน้นกินปลาที่มีมีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูง แทนเนื้อสัตว์ชนิดอื่น หรือสลับกับโปรตีนจากพืช เช่น โปรตีนจากถั่วเหลือง รับรองสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ในเวลาไม่นาน

    ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต ข้าวกล้อง

    ข้าวหุงสุก 1 ทัพพี มีคาร์โบไฮเดรต 18 กรัม โปรตีน 2 กรัม ให้พลังงาน 80 กิโลแคลอรี แม้ข้าวขัดขาวและไม่ขัดขาวจะมีคาร์โบไฮเดรตและพลังงานใกล้เคียงกัน แต่ข้าวไม่ขัดขาวจะมีค่าดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index) ต่ำกว่า

    ค่าดัชนีน้ำตาลบ่งบอกถึงความเร็วในการเพิ่มขึ้นของระดับ น้ำตาลในเลือด หลังกินอาหารยิ่งมีค่าดัชนีน้ำตาลสูง แสดงว่า อาหารเหล่านั้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นการกินอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง จึงทำให้อ้วนง่าย
    ยืนยันโดยงานวิจัย ซึ่งตีพิมพ์ใน The American Journal of Clinical Nutrition ที่ระบุว่า อาหารดัชนีน้ำตาลต่ำช่วยให้น้ำหนักลดลงมากกว่าอาหารไขมันต่ำและจำกัดพลังงาน

    นักวิจัยแบ่งชายและหญิงร่างอ้วนเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้กินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำนาน 2 สัปดาห์ จากนั้นนจึงปรับเป็นอาหารดัชนีน้ำตาลต่ำ กลุ่มที่สอง กำหนดให้กินอาหารไขมันต่ำและจำกัดพลังงานประมาณ 500 – 800 กิโลแคลอรี

    เมื่อเวลาผ่านไป 12 สัปดาห์ กลุ่มแรก มีน้ำหนักเฉลี่ยลดลง 5 กิโลกรัม ซึ่งมากกว่าอีกกลุ่มถึง 2 เท่า นอกจากนี้ยังมีมวลไขมัน (Fat Mass) ลดลงมากกว่ากลุ่มที่สองเกือบ 2 เท่าอีกด้วย

    ข้าวบาร์เลย์มีค่าดัชนีน้ำตาล 25 ในขณะที่ข้าวโอ๊ตและข้าวกล้องมีค่าดัชนีน้ำตาล 55 นับว่าอยู่ในกลุ่มอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำที่สุด ต่างจากน้ำตาลที่มีค่าดัชนีน้ำตาล 100 ข้าวขาวที่มีค่าดัชนีน้ำตาล 88 และขนมปังที่มีค่าดัชนีน้ำตาล 70

    ฉะนั้นหากตั้งใจลดน้ำหนักควรเลือกกินอาหารโดยคำนึงถึงค่าดัชนีน้ำตาลร่วมด้วย หรือวิธีที่ง่ายกว่าคือ เลือกกินธัญพืชไม่ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวแดง ขนมปังโฮลวีต แทนข้าวขาวและขนมปังขาว

    คาร์โบไฮเดรต

    ผักประเภท ก.

    ให้กากใยที่ช่วยให้อิ่มท้อง อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด แต่ปราศจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน และให้พลังงาน 0 กิโลแคลอรี สามารถกินได้มากเท่าที่ต้องการ เพราะไม่ให้พลังงาน กินเท่าไรก็ไม่อ้วน

    ได้แก่ ผักกาดขาว ผักกาดหอม ผักบุ้งแดง ผักกาดเขียว สายบัว ปวยเล้ง โหระพา กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ ขึ้นฉ่าย มะเขือเทศ ขมิ้นขาว แตงร้าน แตงกวา ฟักเขียว บวบ พริกหนุ่ม พริกหยวก และตั้งโอ๋

    ผักประเภท ข.

    แม้ให้คาร์โบไฮเดรตและพลังงาน แต่ก็นับว่าต่ำมาก คือ ผักสด 1 ทัพพี หรือผักสุกครึ่งทัพพีให้คาร์โบไฮเดรต 5 กรีม โปรตีน 8 กรัม ไม่มีไขมัน และให้พลังงาน 25 กิโลแคลอรี ได้แก่ ฟักทอง แครอต บีทรูท ถั่วงอก ถั่วพู สะตอ ถั่วลันเตา ถั่วแขก บรอกโคลี มะละกอดิบ ข้าวโพดอ่อน และยอดมะพร้าวอ่อน

    European Journal of Clinical Nutrition ตีพิมพ์งานวิจัยสนับสนุน ให้คนอยากผอมหันมากินผักเพิ่มขึ้น ทดลองโดยโน้มน้าวให้คนอ้วน 120 คน กินผักสดวันละ 5 – 10 ถ้วย สลับกับผักสุกวันละ 2 ถ้วยครึ่ง – 5 ถ้วย พร้อมงดอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง เช่น เค้ก น้ำอัดลม ผลปรากฏว่า ในเวลา 1 ปี น้ำหนักลดลงเฉลี่ย 7 กิโลกรัม ทั้งพบว่ายิ่งกินผักมาก น้ำหนักยิ่งลดลงมาก เพราะผักให้พลังงานต่ำ ยิ่งรู้สึกอิ่มนาน ความหิวระหว่างวันลดลง จึงกินอาหารน้อยลง ส่งผลให้พลังงานรวมที่ได้ตลอดวันลดลงตามไปด้วย

    ผักมีคาร์โบไฮเดรตและพลังงานต่ำ จึงเหมาะเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ในรายการอาหารลดน้ำหนัก ควรเน้นกินผักสดหรือปรุงโดยวิธีที่ใช้ไขมันต่ำ เช่น อบ นึ่ง ต้ม ตุ๋น ยำ แทนการทอดและผัด เพื่อหลีกเลี่ยงไขมันและพลังงานส่วนเกิน ซึ่งฉุดให้การลดน้ำหนักไม่ประสบผล

    อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์

    ปราศจากคาร์โบไฮเดรต ในจำนวน 6 เม็ด มีไขมัน 5 กรัม ให้พลังงาน 45 กิโลแคลอรี

    อัลมอนด์และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ไม่เพียงมีคาร์โบไฮเดรตต่ำ แต่ยังมีปริมาณกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูง (Monounsaturated Fatty Acid) มีคุณสมบัติช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อขณะลดน้ำหนัก

    มวลกล้ามเนื้อมีความสำคัญเพราะเป็นแหล่งเผาผลาญพลังงานชั้นดี หากน้ำหนักลดลงโดยมวลกล้ามเนื้อลดลงตาม จะทำให้ระบบเผาผลาญลดลงน้ำหนักจึงลดช้า

    นอกจากออกกำลังกายเพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อ Journal of Nutrition แนะนำว่า ควรกินอาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูงต่อเนื่องนาน 12 สัปดาห์ เพื่อช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อ ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้น และช่วยให้ไขมันสะสมในร่างกายลดลงอีกด้วย

    เพื่อประโยชน์ในการลดน้ำหนัก ควรกินถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ไม่เกินวันละ 30 กรัม โดยกินอัลมอนด์ 10-23 เม็ด อัลมอนด์สไลซ์ครึ่งถ้วยตวง หรือเม็ดมะม่วงหิมพานต์ 16 เม็ด เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง

    น้ำเปล่า น้ำขิง

    หากใครกำลังลดน้ำหนัก น้ำเปล่าคือเครื่องดื่มคู่ใจ อันดับแรกที่ควรนึกถึง สามารถดื่มได้วันละ 6 – 8 แก้ว ดื่มระหว่างวันเมื่อรู้สึกหิว ดื่มได้บ่อยโดยไม่ต้องกังวลถึงปริมาณคาร์โบไฮเดรตและพลังงาน

    น้ำเปล่าไม่มีคาร์โบไฮเดรตและมีพลังงานเป็นศูนย์ ต่างจากน้ำหวานและน้ำผลไม้ที่ 1 แก้วให้ทั้งน้ำตาลและพลังงานสูง ดื่มเพียง 1 แก้วอาจให้พลังงานเทียบเท่าข้าว 2 – 3 ทัพพี

    มีรายงานว่า น้ำเปล่าช่วยลดน้ำหนักได้จริง โดยช่วยลดอุณหภูมิภายในร่างกาย กระตุ้นให้ระบบเผาผลาญทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้การดื่มน้ำเปล่ามากขึ้น ยังช่วยลดปริมาณการดื่มเครื่องดื่ม
    ที่มีน้ำตาลซึ่งให้พลังงานสูง จึงควบคุมน้ำหนักง่ายขึ้น

    แต่หากใครเบื่อน้ำเปล่า แนะนำให้ดื่มสมุนไพร โดยเฉพาะน้ำขิง เพราะไม่มีคาร์โบไฮเดรต ปราศจากน้ำตาล และไม่ให้พลังงานเช่นเดียวกับน้ำเปล่า แถมด้วยสรรพคุณเพิ่มระบบเผาผลาญ ช่วยลดความอ้วนได้อีกด้วย

    มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia University) ประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า การดื่มน้ำขิง 1 แก้ว (ขิงผง 2 กรัม กับน้ำสะอาด 1 แก้ว) หลังอาหารเช้า เป็นประจำทุกวัน ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญโดยพบว่า พลังงานความร้อนขณะย่อยและดูดซึมอาหาร (Thermic Effect of Food) เพิ่มขึ้น 22.3 – 64.1 กิโลแคลอรี เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ดื่มน้ำขิง

    ทีมวิจัยอธิบายว่า พลังงานความร้อนที่เพิ่มขึ้นเกิดจากอาหารบางส่วนกินแล้วไม่สะสมเป็นไขมัน แต่สลายตัวกลายเป็นความร้อน

    ปรับอาหารสักนิด ลดคาร์โบไฮเดรตสักหน่อย ทั้งไม่ลืมออกกำลังกายต่อเนื่อง 30 นาทีอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง ไม่ว่าไซส์ใหญ่แค่ไหนก็หุ่นดี สุขภาพเยี่ยมได้แน่นอน

    ข้อมูลเรื่อง “12 อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ คู่หูคนไซส์ XL” จากนิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 390 คอลัมน์มื้อสุขภาพ โดย: ธิษณา จรรยาชัยเลิศ


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    สวยอ่อนเยาว์ ด้วยอาหารเกาหลี

    กำราบ สิว ใน 21 วัน ด้วยแพทย์แผนจีน

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    สิว แพทย์แผนจีน

    กำราบ สิว ใน 21 วัน ด้วยแพทย์แผนจีน

    กำราบ สิว ใน 21 วัน ด้วยแพทย์แผนจีน

    สิว เป็นปัญหากวนใจที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตเป็นอย่างมาก ถึงแม้แพทย์แผนปัจจุบันจะมองว่าสิวเป็นปัญญาที่ไม่รุนเรงนัก แต่การเป็นสิว โดยเฉพาะสิวที่เห่อรุนแรงบนใบหน้านั้น ทำให้เราขาดความมั่นใจ จนหลายคนต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมากเพื่อรักษาสิวและรอยดำ

    ดังนั้นเพื่อคืนความสุขให้ผู้อ่าน ชีวจิตไม่พลาดทีจะนำวิธีรักษาสิวและรอยดำใน 21 วัน ด้วยแพทย์แผนจีนมาฝาก ซึ่งประจวบเหมาะกับช่วงเปลี่ยนผ่านฤดูกาลจากฤดูหนาวมาเป็นฤดูร้อน ที่ได้ชื่อว่า เป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่สุดในการรักษาสิวและรอยดำ

    เคลียร์ชัดเรื่องสิว สไตล์แพทย์แผนจีน

    แพทย์จีนธนภัทร จินตกุล หัวหน้าสถานพยาบาล และอาจารย์ประจำวิทยาลัยการแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยราภัฏจันทรเกษม กล่าวว่า

    “สิว ในทางการแพทย์แผนจีนนั้นไม่ใช่โรค เป็นเพียงกลไกการเตือน ถึงความไม่สมดุลของร่างกายเท่านั้น ซึ่งจัดเป็นกลุ่มโรคภายนอก (Waike) ประเภทกลุ่มโรคผิวหนัง (Pifuke) เกิดจากปอดและกระเพาะอาหารมีความร้อนมากเกินไป (Over Heat) จนส่งผลให้มีความร้อนชื้นสะสม เสมหะอุดกั้น จึงเกิดสิวบนใบหน้า”

    แพทย์จีนธนภัทร แบ่งสาเหตุการเกิดสิวไว้ ดังต่อไปนี้

    1.ปอดร้อน เกิดจากความร้อนสะสมอยู่ในปอดจำนวนมากเกินไป จึงแสดงอาการที่เนื้อเยื่อและผิวหนัง ทำให้เกิดสิวหัวสีขาวเเละดำ มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กเเข็ง แต่ไม่เป็นหนอง เเละมีอาการคันเล็กน้อย มักเกิดบริเวณหน้าผากและรอบจมูก นอกจากนี้ยังมีอาการปากแห้ง จมูกแห้ง แบะอาการท้องผูกร่วมด้วย

    2.กระเพาะอาหารร้อน สาเหตุหลักมักเกิดจากการกินอาหารรสเผ็ด รสหวาน อาหารมัน และอาหารทอด ส่งผลให้เกิดการสะสมของความร้อนในระบบย่อยอาหาร เมื่อมีความร้อนมากขึ้นจะทำให้เกิดสิวหัวขาวและดำ ผิวหน้ามัน สิวมักผุดขึ้นบริเวณรอบปาก หน้าอก เเละหลัง นอกจากนี้จะพบอาการอยากอาหารโดยเฉพาะน้ำเย็น กระหายน้ำ มีกลิ่นปาก เเละมีอาการท้องผูกร่วมด้วย

    3.เลือดร้อน เกิดจากภาวะผิดปกติของพลังลมปราณ (Qi) มีผลให้เลือดร้อน จึงเกิดสิวหัวขาวเเละดำ บริเวณรอบจมูก ปาก เเละระหว่างคิ้ว นอกจากนี้ยังพบอาการท้องผูก ปัสสาวะสีเหลือง เเละปลายลิ้นมีสีเเดงร่วมด้วย

    4.ปอดและกระเพาะอาหารร้อน เนื่องจากได้รับความร้อนจากท็อกซิน(Toxin)หรือพิษ ทำให้ร่างกายขาดความสมดุล จนเกิดสิวอักเสบและเป็นหนอง โดยฐานรอบเม็ดสิวมีลักษณะเเดง มักมีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย นอกจากนี้อาจพบอาการท้องผูก และปัสสาวะสีเหลืองด้วย

    5.ภาวะเลือดเป็นพิษ เกิดจากร่างกายได้รับท็อกซินจากภายนอกซึ่งเข้ามาทำลายความร้อนในร่างกาย ส่งผลให้พลังลมปราณ (Qi) ติดขัด ไหลเวียนได้ไม่เต็มที่ ทำให้เกิดสิวมีหัวลึก มีสีเเดงชัดเจน เกิดการอักเสบ เเละเจ็บปวด พบทั้งบริเวณใบหน้า หน้าอก เเละหลัง เมื่อสิวหายจะมีรอยแผลเป็นจาหลุมสิวชัดเจน

    แพทย์จีนธนภัทร จินตกุล หัวหน้าสถานพยาบาลและอาจารย์ประจำวิทยาลัยการแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ได้แนะนำโปรแกรมพิชิตสิวและจุดด่างดำไว้โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่ 1. การปรับวิถีชีวิต 2. การปรับเปลี่ยนอาหารให้เหมาะสม 3. การรักษาด้วยแพทย์แผนจีน

    สิวเกิดจากร่างกายขาดความสมดุล โปรแกรมนี้จึงมุ่งเน้น คือความสมดุลให้ร่างกายควบคู่ไปกับการรักษาด้วยแพทย์แผนจีน

    มาเริ่มปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของคุณกันเลย เริ่มต้นที่ สัปดาห์แรก

    สัปดาห์ที่ 1 ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ แก้สิว

    ในสัปดาห์ที่ 1 แพทย์จีนธรภัทรเน้นให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตโดยเฉพาะการนอนหลับและการกิน โดยอธิบายหลักการไว้ว่า การนอนหลับแต่หัวค่ำหรือพักผ่อนอย่างเพียงพอ 7 – 8 ชั่วโมง จะช่วยให้ร่างกายปรับความสมดุลได้ดีขึ้น เสริมสร้างภูมิต้านทาน ลดการเกิดสิวและริ้วรอย แถมช่วยให้ผิวสวย สดใส เปล่งปลั่ง

    เริ่มจากการจัดนาฬิกาชีวิตให้เป็นปกติ โดยเข้านอนก่อน 23.00 เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนและอวัยวะภายในได้ขจัดของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากช่วงเวลา 23.00 น. – 03.00 น. เป็นเวลาที่ตับและถุงน้ำดีทำหน้าที่ขับของเสียและสารพิษออกจากร่างกาย จึงไม่ควรตื่นเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ

    Eating for Beauty

    ควรปรับเปลี่ยนการกิน โดยงดกินอาหารประเภททอด มีน้ำมันมาก และของหวาน หันมากินพืชผักผลไม้หลากสีและธัญพืชไม่ขัดสี เช่น อาหารชีวจิต

    แพทย์หญิงสายชลี ทาบโลกา ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การฝังเข็มและการฟื้นฟูชะลอวัยประจำชีวจิตโฮมคลินอก แนะนำว่า อาหารที่ช่วยรักษาสิวได้ผล แถมดีต่อสุขภาพคือ อาหารชีวจิต ที่คิดค้นโดย อาจาย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต

    เพราะเป็นอาหารที่มาจากธรรมชาติ ผ่านกระบวนการปรุงแต่งน้อย มีคุณค่าและสารอาหารสูง มีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ ที่สำคัญ ยังเป็นอาหารที่มีสารพิษตกค้างน้อยที่สุดอีกด้วย จึงช่วยปรับสมดุลร่างกาย ไม่เกิดสารพิษตกค้างภายใน ทำให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง

    ดังนั้นจึงควรหาสูตรอาหารชีวจิตติดบ้านไว้ทำกินเป็นประจำ นอกจากจะมีเมนูให้เลือกหลากหลายแล้ว ยังมีรสชาติอร่อยและช่วยลดการเกิดสิวลงได้ โดยอาหารสูตรชีวจิต ได้แก่

    แป้งไม่ขัดขาว มื้อละ 50 เปอร์เซ็นต์ เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ถ้าเป็นแป้ง ขนมปัง ควรเลือกขนมปังโฮลวีต มันเทศ ฟักทอง

    ผัก มื้อละ 25 เปอร์เซ็นต์ กินทั้งผักดิบและผักสุกอย่างละครึ่ง เช่น สลัดผักสด ผักสุกหรือสดเคียงน้ำพริก หรือผัดผักใช้น้ำมันน้อย ควรเลือกผักปลอดสารพิษล้างผ่านน้ำ หรือแช่น้ำด่างทับทิมเพื่อล้างสารเคมีตกค้าง

    ถั่วต่าง ๆ มื้อละ 15 เปอร์เซ็นต์ เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร กินโปรตีนจากปลาและอาหารทะเลเป็นครั้งคราวสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง

    เบ็ดเตล็ด มื้อละ 10 เปอร์เซ็นต์ ประเภทของกินเล่น เช่น แกงจืด แกงเลียง หรือน้ำซุป เช่น ซุปมิโซะ สิ่งที่กินได้เป็นประจำคือสาหร่ายทะเลและงา รวมถึงยังกินถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดพืชกินเล่น เช่น อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม ผลไม้สด ซึ่งควรเป็นผลไม้สีเขียวรสไม่หวาน เช่น ฝรั่ง มะม่วงดิบ พุทรา สัปปะรด

    นอกจากนี้แพทย์จีนธนภัทรยังแนะนำเมนูสู้สิวไว้ดังนี้

    มื้อเช้า : โจ๊กลูกเดือย โจ๊กข้าวกล้องเห็ดหอม หรือซีเรียลธัญพืชไม่ขัดสี

    มื้อเที่ยง : ต้มจืดสาหร่ายทะเล ผัดผักรวมน้ำมันมะกอก

    มื้อเย็น : ข้าวต้มธัญพืชและผลไม้น้ำตาลน้อย เช่น แตงโม มะละกอ และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

    Acne Remedy

    เข้ารับการฝังเข็มสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อช่วยให้เลือดและลมปราณไหลเวียนดีขึ้น อาจฝังเข็มบริเวณหัวสิวอักเสบเพื่อให้
    หายเร็วขึ้น

    แพทย์หญิงสายชลี ทาบโลกา ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การฝังเข็มและการฟื้นฟูชะลอวัย ประจำชีวจิตโฮมคลินิก อธิบายหประโยชน์ของการฝังเข็มไว้ว่า

    “การฝังเข็มจะช่วยระบายความร้อน ออกจากร่างกาย ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ช่วยปรับสมดุลของร่างกายให้เป็นปกติ ทำให้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทำงานประสานกันดีขึ้น และช่วยกระตุ้นการทำงานของลมปราณและต่อมน้ำเหลือง โดยจะปักเข็มลงจุดต่าง ๆ บนใบหน้าและบริเวณหัวสิว ซึ่งจำนวนเข็มที่ใช้ปักขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์และอาการว่าเป็นมากน้อยเท่าใด”

    TIP นาฬิกาชีวิต

    นาฬิกาชีวิต คือ นาฬิกาที่อยู่ในสมองคนเรา ทำหน้าที่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาต่าง ๆ แพทย์แผนจีนถือว่า อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายจะทำงานในช่วงเวลาต่างกัน

    ดังนั้นการปรับพฤติกรรมให้สอดคล้องกับการทำงานของนาฬิกาชีวิต จึงช่วยให้สุขภาพแข็งแรงและป้องกันการเกิดสิวได้

    หลังจากนี้มาออกกำลังกายเพื่อรักษาสิวกันนะคะ

    สัปดาห์ที่ 2 มาออกกำลังกายขจัดพิษกันเถอะ

    สัปดาห์ที่ 2 แพทย์จีนธนภัทรแนะนำให้เน้นการออกกำลังกาย เพราะช่วยป้องกันและรักษาสิวได้ เนื่องจากการออกกำลังกายทำให้เหงื่อออก ซึ่งช่วยขับสิ่งสกปรกออกมาทางรูขุมขน ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี ต่อมน้ำเหลืองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงช่วยให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง

    โดยให้ออกกำลังกายช้า ๆ หรือที่เรียกว่า กีฬาประเภท Passive เช่น โยคะ ไท้เก๊ก ว่ายน้ำ หรือลองย่อขาเล็กน้อย แกว่งแขนไปด้านหลังสัก 700 – 1,000 ครั้ง เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้เป็นปกติและมีประสิทธิภาพ ควรออกกำลังกายครั้งละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง

    Eating for Beauty

    ควรกินอาหารชีวจิตอย่างสม่ำเสมอและลองจิบชาสมุนไพรที่มีฤทธิ์อุ่นร้อน แพทย์จีนธนภัทรอธิบายประโยชน์ของชาสมุนไพรว่า

    สาเหตุที่ทำให้เกิดสิวตามแนวคิดของแพทย์จีนคือ ภายในร่างกายมีความร้อน การรักษาสิวจึงเน้นไปที่ การลดความร้อนด้วยการดื่มชาสมุนไพรจีน

    แพทย์จีนธนภัทรแนะนำให้ดื่มชาสมุนไพรจีน  ดังนี้

    ดอกเก๊กฮวย ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย เป็นยาเย็น ช่วยดับพิษร้อน

    ดอกสายน้ำผึ้ง เป็นยาเย็น ออกฤทธิ์ต่อปอดและกระเพาะอาหาร ใช้เป็นยาขับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้อาการร้อนใน กระหายน้ำ

    ดอกกุหลาบ ช่วยบำรุงหัวใจ ขับน้ำดี สมานแผล มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยลดความดันโลหิต และนอกจากนี้แพทย์จีนธนภัทรยังแนะนำสูตรชาสมุนไพรที่นอกจากจะช่วยให้สิวหายเร็วแล้ว ยังช่วยลดความอ้วนได้ด้วย ดังนี้

    ส่วนผสม

    ซานจา (ผลไม้จีนลูกสีแดง) หั่นเป็นแว่น 15 กรัม

    ใบบัวสดหรือตากแห้ง หั่นฝอย 15 กรัม

    น้ำสะอาดปริมาณท่วมส่วนผสม

    วิธีทำ นำส่วนผสมทุกชนิดใส่หม้อ เทน้ำจนท่วมชาสมุนไพร ต้มให้เดือด ยกลง กรองเฉพาะน้ำดื่มเป็นประจำทุกวัน

    ติดตามได้ที่หน้าถัดไป

    Acne Remedy

    เมื่อไม่มีอาการอักเสบของสิวแล้ว สัปดาห์นี้สามารถเพิ่มการรักษาด้วยวิธีกัวซาวันเว้นวันได้ เพื่อลดเลือนรอยแผลเป็นจากสิว ทั้งยังช่วยให้รูขุมขนเล็กลง

    แพทย์จีนภัณฑิรา จิรวรพัฒน์ อาจารย์ประจำวิทยาลัยการแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม อธิบายหลักของการกัวซาแก้สิวว่า

    กัวซาเป็นวิธีรักษาด้วยการใช้อุปกรณ์ที่เป็นแผ่นเรียบและไม่มีคม เช่น เขาสัตว์ หิน หยก ขูดเบา ๆ ให้ทั่วใบหน้า โดยใช้น้ำมันมะพร้าวหรือครีมนวดหน้าร่วมด้วย แต่หากมีสิวอักเสบไม่ควรทำ ต้องรอให้สิวยุบและแห้งก่อน

    โดยมีหลักการว่า หากร่างกายมีสารพิษตกค้าง สมองจะสั่งการไปที่กล้ามเนื้อ ให้แสดงอาการเกร็งและแข็งตัว พิษที่อยู่ในร่างกายจึงตกค้างและวนเวียนอยู่ภายใน ไม่สามารถระบายออกมาได้ แต่เมื่อขูดบริเวณใบหน้าจะช่วยให้เส้นเลือดขยายตัวต่อมน้ำเหลืองทำงานมีประสิทธิภาพ รูขุมขนเล็กลง ลดการผลิตน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้า ทำให้ผิวหน้ามันน้อยลง ลดการเกิดสิวและรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว

    Must Do

    นอกจากจะปรับสมดุลภายในร่างกาย การรักษาความสะอาดภายนอกของข้าวของเครื่องใช้และเครื่องนุ่งห่มที่ต้องสัมผัสกับผิวหนัง ก็เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสิวด้วย

    กายดีแล้ว ต่อไปจิตใจต้องแข็งแรงตามมานะคะ 

    สัปดาห์ที่ 3 ปรับเปลี่ยนใจ สลายต้นเหตุของสิว

    สำหรับสัปดาห์สุดท้าย แพทย์ขจีนธนภัทรแนะนำให้หาเวลาฝึกสมาธิ เช่น นั่งสมาธิ กำหนดลมหายใจ เดินจงกรม เจริญสติ เพื่อให้เกิดความสุขสงบจากภายใน ทำให้จิตใจเบิกบาน ไม่เครียด สำหรับคนที่ไม่เคยปฏิบัติ ควรเริ่มจากใช้เวลา ประมาณ 15 นาที ในครั้งแรก แล้วจึงเพิ่มเวลาเป็น 30 – 45 นาที และ 1 ชั่วโมง ควรปฏิบัติทุกวันแม้จบโปรแกรมไปแล้วก็ตาม

    Eating for Beauty

    นอกจากกินอาหารชีวจิต จิบชาสมุนไพรทุกวันแล้ว เครื่องดื่มสุขภาพที่กำลังเป็นที่นิยม ได้แก่ น้ำแอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์ ชาเขียว และชาแดง ก็เหมาะสำหรับคนเป็นสิวอีกด้วย แต่เครื่องดื่มประเภทชาทุกชนิดควรดื่มอุ่น ๆ ไม่ควรดื่มเย็น ๆ เป็นอันขาด เพราะจะทำให้ระบบภายในทำงานผิดปกติได้

    ส่วนของกินเล่น แนะนำให้กินผลไม้แทนของขบเคี้ยวและของหวาน แต่ไม่ควรกินผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อน ได้แก่ ทุเรียน ลำไย พุทราจีน ลิ้นจี่ เป็นต้น

    Acne Remedy

    สัปดาห์สุดท้ายนี้เป็นสัปดาห์แห่งการฟื้นฟูผิว แพทย์จีนอาจจัดยาสมุนไพรที่เหมาะสำหรับสภาพผิวของแต่ละคนเพื่อสนับสนุนการรักษาให้เกิดประสิทธิภาพ โดยเน้นตัวยาที่เข้าไปช่วยลดความร้อน รวมถึงยังแนะนำให้ดื่มชาสมุนไพรจีนที่แนะนำไปในสัปดาห์ที่ 2 อย่างต่อเนื่องด้วย

    รวมถึงสามารถเพิ่มเมนูผักผลไม้ที่มีวิตามินเอ อี ซี และกินปลาทะเล เพื่อช่วยลดการอักเสบภายใน และหมั่นจิบน้ำตลอดวันเพื่อผิวที่สดใส

    Must Do อาหารที่ช่วยรักษาสิวและรอยสิว

    แพทย์หญิงสายชลีแนะนำอาหารตามหลักแพทย์แผนจีนที่ช่วยรักษาสิวและริ้วรอยไว้ดังนี้

    ธัญพืช เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วเหลือง ลูกเดือย

    ผัก เช่น หอมหัวใหญ่ น้ำเต้า แปะก๊วย กะหล่ำปลี มะเขือ เผือก โหระพา พริกไทย กุยช่าย ขิง กระเทียม ผักบุ้ง รากบัว สาหร่ายทะเล ฟัก เห็ดหูหนูดำ เห็ดหอม

    ชาสมุนไพร เช่น ชาแดง ชาหูเอ่อ ชาเขียว ชากุหลาบ ควรดื่มอุ่น ๆ

    อยากหน้าใสไร้สิวและรอยดำ ลองนำวิธีข้างต้นไปปรับใช้ดู นอกจากไร้สิวแล้ว รับรองว่าจะช่วยสร้างสมดุลให้ร่างกายแข็งแรง อ่อนเยาว์อีกด้วย

    ข้อมูลเรื่อง “โปรแกรม 21 วัน กำราบสิวด้วยแพทย์แผนจีน” โดย: ชารีฟ หลีอรัญ, สุนิสา สมคิด และชัญญมน ดิษกุลนรภัทร คอลัมน์ เรื่องพิเศษ นิตยสารชีวจิต ฉบับ 397

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    สวยอ่อนเยาว์ ด้วยอาหารเกาหลี

    ตามรอย นมหมัก อาหารอุดมโพรไบโอติก

    โลว์จีไอ สุดยอด อาหารสลายสิว ผิวใสปิ๊ง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    มะขามป้อม สมุนไพร

    มะขามป้อม ผลไม้เป็นยา บำรุงร่างกายทุกส่วน

    มะขามป้อม ผลไม้แก้ไอ บำรุงเสียง ทำให้ชุ่มคอ

    มะขามป้อม เป็นสมุนไพรที่ทั้งคนไทยและคนอินเดีย จัดเป็นยาอายุวัฒนะ นิยมกินบำรุงสุขภาพมายาวนาน

    ใครที่มีพื้นเพมาจากต่างจังหวัด อาจเคยเห็นลุงป้าย่ายายเก็บผลสดของพืชบางชนิดมาเคี้ยวอมไว้ในปาก เวลามีอาการไอเจ็บคอ โดยไม่ต้องพึ่งยาแผนปัจจุบัน และเมื่อได้มาศึกษาข้อมูลด้านสมุนไพรมากขึ้นก็ยิ่งตอกย้ำว่า พืชและผลไม้พื้นบ้านของไทยหลายชนิดที่เคยเห็นชาวบ้านใช้ดูแลสุขภาพในวิถีชีวิตประจำวันมีโอสถสารที่ช่วยแก้ไอ เจ็บคอ และขับเสมหะได้ผลดี บางชนิดมีการพัฒนานำไป สกัดสารสำคัญใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาแก้ไอที่มีจำหน่ายอย่างแพร่หลายในร้านขายยา ที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีก็คือ มะขามป้อม

    มะขามป้อมเป็นสมุนไพรที่ทั้งคนไทยและคนอินเดีย จัดเป็นยาอายุวัฒนะ นิยมกินบำรุงสุขภาพมายาวนาน ในประเทศอินเดียมีการนำมะขามป้อมมาใช้เป็นยาบำรุงร่างกายในทุก ๆ ส่วน คือบำรุงผม สมอง ดวงตา บำรุงสายตา หลอดลม ปอด หัวใจ กระเพาะ ลำไส้ ตับ ตับอ่อน ไต ผิวหนัง แก้น้ำเหลืองเสีย ปรับประจำเดือนให้มาปกติ บำรุงเลือด บำรุงกำลัง ลดความดันโลหิตสูง

    นอกจากนั้นมะขามป้อมยังมีฤทธิ์ในการลดคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตสูงได้ อีกทั้งยังใช้มะขามป้อม เคี่ยวกับน้ำมันเพื่อหมักผมให้นุ่มลื่นและช่วยป้องกันผมหงอกด้วย

    ส่วนทางตำรายาไทยมักจะใช้มะขามป้อมเป็นยาแก้ไอ บำรุงเสียง ทำให้ชุ่มคอ เพราะรสของผลมะขามป้อมนั้น คือรสขมฝาดเปรี้ยว ผลสดเมื่อเคี้ยวแล้วดื่มน้ำตามลงไป แล้วจะรู้สึกหวานชุ่มคอ

    โดยปัจจุบันมีงานวิจัยของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้ทำการวิจัยทางคลินิกในมนุษย์เพื่อทดสอบประสิทธิผลและผลข้างเคียงของผลิตภัณฑ์ยาแก้ไอ มะขามป้อมเปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบันในกลุ่มยาละลาย เสมหะ (Mucolytics) คือยาน้ำแอมบรอกซอล (Ambroxol) พบว่ายาแก้ไอมะขามป้อมมีประสิทธิผลในการบรรเทาอาการไอได้เทียบเท่ากับยาน้ำแอมบรอกซอลซึ่งเป็นยาแผนปัจจุบัน ทั้งในด้านความถี่ของอาการไอและความถี่ในการระคายเคือง หรือคันคอ ด้านความรุนแรงของอาการไอและอาการเสียงแหบหลังการไอ จึงช่วยลดผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ประจำวันและการนอนได้ รวมทั้งยังสามารถลดความรุนแรง ของการไอได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติด้วย

    นอกจากนี้มะขามป้อมยังมีฤทธิ์ต้านไข้หวัดใหญ่ทั้งในหลอดทดลองและในมนุษย์ เนื่องจากในผลของมะขามป้อมมีสารโปรไซยานินและพอลิฟีนอลที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับวิตามินซี แต่ทนต่อความร้อนจึงมีความคงตัวสูงไปช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และในสหรัฐอเมริกาได้มีการจดสิทธิบัตรเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ใช้มะขามป้อมเป็นส่วนประกอบ ใช้สำหรับป้องกันและรักษาภาวะโรคเอดส์ ไข้หวัดใหญ่ วัณโรคตับ ตับแข็ง และภาวะภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ

    การใช้มะขามป้อมเพื่อดูแลระบบทางเดินหายใจ สามารถทำได้หลายรูปแบบ ทั้งกินผลสด หรือแนะนำให้ทำเป็นตำรับยาแก้ไอ ซึ่งวิธีทำไม่ยุ่งยาก อยากแนะนำให้ทำติดบ้านไว้ใช้กันค่ะ

    ยาแก้ไอ มะขามป้อม

    เครื่องยาประกอบด้วย

    • มะขามป้อมสดหรือแห้ง
    • น้ำสะอาด
    • เกลือ
    • น้ำเชื่อมหรือน้ำผึ้ง

    วิธีทำ

    1. นำมะขามป้อมสดหรือแห้ง 5 – 6 ลูก (หากใช้ มะขามป้อมแห้งควรแช่น้ำให้พองก่อน) ต้มกับน้ำสะอาด 5 แก้ว พอเดือดสักพักแล้วยกลง
    2. นำน้ำมะขามป้อมมากรองด้วยผ้าขาวบาง ปรุงรส ด้วยเกลือ น้ำเชื่อมหรือน้ำผึ้ง

    วิธีใช้ จิบแก้ไอ

    สรรพคุณ แก้ไอ ขับเสมหะ ลดความเหนียวข้นของเสมหะ

    หมายเหตุ ตำรับนี้อาจเติมดีปลีหรือดอกช้าพลูลงไปต้มด้วย สัก 4-5 ผล จะช่วยให้โล่งคอขึ้น

    วิธีกินมะขามป้อม เพื่อบำรุงสุขภาพทั่วไป

    1. มะขามป้อมผลสด กินมะขามป้อมสดวันละ 1 ลูกทุกวัน หรือล้าง มะขามป้อมให้สะอาดแล้วผ่าเอาเม็ดออก ตำละเอียด ใส่เกลือนิดหน่อย ใส่น้ำผึ้งพอชุ่ม กินบ่อยๆ
    2. มะขามป้อมแห้ง ใช้ลูกมะขามป้อมแห้ง 3- 5 ลูกแชในน้ำ 1 แก้ว ตลอดคืน เมื่อตื่นมาตอนเข้าให้กินทั้งน้ำและเนื้อเป็นประจำ
    3. มะขามป้อมปั้นเป็นเม็ดลูกกลอน นำลูกมะขามป้อม 100 ลูกต้มพอสุก แกะเอาแต่เนื้อ ตากแดดให้แห้ง ผสมน้ำผึ้งปั้นลูกกลอน กินวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 3 เม็ด มะขามป้อมต้มกินต่างน้ำ ใช้มะขามป้อมสดหรือแห้ง 5 – 6 ลูกต้มกับน้ำ 5 แก้ว จนเดือด นำมารับประทานต่างน้ำ

    ข้อมูลจาก นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 594

    ชีวจิต Tips ยืน 1 ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงสุด

    ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อธิบายว่า มะขามป้อม มีองค์ประกอบทางเคมีกลุ่มของวิตามินซี ซึ่งมีปริมาณที่แตกต่างจากผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่เรารู้จักกันทั่วไป เช่น ส้ม ฝรั่ง สตรอว์เบอร์รี มะละกอ หรือสับปะรด

    มะขามป้อม มีวิตามินซีสูงที่สุด ในผลมะขามป้อม 1 ผลมีปริมาณวิตามินซีเทียบเท่ากับส้ม 2  ลูก เลยทีเดียว

    นอกจากนี้ยังพบสารที่สำคัญอื่นๆ เช่น ฟลาโวนอยด์ ช่วยเสริมภูมคุ้มกัน สารกลุ่มแทนนิน ช่วยในการ สมานแผล อัลคาลอยด์ ช่วยลดไข้ ฯลฯ
    ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ระบุว่า มะขามป้อมมีฤทธิ์ต้านไวรัส (ไข้หวัดใหญ่และสามารถยับยั้งเอนไซม์  HIV-1 reverse transcriptase) แก้ไอ ต้านการอักเสบ ลดความดันโลหิต ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดคอเลสเตอรอล ปกป้องตับ หัวใจและหลอดเลือด

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย โรคซึมเศร้า จึงสัมพันธ์กับฤดูกาล

    วิธี ฝึกกล้ามเนื้อ “ป้องกันล้ม” ในผู้สูงวัย

    เรื่องต้องรู้ เมื่อจะ “ล้างจมูก”

    ลืมความกังวล ด้วยกิจกรรมง่ายๆ วันละ 5 นาที

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    อัลไซเมอร์

    อดมื้อเช้า อาจทำเสี่ยง อัลไซเมอร์

    อัลไซเมอร์ ถามหาแน่ ถ้าอดมื้อเช้าเป็นประจำ

    คนส่วนใหญ่มักไม่ใส่ใจมื้อเช้า ซึ่งเป็นมื้อสำคัญ โดยไม่รู้ว่านั่นจะทำให้เสี่ยงต่อการป่วยด้วย อัลไซเมอร์ หรืออาการสูญเสียความทรงจำ

    ทุกวันนี้คนทำงานเป็นโรคเรื้อรัง หรือที่อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต เรียกว่า “โรคไม่ใช่โรค” ซึ่งเกิดจากไลฟ์สไตส์ ได้แก่ การกิน นอน พักผ่อน ทำงาน และออกกำลังกายไม่สมดุล

    คนทำงานจำนวนไม่น้อย ขอกินอาหารเช้าแบบจัดเต็ม ทั้งข้าวกล้อง ผัก ปลา ผลไม้ เพราะเขาและเธอต่างมีประสบการณ์เหมือนกันว่า การกินขนมปัง (ขาว) และดื่มกาแฟ (หวาน มัน เข้มข้น) แทนมื้อเช้า นอกจากทำให้เกิดอาการวิ้งในช่วงสาย ๆ แล้ว ในระยะยาวคงหนีไม่พ้นป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เรามีคำตอบมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

    แพทย์หญิงสิรินทร ฉันศิริกาญจน ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้อธิบายไว้ในบทความเรื่อง “อดอาหารเช้าทำร้ายสมอง” สรุปความได้ว่า การส่งเลือดมาเลี้ยงสมองเป็นการส่งเลือดโดยตรงจากหัวใจ แตกต่างจากอวัยวะส่วนอื่น ๆ ๆ ที่จะมีสต๊อกเลือดหล่อเลี้ยงไว้ตลอดเวลา หากเลือดที่ส่งมามีคุณภาพ คือมีระดับน้ำตาลในเลือดพอดี ไม่สูงหรือต่ำมากเกินไป จะช่วยให้การทำงานของสมองมีประสิทธิภาพ

    การงดอาหารเช้าหรือกินอาหารไม่มีคุณภาพย่อมทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดน้อยลงหรือเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เซลล์สมองบางตัวหยุดทำงาน ดังนั้น คุณภาพของอาหารเช้าจึงมีความสำคัญต่อสุขภาพสมองมากเช่นกัน

    อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต อธิบายได้ว่า “อาหารและเครื่องดื่มต่าง ๆ เป็นตัวเอก สิ่งแวดล้อมเป็นตัวรอง ถ้าได้สองอย่างรวมกัน แรก ๆ ก็คงไม่เป็นอะไรนัก ส่วนมากจะเริ่มที่ระบบหายใจก่อน หายใจฟืดฟาด น้ำมูกไหลประจำ ต่อไปก็ไอ เสมหะเต็มคอ

    ปีที่สองปีป่วยเพราะแอมเมิลลอยด์อ่อน ๆ ยังไม่เป็นอะไรนัก สักห้าปีชักกระเสาะกระแสะ พอคลานได้ แต่ 10 ปี ก็แสดงอาการทำท่าจะไม่ไหว ถ้า 80 ปีก็เลยรับประกาศนียบัตรจำตัวเองไม่ได้ ลืมหมดทุกอย่าง นั่นก็คืออัลไซเมอร์

    ตกลงอัลไซเมอร์ไม่ใช่มีอาการวันสองวันก็เป็นแล้ว แต่มักจะเริ่มด้วยไม่มีอาการ แล้วก็อาการน้อย จากนั้นก็เริ่มพรวดพราดเป็นมากๆ”

    How-to ป้องกัน อัลไซเมอร์ ง่ายนิดเดียว

    เห็นไหมคะว่า การป่วยเป็นอัลไซเมอร์อยู่ที่พฤติกรรมทำมา ไม่ได้ปุ๊ปปั๊ปเป็นฉับพลัน และก็สามาถป้องกันได้ด้วยการเริ่มลงมือปฎิบัติเสียตั้งแต่วันนี้ โดยเฉพาะเริ่มที่การกินอาหารเช้าอย่างมีคุณภาพ อาจารย์สาทิสแนะนำวิธีป้องกันไว้ดังนี้ค่ะ

    1. กินอาหารแบบชีวจิต

    (มีสูตรอาหารสูตร 1 และ 2) พร้อมกันนั้นให้เน้นกินผักและผลไม้ที่มีโลโคปีน (Lycopene) สารนี้มีอยู่ในผักและผลไม้สีแดง เช่น มะเขือเทศ แครอต แตงโม ส้มโอแดง สารไลโคปีนนี้เป็นสารชนิดเดียวกับแคโรทีนไลโคปีน (Carotene Lycopene) ซึ่งจะช่วยสร้างโฟเลต (Folate) ในเลือด และโฟเลตจะช่วยทำลายโฮโมซิสเตอีน(Homocysteine) ซึ่งเป็นกลุ่มแอมเมิลลอยด์และเป็นตัวซ้ำเติมให้สมองฝ่อเร็วขึ้น

    ควรกินผลไม้สดและผักสดให้มากขึ้นด้วย (ล้างให้สะอาด ระวังสารพิษ ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัครูพืชในผักและผลไม้)

    1. วิตามินบำรุงสมอง

    กินวิตามินซี ขนาด 1,000 มิลลิกรัม 1 เม็ด 2 มื้อ เช้า – เย็น

    กินวิตามินกลุ่มบี คือ บี 1 บี 2 บี 6 บี 12 และบีคอมเพล็กซ์ อย่างละ 1 เม็ด วันเว้นวัน (ให้กินแยกอย่างละตัว อย่าใช้วิตามินรวม เพราะโดส (Dose) ของยาไม่พอ)

    กินโคเอนไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10) ขนาด 100 หรือ 200 มิลลิกรัม ครั้งละ 1 เม็ด วันเว้นวัน

    กินใบแปะก๊วย (Ginkgo Biloba) ขนาด 100 – 200 มิลลิกรัม ครั้งละ 1 เม็ด วันเว้นวัน

    กินซีลีเนียม (Selenium) 200 ไมโครกรัม 1 เม็ด ทุกวัน

    กินแคลเซียม ขนาด 200 มิลิกรัม 1 เม็ด ทุกวัน

    กินแมกนีเซียม ขนาด 100 มิลิกรัม 1 เม็ด ทุกวัน

    การกินวิตามินและแร่ธาตุที่แนะนำให้กินวันเว้นวันนั้น ให้นำจำนวนเม็ดทั้งหมดมารวมกัน แล้วจึงแบ่งออกเป็น 2 พวกเท่า ๆ กัน กินวันเว้นวัน สลับกัน 2 พวก อย่ากินวันเดียว สมมติว่าแบ่งออกเป็น 2 พวก กลุ่ม A วันนี้ รุ่งขึ้นกินกลุ่ม B วันต่อไปกินกลุ่ม A สลับกันไปอย่างนี้ตลอด

    ไม่อยากป่วยเป็นอัลไซเมอร์ กินอาหารให้ครบทุกมื้อ และควรเป็นอาการชีวจิต รับรองว่า สมองไบรท์ ห่างไกลอัลไซเมอร์ค่ะ

    ข้อมูลเรื่อง “รู้ยัง! อดมื้อเช้า อัลไซเมอร์ ถามหา” เขียนโดย ชมนาด จากคอลัมน์ Healthy Lifestyle นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 340

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย โรคซึมเศร้า จึงสัมพันธ์กับฤดูกาล

    วิธี ฝึกกล้ามเนื้อ “ป้องกันล้ม” ในผู้สูงวัย

    เรื่องต้องรู้ เมื่อจะ “ล้างจมูก”

    ลืมความกังวล ด้วยกิจกรรมง่ายๆ วันละ 5 นาที

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    วิธีรักษาโรคมะเร็ง, รักษามะเร็ง,โรคมะเร็ง,มะเร็ง

    7 ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจเลือก วิธีรักษามะเร็ง ด้วยแพทย์ทางเลือก

    ก่อนตัดสินใจใช้ วิธีรักษาโรคมะเร็ง ด้วยแพทย์ทางเลือก ควรรู้อะไรบ้าง

    มีผู้ป่วยมะเร็งไม่น้อย ที่ตัดสินใจใช้ วิธีรักษาโรคมะเร็ง ด้วยแพทย์ทางเลือก ร่วมกับการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งบางวิธีก็ส่งเสริมการรักษา บางวิธีก็อาจไร้ประโยชน์ วันนี้เราจึงนำคำแนะนำจากนายแพทย์แอนดรูว์ ไวล์ มาฝาก

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ

    ผู้ป่วยหลายคนเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งแล้วก็เกิดความกังวล ไม่รู้ว่าควรเข้ารับการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันหรือแพทย์ทางเลือกดี

    นายแพทย์แอนดรูว์  ไวล์  ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น พ่อมดด้านการแพทย์ทางเลือกชาวอเมริกัน (ผู้ก่อตั้งศูนย์การแพทย์ผสมผสานแอริโซนา แห่งมหาวิทยาลัยแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นนักเขียนด้านการแพทย์ผสมผสานที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หนังสือที่นำมาแปลเป็นภาษาไทยแล้ว ได้แก่ กินดีอยู่ดี,  พลังบำบัด) เขาได้แนะนำแนวคิดในการเข้ารับการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์ทางเลือกไว้ในหนังสือ พลังบำบัด  สำนักพิมพ์อมรินทร์สุขภาพ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผู้ป่วยทุกท่าน สามารถนำไปปรับใช้ประกอบการตัดสินใจเข้ารับการรักษาได้เป็นอย่างดี เราจึงสรุปข้อมูลมาฝากกันดังนี้

    โรคมะเร็ง

    รู้ก่อนใช้แผนทางเลือก

    1. ให้พิจารณาวิธีการรักษาด้วยสถิติการหาย

    ให้ขอข้อมูลที่มีการเผยแพร่เพื่อสนับสนุนการแพทย์สาขาที่คุณสนใจ ซึ่งอาจมีอยู่ไม่มากนักหรืออาจไม่มีเลย คุณจะลองไต่ถามดูจากนักบำบัดสาขาอื่นๆก็ได้

    2. หาคำตอบให้ได้

    ว่าวิธีการบำบัดสาขาที่คุณสนใจนั้น มีความเสี่ยงที่จะก่อสารพิษแก่ร่างกาย หรือเป็นอันตรายอย่างหนึ่งอย่างใดหรือไม่

    3. ขอชื่อและที่อยู่ของผู้ที่เคยรับการบำบัด

    ด้วยการแพทย์สาขานั้น ๆ จนสามารถหายจากมะเร็งได้ ซึ่งหากนักบำบัดไม่มีชื่อผู้ป่วยที่เคยหายจากมะเร็งเพราะเขาเลยแม้แต่คนเดียว ก็ระวังไว้ก่อนครับ และไม่ว่าคุณจะรักษากับแพทย์แผนปัจจุบันหรือแพทย์ทางเลือกสาขาใดก็ตาม ผมมีข้อแนะนำกว้างๆอย่างนี้

    4. เนื่องจากมะเร็งเป็นสัญญาณที่ร่างกายสะท้อน

    ให้คุณเห็นว่าระบบบำบัดของคุณบกพร่องไปมากแล้ว ดังนั้นไม่ว่าใครจะเป็นมะเร็งระยะแรกหรือระยะใดก็ตาม ต้องถือว่ามะเร็งเป็นโรคที่มีการดำเนินของโรคอย่างเป็นระบบ จึงต้องปรับปรุงตนเองทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ เพื่อที่จะฟื้นฟูภูมิคุ้มกันและกอบกู้สุขภาพกลับมาใหม่

    5. อย่างน้อยที่สุด ผมยืนยันว่าคุณต้องเปลี่ยนอาหารการกิน

    ออกกำลังกายเข้าไว้ให้สม่ำเสมอ กินวิตามินที่ให้สารต้านอนุมูลอิสระใช้สมุนไพรต่างๆ โดยเฉพาะตัวที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน หัดทำสมาธิ ทั้งแบบสร้างจินตนาการและแบบสมาธิภายใต้การชี้นำเพื่อช่วยให้ระบบบำบัดสยบมะเร็งเอาไว้ให้ได้ แก้ไขปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นระหว่างพ่อแม่ลูกหรือสามีภรรยาก็ตาม และให้เปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่และลักษณะการใช้ชีวิตเท่าที่จำเป็น เพื่อให้โอกาสแก่ร่างกายที่จะกระตุ้นให้ระบบบำบัดทำงานต่อต้านมะเร็งให้ได้จนสิ้นซาก

    6. นอกจากนั้นให้พยายามเสาะหาคนที่เคยเป็นมะเร็งและรอดชีวิตมาได้

    ถ้าเป็นไปได้ให้หาตัวผู้ที่ผ่านการเป็นมะเร็งชนิดเดียวกับคุณมาด้วยจะยิ่งดี หรือหาหนังสือเกี่ยวกับการรอดพ้นจากมะเร็งมาอ่านก็ได้ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มกำลังใจและความเชื่อมั่นในศักยภาพการบำบัดมะเร็งของมนุษย์เรา

    7. แสวงหานักบำบัดที่เชื่อถือได้

    และขอความช่วยเหลือทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าระบบบำบัดสุขภาพอาจจะกำจัดมะเร็งไม่ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ก็ช่วยได้ เช่น จะช่วยชะลอการเฟื่องฟูของมะเร็งหรือยับยั้งมะเร็งไว้ เพื่อช่วยให้คุณยังคงมีสุขภาพดีอยู่ได้ครับ

    เชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ป่วยและคนในครอบครัวเป็นอย่างดี  ชีวจิตขอเอาใจช่วยและเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยทุกท่านผ่านพ้นวิกฤติสุขภาพไปอย่างราบรื่นค่ะ

    (ข้อมูลจาก คอลัมน์บทความ นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 404)

    ชีวจิต Tips แก้เครียดถาวร ตามสไตล์แพทย์ทางเลือก

    ความจริง คำว่า “การแพทย์ทางเลือก” เป็นคำเก่าแก่ ของทศวรรษที่แล้ว มาจาก Alternative Medicine มักหมายถึง ถ้าไม่เลือกแพทย์แผนปัจจุบัน ก็เลือก “ฉัน” ก็ได้…ซึ่งไอเดียนี้ล้มเหลว เพราะทุกอวัยวะเกื้อกูลกัน สรรพสิ่งส่งเสริมพึ่งพากันและกันได้

    ฉะนั้น สมัยนี้ เก๋กว่า ทันสมัยกว่า ต้องใช้คำว่า การแพทย์ผสมผสาน หรือ Integrated Medicine หมายถึง เลือกมากกว่าหนึ่ง ในแบบที่ส่งเสริมกันและกัน เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมดีงาม โดยยึดเอาการแพทย์แผนปัจจุบันเป็นหลัก

    ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผู้คนรู้จักชีวจิต กูรูต้นตำรับของเรา อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง ก็บอกเช่นนี้เสมอ ว่าเราเป็น “การแพทย์ผสมผสาน” เรื่องการกินอยู่ อาหารเป็นยา การปรับจิตใจ คลายเครียดกังวล ล้วนแล้วแต่ช่วยให้การรักษาตามการแผนปัจจุบันได้ผลดียิ่งขึ้น

    แต่ถ้าใครจะเคยได้ยินว่า ชีวจิตเป็น “การแพทย์ทางเลือก” นั่นเพราะทศวรรษที่ผ่านมา วงการวิทยาศาสตร์สุขภาพ ต้องการเขย่าการแพทย์แผนปัจจุบัน ให้ทั่วโลกรู้ว่า นายไม่ได้เจ๋งจริง รักษาทุกโรคได้จริง ฉะนั้นนายต้องลดอีโก้ลง แล้วเปิดทางให้วิทยาศาสตร์สุขภาพและการแพทย์แขนงอื่นๆ โดยเฉพาะการแพทย์พื้นบ้าน อาหารและสมุนไพรท้องถิ่น เข้ามามีบทบาทในการรักษาโรคและสุขภาพของมนุษย์ เพราะมันเป็นแนวทางที่ช่วยมนุษยชาติได้ดีกว่า โดยพวกเขาเรียกตัวเองว่า “การแพทย์ทางเลือก” ทว่า เมื่อถึงวันนี้ ที่การแพทย์แผนปัจจุบันลดการ์ดลง ยอมญาติดีกับการแพทย์อื่นๆ ทั่วโลก เราเลยเช็คแฮนด์กัน เป็น “การแพทย์ผสมผสาน” กันเถอะ

    อิอิ เอาล่ะ…เข้าเรื่องของเราค่ะ

    เนื่องจากคุณหมอแอนดรูว์ ไวล์ แกได้รับขนานนามว่า เป็นพ่อมดการแพทย์ทางเลือกชาวมะกัน ภาพความเป็น “การแพทย์ทางเลือก” ของแกจึงไม่หายไปไหน (แม้จะเป็นแพทย์ศาสตร์บัณฑิตจากโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดก็ตาม) ประกอบกับหนังสือ Spontaneous Happiness ในบทที่ว่าด้วย “Optimizing Emotional Well-Being by Caring for the Body ก็กล่าวถึง วิธีทางเลือกที่จะช่วยบำบัดอาการเครียดหรือซึมเศร้า บ.ก.เลยขอใช้ชื่อเรื่องว่าเป็น “การแพทย์ทางเลือก” (เกริ่นนำซะเกือบจบเรื่องแน่ะ 555…แซวตัวเอง)

    การแพทย์ทางเลือกเหล่านั้น ได้แก่

    1. การกินอาหารเสริม และบ.ก.ได้บอกไปแล้วในตอนที่แล้วเรื่องการกิน >น้ำมันปลา วันละ 200-2,000 มิลลิกรัม ตามคำแนะนำของคุณหมอเดเนียล จี.เอเมน (ส่วนคุณหมอแอนดรูว์ให้กิน 2-4 กรัม) > และการได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอ (คุณหมอแอนดรูว์แนะนำให้ได้รับวันละ 2,000-10,000 IU)
    2. การออกกำลังกาย โดยคุณหมอแอนดรูว์ไม่ได้เน้นการออกกำลังกายอะไรเป็นพิเศษ แต่แนะนำให้ทำกิจกรรมในลักษณะที่เป็นการออกกำลังกาย เหมือนคนสมัยโบราณที่ไม่เคยมีความเครียด เพราะต้องล่าสัตว์ หรือหนีเสือเนืองๆ เมื่อปี 2013 ที่คุณหมอแอนดรูว์เขียนหนังสือเล่มนี้ ท่านระบุว่า ไม่มีงานวิจัยเพียงพอในการรับรองว่า การออกกำลังกายช่วยคลายเครียดได้จริง ซึ่งเราเชื่อว่า ตอนนี้มีงานวิจัยเพียงพอที่จะรับรองการออกกำลังกายคลายเครียดได้แล้ว เพราะเมื่อออกกำลังกาย สมองจะหลั่งสารสุขออกมา ช่วยให้ร่างกายคลายเครียดได้ ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ จะป้องกันการกลับมาของโรคเครียดได้ด้วย
    3. การนอนหลับ ซึ่ง บ.ก.เล่าประโยชน์ของการนอนหลับลึก นอนหลับสนิท และนอนหลับเพียงพอบ่อยแล้ว ครั้งนี้จึงขอยกข้อเสียของการนอนหลับไม่ดี ตามที่คุณหมอแอนดรูว์กล่าวไว้มาบอกค่ะ นั่นคือ ทำให้มองโลกในแง่ร้าย ปลีกตัวไม่เข้าสังคม และเสี่ยงต่ออาการเจ็บปวดทางกายสูงกว่าปกติ โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งจากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ยืนยันว่า การนอนหลับวันละ 4-5 ชั่วโมงติดต่อกัน 1 สัปดาห์ ทำให้เครียดง่าย โกรธง่าย เศร้าง่าย และจิตตกง่ายกว่าปกติ
    4. พลังแสง จากการรักษาคนไข้ชาวอเมริกันของคุณหมอแอนดรูว์ ท่านยืนยันว่าพบคนไข้ป่วยด้วยโรคจิตเวชช่วงฤดูหนาว ที่อากาศขมุกขมัว มากกว่าฤดูร้อน ที่อากาศแจ่มใส มีแสงอาทิตย์ส่องตลอดวัน คนไข้โรคซึมเศร้าบางคนที่มีอาการหนัก หลังจากที่ท่านแนะนำให้นำกล่องไฟไปตั้งไว้ในบ้าน โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ไม่มีแสงอาทิตย์ พบว่าอาการซึมเศร้าของคนไข้คนนั้นดีขึ้น
    5. ทำสวน ในดิน เราพบแบคทีเรียตัวหนึ่งที่ชื่อว่า M Vaccae ซึ่งหลังจากนำมาทดลองในสัตว์แล้วพบว่า แบคทีเรียตัวนี้ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้าน และสร้างเซโรโทนินในสมอง และทำหน้าที่เหมือนยาคลายเครียด
    6. จินตนาการบำบัด (Visualization) โดยคุณหมอแอนดรูว์กล่าวอ้างถึงกระบวนการบำบัดทางจิตใจว่า จินตนาการไปช่วยแปรเปลี่ยนกลไกในสมองและจิตใจอย่างไรบ้าง วิธีการง่ายๆ คือ ให้จดจำสถานที่หรือเรื่องราวที่เรามีความสุขที่สุดไว้ เมื่อเครียดหรือรู้สึกไม่ดี ก็ให้จินตนาการถึงสถานที่หรือเรื่องราวนั้นๆ
    7. หายใจบำบัด จะว่าไป การฝึกโยคะช่วยทำให้เราจดจ่ออยู่กับลมหายใจ ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยคลายเครียดคลายซึมเศร้าได้ คุณหมอแอนดรูว์เองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และสอนบุคคลทั่วไปในเรื่องการจดจ่ออยู่กับลมหายใจ โดยวิธีการง่ายๆ ของท่านคือ 1. จดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า-ออก ตลอดเวลาที่นึกได้ 2. เมื่อจดจ่อได้แล้ว ให้ลองหายใจลึกขึ้น และช้าลง บ่อยเท่าที่จะเป็นไปได้ 3. ให้ท้องพองเมื่อหายใจออก 4. เพื่อให้หายใจได้ลึกขึ้น แนะนำให้สูดลมหายใจเข้าจนสุด
    8. ฝึกจดจ่อ คุณหมอแอนดรูว์กล่าวถึง การเพ่งดวงไฟ แบบการเพ่งกสิณของบางสำนักสงฆ์ โดยวิธีง่ายๆ ที่คุณหมอนะนำคือ การจดจ่ออยู่กับกิจกรรมสร้างเสริมสมาธิ เช่น งานเย็บปักถักร้อย การขับรถ การวาดภาพระบายสี
    9. ฝึกทำสมาธิ คงไม่ต้องบอกเล่าเก้าสิบอะไรเกี่ยวกับศาสตร์นี้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการทำสมาธิของศาสนาใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่ช่วยให้สมองหลั่งสารสุข ช่วยคลายเครียดและซึมเศร้าได้ทั้งสิ้น
    10. ลิมิทการรับข่าวสาร คุณฟรานซิล เฮลเจน ผู้เรียกตัวเองว่า cyberneticist เขียนบทความชิ้นหนึ่งชื่อ Complexity and Information Overload in Society กล่าวถึงการรับข่าวสารข้อมูลที่มีท่วมหัวท่วมหู-คำของบ.ก.เอง ทั้งจากอินเตอร์เน็ต สมาร์ทโฟน โซเชียลมีเดีย ทีวี และอื่นๆ ทำให้เกิดอาการ data smog ซึ่งเป็นความสงสัยใคร่รู้ กลายเป็นความคิดวุ่นวาย ก่อให้เกิดความเครียดตามมา นอกจากนี้โดยธรรมชาติของสมองจะสามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งเดียวเท่านั้น หากต้องปรับการจดจ่อไปมาระหว่างสิ่งนั้นกับสิ่งนี้ โดยเฉพาะหากเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดอารมณ์ อารมณ์นั้นย่อมส่งผลต่อสิ่งต่างๆ ที่เหลือ และอารมณ์ที่ว่า ส่วนใหญ่เป็นอารมณ์ด้านลบ ที่ก่อให้เกิดความเครียด

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    HOW TO ออกกำลังกาย เพื่อความสมดุลของฮอร์โมน ลดเสี่ยงมะเร็งเต้านม

    ทำไม วัยทองเสี่ยงโรค หัวใจและหลอดเลือด และโรคกระดูกพรุน

    วิ่งอย่างไร ไม่ให้เจ็บ

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    ท่าบริหารกล้ามเนื้ออย่างง่าย สำหรับคนไม่ค่อยออกกำลัง เพื่อแขน ขา และก้นกระชับ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ขาดการออกกำลังกาย

    ขาดการออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายขาดวิตามิน

    ขาดการออกกำลังกาย ก่อโรค พาให้ขาดวิตามิน

    ศูนย์ข้อมูลระบบบริการสุขภาพแห่งชาติ (National Health Service) สหราชอาณาจักร ระบุว่า ขาดการออกกำลังกาย จะเป็นสาเหตุทำให้เพิ่มความเสี่ยงเกิดโรคสำคัญ ๆ ดังนี้

    โรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง ระดับคอเลสเตอรอลสูง เส้นเลือดในสมองแตก โรคระบบเมแทบอลิก เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึมเศร้า

    เมื่อเกิดโรคดังกล่าว นอกจากต้องพบแพทย์เพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาตามปกติแล้ว จำเป็นต้องออกกำลังกายเป็นประจำ เริ่มจากประเภทเบา ๆ ก่อน เช่น เดินทุกวัน ครั้งละ 10 – 20 นาที จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาเป็น 30 – 40 นาที แล้วเปลี่ยนเป็นเดินเร็วและวิ่งตามลำดับ

    หากร่างกายแข็งแรงดีแล้วให้จัดตารางออกกำลังกายให้ครบทั้ง 3 ประเภท ได้แก่

    แบบคาร์ดีโอ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต เช่น วิ่ง

    แบบเพิ่มกล้ามเนื้อ เช่น ยกเวต

    และแบบช่วยให้สมดุลร่างกายดีขึ้น ไทเก็ก โยคะ

    ประเภทละ 30 -40 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน นอกจากการขาดการออกกำลังกายจะก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ดังกล่าว ข้างต้น ยังส่งผลต่อสมดุลของวิตามินในร่างกายอีกด้วย

    ข้อมูลจากงานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Citical Reviews in Food ence and Nutrition โดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยตัลกา ประเทศชิลี ที่ทำร่วมกับมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเอสปิริโตซานโตและมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโคซา ประเทศบราซิล ระบุว่า ผู้ที่เป็นโรคอ้วนโรคระบบเมแทบอลิก ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง มักมีปัญหาขาดวิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ ดี อี เค วิตามินบี 12 และโฟเลต

    ขาดการออกกำลังกาย อาจทำให้ขาดวิตามินเอ

    กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข แนะนำผักผลไม้ในประเทศไทยที่เป็นแหล่งวิตามินเอราคาถูก หาได้ง่ายเพราะมีผลผลิตตลอดปี ได้แก่ ผักบุ้ง ตำลึง ฟักทอง และผักผลไม้ที่มีสีเหลืองส้ม เช่น มะละกอ แครอต มะม่วงสุก

    วิตามินชนิดนี้มีประโยชน์ต่อร่างกาย คือ ช่วยในการมองเห็น ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของกระดูก การแบ่งตัวของเซลล์ กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่อมแซมผิวของตาและหลอดลม

    วิตามินดี

    อาหารที่มีวิตามินดี ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาทู ปลาทูน่า ในต่างประเทศมีการเพิ่มเติมวิตามินดีใส่ลงในนม น้ำส้ม โยเกิร์ต ธัญพืชอบแห้ง ที่เป็นอาหารเช้า

    นอกจากนี้แสงแดดยังกระตุ้นให้ร่างกายผลิตวิตามินดี โดยจำเป็นต้องให้ผิวหนังสัมผัสกับแสงอาทิตย์เป็นเวลาอย่างน้อย 15 นาทีทุกวัน แนะนำให้ใช้การออกกำลังกายกลางแจ้งโดยใส่เสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้น เพื่อให้รังสียูวีบีตกกระทบที่ผิวหนังชั้นหนังกำพร้าและสังเคราะห์วิตามินดีได้

    วิตามินเค

    อาหารที่มีวิตามินเค ได้แก่ กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ ผักปวยเล้ง ผักคะน้า บรอกโคลี ตับวัว ถั่วเหลือง ผักสลัด น้ำมันตับปลา น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก น้ำมันข้าวโพด

    โดยทั่วไปการขาดวิตามินเคจากอาหารพบได้ยาก แต่จะพบการขาดวิตามินเค เนื่องจากการดูดซึมไขมันและน้ำมันไม่ดี หรือความผิดปกติในการสร้างวิตามินเคของแบคทีเรียในลำไส้เล็ก เช่น คนที่กินยาปฏิชีวนะ เช่น ยาซัลฟา จะไปทำลาย แบคที่เรีย ส่งผลทำให้การสร้างวิตามินเคในลำไส้เล็กลดลง หรือในภาวะที่ท่อน้ำดีอุดตัน หรือเกิดจากโรคต่าง ๆ เช่น โรคท้องร่วงอย่างรุนแรงและลำไส้ใหญ่อักเสบ จะไปรบกวนการดูดซึมวิตามินเค ทำให้ร่างกายเกิดภาวะการขาดวิตามินเคได้

    วิตามินบี 12

    อาหารที่มีวิตามินบี 12 แนะนำเป็นหอยชนิดต่าง ๆ ได้แก่ หอยตลับ นอกจากจะมีวิตามินบี 12 แล้วยังมีโพแทสเซียมอีกด้วย หอยนางรม มีทั้งวิตามินบี 12 และสังกะสีมากกว่าอาหารประเภทอื่น ๆ ช่วยเพิ่มฮอร์โมนเทอร์ทอสเทอโรนซึ่งเป็น ฮอร์โมนสำคัญสำหรับผู้หญิง และโอเมก้า-3 ต่อด้วยปู มีวิตามินเอ บี และสังกะสีกับแมกนีเซียมเป็นของแถม

    หอยแมลงภู่ อร่อยดีมีวิตามินบี 12 แล้ว ยังได้โปรตีน โพแทสเซียม วิตามินซี สุดท้าย ปลาซาร์ดีน ซึ่งคนไทยคุ้นเคยว่าเป็นปลาที่มักนำมาทำปลากระป๋อง นอกจากวิตามินบี 12 และแคลเซียม ยังพบวิตามินดีและโอเมก้า- 3 อีกด้วย

    โฟเลต

    หมายถึงวิตามินบี 9 ที่พบในอาหารธรรมชาติ ส่วนกรดโฟลิกเป็นการสังเคราะห์ขึ้น เป็นวิตามินที่มีราคาถูก เรามักได้ยินประโยชน์ของกรดโฟลิกซึ่งแพทย์สั่งจ่ายให้กับหญิงตั้งครรภ์เพื่อบำรุงเม็ดเลือด ทำให้ทารกในครรภ์แข็งแรงสมบูรณ์ หรือสั่งจ่ายให้แก่ผู้ที่มีปัญหาโลหิตจาง เป็นต้น

    หากต้องการเพิ่มโฟเลต แนะนำให้กินอาหารที่มีโฟเลตสูง ได้แก่ ถั่วแดง หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม บีตรู้ต บรอกโคลี รวมถึงถั่วเปลือกแข็งชนิดต่าง ๆ ได้แก่ อัลมอนด์ เกาลัด แปะก๊วย มะม่วงหิมพานต์ แมคคาเดเมีย พิสตาชิโอ เฮเซลนัท ถั่วพีแคน วอลนัท งา เมล็ดทานตะวัน และเมล็ดเก๋ากี้

    กรณีของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มีข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า การให้กรดโฟลิก ร่วมกับการให้วิตามินบี 6 และวิตามินบี 12 สามารถลดระดับของสารโฮโมซิสเทอีนในเลือดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เป็นผลช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจได้

    ข้อมูลจาก นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 515

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    HOW TO ออกกำลังกาย เพื่อความสมดุลของฮอร์โมน ลดเสี่ยงมะเร็งเต้านม

    ทำไม วัยทองเสี่ยงโรค หัวใจและหลอดเลือด และโรคกระดูกพรุน

    วิ่งอย่างไร ไม่ให้เจ็บ

    วอร์มอัพ อย่างถูกต้อง ออกกำลังกายจะปลอดภัย

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    เจ็บแน่นหน้าอก สัญญาณกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

    เจ็บแน่นหน้าอก สัญญาณกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

    “เจ็บแน่นหน้าอก” ใครที่มีอาการนี้อยู่บ่อยๆ อย่าชะล่าใจไปนะคะ ต้องระวังให้มากเพราะอาจเป็นที่มาของสัญญาณกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันก็เป็นได้ ซึ่งโรคนี้เกิดขึ้นโดยไม่เลือกเพศ ไม่เลือกอายุ นั่นเท่ากับว่า แม้จะออกกำลังกายบ่อย อายุน้อย ก็มีโอกาสเป็นได้ วันนี้แอดจะพาไปรู้จักกับโรคนี้กันค่ะ

    อาการเจ็บหน้าอก แน่นหน้าอกแบบเฉียบพลันเป็นระยะเวลานานกว่า 20-30 นาที อาจเป็นสาเหตุของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Heart Attack) 1 ใน 3 สาเหตุการตายมากที่สุดของคนไทย เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ ส่งผลให้หัวใจเกิดความเสียหาย ซึ่งไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาสมบูรณ์ได้ดั่งเดิม จึงต้องรีบพบแพทย์ให้เร็วที่สุดหากมีอาการ เพื่อรับการรักษาได้ทันท่วงที เนื่องจากภาวะนี้มีโอกาสไม่น้อยที่ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตก่อนมาถึงโรงพยาบาล

    อาการเจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงภาวะต่าง ๆ ที่ร่างกายของเรากำลังเผชิญ จากความอันตรายทั้งหมดนั้นภาวะที่รุนแรงที่สุดที่อาจเกิดขึ้น คือ “ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน” หนึ่งในภาวะที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุดใกล้เคียงกับการเกิดอุบัติเหตุ และโรคมะเร็งเลยก็ว่าได้ ภาวะอันตรายที่เรากำลังกล่าวถึงนี้มีอาการที่แสดงออกมา ดังนี้

    • มีอาการใจสั่น
    • เจ็บหน้าอกอย่างกะทันหัน และเป็นระยะเวลานาน
    • มีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ค่อยออก
    • เจ็บหน้าอก และรู้สึกปวดร้าวไปถึงบริเวณหัวไหล่
    • เจ็บหน้าอกหากทำกิจกรรมที่ใช้แรงมาก

    นอกจากนี้ยังอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย ได้แก่ หัวใจเต้นแรง มีอาการคลื่นไส้อยากอาเจียน และเหงื่อออกผิดปกติ หากพบว่ามีอาการตามที่กล่าวมาข้างต้นเกินกว่า 20 – 30 นาที ถือว่าอันตราย ควรรีบเข้าพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เนื่องจากเป็นสัญญาณของความเสี่ยงภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และมีโอกาสเสียชีวิตได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว

    กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

    กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันเกิดจากอะไร

    ภาวะอันตรายนี้มาจากการตีบ หรือตันของหลอดเลือดหัวใจ เมื่อเป็นเช่นนี้หลอดเลือดจะไม่สามารถไหลเวียนเข้าสู่หัวใจได้ ในช่วงแรกหัวใจจะเริ่มเสียหาย และเริ่มตาย ยิ่งเวลาผ่านไปจะยิ่งเกิดความเสียหายมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าความเสียหายที่เกิดกับหัวใจไม่สามารถฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ให้สมบูรณ์เต็มประสิทธิภาพเหมือนเดิมได้ ซึ่งสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยได้ด้วยการพาผู้ป่วยเข้าพบแพทย์เพื่อเปิดทางไหลเวียนของหลอดเลือดให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็วที่สุด

    แล้วสาเหตุของหลอดเลือดหัวใจตีบคืออะไร คำตอบคือการสะสมของไขมันภายในหลอดเลือด เมื่อเวลาผ่านไปการสะสมที่มากขึ้นจะเริ่มส่งผลต่อการไหลเวียนของหลอดเลือดในที่สุด ในระยะนี้อาจเกิดการปริ หรือแตกได้ หากเกิดภาวะที่ส่งผลร้ายต่อหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้นอีก อาจเกิดผลกระทบถึงขั้นเป็น “ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน” ได้ในที่สุด

    ทำไมอัตราการเสียชีวิตจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันถึงสูง

    “เดิม ๆ” เป็นนิยามของสาเหตุการเสียชีวิตด้วยโรคร้ายหลายโรคซึ่งคำว่า “เดิมๆ ” นี้เองมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ และความเข้าใจผิดแบบเดิม ๆ ภายใต้คำว่า “ไม่ได้เป็นอะไร” และคำนี้แหละที่เป็นบ่อเกิดของการเสียชีวิตจากภาวะดังกล่าวภายใต้คำว่า “เพราะ” ซึ่งมีอยู่ 4 ข้อ ได้แก่

    1. เพราะความเข้าใจผิด เช่น เกิดการเจ็บหน้าอก แต่อาจสงสัยว่าตนเองเป็นโรคกรดไหลย้อน หรือโรคกระดูกซี่โครงอักเสบ เราอาจไม่ได้คิดว่าเป็นอาการของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน แต่ถ้าหากอาการเจ็บหน้าอกดังกล่าวเป็นสัญญาณของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันขึ้นมาล่ะ จะเป็นเช่นไร
    2. เพราะคำว่า “ไม่เป็นไร” จริง ๆ โรคที่ทำหน้าที่คร่าชีวิตผู้คนนั้นอาจมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากภาวะ หรือโรคเล็กน้อยที่เราไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาใหญ่ เช่น ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันสามารถเกิดขึ้นได้หากเราเป็นโรคเบาหวาน มีความดันโลหิตสูง และมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ใครจะคิดล่ะว่าโรคเหล่านี้จะเป็นสาเหตุของโรคร้ายที่รุนแรงในทางอ้อม
    3. เพราะใคร ๆ เขาก็ทำกัน การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และไม่ออกกำลังกาย หลายคนมองว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะคนรอบตัวก็ทำกัน โดยการเลือกที่จะทำตามคนรอบตัวนั้นไม่ใช่เรื่องผิด และเป็นสิทธิของเรา แต่แน่นอนว่าเราเองก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ความเสี่ยงที่อาจเกิดโรคร้ายโดยมาจากพฤติกรรมของเราเอง
    4. เพราะมันรวดเร็ว ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน แค่ชื่อก็ทำให้เรารู้แล้วว่าเฉียบพลัน ภาวะนี้ใช้เวลาไม่มากในการทำลายหัวใจ และแน่นอนว่าคนไข้หลายรายเสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ หรือก่อนมาถึงโรงพยาบาล ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิด “เพราะมันรวดเร็ว” ก็มาจาก 3 เพราะที่กล่าวมาก่อนหน้านี้นั่นเอง

     ป้องกันตนเองจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันอย่างไร

    วิธีการป้องกันภาวะนี้อาจจะฟังดูน่าเบื่อ เพราะเราคงได้ยินมาจากหลาย ๆ โรคแล้ว แต่เราเองคงต้องยอมรับว่าวิธีเหล่านี้อาจได้ยินมาบ่อยมากเกินไปก็จริง แต่เราสามารถทำตามได้ครบหรือเปล่าคงต้องถามตนเอง วิธีที่ว่านี้ ได้แก่

    งดแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่, หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ, พยายามควบคุมความเครียด, ระวังเรื่องน้ำหนัก เพราะมีผลต่อไขมันในเลือด และหมั่นตรวจสุขภาพเพื่อหาภาวะผิดปกติในร่างกาย

    อย่างไรก็ตาม อันตรายที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นสามารถป้องกันได้ง่าย ๆ ภายใต้นิยามของคำว่า “ดูแลตนเอง” ควบคู่ไปกับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพราะการตรวจสุขภาพเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เราได้ร่วงรู้การมีอยู่ของโรคร้าย เช่น โรคทางหัวใจ เพื่อให้ได้รู้ตัว และรักษาได้ทันท่วงทีก่อนเกิดอาการรุนแรง

    การรักษาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

    สำหรับการรักษาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันนั้น มีด้วยกัน 3 วิธี คือ

    ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
    การรักษาด้วยการขยายหลอดเลือดด้วยขดลวด

    1. การขยายด้วยบอลลูน และ/หรือการขยายด้วยขดลวด มีทั้งขดลวดแบบเคลือบยา ไม่เคลือบยา และขดลวดแบบละลายได้ พิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล
    2. การรักษาด้วยการผ่าตัดทำทางเยงหลอดเลือดหัวใจ เป็การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ เพื่อให้เลือดไหลเวียนข้ามบริเวณที่มีการตีบตันไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ ทำในกรณีใส่ขดลวดไม่ได้ หรือตรวจพบภาวะแทรกช้อนอย่างอื่นร่วมด้วย
    3. การรักด้วยยา

    ข้อควรปฏิบัติของผู้ที่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

    1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน 30 นาที โดยควรเลือกเป็นการออกกำลังกายที่ไม่รุนแรง เช่น การเดิน โดยเริ่มเดินช้าๆ ก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่มระยะทางมากขึ้น
    2. หากมีอาการเจ็บหน้าอก ให้หยุดกิจกรรมทันที และอมยาใต้ลิ้น หากไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์
    3. ทำจิตใจให้สงบ หาเวลาพักผ่อนและลดความเครียด หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตื่นเต้น เช่น การดูเกมกีฬา การแข่งขันที่เร้าใจ
    4. สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ หากมีอาการใจสั่น หายใจขัด หรือเจ็บหน้าอกนานเกิน 15 นาทีหลังมีเพศสัมพันธ์ควรปรึกษาแพทย์
    5. หลีกเลี่ยงการเบ่งถ่ายอุจจาระแรงๆ
    6. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง อาหารที่มีรสเค็มและหวาน
    7. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำชา กาแฟ และหลีกเลี่ยงการสูบบุรี่

    ข้อมูลจาก

    • โรงพยาบาลเพชรเวท
    • โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาการุณย์

    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ 

    ป้องกันโรคหัวใจ ทำได้ง่ายๆ ด้วยการออกกำลังกาย

    ประโยชน์ของพริก เป็นยาอายุวัฒนะ ยืดอายุ ลดความเสี่ยงหัวใจ และโรคมะเร็ง 

    10 แหล่งโอเมก้า-3 บำรุงสมอง หัวใจ ป้องกันซึมเศร้า

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    วอร์มอัพ, ออกกำลังกาย, ยืดเส้น

    วอร์มอัพ อย่างถูกต้อง ออกกำลังกายจะปลอดภัย

    EXERCISE MISTAKES วอร์มอัพ อย่างถูกต้อง ออกกำลังกายจะปลอดภัย

    ปัญหาที่พบบ่อยในการออกกำลังกาย คือ การได้รับบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย เนื่องจากไม่ วอร์มอัพ ไม่ยืดกล้ามเนื้อ ไม่คูลดาว์น

    และออกกำลังกายที่ไม่เหมาะกับสภาพร่างกายของตัวเอง เช่นการชกมวย ซึ่งบางคนร่างกายไม่พร้อม แต่ต้องใช้ร่างกายปะทะอย่างแรงกับเป้า จึงอาจทำให้ ข้อเข่า ข้อเท้า เส้นเอ็น หรือกล้ามเนื้อเกิดอาการบาดเจ็บ

    คนที่ออกกำลังกายส่วนใหญ่ อยากรู้ว่าการออกกำลังกายที่ตัวเองทำอยู่ ถูกต้องหรือไม่ ดีหรือไม่ ทั้งการออกกำลังแบบคาร์ดิโอ การยืดเหยียด และเวทเทรนนิ่ง จึงมักหาที่พึ่ง ทุกวันนี้อันดับหนึ่งในใจคือ อากู๋เกิ้ล แต่พออ่านแล้วก็ยังสงสัยต่อว่าจริงไหม ก็มีทั้งถูกมาก ถูกน้อย อ่านๆไว้ครับแล้วก็ไปถาม ครูฝึกอีกครั้งว่าจริงไหม อย่างไร

    จะต่อยมวยไม่ใช่แค่ต่อย

    ที่จริง การชกมวย เหมาะสำหรับคนที่อายุน้อยๆ แต่ถ้าอายุ 30-40 ปีขึ้นไป แม้จะยังรู้สึกว่าตัวเองฟิตอยู่ แต่พอลองของจริง จะรู้ว่ามีแรงกระแทกมหาศาล ร่างกายจึงระบม แล้วอาการบาดเจ็บตามมา อาการฟกช้ำ ไม่เท่าไหร่ก็หายครับ แต่ที่ไม่หายหรือหายช้ามาก เช่น การบาดเจ็บที่หัวเข่าจากกระดูกอ่อนช้ำ หรือหมอนรองกระดูกฉีกขาด บางรายจังหวะไม่ดีถึงขนาดเอ็นขาด จะฟื้นตัวยากมาก

    ถ้าเคยเห็นว่ามีผู้สูงอายุชกมวยได้ นั่นเป็นเพราะเขาต้องฝึกชกลม ฝึกท่าทางมาจนชำนาญ แล้วจึงค่อยๆเริ่มชกเบาๆ มีการออกแรงกระแทกนิดหน่อยจนร่างกายเกิดความคุ้นชิน กล้ามเนื้อพร้อมรับแรงกระแทกจึงจะออกแรงมากขึ้น

    ตรงกันข้ามกับกรณีส่วนใหญ่ที่เราพบได้ทั่วไป คือถูกจับชกแบบจริงจังเลย แรงกระแทกจะทำให้เราบาดเจ็บได้ หรือที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ท่าทางไม่ถูกต้อง ก็ยิ่งจะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ทั้งกล้ามเนื้อและหัวใจ

    อีกปัญหาหนึ่งที่พบบ่อย ที่ทำให้บาดเจ็บคือ การได้รับการบอกว่า อย่าหยุด ทำต่อไป เดี๋ยวไอ้ที่เจ็บมันจะหายเอง สำหรับวัยหนุ่มสาวอาจหายเพราะร่างกายฟื้นไว แต่ถ้าเข้าวัยคนอายุ ลุง ป้า น้า อา ต้องระวังให้มากนะครับ อาจถึงขั้นหยุดออกกำลังกายเป็นปีๆเลย

    วอร์มอัพ, ออกกำลังกาย, ยืดเส้น, ออกกำลังกายให้ปลอดภัย, เทคนิคการออกกำลังกาย
    วอร์มอัพ ก่อนออกกำลังกาย ป้องกันการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย

    การใช้น้ำหนัก เทคนิค และความเร็วที่ถูกต้อง

    ถึงตอนนี้ผมขอย้อนกลับมาที่เรื่องการใช้ร่างกายอย่างไม่ถูกต้องในการออกกำลังกาย เช่น ไม่วอร์มอัพ ไม่ยืดเหยียด และไม่คูลดาว์นแล้ว ก็ยังมีเรื่องท่าทางของการออกกำลังกาย และการใช้แรงในการออกกำลังกาย บางคนไปเล่นฟิตเนส ยกน้ำหนักหนักมากไปโดยไม่รู้ว่าเราไหวแค่ไหน ที่ถูกคือต้องค่อยๆ เพิ่มน้ำหนัก และต้องมีท่าทางการเคลื่อนไหวร่างกายที่ถูกต้อง รวมทั้งเทคนิคการยก และความเร็วต้องเหมาะสม สำหรับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดและบาดเจ็บน้อยที่สุด

    เช่น ควรมีการใช้น้ำหนักต่ำสุดที่ยกได้สัก 20 ครั้งสบายๆ พร้อมจัดท่าทางให้ร่างกายชินก่อน แล้วค่อยเพิ่มน้ำหนักลงไป อีกกรณีหนึ่ง หากเราเคยยกได้ เช่น 50 กิโลกรัม แต่หยุดเล่นไปนาน พอกลับมาเริ่มที่ 50 กิโลกรัมทันที รับรองบาดเจ็บแน่นอนครับ

    พูดถึงการวิ่ง บางคนเพิ่งเริ่มวิ่ง เคยได้ยินมาว่าต้องวิ่งวันละ 30 นาที สุขภาพจะแข็งแรง คนอายุ 40 ปี ไม่เคยวิ่งอยู่ๆ จะไปวิ่งเลย 30 นาที มันทำได้ครับแต่เจ็บแน่ๆ เราควรเริ่ม เดินหรือวิ่งเหยาะๆสัก 10 นาที ก่อน ถ้าทำได้แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นไม่รู้สึกเจ็บ ไม่บวม ก็ค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้นครั้งละ 5 นาที เพื่อให้ปลอดภัยต่อกล้ามเนื้อและหัวใจ ถ้าเพิ่มแล้วรู้สึกไม่เหนื่อย เหงื่อแค่ซึมๆ ค่อยเพิ่มอีกครั้งละ 5-10 นาที และสังเกตตัวเองให้ความเหนื่อยอยู่ที่ระดับเหนื่อยพอทนได้

    หลังออกกำลังกาย อาจรู้สึกปวดกล้ามเนื้อ ให้ลองสังเกตตัวเองว่า ถ้ามีอาการปวดนิดๆหน่อยๆ ในตอนเช้าของอีกวัน แต่ไม่ทันจะข้ามวัน ความเจ็บปวดลดลง แสดงว่าร่างกายกำลังกระตุ้นกล้ามเนื้อให้ทำงานดีขึ้น สามารถทำที่ระดับนั้นได้ต่อไป

    ตรงกันข้ามถ้าเจ็บไปอีก 3-4 วัน ปวดล้า จนขยับไม่ได้ แสดงว่า กล้ามเนื้อทำงานหนักเกินไป ให้มองย้อนกลับไปว่า เราได้วอร์มอัพ หรือยืดเหยียดหรือไม่ ท่าทางถูกต้องหรือไม่ ใช้ความเร็ว ระยะถูกต้องหรือเปล่า และคูลดาว์นแล้วหรือยัง จากนั้นให้จำการใช้น้ำหนัก และความเร็วของเราเอาไว้ อย่าเพิ่งใช้ความเร็วหรือน้ำหนักระดับนั้น อย่าพยายามเทียบกับเพื่อน เพราะสภาพร่างกายแต่ละคนไม่เท่ากัน หายเจ็บก็กลับมาเริ่มใหม่ โดยเริ่มที่ ความเร็ว ระยะ น้ำหนัก แค่ครึ่งเดียวของครั้งสุดท้ายที่เราเจ็บ หากทำได้ดีค่อยเพิ่มทีละ 10 เปอร์เซนต์ จะไม่บาดเจ็บซ้ำครับ

    จาก คอลัมน์ Active Guru By นพ.กรกฎ พานิช นิตยสารชีวจิตฉบับ 451 (16 กรกฏาคม 2560)


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    HOW TO ออกกำลังกาย เพื่อความสมดุลของฮอร์โมน ลดเสี่ยงมะเร็งเต้านม

    ทำไม วัยทองเสี่ยงโรค หัวใจและหลอดเลือด และโรคกระดูกพรุน

    วิ่งอย่างไร ไม่ให้เจ็บ

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    ท่าบริหารกล้ามเนื้ออย่างง่าย สำหรับคนไม่ค่อยออกกำลัง เพื่อแขน ขา และก้นกระชับ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ออกกำลังกายในน้ำ, ป้องกันข้อเข่าเสื่อม, ข้อเสื่อม, ลดความอ้วน,

    3 วิธี ออกกำลังกายในน้ำ ลดหุ่น ป้องกันข้อเข่าเสื่อม

    3 วิธี ออกกำลังกายในน้ำ ลดหุ่น ป้องกันข้อเข่าเสื่อม

    ออกกำลังกายในน้ำ อีกหนึ่งทางเลือกเพื่อปั้นหุ่นสวย ที่ช่วยลดแรงกระแทง ป้องกันการบาดเจ็บของข้อต่อ และอาการข้อเข่าเสื่อมได้

    อยากลดน้ำหนัก แต่จะไปวิ่งก็ปวดข้อเท้า แถมยังเหนื่อยจนแทบขาดใจ ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เพียงย้ายก้นหนัก ๆ ไปแช่น้ำ จากนั้นก็เวิร์คเอ้าท์ให้น้ำกระจาย ไขมันกระจุย

    ไม่นานนี้แนนมีโอกาสได้ทดลองออกกำลังกายในน้ำค่ะ แต่ไม่ใช่การว่ายน้ำหรือแบกกระดานโต้คลื่นไปเล่นเซิร์ฟแล้วนะคะ งวดนี้ ไปวิ่ง เต้นซัลซ่า และปั่นจักรยานในน้ำมาค่ะ ประสบการณ์จาก 3 กิจกรรมนี้จะเป็นอย่างไรมาดูกัน

    ประโยชน์เป๊ะปังจากน้ำ ออกกำลังกายในน้ำ กันเถอะ

    นอกจากการว่ายน้ำแล้ว การออกกําลังกายในน้ำยังมีรูปแบบอื่นๆ อีกมาก ซึ่งไม่จําเป็นต้องว่ายน้ำเป็น เราก็ฝึกได้ โดยในต่างประเทศนั้นการปั่นจักรยานในน้ำ กระโดดน้ำ ระบําใต้น้ำ โปโลน้ำ และเต้นในน้ำ ถือว่าฮิตสุดๆ เหตุที่เขาฮิตกันก็เพราะการออกกำลังกายในน้ำมีประโยชน์มากค่ะ

    1. แรงพยุงตัว(Buoyancy Force/Weightlessness) น้ำช่วยพยุงน้ำหนักตัวเราได้ถึง50เปอร์เซ็นต์ร่างกายจึงเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้นโดยไม่มีแรงกระแทกเท่ากับการออกกําลังกายบนบก เหมาะกับคนที่น้ำหนักตัวมาก รวมถึงผู้ที่มีปัญหาเรื่องข้อหรือหัวเข่า
    2. แรงต้านทาน(Water Resistance) น้ำมีแรงต้านทําให้คุณต้องออกแรงเพิ่มขึ้นในทุกขณะการเคลื่อนไหวผู้ออกกําลังกายจึงได้ใช้กล้ามเนื้อทุกส่วน
    3. แรงดันของน้ำ(Water Pressure) ช่วยลดความดันโลหิต ชีพจรจะเต้นช้าลง หัวใจสูบฉีดโลหิตให้ไหลเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
    4. การระบายความร้อน(Reduce Body Heat) น้ำจะช่วยระบายความร้อนในร่างกายการออกกําลังกายในน้ำไม่ทําให้เสียเหงื่อมาก จึงไม่รู้สึกอ่อนเพลียหลังการออกกําลังกาย

    วิ่งในน้ำ

    หลังจากว่ายน้ำแล้ว และได้อ่านบทความเกี่ยวกับการวิ่งในน้ำ แนนก็เริ่มออกวิ่งในน้ำค่ะ การวิ่งในน้ำที่มีความสูงระดับเอว น้ำจะช่วยรองรับน้ำหนักตัวไว้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ หรือน้ำหนักของเราจะลดลง 50เปอร์เซ็นต์ แต่ที่ความสูงระดับอก น้ำหนักจะลดลงไป 30 เปอร์เซ็นต์ และที่ความสูงระดับไหล่หรือลําคอ น้ำหนักจะลดลงไป 10 เปอร์เซ็นต์

    ยิ่งน้ำลึกมากเท่าไร น้ำหนักเราจะลดลงมากเท่านั้น การออกกําลังกายในน้ำลึกจึงมีความยากมากกว่าน้ำตื้น

    แนนเลือกวิ่งในน้ำที่สูงเกือบเท่าหน้าอกค่ะ เริ่มจากวิ่งช้าๆ เป็นการอบอุ่นร่างกายราว 5 นาที เอาให้ร่างกายรู้สึกชินกับน้ำเสียก่อน จากนั้นจึงวิ่งเร็วขึ้น วิ่งเหมือนอยู่บนบก พยายามฝืนร่างกายมากๆ เพื่อให้ได้เกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วน

    เพียง 15 นาที ก็เหนื่อยแล้วค่ะ เพราะเราต้องใช้แรงมากเป็น 2 เท่าเมื่ออยู่ในน้ำ แต่บอกเลยว่า สนุกมาก เพราะการเกร็งตัวสู้แรงต้านของน้ำให้ความรู้สึกที่ท้าทาย และที่สำคัญ เหงื่อไม่ออก ไม่รู้สึกเหนียวตัว พัก 3-5 นาที แล้ววิ่งต่ออีก 15 นาที เท่านี้ก็เทียบเท่ากับการวิ่งบนบกแล้วค่ะ

    หลังจากวิ่งในน้ำ เรายังต้องยืดเหยียดกล้ามเนื้อด้วยนะคะ แม้จะไม่รู้สึกปวดขาเหมือนกับอยู่บนบกก็ตาม

    สำหรับกิจกรรมนี้ แนนให้ 9/10 เพราะทั้งสนุก ไม่ร้อน ไม่เจ็บข้อต่อ และกล้ามเนื้อ ส่วนอีก 1 คะแนนที่กั๊กไว้ ก็เพราะแถวบ้านไม่มีสระว่ายน้ำ แต่ถ้าหมู่บ้านใครมีสระแนะนำให้ดีดตัวไปวิ่งด่วนค่ะ แล้วจะรู้ว่าใช้พลังงานไม่ต่างกับวิ่งบนบกเลย

    ออกกำลังกายในน้ำ, ป้องกันข้อเข่าเสื่อม, ข้อเสื่อม, ลดความอ้วน
    ออกกำลังกายในน้ำ ช่วยลดแรงกระแทก ป้องกันข้อเข่าเสื่อม

    เต้นซัลซ่าในน้ำ

    การเต้นซัลซ่าในน้ำ ไม่ต่างกับการเต้นแอโรบิกในน้ำค่ะ เพียงเปลี่ยนเป็นเพลงจังหวะลาตินที่จะทำให้เราได้เขย่าหน้าอก ส่ายโพกมากยิ่งขึ้น

    เต้นซัลซ่าในน้ำ เป็นการเต้นในน้ำลึกระดับอก ครูฝึกจะสอนอยู่บนบก โดยเริ่มตั้งแต่การอบอุ่นร่างกายด้วยท่าทางง่ายๆ เช่น ย่ำเท้าอยู่กับที่ ชกน้ำ แกว่งแขนไปทางซ้ายขวา

    เมื่อเข้าสู่การเต้นที่แท้จริง ครูจะบอกเสมอว่า ไม่ต้องกลัวว่าจะเต้นผิดหรือตามไม่ทันจังหวะ เพราะเมื่ออยู่ในน้ำเราต้องเจอกับแรงต้าน ขอแค่ขยับไปเรื่อยๆ ก็เพียงพอแล้ว

    ท่าของการเต้นซัลซ่าค่อยข้างง่ายและสนุก ผู้ฝึกจะได้ก้มตัวไปข้างหน้าแล้วส่ายหน้าอก ก้าวขาออกด้านข้างแล้วสะบัดเอว ย่อยืดเข้าจังหวะ เป็นการใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกาย

    เมื่อผ่านไปเพียง 15 นาที จะรู้สึกถึงความเหนื่อยและล้า เพราะต้องเกร็งกล้ามเนื้อตลอดเวลา แต่เนื่องจากเป็นการเต้นแบบกลุ่มจึงทำให้มีแรงฮึดที่จะเต้นต่อจนจบ 45 นาที

    กิจกรรมนี้ รับไปเลย 9/10 เพราะสนุก แถมยังไม่รู้สึกปวดข้อต่อจากการกระโดดกระเด้ง เขย่า สะบัด ยันไปถึงยักไหล่ เป็นการออกกำลังกายที่เหมาะแก่ทุกเพศทุกวัย ที่สำคัญ ไม่ว่าจะทำท่าใด เมื่ออยู่ใต้น้ำก็ดูจะง่ายและพริ้วไหวไปเสียหมด ส่วนที่ขาดไป 1 คะแนน คงต้องยอมให้กับการหาสถานที่เต้นในน้ำที่อาจยากไปเสียหน่อย

    ปั่นจักรยานในน้ำ, ออกกำลังกายในน้ำ, ออกกำลังกาย, ป้องกันข้อเข่าเสื่อม, ลดความอ้วน
    ปั่นจักรยานในน้ำ ร่างกายจะเผาผลาญพลังงานได้ดี

    ปั่นจักรยานในน้ำ

    จักรยานที่ใช้ปั่นในน้ำ ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้นะคะ คล้ายกับจักรยานที่เราปั่นตามสตูดิโอเลย เพียงแต่นั่งปั่นจมอยู่ในน้ำครึ่งตัว

    ก่อนอื่นต้องปรับเบาะให้สูงเท่ากับเอว จากนั้น ก็สอดเท้าเข้ากับที่เหยีบซึ่งต้องดึงสายรัดให้แน่นเสียหน่อย เนื่องจากแรงของน้ำจะทำให้เท้าหลุดออกจากที่เหยีบได้ง่าย

    ครูจะสอนให้เรารู้จักกับการปั่นทั้งหมด 3 ระดับค่ะ สเต็ป 1 ปั่นเบาๆ ช้า สเต็ป 2 ปั่นแรงขึ้น และสเปต็ป 3 ปั่นเร็วๆ ให้ลงจังหวะ

    เหมือนง่ายใช่มั้ยคะ แต่บอกเลยว่า ยากเอาเรื่อง! เริ่มจากปั่นเบาไปหนัก แล้วกลับมาเบา จากนั้น ปั่นสเต็ป 2 ต่อด้วยสเต็ป 3 ปั่นวนไปค่ะ

    เวลาที่ปั่น ลำตัวห้ามโยกไปตามขา เราต้องเกร็งหน้าท้องและลำตัวตลอดเวลา งอแขนเล็กน้อย เป็นการผ่อนแรง โน้มตัวเปลี่ยนตำแหน่งการจับแฮนด์ไปเรื่อยตามที่ครูบอก

    ขณะที่เปลี่ยนเพลง ครูจะสอนให้เราได้ขยับแขนไปมา เพื่อให้ได้บริหารร่างกายทุกสัดส่วน แต่โดยรวมแล้ว 90 เปอร์เซ็นต์ จะเน้นที่แกนกลางลำตัวและกล้ามเนื้อขา

    ตลอดการปั่น 45 นาที จะเป็นการออกกำลังกายแบบ Interval Training ที่ทำให้ผู้ฝึกได้ออกกำลังด้วยความหนักเป็นระยะเวลาสั้นๆ แล้วพักก่อนที่จะทำเซ็ตต่อไปซ้ำๆ กันจนจบคลาส ซึ่งจะทำให้เผาผลาญพลังงานได้ดีกว่าการออกกำลังกายแบบเฉื่อยๆ แช่ไปนานๆ

    สำหรับกิจกรรมนี้ ยอมใจเลยค่ะว่าต้องให้ 8/10 เพราะอุปกรณ์หรือจักรยานในน้ำค่อนข้างหายาก และเป็นการออกกำลังกายที่เน้นเพียงส่วนล่าง จึงทำให้เราต้องบริหารส่วนบนในภายหลัง แต่ถ้าใครต้องการฝึกกำลังขาบอกเลย ห้ามพลาด สนุก เหนื่อย มัน สะใจจริงๆ

    ลองไปฝึกทั้ง 3 กิจกรรมที่ว่ามานะคะ เพราะลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บกล้ามเนื้อได้จริง แถมยังไม่รู้สึกเหนียวตัว เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเราเป็นที่สุด


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    มะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งร้ายที่แฝงกายคนทำงาน

    นักวิจัยพบ! โปรตีนหยุด มะเร็งเม็ดเลือดขาว

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    ปรับ 7 พฤติกรรม แก้มะเร็งเม็ดเลือดขาว

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ป้องกันโรคหัวใจ

    วิตามินบี 12 ป้องกันโรคหัวใจ ฉบับคนกินมังสวิรัติ

    ป้องกันโรคหัวใจ ด้วย วิตามินบี 12

    มีบางคนบอกว่า ดูแลสุขภาพอย่างดี เหล้าไม่ดื่ม บุหรี่ไม่สูบ แต่ยังเป็นโรคหัวใจ วันนี้ เรามีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการ ป้องกันโรคหัวใจ โดยอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต มาฝากค่ะ

    หลายคนที่เคยเข้าคอร์สดูแลสุขภาพ ต่างป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งแต่ละคนอยากรู้สาเหตุการป่วย โดยมีอยู่ท่านหนึ่งกินอาหารมังสวิรัติ แต่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มีกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ต้องทำบอลลูน เขาตั้งคำถามในชั้นเรียนเป็นเชิงประท้วงพระเจ้าว่า เขาไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเนื้อ นม ไข่ และปลา กินแต่ผักแต่หญ้า ทำไมจึงเป็นโรคห้วใจได้ ผมตอบว่า

    “ได้สิครับ ถ้าร่างกายขาดวิตามินบี12”

    ผู้ที่รักสุขภาพสายฮาร์ดคอร์ หมายถึงผู้ที่โน่นก็ไม่กิน กลัวสกปรก นั่นก็ไม่กิน กลัวบาป แต่เมื่อตรวจพบว่าร่างกายขาดวิตามินก็จะเถียงคอเป็นเอ็น ต้องใช้เวลาอธิบายกันพักใหญ่

    วันนี้ผมจะเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังในลักษณะการถามตอบนะครับ

    Q : ทำไมการทำบุญทำทานโดยไม่กินเนื้อสัตว์ แม้จะช่วยให้ไม่มีภาวะไขมันในเลือดสูง แต่สามารถเป็นโรคหัวใจได้

    A : วงการแพทย์ทราบมานานแล้วว่า ในร่างกายมีสารขยะชนิดหนึ่ง เรียกว่าโฮโมซีสเตอีน (Homocysteine) สารชนิดนี้ไม่มีอะไรดี หากสะสมในร่างกายจะเป็นปัจจัยเสี่ยงอิสระที่ก่อโรคหลอดเลือดแดงแข็งได้ คำว่าปัจจัยเสี่ยงอิสระหมายความว่า ไม่ต้องมีปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่นเช่น สูบบุหรี่ มีไขมัน ความดัน เบาหวาน ก็สามารถเป็นโรคหัวใจหรือเป็นอัมพาตได้ เพียงมีปริมาณสารโฮโมซีสเตอีนสูง

    สารขยะนี้เกิดขึ้นตลอดเวลาจากการเผาผลาญกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ชื่อเมไทโอนีน (Methionine) จากนั้นร่างกายจะอาศัยวิตามินบี12 ในการเปลี่ยนโฮโมซีสเตอีนซึ่งเป็นของเสียให้กลับไปเป็นเมไทโอนีนซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดดีใหม่ ดังนั้นหากขาดวิตามินบี12 ร่างกายจะไม่สามารถเปลี่ยนสารโฮโมซีสเตอีนไปเป็นเมโทโอนีนได้ จึงเกิดการคั่งในกระแสเลือด ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดได้

    นอกจากนี้ ร่างกายยังใช้วิตามินบี12 ในการเปลี่ยนกรดเมทิลมาโลนิก (Methylmalonic acid -MMA) ซึ่งเป็นสารพิษต่อระบบประสาทไปเป็นโมเลกุลเม็ดพลังงานชื่อซัคซินิล-โคเอ (Succinyl-CoA) ที่ใช้ในการสร้างพลังงานให้แก่ร่างกายได้ เมื่อขาดวิตามินบี12 กรดเมทิลมาโลนิกก็จะคั่งในร่างกายเช่นกัน

    วงการแพทย์ใช้ระดับโฮโมซีสเตอีนและกรดเมทิลมาโลนิกวินิจฉัยภาวะขาดวิตามินบี12 แทนการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาระดับวิตามินบี12 เพราะการหาระดับวิตามินบี 12 ในเลือดมักให้ผลลบเทียม (โดยเฉพาะคนกินมังสวิรัติ) หมายความว่า ระดับวิตามินบี12 ในเลือดต่ำ แต่ผลตรวจรายงานว่าไม่ต่ำ

    Q : ทำไมจึงมาตั้งแง่เฉพาะคนกินมังสวิรัติว่า จะขาดวิตามินบี12 เล่า คนอื่น ๆ ที่กินเนื้อนมไข่จะไม่มีวันขาดบ้างหรือไร

    A : สาเหตุที่คนเราจะขาดวิตามินบี 12 นั้นมี 3 ประการคือ

    1. ความแก่ หรือความชรา สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (IOM) รายงานว่า คนอายุเกิน 50 ปีขึ้นไปทุกคนมีโอกาสขาดวิตามินบี 12 ได้ 10-30 เปอร์เซ็นต์ เพราะแหล่งที่มาทางหนึ่งของวิตามินบี12 ได้จากการสังเคราะห์ของแบคทีเรียในท้อง แต่เมื่อแก่ตัวลง สภาวะในท้องไม่น่ารื่นรมย์ แบคทีเรียจึงลดจำนวนลงไป อีกทั้งระบบทางเดินอาหารก็ดูดซึมวิตามินบี12 ได้น้อยลง ร่างกายจึงขาดวิตามินบี12 ได้ง่าย

    ดังนั้นรัฐบาลอเมริกันจึงมีกฎหมายบังคับให้เติมวิตามินบี12 ในอาหารบางชนิด เช่น นมวัวและนมถั่วเหลือง เรียกว่าอาหาร fortified และแนะนำให้คนอายุเกิน 50 ปีทุกคนกินอาหารที่เติมวิตามินบี12 นี้ หรือไม่ก็กินวิตามินบี 12 ชนิดเม็ดเสริม
           2. การกินยาเบาหวานเมตฟอร์มิน (metformin) หรือ กลูโคฟาจ (Glucophage) ยาทั้งสองชนิดนี้จะไปรบกวนการดูดซึมวิตามินบี12 นอกจากนี้ 30 เปอร์เซ็นต์ ของคนกินชนิดยานี้ไปนานๆ จะขาดวิตามินบี12 ส่งผลให้เกิดโรคสมองเสื่อมได้ เพราะอาการทางระบบประสาทเป็นอาการอย่างหนึ่งของการขาดวิตามินบี12
         3. การกินมังสวิรัตินานหลายปีโดยไม่ได้กินวิตามินบี12 ทดแทน เพราะวิตามินบี12 ไม่มีในพืช ปกติคนเราได้วิตามินชนิดนี้จากอาหารประเภทเนื้อสัตว์

    ป้องกันโรคหัวใจ วิตามินบี12

    Q : วัวควายแพะแกะที่ไม่กินเนื้อสัตว์กันเลยมันเอาวิตามินบี12 มาจากไหน

    A : พืชและสัตว์ต่างก็ไม่ใช่ผู้ผลิตวิตามินบี12 นะครับ ผู้ที่ผลิตและแจกจ่ายที่แท้จริงแต่ผู้เดียวในโลกนี้คือแบคทีเรีย

    วัวควายแพะแกะมีวิตามินบี12 เพราะมันกินแบคทีเรียที่ติดจากหญ้า ติดจากดิน อยู่ในน้ำห้วยหนองคลองบึงเข้าไปทุกวัน แบคทีเรียพวกนี้จึงเข้าไปสร้างวิตามินบี12 ในท้อง แล้วเกิดการดูดซึมไปเก็บไว้ในเนื้อตัว

    Q : การขาดวิตามินบี12 มีอาการอย่างไรบ้าง

    A : มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 อาการต่อไปนี้

    1. เป็นโรคหลอดเลือดแดงแข็ง ซึ่งก็คืออัมพาต หรือโรคหัวใจขาดเลือดนั่นแหละ
    2. เป็นโรคโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดโต (Megaloblastic Anemia)
    3. เป็นโรคปลายประสาทอักเสบและโรคชนิดอื่นของระบบประสาทรวมทั้งโรคสมองเสื่อม

    Q : ถ้าขาดวิตามินบี12 ต้องรักษาอย่างไร

    A : ขึ้นอยู่กับว่าสาเหตุการขาดวิตามินเกิดจากอะไร ถ้าเกิดจากการกินมังสวิรัติอย่างเข้มงวดหลายปีก็ต้องแก้โดยการกินวิตามินบี12 ชนิดเม็ด เสริมไปด้วยเลย

    เนื่องจากบ้านเราไม่มีอาหารเติมวิตามินบี12 (Fortified Food) ขาย จึงต้องใช้วิธีกินวิตามินบี12 ชนิดเม็ดขนาด 10 ไมโครกรัม วันละหนึ่งเม็ดทุกวัน หรือหากขี้เกียจกินบ่อยก็ให้กินขนาด 2,000 ไมโครกรัม สัปดาห์ละเม็ดทุกสัปดาห์

    นี่เป็นขนาดที่แนะนำโดยนักวิชาชีพทางการแพทย์และกลุ่มองค์กรที่กินมังสวิรัติ (Health Professionals & Vegan Organizations) ซึ่งผมเห็นว่า สอดคล้องกับคำแนะนำของ IOM จึงถือปฏิบัติตามได้อย่างปลอดภัย คำแนะนำนี้ใช้ได้กับผู้ที่กินมังสวิรัติแบบเข้มข้น (ไม่กินไข่ไม่ดื่มนม) แต่หากขาดวิตามินบี12 เพราะร่างกายดูดซึมวิตามินไม่ได้จะด้วยเหตุสูงอายุหรือป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบแบบเหี่ยว (Atrophic Gastritis) ก็ตาม ต้องรักษาโดยการฉีดวิตามินเดือนละครั้ง

    Q : ถ้ากินมังสวิรัติสลับกับกินเนื้อสัตว์บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ จะป้องกันการขาดวิตามินบี12 ได้ไหม

    A : จะตอบว่าได้ก็ได้ จะตอบว่าไม่ได้ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะเชื่อหลักฐานเรื่องไหน กล่าวคือถ้าดูข้อมูลเชิงระบาดวิทยาของชุมชนคนอายุยืนทั่วโลกซึ่งกินมังสวิรัติยืนพื้นแล้วกินเนื้อสัตว์เล็กๆ น้อย ๆ นาน ๆ ครั้ง ประมาณว่า หนึ่งสัปดาห์ได้กินเนื้อสัตว์ขนาดไม่เกินครึ่งฝ่ามือ ก็ไม่เห็นว่า พวกเขาจะขาดวิตามินบี12 แต่อย่างใด

    แต่ถ้าดูหลักฐานงานวิจัยเรื่องหนึ่งที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งนำวัยรุ่นที่กินมังสวิรัติ และกินเนื้อสัตว์ปริมาณเล็กน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จำนวน 73 คน มาเจาะเลือด พบว่ามีคนขาดวิตามินบี12 อยู่ถึง 21 เปอร์เซ็นต์

    ถ้าเชื่องานวิจัยเรื่องหลังนี้ก็คือการกินมังสวิรัติสลับกับการกินเนื้อสัตว์เล็กน้อยก็ยังมีโอกาสขาดวิตามินบี12 อยู่ จะให้ดีก็ควรกินวิตามินบี 12 เสริมไปเสียเลยดีกว่า

    ทั้งหมดคือเรื่องเล่าสุขภาพที่ผมอย่างแบ่งปันครับ

    ข้อมูลจาก : นิตยสารชีวจิต

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    เดินเร็ว วันละนิด ชีวิตยืนยาว

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

    ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา

    ดื่ม ชาสมุนไพร สุขภาพแทนกาแฟ เพิ่มความสดชื่น บํารุงร่างกาย

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ลูกประคบ

    ชวนทำ ” ลูกประคบ ” แก้ปวดเมื่อย

    ลูกประคบ ทำง่าย แก้อาการปวดเมื่อย

    เคยเห็น ลูกประคบ กลมๆ อวบๆ กันใช่ไหมคะ เจ้าลูกนี้แหละแก้ปวดดีนักแล

    การประคบสมุนไพรคือ การใช้สมุนไพรหลายอย่างมาห่อรวมกัน ส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหยมานึ่งให้ร้อน แล้วจึงใช้ประคบบริเวณที่มีปวด หรือเคล็ดขัดยอก

    น้ำมันหอมระเหยเมื่อถูกความร้อนจะระเหยออกมาความร้อนจากลูกประคบจะช่วยการกระตุ้นไหลเวียนโลหิตที่ดีขึ้น

    สมุนไพรไทยใกล้ตัวบางชนิดมีในครัวให้หยิบฉวยมาค่ะ ปวดเมื่อยเมื่อไร นำมาล้าง สับ ๆ บุบ ๆ ก่อนเดาะการบูร พิมเสนลงไปสักหน่อย ช่วยเพิ่มกลิ่นหอม ห่อเป็นลูกประคบไว้นวดเฟ้นกล้ามเนื้อแข็งเกร็งให้หย่อนคลาย ช่วยลดปวดแสนทรมานให้อาการดีขึ้นจนยิ้มแฉ่ง

    ส่วนผสม (สำหรับลูกประคบ 2 ลูก)

    • ไพลสดล้างสะอาดหั่นชิ้นเล็กประมาณข้อนิ้วก้อย 100 กรัม
    • ขมิ้นอ้อยล้างสะอาดหั่นชิ้นเล็กประมาณข้อนิ้วก้อย 50 กรัม
    • ตะไคร้สดซอย 50 กรัม
    • ใบมะขามสด 50 กรัม
    • การบูร 10 กรัม
    • พิมเสน 10 กรัม
    • ผ้าด้ายดิบขนาด 80&times80 เซนติเมตร
    • ซักให้สะอาด ตากแห้งสนิท 2 ผืน
    • เชือกสีขาวสำหรับมัด
    • ลูกประคบยาว 1.5 เมตร 2 เส้น

    วิธีทำ
    1. บุบสมุนไพรสดทีละชนิดในครกแค่พอแตกแล้วนำมาเคล้ารวมกัน โรยพิมเสน การบูรลงไป เคล้าให้ทั่ว ตักใส่ผ้าขาวบางห่อ และมัดตามวิธี

    2. เมื่อจะใช้นำไปนึ่งในลังถึงประมาณ 30 นาทีให้ร้อน หยิบลูกประคบออกมาทีละลูกพักคลายร้อนสักครู่ ก่อนนำไปกดนวดบริเวณกล้ามเนื้อที่ปวดเกร็ง เมื่อลูกแรกที่ใช้เย็นแล้วเปลี่ยนสลับเอาลูกประคบอีกลูกในลังถึงมาใช้

    ชีวจิต Tips

    1. ก่อนนำลูกประคบไปใช้ ให้ผู้นวดลองนวดบนท้องแขนของตนเพื่อเช็กระดับ
    ความร้อนว่าไม่ร้อนเกินไป จึงนำไปใช้
    2. ลูกประคบสดเมื่อทำแล้วหากยังไม่ใช้ให้ห่อพลาสติกอย่างมิดชิดป้องกันกลิ่น
    แล้วนำไปแช่ในตู้เย็น เก็บไว้ใช้ได้นานประมาณ 5 – 7 วัน
    3. การนวดด้วยลูกประคบเพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว ควรนวดประคบต่อเนื่องประมาณ 30 นาทีขึ้นไป
    4. ผู้ที่มีอาการของไข้พิษ เช่น งูสวัด หัด อีสุกอีใส ฯลฯ ไม่ควรนวดและประคบ

    ลูกประคบ

    ลูกประคบ ดีอย่างไร

    ทำไมลูกประคบ จึงมีคุณสมบัติที่ช่วยบรรเทาและรักษาอาการปวดได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะลูกประคบสมุนไพร ใช้หลักการรักษาโดยอาศัยความร้อนจากการนึ่ง ซึ่งจะส่งผลต่อเนื้อเยื่อผิวหนังระดับตื้น กล่าวคือ ความร้อนสามารถทำให้เนื้อเยื่อมีอุณหภูมิสูงขึ้น ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดบริเวณผิวหนังเพิ่มขึ้น ทำให้ของเหลวในร่างกายไหลเวียนไปสู่ เนื้อเยื่อได้ดี สามารถนำพาสารอาหารไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นอ่อนนุ่มลง และเพิ่มอัตราเมแทบอลิซึมได้อีกด้วย

    นอกจากนี้ความร้อนยังส่งผลต่อความ ยืดหยุ่น ลดอาการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดอักเสบเรื้อรัง และลดอาการปวดข้อด้วย

    อย่างไรก็ตาม การใช้ความร้อนในการประคบนั้นอาจให้ผลการรักษาเช่นเดียวกับการใช้ความร้อนเพื่อการรักษาแบบอื่น ๆ อย่างเช่น การใช้แผ่นประคบร้อน ถุงประคบร้อนในการแพทย์แผนปัจจุบัน หรือแม้กระทั่งการทับหม้อเกลือ การเผายาสมุนไพร

    แต่ที่พิเศษกว่าแบบอื่น ๆ คือ ลูกประคบสมุนไพรส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น และอาจมีผลทำให้ระดับความดันโลหิตลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในอาสาสมัครที่มีสุขภาพแข็งแรง

    ลูกประคบสมุนไพรประกอบด้วย สมุนไพรหลากหลายชนิด ทั้งที่มีฤทธิ์เย็น ร้อน เปรี้ยว มีทั้งสารอัลลาคอยด์และน้ำมันหอมระเหย โดยอาศัยความร้อนเป็นตัวนำพาสารสำคัญส่งผ่านรูขุมขน ซึบซาบเข้าสู่เนื้อเยื่อ ส่งผลให้รู้สึกสบาย ผ่อนคลายความตึงเครียด และทำให้อัตราการเต้นของหัวใจลดลง แถมกลิ่นของลูกประคบยังทำให้จมูกโล่งอีกด้วย โดย เฉพาะหากใช้ในคนไข้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ทางเดินหายใจ และโรคหึดชนิดไม่รุนแรง

    แต่ถ้สจะให้ได้ผลดีนั้น ขอแนะนำให้ใช้ลูกประคบสมุนไพรแบบสด ซึ่งจะดีกว่าลูกประคบสมุนไพรแบบแห้ง เพราะว่าความร้อนสามารถนำพาสารสำคัญสู่เนื้อเยื่อผิวหนังได้ดีกว่า แถมมีกลิ่นสดชื่นกว่า ข้อเสียของลูกประคบแห้งคือ มีปริมาณน้ำมันหอมระเหยน้อย เพราะสูญเสียสภาพไปขณะแปรรูปและการทำให้สมุนไพรแห้ง

    ข้อควรระวัง

    การใช้ลูกประคบสมุนไพรก็มีข้อควรระวังอยู่เหมือนกัน เช่น คนที่มีอาการแพ้สมุนไพรจากลูกประคบ คนที่มีแผลสดหรือแผลติดเชื้อ คนที่มีอาการชาตามผิวหนัง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะอาจทำให้เกิดอาการผิวหนังไหม้พุพองได้เช่นกัน

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    ลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำง่าย ได้ผลชัวร์

    สวยอ่อนเยาว์ ด้วยอาหารเกาหลี

    ชีวจิตขอตอบ ” กลืนกล้อง ” ส่องลำไส้ ข้อดี ข้อจำกัด มีอะไรบ้าง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    มื้อเช้า อาหารสุขภาพ

    มื้อเช้า สุขภาพ เพื่อสวย แข็งแรง และมีพลัง

    แนะนำ มื้อเช้า ที่ควรกิน เพื่อเสริมสุขภาพแข็งแรง

    อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต ท่านได้นำเสนอองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์อย่างต่อเนื่อง วันนี้เราขอเน้นย้ำเรื่อง มื้อเช้า กันอีกหน กับเรื่องราวที่อาจารย์สาทิสเล่าไว้อย่างสนุกสนานค่ะ

    มื้อเช้า เพื่อความสวย แข็งแรง และมีพลัง

    เราต้องกินอาหารเช้า ไม่ใช่แค่กินอาหารเช้าอย่างเดียว แต่ต้องเลิกกินอาหารบางอย่างด้วย ต้องลบออกจากตารางชีวิตเลย นั่นก็คือ ต้องเลิกอาหารเช้าแบบลวกๆและฉาบฉวย ขอย้ำว่าต้องเลิกจริง ๆ

    ขออธิบายเสียสักนิดว่า อาหารเช้าแบบลวก ๆ และฉาบฉวยเป็นอย่างไร

    ตัวอย่างชัดเลยก็ อาหารเช้าจำพวก กาแฟ+โดนัทสองชิ้น และขอรวมอาหารเช้าแบบลวกๆของเก่าที่กินกันมานาน คือกาแฟและปาท่องโก๋ 2 คู่ หรือบางคนก็ 3 คู่ สุดแล้วแต่ความเชื่อและความเคยชินของแต่ละคน หรือว่าก่อนหน้านี้อีกสักหน่อยคือ กาแฟและขนมครก

    นี่แหละครับที่ผมขอเรียกว่าอาหารเช้าแบบลวก ๆ ขอให้เลิกโดยเด็ดขาด ทำไมหรือ เพราะ

    1. อาหารแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย และ
    2. นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังทำลายสุขภาพของคุณอีก

    ขออธิบายต่อ กาแฟที่หลาย ๆ คนชอบกินและติดมากมีโทษอย่างไร

    คาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟและเครื่องดื่มบางอย่างนั้นโทษมียืดยาว ถ้าคุณกินนาน ๆ จนติดกาแฟ

    ลองสังเกตตัวเองสิครับว่า พอติดกาแฟแล้วก็ต้องกินเป็นประจำ ถ้าไม่ได้กินก็จะเกิดอาการกระสับกระส่ายลุกนั่งไม่ปกติ อารมณ์ตื่นเต้น วิตกกังวลหรือบางทีก็เกิดอาการซึมเศร้า นั่นคือโทษที่เกิดจากติดกาแฟแล้วไม่ได้กิน ฉะนั้น ความผิดปกติขั้นแรก จึงเกิดแก่ระบบประสาทและสมอง

    ระบบต่อไปจะเกี่ยวแก่ระบบเลือด หัวใจและระบบย่อย อย่างเช่น หัวใจเต้นแรงและเร็วผิดปกติ มือสั่น คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะบ่อย นอนไม่หลับ ฯลฯ

    ผู้ที่มีอาการอย่างที่ระบุมาแล้วข้างต้น ตามสถิติคือ ดื่มกาแฟมากจนเกิดอันตรายแบบเฉียบพลัน คือ พบคาเฟอีนในร่างกายถึง 10 กรัม คาเฟอีน 10 กรัมนั้น เท่ากับผู้ติดคาเฟอีน จะต้องดื่มกาแฟถึงประมาณ 100 ถ้วยติดๆกัน อาการป่วยอย่างเฉียบพลันเพราะติดคาเฟอีนนี้ภาษาแพทย์เรียกว่า XANTHINE DERI VATIVE (กาแฟหนึ่งถ้วยจะมีคาเฟอีนประมาณ 100 มิลลิกรัม)

    ถ้ากาแฟมีโทษมากมายขนาดนั้น ทำไมคนดื่มกาแฟกันเกือบทั้งโลกถึงอยู่กันได้

    คำตอบคือ กาแฟก็มีประโยชน์ อยู่บ้างเหมือนกัน เพราะคาเฟอีนเป็นตัวกระตุ้นทำให้ระบบประสาทตื่นตัว บางตำรา (คงเป็นตำราของผู้ขายกาแฟหรือไม่ ไม่ทราบได้) อ้างว่า คาเฟอีนแก้อาการปวดหัวไมเกรนได้ และคาเฟอีนช่วยแก้อาการง่วงเหงาหาวนอนได้

    ข้อหลังนี้ ส่วนตัวผมเองคิดว่าเชื่อได้ เพราะหลายครั้งที่ผมต้องขับรถทางไกลขนาดวันละ 800-1,000 กิโลเมตร ถ้าครั้งไหนรู้สึกว่าเพลียและง่วง ก็เคยดื่มกาแฟสักแก้วหรือโอเลี้ยงสักถุง ทำให้ตาสว่าง ขับรถได้ทั้งวัน

    ฉะนั้น พอจะเห็นประโยชน์โดยเคยปฏิบัติด้วยตัวเองมาแล้ว แต่ ขอบอกล่วงหน้าเผื่อจะมี เสียงประท้วงขึ้นมาว่า ผมปากว่าตาขยิบหรือเปล่า ขอยืนยันว่า “ผมไม่ดื่มกาแฟเป็นประจำเลยนะครับ”

    หันมาเล่าเรื่องกาแฟและโดนัทเป็นอาหารเช้านั้น จำเป็นต้องห้ามโดยเด็ดขาด เพราะว่ากาแฟและโดนัทเป็นอาหารเช้าไม่ได้แน่นอน

    โทษของกาแฟหรือคาเฟอีนได้พูดมาแล้ว พอเอามารวมกับโดนัทสองวงก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะโดนัททำด้วยแป้งขาว แล้วยังต้องเติมนมเติมเนยเติมน้ำตาลเข้าไปอีก

    แป้งขาวอย่างเดียวเป็นโทษอยู่แล้ว ผสมนมเนยและน้ำตาลเข้าไปอีก จะย่อยยาก และย่อยไม่หมด กลายเป็นแอมเมิลลอยด์ (AMYLOID) หรือท็อกซิน (Toxin) สะสมเป็นพิษอยู่ในร่างกาย

    หรือจะลองเปลี่ยนโดนัทเป็นปาท่องโก๋ก็คงจะได้ แต่ยังเป็นอาหารที่ไม่พึงประสงค์แบบเดียวกันนั่นแหละครับ

    ปาท่องโก๋ทำจากแป้งขาวและบางเจ้าเติมสารที่ช่วยทำให้แป้งกรอบเป็นพิเศษลงไปด้วย และต้องแถมด้วยเกลือซึ่งทำให้มีรสอร่อยขึ้น แต่ที่จะต้องคอยเฝ้าดูอีกอย่างหนึ่งคือ การทอดปาท่องโก๋ซึ่งต้องใช้น้ำมันพืชชนิดที่มีคอเลสเตอรอลมาก จึงจะทำให้ปาท่องโก๋กรอบได้

    นอกไปจากนั้นผู้ขายปาท่องโก๋มักจะเสียดายน้ำมันทอด ไม่ค่อยเปลี่ยนน้ำมันใหม่ ทอดซ้ำรอบแล้วรอบอีก น้ำมันที่ทอดก็ดำปี๋ เกิดเป็นสาร NITRO SAMINES ซึ่งคือสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่งนั่นเอง ตกลงอาหารเช้าแสนอร่อยนั้นคงไม่ใช่ อาหาร แต่กลับจะเป็นท็อกซินหรือพิษสะสมในร่างกายวันละนิดละหน่อยจนกระทั่งวันหนึ่ง พิษสะสมนั้นมากๆเข้า ก็ถึงวันพิษระเบิด กลายเป็นป่วยหนักไปเลย

    ฉะนั้นผมจึงต้องห้ามทุกคนว่า อย่ากินอาหารเช้าแบบนั้นเลยนะ หลายคนก็อ้อมแอ้มก้มหน้าพูดว่า ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เพราะมันรีบร้อนเหลือเกิน ไม่มีเวลาทำอาหาร

    ผมขอบอกว่า อ้างว่าไม่มีเวลาไม่ได้ ต้องทำให้ มีเวลาให้ได้ เพราะ

    1. อาหารเช้าเป็นอาหารมื้อสำคัญที่สุด
    2. นอกจากจะสำคัญแล้ว ถ้าอยากจะให้ตัวเองแข็งแรง (และสวยด้วย) ก็ต้องทำอาหารเช้าชนิดที่มีคุณภาพ

    แต่หลายคนก็ยังอิดเอื้อนอ้างเรื่องเวลาไม่มีอีกนั่น แหละ ผมจึง

    1. แนะให้หาตำราอาหารชีวจิตมาอ่าน และ
    2. แนะนำอาหารเช้าง่ายๆ เป็นตัวอย่างทันที

    มื้อเช้า เพื่อสุขภาพ

    อาหารเช้าที่แนะนำนั้น คือ ข้าวต้มเห็ดทำง่าย ๆ คือ

    1. ขั้นแรกต้มข้าวต้ม โดยใช้ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือหรือข้าวแดงต้มให้เปื่อย (บางคนชอบข้าวเป็นเม็ด น้ำใสๆก็ตามใจชอบ)
    2. เอาเห็ดฟางดอกสวยๆผ่าครึ่ง เห็ดหูหนู เห็ดเป๋าฮื้อ หั่นพองาม ผัดน้ำมันพืชกับสามเกลอ (รากผักชีกระเทียมพริกไทย) ให้หอม แล้วใส่เห็ดตามผัดพอสุก เติมซีอิ๊วขาวปรุงรสให้พอดี เติมน้ำผัดขลุกขลิกพอเดือด แล้วจึงผสมข้าวต้มกับหน้าเห็ดรวมกันเป็นข้าวต้มเห็ด ปรุงรสด้วยเครื่องปรุง (พริกดองซีอิ๊วขาวพริกไทย)

    ถ้าจะให้รสชาติอร่อยขึ้น หรือถ้ามีสตางค์ เยอะ ๆ ผัดเห็ดเสร็จแล้ว รอให้เดือดจัด ใส่กุ้งสด ๆ ลงไปด้วย (ใส่มากน้อยแล้วแต่จำนวนของสตางค์ที่จะซื้อกุ้งได้) กินข้าวต้มร้อน ๆ

    ก็จะได้ข้าวต้มกุ้งเห็ด แสนอร่อย หรือถ้าโชคดี บ้านอยู่ใกล้ทะเล ไปซื้อปลาหมึกสด ๆ จากเรือ ล้างให้สะอาด ตัดเป็นคำโต ๆ ใส่เครื่องข้าวต้มเวลาเดือดจัด ปลาหมึกจะเป็นสีชมพู หอมและน่ากิน

    ได้ข้าวต้มกุ้งเห็ดปลาหมึกแบบนี้สักชาม ร้อน ๆ หอมกรุ่นจะมีแรง (แข็งแรง) ตลอดวัน แถมข้าวซ้อมมือ จะเป็นพลังเบื้องต้น เห็ดกุ้งและปลาหมึก จะได้ทั้งโปรตีน-แร่ธาตุ-วิตามินครบ ทำให้เลือดดี ผิวสวย หน้าเป็นสีชมพู

    มีแรงด้วย สวยด้วย

    ข้อมูลจาก คอลัมน์ ปั้นชีวิตใหม่ด้วยชีวจิต ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 31 ตุลาคม 53

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ชาสมุนไพร ชีวจิต ยอดฮิตไม่ตกเทรนด์

    ลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำง่าย ได้ผลชัวร์

    สวยอ่อนเยาว์ ด้วยอาหารเกาหลี

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    แก้มะเร็งเม็ดเลือดขาว

    ปรับ 7 พฤติกรรม แก้มะเร็งเม็ดเลือดขาว

    ปรับ 7 พฤติกรรม แก้มะเร็งเม็ดเลือดขาว

    แก้มะเร็งเม็ดเลือดขาว ด้วยอาหารกันเถอะ โดยประมาณ 55-60 เปอร์เซ็นต์ของเลือด เป็นส่วนที่เรียกว่า พลาสมา หรือน้ำเลือด ที่เหลือเป็นส่วนของเม็ดเลือด

    ในส่วนที่เป็น เม็ดเลือด ยังแบ่งออกเป็นชนิดใหญ่ ๆ ได้ 3 ชนิด คือ

    เม็ดเลือดแดง มีหน้าที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

    เม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่คล้ายตำรวจคอยต่อสู้กับเชื้อโรค และ

    เกล็ดเลือด มีหน้าที่ห้ามเลือดเวลาที่ร่างกายมีเลือดออก

    ซึ่งในภาวะปรกติ เม็ดเลือดทั้งสามชนิดสร้างจากเซลล์ในไขกระดูก ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ในแกนกลางของกระดูก

    โดยเม็ดเลือดแต่ละชนิดจะมีอายุขัยในร่างกายคนแตกต่างกันไป เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ก็จะถูกปล่อยออกมาจากไขกระดูก เข้าเส้นเลือดออกไปทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน ตามชนิดของเม็ดเลือดนั้น ๆ เมื่อเม็ดเลือดหมดอายุก็จะถูกทำลายไป แล้วจะมีเม็ดเลือดที่เกิดขึ้นใหม่มาทำหน้าที่ทดแทนเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ตามปรกติแล้ว การสร้างและการทำลายเม็ดเลือดนี้ จะอยู่ภายใต้กลไกการควบคุมของร่างกาย เพื่อให้เกิดความสมดุลกัน เมื่อใดก็ตามที่กลไกการควบคุมดังกล่าวเสียไป ทำให้การสร้างและการทำลายไม่สมดุลก็จะเกิดโรคตามมา

    ดังนั้น เมื่อเกิดภาวะมะเร็งเม็ดเลือดขาวขึ้น จะรบกวนการแบ่งตัวของเซลล์เม็ดเลือดปรกติ ทำให้เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดถูกสร้างได้น้อยลง

    สาเหตุ

    สาเหตุของการเกิดมะเร็งชนิดนี้ ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่พบว่าปัจจัยทาง พันธุกรรม การติดเชื้อไวรัสบางชนิด และการได้รับสารเคมีบางอย่าง เช่น ยาฆ่าแมลงและสารกัมมันตภาพรังสี สามารถทำให้เกิดมะเร็งเม็ดเลือดได้

    มะเร็ง แก้มะเร็งเม็ดเลือดขาว
    แก้มะเร็งเม็ดเลือดขาวด้วยการปรับพฤติกรรม

    อาการ

    ในรายที่เป็นชนิดเฉียบพลัน (Acute Leukemia) จะมีอาการซีด มีจ้ำเลือดตามตัว และมีเลือดออกตามที่ต่าง ๆ (เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน) เนื่องจากเกล็ดเลือดต่ำ และมีไข้เนื่องจากการติดเชื้อ เช่น ทอนซิลอักเสบ ปอดอักเสบ บางคนอาจมีแผลเปื่อยในปาก บางคนอาจมีไข้เรื้อรังเป็นเดือน ผู้ป่วยส่วนมากจะมีตับโต ม้ามโต และต่อมน้ำเหลืองโตพร้อมกันหลายแห่ง (ส่วนมากที่บริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ) บางคนอาจมีอาการเฉพาะที่บางอย่าง เช่น ตาโปน เหงือกบวม ปวดกระดูกและข้อ เป็นต้น

    ในรายที่เป็นชนิดเรื้อรัง (Chronic Leukemia) มักมีอาการตับโต ม้ามโต ต่อมน้ำเหลืองโตพร้อมกันหลายแห่ง โดยในระยะแรกมักจะไม่มีอาการซีด หรือเลือดออกแบบที่พบในผู้ป่วยชนิดเฉียบพลัน บางคนอาจมีไข้ เหงื่อออกตอนกลางคืน เบื่ออาหาร น้ำหนักลด

    การรักษา

    แพทย์อาจใช้ยาเคมีบำบัด การปลูกถ่ายไขกระดูก และรังสีรักษา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งเม็ดเลือดขาว การตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด และอายุของผู้ป่วยด้วย

    มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง

    ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการใช้ยาเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว วิธีที่อาจผลดีคือการปลูกถ่ายไขกระดูก

    มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน

    มีเป้าหมายในการรักษา คือ ให้โรคเข้าสู่ระยะสงบ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะนี้ได้ประมาณ 3-9 เดือน หลังจากนั้นจะกลับเป็นโรคใหม่

    โภชนาการต้านมะเร็งเม็ดเลือดขาว

    แม้จะไม่มีอาหารที่รักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวให้หายได้ แต่การกินอาหารที่หลากหลาย และมีประโยชน์ต่อสุขภาพจะช่วยบรรเทาอาการข้างเคียงบางอย่างได้

    • ผู้ป่วยควรกินผักสด และผลไม้ให้มาก รวมทั้งข้าวที่ขัดสีน้อย เช่น ข้าวกล้อง
    • ควรกินอาหารที่ให้โปรตีน และกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น ปลา เนื้อแดง และถั่วเมล็ดแห้ง
    • กินผัก และผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น คะน้า บร็อคเคอลี กะหล่ำดอก ส้ม มะนาว ฝรั่ง และมะขามป้อม จะช่วยลดการติดเชื้อของผู้ป่วยได้
    • ควรได้รับวิตามินบีชนิดต่างๆ อย่างเพียงพอ เพื่อให้ร่างกายดูดซึมพลังงาน จากอาหารไปใช้ได้ อาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี ได้แก่ ข้าวกล้อง จมูกข้าวสาลี ธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้ง และเมล็ดพืช
    • เนื่องจากผู้ป่วยมีความต้านทานต่อการติดเชื้อน้อยลง จึงต้องระวังเรื่องความสะอาดของอาหารมากเป็นพิเศษ พึงหลีกเลี่ยงอาหารทะเล ไข่ดิบ ผลิตภัณฑ์นมที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ และเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกๆดิบๆ เพราะอาจมีเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย
    • ห้ามสูบบุหรี่ เพราะนิโคตินในบุหรี่จะเข้าไปทำลายสารอาหารบางอย่างในร่างกาย
    • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะยาบางชนิดที่รักษามะเร็ง อาจมีผลกระทบต่อการเผาผลาญแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์ยังทำให้ปริมาณวิตามินซีที่ร่างกายสะสมไว้ลดลงอีกด้วย

    แม้จะไม่มียารักษาให้หายขาด แต่หากหมั่นออกกำลังกาย และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พร้อมทั้งไปพบแพทย์ตามเวลานัด ก็สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขได้


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    มะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งร้ายที่แฝงกายคนทำงาน

    นักวิจัยพบ! โปรตีนหยุด มะเร็งเม็ดเลือดขาว

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

    มหัศจรรย์แห่ง การเดิน แรงกระแทกต่ำ ทำได้ทุกคน

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    โปรแกรม 9 วัน “ ล้างพิษ ” สำหรับคนวัยทำงาน

    ล้างพิษ 9 วัน ทำได้ง่าย สำหรับคนวัยทำงาน

    วันนี้ ชีวจิตจึงขอเสนอ โปรแกรม 9 วัน ล้างพิษ สำหรับคนวัยทำงาน เพื่อเป็นทางออกให้กับทุกคน เพราะเดี๋ยวนี้คนวัยทำงานส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอย่างไม่ค่อยสมดุล ทั้งเรื่องงานที่หนักอึ้ง แต่เรื่องการกิน-นอน-พักผ่อน และออกกำลังกายกลับไม่ค่อยได้รับความสนใจ โดยเฉพาะพฤติกรรมเคยชินในเรื่องกิน เช่น ติดน้ำตาล กาแฟ สุรา บุหรี่จนมีการสะสม “พิษ” หรือท็อกซินไว้ในร่างกาย และทำให้มีปัญหาสุขภาพตามมา

    วิธีที่แนะนำนี้ คิดค้นโดย ดร.คริสตินา สก๊อต มอนคริฟฟ์ (Dr. Christina Scott-Moncrieff) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญการล้างพิษ เจ้าของผลงานหนังสือคู่มือดีท๊อกซ์ระดับเบสต์เซลเลอร์เช่น Complete Detox Workbook และ Detox: Cleanse and Recharge Your Mind, Body and Soulและเป็นสมาชิกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้ สิ่งแวดล้อม และโภชนาการทางคลินิกแห่งสหราชอาณาจักร (The British Society for Allergy, Environmental and Nutritional Medicine) เพื่อเป็นทางเลือกให้กับคนวัยทำงานผู้สนใจดูแลสุขภาพได้นำไปปรับใช้ให้เข้ากับวิถีชีวิตและตารางการใช้เวลาของตนเอง

    โปรแกรม 9 วัน

    ดร.คริสตินา อธิบายว่า โปรแกรมนี้เหมาะสำหรับผู้ที่เคยทำโปรแกรมล้างพิษมาแล้ว และ ผู้ได้คะแนนจากแบบทดสอบที่ 2 ในกลุ่ม 30-60 คะแนน กลุ่ม 60-100 คะแนน และกลุ่ม 100 คะแนนขึ้นไป

    ผู้ที่ทำโปรแกรมนี้ ควรเลือกระยะเวลาที่ไม่ต้องไปทำงาน หรือ อย่างน้อยใน 2 วันแรกของโปรแกรมต้องเป็นวันที่ไม่มีภารกิจอื่นๆ เลยเธอจึงแนะนำให้เริ่มโปรแกรมนี้ในวันเสาร์

    How – to Diary : 9 Days program

    เริ่มต้นโปรแกรมด้วยการกินเฉพาะซุปผักหรือผลไม้ ส่วนวันที่ 9 จะเพิ่มคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนเพื่อช่วยปรับร่างกายก่อนออกจากโปรแกรมไปกินอาหารตามปกติ หากกระหายน้ำสามารถจิบน้ำมะนาวอุ่นๆ น้ำเปล่า หรือ ชาสมุนไพรได้ตลอดทั้งวัน สุดท้าย ควรเข้านอนไม่เกิน 4 ทุ่ม มีรายละเอียดแต่ละวันดังนี้

    วันที่ 1

    • กินซุปผัก หรือผลไม้ตลอดทั้งวัน
    • หากคุณเลือกซุปผัก ให้กินซุปผัก 1 ถ้วยตวง ทุกๆ 2 ชั่วโมง โดยซุปผักนั้นทำจากผัก 5 ชนิดขึ้นไป เช่น แครอท เซอลารี หัวไชเท้า ฟัก กะหล่ำปลี หอมหัวใหญ่ ฯลฯ ชนิดละ ประมาณ 1.5 กิโลกรัม โดยหั่นเป็นท่อน ต้มในน้ำเปล่า 2 ลิตร เคี่ยวไฟอ่อน นานเวลา 30 นาที โดยงดเติมเกลือหรือใช้เครื่องปรุงรสอื่นๆ
    • หากคุณเลือกผลไม้ ควรกินผลไม้ เช่น แอ๊ปเปิ้ล มะละกอ ฝรั่ง แก้วมังกร 1 ถ้วยตวง (ราว 3-4 ชิ้น) ทุกๆ 1 ชั่วโมง

    วันที่ 2

    • ดื่มน้ำผักผลไม้ในมื้อเช้า 2 แก้ว และสามารถจิบน้ำผลไม้ตลอดครึ่งวันเช้าได้ในช่วงที่หิว น้ำผักผลไม้ที่แนะนำได้แก่ แครอทกับบร็อคโคลี่ มะเขือเทศกับพาสลีย์ แครอทกับเซอลารี บีทรูทกับอัลฟาฟา เซอลารีกับวอเตอร์เครส แครอท บีทรูท กับผักโขม มะเขือเทศ บีทรูท เซอลารี กับแตงกวา
    • มื้อกลางวันและมื้อเย็น กินผักนึ่ง หรือ สลัดผักสดที่ประกอบด้วยผัก 4 ชนิดขึ้นไป ปรุงด้วยน้ำสลัดที่ทำจากน้ำมันมะกอก น้ำมะนาว และกระเทียม โดยมีผลไม้เป็นของว่างระหว่างวันและปิดท้ายมื้อเย็นไม่เกิน 1 ถ้วยตวง (ราว 3-4 ชิ้น)

    สำหรับวันที่ 3-8

    • หลังตื่นนอน ให้ดื่มน้ำอุ่น 1 แก้วที่ผสมน้ำมะนาว 1 ช้อนชา จำนวน 1-2 แก้ว
    • มื้อเช้า กินผลไม้สด 2 ถ้วยตวง เน้นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงและรสไม่หวานจัด เช่น กีวี่ ฝรั่ง เบอร์รี่ต่างๆ ลูกหม่อน ส้ม มะนาว ฝรั่ง ชมพู แก้วมังกร และมะละกอ
    • เสริมโปรตีนไขมันที่มีประโยชน์ และวิตามินอี ด้วยถั่วอบชนิดต่างๆ เช่น อัลมอนด์ วอลนัท ถั่วลิสง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และเมล็ดทานตะวัน โดยงดการโรยเกลือและจำกัดปริมาณไม่เกินวันละ 1 ถ้วยตวง
    • มื้อเที่ยงและเย็น กินผักนึ่ง หรือ สลัดผักสดที่ประกอบด้วยผัก 4 ชนิดขึ้นไป ปรุงด้วยน้ำสลัดที่ทำจากน้ำมันมะกอก น้ำมะนาว และกระเทียม โดยมีผลไม้เป็นของว่างระหว่างวันและปิดท้ายมื้อเย็นไม่เกิน 1 ถ้วยตวง (ราว 3-4 ชิ้น)

    ต่อด้วยวันที่ 9

    • มื้อเช้ากินข้าวโอ๊ต มูสลี คู่กับโยเกิร์ตหรือน้ำเต้าหู้
    • มื้อกลางวันนอกจากผักนึ่งหรือสลัดผักแล้ว ให้เพิ่มคาร์โบไฮเดรตไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง หรือ ขนมปังโฮลวีต ไม่เกิน 100 กรัม ส่วนโปรตีน เพิ่มปลาทะเลหรือถั่ว ไม่เกิน 50 กรัม
    • มื้อเย็น ผักนึ่ง 1 จาน หรือ สลัดผักสด 1 จาน หรือ ผลไม้รสไม่หวานจัด 2 ถ้วยตวง

    ทดลองทำกันดูนะคะ มั่นใจว่าทุกคนจะมีสุขภาพแข็งแรงยิ่งขึ้น

    ข้อมูลจาก : นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 418

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    ลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำง่าย ได้ผลชัวร์

    สวยอ่อนเยาว์ ด้วยอาหารเกาหลี

    ชาสมุนไพร ชีวจิต ยอดฮิตไม่ตกเทรนด์

    ติดตามชีวจิตได้ที่ :

    Facebook : นิตยสารชีวจิต
    Instagram : Cheewajitmedia
    TikTok : cheewajitmediaofficial

    ชาสมุนไพร

    ชาสมุนไพร ชีวจิต ยอดฮิตไม่ตกเทรนด์

    ดื่ม ชาสมุนไพร สุขภาพแทนกาแฟ เพิ่มความสดชื่น บํารุงร่างกาย

    ชาสมุนไพร น้ำชาสุขภาพ คือ น้ำชาที่ปรุงจากสมุนไพรรากไม้ดอกไม้เมล็ดจากไม้ชนิดต่างๆ ช่วยดับกระหายทําให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ที่สําคัญยังมีสรรพคุณทางยาและปลอดกาเฟอีน

    อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต แนะนําให้ดื่มแทนกาแฟหรือชา ซึ่งมีกาเฟอีนสูงโดยค่อยๆ ลดปริมาณกาแฟทีละน้อยเช่นหากปกติดื่มวันละ 4 ถ้วยให้เริ่มลดลงครึ่งหนึ่งก่อนจาก 4 ถ้วยเป็น 2 ถ้วยและค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ จนเหลือ1ถ้วยหรือจนกว่าจะหยุดได้

    ทั้งนี้ไม่ควรหยุดดื่มกาแฟทันที เพราะอาจเกิดอาการอยากกาแฟหงุดหงิด ปวดหัว เหมาะอย่างยิ่งสําหรับผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับอ่อนเพลีย เนื่องจากดื่มกาแฟ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว เป็นเวลานาน เป็นโรคกระเพาะ หรือมีภาวะเสี่ยงโรคกระดูกพรุน

    ชาสมุนไพร, ชาสุขภาพ, ชีวจิต , เครื่องดื่มสุขภาพ, ดื่มชา, ชา, ชาสุขภาพ
    ชาสมุนไพร มีสรรพคุณทางยา ช่วยบำรุงร่างกาย บรรเทาอาการเจ็บป่วยได้

    อาจารย์สาทิส แนะนํา ชาสมุนไพร มีสรรพคุณแตกต่างกันดังนี้

    1. เถาวัลย์เปรียง

    หั่นเป็นแว่นๆ นํามาคั่วให้หอมชงน้ำดื่มได้ อร่อยด้วย เป็นยาขับปัสสาวะและแก้ขัดเบา

    2. เตยหอม

    หั่นแล้วนํามาคั่วไฟอ่อนๆ ชงน้ำดื่ม บํารุงหัวใจขับปัสสาวะ

    3. ใบสัก

    หั่นแล้วนํามาคั่วผสมกับเตยหอมแก้เบาหวาน

    4. เก๊กฮวย

    ตากแห้งชงน้ำร้อนผสมกับดอกมะลิแห้ง (ต้องแน่ใจว่าเป็นมะลิปลอดสารพิษ) ก็จะช่วยให้มีกลิ่นหอมและรสอร่อยขึ้นบํารุงระบบประสาท หัวใจ

    5. รากบัว

    หั่นเป็นแว่นต้มกับน้ําจนเดือดดื่มเป็นเครื่องดื่มช่วยระบบหายใจ แก้ไซนัส

    6. เมล็ดชุม เห็ดไทย

    นําไปคั่วชงน้ำดื่มขับปัสสาวะ และแก้อาการท้องผูก แก้ตับอักเสบ

    7. มะตูม

    ใช้มะตูมดิบหั่นเป็นแว่นตากแดดแล้วอบ หรือหั่นเป็นชิ้นคั่วให้หอมชง หรือต้มดื่มช่วยให้เจริญอาหาร แก้จุกเสียดแน่นท้อง กรดในกระเพาะมาก

    8. ขิง

    ใช้ขิงแก่ต้มน้ำจนเดือด ดื่มแก้ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว ในกระเพาะมีกรดมาก

    ชาขิง , ชาสมุนไพร, ชาสุขภาพ, ชีวจิต , เครื่องดื่มสุขภาพ, ดื่มชา, ชา, ชาสุขภาพ
    ชาขิง แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ

    9. ตะไคร้

    หั่นเป็นแว่นชงน้ำดื่ม ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา

    10. หญ้าคา

    ใช้ทั้งต้นและรากต้มเป็นน้ำดื่ม ผสมกับตะไคร้ ขับปัสสาวะ ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ

    11. ดอกคําฝอย

    ชงดื่ม ช่วยขับปัสสาวะและลดไขมันในเลือด

    เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงอย่างยั่งยืนในทุกระบบ ควรดื่มเครื่องดื่มชีวจิตให้หลากหลาย พร้อมกินอาหารไขมันต่ำใยอาหารสูงและออกกําลังกายสม่ำเสมอร่วมด้วย

    จาก คอลัมน์มื้อสุขภาพ นิตยสารชีวจิต ฉบับ 387

    ชีวจิต Tips ชวนจิบชาขิงประโยชน์ดี ดื่มได้ไม่ยาก

    ชาขิง หรือที่เราคุ้นเคยในชื่อน้ำขิง เป็นเครื่องดื่มสารพัดประโยชน์ แต่หลายคนอาจจะยังติดภาพลักษณ์ความเผ็ดร้อน จนทำให้ไม่อยากดื่ม และพลาดประโยชน์มหาศาลเหล่านั้นไป วันนี้แอดมีประโยชน์ และวิธีดื่มๆ แบบง่ายๆ มาฝากกันค่ะ

    ขิง เรียกได้ว่าเป็นสมุนไพรที่ครอบจักรวาลได้จริงๆ เพราะเอามาทำอะไรก็ดีทั้งนั้น โดยใช้กันมาตั้งแต่ยุคอดีตย้อนไปเป็นพันปี จนมาถึงปัจจุบันที่มีงานวิจัยรับรอง ทั้งนี้ขิงมีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญคือ จินเจอรอล โชโกล และซิงเจอโรน ซึ่งช่วยในการบรรเทาโรคภัยต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

    ประโยชน์ล้น ๆ ของชาขิง

    • สารต้านอนุมูลอิสระ ขิงมีผลอย่างมากต่อการช่วยดูแลไจ ทำให้ลดการอักเสบในไต รวมถึงช่วยลดการเกิดพังผืด และทำให้ไตแข็งแรง
    • ลดการอักเสบสารต้านอนุมูลอิสระในขิงช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้ จึงช่วยบรรเทาอาการไขข้อ หอบหืด ลำไส้อักเสบ ไมเกรน และอาการอักเสบในกล้ามเนื้อ
    • เพิ่มภูมิคุ้มกัน ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นเข้าสู่ร่างกาย ทำให้สารเหล่านั้นเข้าไปช่วยเสริมภูมิ รวมถึงว่าสารต้านอนุมูลอิสระ และการอักเสบ ที่ไปทำให้กระบวนการการรักษาตามธรรมชาติของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น
    • ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีงานวิจัยยืนยันว่าขิงสามารถช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียน ที่เกิดจากการเมารถ เมาเรือได้
    • ควบคุมน้ำตาลในเลือดขิงช่วยลดอาการดื้ออินซูลิน ทำให้กล้ามเนื้อ ไขมัน และตับดึงกลูโคสจากกระแสเลือดได้มากขึ้น ทำให้ช่วยเพิ่มพลังงานและลดความเสี่ยงการเป็นเบาหวานได้

    ดื่มชาขิงอย่างไรดี 

    เรื่องนี้ไม่ยากเลยค่ะ เพราะเมื่อก่อนแอดก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่กล้าดื่มน้ำขิงเพราะกลัวเผ็ด แต่เดี๋ยวนี้ดื่มได้ง่ายแล้ว เพราะมีเคล็ดลับดีๆ มากมายเลย

    • น้ำผึ้งการเติมน้ำผึ้ง ที่ช่วยเพิ่มรสชาติหวาน รวมทั้งช่วยเพิ่มสรรพคุณในการลดอาการอักเสบได้
    • ผิงผงสำเร็จรูปในขิงผงมีการปรุงรสที่ช่วยให้รสชาติหวานขึ้นมาในระดับหนึ่ง และรสทานได้ง่ายมากขึ้น
    • มะนาว เป็นอีกสูตรที่หลายคนใช้ กับการเติมมะนาว หรือเลม่อน และถ้าให้อร่อยก็เหยาะน้ำผึ้งเพิ่มก็ได้ค่ะ
    • ขิงอ่อนถ้าขิงแก่รสชาติรุนแรงเกินไป เริ่มต้นจากขิงอ่อน ก็ช่วยให้ดื่มได้ง่ายขึ้น ก่อนขยับความเข้มขึ้นทีละนิด

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    ลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำง่าย ได้ผลชัวร์

    สวยอ่อนเยาว์ ด้วยอาหารเกาหลี

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ดูแลตัวเองในวัย 50 ให้สวย หุ่นดี แข็งแรงเกิน 100

    ดูแลตัวเองในวัย 50 ต้องทำอย่างไร ให้ยังคงความสวย หุ่นดี และแข็งแรง

    ดูแลตัวเองในวัย 50 กันเถอะค่ะ เพราะเมื่ออายุมากขึ้น ปริมาณน้ำในเซลล์จะลดลง ประกอบกับร่างกายหยุดผลิตฮอร์โมน ส่งผลให้ร่างกายภายนอกโดยรวมเกิดการเปลี่ยนแปลง

    “นี่เธอ ดูผู้หญิงคนนั้นสิ อายุห้าสิบกว่าแล้วนะ แต่ยังสวยดูดีอยู่เลย น่าอิจฉาจัง” อยากได้ยินใครๆ กล่าวถึงคุณแบบนี้ไหม ไม่ยากเลยค่ะ เรามีเคล็ดลับ 50 ยังแจ๋วมาบอก

    แม้ว่าความสวยความงามกับอายุที่เพิ่มมากขึ้นดูจะเป็นสิ่งที่เดินสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง เพราะเมื่ออายุมากขึ้น ปริมาณน้ำในเซลล์จะลดลง ประกอบกับร่างกายหยุดผลิตฮอร์โมน ส่งผลให้ร่างกายภายนอกโดยรวมเกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นเส้นผมเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว ผิวพรรณขาดความชุ่มชื้น จึงเหี่ยวย่น และระบบเผาผลาญของร่างกายเสื่อมลง ทำให้เกิดปริมาณไขมันสะสมเฉพาะที่โดยเฉพาะหน้าท้อง

    อย่าเพิ่งกังวล เพราะเราจะชวนคุณมาโบกมือลาความหย่อนยาน และยิ้มรับความสวยอ่อนกว่าวัยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ผมสุขภาพดีคุณสร้างได้

    รู้ทันสาเหตุ ผมเปลี่ยนเป็นสีขาว

    เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ที่ผลิตเม็ดสีดำ โดยมีความเครียด และความวิตกกังวลต่างๆ เป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์เสื่อมเร็วขึ้น ผมหลุดร่วง เกิดจากเคอราทิน(Keratin) ในผมลดลง ทำให้ผมแห้ง เส้นลีบบางลง จึงหลุดร่วงได้ง่าย

    วิธีแก้

    -ให้อาหารผมด้วยการรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุไบโอตินและสังกะสี เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน สาหร่ายทะเล และอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโพด แครอท เห็ด กะหล่ำปลี

    -ไม่ควรสระผมบ่อยเกินไป ให้สระอย่างน้อย 2-3 วันต่อครั้ง

    -อย่าเกาแรง เพราะจะเป็นอันตรายต่อหนังศีรษะ

    -ควรเลือกแชมพูที่ไม่แรงมากนัก ถ้ามีสมุนไพรเป็นส่วนผสมหลักจะดีมาก

    รู้ไว้ใช่ว่า ระวัง! แพ้ผลิตภัณฑ์ย้อมสีผม

    การย้อมผมแม้จะช่วยสร้างความมั่นใจและเสริมบุคลิก แต่ผลิตภัณฑ์ย้อมสีผมอาจทำลายเส้นผมและทำให้ผู้ใช้เกิดอาการแพ้ขั้นรุนแรง ดังนั้นควรปฏิบัติดังนี้

    -ทดลองย้อมโดยใช้ปริมาณผลิตภัณฑ์แต่น้อยก่อน เพื่อดูว่าแพ้หรือไม่

    -ถ้าปกติเป็นคนแพ้ง่าย ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ย้อมผมที่มีส่วนผสมของสมุนไพรธรรมชาติ จะช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการแพ้ได้ย้อนเวลาผิวอ่อนวัยอีกครั้ง

    ดูแลตัวเอง, วัย 50, ออกกำลังกาย, ดูแลผิว, วัยผู้ใหญ่
    วัย 50+ ร่างกายภายนอกโดยรวม จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง

    รู้ทันสาเหตุปัญหาผิว

    ริ้วรอยแห่งวัย เกิดจากฮอร์โมนเพศหญิงลดลง ทำให้ผิวแห้ง เกิดริ้วรอย และเหี่ยวย่น

    ใบหน้าซูบซีด เกิดจากระบบเผาผลาญเสื่อมลง?ส่งผลให้น้ำและสารอาหารไปเลี้ยงใบหน้าได้ไม่ดีพอ จึงดูแก้มตอบและซูบซีด

    ผิวหนังอักเสบ เป็นฝ้า ผื่นแดง หรือกระ เกิดจากระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงและการตากแดดจัดๆ เป็นเวลานาน

    วิธีแก้

    -ออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยให้เส้นเลือดบริเวณผิวหน้าขยายตัว เลือดสามารถนำออกซิเจนและสารอาหารมาหล่อเลี้ยงผิวหน้ามากขึ้น?กระตุ้นให้ร่างกายสร้างเซลล์ใหม่และฮอร์โมนเพิ่มขึ้น จึงไม่เกิดรอยเหี่ยวย่นบนผิวหน้า

    -ก่อนออกแดดทุกครั้งควรทาครีมกันแดดและบำรุงผิวด้วยครีมที่มีมอยส์เจอไรเซอร์

    -ในปริมาณที่เหมาะกับสภาพผิว?เพื่อป้องกันผิวแห้ง

    -ใช้น้ำเย็นและน้ำอุ่นล้างหน้าสลับกันไป?เพื่อสร้างสมดุลให้ผิวหน้า

    -ไม่ควรอาบน้ำด้วยน้ำอุ่นและอาบน้ำบ่อยเกินวันละ 2 ครั้ง เพราะจะทำให้ผิวแห้งกร้านยิ่งขึ้น

    -ดื่มน้ำให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำให้ผิว

    รู้ไว้ใช่ว่า ล้างหน้าบ่อย กระตุ้นผิวหน้าแห้งกร้าน

    แม้ว่าการล้างหน้าบ่อยๆ จะช่วยให้หน้าชุ่มชื้นและสะอาด แต่หากล้างหน้าบ่อยเกินไปจะทำให้ผิวแห้งกร้านมากยิ่งขึ้น รอยย่นที่หางตา หนังตาบวม แก้ได้ง่ายๆ แก้ริ้วรอยไม่พึงปรารถนา (อย่างรอยย่นที่หางตาหรือหนังตาบวม)ได้ง่ายๆ ด้วยการทาครีมบำรุงรอบดวงตาแล้วนวดเบาๆ เป็นประจำ นอกจากนั้น พยายามอย่าหยีตา เวลามองสิ่งของหรือคน หรือถ้าจำเป็นหลังจากหยีตาให้หลับตาสักพัก เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา

    รู้ทันสาเหตุ ไขมันหน้าท้อง

    เกิดจากระบบเผาผลาญเสื่อมลง ทำให้ไขมันสะสมเฉพาะที่ โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง

    วิธีแก้

    -ออกกำลังกายเป็นประจำ?เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนและทำให้

    -ระบบเผาผลาญทำงานได้ดี

    -หลีกเลี่ยงอาหารประเภทแป้งและอาหารที่มีไขมันหรือคาร์โบไฮเดรตสูง

    -รับประทานอาหารให้หลากหลาย ตรงเวลา และครบ 3 มื้อ ยึดหลัก มื้อเช้า:กินดี มื้อกลางวัน:กินอิ่ม และมื้อเย็น:กินน้อย

    -ออกกำลังกายให้ดีต้องครบ 2 ส่วน ส่วนแรก ต้องส่งผลให้เลือดลมสูบฉีดระบบหัวใจทำงานดี เช่น การเดินสลับกับการวิ่งเหยาะๆ เป็นต้น ส่วนที่สอง ต้องทำให้กล้ามเนื้อได้ยืดเหยียด เช่น การฝึกโยคะ รำกระบอง หรือรำไทเก๊ก เป็นต้น

    รู้ไว้ใช่ว่า วัย 50+ ควรกินไขมันหรือไม่

    จริงอยู่ที่ผู้สูงอายุควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมากจนเกินไป แต่ก็ไม่ควรงดเสียเลย เพราะไขมันยังคงจำเป็นต่อการช่วยละลายวิตามินเพื่อให้ร่างกายดูดซึมวิตามินไปใช้ได้ดีขึ้น

    วัย 50+ ต้องการพลังงานวันละเท่าไร

    เมื่ออายุมากขึ้น การเคลื่อนไหวจะน้อยลง ทำให้พลังงานที่ต้องการต่อวันน้อยลงด้วย โดยทั่วไปคนอายุ 50 ปีขึ้นไป ต้องการพลังงานไม่เกินวันละ 1,800 แคลอรีเท่านั้น ดังนั้นการบริโภคอาหารที่ให้พลังงานสูง พลังงานนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสม ทำให้อ้วนได้

    ไม่ยากเกินไปใช่ไหมคะกับเคล็ดลับชะลอวัย ที่จะทำให้คุณสวยงามดูดีจนใครๆ ต้องหันมองแบบเหลียวหลัง แล้วอายุจะเป็นเพียงตัวเลขเท่านั้นค่ะ


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    ถ่ายเป็นเลือด สัญญาณผิดปกติในลำไส้ใหญ่

    สวยอ่อนเยาว์ ด้วยอาหารเกาหลี

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    การบริหารเงิน

    การบริหารเงิน และสิ่งที่ควรวางแผนการเงินให้เหมาะสมตามวัย

    การบริหารเงิน และสิ่งที่ควรวางแผนการเงินให้เหมาะสมตามวัย

    การบริหารเงิน ในแต่ละวัยแตกต่างกัน เนื่องจากเหตุการณ์และสถานการณ์ในชีวิตที่ต้องพบเจอต่างกัน ดังนั้นเป้าหมายของในแต่ละช่วงวัยจึงแตกต่างตามไปด้วย

    ไม่ว่าจะวัยไหนก็ควรวางแผนการเงิน และเตรียมตัวรับมือกับความมั่นคงของการเงินของตัวเองในแต่ละวัย เพื่อหาแนวทางในการบริหารเงินในแต่ละช่วงอายุของตนเองอย่างเหมาะสม วันนี้เราจึงหยิบการบริหารเงินให้เหมาะสมตามวัยมาฝากกัน

    การบริหารเงิน วัยแห่งการเรียนรู้ (ช่วงอายุ 0 – 21 ปี)

    การบริหารเงิน

    วัยนี้เป็นวัยแห่งการอยู่โรงเรียน เรียนรู้วิชาต่างๆ เพื่อเตรียมตัวก่อนก้าวเข้าสู่วัยเริ่มทำงาน รายได้หลักของวัยนี้มาจากรายได้ของพ่อแม่ ซึ่งวัยนี้มีส่วนน้อยมากที่จะลงมือหารายได้ด้วยตัวเอง เนื่องจากยังเรียนหนังสืออยู่ ภาระค่าใช้จ่ายยังไม่มีให้รับผิดชอบมากนัก พฤติกรรมการใช้จ่ายของวัยนี้จะหมดไปกับการกิน ซื้อเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว ไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ เป็นต้น

    สิ่งที่ควรทำ:
    – ฝึกลงทุนด้วยการฝากเงินออมทรัพย์ หรือฝากประจำ เพิ่มผลตอบแทนด้วยดอกเบี้ย
    – หารายได้เสริม เพิ่มเงินเก็บ แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายจากพ่อแม่
    – ข้อสำคัญ หมั่นออมเงิน รักษาวินัยไม่ให้ขาดตกบกพร่อง

    วัยเริ่มทำงาน (ช่วงอายุ 22-35 ปี)

    การบริหารเงิน

    เป็นช่วงวัยอายุที่ยังน้อย มีระยะเวลาลงทุนได้นานจึงสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงได้ ควรเน้นในเรื่องของการออม เพราะเมื่อเริ่มมีรายได้ จะเริ่มมีการซื้อของตอบสนองความอยากเพื่อส่งเสริมไลฟ์สไตล์ของตัวเองมากขึ้น วัยนี้เป็นตัวแปรสำคัญที่จะกำหนดอนาคตในภายภาคหน้าของเราได้ จึงควรแบ่งสัดส่วนของเงินให้ดี และควรเริ่มตั้งเป้าหมายสิ่งที่ต้องทำต่อไป เพื่อหากลวิธีที่จะสร้างตัวเองให้มั่นคง

    สิ่งที่ควรทำ:
    – บริหารรายได้ กับรายจ่ายให้เพียงพอต่อการใช้ชีวิต
    – ขยันออมเงิน ออมเงินให้ได้ในระยะยาว
    – นำเงินไปลงทุนสร้างผลตอบแทนที่งอกเงย
    – หมั่นหาความรู้เรื่องการลงทุน
    – หารายได้เสริมเพิ่มเติมได้ก็เป็นเรื่องดี

    วัยสร้างครอบครัว (ช่วงอายุ 36-45 ปี)

    การบริหารเงิน

    วัยนี้เริ่มมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น เริ่มมีหนี้ เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เป็นวัยที่สถานการณ์ชีวิตเริ่มมีความก้าวหน้าทางสายอาชีพ และเริ่มสร้างครอบครัว ดังนั้นวัยนี้โอกาสในการมีภาระหนี้สินระยะยาวจะเพิ่มมากขึ้น ควรมีการหาทางออก และให้ความสำคัญกับความเสี่ยงที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยค่ะ และควรวางแผนสำหรับปกป้องความเสี่ยง เช่น ประกันภัยหรือประกันชีวิตมากขึ้น

    สิ่งที่ควรทำ:
    – วางแผนสำหรับเงินที่รองรับค่าใช้จ่ายของลูกตั้งแต่แรกเกิด ไปจนถึงเรียนจบ
    – เร่งหาวิธีจัดการกับภาระหนี้สินให้หมดสิ้นก่อนเกษียณ
    – ให้ความสำคัญกับประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ
    – รายได้เพิ่มขึ้น ต้องมีการวางแผนภาษี
    – เริ่มต้นออมเงินสำหรับใช้ชีวิตยามเกษียณได้แล้ว

    วัยเตรียมเกษียณ (ช่วงอายุ 46-60ปี)

    วัยเตรียมเกษียณ

    เป็นช่วงที่เราจะเริ่มรู้แล้วว่าเงินที่จะใช้หลังเกษียณมีเพียงพอรึป่าว หนี้สินต่างๆ ควรวางแผนชำระให้หมดก่อนเกษียณ หากก่อนหน้านี้มีการวางแผนการใช้ชีวิต การใช้เงินมาดี เรื่องความมั่นคงทางการเงินก็ไม่ค่อยน่าเป็นห่วงสักเท่าไหร่ เนื่องจากมีรายได้ที่สูงขึ้น ภาระค่าใช้จ่ายในการเงินก็ลดลง

    สิ่งที่ควรทำ:
    – เร่งเคลียร์ภาระหนี้สินให้หมดสิ้น
    – ระยะเวลาในการรับรายได้น้อยลง ควรรีบวางแผนให้อยู่อย่างสบายยามเกษียณ
    – ลงทุนต่อไป แต่ลดการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง เลี่ยงการขาดทุน

    วัยหลังเกษียณ (ช่วงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป)

    วัยหลังเกษียณ


    ต้องวางแผนการใช้เงินก้อนสุดท้าย เพราะรายได้ที่จะได้รับเป็นประจำขาดหายไป จึงต้องไปอาศัยเงินบำเหน็จ บำนาญ เงินออมที่สะสมมา ด้วยอายุที่มากขึ้นก้าวขึ้นเป็นผู้สูงอายุ ภาระค่าใช้จ่ายเริ่มลดลง ส่วนใหญ่ที่เสียไปจะเป็นพวกค่ารักสุขภาพ ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันทั่วไป และการท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนหลังจากเหน็ดเหนื่อยมานาน

    สิ่งที่ควรทำ:
    – ยังหารายได้จากการลงทุนได้ แต่เลือกที่มีความเสี่ยงต่ำเพื่อรักษาเงินต้นเอาไว้
    – วางแผนมรดกไว้สำหรับลูกหลานเป็นเรื่องดี
    – เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย หยุดสร้างหนี้เพิ่ม

    หากใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังรู้สึกว่ายังไม่ได้เริ่มบริหารการเงินตามนี้เลย มาเริ่มต้นกันใหม่ตั้งแต่วันนี้กันดีกว่าค่ะ เมื่อไหร่ที่เรารู้สถานะทางการเงินของตัวเองแล้ว หากมีปัญหาให้รีบหาแนวทางแก้ไข รู้ตัวแล้ววางแผนตั้งแต่เนิ่น ๆ เตรียมรับมือให้เหมาะสมทุกช่วงวัย ความมั่นคงไม่ห่างไกลแน่นอนค่ะ

    ขอบคุณข้อมูลจาก ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ , wealthy thai

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    ถ่ายเป็นเลือด สัญญาณผิดปกติในลำไส้ใหญ่

    เมื่อเราลองใช้ เสียงเพลงบำบัด กายสบาย ใจสงบ

    ตับ ของเราป่วยด้วยอาการใดได้บ้าง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    เลือกพรีไบโอติกส์

    ชวน เลือกพรีไบโอติกส์ ในผักและผลไม้ (กินเลยลำไส้ดี)

    เลือกพรีไบโอติกส์ ในผักและผลไม้ เพื่อความแข็งแรงของลำไส้

    วิธีเพิ่มปริมาณและความหลากหลายของจุสินทรีย์ดีในร่างกายคือ การกินอาหารที่อุดมไปด้วยโพรไบโอติส์ วันนี้เราจึงอยากชวนทุกคนมา เลือกพรีไบโอติกส์ จากผักและผลไม้ ซึ่งหาได้ง่ายใกล้ตัว

    สำหรับตัวช่วยสำคัญในการทำให้จุลินทรีย์ดีสามารถขยายพันธุ์ และมีชีวิตรอดมาจากการมีอาหารเลี้ยงจุลินทรีย์ ซึ่งก็คือพรีไบโอติกส์นั่นเอง เราจะเห็นว่า เมนูอร่อยของคนไทยล้วนอุดมไปด้วยพรีไบโอติกส์ ที่อยู่ในผักผลไม้ ธัญพืช

    เทคนิค เลือกพรีไบโอติกส์ จากผักและผลไม้

    หนังสือ บันทึกของแผ่นดิน 6 สมุนไพร ท้องไส้…ในวิถีอาเซียน โดยเภสัชกรหญิง สุภาภรณ์ ปิติพร อธิบายประโยชน์ของผัก ผลไม้ ธัญพืช ซึ่งมีเส้นใยอาหารที่เป็นอาหาร ของจุลินทรีย์ดี หรือเรียกว่าพรีไบโอติกส์ สรุป ดังนี้

    “ผักผลไม้เป็นแหล่งของวิตามินและแร่ธาตุ ที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมทั้งมีเส้นใยอาหารชนิด ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ ซึ่งทำหน้าที่เป็นยาระบายธรรมชาติ ช่วยเพิ่มกากใยในลำไส้ ช่วยดูดชับสารพิษ ลดหรือชะลอการดูดซึมน้ำตาล และไขมันเข้าสู่กระแสเลือด ที่สำคัญ เป็นอาหารให้โพรไบโอติกส์หรือแบคที่เรียที่มีประโยชน์ในท้องไส้ของเรา”

    ข้อดีของเส้นใย ชนิดไม่ละลายน้ำ

    เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำจะเป็นกากใย หยาบ เช่น เซลลูโลส ไม่ได้เป็นอาหารของ โพรไบโอติกส์ แต่ช่วยเพิ่มมวลอุจจาระและทำให้ อุจจาระนุ่มขึ้น จึงกระตุ้นให้ลำไส้ขับถ่ายได้ง่าย ลดอาการท้องผูก และยังเก็บกวาดสารพิษที่เป็น สารก่อมะเร็งที่ตกค้างในลำไส้

    ข้อดีของเส้นใยอาหาร ชนิดละลายน้ำ

    ส่วนเส้นใยอาหารชนิดละลายน้ำจะมีมากในธัญพืช เช่น ถั่วชนิดต่าง ๆ รำข้าว ผักตระกูลผักกาดหอม กระเทียม แอปเปิ้ล มะม่วง กล้วย มะละกอ ตลอดจนพืชที่ให้วุ้นเหนียว ๆ เช่น บุก แมงลัก แต่ทั้งเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำมักจะอยู่ด้วยกัน

    ดังนั้นการกินธัญพืช ผัก ผลไม้ จึงทำให้เราได้ ประโยชน์จากเส้นใยอาหารทั้งสองชนิด

    เส้นใยอาหารชนิดละลายน้ำมีประโยชน์มาก เพราะจะดูดน้ำเข้าไปกลายเป็นสารที่มีลักษณะคล้ายวุ้นมีความหนืด เช่น โอลิโกแซ็กคาไรด์ เบต้ากลูแคน เพ็กติน และ อินูลิน ซึ่งเป็นอาหารของโพรไบโอติกส์ มีผลช่วยดูดซึมแมกนีเซียม แคลเซียม และเหล็กเข้าสู่ร่างกาย ทั้งยังมีรายงานว่าเส้นใยอาหารชนิดละลายน้ำช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจและมะเร็งลำไส้ใหญ่

    นอกจากนี้ในกระบวนการย่อยเส้นใยอาหารชนิดละลายน้ำของโพรไบโอติกส์จะผลิตกรดไขมันสายสั้น คล้ายกรดน้ำส้มหมัก เช่น กรดบิวทีริกซึ่งช่วยชะลอการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรค และทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ได้เปรียบในการเจริญเติบโต

    กรดไขมันสายสั้นเหล่านี้ยังเป็นแหล่งพลังงานให้เชลล์เยื่อบุลำไส้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยเสริมสร้างและ ซ่อมแซมผนังลำไส้ให้แข็งแรง และเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย

    กระเจี๊ยบเขียว พรีไบโอติกส์

    เมนูเพิ่มพรีไบโอติกส์

    กระเจี๊ยบเขียวชุบแป้งทอด

    ส่วนผสม

    กระเจี๊ยบเขียวฝักเล็ก 2 ขีด

    แป้งทอดกรอบผสมน้ำ 1 ถ้วย

    น้ำมันสำหรับทอด 2 ถ้วย

    น้ำจิ้มบ๊วย

    วิธีทำ

    1. ล้างกระเจี๊ยบให้สะอาด นึ่งให้แห้ง
    2. ผสมแป้งทอดกรอบกับน้ำให้ข้นและไม่เหลวจนเกินไป นำกระเจี๊ยบเคล้ากับแป้ง
    3. เทน้ำมันลงในกระทะ พอน้ำมันเริ่มร้อนใส่ กระเจี๊ยบลงไปทอดให้สุกเหลือง ตักขึ้น เสิร์ฟพร้อม น้ำจิ้มบ๊วย

    กระเจี๊ยบเขียว

    กระเจี๊ยบเขียวใช้เป็นยาถ่ายพยาธิตัวจี๊ด มีเพ็กตินและเมือกช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น อาจลดความเสี่ยงโรคแผลในกระเพาะอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้เส้นใยอาหารสูง จึงช่วยลดการดูดซึม ของคอเลสเตอรอลและน้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย

    ชีวจิต Tips Soy Milk Yoghurt โยเกิร์ต สูตรเหมาะสำหรับคนที่แพ้นมวัว

    อีหนึ่งเมนูเพื่อลำไส้ที่เราอยากให้ทุกคนลอง

    สงสัยไหมคะว่า นมถั่วเหลืองจะทำโยเกิร์ตได้อย่างไร ขอบอกว่า เคล็ดลับคือน้ำหมักข้าวกล้อง ที่กำลังเป็นที่นิยมทั้งในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ด้วยประโยชน์ดีต่อสุขภาพทั้งช่วยต้านอนุมูลอิสระ ฟื้นฟูและปรับสมดุลร่างกาย

    เมกุมิ คิฮาตะ เจ้าของสูตรนี้เเธอเพียรทดลองอยู่หลายครั้งจนสำเร็จได้น้ำหมักข้าวกล้องนำมาเป็นหัวเชื้อจุลินทรีย์ดีทำโยเกิร์ตนมถั่วเหลืองได้ถูกใจเธอในที่สุด และจะมีในสูตรที่จะนำมาฝากในวันนี้ด้วยค่ะ

    สูตร Soy Milk Yoghurt

    ส่วนผสม

    • น้ำนมถั่วเหลืองจืด 250 มิลลิลิตร
    • น้ำหมักข้าวกล้อง 50 มิลลิลิตร

    วิธีทำ

    ทำความสะอาดภาชนะด้วยวิธีข้างต้น คีบโหลออกมาไม่ต้องเช็ดแล้วใส่น้ำนมถั่วเหลือง น้ำหมักข้าวกล้องลงผสม ปิดฝา วางไว้ที่อุณหภูมิห้อง 3 – 4 วัน เมื่อนมถั่วเหลืองเริ่มจับตัว แยกชั้น ให้เทน้ำออก กรองเอาแต่เนื้อโยเกิร์ตมาปั่นให้เนียน แช่เย็น ตักเสิร์ฟพร้อมผลไม้ มูสลี่ น้ำผึ้ง และถั่วตามชอบ หรือจะนำมาปั่นผสมกับน้ำส้มในอัตราส่วนที่เท่ากัน ก็จะได้นมเปรี้ยวรสผลไม้ไว้ดื่ม

    พลังงานต่อหนึ่งหน่วยบริโภค 197.42 กิโลแคลอรี
    โปรตีน 7.72 กรัม ไขมัน 8.23 กรัม
    คาร์โบไฮเดรต 23.76 กรัม ไฟเบอร์ 0.27 กรัม

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ตามรอย นมหมัก อาหารอุดมโพรไบโอติก

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    ถ่ายเป็นเลือด สัญญาณผิดปกติในลำไส้ใหญ่

    สวยอ่อนเยาว์ ด้วยอาหารเกาหลี

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ท่าโยคะแก้ท้องผูก

    ท่าโยคะแก้ท้องผูก สุดง่าย ทำตามได้ สบายท้อง

    ท่าโยคะแก้ท้องผูก 4 ท่าสุดฮิต

    ท่าโยคะแก้ท้องผูก นอกจากโยคะจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับร่างกายแล้ว ยังสามารถแก้อาการยอดฮิตของคนเมืองอย่างอาการท้องผูกได้อีกด้วย

    เพื่อนๆ หลายคนบ่นเรื่องสิว ผิวพรรณไม่สดใส นั่นเพราะไลฟ์สไตล์ซูเปอร์เร่งรีบของคนทำงานอย่างเราทำให้ไม่มีเวลาเลือกกิน บรรดาผักและผลไม้จึงถูกปัดตก ไม่ถูกวางบนโต๊ะอาหาร ปัญหาท้องผูก โอ้ย…อึ๊ไม่ออกจึงตามมา

    สายเฮลธ์ตี้อย่างเราจะไม่ทนอยู่แบบนั้น ดังนั้น เรามาใช้เวลาสั้นๆ หลังตื่นนอนสัก 10 นาที ฝึกท่าโยคะง่ายๆ ที่จะทำให้ถ่ายคล่องกันดีกว่า

    โยคะ VS ท้องผูก

    โยคะช่วยแก้อาการท้องผูกได้จริงหรือ บอกเลยว่า ได้! เพราะการฝึกโยคะนอกจากจะทำให้จิตใจสงบแล้วยังเป็นการนวดอวัยวะภายในให้แข็งแรงขึ้นด้วย ซึ่งแนนก็มีท่าโยคะที่เน้นการนวดและดูแลอวัยวะภายในช่องท้องให้ทำงานเป็นปกติมาฝากกัน

    ท่าตั๊กแตน

    โยคะแก้ท้องผูก, โยคะ, ท้องผูก, ท่าตั๊กแตน, แก้ท้องผูก
    1. นอนคว่ำ ประสานมือไว้ที่สะโพก วางหน้าผากจรดพื้น
    2. หายใจเข้า ยกขาทั้งสองข้างขึ้นเหยียดให้ตึง
    3. หายใจออก ค่อยๆ วางขาลง ทําเซตละ 5 ครั้ง 2-3 เซต

    ท่านั่งบิดตัว

    1. นั่งชันเข่าขวาและพับเข่าซ้ายอยู่ใต้ข้อเท้าขวา พาดแขนซ้ายไว้ด้านนอกขาขวา พยายามเอื้อมมือไปจับข้อเท้าขวา ยืดแนวกระดูกสันหลังขึ้น เปิดหน้าอกและหมุนหัวไหล่ไปทางด้านหลัง
    2. หายใจเข้าท้องพอง หายใจออกยุบ หน้าท้องหรือแขม่วหน้าท้องเข้าไป ค้างอยู่ในท่าประมาณ 1-3 นาที แล้วจึงคลายท่า สลับทําอีกข้างหนึ่ง จากนั้นนอนชันเข่าเพื่อคลายแนวกระดูกสันหลังที่ถูกบิด

    ท่าสุนัขเหยียดลง

    จากท่าคลาน  วางมือและเท้ากว้างประมาณช่วงไหล่ ยกก้นขึ้นจนศีรษะ อยู่ต่ำกว่าสะโพก ถ้าสามารถเหยียดเข่าให้ตึงได้ ให้เหยียดเข่าตึง

    ระวังอย่าให้น้ำหนักถ่ายไปที่ต้นแขนและหัวไหล่มากเกินไป น้ำหนักควรอยู่ที่สะโพก โดยดึงสะโพกขึ้นไปด้านบน ค้างอยู่ในท่าประมาณ 3-5 นาที หายใจเข้าลึก หายใจออกยาว จากนั้นคลายท่าโดยการนอนพัก 5 ลมหายใจ

    นอกจากฝึกท่าเหล่านี้แล้ว ก็ควรกินผักและผลไม้เป็นประจำเพื่อให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี ครั้งหน้าจะมีท่าบริหารร่างกายแบบไหนมาฝาก ต้องติดตามกันให้ดี แต่ถ้าใครต้องการท่าบริหารส่วนใด รีบถามมาเลยเด้อ

    นอกจากนี้ เรายังมีคลิปง่ายๆ ให้ลองทำตาม คลิกแล้วลองดูนะคะ ขับถ่ายสะดวกแน่!


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ท่าบริหารกล้ามเนื้ออย่างง่าย สำหรับคนไม่ค่อยออกกำลัง เพื่อแขน ขา และก้นกระชับ

    เจ็บหน้าอก เช็กซิเป็นโรคอะไร

    HOW TO ออกกำลังกาย เพื่อความสมดุลของฮอร์โมน ลดเสี่ยงมะเร็งเต้านม

    ทำไม วัยทองเสี่ยงโรค หัวใจและหลอดเลือด และโรคกระดูกพรุน

    วิ่งอย่างไร ไม่ให้เจ็บ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    แก้โรคระบบทางเดินอาหาร

    10 สูตรยาและอาหารจีน แก้โรคระบบทางเดินอาหาร

    10 สูตรยาและอาหารจีน แก้โรคระบบทางเดินอาหาร

    หลายท่านที่เคยมีอาการกรดไหลย้อน กระเพาะอาหารอักเสบ ท้องผูก ท้องเสีย ต้องทราบดีว่าอาการเหล่านี้บั่นทอนความสุขในชีวิตไปมาก วันนี้นิตยสารชีวจิต ขอส่งมอบ 10 สูตรยาและอาหารจีนที่ช่วยแก้โรคระบบทางเดินอาหาร สำหรับผู้อ่านทุกท่าน เพื่อให้ได้ลองดูแลสุขภาพด้วยตนเอง แบบไม่ต้องแวะไปโรงพยาบาลบ่อย ๆ

    มันต้มขิง แก้กรดไหลย้อน

    ส่วนผสม
    มันเทศ 250 กรัม มันสีม่วง 250 กรัม ขิงแก่ทุบพอแตกหั่นเป็นแว่นบาง 50 กรัม น้ำตาลทรายแดง 1/2 ถ้วยน้ำตาลกรวด 1/4 ถ้วย น้ำเปล่า 4 ถ้วย น้ำเกลือสำหรับแช่มัน

    วิธีทำ

    1. ปอกเปลือกมันทั้งสองชนิดออก หั่นเป็นชิ้นพอคำ แช่น้ำเกลือทิ้งไว้สักพัก
    2. ตั้งน้ำในหม้อด้วยไฟกลางจนเดือด ใส่มันที่เตรียมไว้ลงไป จากนั้นหรี่ให้ไฟอ่อน ต้มมันจนสุก ใส่น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลกรวด และขิง คนให้เข้ากัน รอจนมันสุกนิ่ม ชิมรสอีกครั้ง

    GURU GUIDE

    ขิงแก่หรือภาษาจีนเรียกว่า กานเจียง เหง้ามีรสหวาน เผ็ดร้อน ช่วยขับลม แก้บิด แก้ท้องอืด แก้คลื่นไส้อาเจียน นอกจากนี้ แพทย์จีนนภษร แสงศิวะฤทธิ์อาจารย์ประจำคณะการแพทย์แผนจีน มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ แนะนำว่า ขิงยังช่วยขับลมในท้องและลดกรดไหลย้อนได้

    น้ำกะหล่ำปลี แก้แผลในกระเพาะอาหาร

    ส่วนผสม

    กะหล่ำปลี 1 หัว

    วิธีทำ

    ล้างกะหล่ำปลีให้สะอาด สับให้ละเอียด จากนั้นนำไปคั้นเอาเฉพาะน้ำ แล้วนำไปอุ่นให้ร้อน ดื่มก่อนอาหาร ครั้งละ 1 แก้ว วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 10 วัน

    GURU GUIDE

    ข้อมูลจาก ตำราวิชาการ อาหารเพื่อสุขภาพกองการแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาการแพทย์ แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่า กะหล่ำปลีมีฤทธิ์กลาง รสหวาน ช่วยปรับการทำงานของอวัยวะภายในน้ำกะหล่ำปลีมีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย และพยาธิ และยังช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหารด้วย

    โจ๊กพุทราจีน แก้ปวดท้องจากกระเพาะอาหารอักเสบ

    ส่วนผสม

    พุทราจีน 10 ผล (เอาเม็ดออก) ข้าวเหนียว 200 กรัม เปลือกส้มจีน 5 กรัม น้ำสะอาดปริมาณท่วมส่วนผสม

    วิธีทำ

    ล้างพุทราจีน เปลือกส้มจีน และข้าวเหนียว ให้สะอาด เทส่วนผสมลงในหม้อ เทน้ำลงไป ต้ม
    ให้เละ กินบ่อย ๆ

    GURU GUIDE

    ข้อมูลจากหนังสือ หายป่วย สุขภาพดี ด้วยอาหารและสมุนไพรจีนโดย นายแพทย์ภาสกิจ วัณนาวิบูล อธิบายว่า พุทราจีนมีฤทธิ์อุ่น รสหวาน เข้าเส้นลมปราณม้าม กระเพาะอาหาร และหัวใจ เป็นยาบำรุงพลัง บำรุงเลือด ส่วนเมนูโจ๊กพุทราจีนนี้ ช่วยแก้อาการปวดท้องจากโรคกระเพาะอาหารอักเสบซึ่งเกิดจากม้ามพร่องหรือน้ำย่อยน้อย

    ชาซานจาแก้อาหารไม่ย่อย

    ส่วนผสม

    ซานจา 9 กรัม ต้นอ่อนข้าวสาลี 9 กรัม น้ำสะอาดท่วมส่วนผสม

    วิธีทำ

    ต้มส่วนผสมทุกอย่างในน้ำ รอให้เดือด ทิ้งไว้ 15 นาที จิบบ่อย ๆ

    GURU GUIDE

    ข้อมูลจาก ตำราวิชาการ อาหารเพื่อสุขภาพ แนะนำว่าซานจาเป็นอาหารและสมุนไพรที่ใช้กันอย่างแพร่หลายโดยแพทย์แผนจีน มีฤทธิ์เย็นรสเปรี้ยว ช่วยย่อยอาหาร ทำให้เจริญอาหารสลายการอุดกั้นของอาหารตกค้างทำให้เลือดไหลเวียนดี

    กระเทียมผัด แก้ลำไส้อักเสบจากแบคทีเรีย

    ส่วนผสม

    กระเทียมหัวใหญ่ 2 หัว น้ำมันเล็กน้อย

    วิธีทำ

    หั่นกระเทียมเป็นชิ้นบาง ๆ ผัดกับน้ำมัน โดยใช้ไฟอ่อนจนสุก กินก่อนอาหาร วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน 3 วัน

    GURU GUIDE

    ข้อมูลจาก ตำราวิชาการ อาหารเพื่อสุขภาพ แนะนำว่า กระเทียมมีฤทธิ์อุ่น รสเผ็ดร้อน เข้าเส้นลมปราณ กระเพาะอาหาร และปอด ช่วยลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย อหิวาต์

    น้ำองุ่น แก้เบื่ออาหาร

    ส่วนผสม

    น้ำองุ่นคั้น 15 ซีซี น้ำผึ้งปริมาณเล็กน้อย น้ำอุ่น 1 แก้ว

    วิธีทำ

    ผสมส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ดื่มก่อนอาหารเช้า กลางวัน เย็น

    GURU GUIDE

    ข้อมูลจาก ตำราวิชาการ อาหารเพื่อสุขภาพ แนะนำว่า คนโบราณกล่าวถึงสรรพคุณขององุ่นว่าช่วยบำรุงพลัง เสริมกำลังทำให้ทนต่อลมและความเย็น องุ่นมีฤทธิ์กลาง รสหวาน ช่วยเจริญอาหาร ไตอักเสบ ปัสสาวะเป็นเลือด

    ชากุหลาบ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ

    ส่วนผสม

    ชากุหลาบ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำเดือด 1 กา

    วิธีทำ

    เทน้ำเดือดลงในกาชา ใส่ชากุหลาบลงไป แช่ทิ้งไว้ 15 นาที

    GURU GUIDE

    ข้อมูลจากหนังสือ หายป่วย สุขภาพดี ด้วยอาหารและสมุนไพรจีนแนะนำว่า ชากุหลาบมีฤทธิ์อุ่น รสหวาน ขมเล็กน้อย เข้าเส้นลมปราณตับและม้าม เหมาะกับคนที่มีอาการพลังตับติดขัดและกระเพาะอาหารแปรปรวน ปวดท้อง ท้องแน่น เรอ แต่ไม่แนะนำให้สตรีมีครรภ์ดื่ม

    น้ำส้มเช้ง รักษาลำไส้ส่วนต้นอักเสบ

    ส่วนผสม

    ส้มเช้ง 1 ผล เหล้าเหลือง และน้ำอุ่นปริมาณเล็กน้อย

    วิธีทำ

    ล้างส้มเช้งให้สะอาด ปอกเปลือกออก ลอกเยื่อผิวส้ม และแกะเม็ดออก จากนั้นนำมาคั้นเอาเฉพาะน้ำ แล้วใส่เหล้าเหลืองและน้ำอุ่นลงไปผสม นำไปตุ๋น ดื่มวันละ 2 ครั้ง

    GURU GUIDE

    ข้อมูลจาก ตำราวิชาการอาหารเพื่อสุขภาพ แนะนำว่า ส้มเช้งมีฤทธิ์ค่อนข้างเย็น รสหวาน เปรี้ยว เข้าเส้นลมปราณปอดและตับ ช่วยเคลื่อนพลัง แก้กระหาย แก้เบื่ออาหาร แก้บิด และรักษาลำไส้ส่วนปลายอักเสบ

    โจ๊กข้าวฟ่าง แก้ท้องเสียในผู้ใหญ่

    ส่วนผสม

    ข้าวฟ่าง 50 กรัม

    ซานเย่า 10 กรัม

    พุทราจีน 5 ผล

    น้ำสะอาดท่วมส่วนผสม

    วิธีทำ

    ต้มส่วนผสมทุกชนิดรวมกันจนสุกนิ่ม

    GURU GUIDE

    ข้อมูลจากหนังสือ หายป่วย สุขภาพดี ด้วยอาหารและสมุนไพรจีน อธิบายว่า สามารถกินข้าวฟ่างรักษาอาการท้องเสียจากกระเพาะอาหาร และม้ามพร่องในผู้ใหญ่ได้ โดยข้าวฟ่างมีฤทธิ์เย็น รสหวาน เค็ม เข้าเส้นลมปราณม้าม กระเพาะอาหาร และไต ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร แก้ท้องเสีย

    โจ๊กมันเทศ แก้ท้องผูก

    ส่วนผสม

    มันเทศ 250 กรัม ข้าวกล้อง 100 – 150 กรัม น้ำและน้ำตาลปริมาณพอเหมาะ

    วิธีทำ

    หั่นมันเทศเป็นชิ้นเล็ก ๆ เทใส่หม้อ ตามด้วยน้ำและข้าวกล้อง ต้มจนเละ เติมน้ำตาลลงไป คนจนน้ำตาลละลาย ปิดไฟ

    GURU GUIDE

    ข้อมูลจากหนังสือ หายป่วย สุขภาพดี ด้วยอาหารและสมุนไพรจีน อธิบายว่ามันเทศมีฤทธิ์เป็นกลาง รสหวาน เข้าเส้นลมปราณม้าม มีสรรพคุณบำรุงกระเพาะอาหารและม้าม ช่วยขับ
    อุจจาระ

    นี่คือสูตรยาและอาหารจีนที่ใช้เพื่อป้องกันอาการต่าง ๆ และดูแลสุขภาพตัวเองในเบื้องต้น แต่หากว่ามีอาการรุนแรงหรือไม่บรรเทาลง ควรไปพบแพทย์แผนปัจจุบันหรือแพทย์จีนที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องนะคะ

    เพราะ ชีวจิต อยากให้ผู้อ่านทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง มีความสุขและใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพทุกวัน

    เรื่อง ชมนาด ภาพ iStock เขียนลงเว็บ เนื้อทอง ทรงสละบุญ

    ชีวจิต 456 นิตยสารรายปักษ์ ปีที่ 19 : 1 ตุลาคม 2560

    – – –  – – – – –  – – – – –  – – – –  – – – –  – – –  – – –  – – –  – – –  – –  – –

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ตับ ของเราป่วยด้วยอาการใดได้บ้าง

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    ถ่ายเป็นเลือด สัญญาณผิดปกติในลำไส้ใหญ่

    สวยอ่อนเยาว์ ด้วยอาหารเกาหลี

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ท้องผูกนานๆ

    ท้องผูกนานๆ มะเร็งอาจถามหา

    ท้องผูกนานๆ มะเร็งอาจถามหา

    อาการ ท้องผูกนานๆ มีอันตรายต่อร่างกายมากกว่าที่คิด เพราะนอกจากจะเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันโดยตรง เช่น อาการสิว โรคนอนไม่หลับ ริดสีดวง แผลปริทวารหนัก และลำไส้อุดตันแล้ว ยังเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งลำไส้อีกด้วย ดังนั้น ระบบระบายในร่างกายที่เป็นปกติ จะช่วยขจัดของเสียและสารพิษ เพื่อให้คุณไกลจากโรคร้ายและช่วยชะลอวัยด้วย

    การศึกษาจาก American College of Gastroenterology ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า อาการท้องผูก เรื้อรังอาจเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่  หลังเก็บข้อมูลสุขภาพจากอาสาสมัครกว่า 100,000 ราย นาน 12 ปี พบว่า ผู้ที่มีอาการท้องผูกเรื้อรังเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ถึง 1.78 เท่า และเสี่ยงพบก้อนเนื้องอก 2.7 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย

    นายแพทย์นิโคลัส แทลลี่ (Nicholas Talley) จากมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล (University of Newcastle) ประเทศออสเตรเลีย อธิบายว่า อาการท้องผูกเรื้อรังทำให้ของเสียคั่งค้างภายในลำไส้เป็นเวลานาน จนอาจส่งผลให้สารก่อมะเร็งที่ปะปนในอาหารสะสมภายในลำไส้จนเข้มข้น เมื่อสัมผัสกับผนังลำไส้อย่างต่อเนื่องจึงเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งตามมา

    ขับถ่ายแบบไหน? เรียกว่า “ท้องผูก”

    ลักษณะของการขับถ่ายอุจจาระที่บอกได้ว่ามีเกณฑ์ผิดปกติ คือ เมื่อจำนวนครั้งในการขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ร่วมกับลักษณะของอุจจาระที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ก้อนมีขนาดเล็กลง หรือก้อนแข็งขึ้น เวลาถ่ายต้องออกแรงเบ่งให้หลุด และใช้เวลานานกว่าจะขับถ่ายเสร็จ เมื่อปล่อยให้เกิดภาวะท้องผูกเรื้อรังไปนานๆ หากคุณมีภาวะนี้อาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเป็นริดสีดวงทวาร หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

    ปรับพฤติกรรม…ป้องกันอาการท้องผูก

    • ขับถ่ายให้เป็นเวลา

    ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการขับถ่ายคือหลังตื่นนอนในตอนเช้า ดังนั้น ควรปรับเวลาการตื่นนอนให้เช้าขึ้น…เพื่อให้มีเวลาเพียงพอสำหรับการดื่มนมหรือดื่มน้ำเปล่าที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากถ่าย

    • ดื่มน้ำเปล่ามากๆ ในหนึ่งวัน

    น้ำเปล่าถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในการกระตุ้นการขับถ่าย ควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 1.5-2 ลิตรต่อวัน โดยแบ่งดื่มในแต่ละช่วงเวลา ครั้งละ 1-2 แก้ว ไม่ควรดื่มน้ำปริมาณมากๆ แบบรวดเดียว

    • เลือกทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง

    อีกตัวช่วยสำคัญในการขับถ่าย คือ อาหารไฟเบอร์สูง อย่าง ผักและผลไม้ โดยปริมาณของใยอาหารที่พอเหมาะในแต่ละวัน คืออย่างน้อยวันละ 6 กรัม (สามารถสังเกตได้จากลักษณะของอุจจาระ ถ้าจมน้ำ…แสดงว่าต้องเพิ่มการกินผักและผลไม้มากขึ้น)

    แนะนำ 5 แหล่งไฟเบอร์..มีดังนี้

    • ส้ม เป็นผลไม้ที่หาทานง่ายและราคาไม่สูง ส้มจะอุดมไปด้วยวิตามินซีและยังอัดแน่นไปด้วยไฟเบอร์ที่มีส่วนช่วยในการขับถ่าย ทั้งยังมีสารนารินจีนินที่ทำหน้าที่คล้ายกับยาระบายอีกด้วย
    • ลูกพรุน ไม่เพียงเป็นแหล่งไฟเบอร์ปริมาณสูง แต่ในลูกพรุนยังมีสารไดโฮดรอกซีฟีนีลอิซาติน ซึ่งมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการทำงานของลำไส้ และยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียมมากกว่ากล้วยถึง 2 เท่า จึงลดปัญหาร่างกายขาดโพแทสเซียม…สาเหตุของอาการท้องผูก
    • ถั่วดำ ไม่น่าเชื่อเลยว่า…ในถั่วดำ 1 ถ้วยจะอุดมไปด้วยไฟเบอร์มากถึง 15 กรัม รวมทั้งยังมีโพแทสเซียมและแมกนีเซียม ตัวช่วยสำคัญที่ทำให้อุจจาระเคลื่อนผ่านทางเดินอาหารได้ง่ายขึ้น
    • ราสเบอร์รี่ เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่มีไฟเบอร์สูงมากกว่าสตรอว์เบอร์รี่ถึง 2 เท่าเลยทีเดียว
    • อัลมอนด์ ไม่ใช่แค่เป็นแหล่งไขมันดี แต่อัลมอนด์ยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ทั้งยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียมที่ช่วยให้อุจจาระเคลื่อนผ่านทางเดินอาหารได้สะดวกขึ้น
    • ออกกำลังกายเป็นประจำ การออกกำลังกายและเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ ช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น ในคนที่ไม่ค่อยชอบออกกำลังกายหรือเอาแต่นั่งๆ นอนๆ ไม่ค่อยขยับร่างกายในแต่ละวัน มักจะมีโอกาสเกิดภาวะท้องผูกได้สูงกว่า

    แม้ว่าจะปรับพฤติกรรมเพื่อการขับถ่ายที่ดีแล้ว แต่ยังคงมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงต่อการเป็น “มะเร็งลำไส้ใหญ่” หากคุณอยู่ในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป คนในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ รวมถึงการมีนิสัยชอบดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ก็ควรเข้ารับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ เพื่อเช็คสุขภาพของลำไส้ก่อนเสี่ยงโรคมะเร็งร้าย

    ชีวจิต Tips โบรไบโอติก กับ ปัญหาสุขภาพท้อง

    มาถึงตอนนี้หลายคนทราบกันเเล้ว ว่าทำไมโปรไบโอติกนั้นมีความสำคัญกับสุขภาพของเรา โดยเฉพาะสุขภาพท้อง นั่นก็เพราะเเหล่งที่อยู่ของโปรไบโอติก หรือจุลินทรีย์ชนิดดีนั้นล้วนมีชีวิตอยู่ในลำไส้ อวัยวะสำคัญที่เกี่ยวข้องกับระบบการดูดซึมเเละย่อยอาหาร

    ว่ากันว่าหากจะประเมินว่าสุขภาพของเราจะดีหรือไม่ดี เจ็บป่วยสาเหตุส่วนหนึ่งนั้นมาจากปัญหาสุขภาพของระบบย่อย หรือสุขภาพท้องของเรานั่นเอง  จุลินทรีย์มีประโยชน์กับสุขภาพท้อง ดังต่อไปนี้

    1. ป้องกันช่วยแก้อาการท้องเสีย
      มีงานวิจัยระบุว่า โปรไบโอติก แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) สามารถป้องกันภาวะท้องเสียในเด็กขาดอาหารได้  เเละ โปรไบโอติกจากยีสต์ (Saccharomyces boulardii) ป้องกันและรักษาอาการท้องเสียเฉียบพลันในนักท่องเที่ยว และผู้สูงอายุที่เกิดจากการติดเชื้อ Clostidium  ในลำไส้ใหญ่ได้
    2. แก้อาการท้องผูก และโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
       โปรไบโอติก แลคโตบาซัลลัส มีประสิทธิภาพสามารถช่วยลดอาการอักเสบของลำไส้ได้ โดยการรักษาสมดุลของเชื้อบริเวณในลำไส้
    3. ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
       หากมีโปรไบโอติกที่ดีในลำไส้เพียงพอ จะสามารถช่วยเปลี่ยนสภาพแบคทีเรียในลำไส้ ป้องกันไม่ให้เกิดสารพิษ ที่ส่งผลต่อการเกิดมะเร็งในลำไส้ได้
    4. ช่วยรักษาโรคกระเพาะ
      ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารแนะนำว่า การใช้พรีไบโอติก และโปรไบโอติกร่วมกัน สามารถช่วยป้องกัน และรักษาโรคในระบบทางเดินอาหารได้

    บทความอื่นที่น่าสนใจ 

    สวยอ่อนเยาว์ ด้วยอาหารเกาหลี

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

    ถ่ายเป็นเลือด สัญญาณผิดปกติในลำไส้ใหญ่

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    อาการเหมือนหวัด

    5 อาการเหมือนหวัด แต่ไม่ใช่หวัด แล้วเป็นโรคอะไร

    5 อาการเหมือนหวัด แต่ไม่ใช่หวัด

    หลายๆ ครั้งที่มี อาการเหมือนหวัด เช่นมีน้ำมูก เป็นไข้อ่อนๆ ไอ จาม เราก็มัจะคิดว่าเป็นโรคธรรมดาทั่วไป ไม่ต้องดูแลอะไรมากเป็นพิเศษ แต่ที่จริงแล้วบางทีอาการเหล่านี้ ก็มีข้อแตกต่างจากหวัดอยู่เหมือนกัน เผลอๆ อาจเป็นโรคที่รุนแรงกว่า ดังนั้นแล้ว เรามาทำความรู้จักกับอาการเหมือนหวัดแต่ไม่ใช่ และอาการแบบไหนที่บอกว่า นี่แหล่ะ หวัดแน่นอน

    อาการเหมือนหวัด แต่ไม่ใช่หวัด

    มีอาการนานกว่า 4 วัน

    หวัดธรรมดาทั่วไป มีแนวโน้มจะหายได้เอง และที่สำคัญมักจะหายภายใน 3 – 4 วัน แต่หากมีอาการที่นานกว่านั้นอาจต้องไปพบแพทย์ เพราะอาจจะเป็นโรคโมโนนิวคลิโอสิส ซึ่งเกิดจากไวรัสชนิดหนึ่ง ที่ทำให้มีอาการไข้ เจ็บคอ และที่สำคัญคือเป็นโรคติดต่อผ่านทางน้ำลาย เสมหะ หรือไอ

    เพิ่งเสร็จสิ้นการเดินทางไกล

    หากมีอาการเหมือนเป็นไข้ หลังเสร็จสิ้นการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นไปท่องเที่ยว หรือไปทำงาน ทั้งในและต่างประเทศ สิ่งที่ควรทำคือไปพบแพทย์ พร้อมบอกประวัติและข้อมูลการเดินทางอย่างละเอียด เพราะบางทีอาจเป็นโรคระบาดหลายแรงบางอย่างที่เผลอไปติดมา อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับโควิด ที่แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วเพราะการเดินทางที่ไร้พรมแดนในปัจจุบัน

    มีไข้ขึ้นสูง

    จริงอยู่ว่าเป็นหวัดอาจมีไข้ได้ แต่หากมีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส ก็เป็นสิ่งที่ต้องไปหาคุณหมอแล้ว เพราะที่จริงอาจเป็นอาการในกลุ่มคออักเสบ ถ้าไม่ได้รับการรักษาก็อาจจะกลายเป็นไข้รูมาติก ที่ส่งผลกระทบต่อหัวใจได้เลย เป็นไงละ จากแค่หวัด กลายเป็นหัวใจได้เฉยเลย

    คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายท้อง

    บางคนอาจคิดว่า เป็นหวัด มีปวดหัว ตัวร้อน ก็อาจทำให้อาเจียนได้เหมือนกันนั่น บอกเลยว่าคิดผิด เพราะถ้ามีอาการเหมือนหวัด แต่คลื่นไส้อาเจียน ถ่ายท้องร่วมด้วย ก็เป็นเรื่องที่น่าห่วง ทางที่ดีจึงควรไปพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ตรวจอย่างละเอียด โดยเฉพาะหากมีอาการถ่ายท้องรุนแรง เพราะอาจทำให้เกิดการขาดน้ำ ช็อกหมดสติได้

    หายใจถี่ เจ็บหน้าอก

    การเป็นหวัดย่อมไอเป็นธรรมดา แต่ต้องไม่ใช่ไอจนเจ็บหน้าอก จนเหนื่อยหอบ หรือเจ็บหน้าอก ถ้ามีอาการเหล่านี้ให้รีบไปหาหมอทันที เพราะที่เข้าใจว่าเป็นหวัด แท้จริงแล้วอาจเป็นหลอดลมอักเสบ หรือปอดบวม และหากรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจถี่กะทันหัน ก็อาจเกิดขึ้นเพราะลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งอันตรายถึงชีวิต!

    อาการเหมือนหวัด

    อาการหวัด เป็นแบบนี้

    สำหรับอาการหวัด จริงแล้วๆ ก็ต้องแยกตามต้นตอที่ทำให้เป็นโรคด้วย ก็คือ ไข้หวัดใหญ่ และไข้หวัดธรมดา ซึ่งทั้งสองโรค แม้จะเป็นไข้หวัดใหญ่เหมือนกัน แต่ก็มีต้นตอ และอาการ รวมถึงความรุนแรงที่แตกต่างกันอยู่นิดหน่อย ซึ่งเป็นจำเป็นแยกให้ออก เพราะหากเป็นไข้หวัดใหญ่ ก็จำเป็นต้องให้คุณหมอดูแลนะคะ

    ไข้หวัดธรรมดา

    เกิดได้จากไวรัสหลายสายพันธ์ แต่ประเภทที่มักก่อให้เกิดโรคนั้นคือ Rhinoviruses อาการที่มักมีคือ

    • ไข้ต่ำๆ
    • คัดจมูก น้ำมูกไหล น้ำมูกลักษณะเป็นสีใส
    • ไอ จาม เจ็บคอ
    • คอแดง อาจมีอาการทอนซิลบวมแดง แต่ไม่พบจุดหนอง
    • ปวดหัวบ้างเล็กน้อย

    และอาการทั้งหมดเหล่านี้ จะไม่รุนแรง และหายได้อย่างรวดเร็ว

    ไข้หวัดใหญ่

    ไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคที่เกิดจากไวรัส Influenza A และ Influenza B ซึ่งทั้ง 2 ชนิดมีหลายสายพันธุ์ และแต่ละสายพันธุ์เกิดการระบาดต่างกันในแต่ละปี ในแต่ละภูมิภาคของโลก โดยไข้หวัดใหญ่ จะมีอาการรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา โดยอาการคือ

    • ไข้สูง 37.8 – 39.0 องศาเซลเซียส
    • ปวดหัว ปวดเมื่อยเนื้อตัว
    • อ่อนเพลีย
    • ไอรุนแรง อาจทำให้เจ็บหน้าอก
    • อาจมีคัดจมูก ร่วมด้วยในบางคน

    สำหรับไข้หวัดใหญ่ สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ด้วยการการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันไข้หวัดใหญ่บางสายพันธุ์ได้ และแนะนำให้ผู้สูงอายุทุกคนควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เพื่อลดอัตราการป่วยเข้าโรงพยาบาลจากโรคนี้

    ทั้งนี้สำหรับผู้สูงอายุ สามารถใช้สิทธิ์ในการฉีดฟรี ตามสถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือสถานบริการที่มีชื่ออยู่

    แพ้อากาศ

    แพ้อากาศ แม้จะไม่ใช่อาการหวัด แต่ก็เป็นอีกโรคที่มี อาการเหมือนหวัด โดยมีสาเหตุการเกิดจากโรคภูมิแพ้ และไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อไวรัส หากแต่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นที่สามารถพบได้จากสิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่น อากาศเย็น อากาศร้อน และละอองเกสร สำหรับสิ่งกระตุ้นที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน

    จะมีอาการใกล้เคียงกับไข้หวัดธรรมดามาก คือมีอาการเด่นที่จมูก

    • คัดจมูก น้ำมูกไหล น้ำมูกลักษณะเป็นสีใส
    • คันจมูก จาม
    • บางคนอาจมีอาการคันที่ตาและมีน้ำตาร่วมด้วย

    แต่สามารถแยกจากโรคไข้หวัดธรรมดาได้จากระยะเวลาของการเกิดอาการ โดยโรคภูมิแพ้มักจะมีระยะเวลาในการเกิดที่นาน และจะไม่หายหากผู้ป่วยยังคงได้รับสิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการอยู่ ในทางกลับกันไข้หวัดธรรมดาและไข้หวัดใหญ่นั้นสามารถหายได้ในเวลาไม่นาน โดยทั่วไปมักไม่เกิน 2 สัปดาห์ เมื่อได้รับการดูแลหรือรักษาที่ถูกต้องและไม่มีอาการแทรกซ้อนอื่นใด

    ที่มา

    • ช่วยอาจารย์ ภก. ธีรวิชญ์ อัชฌาศัย ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    • healthline

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    หน้าฝนกินอะไร ห่างหวัด ห่างโรค

    22 SUPER THAI HERBS สมุนไพรไทยสู้ไวรัส กินเสริมภูมิคุ้มกัน

    สมุนไพรบำรุงปอด รีบกินก่อน ป้องกันโรคร้ายถามหา

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ปวดไมเกรน

    ปวดไมเกรน รักษาให้หายขาดได้หรือไม่ ?

    ปวดไมเกรน ต้องอยู่กับอาการนี้ไปนานแค่ไหนกัน

    ปวดไมเกรน แล้วจะหายได้ไหม หรือเป็นโรคเวร โรคกรรม ที่จะรักษาไม่หายไปตลอดชีวิต วันนี้แอดไปหาคำตอบมาให้แล้วค่ะ อยากจะเชิญชาวไมเกรนหน้าเก่า หน้าใหม่ และมือสมัครเล่นฟังไปพร้อมกัน แต่บอกก่อนนะว่า คำตอบอาจต้องชวนกันกุมพระ กุมยา มาฟังเลยทีเดียว

    รู้จักไมเกรน

    สำหรับคนที่ยังไม่แน่ใจว่าใช่ไมเกรนไหม ผู้เชี่ยวชาญด้านการปวดไมเกรน อย่าแอดก็เล่าอาการให้ฟังค่ะ ไมเกรนแตกต่างจากปวดหัวทั่วๆ ไป อย่างสังเกตได้ง่ายที่สุดคือ ปวดหัวปกติ จะปวดไปทั้งหัว หรือทั่วบริเวณหน้าปาก แต่หากปวดไมเกรน จะปวดแค่ข้างใดข้างหนึ่ง และลามลงมาที่ขมับ และต่างจากปวดหัวไซนัส ก็ตรงที่ปวดไซนัสจะปวดที่บริเวณกลางๆ หน้าผากลามลงมาที่บริเวณจมูก

    คนที่ปวดศีรษะไมเกรนมักจะมีอาการปวดศีรษะแบบ ตุบ ๆ เป็นจังหวะ มักจะเกิดข้างเดียวของศีรษะ แต่ก็สามารถเป็นทั้งสองข้างได้ (ซึ่งน้อยมากๆ และต้องปวดมากๆ) โดยอาการปวดในช่วงแรกมักมี ความรุนแรงเพียงเล็กน้อยและจะค่อย ๆ เพิ่มความรุนแรงขึ้น ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนแรง และไวต่อแสง เสียง หรือกลิ่นมากขึ้น

    อยากห่างไกลไมเกรนต้องทำอย่างไร

    คนที่เป็นโรคไมเกรนควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ หมั่นออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงสิ่งเร้าหรือ สิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการปวดหัว ลดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ งดเครื่องดื่มในกลุ่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพื่อป้องกันไม่ให้อาการปวดหัวกำเริบ

    สำหรับการหลีกเลี่ยงสิ่งเร้า คนที่เพิ่งเป็นอาจอยากได้ลิสต์รายชื่อ สิ่งอันตรายมาเลย แต่แอดจะบอกว่า แต่ละคนมีสิ่งเร้าแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นจะต้องเกิดจากการสั่งเกตตัวเอง ว่าไปเจอ ไปโดน หรือไปกินอะไมา แล้วทำให้ปวดหัว ซึ่งสิ่งเร้ายอดนิยม ได้แก่

    • แสงวาบ แสงจ้า เช่น แสงฟ้าผ่า แสงจ้าจากภาพยนตร์ แสงจากรถฉุกเฉิน ไฟกระพริบจากรถยนต๋
    • เสียง เช่น เสียงดัง เสียงแหลมสูง เสียงรถฉุกเฉิน
    • กลิ่น เช่น กลิ่นฉุนของดอกไม้ กลิ่นเครื่องหอม กลิ่นฉุนรุนแรง
    • อาหาร เช่น อาหารที่มีโซเดียมสูง อาหารมัน ชีส
    • อากาศ เช่น อากาศร้อน อากาศไม่ถ่ายเท อากาศอึมครึมก่อนฝนตก
    ปวดไมเกรน

    ส่วนคนทั่วไปที่ยังไม่มีอาการปวดไมเกรน ก็ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย เพราะความเครียด ก็เป็นอีกปัญหาต้น ๆ ที่ทำให้เกิดไมเกรนด้วยเช่นกัน และหากพบว่าตนเองมีอาการปวดหัวข้างเดียวบ่อย ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคไมเกรนเสมอไป (เพราะก็ยังโรคไมเกรนเทียม ซึ่งเป็นอาการที่เกิดจากภาวะ ออฟฟิศซินโดรม ที่กล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล่ ตึงมาก จนทำให้เกิดอาการเหมือนปวดไมเกรนได้) ดังนั้นจึงควรรีบไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ และแนวทางการรักษาอย่างเร่งด่วน เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของตัวคุณเอง

    “ปวดไมเกรน” รักษาให้หายขาดได้หรือไม่ ?

    คราวนี้ก็มาถึงประเด็นที่หลายคนรอคำตอบอย่างใจจดจ่อ และแอดขอแสดงความเสียใจด้วยค่ะ ทั้งต่อตัวเอง และเพื่อนร่วมโรคทุกท่าน เพราะอาการปวดหัวไมเกรนไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพียงแต่ให้การรักษาเพื่อลดโอกาสการเกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้ ด้วยการกินยา หลีกเลี่ยงสิ่งเร้า ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพราะฉะนั้น หัวใจสำคัญในการรักษาไมเกรนก็คือ การรับมือและ การป้องกันกับอาการปวด เพื่อให้ผู้ป่วยลดความทรมานจากการปวดหัว และสามารถ ดำเนินชีวิตประจำวันได้

    การรักษาอาการไมเกรนถ้าเป็นทางการแพทย์ก็จะพิจารณาตามระดับ ความรุนแรงของอาการปวด โดยหลัก ๆ แล้วจะเป็นการให้ยาเพื่อบรรเทาอาการปวด แต่หากกินยาบ่อยเกินไปก็อาจส่งผลให้อาการปวดรุนแรง และถี่ขึ้นได้ จึงต้องให้ยาป้องกันอาการปวดหัวไมเกรนร่วมด้วย

    ส่วนการรักษาไมเกรนด้วยวิธีอื่น ๆ ก็เช่น การฉีดยาระงับการทำงานของเส้นประสาทเฉพาะที่ การนวดกดจุด หรือการฉีดโบท็อกซ์ในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการใช้ยาป้องกันหรือล้มเหลวจากวิธีการป้องกันการปวด ศีรษะอื่นๆ

    ป้องกันไมเกรน ได้ด้วยวิธีนี้

    วิธีที่ดีที่สุดในการลดอาการปวดหัวไมเกรนคือ “ป้องกัน” ไม่ให้เกิดอาการ ดังนั้นนอกจากการลดไมเกรนด้วยวิธีทางการแพทย์แล้ว การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นตามที่เล่าให้ฟังข้างต้นก็นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ พร้อมกับนวดบรรเทาเมื่อมีอาการปวด ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และหมั่นสังเกตปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ เมื่อเกิดอาการปวดหัวไมเกรน เป็นต้น

    วิธีช่วยบรรเทาอาการ และป้องกันการปวดศีรษะไมเกรน

    ㆍ ทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย
    ㆍหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการปวดศีรษะไมเกรน
    ㆍนอนพักในที่มืดและเงียบสงบ
    ㆍประคบเย็นบริเวณศีรษะ
    ㆍปรับพฤติกรรมการนอนและการรับประทานอาหาร
    ㆍออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

    อาการปวดศีรษะไมเกรนสามารถบรรเทาและป้องกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา อย่างไรก็ดี การเริ่มรับประทานยาบรรเทาปวดทันทีหลังจาก ที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรน จะช่วยให้ผลของยามีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการใช้ยานั้นควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกร เนื่องจากปัจจัยที่แตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย เช่น อายุ โรคประจำตัว และความรุนแรงของโรค ส่งผลต่อ การเลือกใช้ยาและขนาดยาที่ควรได้รับนั่นเอง

    ที่มา : นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 543


    เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    8 สาเหตุใกล้ตัวที่ทำให้ ปวดหัวบ่อย

    อาหารใดกินเข้าไปแล้ว เสี่ยงปวดไมเกรน

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ท่าบริหารกล้ามเนื้ออย่างง่าย

    ท่าบริหารกล้ามเนื้ออย่างง่าย สำหรับคนไม่ค่อยออกกำลัง เพื่อแขน ขา และก้นกระชับ

    ท่าบริหารกล้ามเนื้ออย่างง่าย

    คำถาม : อายุเยอะแล้ว ไม่ค่อยออกกำลังกายเลย จะเริ่มออกกำลังกายด้วย ท่าบริหารกล้ามเนื้ออย่างง่าย อย่างไรดี

    บ.ก.ขอหาคำตอบให้

    นี่เป็นคำถามที่คุณพี่ท่านหนึ่งถามขึ้น ระหว่างที่ Sporty Nan ชีวจิตกูรูของเรากำลังบรรยายเรื่องการออกกำลังกายชะลอวัย อยู่บนเวที งาน Happy Life ที่จัดร่วมกับโรงพยาบาลพญาไท ณ Food Villa เมื่อวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา

    บ.ก.พิจารณาดูว่า คำถามนี้เข้าท่าดี น่าจะตรงใจใครหลายคน นอกจากคำตอบของชีวจิตกูรูบนเวทีวันนั้น บ.ก.ก็เก็บไอเดียจากนายแพทย์กรกช พานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การกีฬา ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล เจ้าของคอลัมน์ Active Guru นิตยสารชีวจิต และศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประเสริฐ บุญเกิด ประธานชมรมโรคสมองเสื่อมแห่งประเทศไทย และ อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โดยทุกท่านเห็นตรงกันว่า หากต้องการเริ่มออกกำลังกายให้ “เดิน” จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มความเร็ว (นิตยสารชีวจิต ฉบับ 16 พฤษภาคม 2560)

    เช่น คุณหมอกรกช แนะนำผู้ป่วยหลังผ่าตัดมดลูกไว้อย่างนี้ค่ะ “ตอนแรกให้เดินช้าๆ โดยอาจเริ่มจาก 5-10 นาที จากนั้น ค่อยๆเดินให้เร็วขึ้น เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 3 ให้เดินเร็ว หรือไม่ก็จ็อกกิ้ง

    “ถ้าเบื่อการเดินแล้ว ก็สามารถขยับไปสู่การออกกำลังกายแบบอื่นๆได้ โดยหมอจะแนะนำให้ผู้ป่วย ทำท่าบริหารยืดหน้าท้อง โดยเหยียดแขนไปด้านหลังแล้วแอ่นตัวมาทางด้านหน้า หรือชูแขนแล้วแอ่นตัวมาทางด้านหน้า เพื่อให้หน้าท้องรู้สึกตึง เนื่องจากแผลผ่าตัดบริเวณหน้าท้อง หากไม่มีการยืดเสียบ้าง ผิวหนังจะหด และเพิ่มอาการเจ็บปวด”

    ส่วน ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประเสริฐ บุญเกิด แนะนำให้ “เดิน” โดย ทำทีละน้อยและต่อเนื่อง เริ่มจากเดินแล้วค่อยๆ ขยับไปเดินเร็ว แล้วก็ไปจ้อกกิ่ง สุดท้ายจึงปรับมาเป็นวิ่งและวิ่งมาราธอนในที่สุด ด้วยวิธีนี้ร่างกายจะอยู่ตัว ไม่เกิดอาการบาดเจ็บใด

    หากอายุเยอะ เนื่องจากวัย 40 ปีกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อต่างๆ จะมีความยืดหยุ่นน้อยลง ทั้งก่อนและหลังออกกำลังกาย จึงต้องอบอุ่นร่างกายและยืดเหยียดแขน ขา ทันทีอย่างน้อย 10-15 นาที เพื่อป้องการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อต่างๆ

    ในกรณีที่ใช้ชีวิตในห้องปรับอากาศเป็นประจำ ควรเพิ่มเวลาในการอบอุ่นร่างกายเป็น 20 นาที เพราะการที่ร่างกายอยู่ในห้องอุณหภูมิต่ำนานๆ กล้ามเนื้อจะหดเกร็งง่าย ถ้ายืดเหยียดก่อนและหลังออก  กำลังกายไม่เพียงพอ ย่อมเกิดอาการบาดเจ็บและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น

    “ดื่มน้ำให้เพียงพอ ทั้งก่อนและหลังออกกำลังกาย เพราะในข้อต่อประกอบด้วยของเหลวอย่างคลอลาเจนและน้ำ ถ้าดื่มน้ำไม่พอ ขณะเคลื่อนไหวร่างกายและเกิดแรงกระแทกซ้ำๆ จะทำให้ข้อต่อบาดเจ็บได้ง่าย”

    นอกจากการเดินดังกล่าว ในงาน Happy Life วันนั้น Sporty Nan ชีวจิตกูรูแนะนำ 3 ท่าง่ายๆ เพื่อการเพิ่มกล้ามเนื้อแขน ขา และก้น เพื่อให้การออกกำลังกายแบบแอโรบิกสนุกขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง หรือเต้น จักรยาน แถมยังลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บอีกด้วย

    ท่าดังกล่าว ได้แก่

    1 ท่ากระชับกล้ามเนื้อแขน

    วิธีทำ ยกขวดน้ำ กางแขนขึ้นระดับหัวไหล่ ยกลง ทำ 15 ครั้ง 3 เซ็ต

    หรือจะถอยขาข้างหนึ่งไปข้างหลัง ลักษณะลันจ์ไปพร้อมกับจังหวะยกขวดน้ำด้วยก็ได้

    2 ท่ากระชับกล้ามเนื้อต้นขา

    วิธีทำ ยืนตรง ยกเข่าข้างหนึ่งขึ้นขนานพื้น ใช้มือข้างเดียวกันยื่นออกไปรอแตะเข่า เพื่อให้ได้ระดับที่ต้องการก็ได้ สลับข้าง เริ่มจากทำช้าๆ แล้วค่อยๆ เร็วขึ้น ทำ 15 ครั้ง 3 เซ็ต

    3 ท่าสคว็อทช์บนเก้าอี้

    วิธีทำ ยืนตรง ย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้ โดยให้ก้นสัมผัสปลายที่นั่ง เป็นการสคว็อทซ์ที่ปลอดภัยต่อเข่า ทำ 15 ครั้ง 3 เซ็ต

    ลองเริ่มทำอย่างมีวินัย โดยทำติดต่อกันทุกวัน หรือ 4 ครั้งต่อสัปดาห์ เชื่อว่า ไม่เกิน 2 สัปดาห์ คุณก็จะเริ่มรักและติดการออกกำลังกายแน่นอน และการมีสุขภาพแข็งแรง อีกทั้งยังหุ่นดี ก็อยู่แค่เอื้อมเท่านั้น

    สุดท้าย อย่าลืมนะคะ มีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับสุขภาพ อินบ็อกซ์มาได้ค่ะ บ.ก.ขอหาคำตอบให้

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    เจ็บหน้าอก เช็กซิเป็นโรคอะไร

    HOW TO ออกกำลังกาย เพื่อความสมดุลของฮอร์โมน ลดเสี่ยงมะเร็งเต้านม

    ทำไม วัยทองเสี่ยงโรค หัวใจและหลอดเลือด และโรคกระดูกพรุน

    วิ่งอย่างไร ไม่ให้เจ็บ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    แก้ปวดประจำเดือน

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    การแช่เท้าด้วยยาจีนช่วย แก้ปวดประจำเดือน

    วิธี แก้ปวดประจำเดือน แพทย์แผนจีนมีวิธีมาแนะนำ เท้าพาเราไปทุกหนแห่ง บุกน้ำ ลุยป่าตามแต่ใจเราจะสั่งการ แต่คนส่วนใหญ่มักละเลยไม่ได้ใส่ใจดูแลเท้า

    แพทย์แผนจีนเปรียบเท้าเสมือนหัวใจดวงที่สอง เป็นฐานรากของร่างกายซึ่งเชื่อมกันระหว่างปลายประสาทเท้ากับสมองโดยร่างกายมีเส้นลมปราณทั้งหมด 12 เส้นและมีถึง 6 เส้นที่เชื่อมต่อมายังเท้า คือเส้นลมปราณหยินเท้า 3 เส้น ได้แก่ เส้นสังกัดอวัยวะตับ ม้าม และไต เส้นลมปราณหยางเท้า 3 เส้น ได้แก่ เส้นสังกัดอวัยวะกระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี กระเพาะปัสสาวะ ซึ่งมีจุดฝังเข็มรวมกันทั้งสิ้น 66 จุด

    เราอาจเคยทราบกันมาว่า การแช่เท้าในน้ำอุ่นช่วยให้เท้าเกิดการผ่อนคลายและสามารถป้องกันโรคได้ ชีวจิต จะขอแนะนำการแช่เท้าด้วยยาจีนเพื่อแก้อาการดังนี้

    แก้ปวดประจำเดือน

    – ผู้ที่มีอาการปวดประจำเดือนที่เกิดจากลมปราณติดขัด เลือดไหลเวียนไม่ดี ซึ่งสามารถสังเกตจากประจำเดือนจะมีสีแดงเข้ม มีลิ่มเลือดปนมา จะมีอาการปวดท้องน้อย อารมณ์ฉุนเฉียว หงุดหงิดช่วงก่อนมีประจำเดือน 2 วัน – 1 สัปดาห์ หรือในช่วงมีประจำเดือน 1 – 2 วันแรก

    แนะนำ : ให้แช่เท้าด้วยยาที่มีฤทธิ์ซึมซาบเข้าสู่เส้นลมปราณตับ เช่น อี้หมูฉ่าว(กัญชาเทศ) ฮงฮวา (ดอกคำฝอย) เหมยกุยฮวา (ดอกกุหลาบ)

    – ผู้ที่มีอาการปวดประจำเดือนจากภาวะหยางพร่อง ความเย็นสะสม ซึ่งจะมีอาการปวดท้องน้อย เมื่อประคบร้อนแล้ว จะรู้สึกดีขึ้น มือเท้าเย็น ต้องใช้ยาจีนที่ช่วยเพิ่มความอุ่น ขจัดความเย็น เนื่องจากแพทย์จีนกล่าวว่า ไตเป็นตัวควบคุมพลังงานหยางทั้งร่างกาย

    แนะนำ : ให้แช่เท้าด้วยยาที่มีฤทธิ์ซึมซาบเข้าสู่เส้นลมปราณไต เช่น โร่วกุ้ย (อบเชย) ติงเซียง (กานพลู) เสี่ยวหุยเซียง (เมล็ดยี่หร่า) ตังกุย (โกฐเชียง) กันเจียง (ขิงแห้ง)

    ส้นเท้าแตก

    ควรแช่เท้าด้วยน้ำเกลือผสมน้ำมันมะพร้าว

    รองช้ำ

    ปวดเท้าจากการยืนหรือเดิน ปวดเรื้อรังจากข้อเท้าแพลง ควรแช่เท้าด้วยน้ำฮงฮวา (ดอกคำฝอย)

    แช่เท้า, แก้ปวดประจำเดือน, สมุนไพรจีน, แพทย์แผนจีน, ยาจีน
    แช่เท้าด้วยยาจีน ช่วยแก้ปวดประจำเดือน และป้องกันโรคได้

    หวัดหรือภูมิแพ้ 

    ควรแช่เท้าด้วยน้ำอ๋ายเย่ (โกฐจุฬาลัมพา)

    เราสามารถดูแลเท้าก่อนนอนได้ทุกวัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนเลือด และลมปราณ ปรับการทำงานของอวัยวะภายใน เป็นวิธีดูแลสุขภาพง่ายๆ ที่ไม่ต้องเสียเงินแพงเลยค่ะ

    จาก คอลัมน์หมอจีนประจำบ้าน นิตยสารชีวจิต ฉบับ 438

    ชีวจิต Tips 5 อาหาร แก้ปวดประจำเดือน

    1. กินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต เผือก มัน ฟักทอง ข้าวโอ๊ต ข้าวโอ๊ต มีใยอาหารสูง ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยลดอาการอยากอาหารโดยเฉพาะของหวาน และช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นในช่วงที่มีอาการพีเอ็มเอส
    2. เลือกอาหารวิตามินบีสูง พบในธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต จมูกข้าว เมล็ดทานตะวัน ถั่วต่าง ๆ โดยงานวิจัยจาก The American Journal of Clinical Nutrition พบว่า กินอาหารที่มีวิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 สูงเป็นประจำ ต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ปี ช่วยลดการเกิดอาการพีเอ็มเอสหรืออาการก่อนมีประจำเดือนได้ นอกจากนี้ วิตามินบี 6 ยังจำเป็นต่อการสร้างสารเคมีในสมอง ช่วยควบคุมการทำงานของสารเคมีในสมอง ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์ ความจำและการนอนหลับอีกด้วย
    3. ปรุงด้วยกรดไขมันไลโนเลอิก เลือกน้ำมันปรุงอาหารที่มีกรดไขมันจำเป็น ชนิดไลโนเลอิก (Linoleic acid) เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย ช่วยควบคุมสารพรอสตาแกลนดิน ลดอาการคัดตึงเต้านม บวมตามร่างกาย
    4. กินปลา ถั่ว และผักผลไม้ที่มีกากใยสูง อาหารเหล่านี้มีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ กินในช่วงก่อนมีประจำเดือนช่วยลดอาการไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ได้ เพราะ อาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง เช่น เนย นมไขมันเต็ม อาจมีผลเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเลือด เร่งให้เกิดอาการพีเอ็มเอส ส่วนใยอาหารมีผลช่วยลดระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน
    5. อาหารมังสวิรัติไขมันต่ำ ต้านปวดประจำเดือน โดยการศึกษาจาก วารสาร Obstetrics & Gynecology พบว่า อาหารมังสวิรัติ ไขมันต่ำสามารถช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ โดยช่วยลดปริมาณเอสโตรเจนส่วนเกินในร่างกาย ลดการหลั่งสารพรอสตาแกลนดินบริเวณผนังมดลูกซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวด

    แนะนำให้เน้นอาหารจากพืชที่มีใยอาหารสูง หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์และไขมันจากสัตว์ ใช้น้ำมันพืชแต่น้อย เน้นอาหารประเภทต้ม อบ ตุ๋น นึ่ง ย่าง ยำ  นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า อาหารมังสวิรัติไขมันต่ำยังช่วยลดอาการพีเอ็มเอส อย่างเห็นผล

    ข้อมูลจาก คอลัมน์มื้อสุขภาพ ฉบับ 432


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    ถ่ายเป็นเลือด สัญญาณผิดปกติในลำไส้ใหญ่

    สวยอ่อนเยาว์ ด้วยอาหารเกาหลี

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    อาหารโลว์จีไอ

    โลว์จีไอ สุดยอด อาหารสลายสิว ผิวใสปิ๊ง

    สุดยอด อาหารสลายสิว ผิวใสปิ๊ง

    อาหารสลายสิว สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยระบุถึงสาเหตุการเกิดสิวว่ามีหลายปัจจัย ทั้งฮอร์โมนเพศที่เพิ่มขึ้นในช่วงวัยรุ่น ความเครียด การนวดขัดถูใบหน้าแรง ๆ หรือล้างหน้าด้วยสบู่บ่อยจนเกินไป แม้แต่ยา เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและผมที่ใช้เป็นประจำก็อาจมีสารเคมีที่กระตุ้นให้เกิดสิวได้ทั้งสิ้น

    หากใครหลีกเลี่ยงครบทุกปัจจัยก็ยังไม่วายถูกสิวคุกคามรักษาด้วยยามานานก็ยังเป็นๆ หายๆ อย่าเพิ่งรีบถอดใจลองมาปรับอาหารประจำวัน ให้กลายเป็นอาหารโลว์จีไอที่ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดอาหารรักษาสิวกันค่ะ

    อาหารโลว์จีไอลดสิวใน 12 สัปดาห์

    ค้นคว้ากันมานาน ในที่สุดมหาวิทยาลัยอาร์ เอ็ม ไอ ที (RMIT University) เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ก็พบอาหารที่ช่วยรักษาและลดการเกิดสิวได้ชะงัดภายใน 12 สัปดาห์

    ผลงานนี้ตีพิมพ์ใน วารสาร American Society for Clinical Nutrition โดยเริ่มต้นเฟ้นหาผู้มีปัญหาสิวเรื้อรังติดต่อกันนานกว่า 6 เดือน ได้อาสาสมัครทั้งสิ้น 43 คน อายุ 15 – 25 ปี

    ก่อนเข้าร่วมการทดลอง ผู้วิจัยแนะนำให้อาสาสมัครงดยาและการรักษาที่อาจมีผลต่อสิว เพื่อให้มั่นใจว่าการที่สิวยุบระหว่างการทดลองเป็นผลจากอาหารโลว์จีไอ ไม่ใช่ปัจจัยอื่น

    เมื่ออาสาสมัครผ่านการตรวจนับปริมาณสิวและประเมินความรุนแรง ก่อนเริ่มการทดลองเรียบร้อย ผู้วิจัยก็ลงมือปรุงอาหารโลว์จีไอที่มีสัดส่วนของคาร์โบไฮเดรต 45 เปอร์เซ็นต์ และโปรตีน 25 เปอร์เซ็นต์ให้อาสาสมัครลิ้มลอง พร้อมนัดให้มารับอาหารโลว์จีไอทั้ง 3 มื้อกินเป็นอาหารหลักต่อเนื่องนาน 2 สัปดาห์

    ปรากฏว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยพบว่า อาสาสมัครมีปริมาณสิวเกิดใหม่และการอักเสบของสิวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งมีผลพลอยได้คือน้ำหนักตัวลดลง 2 - 4 กิโลกรัม และมีความไวต่ออินซูลิน (Insulin Sensitivity) เพิ่มขึ้นอีกด้วย

    ความไวต่ออินซูลินที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นสัญญาณที่ดี เพราะบ่งบอกถึงระดับอินซูลินปกติในกระแสเลือด และความสามารถในการลำเลียงน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงช่วยลดปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิว

    ไม่เพียงเท่านี้ สมาคมนักกำหนดอาหารแห่งสหราชอาณาจักร (The Association of UK Dietitians) ยังตั้งข้อสังเกตว่า อาหารโลว์จีไอ มีผลช่วยลดอาการสิวเห่อ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome) ได้อีกด้วย

    ความผิดปกตินี้มักพบในสตรีวัยเจริญพันธุ์ที่มีฮอร์โมนเพศชายชื่อว่าแอนโดรเจน (Androgen) สูง ร่วมกับภาวะไม่ตกไข่เรื้อรัง

    รู้จักอาหารโลว์จีไอ

    อาหารโลว์จีไอ ย่อมาจาก อาหารโลว์ไกลซีมิกอินเด็กซ์หรืออาหารดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low Glycemic Index) ช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมระดับอินซูลินให้เป็นปกติ จึงลดปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิว เช่น การเจริญผิดปกติบริเวณเยื่อบุผิว และการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันเพิ่มขึ้นได้

    น้ำตาลกลูโคสมีค่าดัชนีน้ำตาลสูงที่สุดคือ 100  รองลงมาคืออาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลตั้งแต่ 70 ขึ้นไป จัดเป็นอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง ได้แก่ ขนมปังขาว ข้าวขัดขาว มันฝรั่ง บิสกิต และธัญพืชที่ผ่านการแปรรูป เช่น คอร์นเฟลกส์ (Conflakes) หรือข้าวพองซีเรียล (Rice Krispies)

    ส่วนอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำคือ มีค่าดัชนีน้ำตาลเท่ากับหรือน้อยกว่า 55 แนะนำให้กินเป็นประจำเพื่อลดการอักเสบและการเกิดสิวใหม่ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ขนมปังผสมธัญพืช ถั่วต่าง ๆ แอ๊ปเปิ้ล นมถั่วเหลือง โยเกิร์ต

    5 กฎเหล็กอาหารโลว์จีไอ

    อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำช่วยลดสิว มีให้เลือกกินหลากหลายเพียงรู้จักวิธีสังเกต ซึ่งมีรวบรวมไว้ในหนังสือ Functional Foods, Cardiovascular Disease and Diabetes ดังนี้

    1. ผ่านการแปรรูปน้อย เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ผ่านการขัดสีน้อยและมีใยอาหารสูง จึงมีดัชนีน้ำตาลต่ำกว่าข้าวขาวและขนมปังขาว

    2. มีปริมาณใยอาหารสูง ใยอาหารทำหน้าที่เป็นแผ่นกั้นบาง ๆ ในลำไส้เล็ก ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล โดยผักและผลไม้มีใยอาหารสูงที่แนะนำให้กินสลับหมุนเวียน ได้แก่ บวบ ขึ้นฉ่าย บรอกโคลี กะหล่ำปลี หัวหอม มะเขือเทศ แครอต แตงกวา ผักใบสีเขียวเข้ม เช่น ผักคะน้า ผักโขม ส่วนผลไม้ก็มีแอ๊ปเปิ้ล ส้ม ลูกแพร์ สตรอว์เบอร์รี่ เป็นต้น

    3. เลือกผลไม้ดิบ ผลไม้ดิบมีปริมาณน้ำตาลต่ำกว่าผลไม้สุก สังเกตจากมะม่วงและฝรั่งผลดิบจะหวานน้อยกว่าผลสุก ฉะนั้นควรเลือกกินผลไม้ดิบซึ่งมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำกว่า โดยเฉพาะช่วงที่เกิดสิว

    4. กินผลไม้ดีกว่าดื่มน้ำผลไม้ เพราะการกินผลไม้ทั้งผลมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำกว่าน้ำคั้นจากผลไม้ ตัวอย่างเช่น ส้มเขียวหวาน 2 ผลให้พลังงานเท่ากับน้ำส้มคั้นครึ่งแก้ว แต่มีใยอาหารสูง ทำให้น้ำตาลจากผลไม้ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ช้ากว่าน้ำผลไม้ที่ปราศจากใยอาหาร

    5. มีไขมันดีสูง น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอกและถั่วเมล็ดแห้ง เช่น เม็ดมะม่วงหิมพานต์ อัลมอนด์ วอลนัทล้วนอุดมด้วยไขมันดี มีส่วนช่วยขัดขวางการเปลี่ยนรูปคาร์โบไฮเดรตเป็นน้ำตาล ทำให้น้ำตาลดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดช้าลง

    ทั้งมีส่วนประกอบของกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (Monounsaturated Fatty Acid) สูง ซึ่งมีรายงานยืนยันจาก American Journal of Clinical Nutrition ว่า สามารถต้านการอักเสบและช่วยสนับสนุนให้การรักษาสิวมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    อาหารเรียกสิว True or False

    True : นมวัว คืออาหารที่ Journal of the American Academy of Dermatology รายงานว่าเป็นตัวการก่อสิว โดยเก็บข้อมูลจากนักเรียนหญิงชั้นมัธยมปลาย 47,355 คน เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างอาหารที่กินประจำวันกับการเกิดสิว พบว่า นมวัว ทั้งชนิดไขมันเต็มและพร่องมันเนยมีความสัมพันธ์กับการเกิดสิวในวัยรุ่น จากผลการทดลองนักวิจัยตั้งสมมุติฐานว่า ฮอร์โมนและโมเลกุลออกฤทธิ์ทางชีวภาพในนมวัวอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดสิว

    False : ช็อกโกแลต ไม่ก่อให้เกิดสิว ยืนยันโดย The Journal of the American Medical Association ศึกษาในผู้ที่มีปัญหาสิวระดับปานกลางจำนวน 65 คน โดยทดลองให้กลุ่มแรกกินขนมที่มีช็อกโกแลตเป็นส่วนประกอบมากถึง 10 เท่าของขนมปกติ อีกกลุ่มกินขนมที่ไม่มีส่วนประกอบของช็อกโกแลต โดยนับปริมาณสิวบนใบหน้าก่อนและหลังการทดลอง พบว่า ไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้ที่กินและไม่กินขนมผสมช็อกโกแลต

    นอกจากนี้ยังทดลองให้ผู้ที่ไม่มีสิวกินช็อกโกแลตทุกวันนาน 1 เดือน ผลปรากฏว่าไม่พบการเกิดสิวเลย

    ปรับ 7 กิจวัตรหน้าใสไกลสิว

    กินอาหารลดสิวอย่างเดียวอาจยังไม่พอ ควรรู้จักวิธีกินและปรับกิจวัตรประจำวันให้เหมาะสมร่วมด้วย เพื่อเป็นต้นทุนให้ร่างกายเดินหน้ารักษาสิวได้อย่างเต็มประสิทธิภาพค่ะ

    1. กินน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอาหารบางชนิดที่มีผลต่อการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างรวดเร็ว หากกินปริมาณมากในคราวเดียว ร่างกายจะหลั่งอินซูลินออกมาในปริมาณมากกระตุ้นให้สิวก่อตัวอย่างรวดเร็ว ขอแนะนำให้กินอาหารมื้อหลักที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ โดยลดอาหารประเภทข้าว แป้ง และกระจายอาหารส่วนที่ลดมาเป็นมื้อว่างระหว่างวันแทน

    2. กินปลาทะเลสัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง หรือเสริมน้ำมันปลาวารสาร Lipids in Health and Disease แนะนำให้อาสาสมัครที่เป็นสิวอักเสบเรื้อรังกินน้ำมันปลาวันละ 3 กรัม ซึ่งมีกรดไขมันโอเมก้า - 3 ชนิดอีพีเอ (EPA) 930 มิลลิกรัม เสริมจากอาหารปกตินาน 12 สัปดาห์ หลังวิเคราะห์ข้อมูลความรุนแรงของสิวก่อนและหลังกินน้ำมันปลา พบว่ามีอาสาสมัครถึงร้อยละ 62 ที่มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นักวิจัยสรุปว่า น้ำมันปลาสามารถช่วยลดสิวอักเสบและความรุนแรงของสิวโดยรวม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาสิวปานกลางถึงรุนแรง

    3. ดื่มน้ำเพียงพอ เพื่อกำจัดสารพิษตกค้าง เติมความชุ่มชื่นและป้องกันผิวแห้งซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของสิวอุดตัน อาจารย์สาทิส  อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต แนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 6 แก้ว ร่วมกับกินอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ ทั้งน้ำซุป น้ำแกง ที่อุดมไปด้วยสารอาหารจากพืชผักสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ

    4. นอนหลับเต็มอิ่ม วารสาร Sleep เปิดเผยว่า การนอนดึกหรือนอนไม่เพียงพอเพียง 1 ชั่วโมง เพิ่มความเครียดมากถึงร้อยละ 14 และทำให้เกิดสิวตามมา

    จำนวนชั่วโมงการนอนที่เหมาะสมนั้น อาจารย์สาทิสเน้นว่าไม่มีตัวเลขที่ตายตัว เพราะร่างกายแต่ละคนต้องการเวลานอนหลับที่เต็มอิ่มแตกต่างกัน หากรู้สึกว่าตื่นมามีแรงสดชื่น และสมองแจ่มใส หลับนาน 5 - 6 ชั่วโมงหรืออย่างมากที่สุด 8 ชั่วโมงก็นับว่าเพียงพอ

    5. ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 – 5 ครั้ง ช่วยลดความเครียดทั้งเพิ่มระบบไหลเวียนเลือดออกซิเจน และสารอาหารต่าง ๆ สามารถลำเลียงไปยังเซลล์ผิวมากขึ้น นอกจากนี้หลังออกกำลังกายควรล้างหน้าและอาบน้ำให้สะอาด เพราะเหงื่ออาจก่อให้เกิดสิวได้

    ออกกำลังกาย, ผิวสุขภาพดี, อาหารสลายสิว, ลดสิว, ป้องกันสิว
    ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี

    6. ทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกแดด อาการอักเสบจากผิวไหม้แดดอาจทำให้เกิดสิวและจุดด่างดำ ควรทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกแดด 20 นาที เลือกผลิตภัณฑ์ที่มี SPF 15 ขึ้นไป และสังเกตข้อความบนฉลากว่า “Non-comedogenic” ซึ่งหมายถึงผลิตภัณฑ์นี้ปราศจากสารที่ก่อให้เกิดสิวอุดตัน

    7. พิถีพิถันเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม เพราะหลายผลิตภัณฑ์ทั้งแชมพู ครีมนวดผม เจลครีม สเปรย์จัดแต่งทรงผมล้วนทำให้ผิวหน้าระคายเคืองจนเป็นสาเหตุของการเกิดสิว แนะนำให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำมัน (Oil Free) และควรสระผมก่อนล้างหน้าทุกครั้ง

    ปรับอาหารวันละนิด เปลี่ยนกิจวัตรวันละน้อย ไม่นานเกินรอ สิวจะค่อยๆ ลดลง ผิวหน้าเรียบเนียน พร้อมสุขภาพที่ดีขึ้น

    จาก คอลัมน์มื้อสุขภาพ  นิตยสารชีวจิตฉบับ 403 (16 กรกฏาคม 2558)


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    ถ่ายเป็นเลือด สัญญาณผิดปกติในลำไส้ใหญ่

    สวยอ่อนเยาว์ ด้วยอาหารเกาหลี

    ตามรอย นมหมัก อาหารอุดมโพรไบโอติก

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    นมหมัก

    ตามรอย นมหมัก อาหารอุดมโพรไบโอติก

    ตะวันตกเป็นดินแดนแห่ง นม เนย นมหมัก อาหารอุดมโพรไบโอติก

    อาหารอุดมโพรไบโอติก ส่วนใหญ่จึงมาจากผลิตภัณฑ์นม ดังที่เราจะเห็นว่ามี นมหมัก เป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารพื้นเมืองของหลาย ๆ ประเทศทางตะวันตก จนเมื่อปี ค.ศ. 1857 หลุยส์ ปาสเตอร์ ได้พบว่า แบคทีเรียเป็นสาเหตุให้นมเปรี้ยว ต่อมาจึงได้มีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับจุลินทรีย์ในอาหารกันอย่างกว้างขวาง

    กระบวนการเกิดนมหมัก

    กระบวนการเกิดนมหมัก ที่ให้รสชาติเปรี้ยวเกิดจากการแบ่งชั้นตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่านกรรมวิธีพาสเจอไรซ์หรือผ่านการแช่เย็น ที่เป็นเช่นนี้เพราะระหว่างการหมัก แล็กโทสในนมจะผลิตเชื้อแบคทีเรียแล็กติกออกมา ซึ่งจะทำให้นมแบ่งชั้นออกเป็นน้ำตาล (แล็กโทส) และโปรตีน (เคซีน) และเมื่อแบคทีเรียเหล่านี้ผลิตแล็กโทสในปริมาณเพียงพอที่จะชะลอการเน่าของแบคทีเรียทุกชนิดแล้ว นมจะกลายเป็นผลิตภัณฑ์หมักที่สามารถเก็บได้หลายวันหรือหลายสัปดาห์

    โยเกิร์ต เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หมักจากนมที่หลายคนคุ้นเคยกันดี โยเกิร์ต มีต้นกำเนิดมาจากประเทศบัลแกเรีย การทำโยเกิร์ตเริ่มจากอุ่นนมให้ร้อนก่อนแล้วจึงใส่เชื้อจุลินทรีย์เข้าไป ซึ่งจะมีกรรมวิธีที่ไม่เหมือนการหมักนมเปรี้ยว

    ในประเทศรัสเซียมีเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากเรียกว่า คีเฟอร์ คีเฟอร์เป็นเครื่องดื่มที่เกิดจากการหมักนมวัว นมแพะ หรือนมแกะ มีลักษณะเป็นฟอง และบางทีอาจมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ด้วย

    เครื่องดื่มจากนมอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมในแถบรัสเซียตะวันออกคือ คูมิส ซึ่งทำมาจากนมม้า ส่วนประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียจะหมักนมในถังบาร์เรล เรียกว่า ลองฟิล ซึ่งสามารถเก็บไว้ได้นานเป็นเดือน ชาวนอร์เวย์ทำลองฟิลออกมาในหลายรปู แบบเรียกว่า “Kjaeldermelk” ซึ่งเกิดจากการหมักอย่างดีในห้องใต้ดิน ในประเทศตะวันออกกลางเองก็มักนำนมไปหมักในบรรจุภัณฑ์พิเศษเรียกว่า
    ลาเบน (Laban)

    ในประเทศอินเดียมีการนำนมวัวหรือนมควายมาหมักให้เป็นโยเกิร์ตเรียกว่า ดาฮี (Dahi) ที่นิยมกินกันในทุกมื้ออาหาร ชนเผ่ามาไซในทวีปแอฟริกาก็นิยมกินผลิตภัณฑ์จากนมที่ผ่านการหมักแล้วเป็นอาหารหลักเช่นกัน

    ในยุโรปก็มีการนำผลิตภัณฑ์จากนมหมักมาใช้ในอาหารอย่างแพร่หลาย เช่น ซาวร์ครีมอย่าง “Crème Fraîche” ก็เป็นวัตถุดิบอีกชนิดหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำซุปและซอส เนยชนิดหมักที่ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยในประเทศฝรั่งเศสและประเทศเยอรมนีก็ทำมาจากการตีครีมหมักชนิดนี้ เนยชนิดนี้ไม่จำเป็นต้องใส่เกลือเพิ่ม และด้วยความที่ตัว Crème Fraîche มีเอนไซม์สูงจึงทำให้ร่างกายสามารถย่อยได้ง่าย

    ส่วนครีมชีสและคอทเทจชีสนั้น ได้จากการหมักนมเป็นเวลาหลายวันจนเห็นก้อนน้ำนมสีขาวหรือเคซีนแยกชั้นออกมาจากเวย์โปรตีน เมื่อมีการเพิ่มปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ลงในครีมชีสแล้วก็จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการหมักอีกครั้งทำให้ได้ชีสชนิดต่าง ๆ นักทำชีสในปัจจุบันมองว่าเวย์เป็นของเสียส่วนเกิน แต่ในสมัยก่อนเวย์ถูกนำมาใช้ในการผลิตอาหารและเครื่องดื่มหมักหลาย ๆ ประเภท

    การหมักนมทำให้เกิดสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย หนึ่งในนั้นคือเคซีน ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบได้ในน้ำนมเท่านั้น และเป็นโปรตีนชนิดที่ร่างกายสามารถย่อยออกมาใช้งานได้ยาก นอกจากนั้นการหมักนมยังเป็นการรักษาเอนไซม์หลาย ๆ ชนิดที่มีประโยชน์ไว้ ซึ่งถ้าผ่านขั้นตอนการผลิตก็มักจะถูกทำลายในขั้นตอนการพาสเจอไรซ์ ไม่ว่าจะเป็นเอนไซม์แล็กเทสที่ช่วยย่อยน้ำตาลแล็กโทสในนม หรือเอนไซม์ประเภทอื่น ๆ ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและแร่ธาตุต่าง ๆ เอนไซม์แล็กเทสจะถูกผลิตออกมาในขั้นตอนการหมักนมเท่านั้น จึงเหมาะกับผู้ที่แพ้นมสด นอกจากนั้นนมที่ผ่านการหมักแล้วจะมีปริมาณวิตามินบีและวิตามินซีเพิ่มขึ้นด้วย

    ประโยชน์ของนมหมัก

    จากงานวิจัยพบว่าการกินผลิตภัณฑ์นมหมัก สามารถลดปริมาณคอเลสเตอรอลและช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ ยิ่งไปกว่านั้น
    ผลิตภัณฑ์นมหมักยังมีแบคทีเรียโพรไบโอติกที่มีประโยชน์มากมาย รวมไปถึงกรดแล็กติก ซึ่งช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร

    แบคทีเรียเหล่านี้ ยังช่วยยับยั้งการทำงานของจุลินทรีย์ก่อโรค (Pathogens) จึงช่วยป้องกันโรคติดเชื้อต่าง ๆ และช่วยให้ระบบย่อยอาหารของร่างกายสามารถย่อยอาหารที่เรากินเข้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    นี่อาจเป็นสาเหตุที่คนพื้นเมืองในประเทศแถบตะวันตกหลาย ๆ ประเทศ เลือกกินผลิตภัณฑ์นมหมักเพื่อสุขภาพ และพวกเขามักนิยมให้คนชราไปจนถึงแม่ที่กำลังให้นมลูกกินผลิตภัณฑ์นมหมักเช่นกัน

    ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่มีเครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการช่วยผลิตอาหารหมักเหล่านี้ แต่เขาก็ยังเลือกกินอาหารหมักต่าง ๆ
    ด้วยความเชื่อที่ว่าเครื่องดื่มหมักหรือผักดองช่วยป้องกันโรคติดต่อต่าง ๆ ได้

    เรื่อง นพวรรณ มีชูคุณ ภาพ iStock เขียนลงเว็บ เนื้อทอง ทรงสละบุญ

    ชีวจิต 474

    นิตยสารรายปักษ์ ปีที่ 20 1 กรกฎาคม 2561

    ชีวจิต Tips Soy Milk Yoghurt โยเกิร์ต สูตรสุขภาพที่เหมาะสำหรับคนที่แพ้นมวัว

    สงสัยไหมคะว่า นมถั่วเหลืองจะทำโยเกิร์ตได้อย่างไร ขอบอกว่า เคล็ดลับคือน้ำหมักข้าวกล้อง ที่กำลังเป็นที่นิยมทั้งในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ด้วยประโยชน์ดีต่อสุขภาพทั้งช่วยต้านอนุมูลอิสระ ฟื้นฟูและปรับสมดุลร่างกาย

    เมกุมิ คิฮาตะ เจ้าของสูตรนี้เเธอเพียรทดลองอยู่หลายครั้งจนสำเร็จได้น้ำหมักข้าวกล้องนำมาเป็นหัวเชื้อจุลินทรีย์ดีทำโยเกิร์ตนมถั่วเหลืองได้ถูกใจเธอในที่สุด และจะมีในสูตรที่จะนำมาฝากในวันนี้ด้วยค่ะ

    สูตร Soy Milk Yoghurt

    ส่วนผสม

    • น้ำนมถั่วเหลืองจืด 250 มิลลิลิตร
    • น้ำหมักข้าวกล้อง 50 มิลลิลิตร

    วิธีทำ

    ทำความสะอาดภาชนะด้วยวิธีข้างต้น คีบโหลออกมาไม่ต้องเช็ดแล้วใส่น้ำนมถั่วเหลือง น้ำหมักข้าวกล้องลงผสม ปิดฝา วางไว้ที่อุณหภูมิห้อง 3 – 4 วัน เมื่อนมถั่วเหลืองเริ่มจับตัว แยกชั้น ให้เทน้ำออก กรองเอาแต่เนื้อโยเกิร์ตมาปั่นให้เนียน แช่เย็น ตักเสิร์ฟพร้อมผลไม้ มูสลี่ น้ำผึ้ง และถั่วตามชอบ หรือจะนำมาปั่นผสมกับน้ำส้มในอัตราส่วนที่เท่ากัน ก็จะได้นมเปรี้ยวรสผลไม้ไว้ดื่ม

    พลังงานต่อหนึ่งหน่วยบริโภค 197.42 กิโลแคลอรี
    โปรตีน 7.72 กรัม ไขมัน 8.23 กรัม
    คาร์โบไฮเดรต 23.76 กรัม ไฟเบอร์ 0.27 กรัม

    สูตร น้ำหมักข้าวกล้อง

    ส่วนผสม (สำหรับ 600 มิลลิลิตร)

    • ข้าวกล้อง 2/3 ถ้วย
    • น้ำสะอาด 400 – 500 มิลลิลิตร
    • น้ำตาลทรายแดง 15 กรัม
    • เกลือ 1/8 ช้อนชา
    • โหลแก้วมีฝาปิด 1 ใบ

    วิธีทำ

    เริ่มจากต้มโหล ฝา และช้อนสำหรับคนในน้ำเดือดประมาณ 5 นาทีเพื่อฆ่าเชื้อ จากนั้นซาวข้าว 1 ครั้ง เทใส่โหลโดยไม่ต้องเช็ดโหลให้แห้ง ใส่น้ำตาล เกลือ และน้ำสะอาด ใช้ช้อนคนให้เข้ากัน ปิดฝา ตั้งไว้ที่อุณหภูมิห้องหรือตากแดดไว้ประมาณ 3 วัน จะสังเกตเห็นฟองขึ้นมาให้ลองเปิดดม ถ้ากลิ่นเหมือนของหมักดองแปลว่าใช้ได้แต่ถ้ากลิ่นเหม็นเน่าแสดงว่าเสีย ซึ่งอาจเกิดจากภาชนะไม่สะอาดพอ เมื่อได้ที่แล้วให้เก็บโหลไว้ในตู้เย็นเพื่อชะลอการเติบโตของจุลินทรีย์ และหมั่นนำออกมาคลายฝาเพื่อระบายก๊าซออก

    Tips :

    • ข้าวกล้องจะให้กลิ่นและรสที่ดีกว่าข้าวขาว
    • ควรใช้นมถั่วเหลืองทำเอง หรือยี่ห้อที่ทำสดใหม่ไม่มีส่วนผสมของวิตามิน แคลเซียม และน้ำตาล เพราะจะทำให้โยเกิร์ตไม่เซตตัวและได้ปริมาณน้อย
    • รสชาติและกลิ่นขึ้นอยู่กับระยะเวลาการหมักน้ำหมักก่อนและหลังนำมาผสมกับนมถั่วเหลือง ควรทดลองและจดบันทึกรสชาติที่ชอบตามวันที่เก็บ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วย หากอากาศร้อน จุลินทรีย์จะโตเร็วทำให้โยเกริต์เปรี้ยวเร็วขึ้นซึ่งเมื่อได้ที่แล้วให้เก็บในตู้เย็นชะลอการโตของจุลินทรีย์ได้
    • โยเกิร์ตที่นำออกมาปั่นแล้วแช่เย็นเก็บไว้ได้ 3 วัน
    • หากนำโยเกิร์ตที่ได้มาผสมกับเกลือและน้ำมันจะได้มายองเนสสูตรสุขภาพ
    • น้ำหมักที่เก็บไว้เกินหนึ่งเดือนจะมีความเข้มข้นสูงและมีกลิ่นแรง สามารถเก็บไว้ทำน้ำจุลินทรีย์ทำความสะอาดบ้านได้
    • หากหมักน้ำในขวดพลาสติก ต้องหมั่นคลายเกลียวฝาเพื่อระบายก๊าซออก ป้องกันขวดระเบิด

    สูตร : เมกุมิ คิฮาตะ (Megumi Kihata) 

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    ถ่ายเป็นเลือด สัญญาณผิดปกติในลำไส้ใหญ่

    สวยอ่อนเยาว์ ด้วยอาหารเกาหลี

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ตับ

    ตับ ของเราป่วยด้วยอาการใดได้บ้าง

    ตับ ของเราป่วยด้วยอาการใดได้บ้าง

    แม้ ตับ จะเป็นอวัยวะมหัศจรรย์สักแค่ไหน แต่ตับก็ป่วยได้เช่นกัน โดยสาเหตุของการป่วยมีทั้งจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของมนุษย์ที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการป่วย และเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ทั้งนี้อาการป่วยยอดฮิตที่สามารถเกิดกับตับได้มีดังนี้

    ไขมันพอกตับ

    ไขมันพอกตับ (Non – alcoholic Fatty Liver Disease) เรียกอีกชื่อว่า ไขมันเกาะตับ ไขมันคั่งในตับ หรือไขมันจุกตับ แล้วแต่จะเรียก ความหายคือ ภาวะที่มีไขมัน โดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) เข้าไปสะสมอยู่ในตับมากกว่าปกติ (โดยไม่ได้มีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์) โดยปกติแล้วตับของเราจะมีไขมันน้อยกว่าร้อยละ 5 หากมากกว่านั้นถือว่า “เริ่มมีภาวะไขมันพอกตับ” อาจแบ่งระดับไขมันพอกตับได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้

    ระดับที่1 หากมีไขมันในตับมากกว่าร้อยละ 5 ถึงประมาณ 1 ใน 3 ของตับทั้งหมด เรียกว่าไขมันพอกตับน้อย

    ระดับที่2 หากมีไขมันพอกตับตั้งแต่ 1 ใน 3 ถึง 2 ใน 3 เรียกว่า ไขมันพอกตับปานกลาง

    ระดับที่3 หากมีไขมันสะสมในตับมากกว่า 2 ใน 3 เรียกว่า ไขมันพอกตับมาก

    ไขมันพอกตับเป็นโรคที่พบได้ในกลุ่มคนทุกเพศ ทุกวัย ยิ่งผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไปก็ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยมักพบประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรวัย 35 ปีขึ้นไป โรคไขมันพอกตับจึงถือเป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในบรรดาโรคตับทั้งหมด โดยผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคไขมันพอกตับมากที่สุดคือ ผู้ที่เป็นโรคอ้วน

    จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกรายงานว่า พ.ศ.2557 ทั่วโลกมีประชากรที่น้ำหนักเกินประมาณ 1,900 ล้านคน และในจำนวนนี้กว่า 600 ล้านคนเป็นโรคอ้วน ขณะที่ประเทศไทย กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข รายงานว่า เมื่อ พ.ศ.2556 มีผู้เป็นโรคอ้วนถึง 16 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 26 ของคนไทยทั้งประเทศ โดยอาจกล่าวได้ว่า ผู้ป่วยโรคอ้วนแทบทุกคนมักมีภาวะไขมันพอกตับแทบทั้งสิ้น (แม้ไม่อ้วนก็อาจพบได้)

    ทั้งนี้โรคไขมันพอกตับนับเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดโรคตับอักเสบ จนอาจลุกลามไปสู่โรคตับแข็งและมะเร็งตับในที่สุด ไขมันพอกตับจึงเป็นโรคสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

    ภาวะไขมันพอกตับอาจแบ่งระยะการดำเนินโรคได้เป็น 4 ระยะ ได้แก่

    ระยะที่หนึ่ง เป็นระยะมีไขมันก่อตัวอยู่ในเนื้อตับ ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดผลใดๆ กล่าวคือ ไม่มีการอักเสบหรือพังผืดเกิดขึ้นในตับ

    ระยะที่สอง เริ่มมีอาการอักเสบของตับ หากปล่อยให้การอักเสบดำเนินไปเรื่อยๆ นานเข้าอาจกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง

    ระยะที่สาม เกิดการอักเสบรุนแรง เซลล์ตับค่อยๆ ถูกทำลายลง กลายเป็นพังผิดในตับ

    ระยะที่สี่ เซลล์ตับถูกทำลายไปมากจนตับไม่อาจทำงานได้ตามปกติอีกต่อไป กลายเป็นตับแข็ง และอาจลุกลามกลายเป็นมะเร็งตับได้

    ทั้งนี้การอักเสบของตับนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณของไขมันที่มาเกาะตับว่ามากหรือน้อยอย่างเดียวเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับลักษณะทานพันธุกรรมของแต่ละคน บางคนที่มีไขมันเกาะตับมาก แต่ร่างกายมีกระบวนการต้านการอักเสบได้ดี ก็อาจไม่ก่อให้เกิดการอักเสบก็เป็นได้ ขณะที่อีกคนหนึ่งมีไขมันเกาะตับไม่มาก แต่ร่างกายมีกระบวนการต้านการอักเสบไม่ค่อยดี ก็อาจส่งผลให้เกิดตับอักเสบได้ นอกจากนี้ยังมีเหตุปัจจัยอื่นๆ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และการใช้ยาหลายชนิดที่ช่วยส่งเสริมให้โรครุนแรงมากขึ้น

    ตับ ตับอักเสบ ตับแข็ง โรคตับ ไขมันพอกตับ มะเร็งตับ ตับอ่อน

    สาเหตุของโรค

    ส่วนใหญ่มักเกิดจากการรับประทานมากเกินความจำเป็น โดยเฉพาะการรับประทานของมัน ของทอด และของหวาน ซึ่งเป็นอาหารประเภทที่ให้พลังงานสูง ร่วมกับการไม่ออกกำลังกาย ตับซึ่งมีหน้าที่สำคัญคือ เก็บพลังงานสำรองไว้ใช้ยามจำเป็นก็จะทำหน้าที่เก็บพลังงานเหล่านั้นในรูปของไขมัน เมื่อสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จากตับที่มีสีแดงเรื่อๆ ก็กลายเป็น “สีเหลือง” แทน เพราะมีไขมันพอกเต็มไปทั่ว โดยไขมันไม่ได้พอกที่ตับเพียงเท่านั้น หากผ่าท้องผู้ป่วยที่อ้วนลงพุดจะพบว่า ไขมันได้พอกอวัยวะอื่นๆ ด้วย

    นอกจากนี้ “การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว” และภาวะพุงโภชนาการ” ก็ทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับได้เช่นกัน

    ภาวะตับอักเสบจากการใช้ยา

    แม้ว่ายาจะมีคุณประโยชน์ที่ช่วยบรรเทาอาการป่วยของเราได้ แต่การใช้ยาที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม ใช้ยาเกินความจำเป็น หรือใช้ยาพร่ำเพรื่อนับเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตับอักเสบได้ ไม่ว่าจะเป็นยาแผนปัจจุบัน ยาสมุนไพร หรือวิตามิน เพราะยาทุกชนิดถือเป็นสารเคมีทั้งสิ้น และต้องผ่านกระบวนการต่างๆ ดูดซึมและสลายที่ตับทั้งหมด

    พ.ศ.2560 กระทรวงสาธารณสุขเผยข้อมูลว่า ประเทศไทยมีการใช้ยามูลค่าสูงถึง 1.4 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการใช้ยาเกินความจำเป็นถึง 2,370 ล้านบาท ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อดื้อยาถึง 88,000 คน และเสียชีวิตจากเชื้อดื้อยามากถึง 38,000 คน นับเป็นอัตราที่สูงมาก

    ด้วยอัตราที่สูงเช่นนี้แสดงให้เห็นว่า ภาวะตับอักเสบจากการใช้ยาเป็นต้นเหตุของโรคตับที่ไม่ควรมองข้าม ไม่เพียงเท่านั้น ภาวะตับอักเสบจากการใช้ยาอาจลุกลามไปสู่มะเร็งตับได้

    หลายคนอาจสงสัยว่า ยาจะเข้าไปทำร้ายตับได้อย่างไร จริงๆ แล้วยาสามารถทำร้ายตับได้ 2 ลักษณะ ดังนี้

    ยาชนิดนั้นมีพิษกับตับโดยตรง

    กรณีนี้หากรับประทานมากก็จะได้รับพิษมาก หลายคนอาจคิดว่ายาเหล่านี้เป็นเรื่องไกลตัว แต่จริงๆ แล้วหนึ่งในยาที่เป็นพิษต่อตับคือยาสามัญประจำบ้านที่เรารู้จักกันดี นั่นคือ “พาราเซตามอล”

    ตามปกติแล้วตับจะทำหน้าที่สลายฤทธิ์ของยาพาราเซตามอล โดยขั้นตอนการสลายนี้เองจะเกิดสารที่เป็นพิษต่อตับประมาณร้อยละ 5 ของตัวยา โดยสารชนิดนี้เป็นอนุมูลอิสระ (Oxidant) ที่ร้ายแรงมาก ทำให้ตับอักเสบได้ ขณะเดียวกันถ้าตับของเราแข็งแรงเป็นปกติก็จะส่งสารต้านอนุมูลอิสระมาทำลายสารชนิดนี้ได้ทันท่วงที แต่ถ้าตับป่วยทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จากเดิมที่สารพิษมีอยู่เพียงร้อยละ 5 ก็จะเพิ่มปริมาณมากขึ้น ขณะเดียวกันสารต้านอนุมูลอิสระก็มีไม่มากพอ จึงเท่ากับว่าเพิ่มความเสี่ยงการเป็นตับอักเสบถึง 2 ทาง

    นอกจากยาพาราเซตามอลแล้ว แม้แต่สมุนไพรพื้นบ้านบางอย่าง เช่น ใบขี้เหล็กดิบ ลูกใต้ใบ ชุมเห็ดเทศ บอระเพ็ด รวมทั้งไคร้เครือ (ค้นพบล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2560) ก็พบว่ามีฤทธิ์ทำลายเซลล์ตับทำให้เกิดการอักเสบของตับได้เช่นกัน

    ทำไมไม่ให้รับประทานพาราเซตามอลนาน ๆ

    สาเหตุที่แพทย์แนะนำให้รับประทานยาพาราเซตามอลไม่เกินครั้งละ 500-600 มิลลิกรัม และขนาดยาสูงสุดต่อวันคือไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม และไม่ควรรับประทานติดต่อกันเกิน 5 วัน เป็นเพราะ 2 สาเหตุดังนี้

    การที่เรารับประทานยาพาราเซตามอลติดต่อกันนานเกิน 3-5 วันแล้วไข้ไม่ลด อาการปวดไม่หายนั่นแปลว่าโรคที่เป็นต้นเหตุของการป่วยจริงๆ ยังไม่ได้รับการรักษา ถ้าเรารอช้าไปอาจจะสายเกินไป จึงควรหยุดรับประทานยาแล้วมาพบแพทย์

    ยาพาราเซตามอลนอกจากจะมีผลต่อตับแล้ว ยังมีผลต่ออวัยวะสำคัญอื่นๆ อีกด้วย เช่น กระพาะอาหารที่เดิมมักเชื่อกันว่า ยาพาราเซตามอลไม่กัดกระเพาะ แต่จริงๆ แล้วกลับกัดกระเพาะได้ นอกจากนี้ยังส่งผลเสียต่อไตด้วย เป็นต้น

    นอกจากนี้ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำยังมีความเสี่ยงต่อยาพาราเซตามอลเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยคนธรรมดาอาจจะต้องรับประทานยาประมาณ 8-10 เม็ดต่อวันจึงจะเกิดพิษต่อตับ แต่สำหรับผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำอาจรับประทานยาพาราเซตามอลเพียง 5 เม็ดก็เกิดพิษได้แล้ว เนื่องจากแอลกอฮอล์จะเข้าไปเพิ่มกระบวนการสลายแอลกอฮอล์ในทางที่ทำให้เกิดสารพิษมากขึ้น ขณะเดียวกันแอลกอฮอล์ก็จะทำให้สารแอนติออกซิแดนต์ลดลงไปด้วย

    เมื่อมาทางผิดและไม่มีทางแก้ก็ยิ่งทำให้ตับถูกทำลายมากขึ้น

    ผลข้างเคียงจากการแพ้ยา

    กรณีนี้จะส่งผลกระทบต่อตับอย่างมาก เพราะเราไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าจะเกิดอาการแพ้ยาขึ้นเมื่อใด หลายคนอาจบอกว่าตนเองไม่เคยมีประวัติการแพ้ยา แต่รู้ไหมว่าเรามีโอกาสแพ้ยาได้ทุกเมื่อ แม้ว่ายาชนิดนั้นเราจะรับประทานมานานแค่ไหนก็ตาม เนื่องจากยาเป็นโมเลกุลขนาดเล็ก เมื่อรับประทานเข้าแล้วบังเอิญโมเลกุลของยาเข้าไปจับกับโปรตีนบางชนิดในร่างกาย เกิดเป็นสารชนิดใหม่ขึ้น (โดยปกติเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมปรากฏในร่างกาย ภูมิต้านทานจะเข้าไปกำจัดโดยอัตโนมัติ) ฉะนั้นเมื่อร่างกายตรวจจับได้ว่ามีสารชนิดใหม่เกิดขึ้นในเซลล์ตับ ก็จะส่งภูมิต้านทานไปกำจัดทันที โดยกระบวนการกำจัดนี้เองที่จะทำลายเซลล์ตับไปด้วย สมรภูมิหลังการรบมีสภาพอย่างไร เซลล์ตับก็มีสภาพไม่ต่างกัน

    นอกจากยาแล้ว สารเคมีชนิดอื่นๆ เช่น สารเคมีจำพวกปิโตรเคมีควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ควันบุหรี่ หรือสารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมที่เข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง หรือการสูดดม ก็อาจเป็นพิษต่อตับได้เช่นกัน รวมทั้งยังมีสารเคมีที่แฝงมาในรูปแบบของอาหารเสริมที่ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นยาด้วย พวกนี้ถือว่าอันตรายต่อตับ

    เมื่อทราบว่ายาเข้าไปทำร้ายตับได้ ผู้ป่วยบางคนที่มีโรคประจำตัวไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดัน เบาหวาน ฯลฯ อาจกังวลว่า การรับประทานยาจะทำให้เกิดโรคตับอักเสบแทรกซ้อนขึ้นมา จึงคิดหยุดรับประทานยาด้วยตัวเอง แต่รู้ไหมว่า จริงๆ แล้วการหยุดยาด้วยตัวเองนั้นมีอันตรายมากกว่าโรคตับอักเสบเสียอีก เพราะกว่าที่ตับจะเกิดอาการอักเสบได้นั้นใช้เวลานานพอสมควร แต่หากโรคหัวใจกำเริบ หรือค่าน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น โอกาสในการเสียชีวิตจะมีสูงกว่าหลายเท่านัก

    ฉะนั้นไม่ต้องกังวลหากรับประทานยาตามแพทย์สั่ง เพราะแพทย์ทุกคนจะจ่ายยาให้ผู้ป่วยได้ก็ต่อเมื่อประเมินแล้วว่าการรับประทานยานี้จะมีคุณมากกว่าโทษ แต่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาพร่ำเพรื่อ หรือรับประทานสมุนไพรตามคำบอกเล่า เขาว่าดีก็กินตามที่เขาบอก เพราะคิดว่าสิ่งที่มาจากธรรมชาติไม่เป็นอันตราย หรือรับประทานวิตามินเพราะอยากบำรุงร่างกาย ยาสมุนไพรหรือวิตามิน จะมีประโยชน์ต่อร่างกายก็ต่อเมื่อรับประทานอย่างถูกต้องเหมาะสมตามอาการของโรคเท่านั้น

    ตับแข็ง

    ตับแข็ง (Cirrhosis) เป็นภาวะที่ตับเกิดการอักเสบ ได้รับความเสียหายและเกิดแผลเป็นที่มีลักษณะเฉพาะ คือมีเนื้อเยื่อพังผิดเกิดขึ้นในเนื้อตับ ส่งผลให้การทำงานของตับลดลงในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการผลิตโปรตีน การเก็บสะสมสาระสำคัญและแร่ธาตุต่างๆ การทำลายสารพิษ รวมทั้งเกิดการปิดกั้นและบิดเบี้ยวของการไหลเวียนเลือดที่ไหลผ่านตับด้วย ทำให้เกิดทางเบี่ยงเป็นเส้นเลือดขอดในทางเดินอาหาร เป็นต้น

    สาเหตุ

    ตับแข็งเป็นผลพวงจากภาวะตับอักเสบเรื้อรังจากทุกๆ สาเหตุ เช่น จากภาวะไขมันพอกตับ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลานาน การใช้ยาเกิดความจำเป็น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ฯลฯ เมื่อตับอักเสบติดต่อกันเป็นเวลานาน เซลล์ตับจะเสียหายมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เกิดภาวะตับแข็งได้

    นอกจากสาเหตุที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว การที่ผู้ป่วยเป็นโรคอื่นๆ ที่พบได้ไม่บ่อย เช่น โรคสะสมธาตุเหล็กมากผิดปกติ หมายความว่าแทนที่จะดูดซึมตามปกติ กลับดูดซึมมากเกินปกติ จนเหล็กเข้าไปสะสมในตับมากและก่อให้เกิดการอักเสบจนเป็น ตับแข็ง หรือ โรควิลสัน (Wilson’s Disease) ซึ่งเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ร่างกายขับสารทองแดงออกจากร่างกายได้น้อยกว่าปกติ จนเกิดภาวะคั่งของทองแดงในตับและอวัยวะอื่นๆ ก็ทำให้เกิดตับแข็งได้เช่นกัน หรือภาวะท่อน้ำดีอุดตัน ทำให้น้ำดีไหลย้อนกลับไปที่ตับและทำลายเนื้อตับจนเป็นตับแข็งได้

    ลักษณะการเกิด

    โดยปกติตับของเราจะมีสีแดงเหมือนตับหมูที่เห็นทั่วไปตามท้องตลาด ผิวเรียบเนียน แต่เมื่อเกิดอาการอักเสบ เซลล์ตับตายจะทำให้ตับมีสีคล้ำขึ้น เมื่อตับอักเสบนานๆ เข้า เซลล์ตับถูกทำลายไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเกิดรอยแผลในตับ พอแผลหายก็กลายเป็นแผลเป็นที่มีลักษณะเป็นพังผืดดึงรั้งเนื้อตับให้บิดเบี้ยวไปจากเดิม คล้ายกับเวลาที่เราโดนมีดบาดแล้วแผลหายกลายเป็นแผลเป็นนั่นเอง

    แต่ขณะเดียวกันเซลล์ตับที่ตายก็พยายามแบ่งตัวเพิ่มขึ้นเพื่อเยียวยาตัวเอง ฉะนั้นพังผืดที่เกิดขึ้นก็เหมือนเป็นหนังสติ๊กที่ไปดึงรั้งผิวตับเกิดเป็นเนื้อตับปูดขึ้นมา เมื่อมีแผลเป็นมากขึ้นก็เกิดการดึงรั้งมากขึ้นและค่อยๆ กระจายไปทั่วเนื้อตับ ในที่สุดจากผิวตับที่เรียบเนียนเหมือนผิวมะนาวก็เริ่มขรุขระกลายเป็นผิวมะกรูด หรือที่เรียกว่าตับแข็ง นั่นเอง

    ตับ ตับอักเสบ ตับแข็ง โรคตับ ไขมันพอกตับ มะเร็งตับ ตับอ่อน

    ผลที่ตามมาของโรคตับแข็ง

    1. เซลล์ตับเหลือน้อยลง ส่งผลให้การทำงานน้อยลงตามไปด้วย

    2. พังผืดที่เกิดขึ้นไปดึงรั้งหลอดเลือดที่รับ-ส่งเลือดภายในตับทำให้เลือดไหลเข้า-ออกจากตับได้ยากขึ้น เลือดจึงคั่งค้างอยู่ในหลอดเลือด เมื่อเลือดไม่มีทางไปก็เกิดเหตุการณ์ตามมาได้ 2 รูปแบบดังนี้

    – น้ำและน้ำเหลืองจำนวนหนึ่งอาจรั่วไหลไปในช่องท้องเกิดอาการท้องมาน

    – เลือดดำที่เข้าไปหล่อเลี้ยงในตับพยายามหาทางเบี่ยงไปสู่เส้นเลือดอื่นๆ เช่น เส้นเลือดฝอยในหลอดอาหาร เป็นต้น เพื่อหาทางกลับสู่หัวใจ ทั้งนี้ทางเบี่ยงที่ไม่ได้ตั้งใจสร้างขึ้นนี้แม้จะสามารถรองรับการไหลเวียนของเลือดได้จริง แต่ก็ไม่ดีนัก เพราะนานวันเข้าเส้นเลือดนั้นๆ จะเกิดการโป่งพอง ผนังบางขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นหากความดันเลือดเพิ่มขึ้น หรือหากเบ่งอุจจาระแรงๆ เส้นเลือดนั้นๆ ก็มีโอกาสแตกและนำไปสู่การเสียชีวิตได้

    นอกจากนี้ในหลอดเลือดเส้นหลักยังมีคุปเฟอร์เซลล์ ซึ่งเป็นเซลล์สำคัญที่ช่วยดักจับเชื้อโรค เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางของการไหลเวียนเลือดไปยังทางเบี่ยงต่างๆ แทนที่เชื้อโรคจะถูกทำลายโดยคุปเฟอร์เซลล์ ก็มีโอกาสเข้าสู่กระแสเลือดได้มากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยโรคตับมีความเสี่ยงในการติดเชื้อมากขึ้นด้วย

    3. เซลล์ตับพยายามแบ่งตัวเพื่อเยียวยาตัวเอง เมื่อเซลล์แบ่งตัวมากๆ เข้าก็อาจเกิดการแบ่งตัวผิดพลาด ก่อให้เกิดเป็นเซลล์มะเร็งได้

    ทั้งนี้ผู้ป่วยโรคตับแข็งส่วนใหญ่มักมีคำถามว่า ตอนนี้ตับที่ใช้งานได้เหลือกี่เปอร์เซ็นต์ จริงๆ แพทย์ไม่สามารถระบุการทำงานของตับออกเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ เพราะเมื่อตับแข็งจะไม่ได้แข็งเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง แต่จะแข็งพร้อมกันทั้งหมด เหลือเซลล์ตับบางเซลล์เท่านั้นที่สามารถทำงานได้ตามปกติ

    อาการ

    อาการของผู้ป่วยโรคตับแข็งแบ่งได้ 2 ระยะ คือ ระยะไม่แสดงอาการ และระยะแสดงอาการ โดยส่วนใหญ่ผู้ที่มีภาวะตับแข็งจะอยู่ในระยะไม่แสดงอาการ ซึ่งระยะนี้ใช้เวลานานหลายปี อาจนานนับ 10 ปีกว่าจะเข้าสู่ระยะแสดงอาการ ฉะนั้นหากเราไม่ตรวจสุขภาพแบบเฉพาะเจาะจงจะไม่มีทางรู้เลยว่ากำลังป่วยเป็นโรคตับแข็ง

    ทั้งนี้เมื่อผู้ป่วยเข้าสู่ระยะแสดงอาการจะมาพบแพทย์ด้วยอาการหลักๆ คือ

    – อ่อนเพลีย เนื่องจากตับมีหน้าที่สร้างพลังงาน เมื่อตับทำงานได้น้อยลงร่างกายก็ได้รับพลังงานน้อยลงด้วย

    – มีภาวะดีซ่าน ตัวเหลืองและตาเหลือง เพราะตับไม่สามารถขับน้ำดีออกจากร่างกายได้

    – เลือดออกแล้วหยุดยาก เกิดจ้ำเลือดตามตัวได้ง่าย เนื่องจากตับสร้างสารที่ทำให้เลือดแข็งตัวได้น้อยลง

    – ขาบวม ท้องโต มีน้ำคั่งอยู่ในช่องท้องเนื่องจากตับผลิตโปรตีนแอลบูติน (โปรตีนที่ช่วยโอบอุ้มน้ำและเกลือแร่เอาไว้ในหลอดเลือดได้น้อยลง ส่งผลให้น้ำและเกลือแร่รั่วออกมาสะสมตามท้องและขา

    – เหนื่อยง่าย เนื่องจากร่างกายรับออกซิเจนได้ไม่เต็มที่เพราะมีน้ำในช่องท้องมาก น้ำจะดันกะบังลมให้สูงขึ้น ทำให้เวลาเราหายใจเข้า ปอดก็ขยายเพื่อรับอากาศได้ไม่เต็มที่ บางครั้งน้ำอาจรั่วเข้าไปในปอดจะยิ่งทำให้เหนื่อยมากขึ้น

    – เบื่ออาหาร อิ่มเร็ว เพราะมีน้ำแน่นอยู่ในช่องท้อง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอึดอัด

    – ร่างกายไวต่อยาและเกิดผลข้างเคียงของยามากขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยโรคตับแข็งจะไม่สามารถขับยาออกจากเลือดได้ในอัตราปกติ ดังนั้นตัวยาจึงสะสมอยู่ในร่างกายและออกฤทธิ์นานขึ้น

    – ผู้หญิงอาจมีประจำเดือนผิดปกติ ส่วนผู้ชายอาจมีเต้านมขยายใหญ่ขึ้นและสมรรถภาพทางเพศลดลง

    – มีอาการคันที่ผิวหนังทั่วร่างกายอย่างรุนแรง เนื่องจากน้ำดีที่รั่วไหลมาตามผิวหนังไปก่อความระคายเคืองให้เส้นประสาท

    – อาจมีอาการทางสมองเพราะตับไม่สามารถขับสารพิษออกมาได้ สารพิษจึงสะสมให้เส้นเลือดและไหลเข้าสู่สมอง โดยผู้ป่วยจะเริ่มละเลยการดูแลตนเอง ไม่มีการตอบโต้ หลงลืมง่าย รวมทั้งไม่มีสมาธิ

    – มีเลือดออกอย่างรุนแรงในกระเพาะอาหารส่วนบนหรือหลอดอาหาร เนื่องจากการไหลเวียนเลือดผิดปกติอาจส่งผลให้อาเจียนเป็นเลือด

    – มีโอกาสติดเชื้อในกระแสเลือดได้มากขึ้น เพราะน้ำที่คั่งค้างในท้องเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ชั้นดีของเชื้อโรคต่างๆ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยก็จะเสียชีวิตในที่สุด

    นอกจากนี้แล้วผู้ป่วยก็อาจมาด้วยอาการของมะเร็งตับ คือ มีเนื้องอกในตับและมีอาการจุกแน่นท้องก็ได้เช่นกัน

    กลุ่มเสี่ยง

    ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคตับแข็งนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำและมีภาวะไขมันพอกตับ รวมทั้งผู้ที่เป็นโรคอื่นๆ ซึ่งส่งผลกระทับต่อตับดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

     การวินิจฉัย

    แพทย์จะซักประวัติความเสี่ยงของผู้ป่วยก่อน โดยผู้ป่วยต้องมีโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงซึ่งสามารถนำมาสู่การเป็นตับแข็งได้ เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลานาน มีภาวะไขมันพอกตับ ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เป็นต้น พร้อมกับตรวจดูอาการภายนอกว่ามีท้องมาน ประวัติอาเจียนเป็นเลือดจากการที่เส้นเลือดฝอยในหลอดอาหารแตก ซึ่งเป็นอาการของโรคตับแข็งหรือไม่

    จากนั้นจึงตรวจเลือดเพื่อเช็กว่ามีหลักฐานการทำงานของตับที่ผิดปกติ เช่น สร้างโปรตีนได้น้อยลง ระดับแอลบูมินต่ำ ระดับ AST หรือ ALT สูง เป็นต้น หรืออาจตรวจอัลตราซาวนด์ เอกซเรย์ช่องท้องเพื่อดูความผิดปกติของผิวตับว่ามีผิวขรุขระหรือไม่ การตรวจเลือดวัดพังผืด หรือการตรวจอัลตราซาวนด์วัดพังผืด (Fibroscan) รวมถึงอาจเจาะเนื้อตับเพื่อตรวจดูปริมาณพังผืด หากหลักฐานทุกอย่างบ่งชี้ว่าผู้ป่วยเป็นโรคตับแข็ง ก็จะประเมินอาการแล้วหาแนวทางการรักษาเป็นลำดับถัดไป

    การรักษา

    จุดประสงค์สำคัญของการรักษาโรคตับแข็ง คือ หยุดการอักเสบและการสร้างพังผืดในเนื้อตับ โดยพฤติกรรมของผู้ป่วยมีบทบาทสำคัญมากในการรักษา

    แบ่งการรักษาออกเป็น 2 ลักษณะ คือ

    1. รักษาที่ต้นเหตุ

    ก่อนอื่นแพทย์ต้องทราบก่อนว่าสาเหตุของการเกิดโรคตับแข็งคืออะไร เช่น ผู้ป่วยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ผู้ป่วยก็ต้อง งดดื่มประมาณ 3-6 เดือน ตับก็อาจกลับมาทำงานเป็นปกติได้ หรือหากผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ก็ต้องหาทางควบคุมหรือกำจัดไวรัสเหล่านั้น เป็นต้น

    อย่างที่กล่าวข้างต้นแล้วว่า ตับมีความสามารถในการเยียวยาตัวเอง ฉะนั้นการรักษาที่ต้นเหตุจึงเป็นวิธีสำคัญที่ทำให้ตับกลับคืนสู่การทำงานตามปกติได้

    นอกจากนี้ยังต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะกระตุ้นให้เกิดอักเสบและพังผิดให้ได้มากที่สุด เช่น หลีกเลี่ยงการใช้ยาพร่ำเพรื่อ หากมีอาการบวมตามข้อเท้าและท้องก็ควรลดการรับประทานเกลือและอาหารรสจัด ควรดื่มน้ำสะอาดและรับประทานอาหารที่ถูกสุขอนามัย เพื่อป้องดันการติดเชื้อ รับประทานอาหารอย่างพอเหมาะ รวมทั้งควรฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ บี ไข้หวัดใหญ่ และโรคปอดบวม เนื่องจากผู้ป่วยโรคตับแข็งประสิทธิภาพการทำงานของตับจะด้อยลง ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็แย่ลง ทำให้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อที่รุนแรงมากกว่าปกติ

    2. รักษาตามอาการ

    เป็นขั้นตอนการรักษาที่ต้องทำควบคู่กับข้อที่ 1 หากผู้ป่วยมาพบแพทย์ด้วยอาการใด ก็จะรักษาตามอาการนั้นๆ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องเพิ่มภาวะทางโภชนาการของผู้ป่วยให้มากขึ้น เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่มักรับประทานอาหารได้น้อย ประกอบกับตับทำงานผิดปกติทำให้กักเก็บอาหารได้ไม่เต็มที่ ร่างกายจึงไม่มี่พลังงานสำรอง ซ้ำยังต้องอาศัยพลังงานในการหายใจมากกว่าปกติ เพราะน้ำในช่องท้องดันกะบังลมและปอดทำให้รับออกซิเจนได้น้อย เมื่อรับประทานได้น้อย กักเก็บไม่อยู่ และใช้พลังงานเพิ่มขึ้น ผลที่ตามมาคือผู้ป่วยจะอยู่ในภาวะทุพโภชนาการอย่างมาก กล้ามเนื้อลีบ ท้องป่องเพราะบวมน้ำ ภูมิต้านทานตก และมีโอกาสติดเชื้อสูง

    ฉะนั้นแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยโรคตับรับประทานอาหารโดยการแบ่งเป็นมื้อย่อยๆ วันละ 6-7 มื้อ คือ เช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น และก่อนนอน เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานหล่อเลี้ยงอยู่ตลอด และต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด (มักเค็ม) และเค็มจัด เพราะจะส่งผลกระทับให้อาการบวมน้ำยิ่งแย่ลง ที่สำคัญน้ำและอาหารต้องสะอาด ถูกสุขอนามัย และปรุงสุก เพราะผู้ป่วยโรคตับภูมิต้านทานร่างกายจะอ่อนแอลง เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย เชื้อโรคบางชนิดที่พลได้ในสัตว์น้ำเค็ม เช่น หอยแครง หอยนางรมสด และสัตว์น้ำจืด เช่น ปลานิล หรือผักน้ำจืดจำพวกผักกระเฉดอาจเข้าสู่กระแสเลือดจนทำให้ช็อกและเสียชีวิตได้ ผู้ป่วยจึงต้องใส่ใจเรื่องสุขอนามัยมากเป็นพิเศษ

    การติดตามผลการรักษา

    เนื่องจากผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็ง ตับของเขาไม่สามารถกลับมามีสภาพเป็นปกติได้ ตับมีพังผืดอย่างไรก็ยังคงมีพังผืดอย่างนั้น หรือหากเกิดทางเบี่ยงของเส้นเลือดอย่างไร ก็ยังมีทางเบี่ยงอยู่เช่นเดิมเพียงแต่การทำงานของตับโดยรวมดีขึ้นเท่านั้น ฉะนั้นเราต้องมีการติดตามผลการรักษาเพื่อดูว่ามีอาการใดๆ แทรกซ้อนหรือไม่

    เบื้องต้นจะดูว่า อาการท้องมาน อาการบวมลดลงหรือไม่ หรือมีอาการเส้นเลือดแตกซ้ำหรือเปล่า อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายลดลงไหม รวมทั้งต้องนัดให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์ซ้ำทุกๆ 3-6 เดือน เพื่อตรวจเช็กการทำงานของตับ และดูความเสี่ยงว่ามีโอกาสเกิดมะเร็งตับหรือไม่

    ข้อมูลจาก หนังสือเมื่อตับประท้วงร่างกายก็พ่ายแพ้ สำนักพิมพ์ AMARIN Health


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    ถ่ายเป็นเลือด สัญญาณผิดปกติในลำไส้ใหญ่

    สวยอ่อนเยาว์ ด้วยอาหารเกาหลี

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    โปรแกรมอาหารลดน้ำหนัก

    โปรแกรมอาหารลดน้ำหนัก 1 สัปดาห์

    โปรแกรมอาหารลดน้ำหนัก 1 สัปดาห์ แค่กินตามก็ลดอ้วนได้

    โปรแกรมอาหารลดน้ำหนัก เป็นทฤษฎีการลดน้ําหนักง่ายๆ คือ กินอาหารใน 1 วันให้ได้พลังงานลดลงจากเดิม 500 กิโลแคลอรี วิธีนี้สามารถลดน้ําหนักได้สัปดาห์ละ 1-2 กิโลกรัม ดังนั้นถ้าทําได้ถึง 6 เดือน น้ําหนักอาจลดลงได้อย่างน้อย 12 กิโลกรัม

    สังคมแย่ลง อ้วนมากขึ้น

    รศ.ดร.ชื่นฤทัย กาญจนะจิตรา ผู้อํานวยการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล สรุปสาเหตุของโรคอ้วนในปัจจุบันไว้ว่า ภาวะน้ําหนักเกินและโรคอ้วน เกิดจากสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่แย่ลง ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลทางร่างกายมากขึ้น โดยเฉพาะพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ดีต่อ สุขภาพ อาทิ อาหารฟาสต์ฟู้ด น้ําอัดลม อาหารที่ขาดคุณค่าทางโภชนาการในโรงเรียน รวมถึงการมีวิถีชีวิตที่เร่งรีบแบบคนเมือง มีกิจกรรมทางร่างกายลดลงและการใช้เวลากับสื่อออนไลน์มากขึ้น เป็นต้น

    “ปัญหาขณะนี้คือ เรามีสิ่งแวดล้อมไม่เอื้อต่อการออกกําลังกายและการบริโภคอาหาร ซึ่งต้องปรับปรุงกันอย่างเร่งด่วนต่อไป ไม่เช่นนั้นปัญหาโรคอ้วนจะมีมากขึ้น เพราะขณะนี้ประเทศไทยก็พบคนเป็นโรคอ้วนในอันดับต้นๆ ของอาเซียนแล้ว โดยเฉพาะผู้หญิงจะมีปัญหานี้ได้ง่ายที่สุด” นอกจากนี้รายงานสุขภาพคนไทย ปี 2557 ยังระบุอีกด้วยว่า โรคอ้วนถือเป็นสาเหตุให้เจ็บป่วยและเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคตับ โรคมะเร็ง โรคเกี่ยวกับถุงน้ําดี โรคซึมเศร้า ภาวะหายใจลําบากและหยุดหายใจขณะหลับ โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น โดยคนอ้วนมีโอกาสเป็นโรคเหล่านี้มากกว่าปกติ 2-3 เท่าเลยทีเดียว

    กําจัดไขมันด้วยสํารับลดอ้วน

    ทฤษฎีการลดน้ําหนักง่ายๆ คือ กินอาหารใน 1 วันให้ได้พลังงานลดลงจากเดิม 500 กิโลแคลอรี วิธีนี้สามารถลดน้ําหนักได้สัปดาห์ละ หนึ่งถึงสองครึ่งกิโลกรัม ดังนั้นถ้าทําได้ถึง 6 เดือน น้ําหนักอาจลดลงได้อย่างน้อย 12 กิโลกรัม เช่น เคยดื่มเบียร์ 1 กระป๋อง หรือน้ําอัดลม 1 กระป๋อง ซึ่งให้พลังงาน 500 กิโลแคลอรีเป็นประจําทุกวัน(ดูปริมาณพลังงานของอาหารได้จากฉลากโภชนาการ) ก็ลด ละ เลิกเสีย พลังงานที่ได้รับในแต่ละวันก็จะลดลงได้ง่ายๆ น้ําหนักก็จะลดลงตามไปด้วย

    คุณธิษณา จรรยาชัยเลิศ นักกําหนดอาหารวิชาชีพ อธิบายเพิ่มเติมว่า “การลดน้ําหนักควรลดอย่างค่อยเป็นค่อยไปและไม่อดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะไม่เป็นผลดีต่อการลดน้ําหนักในระยะยาว โดยอาจใช้วิธีกินอาหารหลายมื้อ เช่น 4–5 มื้อ แต่ให้พลังงานรวมทั้งวันอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมไว้

    “แต่ทั้งนี้อาหารก็ต้องเลือกที่กินแล้วให้พลังงานเหมาะสม สารอาหารครบ กินแล้วอิ่มนานด้วย ไม่ใช่กินหลายมื้อ แต่เลือกอาหารที่มีน้ําตาลให้พลังงานสูง ไม่อยู่ท้องต้องกินเรื่อยๆ ไม่อิ่มสักที แถมได้พลังงานส่วนเกินเติมเข้าสู่ร่างกายมากเกินไป”

    โปรแกรมอาหาร ลดน้ำหนัก
    โปรแกรมอาหารใน 1 สัปดาห์ สำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน

    ส่วนใครที่จัดสํารับลดความอ้วนแล้ว แต่กลัวตบะแตกกลางคัน ขอแนะนําตัวช่วยต่อไปนี้ยามท้องร้องค่ะ

    – น้ําเปล่า น้ําสมุนไพร ให้พลังงาน 0 กิโลแคลอรี(กรณีไม่เติมน้ําตาล น้ําตาล 1 ช้อนชา ให้พลังงานประมาณ 16 กิโลแคลอรี)

    – ผลไม้สด เช่น กล้วยน้ําว้า 1 ผลกลาง ผลไม้ขนาดเท่าส้ม 2 ผล แอ๊ปเปิ้ล 1 ผล หรือฝรั่งครึ่งลูก ให้พลังงาน 60 กิโลแคลอรี

    – ข้าวโพดต้มครึ่งฝัก ให้พลังงาน 80 กิโลแคลอรี

    – โยเกิร์ตไขมันต่ํารสธรรมชาติ 1 ถ้วย ให้พลังงาน 80–150 กิโลแคลอรี (อ่านฉลาก)

    หรือท่านใดที่รู้สึกว่าการคํานวณพลังงานในอาหารประจําวันเป็นเรื่องยุ่งยาก อาจลองใช้วิธีลดความอ้วนแบบฉบับชีวจิตก็ได้เช่นกัน โดย อาจารย์สาทิส อินทรกําแหง กูรูต้นตํารับชีวจิต ได้แนะนําไว้ดังนี้

    “กินอาหารชีวจิตสูตร 2 ซึ่งประกอบไปด้วยอาหารจําพวกแป้งไม่ขัดขาวและคาร์โบไฮเดรต มื้อละ 30 เปอร์เซ็นต์ ผักสดหรือผักสุก มื้อละ 35 เปอร์เซ็นต์ โปรตีนจากถั่วและผลผลิตจากพืช เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร มื้อละ 25 เปอร์เซ็นต์ และเบ็ดเตล็ด เช่น สาหร่ายทะเล เมล็ดธัญพืช หรือผลไม้ไม่หวาน มื้อละ 10 เปอร์เซ็นต์”

    โดยสูตรทั้งหมดนี้ขอให้งดอาหารบางอย่าง ได้แก่

    1.เนื้อสัตว์ เช่น หมู เป็ด ไก่ เนื้อวัว

    2.น้ําตาลขาวทุกชนิด รวมทั้งอาหาร ขนม และเครื่องดื่มที่ผลิตจากน้ําตาล เช่น ฝอยทอง เค้ก ไอศกรีม น้ําหวานต่างๆ

    3.อาหารมันที่ใช้น้ํามัน นม เนย กะทิ ของทอด

    4.แป้งขาวทุกชนิด เช่น ข้าวขาว ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีบ ขนมปังขาว


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    ถ่ายเป็นเลือด สัญญาณผิดปกติในลำไส้ใหญ่

    สวยอ่อนเยาว์ ด้วยอาหารเกาหลี

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ปอมอ = เป็นมะเร็ง (เพราะไม่เชื่อหมอ) ตอน 2

    สำหรับคุณผู้อ่านที่ค้างคา กับ ปอมอ = เป็นมะเร็ง (เพราะไม่เชื่อหมอ) ตอน 1 วันนี้แอดมาต่อตอนที่ 2 แล้วค่ะ ครั้งนี้ ปอมอ หรือ คุณประมวล โกมารทัต จะไปพาดูทั้งการตรวจมะเร็ง ว่ามีขั้นตอนอย่างไร รวมทั้งสิทธิ์ที่ใช้ในการรักษาว่าครอบคลุมมากน้อยเพียงใด ว่าแล้วก็ ไปอ่านกันเลยค่ะ

    ปอมอ = เป็นมะเร็ง (เพราะไม่เชื่อหมอ)  

    ดีใจน่ะ คุณๆ เอฟซี (ซี้รุ่นเก่า)ทักมาเกรียวกราวเชียว หลายรายอวยชัยให้พรมาด้วย ก็ขอให้พรนั้นจงส่งผลร่วมกัน และขอเสริมกลับไปด้วย

    เจริญสุขๆ   

    มาต่อเรื่องของเรา (ตอนสอง) ดีกว่า

    จะได้รู้กันละว่า อาการ “จิ้มแล้วเจ็บ” ที่สองคุณหมอ(ชายหญิง)แรกว่าเป็นโรคกระเพาะอักเสบ แต่คุณหมอที่สามจิ้มแล้วสงสัย  จึงส่งตัวไปหาอาจารย์หมอส่องกล้องลำไส้ใหญ่นั้น  พบว่า กระเพาะอักเสบ จริงหรือ

    เป็นมะเร็ง

    พรุ่งนี้มาส่องกล้องลำไส้ใหญ่กัน

    อาจารย์หมอ (เรียกตามคุณหมอที่ส่งตัวมา) แรกพบก็รู้ ดูท่านเป็นหมอหนุ่ม (ราวสี่สิบต้นๆ) อารมณ์ดีมีเมตตา (เกินกว่าความเป็นหมอ) ยิ่งได้รู้ว่าเป็นแพทย์เฉพาะทางเรื่องโรคร้ายในช่องท้องยิ่งชวนให้ศรัทธานัก

    หลังอ่านรายงานจบ ท่านเงยหน้าขึ้นมองนิ่งอยู่ แล้วให้ขึ้นนอนบนเตียง จากนั้นเดินมาเอานิ้วจิ้มชายโครงขวา แม้ไม่แรงแต่ค่อนข้างลึกเชียว ถามว่า เจ็บหรือ ตอบว่า เจ็บ (ท่านคงรู้ตามรายงานอยู่แล้ว)

    อาจารย์หมอบอกว่า อาการเจ็บนี้ ลำไส้ใหญ่น่าจะมีส่วนสำคัญอยู่มาก และจากที่สัมผัส พบคล้ายมีก้อนเป็นไตแข็งๆ อยู่ด้วย อาจเป็นข่าวไม่ค่อยดีนัก แต่ยังไม่แน่ใจ จะต้องดูให้เห็นชัดๆ (กับตา) โดยวิธีส่องกล้องดูภายในลำไส้กันเลย  

    “คืนพรุ่งนี้มานอนที่นี่ เพื่อล้างลำไส้ใหญ่ก่อน” ท่านว่าดีกว่าเอาน้ำยากลับไปทำที่บ้าน

    “ล้างสิ่งที่มีอยู่ออกให้หมด แล้ววันถัดไป เราจะได้ส่องกล้องกันแต่เช้า” หนึ่งในเหตุผลที่ว่าดีกว่า

    “พรุ่งนี้มาบ่ายๆ ก็ได้ แล้วค่ำๆ จึงล้างลำไส้ใหญ่กัน คุณต้องอดอาหารหลังเที่ยง ไปจนกว่าจะส่องกล้องเสร็จรุ่งขึ้น”

    หาคนมานอนเป็นเพื่อนด้วย เพราะคนอายุมาก เมื่อล้างลำไส้ใหญ่ ต้องถ่ายท้องหนักๆ อาจจะเกิดอะไรๆ ได้ทั้งนั้น

    วิธีล้างลำไส้ใหญ่ก่อนการส่องกล้องไม่มีอะไรพิสดาร ก่อนค่ำวันนั้นคุณพยาบาลเอาน้ำผสมยาสีส้มๆ (คงเป็นยาถ่ายอ่อนๆ) ใส่ขวดมาให้ (คะเนด้วยตาน่าจะ 2 ลิตร) ให้รินเต็มถ้วยแก้ว ดื่มเป็นระยะๆ ติดต่อกันไปจนหมด หลังจากดื่มน้ำยาหมดขวดสักพักก็เริ่มรู้สึกอยากถ่าย ออกจากห้องน้ำ พอดีคุณพยาบาลเดินถือน้ำยาเข้ามาอีกขวด สั่งให้ดื่มให้หมดก่อนนอน  น้ำยาเข้าไปอัดแน่นในท้อง แต่ก็ได้ผล น้ำไล่ทุกสิ่งในลำไส้ใหญ่ให้ออกมา ต้องเข้าห้องน้ำถ่ายหลายครั้ง (จนครั้งสุดท้ายออกมาแต่น้ำขุ่นๆ ไม่มีเนื้อเลย) การดื่มนั้นให้ดื่มจริงๆ ไม่ใช่ค่อยๆ จิบ (มันไม่ใช่ไวน์และไม่อร่อยหรอก  – คุณพยาบาลพูดยิ้มๆ ก่อนจากไป)

    คืนนั้น หนีบลูกชายวัยรุ่น (เกือบสี่สิบ) มานอนด้วย ไว้ช่วยบริการรินน้ำยาและตอนจะไปเข้าห้องน้ำ

    นอนไม่ค่อยหลับเลย ทั้งใจที่กระวนกระวายคิดถึงวันพรุ่งนี้ แล้วยังต้องลุกเข้าห้องน้ำถ่ายบ่อยมาก (ด้วยฤทธิ์น้ำยาที่ไม่อร่อยอย่างไวน์แถมมีรสเฝื่อนๆ อีก – จริงดังคุณพยาบาลว่า)

    เช้าอันแสนจะตื่นเต้นที่รอคอยก็ช่างมาถึงช้ากว่าทุกเช้า ทำภารกิจส่วนตัวเสร็จ ก็สวมชุดคนไข้รอไว้ ใจยังนึกหวาดๆ อยู่ นี่จะถูกวางยาให้หลับ แล้วมีคนเอาสิ่งแปลกปลอมมาสอดใส่เข้าทางทวารหนัก (จริงๆ หรือ)  

    อึ้ย! นึกแล้วเสียว (ก็หนูไม่เคยนี่นา)

    ภายในลำไส้ใหญ่มีอะไรน่าดูนักหรือ

    ผู้ช่วยพยาบาล(ชาย) มารับ ให้ขึ้นนอนบนเตียงรถเข็นพาไปห้องทำหัตถการ   

    ถึงห้องยังไม่เห็นอาจารย์หมอ แต่มีหลายคุณพยาบาลกำลังเตรียมการกันอยู่  ลงนอนเตียงใหญ่แล้ว คุณพยาบาลท่านหนึ่งมาจัดแจงท่านอนให้ลงตัว แล้วอีกท่านเดินเข้ามา ในมือมีเข็มฉีดยาที่บรรจุยาไว้มาด้วย

    “จะให้ยา ทำให้เคลิ้มๆ เกือบหลับค่ะ” คุณพยาบาลบอกก่อนปักเข็มส่งยาเข้าเส้นเลือด (ฝีเข็มเบาแทบไม่รู้สึกเลย)  

    จากนั้นสักพักก็หลับไป ไม่รู้อะไรแล้ว นับแต่นี้ จะมีใครมาทำอะไร จับพลิกคว่ำพลิกหงายเอาอะไรสอดใส่ทวารหนัก ลักหลับท่าไหนก็ไม่รู้แล้ว (คงเพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ เจอยาเข้าหน่อยจึงหลับเอาง่ายๆ)

    ไม่น่าจะใช่หมดสติแบบสลบ แต่ก็ไม่ใช่แค่เคลิ้มๆ อย่างคนลงเข็มบอก เรียกหลับสนิทละถูกสุด

    (เคยคุยกับคนอื่น เขาว่าเขาไม่หลับสนิท แค่เคลิ้มๆ  ยังได้ยินเสียงและรู้ตัว แต่ไม่รู้สึกเจ็บขณะคุณหมอส่องกล้อง)

    จะนานแค่ไหนก็ไม่รู้อีก จนรู้สึกตัวตื่นขึ้น แต่ยังนอนหลับตาทบทวนเรื่องราว    

    “ตื่นแล้วนะ” จำได้ว่าเป็นเสียงอาจารย์หมออยู่ใกล้ๆ จึงลืมตา

    “ครับ”

    อาจารย์หมอให้ไขเตียงยกตัวขึ้นนั่ง และให้เชิญเจ้าของคนไข้ตัวจริง (คือคุณภรรยาคนเก่งที่รออยู่หน้าห้อง) เข้ามา

    “ผมจะเล่าให้ฟัง ว่าเห็นอะไรและทำอะไรกับลำไส้ใหญ่ของคุณไปบ้าง”

    ท่านไม่ได้มาสารภาพหรอกนะ ทว่าจะเล่าเรื่องราวที่ทำให้รู้

    ขณะหลับอยู่นั้น อาจารย์หมอสอดเครื่องมือที่เป็นกล้องและคีมเล็กๆ ใส่เข้าไปในลำไส้ใหญ่ผ่านทางทวารหนัก เห็นภายในลำไส้ทั้งหมด พบมีติ่งเนื้อจำนวนมากอยู่ตรงส่วนต้นๆ ของลำไส้ใหญ่ และเลยเข้ามาเป็นติ่งค่อนข้างใหญ่ จึงใช้คีมที่เป็นกรรไกรตัดออกทั้งหมด ก็หลายติ่งอยู่ (ไม่ได้ถามและท่านก็ไม่ได้บอก ว่าตัดแล้วเอาออกมาทิ้งข้างนอกหรือปล่อยไว้ในท้อง นะ)

    ส่วนติ่งเล็ก ติ่งน้อย ติ่งซิวสร้อย (อีกมากเหมือนกัน) ไม่ได้ตัด ยังอยู่อย่างเดิม (ไม่ได้ถามอีกว่า ทำไม)

    อาจารย์หมอให้ความรู้ว่า ติ่งขนาดใหญ่ปล่อยไว้ไม่ได้ มันจะพัฒนาเป็นเนื้อร้าย แล้วอาจกลายเป็นมะเร็งได้

    ฟังแล้วใจฟู รู้สึกโล่งพิกล – ติ่งใหญ่ๆ ที่อาจกลายเป็นมะเร็ง ถูกอาจารย์หมอตัดออกไปหมดแล้ว

    แต่คำบอกเล่าต่อไปนั่นซี….

    “แล้วพบก้อนเนื้อขนาดใหญ่ เริ่มจากส่วนต้นของลำไส้ใหญ่ ตรงที่ต่อกับลำไส้เล็ก มันเกาะอยู่เป็นแนวยาวเรื่อยไปตามลำไส้ใหญ่ที่มีเส้นเลือด และมีต่อมน้ำเหลืองเป็นระยะๆ”   ฟังแล้วไม่น่ากลัวเท่าประโยคต่อไป

    “เชื่อว่า น่าจะเป็นก้อนเนื้อร้าย” ยังไม่พอ อาจารย์หมอยังย้ำต่อไปอีกว่า

    “ก้อนเนื้อร้ายนี้ค่อนข้างใหญ่มาก และคงเป็นสาเหตุให้รู้สึกเจ็บเมื่อจิ้มไปถูกมันเข้า”

    ใจที่ฟูเมื่อฟังตอนแรกกลับแฟบลงทันที

    “แล้วมันเป็นยังไงครับ”

    แม้จะพยายามระงับใจไม่ให้ตื่นเต้นแล้ว เสียงก็คงสั่นๆ(เอง) หันไปมองคนที่นั่งข้างๆ ดูท่าจะไม่ต่างกัน

    “ไม่ต้องตกใจนะ ทุกวันนี้คนไทยเป็นกันเยอะมาก” อาจารย์หมอพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ใจคนฟังสิ ไม่ปกติเลย

    “คุณอยากให้บอกชัดๆ ตอนนี้เลยไหมล่ะ” อาจารย์หมอถามเสียงนิ่มๆเช่นเดิม

    “ครับ”

    “คุณเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ”

    โอ มายก็อด !

    ถ้าเป็นฝรั่งคงร้องหาพระเจ้าลั่นไปแล้ว แต่เราไม่ใช่ จึงแค่เงียบไป ไม่พูดไม่จา (ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึง ‘เก่งซะไม่มี’)

    เคยฟังที่เล่ากันมา คนได้ยินหมอบอกว่าเป็นมะเร็งถึงกับเป็นลมหมดสติไปเลยก็มี เพราะเชื่อกันว่า เป็นมะเร็งแล้วต้องตาย และก็เป็นตามนั้นหลายรายด้วย ยังแปลกใจอยู่จนเดี๋ยวนี้ ทำไมได้ยินแล้ว  รับฟังแล้ว… เฉยและนิ่ง

    จริงๆ… ขอบอกตามตรงว่า ณ ขณะนั้น มันพูดไม่ออก บอกไม่ได้น่ะ  

    ใจนึกอยากสมน้ำหน้าตัวเองนัก ถ้าเชื่อสองคุณหมอชายหญิงที่วินิจฉัยแต่แรกว่าเป็นโรคกระเพาะอักเสบซะ ก็สบายไปแล้ว (แต่คงไม่ได้มาเล่ากันวันนี้ เนอะ) เพราะรักษาแค่ให้ยาลดกรดและยาแก้ปวดเท่านั้น (แล้วคำว่า ‘ปอมอ’ ก็จะยังแปลเหมือนเดิม – อะไรดีนะ) แต่นี่กลับต้องกลายเป็นว่า ….

    ปอมอ = เป็นมะเร็ง “เพราะไม่เชื่อหมอ”  

    เป็นมะเร็งแล้วไง (ก็ตัดมันทิ้งไปซะซี่)

    “คุณเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่” อาจารย์หมอพูดชัดมาก

    “แล้ว… ต้องทำยังไงต่อครับ” ในใจ (ยังอุตส่าห์) อยากได้แค่ฉายแสง (มารู้ทีหลังว่าเขาไม่ทำกันกับมะเร็งลำไส้ใหญ่)

    “คงต้องผ่าตัด ต้องตัด ตัดลำไส้ส่วนที่เป็นมะเร็งทิ้งไป” สังเกตไหม มีคำว่า ‘ตัด’ ถึงสามครั้ง

    เหมือนที่เคยได้ยินไง “นิ้วไหนร้าย ก็ตัดทิ้งไป” คนเรามีแค่ 20 นิ้ว ถ้ามันร้ายยังตัดทิ้งได้ สำมะหาอะไรกับลำไส้ใหญ่ยาวตั้งเมตร จะตัดทิ้งไปซะบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร (เนอะ)

    ศูนย์การแพทย์แห่งนี้ยังไม่มีห้องศัลยกรรมผ่าตัดใหญ่ คนไข้ที่ต้องผ่าตัดใหญ่ จะถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลใหญ่  

    อาจารย์หมอถามถึงโรงพยาบาลในสิทธิบัตรทองของเรา ท่านได้ยินชื่อแล้วยิ้ม

    “พอดีเลย หมอจะทำใบส่งตัวคุณไปที่นั่น ให้อาจารย์หมอผ่าตัดให้” หมายถึงอาจารย์หมอของอาจารย์หมอ  

    “อาจารย์ผมเอง ท่านเก่งมาก”

    “ขอบพระคุณมากครับ”                 

    การรักษาโรคเป็นหน้าที่ของแพทย์

    กลับถึงบ้านรีบหาข้อมูล อยากรู้ประวัติและความเก่งกาจของ “อาจารย์หมอของอาจารย์หมอ” ที่ได้ชื่อมา เลยพบชื่อคุณหมอผู้เชี่ยวชาญการทำศัลยกรรมลำไส้ใหญ่ท่านอื่นๆ ที่โรงพยาบาลนี้ด้วย

    จะเรียกว่าบังเอิญก็ได้ พบชื่อศัลยแพทย์ท่านหนึ่ง มีประสบการณ์ศัลยกรรมในช่องท้องมานานนับสิบปี เชี่ยวชาญการผ่าตัดลำไส้ใหญ่แบบส่องกล้อง มากกว่านั้นก็คือ นามสกุลเดียวกับเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งเข้าอีก (น่าสนใจจัง)  

    “หลานชายหนูเอง”

    เพื่อนตอบกลับมาเมื่อถามไป พร้อมบรรยายสรรพคุณเพิ่มเติมว่า คุณหมอหลาน(อา) เคยศึกษาและปฏิบัติงานในต่างประเทศมาแล้วอย่างโชกโชน ก่อนกลับมาประจำที่โรงพยาบาลนี้และหลายโรงพยาบาลเอกชน เพื่อนว่าเท่าที่รู้ หลานชายตัดลำไส้คนมาเยอะ เชี่ยวชาญศัลยกรรมช่องท้องและมะเร็งลำไส้ใหญ่แบบส่องกล้อง ขณะนี้เป็นอาจารย์ภาควิชาศัลยศาสตร์ทั่วไปของโรงเรียนแพทย์  ลูกศิษย์ลูกหามากมาย ฯลฯ  (ที่ใส่ไปยาลใหญ่ไว้นี่ แปลว่ายังมีอีกเยอะสรรพคุณ แต่จะขอไม่เล่าละ)

    เพื่อนกุลีกุจอโทรศัพท์ไปหาอาจารย์หมอหลานชายให้เสร็จสรรพ (ไม่แน่ใจว่าอยากช่วยเพื่อน หรือดีใจที่ได้เหยื่อมาให้หลานตัดลำไส้อีกคน – 5555) หมอหลานชายตอบยินดีรับเพื่อนอาเป็นคนไข้รายใหม่ ให้วันนัดเสร็จสรรพ …(ขอบใจมากเพื่อน)

    มติเอกฉันท์ (ก็แค่ภรรยากะสามี) เลือกขอเป็นคนไข้ของอาจารย์หมอหลานชายเพื่อนคนนี้แหละ (จะไม่ไปหาอาจารย์หมอของอาจารย์หมอที่ส่งตัวมาละ)

    ถึงวันนัดพบอาจารย์หมอหลานชายเพื่อน (เพื่อให้กระชับ ต่อไปจะเรียกสั้นๆ ว่า อาจารย์หมอ เฉยๆ นะ) นอกจากเราสองคนยังมีหลานสาว(เจ้าปัญญา) ผู้คุ้นเคยกับโรงพยาบาลแห่งนี้อาสาไปช่วยอีกแรง  ตามนัดนั้นเหมือนเป็นคิวโดด จึงเป็นคนไข้รายสุดท้ายของวัน เลยได้พูดคุยกันนานอยู่

    ตอนทำความรู้จักในฐานะหมอกับคนไข้หน้าใหม่ เมื่อบอกว่าเป็นเพื่อนกับคุณอาของท่านมานาน ฟังคำตอบ(ซี)

    “การรักษาโรคเป็นหน้าที่ของแพทย์ แพทย์จะเลือกคนไข้ไม่ได้ ไม่ว่าจะรู้จักกันหรือเป็นญาติกันหรือไม่ แพทย์ต้องทำหน้าที่รักษาจนสุดความสามารถ เหมือนกันและเท่าเทียมกันทุกคน ขอให้ทำใจสบายๆ”

    (น่าชื่นใจ เนอะ)

    “ขอบพระคุณครับ”

    อาจารย์หมอมองด้วยสงสัย  คนไข้โรคร้ายที่ใครๆ เขากลัวกันนักกำลังจะต้องผ่าตัด แต่กลับหน้าตาสดใส ไร้กังวลใดๆ   

    “รู้ไหม คุณเป็นโรคอะไร”

    “มะเร็งลำไส้ใหญ่ครับ”  

    อาจารย์หมอยิ้มอย่างอารมณ์ดีที่ได้ยินเสียงตอบหนักแน่น ก้มลงเขียนยุกยิกๆ บนใบรายงานแล้วใส่แฟ้ม ยื่นส่งให้

    “ไปติดต่อเจ้าหน้าที่นัดหมายวันผ่าตัด แล้วไปจองห้องพักฟื้นหลังผ่าตัดไว้ซะเลย”

    หลังการผ่าตัดจะต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 5-7 วัน ทั้งสองงานนั้น หลานสาวเจ้าปัญญาเป็นคนไปจัดการให้เป็นที่เรียบร้อย เสร็จสิ้นกระบวนการ เพียงรอให้ถึงวันผ่าตัด (ด้วยใจระทึก)

    การผ่าตัดลำไส้ใหญ่แบบส่องกล้อง

    การผ่าตัดลำไส้ใหญ่เดี๋ยวนี้พัฒนาไปมาก จากเดิมที่จะต้องผ่าเปิดหน้าท้อง เพื่อตัดลำไส้ส่วนที่มะเร็งเกาะกินอยู่ออก ไป หลังผ่าตัดเสร็จก็เย็บปิด จึงเมื่อแผลหายจะเห็นรอยแผลเป็นยาวๆ (คงเหมือนรอยแผลเป็นหน้าท้องคุณแม่ที่ผ่าคลอด)

    ปัจจุบันการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่ไม่ต้องผ่าเปิดหน้าท้องแล้ว จะใช้วิธีเจาะรูเล็กๆ (ประมาณดินสอรอดได้เท่านั้น) พอแผลหายแล้วจึงมีรอยแผลเป็นขนาดเล็กมาก แล้วบางรอยรูจะเลือนหายไป (ก้มดูตัวเอง ตอนนี้จากสามเหลือสอง)

    วิธีการคือ เจาะรูหน้าท้อง 3 รู บริเวณที่พบก้อนมะเร็ง สำหรับสอดใส่เครื่องมือ  รูหนึ่งสอดใส่กล้องที่มีกำลังขยายสูงเข้าไปภายในไว้ดู อีกรูหนึ่งสอดใส่เครื่องมือผ่าตัด ส่วนรูที่สาม (อยู่ใกล้ๆ สะดือ) เป็นทางสำหรับเอาลำไส้ที่ถูกตัดแล้วออกมาทิ้ง การผ่าตัดลำไส้ใหญ่แบบนี้เรียกว่า Laparoscopic Colectomy (คำหน้าแปลว่า การส่องกล้อง คำหลังแปลว่า การผ่าตัดลำไส้ใหญ่ รวมเป็น การผ่าตัดลำไส้ใหญ่แบบส่องกล้อง)

    เป็นมะเร็ง

    ก่อนศัลยแพทย์ลงมือผ่าตัด จะต้องตรวจระบบหัวใจและเลือด (สำคัญนะ ยิ่งเป็นผู้สูงอายุและกำลังรักษาโรคหัวใจอยู่นี่) และมีวิสัญญีแพทย์วางยา เพื่อให้คนไข้หลับหมดสติ  

    นั่นเป็นประสบการณ์จริงส่วนตัวเท่าที่ยังพอมีสติรับรู้ (คิดว่าคนอื่นก็คงเช่นเดียวกันแหละ เนอะ)

    ในระหว่างอาจารย์หมอทำหัตถการนั้น ไม่รู้สึกตัวและไม่มีสติรับรู้อะไรหมด (คือ หลับไม่รู้เรื่องเลย) แม้คุณหมอจะบอกว่าไม่ใช่วางยาสลบ เพียงทำให้หลับหมดสติไป แต่ก็มีการให้ยาชาก่อนฉีดยาให้หลับ (เป็นคนไม่กลัวการผ่าตัด  แต่กลัวเจ็บ จึงขอคุณพยาบาลว่า กรุณาเพิ่มยาชาให้มากกว่าปกติได้ไหมครับ – เธอรับตามขอหรือเปล่าไม่รู้  รู้แต่ว่าตื่นมาไม่เจ็บเลย)

    เริ่มตั้งแต่ อาจารย์หมอเจาะหน้าท้องแล้วสอดใส่กล้องและเครื่องมือเข้าไปในท้อง เพื่อเอาลำไส้ส่วนที่มีก้อนมะเร็ง ออกมา ใช้เวลานานแค่ไหนก็ไม่รู้ (คง 30-45 นาที ที่แน่ๆ น่าจะนานกว่าตอนส่องกล้องเมื่อวันก่อนนู้น)

    มารู้สึกตัวงัวเงียขึ้น ก็อยู่ในห้องพักฟื้นแล้ว ได้ยินเสียงคุณพยาบาลพูดอยู่กับคุณภรรยา (คนเก่ง) และลูกชายคนเล็ก (ผู้มากประสบการณ์) ที่จะมานอนเฝ้าไข้ พวกเขาคงเห็นกระดิกตัว (ก็มันเมื่อย) จึงไปเชิญอาจารย์หมอเข้ามา

    “ตื่นแล้วนะ” ท่านยิ้มอย่างผู้ประสบความสำเร็จ

    “เจ็บไหม”

    “ไม่เจ็บครับ ขอบพระคุณมากครับ”

    “จะเล่าให้ฟังว่า ขณะคุณหลับอยู่ หมอทำอะไรไปบ้าง ในท้องคุณ”

    อาจารย์หมอเล่าว่า จากกล้องมองเห็นมะเร็งก้อนโต ตรงส่วนต้นของลำไส้ใหญ่ต่อลำไส้เล็กที่มีไส้ติ่ง ลามออกมาต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ต่อกัน 2-3 ต่อม กับมีติ่งเนื้อเล็กๆ อีกเยอะที่ไม่สำคัญอะไรนัก

    “เรียก มะเร็งขั้นไหนแล้วคะ” เสียงคุณภรรยาถาม ส่วนคนไข้หลับตาอยู่

    “ขั้นสาม”

    การแบ่งระยะมะเร็งของแพทย์

    ขออนุญาตอ้างอิงตามข้อมูลของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่แบ่งระยะมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็น 1-4

    • ระยะแรก เป็นระยะที่เซลล์มะเร็งยังอยู่ในเยื่อบุลำไส้  
    • ระยะที่ 2 มะเร็งทะลุเข้ามาในชั้นกล้ามเนื้อของลำไส้ และ/ หรือทะลุถึงเยื่อหุ้มลำไส้  ลุกลามเข้าเนื้อเยื่อหรืออวัยวะข้างเคียง
    • ระยะที่ 3 มะเร็งเริ่มลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองข้างเคียง (ที่อยู่ด้านนอกลำไส้ใหญ่) และบริเวณใกล้เคียง
    • ระยะที่ 4 มะเร็งจะลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองไกลออกไป หรือลุกลามตามกระแสเลือดไปยังอวัยวะที่อยู่ไกลออกไป เช่น ตับ ปอด หรือกระดูก เป็นต้น

    “ที่ให้ถึงขั้น 3 ก็เพราะมันลามไปต่อมน้ำเหลืองแล้ว 2-3 ต่อม โชคดีที่ยังไปไม่ไกลกว่านี้ และยังไม่ลามไปอวัยวะอื่น”

    อาจารย์หมอยังใช้คำว่า ‘โชคดี’ ได้ ก็คงจะโชคดีจริง คนฟังก็ได้แต่ภาวนาว่า ขอให้สมพรปากเถอะ

    “นี่ก็ตัดเผื่อไปให้แล้ว ตัดเลยจากที่มันลุกลามออกไป หน่อยหนึ่ง”

    ท่านมองการณ์ไกลและไม่ประมาท

    “ติ่งเนื้อเล็กๆที่เห็น รวมทั้งไส้ติ่งที่อยู่ช่วงต้นๆ ก็ตัดไปด้วยเลย รวมแล้วตัดลำไส้ใหญ่ไป 40 เซนติเมตร”

    นอนหลับตา นึกในใจว่า ยาวสี่สิบเซนติเมตรนี่ ก็เกือบครึ่งท้องเลยนะ

    เท่าที่รู้ ลำไส้ใหญ่นี้ต่อกับลำไส้เล็ก ด้านริมขวาของท้องช่วงใต้ชายโครง จะมีไส้ติ่งอยู่ แล้วจะย้อนเป็นทางตรงขึ้นมาเหนือลำไส้เล็ก ก่อนเลี้ยวไปหน้าท้อง พาดขวางจากขวาไปซ้าย ทำหน้าที่เป็นด่านสุดท้ายในการดูดซึมสารอาหาร ที่หลงเหลือจากที่ลำไส้เล็กดูดซึมเอาสารอาหารมีประโยชน์ไปแล้ว เมื่อเหลือแต่กากแท้ๆ จะเคลื่อนตรงต่อไปตามลำไส้ใหญ่ที่จะหักลงตรงๆ แล้วเลี้ยวสั้นๆอีกที วกลงส่วนสุดท้ายของลำไส้ใหญ่ ที่เรียกว่า ลำไส้ตรง (ยาวราว 12 เซนติเมตร) ลงสู่ทวารหนัก เพื่อขับถ่ายกากซึ่งเป็นของเสียออกไปจากร่างกาย

    ยังงงก็ลองนึกถึงเครื่องหมายคำถาม ที่เป็นเส้นวนรอบนอกคือลำไส้ใหญ่ กอดกองลำไส้เล็กที่ขดไปมาอยู่ตรงกลางวงที่ว่างๆนั่นแหละ (ยังนึกไม่ออกก็ลากเส้นวาดภาพดู) ลำไส้ใหญ่ยาวราวหนึ่งเมตร ส่วนลำไส้เล็กยาว 7-8 เมตร แน่ะ

    เจอหมอเทวดาในห้องพักฟื้น

    วันแรกๆ ต้องนอนอย่างเดียว ห้ามลุก ตอนกินอาหารให้ไขเตียงยกตัวขึ้น แต่ต่อรองว่า ตอนถ่ายหนักขอไม่นอนถ่ายกระโถน  จึงผ่อนผันให้ลุกเดินช้าๆ ไปห้องน้ำใกล้ๆ ได้วันละครั้งเดียว (ต้องเอาสายสวนปัสสาวะและขวดที่ใส่ไปด้วย) ไม่มีการอาบน้ำ แต่คุณพยาบาลจะเช็ดตัวให้ (ยอมให้ทำหมดแค่วันแรก วันต่อมาขอทำเองในส่วนเร้นลับ)

    แพทย์เวรเข้ามาดูอาการและตรวจร่างกายละเอียดช่วงผลัดเวรทุกครั้ง ส่วนคุณพยาบาลก็จะคอยถามว่าเจ็บแผลในท้องมากน้อยแค่ไหน ให้บอกเป็นตัวเลข ระดับเต็ม 10 (สองวันแรกถึง 8 วันหลังๆ เหลือ 4-5) จะให้ยาแก้ปวด

    จนล่วงเข้าวันที่สี่ ก็เกิดเรื่องจนได้ ….

    เกือบเที่ยงคืน รู้สึกปวดหน้าท้องมาก (ขั้น 9-10) ลูกชายคนเล็กที่นอนเฝ้าไปบอกคุณพยาบาล แพทย์เวรมาดู คงพบสิ่งผิดปกติในท้องจึงโทรศัพท์ไปหาอาจารย์หมอ(ที่อยู่บ้าน) จากนั้นคุณพยาบาลนำอุปกรณ์เข้ามาเป็นเครื่องมือขนาดไม่เล็กเลย (ใช่เครื่องเอ็กซเรย์ไหมไม่รู้) ตรวจหน้าท้อง (ขณะคนไข้นอนบนเตียง) แล้วคงเห็นอะไร  

    คุณแพทย์เวรรายงานไปที่อาจารย์หมอ แล้วหันมาบอกว่า ไม่เป็นอะไรมาก เพียงมีแผ่นพังผืดเล็กๆ ในท้องที่ทำให้ปวด  พังผืดนี้เกิดจากหลังผ่าตัดแล้วนอนนิ่งๆ นานไป ปัญหานี้แก้ไม่ยาก อย่ากังวลเลย ท่านจัดการได้ และอาจารย์หมอก็แนะนำมาแล้ว  จากนั้นให้ยาฉีดแก้ปวดและยานอนหลับ  

    อาการปวดหายไปก่อนหลับจริงๆ จนวันต่อมาก็ไม่กลับมาปวดอีกเลย (หรือ เป็นหมอเทวดา !)

    รุ่งขึ้น อาจารย์หมอมาแต่เช้า ถามอาการและตรวจหน้าท้อง พบว่าผล “เป็นที่น่าพอใจของแพทย์” ทั้งแผลที่ลำไส้ และรูแผลหน้าท้อง ครบเจ็ดวันคงได้กลับบ้าน

    สิทธิบัตรทองช่างน่าป่วยจริงๆ  

    สายๆ วันที่เจ็ด ขณะกำลังรู้สึกเบื่อและอยากกลับบ้านเอามากๆ  คุณพยาบาลมาบอกว่า เดี๋ยวอาจารย์หมอจะมาดู และท่านบอกมาว่าจะอนุญาตให้กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้แล้ว จึงหากจะไปติดต่อฝ่ายการเงินก่อนเลยก็ดี จะได้เร็วขึ้น

    หลานสาว (เจ้าปัญญา) ไปทำหน้าที่ กลับมาเล่าว่า นอกจากต้องจ่ายเพิ่มค่าห้องพิเศษนิดหน่อยแล้ว อย่างอื่นไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งการทำศัลยกรรม (รวมค่าใช้จ่ายแล้วเป็นแสน) อยู่ในสิทธิบัตรทองทั้งหมด (ไม่ต้องจ่ายเลย !)

    โอ มายก็อด !  (ฝรั่งคงร้องอีกครั้งแน่) ประเทศไทยของฉัน ช่างน่ารักน่าป่วย จริงๆ !!

    เลยเที่ยงเล็กน้อย อาจารย์หมอเข้ามา ตรวจร่างกายและถามไถ่อาการ พบว่าทุกอย่าง “เป็นที่น่าพอใจของแพทย์” อนุญาตให้กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้

    แพทย์พอใจ แต่คนไข้น่ะไม่เพียงพอใจ หากดีใจเอามากๆ อยากจะเข้าไปกราบขอบพระคุณอาจารย์หมอที่อกด้วยความซาบซึ้งในพระคุณยิ่งนัก (แต่ไม่ได้ทำหรอก เพราะท่านไม่ยอม)

    “เอาละ วันนี้กลับบ้านได้แล้ว วันพฤหัสฯ ค่อยมาพบกัน นะ”

    ใบหน้าอาจารย์หมอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม (ถ้าเป็นนักเขียนคงจะใช้คำว่า อาจารย์หมอหน้าเปื้อนยิ้ม)

    “จะได้นัดวันทำคีโม”

    อ่าน ปอมอ = เป็นมะเร็ง (เพราะไม่เชื่อหมอ) ตอน 1

    ที่มา นิตยสาร ชีวจิต ฉบับ 594 คู่มือดูแลลำไส้ให้แข็งแรง สั่งซื้อ คลิก

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าติดตาม

    เครียด ซึมเศร้า ก่อโรคมะเร็ง จริงหรือ?

    5 สาเหตุใกล้ตัว ก่อมะเร็ง

    แกงไทย กับการช่วยป้องกันมะเร็ง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    วิ่ง ออกกำลังกาย

    วิ่งอย่างไร ไม่ให้เจ็บ

    วิ่งอย่างไร ไม่ให้เจ็บ กับ 6 เทคนิคเพื่อนักวิ่งมือใหม่และมือเก่า

    วิ่งอย่างไร คำถามสุดเบสิกของนักวิ่งมือใหม่และมือเก่า ซึ่งการวิ่งข้อต่อต่างๆ จะต้องรับแรงกระแทกจากน้ำหนักตัว แต่เรามีเทคนิคแสนง่ายที่จะทำให้ทุกคนสนุกกับการวิ่งแบบไม่เจ็บข้อและปวดกล้ามเนื้อ

    วิ่ง, วิ่งอย่างไร, เทคนิคการวิ่ง, นักวิ่ง, ออกกำลังกาย
    หากมีอาการวิ่งแล้วเจ็บหน้าแข้ง ข้อเท้า ควรหยุดชั่วคราวก่อน

    ปัญหาวิ่งแล้วเจ็บ วิ่งไปสักพัก็เจ็บบริเวณหน้าแข้ง หรือข้อเท้า จนต้องหยุดพัก สาเหตุของเรื่องนี้ นายแพทย์กรกฎ พานิช อาจารย์ประจําสาขาวิชาเวชศาสตร์การกีฬา วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา อธิบายว่า

    “ง่าย ๆ ก็คือ ขณะวิ่ง เนื้อเยื่อบริเวณท่อนขาทั้งส่วนของกระดูก เยื่อหุ้มกระดูก เอ็นที่ติดกระดูกและกล้ามเนื้อ ทนแรงกระแทกของกล้ามเนื้อที่กระชากกระดูกไม่ไหว จึงทำให้ระบม อักเสบในช่วงแรก ต่อมาเนื้อเยื่อก็หดตัว ความยืดหยุ่นแย่ลงกว่าเดิม หากกินยาลดการอักเสบแล้วดีขึ้นก็กลับไปวิ่งอีก เนื้อเยื่อบริเวณนั้นจะยังไม่คืนสภาพ ก็ยิ่งรับน้ำหนักได้น้อยลงเรื่อยๆ กลายเป็นปัญหาเรื้อรังไม่จบสิ้น”

    วิ่งแล้วเจ็บควรแก้ตรงไหน

    หยุดวิ่งชั่วคราวไม่เกิน 7 วัน (เว้นแต่เจ็บมาก เดินก็ยังทรมาน) ช่วงที่หยุดวิ่งควรไปว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน เพราะเป็นการออกกําลังกายที่มีแรงกระแทกต่ำกว่าและช่วยให้หัวใจยังฟิตอยู่ รวมถึงทํากายภาพบําบัดเพื่อลดอาการปวด กินยาแค่ช่วงปวดไม่เกิน 3-7 วัน

    ทั้งนี้ หัวใจสําคัญของเนื้อเยื่อคือ ความยืดหยุ่นที่พอเหมาะ เนื้อเยื่อที่บาดเจ็บเหมือนยางรถยนต์ หากใช้มานานก็จะรองรับแรงกระแทกไม่ดี

    แก้ปัญหาวิ่งแล้วเจ็บ

    หลังจากหายเจ็บควรยืดกล้ามเนื้อให้พอตึงๆ ตั้งแต่ขาจนถึงลําตัว วันละหลายๆรอบ เพื่อปรับความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อให้พร้อมรับการใช้งานหนักอีกครั้ง

    ที่เราต้องยืดกล้ามเนื้อบริเวณลำตัวก็เพราะ ลําตัวมีความเกี่ยวข้องกับการวิ่งอย่างมากมาก เนื่องจากแรงกระแทกจากเท้าจะส่งขึ้นไปถึงกระดูกสันหลัง หากกล้ามเนื้อรอบกระดูกสันหลังมีความสมบูรณ์ทั้งความยืดหยุ่นและแข็งแรง จะช่วยซับแรงกระแทกได้มาก อาการเจ็บขาจึงน้อยลง

    วิ่ง, รองเท้าวิ่ง, เทคนิคการวิ่ง, ออกกำลังกาย
    ควรเลือกรองเท้าวิ่งที่ออกแบบมาเพื่อใส่สำหรับการวิ่งโดยเฉพาะ

    วิ่งอย่างไร ถนอมข้อ

    นี่คือเทคนิคง่าย ๆ เกี่ยวกับการวิ่งที่จะทําให้มีร่างกายแข็งแรง พร้อมเสริมสุขภาพข้อเข่ากันดีกว่า

    1. ยืดข้อให้สุดในทิศทางต่างๆ แล้วค้างไว้เป็นเวลา 10-15 วินาที ทําซ้ำประมาณ 5-10 ครั้ง โดยเน้นกล้ามเนื้อหลักบริเวณน่อง กล้ามเนื้อ ต้นขาด้านหน้าและกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง
    2. การออกกําลังกายด้วยวิธีวิ่งต้องอาศัยการอบอุ่นร่างกายที่มากเพียงพอ ฉะนั้นอาจเริ่มจากการเดินเร็วหรือวิ่งเหยาะๆ เป็นเวลา 5-10 นาที ก่อนจะวิ่งเต็มที่ เพื่อให้กล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนโลหิตและระบบหายใจได้ปรับตัวก่อนออกกําลังกาย
    3. การเลือกรองเท้าวิ่งก็เป็นสิ่งสําคัญควรเป็นแบบที่มีพื้นกันแรงกระแทก กระชับพอดีกับเท้าและออกแบบมาสําหรับการวิ่งโดยเฉพาะ
    4. ไม่ควรวิ่งแบบก้าวเท้ายาวหรือยกเข่าสูงเกินไปเพราะข้อเข่าต้องงอมากเกินความจําเป็น อาจทําให้ปวดเข่าง่ายขึ้นและควรลงน้ำหนักที่ส้นเท้า มิเช่นนั้น จะทําให้ปวดกล้ามเนื้อน่องและเข่าด้านหน้าได้ อย่างไรก็ดี การวิ่งลงน้ำหนักที่ปลายเท้าทําได้ในกรณีที่ต้องการเร่ง ความเร็วหรือสําหรับนักกีฬาที่มีความฟิตเพียงพอ
    5. ไม่ควรวิ่งขึ้น-ลงเนิน แต่หากจําเป็นต้องวิ่งลงเนิน ควรเกร็งลําตัวให้ตั้งตรง เพราะแรงโน้มถ่วง อาจทําให้เสียหลัก นอกจากนี้ควรก้าวเท้าให้ยาวและเร็วขึ้นกว่าตอนวิ่งบนพื้นที่เรียบเสมอกัน
    6. หมั่นบริหารกล้ามเนื้อต้นขาด้วยการเหยียดเข่าตรงและเกร็งค้างไว้ ครั้งละ 5 วินาที ประมาณวันละ 10-20 ครั้ง หรืออาจเข้ายิมเล่นเวตเพิ่มกําลังกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและด้านหลัง สัปดาห์ละ 2-3ครั้ง โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีสะโพกกว้าง ซึ่งมีแนวโน้มเกิดปัญหาปวดเข่าได้ง่าย การออกกําลังกายด้วยวิธีดังกล่าวจะสร้างกล้ามเนื้อให้ช่วยรั้งกระดูกสะบ้าเข้าด้านใน เพื่อลดปัญหาปวดเข่าในระยะยาว

    เตือนไว้หน่อยนะคะ อย่าบ้าพลัง ! คิดจะออกกำลังกายต้องรู้จักร่างกายของตนเองด้วย

    ชีวจิต Tips เทคนิคการหายใจ ที่มือใหม่หัดวิ่งควรรู้

    เทคนิค การหายใจ อย่างถูกวิธีในขณะวิ่งนั้น เป็นสิ่งที่นักวิ่งมือใหม่ควรจะต้องเรียนรู้ และฝึกตั้งแต่ช่วงแรกที่เริ่มหัดวิ่งเลย เพราะจะช่วยทำให้เราสามารถวิ่งไปได้เร็วขึ้น และวิ่งได้นานขึ้นอีกด้วย

    การหายใจมี 2 แบบ

    1. การหายใจด้วยกล้ามเนื้อซี่โครง (Costal หรือ Chest Breathing) คือ เวลาที่เราหายใจเข้าไป หน้าอกจะขยายตัว และหน้าท้องจะยุบ ส่วนเวลาหายใจออกนั้นหน้าอกจะยุบ และหน้าท้องจะขยายตัวหรือพองออก ซึ่งเวลาที่เราวิ่งเร็ว ๆ และวิ่งนาน ๆ จะทำให้จุกเสียดชายโครงได้ง่าย
    2. การหายใจด้วยกล้ามเนื้อกะบังลม (Abdominal Breathing) คือ เวลาที่เราหายใจเข้า กล้ามเนื้อกะบังลมจะเคลื่อนตัวลง ทำให้ลมเข้าไปในปอด หน้าท้องจะพองหรือขยายตัว และเมื่อเราหายใจออก กล้ามเนื้อกะบังลมจะเคลื่อนตัวขึ้น พุงจะยุบวิธีการหายใจแบบนี้จะไม่ทำให้จุกเสียดชายโครงเวลาที่วิ่งนาน ๆ

    ตามปกติแล้วเมื่อวิ่งไปได้สักพัก จังหวะการหายใจของเรา จะปรับเข้ากับจังหวะการวิ่งได้เอง ซึ่งจะเป็นช่วงจังหวะที่เรารู้สึกว่าลงตัวและรู้สึกสบาย โดยจังหวะในการวิ่งและการหายใจ 2 แบบที่นักวิ่งหน้าใหม่ควรรู้มีดังต่อไปนี้

    จังหวะการวิ่ง 2 – 2

    1. หายใจเข้าพร้อมกับก้าวเท้าขวานับ 1
    2. เท้าซ้ายลงพื้นนับ 2
    3. หายใจออกพร้อมกับเท้าขวาลงพื้นนับ 1
    4. ซ้ายลงนับ 2
    5. เท้าขวาลงอีกครั้งนับ 1 คือรอบจังหวะการหายใจต่อไป

    จะเห็นได้ว่าการหายใจเข้า – ออก จะลงที่เท้าขวาทุกครั้ง จังหวะแรงกระแทกที่ส่งจากช่วงล่างจากเท้าที่กระทบพื้นสู่ช่วงลำตัวและกล้ามเนื้อกะบังลม (Diaphragm) ขณะยืดหดตัวนั้นก็มาจากเท้าขวา ทุกครั้งที่หายใจเราก็ได้รับแรงจากด้านขวาเพียงข้างเดียว

    จังหวะการวิ่ง 3 – 2

    1. จังหวะที่ก้าวเท้าขวาลง และหายใจเข้านับ 1
    2. ขาซ้ายก้าวนับ 2
    3. ขาขวาก้าวนับ 3
    4. ขาซ้ายก้าว และหายใจออกนับ 1
    5. ขาขวาก้าวนับ 2
    6. ขาซ้ายลง และหายใจเข้านับ 1 คือรอบจังหวะการหายใจต่อไป

    การสร้างจังหวะวิ่ง แบบ 3 – 2 หรือช่วงจังหวะหายใจเข้าจะลงเท้า 3 ครั้ง และหายใจออก 2 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บได้ดีขึ้น เพราะช่วงที่เราหายใจอยู่นั้น กล้ามเนื้อจะมีการยืดหด และจะเห็นได้ว่าจังหวะหายใจเข้า จะสลับกันระหว่างซ้ายและขวา ทำให้กะบังลมไม่ต้องรับแรงกระแทกอยู่ที่ข้างใดข้างหนึ่งนั่นเอง แต่ในการนำไปใช้ช่วงแรกควรลองฝึกหายใจ โดยการเดินวอร์มอัพเบา ๆ ก่อน เพื่อปรับตัวให้คุ้นเคยกับการหายใจและจังหวะลงของเท้


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    เจ็บหน้าอก เช็กซิเป็นโรคอะไร

    HOW TO ออกกำลังกาย เพื่อความสมดุลของฮอร์โมน ลดเสี่ยงมะเร็งเต้านม

    ทำไม วัยทองเสี่ยงโรค หัวใจและหลอดเลือด และโรคกระดูกพรุน

    อาหารที่ผู้สูงอายุควรกินเพื่อช่วยชะลอความเสื่อมตามวัย

    เจาะลึกการดูแลผิว บำรุงข้อ ด้วยการ ใช้คอลลาเจน

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    50+ ร่างกายเปลี่ยนไป แค่ไหนกัน

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ขี้เหล็ก นอนไม่หลับ

    ข้อควรระวัง ในการใช้ ขี้เหล็ก แทนยานอนหลับ

    ถ้าจะใช้ ขี้เหล็ก แทนยานอนหลับ ต้องทำอย่างไร

    การใช้ ขี้เหล็ก แทนยานอนหลับ จะดีหรือไม่ แพทย์หญิงดวงรัตน์ เชี่ยวชาญวิทย์ แพทย์แผนปัจจุบันผู้มีความเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพรไทยไม่แพ้หมอสมุนไพร จะมาไขปัญหาเกี่ยวกับการนอนด้วย ” ข้อควรระวัง ในการใช้ขี้เหล็กแทนยานอนหลับ ” ค่ะ

    ในฤดูหนาวมีดอกไม้ออกดอกหลายชนิด  สีสันหลากหลายทำให้ฤดูหนาวเป็นฤดูแห่งการท่องเที่ยวได้สัมผัสอากาศเย็นสบายได้ชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม  ทำให้มีการกระจายรายได้สู่สถานที่ที่นักท่องเที่ยวอยากไปสัมผัส

    ดอกไม้ที่ออกดอกในฤดูหนาวและสามารถนำมาใช้ประโยชน์เป็นยาสมุนไพรได้คือดอกขี้เหล็กค่ะ

    ดอกขี้เหล็กนั้นมีสีเหลืองแต่ที่น่าประหลาดใจคือถ้าออกดอกในพื้นที่ที่อากาศไม่เย็นเท่าไรเช่นจังหวัดที่ผู้เขียนอยู่นั้นดอกจะไม่ใหญ่มาก แต่ถ้าไปขึ้นตามยอดดอยในภาคเหนือ  นั้นโอ้โห ทำไมมันใหญ่และดูสวยงามมาก ยิ่งถ้าอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนหรือขึ้นติด ๆ กันและมีหลายระดับจะทำให้ได้ทัศนียภาพที่สวยงามไม่แพ้ดอกซากุระเลยละค่ะ

    ขี้เหล็กนั้นสามารถใช้ทั้งดอกอ่อนหรือใบอ่อนนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรแก้โรคนอนไม่หลับ นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์กระตุ้นให้อยากอาหารด้วยค่ะ  สำหรับโรงพยาบาลบางกระทุ่มนั่นใช้ดอกตูมๆ มาผลิตเป็นยาสมุนไพรในรูปแบบแคปซูลและจ่ายให้กับผู้สูงอายุที่มีอาการเบื่ออาหารหรือนอนไม่หลับ  กินยาแค่ชนิดเดียวแต่ให้ผลการรักษาครอบคลุมอาการได้ทั้ง 2 อย่าง

    แม้เคยมีรายงานว่ามีคนไข้กินยาสมุนไพรขี้เหล็กแล้วมีอาการตับอักเสบ  แต่ในส่วนของโรงพยาบาลบางกระทุ่มนั้นได้ทำศึกษาวิจัยในคนไข้ที่กินยาขี้เหล็กแคปซูลมายาวนานโดยเจาะเลือดเพื่อดูการทำงานของตับพบว่าปกติ  นอกจากนั้นยังได้ศึกษาวิจัยในคนไข้กินยาขี้เหล็กโดยได้เจาะเลือดดูการทำงานของตับทั้งก่อนและหลังกินยาขี้เหล็กก็พบว่าปกติค่ะ

    ดังนั้นผู้เขียนจึงมีความมั่นใจที่จะใช้ยาสมุนไพรขี้เหล็กเพื่อช่วยรักษาคนไข้ที่มีอาการนอนไม่หลับและกินอาหารไม่ได้ซึ่งบางครั้งแค่นอนไม่หลับหรือกินอาหารไม่ได้มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งก็จ่ายยาขี้เหล็กแล้วค่ะ

    ถามว่าได้ผลมากน้อยแค่ไหนก็ได้ผลในระดับหนึ่งค่ะเพราะในความเป็นจริงแล้วอาการนอนไม่หลับหรือกินอาหารไม่ได้นั้นต้องแก้ที่ต้นเหตุ  สำหรับ อาการนอนไม่หลับนั้นส่วนใหญ่เกิดจากความเครียด ดังนั้น หากไม่แก้ที่สาเหตุถึงจะได้ยาดีอย่างไรก็ไม่ช่วยค่ะ แม้จะทำให้หลับได้แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะไม่สดชื่น ตามภาษาชาวบ้านคือนอนไม่อิ่ม

    ผู้เขียนเคยสัมผัสกับอาการนอนไม่หลับตอนเป็นกรดไหลย้อน พบว่าทรมานมาก ใช้วิธีช่วยนอนหลังต่างๆ แต่กว่าจะสัมฤทธิ์ผลต้องใช้เวลาและกำลังใจที่เข้มแข็งมาก

    ท่านผู้อ่านคงเข้าใจได้ว่ายานอนหลับกับหมอนั้นสามารถหยิบมากินได้ง่ายแต่ผู้เขียนเลือกที่จะไม่กินเพราะกลัวผลข้างเคียงซึ่งมีมากมายค่ะ หลักๆที่จำได้คือสามารถทำลายสมองได้เมื่อกินติดต่อเป็นระยะเวลานาน หรืออาจทำให้อาการกรดไหลย้อนเป็นมากขึ้นเพราะยิ่งไปทำให้หูรูดที่ปิดระหว่างหลอดอาหารกับกระเพาะอาหารปิดไม่สนิทมากขึ้น  กรดจึงไหลย้อนเข้าสู่หลอดอาหารมากขึ้น  ทำให้อาการกำเริบ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย  แต่ถ้าท่านผู้อ่านจำเป็นต้องใช้เพื่อช่วยให้หลับก็ใช้ได้ค่ะ แต่ไม่ควรใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ

    ผู้เขียนเข้าใจในความรู้สึกของคนไข้ที่มีอาการนอนไม่หลับเพราะตัวเองเคยประสบมาแล้วในช่วงที่นอนไม่หลับนั้นพยายามอ่านหนังสือเพื่อหาวิธีที่จะช่วยให้นอนหลับ  ไม่ว่าหนังสือจะแนะนำอย่างไรก็นำมาลองใช้กับตัวเองดูเพราะเวลาในการทดลองยาวนานค่ะ(ทั้งคืนไงคะ555)

    ขี้เหล็ก นอนไม่หลับ

    จำได้ว่ากว่าจะผ่านไปแต่ละคืนนั้นยาวนานมาก เฮ้อเจ้าประคุณเอ้ย  ทรมานมาก  เนื่องจากนอนไม่ค่อยหลับและช่วงกลางวันต้องไปทำงาน มีอาการแบบนี้อยู่เป็นเดือนค่ะ ช่วงนั้นคำว่าฟ้าเหลืองเป็นอย่างไรผู้เขียนบรรยายได้ค่ะเพราะมองไปทางไหนก็เหลืองหมดเลย (เศร้ามากค่ะ) กลางคืนกลายเป็นช่วงที่ไม่อยากให้ถึงเลยค่ะ เมื่อถึงกลางคืนก็อยากให้เช้าไวๆๆเคยคิดจะไปหยิบยานอนหลับมากินแต่ก็หักห้ามไว้สุดท้ายไม่มียาอยู่ในบ้านเลยค่ะ ทำใจว่าไม่หลับคือไม่หลับ คิดในแง่บวกคือมีเวลาทำงานมากกว่าคนอื่น(ไม่นอนไงค่ะ)

    แม้ผู้เขียนจะลองใช้วิธีการหลากหลายเรื่องนับแกะนั้นเด็กๆค่ะ ไม่ได้ผล  ลองสวดมนต์ก่อนนอนก็ไม่ได้ผล สุดท้ายใช้หลายๆอย่างร่วมกันคือสร้างบรรยากาศในห้องนอน เข้านอนเป็นเวลา ก่อนนอนไม่ทำอะไรให้สมองวุ่นวายค่ะ

    สุดท้ายสิ่งที่ได้ผลดีที่สุดคือการฝึกลมหายใจค่ะ โดยกำหนดลมหายใจเข้าและออกยาวๆ ทำจิตให้นิ่งและอยู่ที่ลมหายใจค่ะ

    ตอนฝึกทำใหม่ ๆ ยังไม่ได้ผลต้องใช้เวลาประกอบกับจิตที่นิ่งและแน่วแน่ เมื่อทำไปนานๆ ก็สามารถหลับได้ที่สำคัญเป็นการหลับแบบมีคุณภาพคือหลับลึกไม่ฝัน  และหลับยาว 5-7 ชั่วโมงเลยค่ะ เมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกสดชื่นมากค่ะ ความรู้สึกตอนที่ทำได้คือ รอดตายแล้วและค้นพบทางใหม่ที่ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น  นอกจากหลับได้ดีแล้วการฝึกลมหายใจยังช่วยทำให้มีสมาธิดีขึ้น  ความจำดีขึ้น  ทำอะไรโดยใช้สติกำกับตลอด ขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยทำให้ตัวผู้เขียนค้นพบหนทางนี้ได้เพราะเป็นยาวิเศษที่สามารถช่วยรักษาที่ต้นเหตุและช่วยรักษาในทุกโรคได้เลยค่ะ

    หลังจากที่พบว่าการฝึกลมหายใจช่วยให้นอนหลับได้ดีจึงได้พยายามนำไปใช้กับคนไข้ที่มีอาการนอนไม่หลับ  พบว่าส่วนใหญ่จะล้มเหลวเพราะคนไข้ใจไม่แข็งพอ  กลับมาบอกว่าไม่ไหวแล้ว และขอใช้ยานอนหลับซึ่งผู้เขียนต้องพยายามบอกว่าให้ไปไม่มากนะคะ โดยพยายามกระตุ้นให้คนไข้ฝึกจิตด้วยการกำหนดลมหายใจ ซึ่งเมื่อใช้เวลาและให้กำลังใจพบว่าบางท่านก็ทำได้ค่ะเมื่อคนไข้สามารถหยุดยานอนหลับได้ผู้เขียนสามารถสัมผัสได้ว่าเขามีความสุขมาก

    ดังนั้นท่านผู้อ่านที่มีอาการนอนไม่หลับลองฝึกลมหายใจดูนะค่ะ ในช่วงที่กำลังฝึกถ้าไม่ไหวจริงๆก็ใช้ยาขี้เหล็กช่วยได้ค่ะ จากนั้นค่อยๆหยุดขี้เหล็กจนสามารถหลับได้ด้วยจิตทีนิ่ง ที่สำคัญ ควรใช้การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับวัย เพื่อความแข็งแรงของร่างกายเป็นตัวช่วยด้วยนะคะ

    ขอให้ท่านผู้อ่านที่กำลังมีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับมีกำลังใจที่จะต่อสู้ทำให้หลับได้โดยไม่ใช้ยาค่ะ  ผู้เขียนขอเชียร์  เชียร์และก็เชียร์

    สู้ต่อไปนะคะ สวัสดีค่ะ

    ข้อมูลเรื่อง “ข้อควรระวัง ใช้ขี้เหล็กแทนยานอนหลับ” จากนิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 418

    ชีวจิต Tips กำจัดปัญหา นอนไม่หลับ

    อาจารย์สาทิสแนะนำวิธีคลายเครียดคลายเกร็ง (Relaxation) ซึ่งจะช่วยคนที่ นอนไม่หลับ ให้หลับได้ง่ายขึ้น

    โดยเริ่มต้นด้วยการคลายเกร็งส่วนต่างๆ ของร่างกายก่อน แล้วจึงแก้เครียดด้วยการทำสมาธิ

    ขั้นที่ 1 คลายเกร็งทั่วร่าง

    นอนหงายบนพื้นราบ กาง แขนขา ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนพื้น ทำจิตใจให้ว่าง ไม่คิดอะไร กำมือซ้ายให้แน่นจนมือสั่น นับ 1-10 แล้วคลาย แล้วเปลี่ยน เป็นข้างขวา จากนั้นคลายเกร็งที่ขา โดยเหยียดปลายเท้าซ้าย เกร็งขา ซ้ายจนสั่น นับ 1-10 แล้วคลาย นับเป็น 1 ครั้ง ทำ 3 ครั้ง แล้ว เปลี่ยนเป็นข้างขวา จากนั้นผงกศีรษะให้คางจรดอก (เกร็งเฉพาะส่วนคอ) หมุนคอจาก ซ้ายไปขวาและหมุนกลับจากขวาไป ซ้าย นับเป็น 1 ครั้ง ทำซ้ำ 3 ครั้ง แล้วคลายเกร็งที่ท้อง โดย หายใจยาวถึงสะดือ กลั้นหายใจและแขม่วท้อง นับ 1-5 ผ่อน ลมหายใจออกยาวๆ นับเป็น 1 ครั้ง ทำ 3 ครั้ง จากนั้นหายใจ ปกติ ถ้ารู้สึกร่างกายยังผ่อนคลาย ไม่หมด ให้ทำซ้ำอีกครั้งหรือสองครั้ง

    ขั้นที่ 2 คลายจิตด้วยสมาธิ

    ต่อจากนั้นให้นอนหลับตาทำสมาธิ เอาใจเพ่งที่จุดรวมระหว่างหัวตา นั่นคือจุดตาที่สาม

    หายใจให้สบายได้จังหวะพอดีๆ ตลอดร่างกาย ผ่อนคลายสบายๆ แล้วภาวนาพุทโธ โดยเอาใจไว้ที่จุดระหว่างคิ้ว (ถ้าไม่ใช่ชาวพุทธ อาจภาวนาถึงศาสดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองนับถือ) ทำใจให้ว่าง ไม่คิดถึงสิ่งใดทั้งสิ้น เมื่อใจนิ่งแล้ว บางคนอาจเห็นแสงสว่าง หรือสีต่างๆ ที่จุดระหว่างคิ้ว ประคองใจไว้ให้นิ่ง อย่าว่อกแว่ก มีสติ แล้วเพ่งที่แสงหรือสีนั้นตามสบาย อย่าเครียดอละอย่าตื่นเต้น

    เมื่อรู้สึกสบายจะรู้สึกว่าบังคับแสงหรือสีนั้นได้ ให้ลองสร้างเป็นจุดหรือวงกลม แล้วลองเคลื่อนจุดขึ้นไปตามที่ต่างๆ ในร่างกาย เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยภายในร่างกายของเรา

    นอกจากนี้ ยังสามารถใช้วิธีนับลมหายใจ คือนอนแผ่ กางแขนกางขาตามสบาย หายใจยาวตามปกติ หลับตาลง นับเดินหน้าถอยหลัง 1, 1-2, 1-2-3, 1-2-3-4, 1-2-3 -4-5 คือนับตั้งต้นที่ 1 ทุกครั้ง แล้วนับเพิ่มขึ้นทีละหนึ่ง นับแล้วทำสมาธิด้วย จนหลับไป

    อาจารย์สาทิสยังย้ำอีกว่า ทั้งหมดนี้ต้องใจเย็นๆ แรกๆ อาจยังทำไม่ได้ตามขั้นตอนทุกอย่างก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือต้องใจเย็นๆ อย่ารีบร้อน และต้องผ่อนคลายตลอดเวลา การทำสมาธิสม่ำเสมอจะช่วยให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย เมื่อเผชิญความเครียด หรือปัญหาจะมีสติและสงบได้เร็ว

    สมาธิช่วยปรับสมดุลร่างกาย อารมณ์ และจิตใจให้สมดุลอยู่เสมอ ดึงให้เราอยู่กับปัจจุบันขณะ ไม่คิดฟุ้งถึงอดีต หรืออนาคตมากจนเกินไป การทำสมาธิก่อนนอนเป็นประจำทุกคืนจึงช่วยให้นอนหลับสนิท ตื่นขึ้นมามีกำลัง สดชื่น สมองแจ่มใส แม้นอน เพียง 5-6 ชั่วโมงก็ยังรู้สึกสดใส

    ข้อมูลจาก หนังสือ กูแน่ สำนักพิมพ์อมรินทร์สุขภาพ

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    3 Step จัดการ ไขมันสูง ให้อยู่หมัด ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย

    ออกกำลังกายแก้ปวดหลัง ปวดเอว ด้วยรำกระบอง ท่าแหงนดูดาว

    แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

    ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ไขมันสูง

    3 Step จัดการ ไขมันสูง ให้อยู่หมัด ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย

    ไขมันสูง จัดการยังไงดี ?

    การมี ไขมันสูง หมายถึงภาวะที่มีความผิดปกติของการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ทำให้ร่างกายมีระดับไขมันในเลือดสูงกว่าเกณฑ์ที่เหมาะสม เป็นผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง และทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดตามมา นอกจากนี้ยังอาจทำให้ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน

    สาเหตุของภาวะ ไขมันสูง

    ได้แก่ กรรมพันธุ์ การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงโดยเฉพาะไขมันจากสัตว์ โรคของต่อมไร้ท่อบางชนิด เช่น เบาหวาน ไทรอยด์ โรคของต่อมหมวกไตบางอย่าง โรคตับ โรคไตบางชนิด  การรับประทานยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์  ฮอร์โมนเพศ(ยาคุมกำเนิด)  การตั้งครรภ์ การดื่มแอลกอฮอล์ และขาดการออกกำลังกาย

    ครูแพทย์แผนไทยพิพัฒน์ แนะนำว่า

    “ต้องเอาไขมันออกก่อนถ้าไม่เอาออกไม่หาย จะกลับไปเป็นซ้ำอีก เพราะร่างกายถูกยาคุมไว้เฉย ๆ  หยุดยาเมื่อไหร่น้ำตาลก็พุ่งขึ้นเหมือนเดิมเพราะไขมันไม่ได้ถูกเอาออกมา ลำไส้ยังสกปรก ในหลอดเลือดก็ยังสกปรกเหมือนเดิมไม่หาย ต้องล้างลำไส้ให้สะอาด ระบบน้ำเหลืองก็จะดี ไขมันจะไม่ไปพอกตับพอกม้าม”

    สำหรับแนวทางการรักษาภาวะไขมันในเลือดสูง และน้ำตาลสูงด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องกินยาตลอดชีวิตมี  3 ขั้นตอน ดังนี้

    Step 1 ชำระคราบไขมันในลำไส้

    การกำจัดไขมันในเส้นเลือด หรือในลำไส้ ทำได้หลายวิธี ทั้งการกินอาหารเป็นยา การใช้สมุนไพรตำรับเผาผลาญไขมันในร่างกาย ล้างคราบไขมันในลำไส้  ซึ่งมีหลายตำรับ เช่น ยาพรหมภักตร์  ยามหาพรหมภักตร์  ยามหิทธิมหาพรหมภักตร์ รวมถึงการสวนล้างลำไส้ หรือดีท็อก ตามการวินิจฉัยของแพทย์แผนไทย

    Step 2 บำรุงร่างกาย

    หลังจากวางยาตำรับชำระคราบไขมันในลำไส้เป็นที่เรียบร้อย ขั้นตอนต่อไปคือ การวางยาบำรุงร่างกาย เพื่อฟื้นฟูระบบการทำงานในร่างกายให้สมดุลเป็นปกติ

    Step 3 ปรับพฤติกรรม

    เพื่อป้องกันไม่ให้กลับไปเป็นซ้ำอีก ผู้ป่วยต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เช่น งดสูบบุหรี่ ลดอาหารไขมัน และของหวาน ออกกำลังกายเป็นประจำ

    ครูแพทย์แผนไทยพิพัฒน์ เล่าว่า

    “ผมอยู่ในวงการแพทย์แผนปัจจุบันที่หันมาศึกษาศาสตร์การแพทย์แผนไทย เพราะถึงทางตันกับการรักษาโรคเบาหวาน ความดันและไขมันที่การรักษาแบบแผนปัจจุบันรักษาไม่หายขาด  ทุกวันนี้มีผู้ป่วยเบาหวานมารักษาด้วยการแพทย์แผนไทยมากขึ้น โดยรักษาด้วยการวางยาถ่ายเพื่อขับไขมันออกก่อนเป็นลำดับแรก  ตามด้วยการวางยาบำรุงอย่างเหมาะสมให้คนไข้ พร้อมกับแนะนำให้ปรับพฤติกรรมว่าควรกินอย่างไร แต่ไม่ค่อยห้ามคนไข้เรื่องการกิน เช่น ทุเรียน การแพทย์แผนไทยบอกว่ามีรสหวานร้อน คนไข้ที่มารักษาสามารถกินทุเรียนได้ แต่แนะนำให้กินสมุนไพรที่มีรสขมตามเข้าไป น้ำตาลก็จะไม่ขึ้น และหมั่นออกกำลังกาย จึงทำให้การรักษาได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

    “นอกจากนี้จากประสบการณ์ ถ้าเป็นเคสผู้ป่วยไขมันในเลือดสูงที่ยังไม่เคยเข้าสู่กระบวนการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบัน จะใช้เวลารักษาประมาณ 3-6 เดือน ตามวงจรของเม็ดเลือดในร่างกายที่มีอายุประมาณ 120 วัน หรือ 4 เดือน อาการก็จะหายหรือดีขึ้น 

    สำหรับผู้ป่วยที่เคยได้รับยาแผนปัจจุบันมาก่อนอาจต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานานขึ้น เนื่องจากร่างกายคุ้นเคยกับยาแผนปัจจุบัน

    ข้อดีของการรักษาอาการไขมันในเลือดสูง หรือ อาการเสมหะคั่ง ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยคือเป็นทางเลือกให้ผู้ป่วยช่วยให้ไม่ต้องกินยาลดไขมันไปตลอดชีวิต และเมื่อรักษาหายแล้วสามารถหยุดกินยาได้”

    สมุนไพรไทย ลดอ้วน ช่วยอิ่มท้อง

    สมุนไพรลดออ้วน ของไทย ที่สามารถช่วยอิ่มท้อง และลดอ้วนได้ คือสมุนไพรที่มีกากใย หรือไฟเบอร์ ที่เราเรียกกันคุ้นชิน

    โดยปกติแล้วใยอาหารหรือ ไฟเบอร์ จะประกอบด้วย 2 ชนิด คือ ใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ แต่จะพองตัวดูดซับน้ำเปรียบเหสทอนฟองน้ำทำให้รู้สึกอิ่ม แถมช่วยเพิ่มขนาดอุจจาระให้ไหลลื่นขึ้น สามารถขับถ่ายได้สะดวก

    สำหรับใยอาหารอีกชนิดคือ ใยอาหารที่ละลายน้ำ จะคอยดูดซับน้ำไว้กับตัวเองทำให้ มีลักษณะคล้าเจลหรือวุ้น ช่วยชะลอการดูดซับของสารต่างๆ และทำให้การเคลื่อนตัวของอุจจาระได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ลดปัญหาการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี

    เมล็ดแมงลัก

    นำมาเมล็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชา มาแช่ในน้ำจนพองตัวเต็มที่ แล้วดื่มก่อนอาหาร หรือกินกับโยเกิร์ตก็อร่อยได้เหมือนกัน

    เทียนเกล็ดหอย

    ต้องนำมาแช่ในน้ำให้พองตัวเหมือนเมล็ดแมงลัก ครั้งละ 1-2 ช้อนชา ดื่มหรือกินก่อนอาหาร

    หัวบุก

    ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์จากหัวบุกมากมาย ทั้งผงชง ผลิตภัณฑ์แบบเส้น แบบก้อน แล้วแต่เลือกกิน ถ้าเป็นแบบผงให้นำมาชงดื่มกับน้ำต้มสุก ครั้งละ 1-2 ช้อนชา หรือถ้าเป็นแบบก้อนหรือเส้นให้ต้มสุกก่อนกินทุกครั้ง

    ลูกสำรอง

    สมุนไพรขึ้นชื่อของจังหวัดจันทบุรี วิธีทำ นำทั้งผล 5-10 ลูกมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วแช่ในน้ำ ทิ้งไว้ 3-5 ชั่วโมง จนกว่าวุ้นในลูกสำรองพองตัวออกมา แล้วกรองเอาแต่วุ้น ชงดื่ม เติมน้ำตาลทรายแดงเล็กน้อย

    ว่านหางจระเข้

    นำว่านห่างจระเข้ล้างน้ำไหลให้สะอาด โดยพยายามล้างยางสีเหลืองออกให้หมด แล้วนำมาปอกเปลือก ล้างน้ำไหลผ่านอีกครั้งจนสะอาด แล้วนำมากินใส่ในเครื่องดื่ม หรือโรยเป็นท็อปปิ้ง กินกับโยเกิร์ตก็อร่อยได้เหมือนกัน

    วิ่งอย่างไรจึงผอม เพื่อเร่งเบิร์นไขมันในเลือด

    อย่ารีบหยิบรองเท้าผ้าใบคู่ใจลงลู่วิ่งนะคะ หากยังไม่รู้เทคนิคของการวิ่งลดน้ำหนัก หลายคนวิ่งเท่าไรก็ไม่ผอมเสียที นั่นเพราะคุณกําลังวิ่งผิดวิธี การวิ่งเพื่อลดน้ำหนักคือ การวิ่งที่ทําให้อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในช่วงโมดีเรต หรือชีพจรเต้นอยู่ที่ร้อยละ 75-85

    นักวิ่งจะรู้สึกเหนื่อยระดับปานกลาง หายใจแรง มีเหงื่อออกพอชุ่ม แต่ยังพูดเป็นประโยคได้ การวิ่งให้อัตราการเต้นหัวใจอยู่ในระดับนี้ จะช่วยให้ ร่างกายเผาผลาญไขมันออกมาใช้ได้ถึงร้อยละ 60 และเป็นช่วงที่ร่างกายดึงไขมันออกมาใช้มากที่สุดเมื่อเทียบกับอัตราการเต้นของหัวใจในระดับอื่น จึงเหมาะแก่การออกกําลังกายเพื่อลดน้ำหนัก

    โมดีเรตสิจ๊ะ ถึงผอม

    รู้ได้อย่างไรว่า อัตราการเต้นของ หัวใจในช่วงโมดีเรต (ชีพจรเต้นร้อยละ75-85) คือเท่าไร เรามีสูตรในการคํานวณดังนี้

    อัตราการเต้นของหัวใจช่วงโมดีเรต = (220- อายุ) × อัตราการเต้นของหัวใจช่วงโมดีเรต (ช่วง 75/100-85/100)

    ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงอายุ 20 ปี จะหาค่าอัตราการเต้นของหัวใจช่วงโมดีเรต (ใช้ร้อยละ 75 ซึ่งเป็นตัวเลขช่วงต่ำสุดเป็นเกณฑ์) = (220-20)×0.75 = 150 ครั้งต่อนาที

    หากใช้ตัวเลขค่าบนของอัตราการเต้นของหัวใจช่วงโมดีเรตคือ ร้อยละ 85 ของสาวๆ อายุ 20 ปี คํานวณจะได้การเต้นของชีพจร 170 ครั้งต่อนาที

    อัตราการเต้นของหัวใจช่วงโมดีเรตของกลุ่มสาวๆ ในช่วงอายุต่างๆ ยกตัวอย่าง เช่น

    • 20 ปี อัตราการเต้นของหัวใจคือ 150-170 ต่อนาที
    • 30 ปี อัตราการเต้นของหัวใจคือ 143-161ต่อนาที
    • 40 ปี  อัตราการเต้นของหัวใจคือ 135-153 ต่อนาที

    ทำตามนี้ ไขมันโดนเบิร์นออกจากร่างกายแน่นอน

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ออกกำลังกายแก้ปวดหลัง ปวดเอว ด้วยรำกระบอง ท่าแหงนดูดาว

    รำกระบองช่วยรักษาโรคและอาการไหล่ติดได้

    วิ่งลดน้ำหนัก ใน 12 สัปดาห์ ทำตามแล้วจะรู้ว่า ผอม!

    การวิ่ง ไม่ทำให้เข่าเสื่อม!! พร้อมเทคนิควิ่งเสริมข้อแข็งแรง

    แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

    ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    กรดไหลย้อน

    บ.ก.ขอตอบ : 11 วิธีกินให้อร่อย แก้ปัญหา โรคกรดไหลย้อน

    บ.ก.ขอตอบ 11 วิธีกินให้อร่อย แก้ปัญหา โรคกรดไหลย้อน

    โรคกรดไหลย้อน นับเป็นปัญหาใหญ่ของคนยุคนี้ เรามาดูกันว่า บ.ก. ชีวจิตมีคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เพื่อสู้กับโรคนี้อย่างไร

    ถาม

    มีปัญหา โรคกรดไหลย้อน หรือ heartburn น่ะค่ะ ไม่หายสักที จะมีวิธีแก้ปัญหา และอาหารที่ช่วยแก้ปัญหากรดไหลย้อน มีไหมคะ มีอะไรบ้าง

    ตอบ

    “กรดไหลย้อน” หรือบางคนเรียกว่า heartburn เป็นปัญหาสุขภาพคลาสสิกของคนสมัยนี้ ส่วนหนึ่งก็เนื่องจากการกินอาหารรสจัด กินอาหารเย็นดึกเกินไป และอาหารที่กินก็เป็นอาหารประเภทที่ทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานในการย่อยอย่างมาก เช่น ของหวาน ของทอด เนื้อแดงทั้งหลาย

    เรื่องนี้ คุณหมอประมวล จารุตระกูลชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญประจำชีวจิตโฮมคลินิก อธิบายไว้ในนิตยสารชีวจิต คอลัมน์เรื่องพิเศษ ว่า กรดไหลย้อนเป็นโรคที่พบบ่อยมากกับคนทำงานในปัจจุบัน เกิดจากกรดในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนผ่านหูรูดส่วนปลายของกระเพาะอาหารขึ้นไปบริเวณหลอดลมในปอด หลอดอาหาร ลำคอ กล่องเสียง ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุผิวของอวัยวะที่กรดไหลผ่าน

    หากปล่อยไว้ เพราะคิดว่าทนได้ อาการอักเสบก็จะลุกลามหรือรุนแรง อาจก่อเป็นโรคมะเร็งทางเดินอาหาร ลำคอ กล่องเสียงได้ โดยบ.ก.มีเพื่อนบางคนที่มีอาการของโรคกรดไหลย้อน จะรู้ว่าทรมานมาก บางวันบ.ก.เผลอกินส้มตำเป็นอาหารเย็น และดันเอ็นจอยกับรสแซ่บของเมนูยอดฮิตนี้ จึงมีอาการแสบร้อนกลางอกบ้าง ซึ่งบอกได้เลยว่า ไม่ธรรมดา โชคดีที่เป็นคนหลับง่าย สถานการณ์ไหนๆ ก็ไม่มีทางรบกวนการนอนหลับ ประกอบกับรู้ว่า อาการนี้มาจากไหน ก็รีบหยุดพฤติกรรมนั้นโดยเด็ดขาด

    โดยสาเหตุของโรคกรดไหลย้อน มี 3 ประการ ได้แก่

    1. พฤติกรรมการกิน ดังที่บ.ก.บอกไปแล้ว รวมทั้งการติดกาแฟ น้ำอัดลม สูบบุหรี่จัด ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    2. พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ชอบสวมเสื้อผ้ารัดรูป โดยเฉพาะที่รัดหน้าท้อง หรือการออกกำลังกายที่เกร็งหน้าท้องเกินไป
    3. หูรูดหลอดอาหารมีการบีบตัวผิดปกติ โดยคุณหมอประมวลเล่าว่า ในบางรายอาจเกิดจาก หลอดอาหารส่วนปลายเลื่อนต่ำกว่าปกติ ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อกระบังลมหย่อน
    โรคกรดไหลย้อน, กรดไหลย้อน, อาการกรดไหลย้อน, ป้องกันกรดไหลย้อน, รักษากรดไหลย้อน
    พฤติกรรมการกิน และการใช้ชีวิตผิดๆ ก่อให้เกิดโรคกรดไหลย้อน

    และโรคกรดไหลย้อนมี 3 ระดับความรุนแรงได้แก่

    1. ระดับไม่รุนแรง ระยะนี้จะไม่แสดงอาการมากนัก มีเพียงแค่อาการจุกแน่นหน้าอกกลืนลำบาก เรอมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวเป็นครั้งคราวเนื่องจากกรดไหลย้อนไปที่หลอดอาหารเฉพาะเวลาที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
    2. ระดับปานกลาง ระยะนี้จะเกิดอาการมากและบ่อยขึ้น ในบางคนอาจมีอาการตลอดเวลา สาเหตุมาจากกรดไหลย้อนกลับไปที่หลอดอาหารตลอดเวลา
    3. ระดับรุนแรง เมื่อเป็นในระดับรุนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการไอ เสียงแหบ โดยเฉพาะตอนตื่นนอน

    หรือพูดไปสักระยะหนึ่งแล้วเสียงค่อย ๆ แหบลง และมีอาการหอบ โดยหาสาเหตุไม่พบ ทั้งนี้เพราะกรดไหลย้อนขึ้นไปถึงกล่องเสียง หลอดลมและในบางรายอาจเกิดอาการปอดอักเสบจากกรดในน้ำย่อยร่วมด้วย

    11 วิธีกินให้อร่อย แก้ปัญหากรดไหลย้อน

    1. งดอาหารมื้อเย็นหรือกินผลไม้ทดแทน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กระเพาะอาหารสร้างน้ำย่อยออกมามากเกินไป หรือควรกินอาหารก่อนเข้านอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
    2. งดเครื่องดื่มที่มีแก๊ส เช่น ชา กาแฟ แอลกอฮอล์ ฯลฯ อาหารมัน หวาน เผ็ด และอาหารประเภทปิ้ง ย่าง ทอด เพราะเป็นอาหารที่กระตุ้นการสร้างน้ำย่อย
    3. งดกินผักและผลไม้ที่มีกรดมาก เช่น ส้ม มะนาว มะเขือเทศ ฯลฯ
    4. เคี้ยวอาหารอย่างช้า ๆ ให้ละเอียด เพื่อช่วยให้กระเพาะอาหารไม่ต้องทำงานหนักเกินไป
    5. กินแซนด์วิช โดยนำขนมปังโฮลวีตไปปิ้งพอเกรียม หั่นหอมหัวใหญ่เป็นชิ้นบาง ๆยัดเป็นไส้ขนมปัง กินเป็นอาหารเช้า
    6. กินสลัดผัก แนะนำให้เติมกระเทียมดิบ แครอตดิบ และเซเลอรี่ดิบลงไปมาก ๆ รวมถึงควรกินผักที่มีใยอาหารมาก ๆ เช่น คะน้า บรอกโคลี ผักบุ้ง ตำลึง สะเดา
    7. ดื่มน้ำเต้าหู้หรือกินกล้วยเพื่อช่วยบรรเทาอาการขณะเกิดขึ้นได้
    8. ควรดื่มน้ำขิง เพราะเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยย่อย โดยนำขิงแก่ที่ปอกเปลือกหั่นเป็นแว่นต้มในน้ำร้อนจนเดือด กรองเฉพาะน้ำดื่ม
    9. ดื่มน้ำสับปะรด น้ำว่านหางจระเข้ หรือชามะละกอ เพื่อลดกรดและสมานแผลในกระเพาะอาหาร
    10. ดื่มน้ำแอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์ผสมน้ำผึ้ง โดยนำน้ำส้มแอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์ปริมาณ 3 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำร้อนครึ่งแก้ว คนให้เข้ากัน จิบตลอดวัน
    11. กินขมิ้นชันครั้งละ 2 เม็ด 2 มื้อ หลังอาหาร เช้า – เย็น
    ดื่มน้ำเต้าหู้, โรคกรดไหลย้อน, กรดไหลย้อน, แก้กรดไหลย้อน, แก้ปัญหากรดไหลย้อน
    ดื่มน้ำเต้าหู้ บรรเทาอาการกรดไหลย้อน

    หากบางรายมีอาการคลื่นไส้อาเจียนด้วย บ.ก.นำวิธีแก้อาการดังกล่าว สูตรของอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิตมาฝากค่ะ

    1. ดื่มน้ำผึ้งแท้หรือน้ำตาลโตนดหรือน้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนโต๊ะ (สำหรับเด็กใช้ 1 ช้อนโต๊ะ) ผสมน้ำร้อน คนให้เข้ากัน ดื่มอุ่น ๆ
    2. ดื่มชาจีนหรือชาฝรั่งอุ่น ๆ
    3. ดื่มน้ำขิง ใช้ขิงแก่หั่นหนา ประมาณ 1 – 2 นิ้ว ทุบให้แหลก ต้มกับน้ำเดือด ดื่มอุ่น ๆ
    4. นวดนิ้วมือ นวดง่ามนิ้วมือระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ นวดแรง ๆ ข้างละ 5 ครั้ง

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    เดินเร็ว วันละนิด ชีวิตยืนยาว

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

    ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ผู้สูงอายุ, ออกกำลังกาย, วิธีออกกําลังกายป้องกันการหกล้ม

    วิธีออกกําลังกายป้องกันการหกล้ม ในผู้สูงวัย

    วิธีออกกําลังกายป้องกันการหกล้ม ในผู้สูงวัย ทำตามแล้วจะแข็งแรง

    วิธีออกกําลังกายป้องกันการหกล้ม นับเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการทรงตัว จําเป็นต่อการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ฉะนั้น คุณหมอริชาร์ด บาล์ดวิน จากสมาคมโรคข้อแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงแนะนําให้ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ฝึกบริหารดวงตาและหู เพื่อส่งเสริมความสมดุลในการทรงตัวและสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว ป้องกันการหกล้มอันจะนําไปสู่การเกิดภาวะกระดูกหัก

    วิธีรักษาประสิทธิภาพการทํางานของดวงตาและหูเพื่อการทรงตัว ได้แก่

    • ตรวจเช็กสายตาอย่างสม่ําเสมอ
    • ยืนตัวตรงบริเวณมุมโต๊ะ วางมือเบาๆ ลงบนโต๊ะ จากนั้นลองยกขาข้างหนึ่งขึ้น เพื่อยืนด้วยขาข้างเดียว เมื่อทําได้แล้วลองหลับตาสุดท้ายลองยกมือมากอดอกไว้

    ฝึกสมดุลการทรงตัว

    ฝึกสมดุลการทรงตัวช่วยสุขภาพโดยรวม คุณผกาทิพย์ ชื่นโชคสันต์ นักกายภาพบําบัด ประจําศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ภาคใต้ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ แนะนํา ท่าฝึกสมดุลการทรงตัวไว้ดังนี้

    ผู้สูงอายุ, ออกกำลังกาย, วิธีออกกําลังกายป้องกันการหกล้ม
    การทรงตัว จําเป็นต่อการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ

    1. ยืนด้วยขาข้างเดียว ยืนตรงบนพื้นราบ มือทั้งสองข้างเท้าเอว ยกเท้าขวาไปข้างหลัง งอเข่าขวาขึ้น ค้างท่าไว้ 5 วินาที ทําซ้ํา 5-10 ครั้ง สลับข้าง

    2. ยืนด้วยขาข้างเดียว ยืนตรงบนพื้นราบ มือสองข้างเท้าเอว ยกขาขวาขึ้นโดยให้เข่าอยู่ระดับเดียวกับข้อสะโพก ค้างท่าไว้ 5 วินาที ทําซ้ํา 5-10 ครั้ง สลับข้าง

    3. ยืนด้วยขาข้างเดียวถือดัมบ์เบล ยืนตรง มือซ้ายเท้าเอว มือขวาถือดัมบ์เบล พับเข่าขวายกเท้าขวาขึ้น ยกแขนขวาออกด้านข้าง เหยียดตรง ค้างท่าไว้ 5 วินาที ลดแขนลง วางเท้าบนพื้นทําซ้ํา 5-10 ครั้ง สลับข้าง

    Balance Training Tip

    นายแพทย์กรกฎ พานิช อาจารย์ประจําสาขาวิชาเวชศาสตร์การกีฬา วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล แนะนําว่า หากหลับตาขณะฝึกยืนทรงตัวจะทําให้การฝึกมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ในผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยควรระวังเป็นพิเศษ เพราะการหลับตาขณะฝึกอาจเสี่ยงต่อการหกล้มได้

    นอกจากนี้ คุณหมอกรกฎยังย้ําว่า เมื่ออายุมากขึ้น การทรงตัวจะแย่ลง ควรฝึกการทรงตัวบ่อยๆ หากนึกได้หรือมีโอกาสก็ควรฝึกเรื่อยๆเพื่อป้องกันการหกล้ม และหากการฝึกทุกท่าที่กล่าวมาเป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม สุขภาพหลอดเลือดจะแข็งแรงขึ้น ซึ่งสามารถวัดได้จากการที่ชีพจรเต้นช้าลง รู้สึกเหนื่อยน้อยลง

    ผู้สูงวัยกับการออกกำลังกาย

    ฝึกกล้ามเนื้อ ตอนอายุเยอะ ยังทันหรือไม่

    คุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจและหลอดเลือด และคอลัมนิสต์ชื่อดัง มีคำตอบเกี่ยวกับการ ฝึกกล้ามเนื้อ มาให้ค่ะ ไปติดตามกัน

    ช่วงสามสี่เดือนที่ผ่านมา เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ที่มวกเหล็กยังไม่เสร็จ ผมจึงต้องตระเวนใช้สถานที่รีสอร์ทต่าง ๆ สอนกลุ่มผู้เกษียณอายุ

    วิธีสอนของผม แม้จะไปสอนนอกสถานที่ แต่ผมก็ไม่เน้นความรู้ แต่เน้นแต่การฝึกทักษะ คือฝึกให้ทำจนเป็น อย่างการออกกำลังกายแบบแอโรบิก (aerobic) ซึ่งมีนิยามว่าเป็นการออกแรงต่อเนื่องและหนักพอควรเป็นเวลาติดต่อกันอย่างน้อย 30 นาที ถึงขั้นหอบแฮ่กๆ ร้องเพลงไม่ได้ สัปดาห์ละอย่างน้อย 5 ครั้ง

    ผมก็จะพาผู้เกษียณทุกคนลุยไปให้ถึงระดับหอบแฮ่กๆ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ว่าเนี่ย หอบแฮ่ก ๆ ต้องประมาณนี้นะ

    ยอมรับว่าลำบากลำบนทุลักทุเลพอสมควร เพราะก่อนเริ่มเรียน ถ้าผมถามว่าในหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ใครมีโอกาสทำอะไรถึงขั้นหอบแฮ่ก ๆ ร้องเพลงไม่ได้บ้าง ให้ยกมือขึ้น ผู้เรียนประมาณ 50 คน ก็จะมีคนยกมือ 1-2 คน

    นี่คืออัตราผู้ออกกำลังกายแบบแอโรบิกในวัยเกษียณของไทย ถือว่าเป็นอัตรามาตรฐาน ชั้นแล้วชั้นเล่าก็ได้ผลแบบนี้ คือประมาณ 2-4%

    แต่ที่ทุลักทุเลยิ่งกว่าแอโรบิกคือ การสอนทักษะการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (strength training) หรือเรียกง่าย ๆ ว่าการเล่นกล้าม การสอนให้ผู้สูงอายุให้เล่นกล้ามนะ โห..มันช่างเป็นอะไรที่ลำบากยากแค้นเหลือแสน ตัวผมเองซึ่งเป็นผู้สอนนั้นไม่ลำบากหรอก แต่ผู้เรียนสิครับ บางคนกลับบ้านไปแล้วสองสัปดาห์ ยังเขียนอีเมลมาบอกผมว่า ยังเดินเหินไม่คล่อง เพราะยังไม่ฟื้นจากอาการปวดเมื่อยเมื่อตอนฝึกเล่นกล้ามในแค้มป์ของผม

    อย่าว่าแต่ผู้สูงอายุเลย คนไทยส่วนใหญ่ แม้จะมีการศึกษาดีและเอาใจใส่สุขภาพตัวเองแค่ไหน ก็มีน้อยคนนักจะเล่นกล้าม และยิ่งมีน้อยคนนักที่เห็นคุณค่าและความสำคัญของการเล่นกล้าม

    ในมือผมขณะนี้ มีวารสารเวชศาสตร์ป้องกัน (Journal of Preventive Medicine) ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2559 ซึ่งตีพิมพ์ผลงานวิจัย จากการติดตามคนอายุเกิน 65 ปีจำนวนสามหมื่นกว่าคน นาน 15 ปีแล้ว

    โดยแบ่งเป็นสองพวก ระหว่าง แก่แต่เล่นกล้ามสัปดาห์ละอย่างน้อยสองครั้ง (ซึ่งมีอยู่แค่ประมาณ 10% ของผู้สูงอายุที่ตามดูทั้งหมด) กับอีกพวกหนึ่งแก่แต่ไม่เล่นกล้าม

    โดยถือเกณฑ์ว่าถ้าเล่นกล้ามสัปดาห์ละ 2 ครั้งขึ้นไป ก็ให้จัดเข้ากลุ่มพวกแก่แต่เล่นกล้าม เพราะมาตรฐานการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงวัยของสมาคมเวชศาสตร์การกีฬาและสมาคมหัวใจอเมริกัน (ACSM/AHA) กำหนดไว้ว่า

    “..ผู้สูงวัยควรออกกำลังกายแบบแอโรบิกจนถึงระดับหนักพอควร (หอบแฮ่กๆ จนร้องเพลงไม่ได้) อย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละอย่างน้อย 5 ครั้ง บวกเล่นกล้ามอีกอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2  ครั้ง บวกออกกำลังกายแบบเสริมการทรงตัวและปรับแผนการใช้ชีวิตแบบมีการเคลื่อนไหวทั้งวัน..”

    ผลการวิจัยที่อยู่ในมือผมพบว่า ผู้สูงอายุที่เล่นกล้ามสัปดาห์ละสองครั้งขึ้นไป มีอัตราการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุน้อยกว่าพวกไม่เล่นร้อยละ 46 เปอร์เซ็นต์ และตายจากโรคหัวใจน้อยกว่าพวกไม่เล่นร้อยละ 41 เปอร์เซ็นต์ ความแตกต่างกันมากขนาดนี้ นับว่าน่าทึ่ง และผมรับประกันว่า ไม่มียาอายุวัฒนะขนานไหนทำได้อย่างแน่นอน

    นี่เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดที่เคยมีมา เรื่องประโยชน์ของการเล่นกล้ามที่นอกจากการยืนยันในวงการแพทย์รู้ว่าทำให้กระดูกและข้อแข็งแรง ลดอุบัติการณ์ลื่นตกหกล้ม ลดโรคเบาหวาน โรคกระดูกพรุน และลดอาการการปวดข้อจากโรคข้อแทบทุกชนิดได้ รักษาโรคอ้วน และปวดหลัง

    โดยงานวิจัยชิ้นนี้บวกประโยชน์ของการเล่นกล้ามไปอีกอย่างหนึ่งว่า ทำให้ผู้สูงอายุมีอายุยืนยาวขึ้น

    เมื่อพูดถึงการเล่นกล้าม คนนึกภาพการบังคับให้คุณย่าหลังโกงยงโย่ยงหยกยกดัมเบลหนักอึ้งแบบนักกล้ามโอลิมปิก เปล่า ไม่ใช่เช่นนั้นเลย การเล่นกล้ามเริ่มต้นด้วยท่าร่าง (posture) แบบว่าแค่ยืดหน้าอกขึ้น หลังตรง แขม่วพุงเล็กน้อยเสมอ นี่ก็เป็นการเริ่มเล่นกล้ามแล้ว

    กายบริหารที่อาศัยน้ำหนักตัวของเราเอง เช่น การวิดพื้น การนั่งยองๆ แล้วลุก การยืนกางขาแล้วย่อเข่าลงสลับกับยืดเข่าขึ้น ก็เป็นการเล่นกล้ามที่ดี โยคะ และการรำมวยจีน (ไท่ชิ) ก็เช่นกัน

    หากจะใช้อุปกรณ์ แค่มีดัมเบลคู่เล็ก ๆ หนักข้างละ 1 กิโลกรัม คู่หนึ่ง กับสายยืด (TRX) เส้นหนึ่ง และกระบองไว้รำสักอันหนึ่งก็เหลือแหล่แล้ว ไม่ต้องไปเข้ายิมยกลูกเหล็กเบ้อมเริ่มเทิ่มอย่างนั้นหรอก ผมเคยเขียนรายละเอียดของการเล่นกล้ามบ่อยๆ ท่านที่สนใจอาจจะลองเปิดดูได้ที่ http://visitdrsant.blogspot.com/2010/10/strength-training.html

    ด้วยหลักฐานวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน สำหรับลูกหลานของผู้สูงอายุ การจะช่วยดูแลสุขภาพให้คุณปู่ ย่า ตา ยาย ต้องพูดว่า

    “..คุณย่าขา มาเล่นกล้ามกันเถอะค่ะ”

    ข้อมูลจากนิตยสารชีวจิต


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    รำกระบองช่วยรักษาโรคและอาการไหล่ติดได้

    การวิ่ง ไม่ทำให้เข่าเสื่อม!! พร้อมเทคนิควิ่งเสริมข้อแข็งแรง

    แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

    ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    รำกระบอง

    รำกระบอง สไตล์ชีวจิต

    รำกระบอง สไตล์ชีวจิต

    รำกระบอง การออกกำลังกายที่คิดค้นโดย อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต ซึ่งเป็นวิธีออกกำลังกายที่ประหยัด เพราะใช้ท่อพีวีซีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 นิ้ว เป็นอุปกรณ์ในลักษณะแกนหมุนให้ท่อนแขนยึด และมีท่าบริหารที่ใช้กระบองช่วยบิดหมุนร่างกายให้ได้องศาตามที่ต้องการทำให้สามารถบริหารกล้ามเนื้อรอบๆ แกนกระดูกสันหลังได้ดีขึ้น

    กระดูกสันหลังอวัยวะสำคัญที่ถูกลืม

    นายแพทย์กรกฎ พานิช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านโรคกระดูกและข้อ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเวชศาสตร์การกีฬา วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า

    กระดูกสันหลังเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญเพราะเป็นแกนยึดให้ร่างกายของเราตั้งตรงอยู่ได้ประกอบด้วยกระดูก 24 ท่อนเรียงต่อกัน แบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ กระดูกสันหลังส่วนคอ ส่วนอก และส่วนหลัง เชื่อมต่อกับกระดูกเชิงกรานด้วยข้อต่อ การที่เราสามารถเคลื่อนไหวบิดหมุนร่างกายได้ เพราะรอบๆ กระดูกสันหลังมีกล้ามเนื้อห่อหุ้มอยู่ทุกทิศทางแบบ 360 องศา

    คุณหมอกรกฎแนะนำว่า ถ้าไม่อยากปวดหลัง และมีอาการปวดตึงจนลามไปถึงคอ บ่า ไหล่ จนกลายเป็นโรคยอดฮิตอย่างออฟฟิศซินโดรม ต้องหมั่นบริหารกล้ามเนื้อหลังเป็นประจำ

    “จากประสบการณ์การรักษาคนไข้ ส่วนใหญ่เมื่อซักประวัติเพื่อวินิจฉัยโรคก็มักพบว่า บุคคลนั้นมักอยู่ในอิริยาบถเดิมเป็นเวลานาน เช่น นั่ง หรือยืนจนเกิดอาการปวดเพราะใช้กล้ามเนื้อผิดท่าติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ตัวอย่างเช่น บางคนนั่งเอียงตัวไปด้านซ้ายกล้ามเนื้อด้านซ้ายจะทำงานหนักเพราะรับน้ำหนักมาก อาการปวดจะตามมา หรือถ้าเอี้ยวตัวไปทางซ้ายเพื่อหยิบของ แล้วรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาเป็นเพราะกล้ามเนื้อด้านขวาถูกยืดมากเกินปกติ คนเมืองที่มีพฤติกรรมนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ นั่งขับรถยนต์ ขาดการออกกำลังกายเป็นประจำ ทำให้กล้ามเนื้อหลังอ่อนแอ ขาดทั้งความแข็งแรงและความยืดหยุ่น โอกาสที่จะเกิดอาการบาดเจ็บก็จะมีมากขึ้นครับ”

    ฟังคุณหมอกรกฎพูดถึงพฤติกรรมเสี่ยงเราๆ ท่านๆ ก็แทบจะหนีโรคออฟฟิศซินโดรมไปไม่พ้น ดังนั้น ชีวจิต คงต้องขอพึ่งการรำกระบอง พระเอกของเรา ช่วยปราบอาการปวดหลังให้ราบคาบเสียแล้ว

    รำกระบอง ชีวจิต ออกกำลังกาย ออกกำลังกายแบบชีวจิต นิตยสารชีวจิต
    ท่ารำกระบอง

    รำกระบอง มีประโยชน์ต่อสุขภาพ รับรองโดยงานวิจัย

    งานวิจัยเรื่อง “ผลของการรำกระบองในการสร้างความแข็งแกร่งและยืดหยุ่นกล้ามเนื้อ” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์วุฒิชัย เพิ่มศิริวาณิชย์ และคณะ ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์และกายภาพบำบัดและเวชศาสตร์ฟื้นฟู หน่วยระบาดวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อธิบายว่า การรำกระบองมีประโยชน์ต่อสุขภาพดังนี้

    1. กล้ามเนื้อหลัง คอ บ่า ไหล่ รวมถึงกล้ามเนื้อแขนและขาแข็งแรง

    2. กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ข้างต้นมีความยืดหยุ่นมากขึ้น นอกจากกล้ามเนื้อหลังแล้วบริเวณเอ็นร้อยหวายและกล้ามเนื้อน่องยังยืดหยุ่นมากขึ้นตามไปด้วย

    3. เป็นการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่ำ จึงแทบไม่มีผลต่อผู้ป่วยที่เคยเข้ารับการผ่าตัดกระดูกและข้อ

    นอกจากนี้การรำกระบอง ยังเป็นวิธีฟิตสุขภาพที่แสนประหยัด เพราะมีอุปกรณ์เป็นท่อพีวีซี หาได้ง่าย ราคาไม่แพง สะดวก ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีใดๆ ในการฝึก จึงเหมาะกับการประยุกต์ใช้เป็นการออกกำลังกายในชุมชน โดยสามารถชักชวนกันออกมาทำกิจกรรมสร้างสุขภาพเป็นหมู่คณะ ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ฟื้นฟูจิตใจให้สดชื่นแจ่มใสได้อีกด้วย

    ถ้าจะให้ได้ประโยชน์สูงสุด ต้องรำให้เหงื่อออกทั่วร่างกาย หัวใจเต้นเร็ว ตามสำนวนของอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต ที่ท่านใช้คำว่า “ต้องให้ถึงพีค” เพื่อให้โกร๊ธฮอร์โมนหลั่ง ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระฉับกระเฉง ภูมิชีวิตเพิ่มขึ้น

    12 ท่า รำกระบอง ฝึกง่าย ได้ความฟิต ป้องกันโรค

    ก่อนฝึกรำกระบองนั้น อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง แนะนำไว้ว่า ต้องอุ่นเครื่องทุกครั้ง โดยจะใช้วิธีไหนก็ได้ ขอให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวจากน้อยไปหามากจนร่างกายตื่นตัวเต็มที่

    วิธีอุ่นเครื่องง่ายๆ อย่างหนึ่งคือ ซอยเท้าสูงๆ ยกเข่าให้จรดหน้าอกหรือเท่าที่ยกสูงได้ ต่อจากนั้นเราก็แกว่งแขนสั้น – ยาว แทงศอกสั้น แทงศอกยาว หลังจากนั้นก็ซอยเท้าให้เร็วขึ้น แทงศอกให้เร็วขึ้น ทำเช่นนี้ประมาณ 5 นาทีพอให้เหงื่อซึม ตอนนี้พร้อมแล้วสำหรับการฝึกทั้ง 12 ท่า เรียงลำดับดังต่อไปนี้

    รำกระบอง ชีวจิต ออกกำลังกาย ออกกำลังกายแบบชีวจิต นิตยสารชีวจิต
    วิธีอุ่นเครื่องง่ายๆ

    ท่าจูบสะดือ

    เดิมคือท่าจูบสะดือ ขณะฝึกต้องให้เข่ายืดตรงและกดท่อนแขนแนบกับกระบองตลอดเวลา ท่านี้ช่วยบริหารกล้ามเนื้อที่อยู่รอบๆ กระดูกต้นคอ (Cervical Spine) ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังส่วนที่ต่อจากกะโหลก มี 7 ข้อ ตั้งแต่ C1 ถึง C7 ช่วยให้ก้ม เงย หันซ้าย – ขวา และเอียงคอไปมาได้สะดวก

    1. ยืนตัวตรง กางขาเท่าความกว้างของไหล่หรือมากกว่าเล็กน้อยโดยประมาณ

    2. นำกระบองขึ้นพาดบ่า โดยวางกึ่งกลางของกระบองไว้บริเวณก้านคอ แล้วใช้ท่อนแขน (ระหว่างข้อมือกับข้อศอก) กดกระบองไว้กับคอ

    3. ก้มครั้งที่ 1 โดยค่อยๆ ก้มตัวลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มองลอดหว่างขา จากนั้นยกลำตัวขึ้นช้าๆกระทั่งยืนตัวตรง ทำซ้ำอีกครั้ง (ทำเหมือนครั้งที่ 1) นับเป็นครั้งที่ 2

    4. ก้มครั้งที่ 3 โดยค่อยๆ ก้มตัวลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มองลอดหว่างขาแล้วค้างไว้ จากนั้นใช้กระบองนวดคลึงต้นคอด้านซ้าย ด้านหลัง และด้านขวา สลับกันไปมาให้สม่ำเสมอ รวมทั้งสิ้น 10 ครั้ง

    โดยใช้ท่อนแขนควบคุมการกลิ้งขึ้น – ลงของกระบองในแนวตรง เมื่อนวดครบครั้งที่ 10 แล้ว ยกลำตัวขึ้นช้าๆ จนกระทั่งยืนตัวตรง

    5. ทำซ้ำตั้งแต่ข้อ 3 – 5 อีก 5 – 10 ครั้ง

    รำกระบอง ชีวจิต ออกกำลังกาย ออกกำลังกายแบบชีวจิต นิตยสารชีวจิต
    1. ท่าจูบสะดือ

    ท่าไหว้พระอาทิตย์

    เดิมคือท่าไหว้พระอาทิตย์ ขณะฝึกเข่าและศอกต้องเหยียดตรงตามองกระบอง ท่านี้ช่วยบริหารกล้ามเนื้อที่อยู่รอบๆ กระดูกสันหลังช่วงบั้นเอว ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังช่วงล่าง (Lumbar Spine) ตั้งแต่

    L1 ถึง L5 ที่รองรับน้ำหนักร่างกายในท่าเดิมซ้ำๆ เช่น การนั่งหรือยืนนาน ๆ อันเป็นสาเหตุของโรคปวดหลัง การบริหารด้วยท่าดังกล่าวจึงช่วยบรรเทาอาการได้

    1. ยืนตัวตรง กางขาเท่าความกว้างของไหล่หรือน้อยกว่าเล็กน้อยโดยประมาณ
    2. คว่ำมือกำกระบองไว้ด้านหน้า โดยระยะห่างของมือควรเท่ากับระยะห่างของขาที่ยืน แขนเหยียดตรง
    3. วาดแขนทั้งสองขึ้นมาระดับหน้าอกโดยไม่งอศอก
    4. ตามองกระบองอย่างมีสมาธิ แล้ววาดแขนลงพร้อมๆ กับก้มตัวลงให้มากที่สุด โดยไม่งอเข่าและแขนเหยียดตรงตลอดเวลา
    5. พยายามยืดตัวลงเพื่อให้กระบองแตะพื้นมากที่สุด ขย่ม 5 ครั้ง
    6. ค่อยๆ วาดกระบองขึ้นจนกระทั่งลำตัวตั้งตรง แล้วค่อยๆ เอนตัวและศีรษะไปด้านหลัง โดยที่แขนเหยียดตรงและตามองกระบองตลอดเวลา เมื่อเงยจนสุดแล้ว ทิ้งตัวค้างไว้นับ 1 – 10 แล้วค่อยๆ วาดกระบองกลับมายืนตรง จากนั้นวาดกระบองลงมาด้านหน้า
    7. ทำซ้ำตั้งแต่ข้อ 3 – ข้อ 6 อีก 3 – 5 ครั้ง
    รำกระบอง ชีวจิต ออกกำลังกาย ออกกำลังกายแบบชีวจิต นิตยสารชีวจิต
    . ท่าไหว้พระอาทิตย์

    ถ้ำผาปล่อง

    เดิมคือท่าถ้ำผาปล่อง ขณะฝึกต้องให้เข่าและศอกเหยียดตรงตลอด ท่านี้ช่วยบริหารกล้ามเนื้อรอบๆ กระดูกสะบัก (Scapula) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระดูกส่วนไหล่ (Shoulder Girdle) เชื่อมต่อกับกระดูกไหปลาร้าและกระดูกต้นแขน ช่วยบรรเทาอาการไหล่ติดได้

    1. ยืนตัวตรง กางขาเท่าความกว้างของไหล่หรือมากกว่าเล็กน้อยโดยประมาณ
    2. หงายมือกำกระบองไว้ด้านหลัง โดยให้ระยะห่างของมือกว้างกว่าระยะห่างของขาที่ยืนเล็กน้อย แขนเหยียดตรง
    3. ค่อยๆ ก้มตัวลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่งอเข่า จากนั้นมองลอดหว่างขา ก่อนเชิดหน้าขึ้น
    4. เงยหน้าขึ้นจนสุดแล้วค้างไว้ วาดกระบองขึ้นเหนือศีรษะ แขนเหยียดตรง พยายามบังคับให้คางขนานกับพื้น จนรู้สึกตึงที่บริเวณท้องคางแล้วค้างไว้ วาดกระบองลงมาอยู่ระหว่างก้นกับต้นขา โดยที่แขนยังเหยียดตรง
    5. ยกกระบองขึ้น – ลง 10 ครั้ง (ขณะที่ยังก้มตัวและเงยคางอยู่) จากนั้นกลับมายืนตัวตรงในท่าหงายมือกำกระบองไว้ด้านหลัง
    6. ทำซ้ำตั้งแต่ข้อ 3 – ข้อ 5 อีก 3 – 5 ครั้ง
    รำกระบอง ชีวจิต ออกกำลังกาย ออกกำลังกายแบบชีวจิต นิตยสารชีวจิต
    3. ถ้ำผาปล่อง

    ท่า 180 องศา

    เดิมคือท่า 180 องศา ขณะฝึก เข่าและศอกต้องเหยียดตรง เท้าไม่ยก และแขนแนบกระบองตลอด

    ท่านี้ช่วยบริหารกล้ามเนื้อรอบๆ กระดูกสันหลังทั้งหมด ตั้งแต่กระดูกคอ กระดูกสันหลังส่วนบน และกระดูกสันหลังส่วนล่าง บรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรมที่มีการปวดเกร็งตั้งแต่คอ บ่า ไหล่ และหลังได้ดี

    1. ยืนตัวตรง กางขาเพียงเล็กน้อย พาดกระบองไว้บนบ่าทั้งสองข้าง กางแขนเหยียดตรงแนบกับกระบองไว้ตลอดเวลา
    2. บิดตัววาดปลายกระบองจากซ้ายไปขวา โดยพยายามให้มุมของการบิดตัวจากซ้ายไปขวาได้ 180 องศา ในระหว่างการบิดตัวให้ตามองดูปลายกระบองซ้าย (ห้ามเลื่อนมือ) ไม่บิดเท้าตาม ไม่งอเข่าจากนั้นบิดตัววาดปลายกระบองซ้ายกลับไปทางซ้าย
    3. บิดตัววาดปลายกระบองขวาไปทางซ้าย พยายามให้มุมของการบิดตัวจากขวาไปซ้ายได้ 180 องศาในระหว่างการบิดตัวให้ตามองดูปลายกระบองขวา (ห้ามเลื่อนมือ) ไม่บิดเท้าตาม ไม่งอเข่า จากนั้นบิดตัววาดปลายกระบองขวากลับไปทางขวา
    4. บิดตัววาดปลายกระบองสลับซ้ายและขวา (ตามที่อธิบายในข้อ 2 และข้อ 3) อย่างต่อเนื่องกันให้ครบ 30 – 50 ครั้ง กลับสู่ท่ายืนตรง
    รำกระบอง ชีวจิต ออกกำลังกาย ออกกำลังกายแบบชีวจิต นิตยสารชีวจิต
    4. ท่า 180 องศา

    ท่าแหงนดูดาว

    เดิมคือท่าแหงนดูดาว ขณะฝึกเข่าต้องเหยียดตรงและแขนแนบกระบองตลอดท่านี้ช่วยบริหารกล้ามเนื้อบริเวณสีข้างลำตัว บรรเทาอาการปวดเมื่อยจากโรคออฟฟิศ-ซินโดรมและช่วยกระชับสัดส่วน ลำตัวจะดูเพรียวบางลง

    1. ยืนตัวตรง กางขาเพียงเล็กน้อย พาดกระบองไว้บนบ่าทั้งสองข้าง กางแขนเหยียดตรงแนบกับกระบอง
    2. วาดปลายกระบองซ้ายลงไปด้านข้างลำตัวด้านซ้าย พยายามให้ปลายกระบองแตะข้างขา โดยให้ลำตัวตรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ห้ามเลื่อนมือหันหน้าไปทางขวา ตามองปลายกระบองขวาที่ชี้ขึ้นฟ้า จากนั้นวาดปลายกระบองขวาที่ชี้ขึ้นฟ้าลงมา
    3. วาดปลายกระบองขวาลงไปด้านข้างลำตัวด้านขวา พยายามให้ปลายกระบองแตะข้างขา โดยลำตัวตรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ห้ามเลื่อนมือหันหน้าไปทางซ้าย ตามองปลายกระบองซ้ายที่ชี้ขึ้นฟ้า จากนั้นวาดปลายกระบองซ้ายที่ชี้ขึ้นฟ้าลงมา
    4. วาดปลายกระบองซ้ายและขวาสลับขึ้น – ลง (ตามที่อธิบายในข้อ 2 และข้อ 3) อย่างต่อเนื่องกันให้ครบ 30 – 50 ครั้ง กลับสู่ท่ายืนตร
    รำกระบอง ชีวจิต ออกกำลังกาย ออกกำลังกายแบบชีวจิต นิตยสารชีวจิต
    5. ท่าแหงนดูดาว

    ท่าสีลม

    เดิมคือท่าสีลม ขณะฝึกต้องให้เข่าเหยียดตรงและแขนแนบกระบองตลอด ท่านี้ช่วยบริหารกล้ามเนื้อรอบๆ กระดูกหัวไหล่ (Shoulder Girdle) ซึ่งประกอบด้วยกระดูกแขนท่อนบน (Humerus) กระดูกสะบัก (Scapula) และกระดูกไหปลาร้า (Clavicle) ทำให้เคลื่อนไหวและยกชูแขนสะดวก แก้อาการไหล่ติด

    1. ยืนกางขาประมาณ 1 ½ ถึง 2 เท่าของช่วงความกว้างของไหล่พาดกระบองไว้บนบ่าทั้งสองข้าง กางแขนเหยียดตรงแนบกับกระบอง
    2. ก้มตัวไปด้านหน้าให้ลำตัวท่อนบนขนานกับพื้น โดยบังคับให้แขนต้องเหยียดตรงแนบกับกระบองและไม่งอเข่า
    3. วาดปลายกระบองทางด้านซ้ายไปทางขวา พยายามให้ปลายกระบองซ้ายแตะหัวนิ้วโป้งเท้าขวา (โดยบังคับให้ศีรษะและลำตัวซึ่งเป็นแกนในการวาดกระบองอยู่นิ่งๆ) ตามองพื้น ห้ามเลื่อนมือ จากนั้นวาดปลายกระบองซ้ายกลับไปทางซ้าย
    4. วาดปลายกระบองทางด้านขวาไปทางซ้าย พยายามให้ปลายกระบองขวาแตะนิ้วโป้งเท้าซ้าย (โดยบังคับให้ศีรษะและลำตัวซึ่งเป็นแกนในการวาดกระบองอยู่นิ่งๆ) ตามองพื้น ห้ามเลื่อนมือ จากนั้นวาดปลายกระบองขวากลับไปทางขวา
    5. วาดปลายกระบองซ้ายและขวาสลับไปมา (ตามที่อธิบายในข้อ 3 และ 4) อย่างต่อเนื่องเหมือนกังหันลมจนครบ 30 – 50 ครั้ง ยกลำตัวขึ้น กลับสู่ท่ายืนตรง
    รำกระบอง ชีวจิต ออกกำลังกาย ออกกำลังกายแบบชีวจิต นิตยสารชีวจิต
    6. ท่าสีลม

    ท่า 360 องศา

    เดิมคือท่า 360 องศา ขณะฝึกเข่าและศอกต้องเหยียดตรงตลอด ท่านี้ช่วยยืดเหยียดกล้ามเนื้อลำตัวช่วงบน ตั้งแต่คอ บ่า ไหล่ ไปจนถึงบั้นเอว ช่วยให้การทรงตัวดีขึ้น นอกจากนี้ยังบริหารกล้ามเนื้อบริเวณสีข้างทั้งสองข้าง ช่วยกระชับสัดส่วนได้ดีเช่นกัน

    1. ยืนตัวตรง กางขาเล็กน้อย คว่ำมือกำกระบองไว้ด้านหน้า โดยระยะห่างของมือควรเท่ากับระยะห่างของขาที่ยืน แขนเหยียดตรง
    2. วาดกระบองขึ้นมาระดับหน้าอกโดยไม่งอศอก ตามองกระบองอย่างมีสมาธิ
    3. วาดกระบองลงด้านหน้า โดยก้มตัวลงให้มากที่สุด ไม่งอเข่าและแขนตลอดเวลา
    4. พยายามยืดตัวตรงเพื่อให้กระบองแตะพื้นโดยไม่งอเข่าและแขน ขย่ม 5 ครั้ง
    5. วาดกระบองเรี่ยพื้นไปทางขวาพร้อมกับเอียงกระบองไปทางขวาจนสุด จนกระบองเป็นแนวเส้นตรงกับลำตัว จากนั้นค่อยๆ วาดกระบองขึ้นทางด้านข้างขวา โดยใช้เอวเป็นแกนในการหมุน พร้อมๆ กับเอนตัวหงายไปด้านหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วค่อยๆ วาดกระบองลงทางด้านซ้าย (พร้อมๆ กับเอนตัวหงายกลับมาทางด้านซ้าย) จนกระบองเป็นแนวเส้นตรงกับลำตัว พยายามกดกระบองลงมาหาพื้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจึงวาดกระบองเรี่ยพื้นพร้อมกับเอนตัวจากซ้ายมาด้านหน้าพยายามยืดตัวลงให้กระบองแตะพื้น ขย่ม 5 ครั้ง
    6. วาดกระบองเรี่ยพื้นไปทางซ้ายพร้อมกับเอนตัวไปทางด้านซ้ายจนสุด จนกระบองเป็นแนวเส้นตรงกับลำตัว จากนั้นค่อยๆ วาดกระบองขึ้นทางด้านซ้าย โดยใช้เอวเป็นแกนในการหมุน พร้อมๆ กับเอนตัวหงายไปด้านหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วค่อยๆ วาดกระบองลงทางด้านขวา (พร้อมๆ กับเอนตัวหงายกลับมาทางด้านขวา) จนกระบองเป็นแนวเส้นตรงกับลำตัว พยายามกดกระบองลงพื้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจึงวาดกระบองเรี่ยพื้นพร้อมกับเอนตัวจากด้านขวามาด้านหน้า ก้มตัวลงให้กระบองแตะพื้น ขย่ม 5 ครั้ง
    7. ทำซ้ำตั้งแต่ข้อ 5 – 6 อีก 3 ครั้ง
    8. ยกลำตัวขึ้นกลับสู่ท่ายืนตรง
    รำกระบอง ชีวจิต ออกกำลังกาย ออกกำลังกายแบบชีวจิต นิตยสารชีวจิต
    7. ท่า 360 องศา

    ท่าเตะตรงเท้าเหยียด

    เดิมคือท่าเตะตรงเท้าเหยียด ขณะฝึกต้องเตะขาและออกแรงให้ได้ความสูงเท่ากับระดับของกระบอง ช่วยบริหารกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและช่วยฝึกการทรงตัว

    กลุ่มท่าเตะ ผู้ฝึกต้องมีความแข็งแรงพอสมควร ถ้ามีปัญหาสุขภาพหรืออยู่ในช่วงพักฟื้น ควรงดหรือปรึกษาแพทย์ก่อนฝึก

    1. ยืนให้ขาขวา (หรือขาที่จะเตะ) อยู่ทางด้านหลัง
    2. คว่ำมือกำกระบอง แขนเหยียดตรง ยกกระบองขึ้นไปอยู่ในระดับที่สามารถเตะถึง (ขณะเตะพยายามรักษาระดับความสูงของกระบองไว้ให้คงที่ตลอดเวลา ไม่ลดกระบองลงมาหาเท้า)
    3. ขย่มตัว (เพื่อส่งแรงเตะ) เตะขาขวาขึ้นตรงๆ ให้สูงถึงระดับความสูงของกระบองที่ยกไว้ ขณะเตะให้ขาขวาเหยียดตรงไม่งอเข่า ปลายเท้าขวาเหยียดตรง ไม่สะบัดปลายเท้า แขนเหยียดตรง เมื่อเตะเสร็จแล้ว วางขาขวาลงด้านหน้า สลับขาซ้ายให้มาอยู่ด้านหลังเพื่อเตรียมเตะครั้งต่อไป
    4. ขย่มตัว (เพื่อส่งแรงเตะ) เตะขาซ้ายขึ้นตรงๆ ให้สูงถึงระดับความสูงของกระบองที่ยกไว้ ขณะเตะให้ขาซ้ายเหยียดตรงไม่งอเข่า ปลายเท้าซ้ายเหยียดตรง ไม่สะบัดปลายเท้า แขนเหยียดตรง เมื่อเตะเสร็จแล้ว วางขาซ้ายลงด้านหน้า สลับขาขวาให้มาอยู่ด้านหลังเพื่อเตรียมเตะครั้งต่อไป
    5. เตะขาสลับซ้ายและขวา (ตามที่อธิบายในข้อ 3 และ 4) ต่อเนื่องจนครบ 30 – 50 ครั้ง
    รำกระบอง ชีวจิต ออกกำลังกาย ออกกำลังกายแบบชีวจิต นิตยสารชีวจิต
    8. ท่าเตะตรงเท้าเหยียด

    ท่าเตะตรงเท้าฉาก

    เดิมคือท่าเตะตรงเท้าฉาก ขณะฝึกให้เตะไปข้างหน้า โดยตั้งฝ่าเท้าขึ้นเป็นมุมฉาก ทำให้รู้สึกตึงบริเวณกล้ามเนื้อต้นขาด้านใน มีประโยชน์ต่อการฝึกทักษะการทรงตัว

    ปฏิบัติเหมือนท่าเตะตรงเท้าเหยียดทุกอย่าง เพียงแต่ขณะที่เตะให้ปลายเท้าตั้งฉาก โดยเตะสลับซ้ายและขวาอย่างต่อเนื่องกันให้ครบ 30 – 50 ครั้ง

    รำกระบอง ชีวจิต ออกกำลังกาย ออกกำลังกายแบบชีวจิต นิตยสารชีวจิต
    9. ท่าเตะตรงเท้าฉาก

    ท่าเตะนอกเข้าในเท้าเหยียด

    เดิมคือท่าเตะนอกเข้าในเท้าเหยียด ขณะฝึกให้วาดขาเป็นวงกลมให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้และเหยียดฝ่าเท้าให้ตรงตลอดการฝึก ท่านี้ช่วยบริหารกล้ามเนื้อต้นขาด้านในและข้อเท้า ช่วยให้มีทักษะการทรงตัวดีขึ้น

    1. ยืนให้ขาขวา (หรือขาที่จะเตะ) อยู่ทางด้านหลัง
    2. คว่ำมือกำกระบอง โดยที่แขนเหยียดตรง ยกกระบองขึ้นไประดับสูงสุดเท่าที่จะสามารถเตะได้ถึง (ขณะเตะให้รักษาระดับความสูงของกระบองไว้ให้คงที่ ไม่ลดกระบองลงมาหาเท้า)
    3. ขย่มตัว (เพื่อส่งแรงเตะ) เตะขาขวาขึ้นมาทางด้านขวาจนสุด ให้สูงถึงระดับความสูงของกระบองที่ยกไว้ พร้อมๆ กับวาดขาไปทางปลายกระบองซ้ายจนสุด ขณะเตะไม่งอเข่า ปลายเท้าเหยียดตรงตลอดเวลา ไม่สะบัดปลายเท้า แขนเหยียดตรง เมื่อเตะเสร็จแล้ว ให้วางเท้าขวาลงด้านหน้า สลับขาซ้ายไปไว้ด้านหลังเพื่อเตรียมเตะครั้งต่อไป
    4. ขย่มตัว (เพื่อส่งแรงเตะ) เตะขาซ้ายขึ้นมาทางด้านซ้ายจนสุด ให้สูงถึงระดับความสูงของกระบองที่ยกไว้ พร้อมๆ กับวาดขาไปทางปลายกระบองขวาจนสุด ขณะเตะไม่งอเข่า ปลายเท้าเหยียดตรงตลอดเวลา ไม่สะบัดปลายเท้า แขนเหยียดตรง เมื่อเตะเสร็จแล้ว ให้วางเท้าซ้ายลงด้านหน้า สลับขาขวาไปไว้ด้านหลังเพื่อเตรียมเตะครั้งต่อไป
    5. เตะสลับซ้ายและขวา (ตามที่อธิบายไว้ในข้อ 3 และ 4) ต่อเนื่องกันให้ครบ 30 – 50 ครั้ง
    รำกระบอง ชีวจิต ออกกำลังกาย ออกกำลังกายแบบชีวจิต นิตยสารชีวจิต
    10. ท่าเตะนอกเข้าในเท้าเหยียด

    ท่าเตะในออกนอกเท้าฉาก

    เดิมคือท่าเตะในออกนอกเท้าฉาก ขณะฝึกให้วาดขาเป็นวงกลมให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ และตั้งฝ่าเท้าขึ้นเป็นมุมฉากตลอดการฝึก ท่านี้ช่วยบริหารกล้ามเนื้อต้นขาด้านนอกและข้อเท้า ฝึกทักษะการทรงตัวให้ดีขึ้น

    1. ยืนให้ขาขวา (หรือขาที่จะเตะ) อยู่ทางด้านหลัง
    2. คว่ำมือกำกระบอง โดยที่แขนเหยียดตรง ยกกระบองขึ้นไประดับสูงสุดเท่าที่จะสามารถเตะได้ถึง (ขณะเตะให้รักษาระดับความสูงของกระบองไว้ให้คงที่ ไม่ลดกระบองลงมาหาเท้า)
    3. ขย่มตัว (เพื่อส่งแรงเตะ) เตะขาขวาขึ้นมาตรง ๆ ให้สูงถึงระดับกระบองที่ยกไว้ พร้อมๆ กับวาดขาไปทางปลายกระบองขวาจนสุด ขณะเตะขาต้องเหยียดตรง เข่าไม่งอ ปลายเท้าตั้งฉากตลอดเวลา ไม่สะบัดปลายเท้า แขนเหยียดตรง เมื่อเตะเสร็จแล้ววางเท้าขวาลงด้านหน้า สลับขาซ้ายมาอยู่ด้านหลังเพื่อเตรียมเตะครั้งต่อไป
    4. ขย่มตัว (เพื่อส่งแรงเตะ) เตะขาซ้ายขึ้นมาตรงๆ ให้สูงถึงระดับกระบองที่ยกไว้ พร้อมๆ กับวาดขาไปทางปลายกระบองซ้ายจนสุด ขณะเตะขาต้องเหยียดตรง เข่าไม่งอ ปลายเท้าตั้งฉากตลอดเวลา ไม่สะบัดปลายเท้า แขนเหยียดตรง เมื่อเตะเสร็จแล้ววางเท้าซ้ายลงด้านหน้า สลับขาขวามาอยู่ด้านหลังเพื่อเตรียมเตะครั้งต่อไป
    5. เตะสลับขาซ้ายและขวา (ตามที่อธิบายในข้อ 3 และ 4) ต่อเนื่องกันให้ครบ 30 – 50 ครั้ง
    รำกระบอง ชีวจิต ออกกำลังกาย ออกกำลังกายแบบชีวจิต นิตยสารชีวจิต
    11. ท่าเตะในออกนอกเท้าฉาก

    ท่าแถม

    เดิมคือท่าแถม ขณะฝึกต้องยืนและนั่งโดยพยายามทรงตัวบนปลายเท้า ทำให้ต้องเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง เพื่อช่วยในการทรงตัว ท่านี้ช่วยบริหารกล้ามเนื้อรอบ ๆ ท้องน้อย ซึ่งเป็นที่ตั้งของอวัยวะสืบพันธุ์และกระเพาะปัสสาวะ ลดอาการปวดประจำเดือนในเพศหญิงและช่วยให้ต่อมลูกหมากแข็งแรงในเพศชาย

    1. ยืนตัวตรง กางขาออกเล็กน้อย
    2. นำกระบองไปไว้ด้านหลังลำตัวบริเวณบั้นเอว โดยใช้วงแขนสองข้างคล้องกระบองเอาไว้ ฝ่ามือประสานกันไว้ด้านหน้า หรือวางแนบไว้กับหน้าท้องก็ได้
    3. เขย่งส้นเท้าขึ้นให้สูงสุดเท่าที่จะทำได้
    4. ลดตัวลงนั่ง โดยยังคงเขย่งส้นเท้าอยู่ ตามองตรง ไม่ก้มหน้า ไหล่ผึ่งผาย ลำตัวตั้งตรง แล้วขย่มตัวให้ก้นแตะส้นเท้า 3 ครั้ง จากนั้นยืนขึ้นโดยยังเขย่งส้นเท้าอยู่ตลอดเวลา
    5. เมื่อลำตัวตั้งตรงแล้ว ลดส้นเท้าลงสู่พื้น นับเป็น 1 ครั้ง
    6. ทำซ้ำตั้งแต่ข้อ 3 – 5 ให้ครบ 30 – 50 ครั้ง
    รำกระบอง ชีวจิต ออกกำลังกาย ออกกำลังกายแบบชีวจิต นิตยสารชีวจิต
    12. ท่าแถม

    ข้อมูลจากนิตยสารชีวจิต ฉบับ 458


    บทความน่าสนใจอื่นๆ

    ออกกำลังกายแก้ปวดหลัง ปวดเอว ด้วยรำกระบอง ท่าแหงนดูดาว

    รำกระบองช่วยรักษาโรคและอาการไหล่ติดได้

    วิ่งลดน้ำหนัก ใน 12 สัปดาห์ ทำตามแล้วจะรู้ว่า ผอม!

    การวิ่ง ไม่ทำให้เข่าเสื่อม!! พร้อมเทคนิควิ่งเสริมข้อแข็งแรง

    แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

    ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ตัดรังไข่

    ไขสงสัย ตัดรังไข่ เสี่ยงความจำเสื่อม

    ไขสงสัย ตัดรังไข่ เสี่ยงความจำเสื่อม จริงหรือมั่ว

    คุณหมอชัญวลีได้รับจดหมายจากผู้อ่าน เกี่ยวกับความสงสัยเรื่อง ตัดรังไข่ ส่งผลให้มีปัญหาความจำเสื่อม หรือเรียนรู้ช้าจริงหรือ

    …สูตินรีแพทย์คนเก่งของเราไม่รอช้า หาคำตอบในเรื่องนี้มาให้อย่างครบถ้วน ชัดเจน และเป็นจริงตามสไตล์เธอค่ะ

    ไปติดตามพร้อมกัน

    Q : เรียน คุณหมอชัญวลีดิฉันอายุ 45 ปี ผ่านการตัดรังไข่ไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งอ่านเจอข้อมูลจากงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า ผู้หญิงที่ผ่านการผ่าตัดรังไข่ จะไม่มีฮอร์โมนเพศหญิงและอาจมีปัญหาความจำเสื่อม มีการเรียนรู้ช้าลง อยากทราบว่าจริงไหมคะ และดิฉันควรดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง เพื่อป้องกันภาวะนี้

    A : ปัญหานี้เป็นปัญหาที่น่าสนใจ เพราะความรู้ทางการแพทย์เรื่องการตัดรังไข่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากตอนปีพ.ศ. 2531 ผู้เขียนสอบวุฒิบัตรสูติ-นรีแพทย์ นอกจากสอบข้อเขียน ตรวจคนไข้พยาธิวิทยา แล็ปกริ๊ง(คือทำข้อสอบเป็นโต๊ะ ๆ ครบสามสิบวินาทีอาจารย์ก็จะกดกริ่งดังกริ๊ง ให้เปลี่ยนโต๊ะ บางทีเรียกแล๊ปกรี๊ด เพราะยังไม่ทันเขียนคำตอบก็กริ๊งแล้ว อยากกรี๊ด)ยังต้องเขียนรายงานคนไข้20 เคส สมัยนั้นยังไม่ต้องทำวิจัยเหมือนสมัยนี้

    มีรายงานคนไข้เคสหนึ่ง อายุ 45 ปี เป็นเนื้องอกมดลูกขนาดใหญ่ รักษาโดยการผ่าตัดมดลูกเนื้องอกและรังไข่ทั้งสองข้างออกในสมัยนั้นหากอายุเกิน 45 ปี และต้องผ่าตัดมดลูก จะพิจารณาผ่าตัดรังไข่ออกด้วย แม้รังไข่นั้นปกติดี เพื่อป้องกันการเกิดมะเร็งรังไข่ เรียกว่าผ่าตัดแถม หรือ Elective oophorectomy แต่หากเป็นในปัจจุบันการจะตัดรังไข่สองข้างของคนไข้ด้วยเหตุผลดังกล่าวคงไม่เพียงพอ

    การตัดรังไข่สองข้างออกในกรณีที่คนไข้เป็นโรคที่ต้องตัดรังไข่จึงจะหาย อย่างไรก็ต้องตัดรังไข่ แต่หากต้องตัดมดลูกด้วยโรคของมดลูกอื่น ๆที่ไม่ใช่มะเร็ง เช่นเนื้องอกธรรมดาของมดลูก ควรจะตัดรังไข่ออกด้วยไหม

    ตัดรังไข่

    สิบกว่าปีที่ผ่านมาแนวทางการรักษาเปลี่ยนไปด้วยความรู้ใหม่ๆ จากการวิจัย จึงมีคำตอบใหม่ ดังนี้

    1. การผ่าตัดรังไข่สองข้าง ลดโอกาสเกิดมะเร็งรังไข่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดเพราะอาจเกิดมะเร็งรังไข่ในช่องท้องได้อีกแม้จะมีโอกาสน้อย
    2. การตัดมดลูกแม้ไม่ตัดรังไข่ แต่ก็สามารถลดการเกิดมะเร็งรังไข่ได้ร้อยละ 34 เช่นเดียวกับการตัดท่อรังไข่สองข้าง ส่วนการทำหมัน ช่วยลดการเกิดมะเร็งรังไข่ได้ร้อยละ 34 เช่นกัน
    3. รังไข่เป็นแหล่งผลิตฮอร์โมนเพศหญิงและเพศชาย แม้หมดประจำเดือนตามธรรมชาติไปแล้ว รังไข่ก็ยังสร้างฮอร์โมนเพศหญิง (Estradiol Estrone) ฮอร์โมนเพศชาย(TestosteroneAndrostenedioneและ Dehydroepiandrosterone) ไปอีกหลายปี แม้ในที่สุดรังไข่หยุดสร้างฮอร์โมนเพศหญิงถาวรประมาณอายุ 65 ปี แต่จะยังคงสร้างฮอร์โมนเพศชายไปจนถึงอายุ 80 ปี
    4. การตัดรังไข่สองข้างเพิ่มความเสี่ยงในการผ่าตัด เช่นเสียเลือดมากขึ้น เพราะจะทำให้มีพังผืดหลังผ่าตัดมากขึ้น
    5. การตัดรังไข่สองข้างส่งผลให้ฮอร์โมนเพศหญิงและเพศชายลดระดับทันที แม้การตัดรังไข่สองข้างในอายุเฉลี่ยของคนหมดประจำเดือน คือ 51 ปี แต่อาการวัยทอง เช่นร้อนวูบวาบ เครียด หงุดหงิด ที่เกิดขึ้นมักจะรุนแรงกว่าการหมดประจำเดือนโดยธรรมชาติ
    6. จะตัดรังไข่ควรคำนึงถึงผลที่ได้รับและโทษที่เกิด ดังนั้นการจะตัดรังไข่จึงต้องมีข้อบ่งชี้ เช่นตัดรังไข่เมื่อเป็นโรคมะเร็งรังไข่ โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ฝีที่รังไข่(Tubo-ovarian abscess) ปวดท้องเรื้อรังรุนแรงจากพังผืดที่รังไข่ เป็นต้น
    7. สมองเสื่อม เป็นโรคสั่นสันนิบาตหรือโรคพาร์กินสัน(Parkinson) ทำให้หลงลืม มือสั่น พูดไม่ชัด จำชื่อคนหรือคำพูดไม่ได้ คนที่ผ่าตัดรังไข่สองข้างเมื่ออายุน้อยกว่า 48 ปี พบมากกว่าคนไม่ผ่าตัด89 เท่าหากผู้หญิงเหล่านี้ได้รับฮอร์โมนเพศหญิงทดแทน โอกาสสมองเสื่อมจะลดลงเท่าคนไม่ผ่าตัด
    8. กระดูกพรุน แม้ตัดรังไข่สองข้างในช่วงอายุที่หมดประจำเดือนไปแล้ว(อายุมากกว่า 51 ปี) ทำให้มีความเสี่ยงต่อกระดูกหักจากภาวะกระดูกพรุน 54 เท่า แต่ถ้าหากตัดรังไข่สองข้างในช่วงวัยก่อนหมดประจำเดือนความเสี่ยงต่อกระดูกหักจากภาวะกระดูกพรุนจะยิ่งเพิ่มขึ้นโดยบริเวณกระดูกแขนมีความเสี่ยง 1.4 เท่า และบริเวณกระดูกสันหลังมีความเสี่ยง1.9 เท่า
    9. เครียด วิตกกังวล มีงานวิจัยพบความสัมพันธ์ของการตัดรังไข่สองข้างกับความเครียด (ร้อยละ 11.7)และวิตกกังวล (ร้อยละ 7.3)เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ตัดรังไข่ แต่บางงานวิจัยไม่พบว่ามีความเกี่ยวข้อง
    10. ปัญหาเพศสัมพันธ์เช่นไม่มีความต้องการทางเพศ โลมเล้าไม่ได้ เจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์ไม่ถึงจุดสุดยอด พบมากกว่าคนไม่ตัดรังไข่สองเท่า แต่บางงานวิจัยไม่พบความสัมพันธ์นี้
    11. ต้อหิน หากตัดรังไข่สองข้างเมื่ออายุน้อยกว่า 43 ปี มีโอกาสสูงที่จะเป็นต้อหิน 15-2.23 เท่า แม้ตัดรังไข่สองข้างในอายุมากกว่า 54 ปี ยังมีโอกาสที่จะเป็นต้อหินสูงกว่าคนไม่ตัดถึงร้อยละ5

    ข้อดีอื่น ๆ ของการตัดรังไข่สองข้าง

    แม้จะมีข้อเสีย แต่การตัดรังไข่สองข้างก็มีข้อดีนอกจากลดการเกิดมะเร็งรังไข่แล้ว ยังลดการเกิดมะเร็งเต้านมและการผ่าตัดซ้ำจากปัญหารังไข่ที่เหลือไว้ ซึ่งพบร้อยละ 3-4

    ตกลงว่าควรจะตัดรังไข่ออกสองข้างด้วยดีไหม มีข้อแนะนำ ดังนี้ค่ะ

    1. ควรผ่าตัดรังไข่ตามข้อบ่งชี้เช่นเป็นโรคที่ต้องตัดรังไข่ หรือเมื่อมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม โดยมีประวัติครอบครัวเป็นหรือตรวจพบยีนส์ BRCA1 BRCA2
    2. ในกรณีที่อายุน้อยกว่า 50 ปี ไม่ควรผ่าตัดรังไข่ออกทั้งสองข้างเพราะเพิ่มอัตราตายโดยรวมกรณีที่อายุน้อยกว่า 45 ปี หากตัดรังไข่สองข้างควรพิจารณาให้ฮอร์โมนทดแทน

    จากคำถามข้างต้น ขอชี้แจงว่าการตัดรังไข่สองข้างในคนอายุ45 ปีทำให้เสี่ยงต่อการเกิดความจำเสื่อม และการเรียนรู้ช้าได้จริง แต่ไม่เป็นทุกคน หลังผ่าตัดจึงควรรับฮอร์โมนทดแทน

    แต่หากไม่ได้รับและกลัวสมองเสื่อม ควรดูแลร่างกายตามแนวทางชีวจิต ได้แก่บริหารร่างกาย ออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหลับให้เพียงพอ กินอาหารมีประโยชน์โดยเฉพาะอาหารที่มีฮอร์โมนธรรมชาติ เช่นน้ำเต้าหู้ ถั่วเหลืองพืช ผัก ผลไม้บริหารจิตใจมีวิธีลดความเครียดคิดบวก เป็นผู้ให้ มีชีวิตที่มีคุณค่าบริหารสมอง กระตือรือร้น และศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ บริหารสุขภาพดูแลสุขภาพ สังเกตอาการผิดปกติ

    พบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการปกติ

    Did you know?

     94% ของผู้หญิงอายุระหว่า 43-47 ปีที่ตัดรังไข่ทั้งสองข้าง จะมีอัตราการการจากโรคต่างๆ สูงกว่าคนที่ไม่ตัดรังไข่ 1.13 เท่าข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจากงานวิจัยสุขภาพพยาบาล (Nurses’ Health Study)

    ข้อมูลเรื่อง “ไขสงสัย ตัดรังไข่ เสี่ยงความจำเสื่อม” จากนิตยสารชีวจิต

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

    ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    แคลเซียม

    แหล่งแคลเซียม ใกล้ตัว ในครัวคุณ

    แหล่งแคลเซียม ใกล้ตัว หาง่าย ๆ แค่เข้าครัว

    แหล่งแคลเซียม ใกล้ตัว ในครัวคุณ คือความตั้งใจที่เราอยากจะบอกว่า แคลเซียมซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมาก ๆ นั้น ไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อหามาเสมอไปค่ะ เพียงรู้แหล่งที่จะหาสารอาหารชนิดนี้ ซึ่งก็ไม่ได้อยู่ไกลตัวคุณเลย แค่ในครัวของคุณเท่านั้น

    หลายคนคิดว่า แคลเซียมคือแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายเพียงเพราะเป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน แต่ทราบหรือไม่ แคลเซียมมีความสำคัญต่อร่างกายของเรามากกว่านั้น แล้วทุกวันนี้คนไทยกินแคลเซียมกันทางใดบ้าง เพียงพอหรือยัง คำถามเหล่านี้ เราเชิญ คุณหมอสุมาภา ชัยอำนวย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคข้อมาไขข้อควรรู้ให้คุณกันค่ะ

    เริ่มจากมารู้จัก  “แคลเซียม” กันก่อน

    แคลเซียมเป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อร่างกายเนื่องจากมีปริมาณมากที่สุด โดยร้อยละ 99 ของแคลเซียมเป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน ที่เหลือคือ ร้อยละ 1 พบในเนื้อเยื่อและของเหลวในร่างกาย มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ ระบบประสาท โดยทำให้เกิดการหดตัวของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจและกล้ามเนื้อทั่วไป

    แคลเซียมยังมีส่วนช่วยในการแข็งตัวของเลือด มีหน้าที่ในการดูดซึม เก็บรักษา และช่วยในการเผาผลาญวิตามินเอ ซี ดี อี ฟอสฟอรัสและแมกนีเซียม รวมถึง ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของโปรตีนต่างๆในร่างกาย และยังควบคุมความสมดุลของกรด-ด่างในร่างกายอีกด้วย

    ถ้าเด็กขาดแคลเซียมจะทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อน ส่วนผู้ใหญ่จะเกิดภาวะกระดูกพรุน เนื่องจาก เมื่อมีภาวะขาดแคลเซียม ร่างกายจะดึงแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ ทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลง ส่งผลให้กระดูกแตกหรือหักง่าย มักเกิดเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยทองหรือวัยหมดประจำเดือนที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง

    หากไม่อยากมีภาวะกระดูกพรุน ควรกินแคลเซียมให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อ่านถึงบรรทัดนี้แล้ว ผู้อ่านคงสงสัยว่า เราควรกินแคลเซียมแค่ไหนถึงเพียงพอ คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับช่วงอายุ

    วัยเด็กควรได้รับแคลเซียมวันละ 600 มิลลิกรัม วัยรุ่นช่วงอายุ 9-18 ปี เป็นช่วงที่ร่างกายต้องการแคลเซียมมากที่สุด เนื่องจากกระดูกเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วควรได้รับแคลเซียมวันละประมาณ 1,000-1,500 มิลลิกรัม

    วัยผู้ใหญ่ต้องการแคลเซียมวันละประมาณ 800-1,000 มิลลิกรัมสูงอายที่มีภาวะวัยทอง ต้องการแคลเซียมเฉลี่ยวันละ1,000–1,200 มิลลิกรัมขณะที่หญิงตั้งครรภ์ต้องการแคลเซียมปริมาณสูงถึงวันละ1,500 มิลลิกรัม ฉะนั้นเราควรกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง เพื่อให้ร่างกายได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ

    จากพฤติกรรมการกินอาหารของคนไทยทั่วไปพบว่า เราได้รับแคลเซียมเฉลี่ยวันละ 250 มิลลิกรัมเท่านั้น จึงควรกินแคลเซียมเสริม หากไม่สามารถกินแคลเซียมจากอาหารธรรมชาติได้อย่างเพียงพอ

    ส่วนมากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมที่หาได้ทั่วไปจะอยู่ในรูปแคลเซียมคาร์บอเนตซึ่งมีปริมาณแคลเซียมอยู่ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ยกตัวอย่างเช่น แคลเซียมคาร์บอเนต 1,000 มิลลิกรัม จะมีปริมาณแคลเซียมจริงๆ อยู่ 400 มิลลิกรัม

    แคลเซียมคาร์บอเนตมีอัตราการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายค่อนข้างต่ำและต้องการให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาพความเป็นกรดจึงมีการแตกตัวและดูดซึม จึงต้องกินอาหารทันที

    แคลเซียมคาร์บอนเนต อาจทำให้มีอาการท้องอืด ไม่สบายท้อง บางรายจะมีอาการท้องผูกมาก แคลเซียมชนิดที่ดูดซึมง่ายและไม่ต้องการภาวะกรดในกระเพาะอาหารในการแตกตัวเพื่อการดูดซึม คือ แคลเซียมซิเตรท แคลเซียมซิเตรทจึงสามารถกินในขณะที่ท้องว่างได้

    แหล่งแคลเซียม

    ข้อเสียคือราคาสูงกว่าและมีปริมาณแคลเซียมต่ำกว่าแคลเซียมคาร์บอเนต คือมีแคลเซียมเพียงร้อยละ21 อย่างไรก็ตามการดูดซึมแคลเซียมซิเตรทดีกว่าแคลเซียมคาร์บอนเนตมากทำให้สามารถชดเชยกันได้

    แคลเซียมที่นิยมมากอีกชนิดหนึ่ง คือ แคลเซียมเม็ดฟู่ที่ต้องนำไปละลายน้ำก่อนดื่ม มักมีการปรุงรสให้น่ากินหรือผสมวิตามินซีเพื่อให้รสชาติดีขึ้น แคลเซียมเม็ดฟู่มักมีองค์ประกอบของแคลเซียมคาร์บอนเนตเพื่อให้มีปริมาณแคลเซียมมากๆและผสมแคลเซียมแลคโตกลูโคเนตเพื่อช่วยในการดูดซึม

    แคลเซียมชนิดนี้มีราคาแพงกว่าแคลเซียมคาร์บอนเนต แต่อาจทำให้มีอาการท้องอืดได้เช่นกันเนื่องจากมีส่วนผสมของแคลเซียมคาร์บอนเนตด้วย แคลเซียมเสริมทุกชนิดไม่ควรกินพร้อมยาประเภทอื่นเพราะทำให้การดูดซึมยานั้นๆ น้อยลง และไม่ควรกินร่วมกับอาหารที่มีผักมากๆ เนื่องจากทำให้การดูดซึมน้อยลงและแคลเซียมอาจจะจับกับใยอาหารในผักทำให้อืดแน่นท้องมากขึ้น

    ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ครั้งละไม่เกิน 500 มิลลิกรัม ดังนั้นจึงไม่ควรกินมากกว่านี้ เพราะร่างกายก็ดูดซึมเอาไปใช้ไม่ได้อยู่ดี และยังก่อให้เกิดผลข้างเคียงอื่นๆได้

    การกินแคลเซียมจากอาหารไม่มีผลเสียต่อสุขภาพแต่อย่างใด ยกเว้นว่าคุณอาจจะได้พลังงานจากอาหารนั้นๆ ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าการกินแคลเซียมจากอาหารในปริมาณที่พอเหมาะช่วยลดอัตราการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดด้วย

    แต่การกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียมอาจจะก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้ เช่น เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดนิ่วในทางปัสสาวะ ท้องผูก แน่นท้อง จุกเสียด นอกจากนั้นยังมีรายงานหลายฉบับว่าอาจจะทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้เล็กน้อย

    ดังนั้นหากเป็นไปได้ ควรเลือกกินแคลเซียมที่มาจากอาหารจะดีที่สุด แต่หากทำไม่ได้อาจจะกินแคลเซียมเสริม โดยกินให้เลียนแบบธรรมชาติมากที่สุด นั่นคือพยายามกินพร้อมอาหาร โดยอาจจะกินทีละน้อย แต่เป็นหลายมื้อ เพื่อให้ได้ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการ

    ตารางแสดงปริมาณแคลเซียมในอาหารชนิดต่าง ๆ

    อาหาร                                          ปริมาณที่บริโภค                            ปริมาณแคลเซียม(มิลลิกรัม)

    นม                                              1 กล่อง (250 มิลลิลิตร)                                 300

    นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม           1 กล่อง (250 มิลลิลิตร)                              250-300

    โยเกิร์ต                                        1 ถ้วย                                                           157

    นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม                         1 กล่อง (180 มิลลิตร)                                    106

    เต้าหู้อ่อน                                     5 ช้อนโต๊ะ                                                    150

    ปลาเล็กปลาน้อย                           2 ช้อนโต๊ะ                                                     226

    กุ้งแห้ง                                          1 ช้อนโต๊ะ                                                    140

    หอยนางรม                                    6 ตัว                                                            300

    ผัดคะน้าผัด                                   1 ทัพพี                                                           71

    ยอดแค                                        ½ ขีด                                                             198

    ใบยอ                                            ½ ขีด                                                             420

    บรอกโคลี                                    2/3 ถ้วย                                                          88

    ถั่วแระต้ม                                     1 ขีด                                                              194

    งาดำ                                             1 ช้อนโต๊ะ                                                       132

    ข้อมูลจาก กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

    หวังว่าบทความนี้จะทำให้ท่านผู้อ่านเข้าใจและรู้จักเลือกกิน แคลเซียมมากขึ้นนะคะ สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านมีกระดูกที่แข็งแรงกันทุกคนนะคะ

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

    ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    วูบหมดสติ

    วูบหมดสติ เสี่ยงโรคอะไรบ้าง

    วูบหมดสติ สัญญาณเตือนโรคอะไรบ้าง

    อาการวูบหมดสติ เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับทุกคน และเป็นโรคใกล้ตัวมากกว่าที่คิด และแม้แต่คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำก็อาจมีอาการนี้ได้ และในหลายครั้งอาการดังกล่าวทำให้เกิดการสูญเสีย หากช่วยเหลือไม่ทัน ดังนั้นแล้วเราอาจต้องทำความรู้จักกับโรคนี้กันให้มากขึ้นค่ะ

    วูบหมดสติ คืออะไร

    เป็นอาการที่ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ และทำให้หมดสติไปอย่างเฉียบพลัน เกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองลดลงชั่วขณะ และอย่างเฉียบพลัน ทำให้สมองที่เป็นศูนย์การควบคุมการรู้สติ รู้สึกตัว เกิดอาการขาดออกซิเจนชั่วคราว จึงทำให้ผู้ป่วยหมดสติ โดยเกิดขึ้นจากปัจจัยหลายอย่างคือ

    • จากสมอง เช่น เส้นเลือดอุดตันในสมอง ลมชัก
    • จากหัวใจ เช่น เส้นเลือดอุดตันกระทันหัน มีลิ่มเลือดอุดตันที่หัวใจ หัวใจอ่อนแรง หัวใจเต้นผิดปกติ เดี๋ยวช้า เดี๋ยวเร็ว
    • ระบบประสาท ที่ไวกว่าปกติ จากการที่ร่างกายอ่อนเพลีย ทานอาหารไม่เพียงพอ หรือถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้าต่าง ๆ เช่น อากาศร้อน จนทำให้หัวใจเต้นเร็วเกินไป ส่งผลให้สมองพยายามทำงานอย่างหนัก จนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ หมดสติในที่สุด

    นอกจากอาการป่วยเหล่านี้แล้ว ในบางครั้งวูบหมดสติ ก็อาจเกิดขึ้นจากสภาวะแวดล้อมได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น

    • ดื่มเหล้า สูบบุหรี่
    • อากาศที่อากาศร้อนจัด หรือเย็นจัด รวมถึงมลพิษในอากาศ
    • โรคภูมิแพ้ เช่น การแพ้เหงื่อ
    • การใช้ยาหรือสารกระตุ้นบางชนิด
    • เสื้อผ้าที่ไม่เหมาะกับอากาศ หรือรัดแน่นจนเกินไป
    • อยู่ในที่มีออกซิเจนน้อยกว่าปกติ

    สัญญาณก่อน วูบหมดสติ

    แม้วูบหมดสติ จะเป็นอาการกระทันหัน แต่ถึงอย่างนั้นก็จะมีอาการบางอย่างของร่างกายเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ก่อนล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็น

    • อึดอัด หายใจไม่ออก
    • รู้สึกหวิว ๆ มึนศีรษะ โคลงเคลง
    • พื้นที่ยืนไม่นิ่ง
    • ตาพร่า เห็นแสงแวบวาบ
    • เย็นวาบตามปลายมือ ปลายเท้า
    • เหงื่อออกเป็นจำนวนมาก
    • คลื่นไส้
    • เห็นภาพเป็นสีขาวดำ
    วูบหมดสติ

    โรคที่อาจเกิดขึ้นได้

    ในหลายครั้งอาการวูบหมดสติ เป็นอาการเตือนของโรคบางชนิดได้ เช่น

    วูบเป็นลมธรรมดา เกิดได้หลายสาเหตุ เช่นเครียดมาก อากาศไม่เหมาะสม น้ำตาลต่ำ ความดันตก อ่อนเพลีย สูญเสียน้ำ นอนหรือนั่งนาน หรือวูบจากการออกกำลังกาย

    วูบจากความผิดปกติของหัวใจ เกิดได้จาก หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความผิดปกติทางโครงสร้างหัวใจ และหลอดเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลัน

    วูบจากความผิดปกติของสมอง อาจเกิดจากเส้นเลือดสมองมีความผิดปกติ เช่น แตก ตีบ หรือโป่งพอง หรืออาจเกิดจากระบบประสาท เช่น โรคลมชัก

    วูบอันตราย

    เพราะการวูบมีหลายแบบ หลายสาเหตุ ดังนั้นการวูบในบางครั้งก็อาจเป็นอันตรายที่ถึงชีวิตได้ โดยการวูบที่เป็นอันตรายจะมีอาการดังนี้

    • หมดสติเป็นเวลานาน ไม่รู้สึกตัว แม้จะเรียกหรือเขย่าตัวแล้วก็ตาม
    • วูบแล้วชัก
    • วูบแล้วหัวใจเต้นผิดจังหวะ มีอาการหอบเหนื่อย หัวใจเต้นไว
    • วูบแล้วหน้าเบี้ยว
    • วูบแล้วตกเลือด มีเลือดออกเป็นจำนวนมาก ถ่ายเป็นเลือด
    • วูบแล้วท้องเสีย อาเจียนรุนแรง
    • วูบหลังเกิดอุบัติเหตุ มีการกระทบกระเทือนที่ศีรษะ

    วูบต้องทำอย่างไร

    หากรู้สึกตัวเองว่ากำลังจะวูบหมดสติ หรือมีอาการคล้ายจะเป็นลม สิ่งที่ต้องมีคือสติและทำตามนี้

    • หากรู้สึกวูบโหวง ให้รีบหาที่นั่ง พิง หรือแจ้งผู้อื่นทันที สูดลมหายใจเข้าออกช้า ๆ ลึก ๆ
    • หากเดินไหว ควรเดินไปในที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก
    • หากรู้สึกไม่ดีขึ้น ควรนอนราบกับพื้นเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น และรีบแจ้งผู้อื่นเพื่อส่งโรงพยาบาล หรือโทรแจ้ง 1669

    การปฐมพยาบาล

    หากพบเห็นคนวูบหมดสติ ควรทดสอบว่าหมดสติหรือไม่ ด้วยการตะโกนเรียกดัง ๆ หรือเขย่าที่ไหล่ หากผู้ป่วยได้ยิน หรือรู้เรื่อง ให้นอนราบราว 15 นาที และห้ามลุกนั่งในทันที เพราะอาจทำให้ความดันตก และรู้สึกวูบหมดสติได้

    ในกรณีที่มีสติ

    • จัดให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ห้ามมุงเด็ดขาด
    • จัดท่าให้นอนราบ ยกขาขึ้นสูง เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงศีรษะ
    • เช็ดตามใบหน้า คอ และแขนขา ด้วยผ้าชุบน้ำ
    • ให้ผู้ป่วยเชิดคางขึ้น เพื่อให้ทางเดินหายใจเปิดโล่ง

    ในกรณีหมดสติ

    ให้ช่วยเหลือโดยการปั้มหัวใจ ( CPR )

    • จัดท่าให้นอนหงาย
    • กดหน้าอกด้วยลึก 5-6 เซนติเมตร ด้วยความเร็ว 100 – 120 ครั้ง ต่อนาที
    • ไม่ต้องช่วยหายใจ หรือเป่าลมใส่ปาก

    ที่มา โรงพยาบาล พระราม 9

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    เปิดสวนครัว ป้องกันตับอักเสบ

    ทำไมกิน “น้ำตาล” มากๆ ก็ทำให้เป็นโรคไตได้ คำอธิบายของ เบาหวานลงไต

    ระบบย่อย พัง ไม่จบแค่ลำไส้

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ปวดต่อมน้ำเหลือง

    ปวดต่อมน้ำเหลือง เมื่อไหร่ ได้เรื่องเมื่อนั้น

    ปวดต่อมน้ำเหลือง สัญญาณเตือน เตรียมป่วย

    ปวดต่อมน้ำเหลือง เป็นอีกหนึ่งอาการที่ร้องบอกว่าร่างกายกำลังไม่ปกติ อาจจะเกิดจากการติดเชื้อ หรือเป็นอะไรที่มากกว่านั้นได้ แต่อาการจะเป็นอะไรได้บ้างนั้น รวมทั้งปวดต่อมน้ำเหลืองเป็นสัญญาณของอะไรบ้าง ไปอ่านกันค่ะ

    ต่อมน้ำเหลือง

    ต่อมน้ำเหลือง เป็นหนึ่งในระบบน้ำเหลือง ต่อมน้ำเหลืองมีลักษณะเป็นก้อนเล็กๆ ขนาดเท่าเม็ดถั่วลันเตาไปจนถึงถั่วแดง รวมตัวกันเป็นกลุ่มอยู่ตามจุดต่างๆ 9 แห่ง ในร่างกาย คือ

    1. กกหู
    2. คอ
    3. ท้ายทอย
    4. ใต้ขากรรไกร
    5. ใต้คาง
    6. ไหปลาร้า
    7. ข้อศอก
    8. รักแร้
    9. ขาหนีบ
    ปวดต่อมน้ำเหลือง
    ระบบน้ำเหลืองในร่างกายของคนเรา โดยจุดเขียวๆ คือบริเวณของต่อมน้ำเหลือง

    ทั้งนี้ในภาวะที่ร่างกายปกติ ไม่มีภาวะของต่อมน้ำเหลืองอักเสบ จะตรวจไม่พบก้อนต่อมน้ำเหลือง เนื่องจากตัวต่อมจะอยู่แทรกไปกับไขมัน และเนื้อเยื่อต่างๆ

    หน้าที่ของต่อมน้ำเหลือง คือกรองน้ำเหลืองที่ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย เพื่อดักจับเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย และมีหน้าช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน หากต่อมน้ำเหลืองอาการอักเสบ จึงเป็นสัญญาณว่าร่างกายของเราเกิดการติดเชื้อ หรือเกิดสิ่งแปลกปลอมขึ้น

    ปวดต่อมน้ำเหลือง

    อาการ ปวดต่อมน้ำเหลือง เป็นอีกหนึ่งสัญญาณสุขภาพว่าร่างกายเกิดอาการติดเชื้อ จนทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวม ปวด จากการต่อสู้กับเชื้อต่างๆ ที่เข้ามาในร่างกาย ในบางครั้งต่อมน้ำเหลืองจะบวมโตจนขึ้นเป็นก้อน เช่นที่หลังกกหู ที่ข้างลำคอ หรือที่รักแร้ แต่หากบวมที่บริเวณขาหนีบจะเรียกว่า ไข่ดัน แต่สำหรับชื่ออย่างเป็นทางการของอาการเหล่านี้คือ ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ

    ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ

    นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงอาการต่อมน้ำเหลืองอักเสบว่า เป็นภาวะที่ต่อมน้ำเหลืองบวมขึ้น จนมีขนาดใหญ่กว่าปกติ อาจเกิดขึ้นในที่เดียว หรือหลาย ๆ ที่พร้อมกัน ในบางรายอาจเป็นแค่ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย อีกทั้งยังเป็นอาการที่เกิดได้แบบทั้งเฉียบพลัน และเรื้อรังจนต้องรักษาในระยะยาว

    ต่อมน้ำเหลืองที่บวมปวดในหลายจุด เกิดขึ้นจากการที่มีการติดเชื้อลามไปยังต่อมน้ำเหลืองข้างเคียง นอกจากนั้นแล้ว การที่ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ อาจเกิดจากการติดเชื้อในอวัยวะต่างๆ แล้วส่งผลมาที่ต่อมน้ำเหลืองในบริเวณใกล้ๆ โดยไม่มีการติดเชื้อในต่อมน้ำเหลือง เช่นฟันผุ ทำให้ต่อมน้ำเหลืองที่คออักเสบ เป็นต้น

    สาเหตุของต่อมน้ำเหลืองอักเสบ

    ต่อมน้ำเหลืองอักเสบเกิดขึ้นได้จาก 2 สาเหตุ คือ

    การติดเชื้อที่อวัยวะต่าง ๆ แล้วส่งผลต่อต่อมน้ำเหลืองข้างเคียง ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด โดยมีปัจจัยเสี่ยงคือ

    • มีแผล หรืออักเสบในอวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ช่องปาก อวัยวะเพศ
    • มีการติดเชื้อในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่นติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ จนเป็นหวัด ก็ทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวมแดง และเป็นหนอง จนรู้สึกปวดได้
    • ภูมิต้านทานต่ำ

    ต่อมน้ำเหลืองติดเชื้อโดยตรง ทำให้มีการอักเสบโตหลายต่อมพร้อมกัน เช่น วัณโรคต่อมน้ำเหลือง ซึ่งเป็นผลจากการแพ้ยา หรือบางครั้งต่อมน้ำเหลืองก็อักเสบโดยไม่ทราบสาเหตุ

    อาการต่อมน้ำเหลืองอักเสบ

    ส่วนใหญ่แล้วอาการของต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ขึ้นอยู่กับสาเหตุและบริเวณที่อักเสบ โดยอาการที่พบได้หลัก ๆ คือ

    • กดไปที่ต่อมน้ำเหลืองแล้วเจ็บ
    • ต่อมน้ำเหลืองแข็งตัว หรือขยายตัวผิดปกติจนเห็นเป็นก้อนนูนขึ้นมาชัดเจน
    • ผิวหนังบริเวณที่ต่อมน้ำเหลืองอักเสบแดง ขึ้นเป็นริ้ว
    • มีหนองในต่อมน้ำเหลือง
    • มีของเหลวไหลออกจากต่อมน้ำเหลือง และคั่งอยู่ใต้ผิวหนัง

    การสังเกตง่ายๆ

    • กดที่จุดต่อมน้ำเหลืองแล้วเจ็บ
    • รู้สึกปวดต่อมน้ำเหลือง
    • แขนขาบวม
    • เหงื่อออกขณะนอนหลับ

     การรักษา

    การรักษาอาการต่อมน้ำเหลืองอักเสบ จะเป็นการรักษาที่สาเหตุ คือ หากเกิดจากติดเชื้อในร่างกาย หรือมีบาดแผล ก็จะรักษาแผล รักษาการติดเชื้อ หรือหากเกิดเพราะฟันผุ ก็จะต้องรักษาฟันให้เรียบร้อย หรือให้ยาปฏิชีวนะหากเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนั้นแล้วจะเป็นการรักษาตามอาการ เช่นให้ยาแก้ปวด แก้อักเสบ

    ระวัง! หากเจอก้อนบวมแดงนูนออกมาตามร่างกาย ห้ามเจาะเด็ดขาด เพราะอาจทำให้กลายเป็นโรคแทรกซ้อนได้

    การป้องกัน

    1. รักษาความสะอาดของร่างกาย
    2. ระมัดระวังไม่ให้เกิดบาดแผล
    3. เลี่ยงการใช้ยาโดยไม่จำเป็น หรือปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
    4. ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
    5. พักผ่อนอย่างเพียงพอ
    6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
    7. ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์

    มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

    มะเร็งต่อมน้ำเหลืองอีกหนึ่งโรคร้ายที่มีอาการเตือนอย่างอาการ ปวดต่อมน้ำเหลือง หรือต่อมน้ำเหลืองบวมโต โดยการสังเกตตนเองอยู่เสมอ เมื่อพบเจอสิ่งผิดปกติควรรีบพบแพทย์เพื่อการรักษาที่ทันท่วงที โรคนี้สามารถเกิดได้ในทุกจุดที่มีต่อมน้ำเหลือง ไม่ว่าจะเป็น คอ รักแร้ ข้อพับแขน ข้อพับขา ช่องอกหรือช่องท้อง แต่ยังไงก็ตามเซลล์น้ำเหลืองก็ยังอยู่ตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกายด้วย ไม่ว่าจะเป็นลำไส้ หรือกระเพาะ จึงสามารถเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้หมดทุกที่ (แม้ไม่มีต่อมน้ำเหลืองก็ตาม)

    สาเหตุมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

    1. ปัจจัยทางเคมี วัตถุทางเคมีที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น สารเคมีปราบศัตรูพืช น้ำยาย้อมผม เป็นต้น
    2. ปัจจัยทางภูมิคุ้มกัน ผู้ที่มีสมรรถภาพภูมิคุ้มกันโรคลดลง เช่น โรคเอดส์ การปลูกถ่ายอวัยวะ โรคไขข้ออักเสบ เป็นต้น
    3. ปัจจัยทางพันธุกรรม การเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนั้น มีความชัดเจนที่เกิดมาจากกรรมพันธุ์ทางครอบครัว เช่น พี่น้องอาจเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองตามลำดับ หรือเป็นพร้อมกัน
    4. สาเหตุจากไวรัส การติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัส HIV เป็นต้น

    การตรวจและรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง

    วิธีการตรวจหามะเร็งต่อมน้ำเหลืองแพทย์จะทำการซักประวัติคนไข้ และตรวจร่างกายเป็นลำดับ หรือตัดชิ้นเนื้อของต่อมน้ำเหลืองออกไปตรวจทางพิษวิทยา ส่วนการรักษาจะใช้วิธีการให้ยาเคมีบำบัด จำนวนครั้งในการให้ขึ้นอยู่กับแพทย์ที่ดูแลในเคสนั้นๆ ซึ่งการรักษาโรคนี้จะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูแลอยู่ หากตัวโรคมีความรุนแรงมากจะใช้วิธีการฉายแสงจากภายนอก หรือในคนไข้ที่มีข้อห้ามในเรื่องของการให้ยาก็จะได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้เช่นกัน โดยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะไม่ต้องผ่าตัด เนื่องจากเป็นโรคที่ตอบสนองต่อยาและแสงเคมีบำบัดมากๆ อยู่แล้ว

    การดูแลตัวเอง

    วิธีการดูแลตนเองสำหรับโรคนี้ คือ

    • ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อาจจะเน้นอาหารที่มีพลังงานเยอะ เช่น ไข่ขาว หรืออาหารที่มีโปรตีนสูงก็ช่วยได้ เช่น เนื้อสัตว์ต่างๆ
    • หลีกเลี่ยงยาชุด ยาชุด ยาหม้อ ยาลูกกลอน
    • ควรออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยให้สุขภาพดี ทำจิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ
    • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และมาพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
    • นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    สมองเสื่อม … ความชราที่สามารถชะลอได้

    บำบัด อาการก่อนมีประจำเดือน ด้วยวิธีธรรมชาติ

    บ้างาน มากๆ อาจเสี่ยงป่วย โรคซึมเศร้า

    ที่มา

    • มูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง
    • โรงพยาบาลแมคคอร์มิค
    • กรมการแพทย์
    • คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    หนทางดับทุกข์

    รวม “ความไม่รู้” เพื่อหา หนทางดับทุกข์ โดย คุณ พศิน อินทรวงค์

    เบญจภาคีแห่งความไม่รู้ นำไปสู่ หนทางดับทุกข์

    ในครั้งนี้ แอดได้นำบทความดีๆ เพื่อร่วมค้นหา หนทางดับทุกข์ ในทางธรรมะ โดย คุณ พศิน อินทรวงค์ ผู้ซึ่งรวบรวม “ความไม่รู้” ทั้ง 5 ต้นทางแห่งความทุกข์ท้อ เพราะความไม่รู้นั้น นำมาซึ่งความทุกข์ แล้วความไม่รู้ในทางธรรมะนั้นคืออะไร ในครั้งนี้คุณพศินจะเล่าให้ฟังกันอย่างละเอียด

    หนทางดับทุกข์ คุณ พศิน

    1. ไม่เข้าใจตนเองตามความเป็นจริง

    หมายความว่า ไม่เข้าใจว่ากระบวนการเกิดความเป็นตัวตนของตนเองคืออะไร ความคิดเกิดขึ้นได้อย่างไร และทำอย่างไรจึงพ้นไปจากอำนาจของความคิด รวมถึงพ้นไปจากภาวะสำคัญมั่นหมายว่าตนเองคือความเที่ยงแท้

    2. ไม่เข้าใจคุณสมบัติของกิเลส

    หมายความว่า มองเห็นกิเลสบางอย่างเป็นของดี เช่น มองว่าความอยากนำมาซึ่งความสำเร็จ ถ้าจะสำเร็จเรื่องอะไร
    ก็ต้องปลุกปั่นให้ตนเองเกิดความอยากมาก ๆ ใช้ความอยากความต้องการขับเคลื่อนชีวิต โดยไม่รู้ว่าความอยากคือ
    ตัณหา

    คุณสมบัติของตัณหาคือทำให้จิตใจกระวนกระวาย เกิดมานะอัตตา การเปรียบเทียบ ความเห็นแก่ตัว หดหู่ หมดกำลังใจ ที่ใดมีตัณหา ที่นั่นย่อมมีความทุกข์เป็นปกติ ไม่มีใครใช้ตัณหาขับเคลื่อนชีวิตแล้วไม่เกิดความทุกข์ใจ เปรียบเหมือนคนที่ต้องการทำงานให้ได้มากๆ แล้วไปกินยาบ้า จริงอยู่ยาบ้าช่วยให้ทำงานได้มากขึ้นในช่วงแรก แต่ถ้าใช้ไปนาน ๆ ใช้เรื่อย ๆ ไม่ช้าย่อมตกเป็นทาสของมันในที่สุด ส่งผลให้กลายเป็นคนบ้า

    เพราะคุณสมบัติของตัณหาก็คือการงอก เพิ่ม พุ่ง ทะลุทะลวง ตัณหาจะต้องการสิ่งต่างๆ มากกว่าสิ่งที่เรามีเสมอ นี่คือธรรมชาติของมันที่เราต้องรู้เท่าทันเพื่อจะไม่ถูกมันกลืนกินชีวิต

    3. ไม่เข้าใจกฎของความเป็นคู่

    หมายความว่า ยังอยู่ในโลกของการให้ค่าตั้งราคา เช่น มองสีดำคือความชั่ว สีขาวคือความดี ทั้งที่ความจริงแล้วสีดำและสีขาวไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าความเป็นสี หรือไปมองว่า การได้เท่ากับความสุข การเสียเท่ากับความทุกข์

    ทั้งที่ความจริงแล้วได้มา กับเสียไปคือสิ่งเดียวกัน ต่างมีทุกข์ และสุขไปคนละแบบ การไม่เข้าใจความเป็นคู่นี้ ทำให้มองอะไร ๆ ในโลกผิดทั้งหมด เป็นการใช้ชีวิตโดยมีจิตใต้สำนึกที่เป็นทาสของมายาคติ เมื่อคนเป็นทาสของมายาคติแล้ว ความทุกข์จึงเป็นเรื่องปกติของชีวิตด้วย

    หนทางดับทุกข์

    4. ไม่เข้าใจความเป็นสามัญลักษณะ

    กล่าวคือ บุคคลทั้งหลายมักเกลียดความผิดหวัง เกลียดการสูญเสียคนรักไม่ว่าจากเป็น หรือจากตาย เกลียดการสูญเสียของรัก ทรัพย์ ตำแหน่ง ไม่ชอบถูกนินทา ไม่ชอบความเหน็ดเหนื่อยจากการทำมาหาเลี้ยงชีพ ไม่ชอบความแก่ ความเจ็บ และความตาย ทั้งที่สิ่งเหล่านี้คือ เรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคนไม่มีข้อยกเว้น

    เมื่อมีเรื่องทำนองนี้เกิดกับเรา เรามักปฏิเสธ ไม่ยอมรับ โดยไม่เคยสังเกตวิเคราะห์เลยว่ามันคือความธรรมดาของโลก และมันจะเกิดขึ้นกับเราในลักษณะเดิม ๆ อีกหลายครั้งไม่มีที่สิ้นสุด

    5. ไม่เข้าใจเรื่องสุขทุกข์ตามความเป็นจริง

    หมายความว่า ความสุขที่แท้จะต้องเป็นสุขที่ไม่พึ่งพาวัตถุ สังคม หรือตัวบุคคล เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ถ้าเราไปยึดสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเป็นปกติ เราก็จะทุกข์เป็นปกติ นั่นคือเรื่องธรรมดา เรายึดลูก เราก็ต้องทุกข์เพราะลูกแน่นอน เนื่องจากลูกก็อยู่ในกฎของความเปลี่ยนแปลง เรายึดคนรัก เราก็จะทุกข์เพราะคนรักแน่นอน เนื่องจากคนรักของเราก็อยู่ในกฎของความเปลี่ยนแปลง เราปลูกต้นไม้ต้นหนึ่ง แล้วยึดมันว่าเป็นของเรา วันหนึ่งต้นไม้ตาย เราก็เกิดความทุกข์อีก แม้ยึดในร่างกายของตน แล้ววันหนึ่ง เมื่อมันเปลี่ยนสภาพ แก่ชรา ไม่สวยงามอย่างเดิม ทุกข์ย่อมมาเยือนอีกครั้งไม่ต้องสงสัย ครั้นเรายึดสติปัญญาของตนเอง วันหนึ่งเมื่อมีคนรู้มากกว่าเรา ได้รับคำสรรเสริญมากกว่าเรา คนอื่น
    ไม่เห็นคุณค่าในสติปัญญาของเราแล้ว เราก็เกิดความทุกข์ขึ้นมาอีก

    เราถูกสอนให้มีจิตใต้สำนึกแห่งความยึดติด เราแทบจะยึดทุกอย่างในชีวิตว่าเป็นของเรา แม้สิ่งที่ไมใช่ของเราโดยตรง เราก็ยังมีความมุ่งหวังให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องการแทรกแซง จับความคิดของตนไปตัดสินชี้วัดอยู่ตลอดเวลา
    เหล่านี้คืออาการของความยึดที่ครอบสากลจักรวาล คือยึดทั้งรูปที่จับต้องได้และยึดทั้งนามที่จับต้องไม่ได้ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์คนหนึ่งจะโงหัวขึ้นจากความทุกข์ได้สำเร็จ

    แม้ท่านได้อ่านบทความนี้แล้วคิดตาม ท่านคงได้สำรวจอะไรหลาย ๆ อย่างในชีวิต

    แม้ท่านมีความตระหนักชัดถึงจิตถึงใจจริงๆ ท่านย่อมตัดสินใจรื้อถอดทัศนคติของชีวิตใหม่หมดทั้งระบบ

    ข้าพเจ้าขอย้ำว่า “มันต้องรื้อใหม่ทั้งระบบ” หนทางแห่งการดับทุกข์ขั้นถาวรจึงพอมีโอกาสเป็นไปได้

    ท่านทั้งหลาย ขอให้คิดดูดี ๆ เถิด เราจะหนีความทุกข์ได้อย่างไร ในเมื่อเรานั่นแหละ คือตัวตนแห่งความทุกข์ที่แท้จริง!!!

    ที่มา

    นิตยสารชีวจิต ฉบับ 593 เดือนพฤษภาคม 2567 (ตับ…ฟื้นฟูได้ กินให้ถูก อยู่ให้เป็น) คอลัมน์ Mind Update สั่งซื้อ คลิก

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    10 เรื่องเกี่ยวกับความคิดที่สำคัญสุด ๆ แต่แทบไม่มีใครรู้ !!! โดยคุณพศิน อินทรวงค์

    คน 6 แบบที่เจอแล้วต้องรีบออกห่างก่อนจะกลายเป็น Toxic People โดยไม่รู้ตัว

    รวม หลักธรรม คำสอนใจ พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    บำบัดอาการก่อนมีประจำเดือน

    บำบัด อาการก่อนมีประจำเดือน ด้วยวิธีธรรมชาติ

    วิธีแก้ไข อาการก่อนมีประจำเดือน

    สาเหตุของ อาการก่อนมีประจำเดือน นั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด โดยอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในรอบเดือนของผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ หรือเป็นผลสะสมที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในระยะยาว จึงทำให้ผู้หญิงที่เคยตั้งครรภ์มาก่อนเกิดอาการก่อนมีประจำเดือนได้มากกว่าผู้หญิงกลุ่มอื่น

    อาการก่อนมีประจำเดือนพบบ่อย ได้แก่ อ่อนเพลีย ท้องอืด ปวดหลัง เจ็บเต้านม ปวดศีรษะข้างเดียว และปวดตามข้อ นอกจากนี้อาจมีอาการทางจิตใจร่วมด้วย เช่น อารมณ์เปลี่ยนแปลง ซึมเศร้า และวิตกกังวล

    ที่สำคัญ อาการอย่างหนึ่งที่มักเกิดก่อนมีประจำเดือนคือ ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ผลที่ตามมาคือ อาการง่วง ซึม ขาดสมาธิ และอยากกินของหวาน ๆ

    วิธีแก้ อาการก่อนมีประจำเดือน

    1. กินอาหารที่อุดมด้วยคาร์โบไฮเดรตครบส่วน เช่น ข้าวซ้อมมือ
    2. สูบบุหรี่ให้น้อยลงหรือเลิกสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
    3. ลดปริมาณเกลือในอาหาร เพราะเกลือทำให้เกิดอาการน้ำคั่งในร่างกาย
    4. กินผักผลไม้สดมากๆเพื่อป้องกันท้องผูก
    5. หากอยู่ในระหว่างกินยาเม็ดคุมกำเนิด ให้หยุดยา 2- 3 เดือน เพื่อดูว่าอาการจะดีขึ้นหรือไม่
    6. กำหนดวันนัดหมายธุระหรืองานเลี้ยงสำคัญนอกช่วงมีประจำเดือน
    7. ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ จะช่วยบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือนได้

    นอกจากผู้หญิงบางส่วนจะมีอาการก่อนมีประจำเดือนแล้ว ในระหว่างที่มีประจำเดือนผู้หญิงบางคนก็ยังต้องทุกข์ทรมานกับอาการปวดประจำเดือนอีกด้วย

    ปวดประจำเดือน

    อาการปวดประจำเดือนจะเริ่มมีอาการก่อนมีประจำเดือนไม่กี่ชั่วโมง และเป็นอยู่ตลอดช่วง 2-3 วันแรกของการปวดประจำเดือน โดยมีอาการปวดบิดเป็นพักๆที่บริเวณท้องน้อย บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ ท้องเดิน ใจคอหงุดหงิดร่วมด้วย ถ้าปวดรุนแรงอาจมีเหงื่อออก ตัวเย็น มือเท้าเย็นได้

    ส่วนใหญ่คนที่มีอาการปวดประจำเดือนมักจะไม่ทราบสาเหตุ สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากความไม่สมดุลของสารโพรสตาแกลนดิน ซึ่งทำหน้าที่ช่วยปิดรูหลอดเลือดที่รั่ว และทำให้กล้ามเนื้อมดลูกบีบตัว เพื่อขับเยื่อบุมดลูกที่ลอกออกมาเป็นระดู ปรกติแล้วอาการปวดประจำเดือน จะเกิดกับหญิงสาวที่รอบเดือนยังคลาดเคลื่อนอยู่ อาการปวดประจำเดือนมักจะหายไปหลังจากมีลูกคนแรกหรือเมื่อกินยาเม็ดคุมกำเนิด

    คลายปวดประจำเดือน

    กินอาหารที่มีวิตามินซี วิตามินอี แคลเซียม และแมกนีเซียมให้มากขึ้น จะช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้เหมือนกัน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะสารอาหารเหล่านี้ช่วยให้ผนังหลอดเลือดคลายตัว จึงลดการปวดเกร็งหรือเป็นตะคริวได้ อาหารที่มีวิตามินซี ได้แก่ ผักสดและผลไม้ อาหารที่มีวิตามินอี เช่น น้ำมันพืช จมูกข้าวสาลีและเมล็ดทานตะวัน เป็นต้น ส่วนแหล่งที่ดีของธาตุแคลเซียมคือ อาหารทะเล ส่วนแมกนีเซียมพบในถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น

    นอกจากนี้การนอนพักผ่อน ใช้ถุงร้อนประคบ และควรทำจิตใจให้สบายไม่เครียดก็จะช่วยลดอาการปวดท้องได้

    ข้อควรสังเกต

    • อาการปวดประจำเดือนมากเมื่ออายุมากขึ้น อาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกงอกผิดที่ อุ้งเชิงกรานอักเสบ มดลูกอักเสบ ถุงน้ำที่รังไข่ เนื้องอก เป็นต้น จึงควรปรึกษาแพทย์
    • ประจำเดือนขาด มักมีสาเหตุมาจากการตั้งครรภ์เป็นส่วนใหญ่ แต่ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่อาจทำให้ประจำเดือนขาดหรือมาไม่สม่ำเสมอได้ เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปรกติ ความอ้วน โรคเบาหวาน การออกกำลังกายหักโหม การลดน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว ความเครียด ปัญหาทางอารมณ์ หรือแม้แต่การเดินทางโดยสารเครื่องบิน ก็อาจทำให้รอบเดือนผิดปรกติได้
    • ประจำเดือนมามากผิดปรกติ มักจะเกิดกับเด็กสาวที่เริ่มมีประจำเดือน หรือกับสตรีที่ถึงวัยใกล้หมดประจำเดือน ผู้หญิงที่ใช้ห่วงคุมกำเนิดก็อาจเกิดอาการนี้ได้ เมื่อประจำเดือนมามากผิดปรกติจอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้ จึงควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ผักใบสีเขียวเข้ม เป็นต้น

    ข้อมูลเรื่อง “บำบัดอาการก่อนมี ประจำเดือน ด้วยวิธีธรรมชาติ” จากนิตยสารชีวจิต

    อาการก่อนมีประจำเดือน

    ต่อเรื่องน่าห่วงของสาว ๆ เกี่ยวกับ อาการก่อนมีประจำเดือน กันอีกนิด

    อาการน่าห่วงของสาว ๆ เธออยากฆ่าตัวตาย เพราะ อาการก่อนมีประจำเดือน

    มีสาว ๆ คนไหนกำลังเผชิญกับภาวะอารมณ์แปรปรวนช่วงก่อนมีประจำเดือนบ้างไหมคะ แล้วมีที่รุนแรงจนทำให้รู้สึกอยาก ฆ่าตัวตาย หรือไม่

    แม้หลายคนบอกว่า เป็นหนึ่งในอาการ PMS – Premenstrual Syndrome (ช่วงอาการก่อนมีประจำเดือน) โดยระบุอย่างเจาะจงต่อภาวะนี้ว่า PMDD – Premenstrual dysphoric disorder ซึ่งก็คือกลุ่มอาการรุนแรงก่อนมีประจำเดือน ความเห็นส่วนใหญ่จะเป็นไปในทาง “ไม่ได้มีอะไรต้องซีเรียส” แต่เชื่อเถอะ ถ้ามีคนคิด ฆ่าตัวตาย มันคือเรื่องซีเรียสกว่าที่คิด

    วันนั้นของเดือนกับความคิด ฆ่าตัวตาย

    ล่าสุดทาง BBC THAI ได้เผยแพร่คลิปที่ให้ผู้หญิงหลายคนออกมาแชร์ประสบการณ์และความรู้สึกที่ต้องเผชิญกับ PMDD พวกเธอต่างระบุว่า รู้สึกไม่โอเคและเต็มไปด้วยความคิดอยากฆ่าตัวตาย ซึ่งเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ บางคนต้องย้ำกับเจ้าหน้าที่ถึงความรุนแรงหรือความซีเรียสของอาการของเธอกับเจ้าหน้าที่ถึง 17 หน ทั้ง ๆ ที่เมื่อมีคน ๆ หนึ่งอยากฆ่าตัวตาย มันไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเพื่อจะชี้ให้ใครสักคนเห็นถึงความรุนแรงของอาการนี้

    “มีคน ๆ หนึ่งอยากจบชีวิต” มันยังไม่ร้ายแรงพออีกหรือ

    เรื่องราวของพวกเธอ ทำให้เราได้เห็นแง่มุมของอาการ PMDD ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องอารมณ์แปรปรวนปกติ ที่แค่ไปสปา ไปเล่นกับสุนัข กินช็อกโกแลต แล้วมันจะดีขึ้น ความรู้สึกอยากฆ่าตัวตายนี้มันอยู่กับพวกเธอได้นานถึง 2 สัปดาห์ และมาทุก ๆ เดือน เราจึงต้องตระหนักถึงความสำคัญในการช่วยเหลือผู้ที่ต้องเผชิญกับภาวะนี้อย่างจริงจัง

    ในปัจจุบัน มีวิธีการรักษาที่สามารถช่วยบรรเทาอาการ PMDD นี้ได้มาเป็นทางเลือกให้ผู้หญิงอย่างเรา ๆ เช่น การกินยาต้านซึมเศร้า ไปจนถึงการผ่าตัดรังไข่ออกไป (ซึ่งจะแก้ปัญหาได้แน่นอน) แต่ก็อาจจะเผชิญกับผลข้างเคียงอยู่บ้าง

    แล้วลูกเพจสาว ๆ คนไหน มีประสบการณ์ต้องเผชิญกับอาการ PMS หรือ PMDD มาแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง ได้นะคะ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้มากขึ้น รวมไปถึงสร้างความเข้าใจ ว่าอาการผิดปกติเหล่านี้ ไม่ได้เป็นความผิดที่ตัวผู้ป่วยเลย แต่เป็นจากสภาวะร่างกายที่ต้องรักษาและดูแลอย่างจริงจัง

    สาววัยเจริญพันธุ์เสี่ยงพีเอ็มเอสสูง

    นายแพทย์ณัฐวุฒิ กันตถาวร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาสูติ – นรีเวชวิทยา ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ให้ความรู้ว่า

    “กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนหรือพีเอ็มเอสนั้นเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงในช่วง 5 – 10 วันก่อนที่ประจำเดือนจะมาโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่คาดว่าเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิง เอสโทรเจนและโปรเจสเทอโรนในช่วงระหว่างการตกไข่ในแต่ละรอบเดือน ส่วนปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของสารสื่อประสาทในสมอง ปัญหาจากความเครียด โรคทางอารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้า เป็นต้น”

    ขณะที่ แพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข สูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลประจำจังหวัดพิจิตร อธิบายเพิ่มเติมถึงผู้หญิงที่มีโอกาสเกิดอาการก่อนมีประจำเดือนว่า

    “กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนนี้พบได้มากถึงร้อยละ75 ในผู้หญิงอายุ 30 – 40 ปี และอาการนี้จะหายไปเมื่อผู้หญิงหมดประจำเดือนถาวร ขณะที่ในผู้หญิงที่ตัดรังไข่ออกทั้งสองข้างแล้วจะไม่มีอาการนี้”

    นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุรศักดิ์ฐานีพานิชสกุล คณบดีวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังเผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับความรุนแรงของภาวะพีเอ็มเอสในปัจจุบันว่า

    “ผู้ที่มีอาการพีเอ็มเอสและพีเอ็มดีดี (PMDD -Premenstrual Dysphoric Disorder) หรือกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนชนิดรุนแรง จะถูกรบกวนอย่างมากจากอาการผิดปกติต่างๆ ตลอดช่วงวัยเจริญพันธุ์ ถ้าเริ่มเป็นตั้งแต่วัยรุ่นก็อาจเป็นทุกรอบเดือน รอบละประมาณ 4 – 5 วัน ถ้าคำนวณตลอดช่วงวัยเจริญพันธุ์ก็จะมีจำนวนวันที่ต้องทนทรมานจากอาการเหล่านี้สูงถึง 3 – 5 ปีทีเดียว

    “สำหรับอุบัติการณ์และข้อมูลในประเทศไทยยังมีค่อนข้างน้อย ซึ่งเมื่อเกิดอาการในผู้หญิงแล้วมักจะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ ากลุ่มอาการพีเอ็มเอสและพีเอ็มดีดีนั้น มีอุบัติการณ์สูงในผู้หญิงไทย ที่อยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์และวัยทำงาน ซึ่งแม้จะมีอุบัติการณ์สูงแต่ก็ยังเป็นปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขมากนัก ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นต่างๆ ทำให้คุณภาพชีวิตลดลง”

    ปัจจัยเสี่ยงพีเอ็มเอสที่ผู้หญิงต้องรู้

    นอกจากผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ จะมีโอกาสเผชิญกับภาวะกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนสูงแล้ว ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทองไกรพิบูลย์ ยังอธิบายถึงปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมในการเกิดภาวะดังกล่าวไว้ในหนังสือ รู้ลึกและเข้าใจโรคภายในของผู้หญิง ดังนี้

    • พันธุกรรม ที่ทำให้ร่างกายมีความไว / ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศสูงกว่าผู้หญิงทั่วไป เพราะมีการศึกษาพบว่า ในฝาแฝดและคนในครอบครัวเดียวกันมักมีอาการเหมือนกัน
    • เชื้อชาติ เพราะพบว่าผู้หญิงบางเชื้อชาติมีอาการก่อนมีประจำเดือนน้อยกว่าเมื่อเทียบผู้หญิงอีกเชื้อชาติหนึ่ง
    • บุคลิกภาพพื้นฐานของแต่ละคน พบว่าอาการรุนแรงมักเกิดขึ้นในผู้หญิงที่ซึมเศร้าหรือเกิดภาวะเครียดได้ง่าย
    • ลักษณะการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ผู้หญิงที่ไม่ได้ออกกำลังกายจะพบอาการก่อนมีประจำเดือนได้มากกว่า

    7 อันดับผลกระทบจากพีเอ็มเอส

    ศาสตราจารย์ลอเรน เดนเนอร์สไตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเพศศึกษาและสุขภาพ แผนกจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเมลเบิร์นออสเตรเลีย ได้ทำการวิจัยเชิงคุณภาพในกลุ่มผู้หญิงและแพทย์ในประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก 4 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย ฮ่องกงปากีสถาน และไทย พบว่า

    “ผู้หญิงจำนวนมากในเอเชียแปซิฟิกที่ประสบภาวะพีเอ็มเอสและพีเอ็มดีดี แต่กลับไม่พยายามหาวิธีรักษา เนื่องจากมีความเชื่อที่ผิดว่าอาการก่อนมีประจำเดือนเหล่านี้เป็นเพียงสัญญาณบอกว่าประจำเดือนกำลังจะมา หรือเห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงทุกคนต้องประสบอยู่แล้ว โดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่าอาการเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้อาจนำไปสู่ความรุนแรงของอาการที่เพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว”

    สำหรับประเทศไทยมีการวิจัยเชิงปริมาณยืนยันว่า กิจกรรมในชีวิตประจำวันและสิ่งที่ได้รับผลกระทบจากอาการพีเอ็มเอสมี 7 อันดับ ดังนี้

    1. ประสิทธิภาพการทำงาน 66 เปอร์เซ็นต์
    2. ความเป็นระเบียบภายในบ้าน 53 เปอร์เซ็นต์
    3. คู่รักและครอบครัว 23 เปอร์เซ็นต์
    4. เพื่อนและผู้ร่วมงาน 13 เปอร์เซ็นต์
    5. กิจกรรมยามว่าง 12 เปอร์เซ็นต์
    6. กิจกรรมทางเพศ 12 เปอร์เซ็นต์
    7. การเรียน 8 เปอร์เซ็นต์

    อย่างไรก็ตาม อาการก่อนมีประจำเดือนสามารถบรรเทาลงได้ด้วยการหมั่นออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่งดเว้นการกินเหล้า สูบบุหรี่ และพักผ่อนให้เพียงพอ แต่ถ้าหากมีอาการรุนแรงก็ควรไปพบแพทย์นะคะ

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    เดินเร็ว วันละนิด ชีวิตยืนยาว

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต


    สมองเสื่อม

    สมองเสื่อม … ความชราที่สามารถชะลอได้

    สมองเสื่อม ชะลอได้ หากรู้จักดูแล

    สมองเสื่อม เป็นอาการที่หลายคนเมื่อแก่ตัวลงจะเริ่มกังวลว่าต้องเผชิญกับอาการนี้หรือไม่ และเมื่อไหร่ …แต่ทราบหรือไม่ค่ะ สมองเสื่อมเป็นความชราที่ชะลอได้

    รู้จักโรค สมองเสื่อม

    อันดับแรกมารู้จักโรคนี้กันก่อน เพราะโรคสมองเสื่อมเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น สมองเสื่อมจากโรคไทรอยด์ โรคเนื้องอกในสมอง โรคขาดสารอาหารบางชนิด ซึ่งเมื่อแก้ที่สาเหตุโรคสมองเสื่อมจากสาเหตุเหล่านี้ก็จะดีขึ้น แต่สาเหตุสมองเสื่อมที่พบได้บ่อยที่สุด คือจากอัลไซเมอร์ ซึ่งไม่สามารถรักษาได้ และไม่ทราบการเกิดแน่ชัด พบแต่เพียงว่าในคนที่เป็นอัลไซเมอร์จะมีสารโปรตีนชนิดหนึ่ง ชื่อว่าเบต้าอะไมลอยด์ เข้าไปฝังตัวอยู่ในสมอง และทำลายเซลล์ประสาท เมื่อเซลล์ประสาทเหลือน้อยลงก็จะเกิดอาการอัลไซเมอร์

    อาการของอัลไซเมอร์ คือ มีความบกพร่องด้านความจำ ร่วมกับการสูญเสียความสามารถของสมองด้านอื่นๆ ต่อไปนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง ความคิดการคำนวณ ความเข้าใจในเรื่องของเหตุผล การตัดสินใจ การคิดวิเคราะห์ หรือความสามารถทางด้านภาษา ตัวอย่างอาการของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ก็เช่น ย้ำคิดย้ำทำถามซ้ำซาก เนื่องจากจำไม่ได้ว่าทำหรือถามไปแล้ว ทำสิ่งง่ายๆที่เคยทำไม่ได้ เช่น ใช้กรรไกรตัดเล็บไม่ได้ เปิดกระป๋องไม่เป็น ติดกระดุมเสื้อไม่ได้ มีอาการซึมเศร้า หงุดหงิดก้าวร้าว

    อาการของโรคจะคล้ายกับอาการหลงลืมตามปกติในผู้สูงอายุและโรคทางจิตเวช ให้สังเกตว่า หากเป็นอาการหลงลืมตามปกติของผู้สูงอายุ จะไม่มีอาการผิดปกติของสมองด้านอื่นร่วมด้วย อัลไซเมอร์จะมีอาการความจำเสื่อม บุคลิกภาพถดถอย ความสามารถด้านอื่นๆ เสื่อมลงก่อนแล้วจึงค่อยมีอาการทางจิต แต่ถ้าเป็นโรคทางจิตเวชจะมีอาการของประสาทหลอน หูแว่ว มาก่อน

    อาการความจำเสื่อมนี้หากมีอาการมากจนเป็นปัญหาต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน หรือมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ควรพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ทางระบบประสาท เพื่อตรวจวินิจฉัย

    อัลไซเมอร์เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศและทุกวัย แต่ส่วนใหญ่มักเป็นกับคนอายุ 55-60 ปีขึ้นไป และยิ่งอายุมากขึ้นโอกาสเป็นโรคก็ยิ่งสูงขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับต้นทุนเดิมของแต่ละคน หากเป็นคนที่ต้องใช้ความคิดการตัดสินใจอยู่เสมอ เมื่อสมองเสื่อมถอยไปบ้าง ก็ยังสามารถดำเนินชีวิตประจำวันอยู่ในสังคมได้ หรือคนที่เกษียณแล้ว ถ้าใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ สมองจะถดถอยลงอย่างรวดเร็ว แต่ถ้ายังทำงานอุทิศตนให้สังคม ศึกษาเรื่องอื่นๆต่อ คิดวิเคราะห์ให้ความเห็น แม้จะมีสมองบางส่วนที่เสียไปตลอดเวลาตามอายุขัย แต่ส่วนที่ฝึกไว้ก็จะดีขึ้น

    การรักษาเป็นการรักษาตามอาการ แม้จะให้ยาช่วยในด้านความจำ แต่ก็ไม่ได้ทำให้กลับมาดีเหมือนเดิม เพียงแต่ช่วยให้พอดำรงชีวิตประจำวันได้ด้วยตนเอง ส่วนยาบำรุงสมองราคาแพงที่โฆษณาขายกันอยู่นั้น มักจะมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้กระฉับกระเฉงอยู่ชั่วคราว แต่ก็เป็นการดึงพลังสำรองมาใช้ ทำให้อ่อนเปลี้ยเพลียแรง จนต้องใช้เวลาพักนานขึ้น จึงไม่แนะนำ

    การดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์

    • ให้ความเข้าใจและเห็นใจผู้ป่วย
    • หากผู้ป่วยย้ำถามซ้ำซาก และเห็นว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น เช่น เวลานัดหมาย อาจเตือนความจำโดยเขียนไว้บนกระดานให้ผู้ป่วยอ่าน
    • ผู้ป่วยอาจจะทำกิจวัตรประจำวันได้ช้า เพราะจำวิธีทำไม่ได้ ควรจัดเตรียมอุปกรณ์และแนะนำให้ทีละขั้นตอน จากนั้นให้ผู้ป่วยค่อยๆทำเองให้มากที่สุดแทนที่จะรีบทำให้ เพื่อให้เขายังมีโอกาสได้ฝึกทำจะได้ไม่ลืมไปหมด
    • พาเข้าสังคมบ้าง เพื่อฝึกให้ทักษะในการเข้าสังคมให้ยังคงอยู่บ้าง
    • หากในกรณีที่ผู้ป่วยชอบออกนอกบ้าน แล้วจำทางกลับบ้านไม่ได้ ให้ผู้ป่วยพกนามบัตร เบอร์โทร.ติดต่อ แต่ทางที่ดีควรมีผู้ดูแลไปด้วย
    • จัดบริเวณบ้านให้ปลอดภัย

    ป้องกัน สมองเสื่อม

    วิธีป้องกันและชะลอการเสื่อมของสมอง

    • ฝึกสมองให้ได้คิดวิเคราะห์อยู่ตลอด และในวัยกลางคนควรเริ่มบริหารสมองด้วยการทำสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ อาจเริ่มฝึกจากงานอดิเรกที่ตนเองชอบ เพื่อให้เกิดความสนุกและเพลิดเพลิน
    • หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำลายสมอง เช่น เหล้า บุหรี่ มลพิษ
    • กินอาหารชะลอด้านความเสื่อมของสมอง และส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทให้ดีขึ้นตามแนวเวชศาสตร์วัยชรา (Gerontology)

    อาหารที่ช่วยบำรุงสมองมีดังนี้

    • อาหารที่มีวิตามินB1 ได้แก่ ข้าวทุกชนิดที่ไม่ขัดขาว ถั่วลิสง ผักทุกชนิด ยีสต์ และปลา
    • อาหารที่มีวิตามินB2 ได้แก่ ยีสต์ เนยแข็ง ผักใบเขียว ปลา
    • อาหารที่มีวิตามินB6 ได้แก่ ยีสต์ รำข้าว จมูกข้าว แคนตาลูป กะหล่ำปลี
    • อาหารที่มีวิตามินB12 ได้แก่ ปลา
    • อาหารที่มีไอโนซิทอลและคอลิน ได้แก่ ผักใบเขียว ยีสต์ จมูกข้าว ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง แคนตาลูป ส้มโอ องุ่นแห้ง ถั่วลิสง และกะหล่ำปลี
    • อาหารที่มีเลซิทิน ได้แก่ ถั่วเหลือง ข้าวโพด
    • อาหารที่มีโพแทสเซียม ได้แก่ ผลไม้รสเปรี้ยว แคนตาลูป มะเขือเทศ ฟักน้ำ ผักใบเขียว สะระแหน่ เมล็ดทานตะวัน กล้วย และมันฝรั่ง
    • อาหารที่มีกำมะถัน ได้แก่ ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง ปลา กะหล่ำปลี
    • อาหารที่มีสังกะสี ได้แก่ จมูกข้าว เมล็ดฟักทอง ยีสต์ มัสตาร์ดผง

    ซึ่งถ้ากินอาหารตามสูตรของชีวจิต (แป้งไม่ขัดขาวปริมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ผัก 25 เปอร์เซ็นต์ โปรตีน 15 เปอร์เซ็นต์ และเบ็ดเตล็ด 10 เปอร์เซ็นต์) วิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารจำเป็นอื่นๆก็น่าจะเพียงพอ …. สมองเสื่อม รักษาไม่ได้ แต่เป็นความชราแบบชะลอและป้องกันได้ค่ะ

    อ่านเพิ่มเติม

    กินยานอนหลับ มีผลเสียระยะยาว จริงหรอ ?

    แก้กรดไหลย้อน ด้วยอาหารอร่อย ลดการใช้ยา

    เบาหวาน อยากกินผลไม้ต้องอ่าน!

    ติดตาม ชีวจิต ในช่องทางต่าง ๆ ได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    อาหาร

    3 อาหาร ควรกินเดี่ยว ไม่ควรกินคู่กัน

    3 อาหาร ที่ควรกินเดี่ยว ไม่ควรกินคู่กัน เพราะจะทำให้เสียสุขภาพ

    แม้ในความจริงบางครั้งการไร้คู่ ก็ไม่ได้ดูแย่เท่าการมีคู่ โดยเฉพาะเรื่องอาหาร ถ้าไม่ใส่ใจมากพอ แทนที่อาหารจะช่วยบำรุงร่างกาย กลับทำร้ายร่างกายเราได้เช่นกัน นี่คือ 3 อาหาร ที่ ไม่ควรกินคู่กัน

    นี่เรากำลังพูดถึง “อาหาร” ไม่ได้การครองโสด (ฮา…)

    อาหารเพื่อสุขภาพ & น้ำปลาพริก

    นี่เป็นอีกเรื่องที่ทำให้คนรักสุขภาพตกม้าตาย หรือไม่ก็พิการ สั่งอาหารออร์แกนิก มาดูแลสุขภาพทั้งที่ ทำไมต้องมี “น้ำปลาพริก” เพราะโซเดียมในน้ำปลาพริก ที่พ่วงมาแฝงด้วยอันตราย ซึ่งเป็นที่มาของ โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมองแตก โรคหัวใจ ไตวาย และโรคกระดูกพรุน ด้วยเหตุนี้ องค์การอนามัยโลก จึงประกาศให้รับประทานอาหาร ที่มีโซเดียม ไม่เกินวันละ 1,400 มิลลิกรัม

    ผัดต้นอ่อนทานตะวันเต้าหู้ & น้ำอัดลม

    ใครบอกนะว่าอาหารจานเดียว ผัดต้นอ่อนทานตะวันเต้าหู้ กับ น้ำอัดลม เป็นของคู่กัน นอกจากต้นอ่อนทานตะวัน จะมีโปรตีนสูงกว่าถั่วเหลืองแล้ว ยังมีวิตามินเอ และวิตามินอี เพื่อช่วยในบำรุงสายตา และผิวพรรณ รวมถึงช่วยชะลอความชราอีกด้วย

    ที่สำคัญต้นอ่อนทานตะวัน มีวิตามินบี 1,6 มีโอเมก้า 3 ,6 ,9 ซึ่งช่วยบำรุงเซลล์สมอง ป้องกันโรคสมองเสื่อม แถมมีธาตุเหล็กสูง และอุดมไปด้วยสารอาหาร เช่น วิตามินเอ วิตามินอี โปรตีน แคลเซียม สังกะสี คาร์โบไฮเดรต โพแทสเซียม ส่วน กระเทียม ก็ให้สารออร์แกโนซัลเฟอร์ ช่วยต่อต้านการเจริญเติบโตของแบคทีเรียบางชนิดที่ก่อมะเร็งได้ ขณะที่เต้าหู้ มากไปด้วยประโยชน์ เช่น วิตามินบี ธาตุเหล็ก แคลเซียม และกรดอะมิโน เรียกได้ว่าให้โปรตีนครบถ้วน แถมยังย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์เลยทีเดียว

    น้ำอัดลม ทำให้กระดูกพรุน ฟันผุ เพราะมีกรดฟอสฟอริก ซึ่งเกิดจากฟอสฟอรัสจากกำมะถัน ทำให้โรคอ้วน และเป็นโรคเบาหวาน เนื่องจากในน้ำอัดลม 1 กระป๋อง มีน้ำตาลมากถึง 30 กรัม เกินกว่า ปริมาณน้ำตาลที่รับประทานแล้วปลอดภัย ถึง 4 กรัม น้ำอัดลม ทำให้นอนไม่หลับ ใจสั่น มือสั่น เนื่องจากฤทธิ์ของกาเฟอีน เป็นสาเหตุทำให้ ท้องอืด ปวดท้อง แน่นท้อง และเป็นโรคกระเพาะ

    น้ำดื่มสมุนไพรเพื่อสุขภาพกับน้ำแข็ง ไม่ควรกินคู่กัน

    น้ำดื่มสมุนไพรเพื่อสุขภาพ & น้ำแข็ง

    อุตส่าห์เลือกดื่มน้ำสมุนไพรทั้งที ทำไมถึงต้องมีน้ำแข็งเปล่าตามมาด้วย น้ำสมุนไพร มีประโยชน์ทางยา มีคุณค่าทางอาหาร และช่วยในการป้องกันโรค ช่วงที่อาการร้อน หรือร่างกายเสียเหงื่อมาก ๆ น้ำสมุนไพรบางชนิดช่วยผ่อนคลายความร้อน และทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลง เช่น น้ำมะขาม ช่วยลดอาการกระหายน้ำ นอกจากนี้น้ำสมุนไพร อย่าง น้ำใบเตย น้ำใบบัวบก ยังช่วยบำรุงหัวใจได้อีกด้วย

    แต่เมื่อนำมาจับคู่กับน้ำแข็งป่น จากแหล่งผลิต และการขนส่งที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโรค หรือจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคอย่าง อีโคไล ท้องร่วง ท้องเสีย และโรคอาหารเป็นพิษ จากการสุ่มตรวจการปนเปื้อนในอาหารของสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร พบว่า มีน้ำแข็งบริโภคปนเปื้อนจุลินทรีย์าสูง มากถึง 64.5 %  และโรคที่พบมากเป็นอันดับ 1 ได้แก่ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน รองลงมา คือ โรคอาหารเป็นพิษ และโรคบิด

    ก่อนจับคู่ให้อาหาร คิดกันอีกสักนิด เพื่อชีวิตที่ปลอดภัย

    เสริมกันอีกนิด กับ ผักผลไม้ห้ามกินกับยา 

    ไม่ใช่แค่ ชา กาแฟ นม ที่ห้าม ผักผลไม้ห้ามกินกับยา ก็มีเหมือนกัน เพราะหากกินเข้าไปพร้อมกับยาบางชนิดอาจส่งผลต่อการดูดซึมของยาที่กินได้ โดยมีผลทั้งในแง่การเพิ่มและลดประสิทธิภาพของตัวยา  หรือที่เราเรียกกันว่า ยาตีกัน

    แต่ไม่ต้องกังวลไป เรารวบรวมเหล่าอาหาร สมุนไพรที่ทุกคนต้องรู้มาแนะนำจ้า

    ช็อกโกแลต 

    มีสารสำคัญจำพวก ไทรามีน มีฤทธิ์กระตุ้นความดันโลหิตให้เพิ่มขึ้น ดังนั้นคนที่กินยาความดันโลหิตสูง ควรหลีกเลี่ยงเป็นที่สุด แถมดาร์กช็อกโกแลต ยังมีปริมาณสารคาเฟอีนสูง ทำให้ใจสั่น  อาจมีผลกับกลุ่มอาการโรคไทรอยด์  และลดประสิทธิภาพของการกินยานอนหลับได้ 

    ชะเอม

    สมุนไพรที่ให้ความหวาน รสชาติหวานติดลิ้น การแพทย์แผนไทยใช้ในการขับเสมหะ เจ็บคอ บำรุงกำลัง ปัจจุบันนำมาสกัดแล้วผสมในอาหารมากมาย แทนน้ำตาลหรือสารให้ความหวาน  ในฉลากจะระบุว่า Licorice หรือ Glycyrrhizin  สารสำคัญในชะเอมนี้ จะไปลดประสิทธิภาพของกลุ่มยากระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน  ยา Digoxin ที่ใช้รักษาโรคหัวใจ เพราะอาจทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ หรือหัวใจวายได้ แถมผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงห้ามกินชะเอมด้วยนะ

    โสม

    สมุนไพรจีนมีฤทธิ์เป็นยารสร้อน เหมาะกับคนที่เลือดลมในร่างกายไม่ดี โดยที่โสมจะเข้าไปช่วยทำให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น แต่จะมีผลต่อยากลุ่มการแข็งตัวของเลือด เช่น  Warfarin Heparin  เพราะอาจทำให้มีผลข้างคียง อาการนอนไม่หลับ อารมณ์หงุดหงิด ปวดศีรษะ วิตกกังวล สมาธิสั้นได้ แถมโสมยังมีฤทธิ์ลดะดับน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย การกินร่วมกับยาเบาหวานอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไปได้

    พริก

    มีสารสำคัญแคปไซซิน มีฤทธิ์แก้อาการปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ช่วยเร่งการเผาผลาญผลังงานในร่างกาย การกินพริกอาจทำให้เพิ่มการดูดซึมของยากลุ่ม ACE inhibitors ในผู้ป่วยโรคไต ที่เป็นเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหืด และกลุ่มของยาต้านอาการซึมเศร้า และส่งผลให้มีอาการข้างเคียงอาการไอร่วมด้วยได้

    กระเทียม

    หรือกาลิก มีปริมาณสารอัลลิซินสูง เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ชั้นดี ช่วยลดระดับไขมัน คอเลสเตอรอล ความดันโลหิตสูง และระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่ถ้าหากกินร่วมกับกลุ่มยาต้านการแข็งตัวของเลือด อาจทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลงได้ รวมไปถึงการกินร่วมกับยารักษาความดันโลหิตสูง ยาเบาหวาน อาจทำให้ระดับอินซูลินต่ำลงจนเกินไป อาจทำให้วูบได้

    นมและผลิตภัณฑ์นมก็ห้ามกินกับยา

    เนื่องจากนมมีปริมาณของแร่ธาตุแคลเซียม แมกนีเซียม และเคซีน (โปรตีนจากนม) จึงทำให้อาจจะชะลอการดูดซึมยาบางชนิดได้ โดยเฉพาะในกลุ่มของยาแอนติไบโอติก หรือยาปฏิชีวนะ ดังนั้นแนะนำให้ดื่มนมหลังจากกินยาประมาณ 2 ชั่วโมง

    รู้ก่อน ป้องกันได้ก่อน  แต่ถ้าไม่แน่ใจ กินยา อย่างไรควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรใกล้บ้าน

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    แนะวิธีจับคู่ สมุนไพรรักษาโรค บำรุงเลือด ป้องกันไขมันพอกตับ

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    แกงไทย กับการช่วยป้องกันมะเร็ง

    5 สาเหตุใกล้ตัว ก่อมะเร็ง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ออกกำลังกาย รูมาตอยด์

    เทคนิคขยับกาย คลาย ปวดข้อรูมาตอยด์

    ปวดข้อรูมาตอยด์ แก้ไขได้ด้วยการบริหารกาย

    ปวดข้อรูมาตอยด์ เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่งที่รุนแรงและอาจทำให้พิการได้ โรคนี้จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 3 เท่า และส่วนใหญ่จะพบในช่วงอายุ 20-50 ปี

    สาเหตุมาจากการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุข้อเกือบทุกแห่งทั่วร่างกายพร้อมกัน ร่วมกับมีการอักเสบของพังผืด เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อรอบๆข้อ เชื่อว่าเป็นผลมาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีการตอบสนองอย่างผิดปรกติต่อเชื้อโรค หรือสารเคมีบางอย่าง ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเข้าใจว่าเนื้อเยื่อข้อปรกติเป็นสิ่งแปลกปลอม จึงสร้างกระบวนการกำจัดสิ่งแปลกปลอมขึ้น และส่งผลให้ข้ออักเสบ ซึ่งอาจจะเรียกอีกอย่างได้ว่า แพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune)

    สังเกตอาการ

    อาการของโรคนี้จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากมีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ชาปลายมือปลายเท้า โดยเฉพาะเวลาที่ร่างกายกระทบกับอากาศเย็น ๆ

    หลังจากนั้นจะปวดเมื่อยตามตัวและข้อต่าง ๆ แล้วจึงมีอาการอักเสบของข้อปรากฏให้เห็น โดยข้อที่เริ่มมีการอักเสบก่อน ได้แก่ ข้อนิ้วมือนิ้วเท้า ข้อมือ ข้อเข่า ข้อศอก ต่อมาจะเป็นข้อไหล่ ส่วนข้อศอกจะปวดพร้อมกันทั้งสองข้าง และข้อจะบวมแดงร้อน นิ้วมือนิ้วเท้าจะบวม ต่อมาอาการอักเสบจะลุกลามไปทุกข้อทั่วร่างกาย

    อาการปวดข้อจะมีลักษณะเฉพาะคือ ข้อแข็งขยับลำบากมักจะเป็นมากในเวลาที่อากาศหนาวเย็น หรือในตอนเช้า พอสายๆอาการจะทุเลา เข้าใจว่าความกดอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปจะส่งผลต่อแรงดันภายในข้อที่เสื่อม โดยอาจไปบีบรัดปลายประสาทที่โผล่ออกมา

    อาการปวดข้อจะเป็นอยู่ทุกวันและมากขึ้นๆเป็นแรมเดือนแรมปี โดยมีบางระยะอาจทุเลาไปได้เอง แต่จะกลับมีอาการกำเริบรุนแรงขึ้นอีกขณะมีความเครียดหรือขณะตั้งครรภ์ ถ้าข้ออักเสบเรื้อรังอยู่หลายปี ข้อจะแข็งและพิการ นอกจากนี้ผู้ป่วยยังอาจมีอาการซีด ฝ่ามือแดง มีผื่นหรือตุ่มขึ้นตามผิวหนัง

    เราไปดูวิธีการดูแลตัวเองกันค่ะ

    วิธีดูแลตัวเอง

    1. นอกจากจะบำบัดรักษาด้วยการใช้ยาแล้ว ผู้ป่วยควรรักษาทางกายภาพบำบัดร่วมไปด้วย เช่น การใช้น้ำร้อนประคบ การแช่หรืออาบน้ำอุ่น ซึ่งแนะนำให้ทำในช่วงเช้าประมาณ 15 นาที
    2. ต้องเคลื่อนไหวข้อ และฝึกกายบริหารเป็นประจำทุกวัน อย่าอยู่นิ่งๆ เพราะยิ่งอยู่นิ่ง ข้อยิ่งแข็งฝืดและขยับยากยิ่งขึ้น ดังนั้นควรฝึกกายบริหารในท่าต่างๆ ท่าละ 10 ครั้ง ทำซ้ำทุก 1-2 ชั่วโมง จะช่วยทำให้ข้อลดความฝืดและเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
    3. ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยาชุดกินเอง เพราะแม้จะช่วยให้อาการทุเลาได้ แต่ก็อาจเกิดโทษจากยาสเตียรอยด์ หรือยาอันตรายอื่นๆที่ผสมอยู่ในยาชุด
    4. ควรรู้สมดุลร่างกายของตัวเองว่าเมื่อใดควรพักข้อที่อักเสบ และเมื่อใดควรให้ข้อนั้นออกกำลังกายจะช่วยให้รับมือกับโรคได้ดีขึ้น เช่น เมื่อข้อเกิดการอักเสบรุนแรงขึ้น ให้หยุดการออกกำลังบริเวณข้อทันที และเริ่มออกกำลังใหม่เมื่อการอักเสบลดลงแล้ว
    5. การออกกำลังกายในสภาพไร้น้ำหนัก เช่น ว่ายน้ำ เป็นวิธีดีที่ที่สุดสำหรับผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ
    6. การนวด ถือเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้ทุเลาลงได้ ส่วนการใช้ยาทาถูนวดต่างๆที่ใช้สำหรับแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เช่น ยาหม่อง จะช่วยให้หายปวดได้ชั่วคราว เช่นเดียวกับการใช้ยาแก้อักเสบในรูปครีม นวดบริเวณรอบๆข้อที่มีการอักเสบ ก็จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบได้ชั่วคราวเช่นกัน

    คลาย ปวดข้อรูมาตอยด์ ด้วยการออกกำลังกาย

    การออกกำลังกายเป็นส่วนสำคัญของการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เนื่องจากช่วยลดอาการปวด เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและความยืดหยุ่นของข้อ รวมถึงส่งเสริมสุขภาพโดยรวม อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยรูมาตอยด์ต้องมีการปรับให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและข้อจำกัดของผู้ป่วย ดังนี้

    ออกกำลังกายแก้ปวดรูมาตอยด์

    การออกกำลังกายเพื่อความยืดหยุ่น (Flexibility Exercises)

    การยืดกล้ามเนื้อ (Stretching) จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ควรทำทุกวันหรืออย่างน้อย 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์

    การออกกำลังกายเพื่อความแข็งแรง (Strengthening Exercises)

    การฝึกกล้ามเนื้อด้วยน้ำหนัก (Strength Training) ใช้ดัมเบลล์หรือยางยืด ควรทำอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่รองรับข้อต่าง ๆ

    การออกกำลังกายแบบแอโรบิก (Aerobic Exercises)

    การเดิน (Walking), การว่ายน้ำ (Swimming), หรือการปั่นจักรยาน (Cycling) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจและปอด ควรทำ 30 นาทีต่อวัน อย่างน้อย 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์

    การออกกำลังกายเพื่อการเคลื่อนไหวข้อ (Range-of-Motion Exercises)

    การหมุนข้อมือและข้อเท้า ช่วยรักษาความยืดหยุ่นและการเคลื่อนไหวของข้อ ควรทำทุกวัน

    การออกกำลังกายเฉพาะที่ (Targeted Exercises)

    สำหรับข้อต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษ เช่น มือ เข่า หรือข้อเท้า อาจต้องมีการออกกำลังกายที่เน้นเฉพาะจุดนั้น ๆ

    การออกกำลังกายแบบเน้นสมาธิ (Mind-Body Exercises)

    โยคะ (Yoga) และไทชิ (Tai Chi) ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ความสมดุล และลดความเครียด

    ข้อควรระวัง – ควรปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกาย ก่อนเริ่มโปรแกรมออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในช่วงที่ข้อต่าง ๆ อักเสบมาก

    ควรเริ่มต้นอย่างช้า ๆ และเพิ่มความหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไป และหยุดทันทีหากมีอาการปวด หรือรู้สึกไม่สบายที่ข้อมากขึ้น

    การออกกำลังกายที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ผู้ป่วยรูมาตอยด์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถจัดการกับโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    4 ท่าบริหารป้องกันข้ออักเสบ

    ออกกําลังกายยังไง ทําล่ำเป็นตอม่อ ต่อไปนี้ไม่มีอีกแล้วจ้า!!

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    สาเหตุใกล้ตัวก่อมะเร็ง

    5 สาเหตุใกล้ตัว ก่อมะเร็ง

    เจาะ 5 สาเหตุใกล้ตัว ก่อมะเร็ง

    ชีวจิต ขอชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับสาเหตุ หรือตัวการ ก่อมะเร็ง ที่อยู่ใกล้ตัวเรา จะมีอะไรบ้างนั้น มาดูกัน

    เมื่อมนุษย์เติบโตขึ้นเซลล์ปกติในร่างกายบางส่วน กลับทำงานผิดปกติและเพิ่มจำนวนขึ้นเองโดยอัตโนมัติ มิหนำซ้ำยังลุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ และไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เซลล์ทำงานผิดปกติ

    หนังสือ The America Cancer Society’s book กล่าวว่า กระบวนการก่อตัวของเซลล์มะเร็งนั้นเกิดจากปัจจัยหลากหลายทั้งจากภายนอกและภายใน เช่น สารก่อมะเร็งที่คนเราได้รับในชีวิตประจำวัน และการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่กระตุ้นให้เซลล์ทำงานผิดปกติ

    แม้ปัจจุบันวงการแพทย์จะยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าสาเหตุใด คือ ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็ง แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันว่าสาเหตุดังต่อไปนี้ คือ ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดเนื้องอกและเซลล์ร้ายในร่างกาย

    ภูมิชีวิต (Immune System) บกพร่อง

    “มะเร็งไม่ใช่โรค” คือคำกล่าวที่ อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูชีวจิตกล่าวถึงโรคมะเร็งในหนังสือมะเร็งแห่งชีวิต เพราะความเจ็บป่วยที่ถือว่าเป็นโรค ซึ่งอาจารย์สาทิสยึดตามคำจำกัดความด้านการแพทย์นั้นต้องเกิดจากเชื้อโรคเป็นต้นเหตุ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว และพยาธิเท่านั้น

    ส่วนมะเร็งนั้น ถือว่าเป็นเนื้องอกหรือกลุ่มเซลล์ที่ผิดปกติและไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เซลล์ปกติกลายเป็นเซลล์ร้ายนั้น คือ กระบวนการกลายพันธุ์ และปัจจัยที่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ก็คือ ความบกพร่องของภูมิชีวิตนั่นเอง

    อาจารย์สาทิส กล่าวว่า “Immune System เป็นตัวคุ้มครองป้องกันชีวิตของคุณ เหมือนอย่างตำรวจ ทหารที่เป็นผู้คุ้มกันสร้างความสงบสุขให้กับประเทศ…นอกไปจากนั้น Immune System ยังเป็นผู้ทำนุบำรุงเลี้ยงร่างกายให้ใหญ่โต แข็งแรง เป็นตัวสร้างพลังทั้งปกติและพิเศษในตัวคนเราอีกด้วย

    “Immune System ตามแนวทางชีวจิต นอกจากจะหมายถึง Immune System โดยตรงแล้วยังครอบคลุมไปถึงระบบอื่นๆของร่างกายด้วย เช่น ระบบย่อย ระบบเลือด”

    ดังนั้นความบกพร่องของ Immune System จึงทำให้อวัยวะในร่างกายและเซลล์ต่างๆทำงานผิดปกติ ซึ่งปัจจัยที่ทำลาย Immune System ก็คือ การที่ร่างกายมีสารพิษหรือ Toxin มากเกินไป ซึ่งอาจารย์สาทิสกล่าวว่า ความผิดทั้งทางกายและทางใจล้วนเป็นตัวสร้าง Toxin ไม่ว่าจะเป็นการกิน นอน พักผ่อน ทำงานที่ผิด และขาดการออกกำลังกายรวมถึงความเครียด

    เมื่อร่างกายสะสม Toxin ไว้มากโดยไม่ได้ขับออกโดยระบบขับถ่ายหรือการออกกำลังกาย สารพิษต่างๆจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้ Immune System และการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายบกพร่อง

    การดูแลรักษาภูมิชีวิตให้แข็งแรงจึงเป็นดั่งปราการปกป้องมะเร็งได้

    พฤติกรรมการกิน

    คำกล่าวที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอนั้นสามารถใช้ได้กับทุกสิ่งไม่เว้นแม้แต่การกิน เพราะเมื่อใดที่เรากินอาหารดีมีประโยชน์ เซลล์ทั่วร่างกายก็จะเติบโตแข็งแรง แต่เมื่อใดที่เรากินอาหารที่อุดมไปด้วยแป้งขาว ไขมัน และสารพิษ เมื่อนั้นร่างกายก็จะอ่อนแอ และถูกโรคภัยนานาชนิดคุกคามได้ง่าย

    พฤติกรรมการกินแบบชาวตะวันตกนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในตัวการที่ทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติ เพราะอาหารที่ผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน เต็มไปด้วยแป้งและเนื้อสัตว์ ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เซลล์ปกติกลายเป็นเซลล์ร้าย

    อาหารฟาสต์ฟู้ดยังเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ระบบเผาผลาญน้ำตาล ก่อให้เกิดอาการอักเสบในเซลล์และอวัยวะต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่ส่งเสริมให้เกิดเซลล์มะเร็งด้วย

    ดังที่อาจารย์สาทิส กล่าวว่า “อาหารที่เข้าปากเรากับอาหารที่ไปบำรุงร่างกายนั้นไม่เหมือนกัน เพราะเมื่ออาหารเข้าสู่ร่างกาย ก็จะถูกย่อยและทำให้เป็นสารอาหาร”

    ดังนั้น ถ้าเรากินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น แป้งขัดขาว เนื้อสัตว์ที่อุดมไปด้วยกรดแอมิโนที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย และไขมันเลวชนิดที่ร่างกายไม่ต้องการ เมื่อเข้าสู่ระบบย่อยก็จะกลายเป็นสารพิษ และจะถูกดูดซึมเข้าร่างกาย ร่างกายของเราจึงเต็มไปด้วยสารพิษซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ Immune System ตก

    ที่สำคัญยังก่อให้เกิดโรคอ้วนด้วย ซึ่งโรคอ้วนก็ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคไขมันในเส้นเลือดสูง และความดันโลหิตสูง ทั้งยังมีผลต่อการเกิดโรคมะเร็งมากถึง 35 เปอร์เซ็นต์

    จากสถิติในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า การมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 17 เปอร์เซ็นต์ ในผู้ชายที่มีน้ำหนักตัวเกินจะมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากมะเร็งต่อมลูกหมาก 34 เปอร์เซ็นต์ และในผู้หญิงที่มีภาวะอ้วนจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านม มากกว่าผู้หญิงน้ำหนักปกติ 2 เท่า

    นอกจากนี้ การดื่มแอลกฮอล์ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งด้วยดังที่ The National Institutes of Public Health in Denmark ศึกษาพฤติกรรมการใช้ชีวิตของประชากรชายชาวเดนมาร์คจำนวน 30,000 คน พบว่าผู้ชายที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอล์มากกว่าวันละ 2 แก้วทุกวัน จะมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Rectal Cancer) มากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มสามเท่า

    และผู้หญิงที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอล์วันละครึ่งแก้วทุกวัน จะมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านมมากว่าผู้หญิงทั่วไป 6 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผู้หญิงที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอล์มากกว่าวันละ 2 แก้วทุกวัน จะมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านมมากว่าผู้หญิงทั่วไป 21 เปอร์เซ็นต์

    เรื่องใกล้ตัวอย่างอาหารการกินจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญก่อ มะเร็ง

    วิถีชีวิต

    เราอาจกล่าวได้ว่าวิถีชีวิตนั้นสามารถก่อมะเร็งได้เท่า ๆ กับป้องกันมะเร็ง เพราะวิถีชีวิตที่ดีนั้นสามารถป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์ได้ เช่น ผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะมีระบบเผาผลาญ ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบกำจัดของเสียออกจากร่างกายที่มีประสิทธิภาพมากกว่าผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย

    ขณะที่การดำเนินชีวิตแบบไม่ใส่ใจสุขภาพ ส่งผลให้คนเรามีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งมากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ เช่น ขาดการออกกำลังกาย สูบบุหรี่ และดื่มแอลกฮอล์ ล้วนเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ร่างกายอ่อนแอ และเสี่ยงต่อการเป็นมเร็ง

    จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างวิถีชีวิตและการเกิดโรคมะเร็ง พบว่า ผู้ที่ไม่ออกกำลังกายจะมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งสูงกว่าผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะมีไขมันสูงและการมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ก็ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยก่อโรคมะเร็งเช่นกัน

    นอกจากนี้ความเครียดยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความผิดปกติในร่างกาย เพราะเมื่อเครียดร่างกายจะทำงานผิดปกติ และระบบต่างๆในร่างกายจะแปรปรวน

    ดังอาจารย์สาทิส กล่าวว่า “เมื่อคุณคิดผิด ๆ คิดถึงแต่ความโลภ ความโกรธ ความเกลียด หรือคิดถึงแต่ความอยากได้ อยากได้อะไรต่ออะไรร้อยแปด นั่นคือ มะเร็งในความคิด… มะเร็ง ในความคิดจะขยายต่อไปเป็นมะเร็งในร่างกาย”
    การใส่ใจสุขภาพด้วยการหันมาออกกำลังกาย ลดความเครียด และกินอาหารที่มีประโยชน์ จึงเป็นเกราะป้องกันมะเร็งและโรคร้ายอื่น ๆ ได้

    เพราะสาเหตุใกล้ตัว คือ ต้นตอใหญ่ของมะเร็งร้ายทุกชนิด

    สิ่งแวดล้อม

    การมีชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีนั้น ถือเป็นหนึ่งในปัญจกิจของชีวจิตที่อาจารย์สาทิส ได้บัญญัติขึ้น เพราะการมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปราศจากสารพิษนั้นส่งเสริมให้เรามีสุขภาพดี

    ในทางกลับกัน หากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษสุขภาพของเราก็จะทรุดโทรม และถูกโรคนานาชนิด โดยเฉพาะโรคมะเร็งที่สิ่งแวดล้อมมีผลกระทบมากถึง 25 เปอร์เซ็นต์

    ถึงแม้ว่าร่างกายจะมีกลไกขับสารพิษโดยอัตโนมัติ แต่หากมนุษย์ได้รับสารพิษเป็นจำนวนมากและต่อเนื่องเป็นเวลานาน เซลล์ปกติก็จะค่อยๆกลายเป็นเซลล์มะเร็ง เพราะสารเคมีบางชนิดที่เราได้รับในชีวิตประจำวันนั้น สามารถทำร้ายเซลล์ได้ลึกถึงดีเอ็นเอเลยทีเดียว

    ส่วนใหญ่เรามักได้รับสาร ก่อมะเร็ง จากอาหาร อากาศ น้ำดื่ม และอุปกรณ์อื่น ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น โทรศัพท์มือถือ ไมโครเวฟ และการเอกซเรย์ และสารพิษที่เราได้รับมักเป็นสารเคมีจำพวกยาฆ่าแมลง ฮอร์โมนที่อยู่ในเนื้อสัตว์ สารเคมีในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เครื่องสำอาง เฟอร์นิเจอร์ ยาฆ่าแมลง และควันบุหรี่ซึ่งถือว่าเป็นสารพิษที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด

    The American Cancer Society เผยว่าในจำนวนผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ และเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดนั้น มีผู้ที่สูดควันบุหรี่มือสองเป็นจำนวนถึง 3,000 คน และผู้ที่ได้รับสารพิษที่ตกค้างจากควันบุหรี่ในสิ่งแวดล้อม เช่น เส้นผม เสื้อผ้า ผนัง และเฟอร์นิเจอร์ ก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับสารเคมีและสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะสารตะกั่วมากเช่นเดียวกับบุหรี่มือสอง

    นอกจากนี้ สารตะกั่วแล้วสารเคมีในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในบ้านยังส่งผลเสียต่อร่างกายด้วย ดังผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Occupational and Environmental Medicine ที่พบว่าสารเคมีจากผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนนั้นมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก

    นอกจากสารเคมีแล้วอาหารตัดต่อพันธุกรรมยังเป็นตัวการก่อมะเร็ง ได้ด้วย เพราะมีรายงานว่าเมื่อเรากินอาหารตัดต่อพันธุกรรมเข้าไป อาหารดังกล่าวจะเข้าไปทำลายดีเอ็นเอในเซลล์ให้เสียหาย ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยและโรคมะเร็ง

    สิ่งแวดล้อมจึงถือเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่กำหนดสุขภาพของเราทุกคน

    พันธุกรรม

    นอกจากลักษณะทางกายภาพภายนอก เช่น สีผิว ตา และผม ที่เราได้รับมาจากบรรพบุรุษแล้ว บางคนยังอาจได้รับยีนส์ (Genes) หรือสารพันธุกรรมที่ซุกซ่อนการกลายพันธุ์ของเซลล์ในร่างกายมา เช่น ยีนส์ BCRA1 และ BCRA2 ซึ่งเป็นยีนส์ที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านมและรังไข่มากถึง 40-80 เปอร์เซ็นต์

    นอกจากนี้โรคมะเร็งเต้านม รังไข่ ต่อมลูกหมาก และลำไส้ใหญ่ จะถูกส่งต่อจากญาติที่ใกล้ชิดที่สุดคือ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ และพี่น้อง

    แต่การมีพันธุกรรมมะเร็ง นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคนคนนั้นจะต้องป่วยเป็นโรคมะเร็งเสมอไป เพราะผลการศึกษาโรคมะเร็งในฝาแฝดที่มียีนส์มะเร็งทั้งคู่ พบว่าโดยทั่วไปแล้วจะมีฝาแฝดเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่เป็นโรคมะเร็ง

    ส่วนคนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งนั้น ถือว่ามีความเสี่ยงต่อโรคนี้เช่นกัน เพราะอาจมีพฤติกรรมก่อมะเร็งที่ส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น เช่น การสูบบุหรี่ ความเครียด และวิถีชีวิต

    ทว่า เมื่อเปรียบเทียบปัจจัยทางด้านพันธุกรรมแล้ว นักวิจัยและแพทย์ต่างเห็นว่าพันธุกรรมนั้นมีผลกระทบน้อยที่สุด และเป็นปัจจัยที่ทุกคนสามารถยับยั้งได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

    5 ปัจจัยก่อ มะเร็ง รู้ไว้ก่อน ป้องกันได้ก่อนค่ะ

    ข้อมูลเรื่อง ” 5 สาเหตุใกล้ตัวก่อ มะเร็ง ” จากนิตยสาร ชีวจิต

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    แนะวิธีจับคู่ สมุนไพรรักษาโรค บำรุงเลือด ป้องกันไขมันพอกตับ

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    แกงไทย กับการช่วยป้องกันมะเร็ง

    “ฝันดี – ฝันร้าย” ความฝัน เกี่ยวข้องอย่างไรกับสุขภาพ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    เนื้องอก

    17 วิธีตรวจ เนื้องอก ด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน

    มาตรวจ เนื้องอก กันเถอะ

    แม้แพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข คอลัมนิสต์คนดังของนิตยสารชีวจิตจะอธิบายเสมอว่า “ตอนนี้ยังไม่ทราบปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิด เนื้องอก ตามอวัยวะต่าง ๆ อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเนื้องอกในมดลูก เต้านม และรังไข่ ซึ่งมีปัจจัยเกี่ยวข้องมากมาย แต่เราก็พอจะสังเกตตัวเองได้ ด้วยหลากหลายวิธีต่อไปนี้ค่ะ

    อาการผิดปกติของ เนื้องอกมดลูก สังเกตได้ดังนี้

    1. ประจำเดือนผิดปกติมามากหรือมากะปริบกะปรอย
    2. ประจำเดือนมีกลิ่นเหม็น จากการอักเสบของเนื้องอกภายใน
    3. มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
    4. ปัสสาวะบ่อยหรือปัสสาวะไม่ออกเพราะเนื้องอกไปกดการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ
    5. ท้องผูกเพราะเนื้องอกไปกดการทำงานของลำไส้
    6. สามารถคลำพบก้อนกลมแข็งบริเวณตรงกลางของท้องน้อย

    วิธีสังเกตถุงน้ำที่รังไข่

    เมื่อเป็นซีสต์หรือถุงน้ำที่เป็นเนื้องอก ผู้ป่วยจะมีอาการดังนี้

    1.  มีอาการท้องอืด
    2. ปวดท้อง
    3. ประจำเดือนผิดปกติเพราะเกิดจากฮอร์โมนรังไข่ผิดปกติ
    4. ถ้าเป็นคนผอมแต่มีพุงอาจตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีถุงน้ำขนาดใหญ่อยู่ก็ได้
    5. ถ้าถุงน้ำมีขนาดใหญ่เกิน 7 เซนติเมตร ตอนเช้าๆก่อนลุกไปปัสสาวะ จะคลำพบก้อนแข็งบริเวณท้องน้อยซึ่งอาจจะอยู่ตรงกลางหรือด้านข้างก็ได้ ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ท้องเป็นดาน (แข็งเหมือนกระดาน) ซึ่งควรรีบไปพบแพทย์ เพราะถุงน้ำที่เป็นเนื้องอกปล่อยไว้เป็นอันตรายแพทย์จะต้องทำการผ่าตัดออก

    เคล็ดไม่ลับสังเกต เนื้องอก และถุงน้ำที่เต้านม

    คุณหมอชัญวลีให้ข้อมูลว่า “ถ้าเป็นถุงน้ำที่เต้านมจะรู้สึกว่าหน้าอกโตมากขึ้น หรือคลำเจอก้อน ซึ่งข้อที่น่าสนใจเกี่ยวกับซีสต์ธรรมดา กับมะเร็งเต้านมคือ ถ้าคลำแล้วเจ็บจะไม่ใช่มะเร็ง แต่ถ้าเป็นมะเร็งจะไม่มีอาการเจ็บ หรือว่าถ้าเป็นมะเร็งแล้วมีอาการเจ็บ ก็เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว”

    เนื้องอก

    ซีสต์และ เนื้องอก ที่ตับ มีอาการอะไรบ้าง

    ถ้าเป็นกรณีผู้ป่วยด้วยโรคเนื้องอกที่ตับ คุณหมอชัญวลีแนะวิธีสังเกตว่า ถ้าเนื้องอกที่ตับถ้าเป็นน้อยจะไม่แสดงอาการ แต่ถ้าเป็นมาก จะทำให้

    1. ท้องอืด
    2. เบื่ออาหาร
    3. ดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง
    4. ขับถ่ายออกมีแต่กากเพราะอาหารไม่ย่อย

    ถุงน้ำที่ต่อมธัยรอยด์สังเกตอย่างไร

    คุณรุ่งฟ้า ลิ้ม อายุ 40 ปี มีพบถุงน้ำที่ต่อมธัยรอยด์มาฟังเรื่องเล่ากันค่ะ “เมื่อปีที่แล้ว เราส่องกระจกมองที่คอตัวเองก็ตกใจเพราะเห็นว่า คอด้านซ้ายมีการบวมโตกว่าคออีกด้านหนึ่ง เมื่อใช้มือคลำก็พบก้อนเล็กบวมออกมา แต่ก็ไม่มีอาการเจ็บปวดอะไรนะ เวลากลืนน้ำกลืนอาหารก็ปกติดี ซึ่งถ้าเรายืนธรรมดาก็อาจไม่ค่อยเห็นว่ามันโตมาก แต่จะสังเกตเห็นชัดมาก เวลากลืนน้ำลายเพราะเจ้าก้อนนี้จะขยับขึ้นลงตามลูกกระเดือกของเรา ซึ่งพอมองคอคนอื่นๆก็ไม่เห็นมี จึงคิดว่าไม่ได้การแล้ว ต้องรีบไปพบแพทย์”

    “พอไปพบหมอ หมอก็ให้หลับตา แล้วยื่นมือออกมา ถ้ามือสั่น ก็สันนิษฐานได้ว่าเป็นอาการของโรคธัยรอยด์ รวมถึงหมอก็สั่งตรวจก้อนที่คอว่าจะเป็นเนื้องอก หรือว่าถุงน้ำ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มาจะเป็นถุงน้ำเสียเป็นส่วนใหญ่”

    “อาการที่เกิดขึ้นพร้อมๆกับการเกิดก้อนบริเวณคอคือ มีอาการมือสั่น ใจสั่น” จากบทความ neoplasia ของ นายแพทย์นิธิ จงจิตรนันท์ จากหนังสือ พยาธิวิทยากายภาคพื้นฐาน ยังอธิบายถึงภาวะบางอย่างที่ใกล้เคียงเนื้องอกคือ diffuse hyperplasia โรคนี้จะทำให้มีการแบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนมากขึ้น และสร้างฮอร์โมน thyroxine เพิ่มขึ้น สังเกตได้จากการคลำพบต่อมธัยรอยด์มีลักษณะเป็นก้อนตะปุ่มตะบ่ำหลายๆก้อน ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการ หัวใจเต้นเร็ว กินจุ แต่ผอมลง เหงื่อออกมาก หงุดหงิดง่าย เป็นต้น

    ถ้าเห็นว่ายังบกพร่องอยู่ รีบเปลี่ยนแปลงซะ จะได้ไม่เจ็บ ไม่ป่วยไปมากกว่าเดิมนะคะ

    ข้อมูลเรื่อง “17 วิธีตรวจเนื้องอกด้วยตัวเอง ฉบับสาวทำงาน” จากนิตยสารชีวจิต

    ชีวจิตชวนทำความรู้จักกับ เนื้องอกมดลูก ภัยเงียบผู้หญิง สาเหตุมีลูกยาก

    เนื้องอกมดลูก ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม

    เนื้องอกมดลูก เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้หญิง ส่วนมากจะไม่มีอาการ สาเหตุที่แท้จริงยังไม่มีใครทราบ แต่เชื่อว่าบางส่วนเกิดจากพันธุกรรม และฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศในผู้หญิงสามารถกระตุ้นให้เนื้องอกเจริญเติบโตขึ้นได้ มาดูรายละเอียดกัน

    เนื้องอกมดลูกมีกี่ชนิด

    เนื้องอกมดลูกมีอยู่ทั้งหมด3ชนิดคือ เนื้องอกที่ผิวมดลูก เนื้องอกที่กล้ามเนื้อมดลูก และเนื้องอกในโพรงมดลูก โดยคนไข้ที่มีเนื้องอกมดลูกส่วนมากจะไม่มีอาการ คนไข้ที่มีอาการมักเกิดจากเนื้องอกในโพรงมดลูกและเนื้องอกที่กล้ามเนื้อมดลูกที่มีขนาดใหญ่จนเบียดเข้ามาในโพรงมดลูก

    อาการเป็นอย่างไร

    อาการก็จะมีประจำเดือนมามากและมานาน ปวดท้องประจำเดือนมาก ในรายที่เนื้องอกมีขนาดใหญ่มากๆก็จะอาจจะคลำเจอก้อนได้ที่หน้าท้อง หรือมีอาการของเนื้องอกไปกดเบียดอวัยวะข้างเคียงเช่น ท้องผูก ปัสสาวะลำบาก นอกจากนี้เนื้องอกในโพรงมดลูกยังเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะมีบุตรยากร่วมด้วยคือ เนื้องอกจะทำให้โพรงมดลูกมีรูปร่างผิดปกติไป ทำให้ตัวอ่อนมาฝังตัวที่บริเวณโพรงมดลูกไม่ได้ นอกจากนี้ถ้ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นก็อาจทำให้มีการแท้งหรือมีการคลอดก่อนกำหนดตามมาทีหลังได้

    การรักษาเนื้องอกมดลูก

    ถ้าไม่มีอาการก็ไม่ต้องรักษาใดๆแค่ติดตามอัลตราซาวด์เป็นระยะเพื่อดูขนาดของเนื้องอก แต่ในรายที่มีอาการก็จำเป็นที่ต้องรักษา การรักษาก็เริ่มจากการใช้ยาเพื่อลดปริมาณประจำเดือนหรือลดอาการปวดท้องประจำเดือนแต่ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาก็จำเป็นที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งมีทั้งการผ่าตัดแบบส่องกล้องและการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของเนื้องอกมดลูก

    บทความโดย : นพ.เสฐียรพงศ์ จารุสินธนากร แพทย์ผู้ชำนาญการด้านสูตินรีเวช

    ประสบการณ์สุขภาพ ชีวจิตช่วยสร้างสมดุลชีวิต สยบก้อน เนื้องอก

    เนื้องอก ที่หน้าอกเป็นประสบการณ์สุขภาพซึ่งเกี่ยวข้องกับคนในแวดวงนักร้องที่เป็นที่รู้จัก ในบ้านเรามีดาราหรือนักร้องน้อยคนนักที่คุ้นเคยและใกล้ชิดชีวจิตจริง ๆ ส่วนใหญ่ออกแนวรักสุขภาพและพยายามสร้างสมดุลให้ชีวิตตามแนวชีวจิตเท่านั้นเอง

    ต่างจากนักร้องสาว ลุลา กันยรัตน์ วัย 32 ปี ในขณะนั้น คุณแม่ของเธอเป็นหนึ่งในแกนนำสมาชิกชมรมชีวจิตที่ใกล้ชิดอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิตของเรามาก ๆ เธอจึงได้รับการปลูกฝังแนวทางการใช้ชีวิตแบบเดียวกับที่นิตยสารนำเสนอตลอดมาตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่นด้วยซ้ำ

    เรามาฟังเรื่องราวของเธอไปพร้อมกัน

    ชีวจิตจากคุณแม่

    ตอนแรกคุณแม่จะออกแนวบังคับ ให้ดื่มน้ำอาร์ซีน้ำมะระคั้น ตอนนั้นเรายังเรียนอยู่ ม.ปลาย เพราะคุณแม่เต็มที่กับชีวจิตมาก เขาคิดว่าให้ลูกมีสุขภาพที่ดีดีกว่าบอกตามตรง ร้องไห้เลย เพราะตอนนั้นเกลียดมะระมาก

    ต่อมาเรียนจบ ช่วงทำงานอีเว้นต์ เราก็ใช้ชีวิตหนักหน่วงมาก ทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ คุณแม่ก็พยายามให้เปลี่ยนไปทำงานเป็นสาวออฟฟิศ เช้าเข้างาน เย็นกลับบ้าน เราก็ไม่เข้าใจ ดื้อ ขวางโลก

    แม่จะเตือนว่า เป็นผู้หญิงนะ ต้องกินให้ดีนิดหนึ่งออกกำลังกายบ้าง นอนพักผ่อนให้เพียงพอ เหล้าบุหรี่ก็ต้องระวัง ซึ่งเราไม่สูบบุหรี่อยู่แล้ว เพราะเป็นนักร้องแต่เหล้าเบียร์ก็มีบ้าง คือใช้ชีวิตแบบวัยเริ่มทำงานทั่วไปยิ่งช่วงทำงานอีเว้นต์จะได้กินข้าวกล่องตลอด

    เพราะเรียนเต้นมาแต่เด็ก เลยไม่สนใจการออกกำลังกายอย่างอื่นเลย เพราะคิดว่าการเต้นก็พอแล้ว เมื่อโตขึ้นไม่ได้เต้นแล้วฉะนั้น เรื่องการขยับตัวแบบเป็นเรื่องเป็นราวเลยไม่มีอยู่ในสารบบ

    เคยลองเล่นฟิตเนสหลายรอบแล้ว ไม่ชอบเลย ต่อมาช่วงหนึ่งแม่เป็นผู้นำรำกระบอง ก็ให้ตามไปรำกระบองที่สวนสาธารณะด้วยซึ่งจะมีท่าของเขา เอ้า ถู ถู ถู (ท่าจูบสะดือ) ถ้าว่างก็ตามไปด้วยไม่ว่างก็ไม่ได้ไป บางทีรำที่บ้านกันด้วย เพราะตอนนั้นเขาฟิตและอยากให้คุณพ่อทำด้วย ซึ่งต่อมาเมื่อเริ่มทำงาน เราก็ห่างจากตรงนั้นไป

    ตอนอายุยี่สิบปลาย ๆ ช่วงก่อนมาเป็นนักร้อง เราเริ่มมีอาการไซนัสอักเสบ มีก้อนเนื้อที่หน้าอก คุณแม่พาไปหาอาจารย์สาทิสท่านบอกว่า ต้องกินอาหารอย่างนั้นนะ อย่างนี้นะ งดเหล้าบุหรี่นะเราก็เริ่มเรียนรู้

    ชีวจิตมือใหม่

    เมื่อสองสามปีที่แล้ว เราเริ่มรู้สึกว่าใช้ร่างกายมาคุ้มแล้ว จึงหาหมอจริงจังดูแลสุขภาพ พยายามกินมังสวิรัติ โดยเฉพาะช่วงที่ต้องลดน้ำหนัก เช่น ทำอัลบั้มถ่ายมิวสิควิดีโอ เราเลยกินแต่ผักผลไม้ กินเนื้อสัตว์สองสามวันครั้งหนึ่ง โชคดีที่พ่อแม่ปลูกฝังให้กินแบบนี้มา เลยง่ายสำหรับเรา ไม่เหมือนเพื่อนบางคน กินไม่ได้เลย

    ระหว่างที่มีก้อนเนื้ออยู่ในหน้าอก ระบบในร่างกายจะรวนๆ ประจำเดือนมาไม่ปกติ คือปกติผู้หญิงเราต้องมีช่วงนั้น แล้วแต่คน บางคนทุก 30 วันหรือ 45 วันแต่ของเรามันวงในปฏิทินไม่ได้เลย ไม่เคยตรง

    ไปตรวจอัลตราซาวนด์ หมอบอกว่าผู้หญิงจะมีไข่ตก แต่ของเรามันไม่ตกมันไปรวมกันอยู่เพิ่มขึ้น ๆ ทุกเดือน ทำให้ระบบประจำเดือนรวน และการที่มันไม่ตก ผนังมดลูกจะหนาขึ้นๆ ก่อโรค อาจกลายเป็นมะเร็งในอนาคต ทั้งเต้านมปากมดลูก คราวนี้เลยกลัวแล้ว เยอะแยะไปหมด

    แล้วอาจารย์สาทิสก็ยังไม่ให้ผ่าตัดออก ซึ่งมาคิดว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ เราดูแลตัวเองทั้งเรื่องการกินและการออกกำลังกายดีไหม กินอาหารที่มีคุณภาพมากขึ้นข้าวกล่องก็ลดลงไป โดยเฉพาะตอนหลังเราแพ้ผงชูรส ซึ่งเชื่อว่าในข้าวกล่องมีทุกเจ้า และการเลือกกินแบบนี้ทำให้เราต้องทำอาหารกินเอง

    และเริ่มออกกำลังกาย โอเค ฟิตเนสไม่ชอบ แล้วมีการออกกำลังกายอย่างอื่นอีกไหมที่เราทำได้และอยากทำ จึงลองขี่จักรยาน ความจริงคุณแม่เคยขี่มาก่อนแล้วเขาขี่หนักมากจนเกิดอุบัติเหตุ อันตรายมาก

    แต่ของเรา ปรับเป็นลักษณะขี่จักรยานชมเมือง พักผ่อนหย่อนใจ โดยไปกับกลุ่มเพื่อนของเราเองน่ะค่ะ ซึ่งจะเป็นทุกวันพุธกลางคืน เราขี่ออกนอกเมือง ไปกินขนมกัน แล้วก็กลับเข้าเมือง ได้ผ่อนคลาย ได้ออกกำลังกาย ยิ่งตอนก่อนเข้าบ้าน เราจะไปพักที่หน้าลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อนๆ นั่งคุยกัน เราก็ขี่รอบ ๆ พระบรมรูป 20 - 30 รอบให้เหงื่อออก

    ตอนนี้เริ่มขี่ม้า ซึ่งจะช่วยตรงต้นขา แล้วได้เหงื่อด้วย ตอนนี้ยังไม่ได้ลงหลักปักฐานขี่ม้าที่ไหน ยังไม่จริงจังมาก แต่ชอบ เพราะขี่ม้าให้ประโยชน์หลายอย่างการทรงตัว สมาธิ เหมือนการขี่จักรยาน ลมพัดเย็น ๆ อิสระ ๆ

    ช่วงหลังมานี้ลองปีนผาจำลองด้วย ซึ่งได้กล้ามเนื้อ โดยเล่นกีฬาพวกนี้น้ำหนักตัวจะต้องพอดี ขึ้นมากไม่ได้เลย ไม่งั้นปีนไม่ไหว

    ตอนนี้ที่ติดมากๆ ถ้าไม่ทำแล้วจะครั่นเนื้อครั่นตัวคือ วิ่ง เป็นการวิ่งเหยาะ ๆในสวนที่ร่มรื่น วันละ 5 กิโลเมตร เป็นการวิ่งออกกำลังกายธรรมดา ไม่มีเทรนเนอร์หรอก เพราะช่วงที่ต้องลดน้ำหนัก เราคิดว่า ถ้าลดแล้วผอม ๆ บาง ๆก็ไม่ใช่เรา ต้องมีกล้ามเนื้อด้วย

    ชีวจิตช่วยสมดุล

    ชีวิตช่วงนี้เลยค่อนข้างสมดุล ช่วงไหนทำงานหนักเกินไป ก็จะขอลางานที่ค่ายเพลง (สนามหลวงการดนตรี) เพื่อให้ทำงานน้อยลงแล้วใช้เวลาทำอย่างอื่นมากขึ้น ดูแลตัวเองมากขึ้น

    พอเริ่มคอนโทรลชีวิตได้มากขึ้น ก็เริ่มเปิดรับสิ่งที่คุณแม่พยายามจะบอกมากขึ้นสบายใจมากขึ้น ตอนนี้เขายังกังวลเรื่องที่เรารับงานเยอะ เพราะเป็นนักร้อง บางทีก็เลือกไม่ได้ว่าจะต้องอยู่แต่ในกรุงเทพฯ

    อย่างเดียว บางทีต้องบินไปร้องเพลงที่โน่นนั่งรถตู้ไปทำงานที่นี่ตลอด

    ก้อนเนื้อที่หน้าอกก้อนนั้นยังเป็นเซลล์ปกติ ไม่โตไปกว่าเดิม เราก็เชื่อว่ามันเป็นผลมาจากการดูแลตัวเองที่ดีค่ะ

    เรื่องราวการดูแลสุขภาพของเธอจบลงอย่างแฮ็ปปี้เอนดิ้งตามแนวทางชีวจิตเหมือนหนังทริลเลอร์หลาย ๆ เรื่อง แม้ตัวร้ายยังอยู่แต่ก็หยุดการอาละวาดลง ตัวละครเอกในเรื่องก็กลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุข

    เราไม่เชื่อว่าจะมีภาคต่อไป แต่จะเป็นเรื่องราวใหม่ที่ลุลามีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงสนุกกับการทำงานที่รัก และประสบความสำเร็จในทุกด้านของชีวิต

    จากคอลัมน์ On The Cove นิตยสารชีวจิต ฉบับ 346 (1 มีนาคม 2556)

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    เดินเร็ว วันละนิด ชีวิตยืนยาว

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

    ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต


    ออกกำลังกายตามสรีระ

    รูปร่างคุณเป็นแบบไหน จัดไป! ท่าออกกำลังกาย ตามสรีระ

    ท่าออกกำลังกาย ตามสรีระ

    มาเช็คหุ่นกันหน่อยว่าคุณมีรูปร่างทรงอะไร พร้อมเคล็ดลับการกินและ ท่าออกกำลังกาย ตามสรีระ ให้เหมาะสมกับรูปร่าง เพื่อหุ่นสวย สุขภาพดี

    หุ่นแอ๊ปเปิ้ล

    คนที่รูปร่างแบบแอ๊ปเปิ้ลมีโครงสร้างใหญ่ ไหล่กว้าง แขนขาล่ำสัน ต้นขาและสะโพกมีกล้ามเนื้อ นอกจากโครงสร้างของร่างกายจะเป็นตัวกำหนดรูปร่างแล้ว ฮอร์โมนในร่างกาย ยังมีผลต่อรูปร่างด้วย พบว่า คนที่มีรูปร่างแบบแอ๊ปเปิ้ล มักมีการทำงานของต่อมหมวกไตผิดปกติ เนื่องจากหลั่งฮอร์โมนคอร์ติโคสเทอโรน และฮอร์โมนอะดรีนาลินซึ่งทำหน้าที่นำไกลโคเจนที่สะสมในตับและกล้ามเนื้อไปเผาผลาญเป็นพลังงานได้น้อย ทำให้มีกล้ามเนื้อส่วนบนตั้งแต่ไหล่ แขน และลำตัว มากกว่าคนรูปร่างอื่น

    แผนพิชิตหุ่นสวยด้วยการกิน

    • ควรเลือกกินอาหารมังสวิรัติ หรือลดปริมาณเนื้อสัตว์ลง
    • พยายามกินอาหารที่ผ่านการขัดสีน้อย เช่น ข้าวกล้อง ขนมปัง โฮลวีท
    • กินอาหารที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของตับเพื่อเสริมการเผาผลาญพลังงาน เช่น ผักสีเขียวเข้ม สีเหลือง สีแดง หรือม่วงเข้ม และผักในตระกูลกะหล่ำ
    • ให้กินถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เพื่อกระตุ้นการทำงานของต่อมหมวกไต ต่อมไทรอยด์ และต่อมพิทูอิทารี

    ท่าออกกำลังกายที่เหมาะกับหุ่นแอ๊ปเปิ้ล

    1.  ท่าบิดตัวแบบนอน  (Half  Lord  of  the  Fishes  Pose)

    • นอนหงาย  กางแขนออก  เท้าทั้งสองข้างเหยียดตรงหายใจเข้า  ยกขาซ้ายข้ามขาขวา
    • หายใจออก  งอเขา่   และกดเขา่ ติดพื้น  บิดลำตัวและหันหน้าไปทางซ้าย  กำหนดลมหายใจเข้า – ออก  ค้างไว้  30 วินาทีถึง  1  นาที  สลับทำอีกข้าง  ถือเป็นหนึ่งรอบ  ทำซ้ำ 5  รอบ

    2.  ท่าเรือ  (Full  Boat  Pose)

    • นั่งหลังตรง  เหยียดเท้า  แขนยันพื้นข้างสะโพก ปลายนิ้วชี้ไปข้างหน้า  หายใจออก  เอนลำตัวไปข้างหลัง ยกขาขึ้นจากพื้นทำมุม  45 – 55  องศา
    • หายใจเข้า  ยกแขนขึ้นระดับหัวไหล่ขนานกับพื้น หลังเหยียดตรง  ทิ้งน้ำหนักลงสะโพก  หายใจออก  ค้างไว้ 10 – 20  วินาที  กลับสู่ท่าเริ่มต้น  และทำซ้ำ  5  ครั้ง

    หุ่นลูกแพร์

    คนที่มีรูปร่างแบบลูกแพร์คือ มีส่วนบนเล็ก ส่วนล่างใหญ่ลักษณะเหมือนลูกแพร์หรือลูกชมพู่ บริเวณหน้าอก สะโพก และต้นขาจะมีไขมันสะสมมาก เพราะเป็นบริเวณที่มีมัดกล้ามเนื้อใหญ่ ต้องใช้เวลาลดน้ำหนักนานกว่าส่วนอื่น และอาจพบว่าคนที่มีรูปร่างแบบนี้จะมีการทำงานของต่อมพิทูอิทารีซึ่งเป็นต่อมไร้ท่อใต้สมองผิดปกติ ต่อมนี้ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต โปรตีนและไขมัน ทำให้ร่างกายมีปริมาณน้ำตาลและไขมันสะสมได้มากกว่ารูปร่างแบบอื่น แต่หากรู้จักดูแลรูปร่าง คนกลุ่มนี้ถือว่าได้เปรียบ เพราะมีหน้าอก เอวเล็ก และสะโพกผาย ถือเป็นรูปร่างในฝันของสาวๆ เลยก็ว่าได้

    แผนพิชิตหุ่นสวยด้วยการกิน

    • ควรกินอาหารที่ให้พลังงานต่ำ มีเส้นใยสูง ได้แก่ ผักสดและผลไม้
    • รับประทานเนื้อสัตว์ได้ทุกชนิด แต่ต้องไม่ติดมันเลย
    • งดอาหารรสเค็ม อาหารหมักดอง อาหารที่มีส่วนผสมของสารกันบูดและอาหารใส่สี เพราะทำให้ร่างกายเก็บน้ำไว้ในเซลล์มากเกินไป
    • หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนเอสโทรเจน ได้แก่ ถั่วเหลือง เต้าหู้
    • กินอาหารที่เสริมการทำงานของต่อมพิทูอิทารี เช่น ถั่วเมล็ดแห้ง และงา

    ท่าออกกำลังกายที่เหมาะกับหุ่นลูกแพร์

    ท่าสะพาน (Half Bridge Pose)

    • นอนหงาย จัดตัวตรง ชันเขา่ ขึ้น แยกเทา้ ออกจากกันประมาณช่วงสะโพก ทิ้งน้ำหนักลงที่ฝ่า เท้า ศีรษะ และไหล่แขนเหยียดตรง
    • หายใจเข้า ดันตัวหรือยกสะโพกขึ้นให้หลังลอยสูงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ค้างไว้ 15 วินาที หายใจออก แล้วค่อยๆ ลดตัวลง กลับสู่ท่าเริ่มต้น และทำซ้ำ 10 ครั้ง

    ออกกำลังกายตามสรีระ

    หุ่นผอมเก้งก้าง

    คนที่มีรูปร่างผอมเก้งก้าง หรือที่เรามักเรียกว่าหุ่นนางแบบจะมีโครงกระดูกเล็ก กล้ามเนื้อลีบ ไหล่แคบ อกไข่ดาว ก้นปอด ไขมันตามตัวน้อย และมีการเผาผลาญอาหารสูง เนื่องจากต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนไทร็อกซินมากกว่าปกติ และเมื่อต่อมไทรอยด์ทำงานหนักจะส่งผลให้มีการสร้างไกลโคเจนที่สร้างกล้ามเนื้อน้อยลง แขนขาจึงเล็กเรียวตามไปด้วย โชคดีของคนกลุ่มนี้คือกินเท่าไรก็ไม่อ้วนค่ะ แต่ปัญหาที่พบมากคือ การเลือกกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ไม่คำนึงถึงระดับคอเลสเตอรอล ทำให้เกิดปัญหาไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องทั้งๆ ที่ตัวผอม

    แผนพิชิตหุ่นสวยด้วยการกิน

    • หลีกเลี่ยงข้าว หรือแป้งที่ผ่านการขัดสี เช่น เค้ก ขนมปังขาว และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้งขาว
    • งดเนื้อสัตว์ที่ผ่านขั้นตอนถนอมอาหาร เช่น ไส้กรอก เบคอน เนื้อสัตว์ทอด และเครื่องในสัตว์
    • หลีกเลี่ยงอาหาร เครื่องดื่มรสหวาน และแอลกอฮอล์
    • พบว่าคนรูปร่างผอมเก้งก้างมีพฤติกรรมกินอาหารเย็นดึก ทำให้เกิดปัญหาอ้วนเฉพาะส่วน จึงควรกินอาหารเย็นให้เร็วขึ้น

    ท่าออกกำลังกายที่เหมาะกับหุ่นผอมเก้งก้าง

    ท่านักรบ (Virabhadrasana II)

    • ยืนตรงเท้าชิด แขนแนบลำตัว หายใจเข้า – ออกช้าๆ แยกเท้าออกประมาณ 3 – 4 ฟุต กางแขนขนานกับพื้น หมุนเท้าขวาไปทางขวา 90 องศา ส่วนเท้าซ้ายเฉียงมาทางขวาเล็กน้อย
    • งอเข่าขวาลงจนสะโพกขวาอยู่ในระดับเข่า ขาซ้ายตึง กางแขนทั้งสองข้างขนานกับพื้น หันหน้าไปทางขวามองที่ปลายนิ้ว
    • หายใจเข้า โน้มตัวไปทางขวาให้มากที่สุด ค้างไว้ 30 วินาที จากนั้นหายใจออก กลับสู่ท่าเริ่มต้น สลับข้างทำซ้ำ 10 ครั้ง

    หุ่นทรงกระบอก

    คนรูปร่างทรงกระบอกพบมากในสาวเอเชีย ผู้ที่มีหุ่นแบบนี้ ส่วนมากไม่มีส่วนโค้งส่วนเว้า เวลาอ้วนร่างกายจะดูหนาทั้งตัว จึงไม่ค่อยมีสัดส่วนที่เด่นชัดมาก คนที่มีโครงสร้างแบบนี้นอกจากธรรมชาติเป็นตัวกำหนดแล้ว ยังเกิดจากความผิดปกติของระบบต่อมน้ำเหลือง ร่างกายจึงมีการกักเก็บของเหลวมาก และยังมีการสะสมของเซลลูไลท์ได้มากกว่ารูปร่างอื่นๆ เช่นกัน

    แผนพิชิตหุ่นสวยด้วยการกิน

    • งดอาหารประเภทนมสดทุกชนิด
    • งดอาหารหมักดอง อาหารกระป๋อง อาหารรสเค็ม และของทอด เนื่องจากเซลล์มีคุณสมบัติในการเก็บน้ำไว้มาก
    • รับประทานอาหารพลังงานต่ำ เช่น ผัก ผลไม้ เป็นประจำ

    ท่าออกกำลังกายที่เหมาะกับหุ่นทรงกระบอก

    ท่าสามเหลี่ยม (Triangle Pose)

    • ยืนตรง แขนแนบลำตัว กางแขน ปลายเท้าแยกห่างกัน ตำแหน่งของปลายเท้าตรงกับข้อมือ ปลายเท้าขวาหันออกด้านข้าง หันหน้ามองมือขวา
    • สูดลมหายใจเข้า – ออก เหยียดตัวและแขนไปให้มากที่สุด แล้วลดมือขวาวางที่พื้นหรือจับที่ข้อเท้า แขนซ้ายเหยียดขึ้นด้านบน ถ้าทำถูกต้องจะรู้สึกตึงที่ด้านข้างซ้าย เพราะสีข้างถูกยืด บิดหน้ามองขึ้นบนตามมือซ้าย ค้างไว  10 วินาทีหายใจเข้า – ออก ทำซ้ำ 10 ครั้ง

    เรื่อง : สุทธาทิพย์ อร่ามศักดิ์

    ข้อมูลการลดน้ำหนัก : โภชนากรรุ่งเรื่อง คลองบางลอ

    ข้อมูลออกกำลังกาย : ครูน้อง – วรณัน  มะลิวัลย์

    เรียบเรียง : mini me

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    4 ท่าบริหารป้องกันข้ออักเสบ

    ออกกําลังกายยังไง ทําล่ำเป็นตอม่อ ต่อไปนี้ไม่มีอีกแล้วจ้า!!

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ป้องกันตับอักเสบ

    เปิดสวนครัว ป้องกันตับอักเสบ

    ป้องกันตับอักเสบ ด้วยพืชผักสวนครัว

    ตับ เป็นอวัยวะสำคัญที่ยังไม่มีการเปลี่ยนถ่าย วันนี้แอดเลยชวนทุกคนมาดูวิธี ป้องกันตับอักเสบ ด้วยการเลือกกินพืชผักสมุนไพร และผักสวนครัว ที่อยู่รอบตัว รับรองว่าทำตามได้ไม่ยากเลย เพราะการดูแล และป้องกัน นั้นง่ายและดีกว่าการรักษาอีกนะคะ

    กระเทียม

    กระเทียมเป็นพืชที่มีประโยชน์รอบด้าน นอกจากจะมีส่วนช่วยลดน้ำหนักและไขมันในเลือดซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดไขมันพอกตับแล้ว กระเทียมยังมีสารสำคัญอีกหลายชนิด คือ

    • สารอัลลิซิน (Allicin)
    • สารอัลลิอิน (Allin)
    • เอนไซม์อัลลิอิเนส (Aliinase)

    ซึ่งต่างมีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ ลดอาการอักเสบที่เกิดกับตับได้

    เราสามารถรับประทานกระเทียมได้ทั้ง แบบสด แนมกับอาหารต่างๆ หรือนำไปประกอบอาหาร ประเภทผัดหรือทอด เป็นส่วนผสมของน้ำจิ้มต่าง ๆ

    ข้อควรระวัง ก่อนนำกระเทียมมารับประทานหรือปรุงอาหารทุกครั้ง จำเป็นต้องพิจารณาว่ามีร่องรอยของเชื้อราไหม เพราะหากจัดเก็บไม่เหมาะสมแล้ว กระเทียมจะเป็นหนึ่งในแหล่งอาหารชั้นดีของเชื้อรา ซึ่งเสี่ยงมีสาร อะฟลาท็อกซินได้ เมื่อรับประทานเข้าไปย่อมเกิดโทษต่อร่างกายมากกว่าประโยชน์

    รางจืด

    รางจืดเป็นสมุนไพรที่ได้ชื่อว่า “เป็นยาถอนพิษ” หรือ “ล้างพิษ” ไม่ว่าจะพิษจากแมลงหรือสัตว์กัดต่อย พืชมีพิษ แม้กระทั่งสารพิษ จากการศึกษายังพบว่า ทุกส่วนของต้นรางจืดอุดมไปด้วย คุณประโยชน์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น

    • ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
    • ป้องกันไขมันอุดตัน
    • ปกป้องเซลล์ตับจากการถูกสารพิษหรือสารเคมีทำลาย

    นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยในหนูทดลองพบว่า สารสกัดน้ำจากรางจืดช่วยลดการอักเสบของตับได้ และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยไขมันพอกตับด้วย

    การรับประทานรางจืดเป็นอาหาร สามารถนำใบรางจืดสด หรือใบตากแห้ง มาต้มน้ำ พร้อมใส่ใบเตยและดอกอัญชัน ทำเป็นชารางจืดได้

    ข้อควรระวัง ไม่ควรดื่มติดต่อกันนานเกินไป เช่น ควรดื่ม 3 – 4 วันแล้วเว้น 7 – 14 วัน

    อาร์ติโช้ก (Artichoke)

    อาร์ติโช้กเป็นพืชเมืองหนาว บางคนเรียกว่าเป็นพืชมหัศจรรย์ เพราะตั้งแต่ดอก ลำดัน หน่อ อุดมไปด้วยประโยชน์ทั้งทางสุขภาพ และโภซนาการ ช่วยในการดูแลร่างกายในระบต่างๆ ได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

    • บำรุงตับ กระตุ้นการทำงานของตับ
    • ป้องกันตับอักเสบ ตับแข็ง
    • ป้องกันถุงน้ำดีอักเสบ
    • กระตุ้นการสร้างน้ำดี
    • ช่วยลดการเกิดนิ่ว
    • ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
    • ลดกรดในกระเพาะ อาหารและลำไส้
    • ลดไขมัน ลดคอเลสเตอรอล
    ป้องกันตับอักเสบ   อาร์ติโช้ก

    การรับประทานอาร์ติโช้กเป็นอาหาร จะเลือกเฉพาะส่วนดอก นำไปนึ่งหรือต้มจนสุก แล้วเด็ดโคนกลีบดอกด้านใน หรือใจกลางดอกออกมารับประทานโดยการจิ้มกับซอส หรือน้ำพริก หากมีดอกอาร์ติโช้กอ่อน ๆ ก็สามารถนึ่ง หรือต้มจนสุก แล้วรับประทานได้ทั้งดอก

    นอกจากนี้ยังพบว่าอาร์ติโชักขนาดกลางเมื่อต้มแล้วยังมีแคลอรีต่ำเพียง 60 แคลอรี มีไขมันน้อยกว่า 1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 13 กรัม โปรตีน 4 กรัม และโซเดียม 12 กรัมเท่านั้น จึงดีต่อผู้ต้องการควบคุมน้ำหนักและลดโซเดียม

    ขมิ้นชัน

    ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ บำรุงตับ และป้องกันตับถูกทำลายจากสารเคมีหรือสารพิษ อีกทั้งยังมีการศึกษาสรรพคุณลดการเกิดไขมันพอกตับ ที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เมื่อรับประทานขมิ้นชัน จากการตรวจเช็กด้วยวิธีอัลตราซาวนด์พบว่า ไขมันที่สะสมในตับลดลง และยังมีผลให้น้ำหนักตัว ระดับคอเลสเตอรอล ค่าเอนไซม์ตับ ALT และ AST ซึ่งบ่งชี้ความเสียหายที่เกิดกับตับลดลงด้วย

    การรับประทานขมิ้นชันเป็นอาหาร สามารถนำมาปรุงในเมนูได้หลากหลาย เช่น ไก่บ้านต้มขมิ้น ปลาทู ต้มขมิ้น ไก่ทอดขมิ้น แกงไตปลา แกงกะหรี่ แกงเหลือง คั่วกลิ้ง นอกจากจะได้ประโยชน์ในเชิงสรรพคุณแล้ว ขมิ้นชัน ยังให้ทั้งความหอมและสีสันที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ด้วย

    แดนดิไลออน (Dandelion)

    แดนดิไลออนเป็นพืชที่พบทั่วไปในยุโรป อเมริกาเหนือ และประเทศแถบเอเชียที่มีอากาศหนาวเย็น นอกจากได้รับการยกย่องว่าเป็น ดอกไม้แห่งความสุข ดอกไม้แห่งการอธิษฐาน แล้ว แดนดิไลออนยังจัดเป็นพืชสมุนไพรรสขม
    ที่มีสรรพคุณหลายอย่าง โดยเฉพาะใบ ลำต้น และราก

    • บำรุงตับ กระตุ้นประสิทธิภาพการทำงนของตับ
    • บรรเทาอาการท่อทางเดินน้ำดีอักเสบ
    • บรรเทาอาการตับอักเสบ ดีซ่าน ตับแข็ง

    การรับประทานแดนดิไลออนเป็นอาหาร เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อตับจะเลือกเฉพาะส่วนราก นำมาต้มเป็นซุปคู่กับใบซอร์เรลและไข่แดง หรืออาจนำรากมาคั่ว แล้วบดหยาบ ต้มเป็นชาสำหรับดื่มก็ได้

    ป้องกันตับอักเสบ  แดนดิไลออน

    นอกจากนี้ยังพบว่าชาเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วเขียว อัลมอนด์ วอลนัท เมล็ด ทานตะวัน แครอต กะหล่ำปลี บรอกโคลี
    ผักโขม ลิ้นจี่ องุ่น ส้ม เกรปฟรุต อะโวคาโด มะขามป้อม เก๋ากี้ เห็ด เนื้อปลา ก็มีส่วนช่วยในการบำรุงตับเช่นกัน แต่ต้องรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากจนเกินไป

    อ่านวิธีการดูแลตับแบบจุใจ ได้ที่ นิตยสารชีวจิต ฉบับ 593 เดือนพฤษภาคม 2567 คู่มือดูแลตับ กินให้ถูก อยู่ให้เป็น ตับฟื้นฟูได้ ป้องกันตับอักเสบ สนใจสั่งซื้อ คลิก

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    ไขมันพอกตับ เกิดขึ้นได้อย่างไร

    แนะวิธีจับคู่ สมุนไพรรักษาโรค บำรุงเลือด ป้องกันไขมันพอกตับ

    ไวรัสตับอักเสบ ทั้ง บี และ ซี ภัยเงียบที่คุณควรรู้

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    อิ่มไม่พอ ประโยชน์ของข้าวกล้อง ยังช่วยให้ผิวใส

    ประโยชน์ของข้าวกล้อง อิ่มได้ สวยด้วย

    ประโยชน์ของข้าวกล้อง ไม่เพียงแต่ช่วยให้อิ่ม เป็นมื้อคุณภาพที่อุดมด้วยสารอาหารต่างๆ มากมาย ข้าวกล้องยังเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดชนิดหนึ่งที่นำมาดูแลผิวพรรณได้ เนื่องจากถูกขัดสีเพียงครั้งเดียวเพื่อเอาเปลือกออก โดยไม่สูญเสียจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ด จึงทำให้วิตามินและแร่ธาตุที่ดีต่อการบำรุงผิวพรรณยังอยู่อย่างครบถ้วน

    “ข้าว” ผูกพันกับคนเอเชียมานานนับหมื่นปี นอกจากข้าวจะทำให้พวกเราอิ่มอุ่นแล้ว หลายประเทศยังใช้ข้าวในเรื่องความสวยความงามอีกด้วย สาวไทยตั้งแต่สมัยคุณย่าคุณยายก็นิยมนำน้ำซาวข้าวมาล้างหน้าแก้ฝ้า แก้สิว ช่วยให้ผิวหน้าเนียน นุ่ม เปล่งปลั่งอมชมพูขณะที่ในญี่ปุ่นพบกับมหัศจรรย์ความงามจากข้าว เมื่อพบว่าคนงานในโรงผลิตเหล้าสาเก ซึ่งต้องใช้มือขยำนวดข้าวหมักอยู่เกือบตลอดเวลา มือไม่เหี่ยวย่นแม้จะย่างเข้าสู่วัยชรา

    ประโยชน์ของข้าวกล้อง
    ข้าวกล้อง ข้าว ข้าวไม่ขัดสี บำรุงผิว ดูแลผิว ผิวสวย ผิวเนียนใส

    ประโยชน์ของข้าวกล้อง แหล่งรวมสุดยอดอาหารผิว

    แทนที่เราจะจ่ายเงินไปกับเครื่องสำอางราคาสูงลิบลิ่ว ลองหันมาทำความรู้จักกับอาหารผิวระดับแนวหน้าหลากหลายชนิด ที่มีอยู่ในข้าวกล้องกันก่อนว่าดีต่อผิวพรรณอย่างไร

    วิตามินอี มีมากทั้งในตัวเมล็ดและส่วนของจมูกข้าว เป็นแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยชะลอความเสื่อมของผิว ช่วยซ่อมแซมผิวให้คืนสู่สมดุล ทำให้ผิวนุ่มนวล ป้องกันริ้วรอย

    วิตามินบี 3 (ไนอะซิน) ช่วยปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอและค่อยๆ ขาวนวลเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

    ออริซานอล ปกป้องผิวจากอันตรายของรังสีอัลตราไวโอเลตช่วยลดเลือนจุดด่างดำ ริ้วรอย กระชับรูขุมขน

    ซีลีเนียม เป็นแอนติออกซิแดนท์ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว ชะลอริ้วรอยแห่งวัย ทำให้ผิวแข็งแรง ยืดหยุ่นดีขึ้น

    สังกะสี เป็นสารอาหารที่ช่วยบรรเทาอาการผิวแห้ง แก้ปัญหาการเกิดสิว

    เยื่อหุ้มเมล็ดและเนื้อของเมล็ดข้าว เมื่อบดจนละเอียด สองส่วนนี้จะกลายเป็นสครับที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าได้อย่างอ่อนโยน

    แจกสูตรสวยด้วยข้าวกล้อง

    ครีมบำรุงผิวหน้า(สำหรับทุกสภาพผิว)

    ช่วยลดริ้วรอย และช่วยให้ผิวหน้าขาวนวลเนียน

    ส่วนผสม

    • ข้าวกล้องแช่น้ำบดละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ
    • โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ½ ถ้วย
    • น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ

    วิธีทำ

    • ปั่นส่วนผสมทั้งหมดให้ละเอียดเป็นเนื้อครีมข้น
    • วิธีใช้คือ ทาครีมให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 – 25 นาที ล้างออก ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
    ประโยชน์ของข้าวกล้อง
    ข้าวกล้อง ข้าว ข้าวไม่ขัดสี บำรุงผิว ดูแลผิว ผิวสวย ผิวเนียนใส

     

    ครีมขัดหน้า (สำหรับผิวธรรมดา – ผิวมัน)

    ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออก และกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ให้ใบหน้านวลเนียนขึ้น

    ส่วนผสม

    • ข้าวกล้องแช่น้ำบดละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ
    • ไข่ขาว  1 ฟอง
    • น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
    • นมสด 1/3 ถ้วย

    วิธีทำ

    • คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน
    • ทาครีมทั่วใบหน้า ใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ ให้ทั่ว ทิ้งไว้ 20 นาที ใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดออกเบาๆ ก่อนล้างด้วยน้ำเย็น ทำสัปดาห์ละครั้ง

    ครีมบำรุงผิวหน้า (สำหรับผิวแพ้ง่าย)

    เสริมความแข็งแรงให้ผิวหน้า

    ส่วนผสม

    • ข้าวกล้องแช่น้ำบดละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ
    • วุ้นว่านหางจระเข้ 3 ช้อนโต๊ะ
    • นมสด 1/3 ถ้วย

    วิธีทำ

    • ปั่นส่วนผสมทั้งหมดให้ละเอียดเนียนเป็นเนื้อครีม
    • ทาครีมทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น ทำสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง

     

    ครีมขัดตัว (สำหรับทุกสภาพผิว)

    ให้ผิวเนียนนุ่ม และกระจ่างใสขึ้น

    ส่วนผสม

    • ข้าวกล้องแช่น้ำบดละเอียด ½ ถ้วย
    • นมสด ½ ถ้วย
    • น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ
    • ผงขมิ้นชัน 1 ช้อนชา
    • น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา

    วิธีทำ

    คนส่วนผสมทั้งหมดให้เป็นเนื้อเดียวกัน

    ทาครีมทั่วเรือนร่าง ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นบิดหมาดเช็ดออก แล้วล้างตัวด้วยน้ำอุณหภูมิปกติ ทำสัปดาห์ละครั้ง

    Tip เลือกข้าวกล้องคุณภาพดีเพื่อผิวสวย

    เลือกข้าวกล้องใหม่ มีกลิ่นหอม ไม่มีรอยแหว่งตรงปลายเมล็ดข้าว หากมีรอยแหว่งแสดงว่าจมูกข้าวที่มีประโยชน์มากที่สุดหลุดไป สีของเมล็ดข้าวควรเป็นสีขาวขุ่นหรือมีสีน้ำตาลปนอยู่บ้าง ไม่มีมอด

    จาก คอลัมน์ปั้นสวยด้วยมือคุณ นิตยสารชีวจิต ฉบับ 231


    บทความน่าสนใจอื่นๆ

    กินข้าวกล้อง ดียังไง แล้วหุงแบบไหนให้อร่อย

    น้ำซาวข้าว ตำรับความสวย ยุคคุณยายยังสาว

    ทานาคา สมุนไพร ประทินผิวสวย

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    ลดอาการปวดหลัง

    เทคนิค “บำบัดตัวเอง” ลดอาการปวดหลัง

    เทคนิค “บำบัดตัวเอง” ลดอาการปวดหลัง

    เราสามารถ ลดอาการปวดหลัง ได้ด้วยตนเอง เพราะโรคปวดหลัง เป็นโรคที่เกิดจากกล้ามเนื้อหลังอักเสบ ซึ่งหลายคนอาจทานยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือนวด เพื่อให้บรรเทาอาการปวด ซึ่งพอผ่านไปสักสามสี่วัน อาการปวดหลังนี้จะกลับมาอีกครั้ง แต่รู้หรือไม่ว่า อาการปวดหลังสามารถรักษาได้โดยเริ่มจากตัวเรา เพียงหันมาใส่ใจตนเองสักนิด ปรับพฤติกรรมสักหน่อย คุณก็สามารถจัดการกับโรคปวดหลังเจ้าปัญหากวนใจนี้ได้

    สำหรับสาเหตุที่ทําให้เรา ปวดหลัง ประการหนึ่งก็คืออาการกล้ามเนื้อหดเกร็ง เนื่องจากการ ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ถูกต้องในชีวิตประจําวัน การหักโหมออกกําลังกายหรือเล่นกีฬาบางประเภท ฉะนั้นเราจึงปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือเรื่องใกล้ตัวที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้

    สาเหตุทำให้เกิด อาการปวดหลัง

    สำหรับอาการปวดช่วงบั้นเอวถึงก้นกบ ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าเป็นสิ่งที่มากับวัยซึ่งสูงขึ้น เปล่าเลยค่ะ มันมีสาเหตุที่คุณนึกไม่ถึงต่างหาก

    เอมี่ รัสโลว์ นักเขียนและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและการออกกำลังกายจากนิตยสาร Athlete รวบรวมมาบอกเล่า และชีวจิต ช่วยถ่ายทอด ได้แก่

    1. กระดูกก้นกบผิดรูป

    เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณก้นอ่อนแอจนไม่สามารถยึดกระดูกให้อยู่ในตำแหน่งปกติได้

    2. กล้ามเนื้อบริเวณก้นอ่อนแอ

    ปกติกล้ามเนื้อจะช่วยยึดโยงอวัยวะต่าง ๆ ให้ทำงานประสานกันอย่างสอดคล้องกลมกลืน แต่หากมีส่วนใดส่วนหนึ่งเกิดอ่อนแอ หรืองอแงขึ้นมาก็จะก่อความผิดปกติบางอย่างได้ เช่น กล้ามเนื้อบริเวณก้น ซึ่งจะเป็นสาเหตุของอาการปวดหลัง

    3. เส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง

    โดยปกติคนเราจะมีเส้นเลือดใหญ่ ที่นำเลือดจากหัวใจไปเลี้ยงช่องท้อง ซึ่งจะทอดตัวไปตามแนวไขสันหลัง ฉะนั้นหากเส้นเลือดนี้เกิดโป่งพองขึ้นมาก็จะไปกดทับเส้นประสาทบริเวณนั้น ทำให้เกิดอาการปวดขึ้นมาได้ยืนยันโดย นายแพทย์แอนดรูว์ เฟรดแมน ผู้อำนวยการคลินิกกระดูกสันหลัง เวอร์จิเนีย เมสัน แห่งซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา

    อาการปวดหลังที่มีสาเหตุดังกล่าว จะมีอาการเพิ่มขึ้นภายในเวลา 3 วัน – 1 สัปดาห์ โดยจะปวดบริเวณกึ่งกลางระหว่างไหล่ทั้งสองข้างหรือบริเวณจากสะดือไปยังหลัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่โป่งพอง และผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่จะเสี่ยงต่อความผิดปกตินี้มากกว่าคนที่ไม่เคยสูบ

    4. ข้อต่อกระดูกสันหลังอักเสบ

    ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการตรวจด้วยเครื่องเอ็มอาร์ไอ (MRI) จึงจะพบว่ากระดูกสันหลังบางส่วนเกิดอาการบวมซึ่งเกิดจากการอักเสบ โดยเป็นอาการหนึ่งของความเสื่อมตามวัยตามธรรมชาติ คุณหมอเฟรดแมนเรียกภาวะนี้ว่า โมดิก (Modic)

    ส่วนการรักษานั้น แพทย์ทดลองให้ยาแอนติไบโอติกร่วมกับยาหลอกติดต่อกัน 100 วัน ซึ่งช่วยให้อาการปวดหลังดีขึ้น แต่อาการอักเสบยังไม่หายสนิท อาจต้องกินเวลาเกือบปี ร่างกายจึงจะเยียวยาตนเองสำเร็จ

    5. กวาดพื้นนานเกินไป

    ทุกคนรู้ดีว่าการถูบ้าน กวาดบ้านหรือใบไม้นอกบ้านล้วนก่อให้เกิดอาการปวดหลัง ต่อให้ไม่ต้องโก้งโค้งเลยก็ตาม เพราะเป็นธรรมชาติ ที่ว่าหากร่างกายเคลื่อนไหว หรือทำกิริยาอย่างหนึ่งอย่างใดติดต่อกันนานกว่าครึ่งชั่วโมง กล้ามเนื้อบริเวณนั้นจะล้าหรือบอบช้ำเหมือนการใช้กล้ามเนื้อ ฉะนั้นจึงควรพักยืดตัวบ่อย ๆ หากต้องถูบ้านกวาดบ้านหรือใบไม้เป็นเวลานาน

    6. นั่งนานเกินไป

    ปกติระหว่างข้อต่อกระดูกแต่ละข้อ จะมีน้ำหล่อลื่นภายในกระดูก หากมีการเคลื่อนไหวไปมาในทิศทางต่าง ๆ ฉะนั้นการหยุดเคลื่อนไหวโดยนั่งนิ่ง ๆ เป็นเวลานาน นอกจากจะเกิดการกดทับกันระหว่างกระดูกกับข้อต่อแล้ว ยังหยุดกระบวนการหลั่งน้ำหล่อลื่นอีกด้วย จึงทำให้เกิดอาการปวดหลัง

    7. ก้นตึง

    หากนั่งเป็นเวลานาน ก้นจะถูกกดทับจนกล้ามเนื้อบริเวณนั้นตึงรั้ง และกลายเป็นการใช้งานกล้ามเนื้อมากเกินไป วิธีแก้ไขสามารถทำได้โดยการฝึกเล่นสควอตและลันจ์

    เพราะสาเหตุของอาการปวดหลังนั้นมีมาก ชีวจิตจึงนําวิธีการเยียวยาเบื้องต้นที่สามารถทําเองได้ที่บ้าน โดย Sport Injury Bulletin ประเทศสหรัฐอเมริกา มาฝากผู้อ่านค่ะ

    ใช้น้ำแข็ง ลดอาการปวดหลัง

    ประคบด้วยถุงน้ำแข็ง(Ice Pack) บริเวณที่เป็น เพื่อบรรเทาอาการปวด ค่อยๆ เลื่อนถุงน้ำแข็ง ไปตามแนวหลังคล้ายการนวด (หรืออาจให้คนที่บ้านช่วยได้) ประมาณ  12 นาที ถึงแม้ว่าน้ำแข็งจะไม่ได้ทําให้หายปวด แต่จะช่วยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อ โดยรอบ หรือหากใครไม่มีถุงน้ำแข็งอาจใช้นำน้ำแข็งก้อนมาโปะไว้ที่อักเสบ แต่ควรหาผ้าหุ้มน้ำแข็งไว้สักหน่อยเพื่อที่จะได้ไม่เย็นจนเกินไป

    ใช้น้ำแข็ง ลดอาการปวดหลัง

    ใช้ยา ลดอาการปวดหลัง

    ยาแก้ปวดที่อยู่ในกลุ่มยาสามัญประจําบ้าน เช่น ยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการปวดหลัง เพราะอาการปวดหลังส่วนใหญ่มักไม่เกี่ยวข้องกับการฉีกขาดของเส้นเอ็น เหมือนบริเวณกล้ามเนื้อ ขาหรือแขน  การกินยาสามัญประจําบ้านจึงเพียงพอ

    เดินลดปวด ช่วยแก้ปวดหลัง

    • ให้สวมรองเท้าที่เหมาะสมและพอดีกับเท้า
    • ขนาดของหัวรองเท้ากว้างไม่บีบรัดนิ้วเท้าจนเกินไป
    • ส้นของรองเท้าสูงประมาณ 1-2 นิ้ว ถ้าสูงมาก ขณะเดินต้องเกร็งขามาก และอาจทำให้หลังแอ่น ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลัง
    • ขณะเดินศีรษะ ลำตัว หลัง ไหล่ ตรง และไม่เดินห่อไหล่ สายตามองตรงไปข้างหน้า ในระดับสายตา
    • แกว่งแขนไปข้างหน้าพร้อมขาด้านตรงข้ามที่ก้าวเดินไป
    • เดินบนพื้นราบ ไม่ขรุขระ และไม่เปียกแฉ

    ยืดเหยียดเล็กน้อย

    การยืดเหยียดจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง โดยทําตามวิธีดังต่อไปนี้

    1. นอนบนพื้นราบหรือบนเตียง แขนทั้งสองอยู่ข้าง ลําตัว
    2. เกร็งหน้าท้อง กดแผ่นหลังให้ติดพื้น ค้างท่าไว้ประมาณ 12 วินาที เป็นท่าง่าย ๆ ที่ช่วยบริหารกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างได้อย่าง ไม่น่าเชื่อ

    เวิร์คเอ๊าต์ช่วงขา

    การยืดเหยียดจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างทำแล้ว รับรองว่ายืดกล้ามเนื้อหลัง ช่วยลดอาการปวด ทำให้หลังส่วนล่างของเราแข็งแรงขึ้น แถมช่วยลดความเสี่ยงการเกิดออฟฟิศซินโดรมได้ด้วย โดยทําตามวิธีดังต่อไปนี้

    1. นอนบนพื้นราบหรือบนเตียง แขนสองข้างอยู่ข้างลําตัว
    2. ยกแขนขวาขึ้นพร้อมกับยก ขาซ้ายขึ้นให้สูงที่สุดเท่าที่จะทําได้
    3. ค้างท่าไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทําได้ จากนั้นกลับสู่ท่าเดิม  แล้วทําสลับข้าง นับเป็น 1 ครั้ง
    4. ทําซ้ำ 10 ครั้ง นับเป็น 1 เซต ทําประมาณ 2 เซต

    ลองทำตามแค่ 4 ขั้นตอนง่าย ๆ นี้ดูค่ะ อาจช่วยลดอาการปวดหลังของคุณลงได้

    อย่างไรก็ตาม เทคนิคที่บอกไปเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ที่อาจช่วยแก้อาการปวดหลังได้บ้างเท่านั้น สิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย หากไม่สามารถหาสาเหตุของอาการปวดหลังได้ ให้สังเกตอาการปวดหลังของตนเอง ว่ามีอาการปวดหลังอย่างต่อเนื่องมากกว่า6 สัปดาห์ หรือไม่ ถ้าใช่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจโดยละเอียด หาสาเหตุที่แท้จริง และแก้ไขปัญหาต่อไป

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    แนะวิธีจับคู่ สมุนไพรรักษาโรค บำรุงเลือด ป้องกันไขมันพอกตับ

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    แกงไทย กับการช่วยป้องกันมะเร็ง

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสาชีวจิต

    เดินลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย

    เดินลดน้ำหนัก วันละ 30 นาที (มีโปรแกรมให้ทำตาม)

    เดินลดน้ำหนัก แค่ 30 นาที

    รู้หรือไม่ เดินลดน้ำหนัก แค่วันละ 30 นาที ระบบเผาผลาญก็จะทำงานได้ดี และยังถือเป็นการลดน้ำหนักแบบง่าย ๆ ที่อยู่บ้านก็ยังทำได้

    ทำยังไงก็ไม่ผอมเฟิร์มอย่างเขาเสียที ลงทุนเข้าคลาสเต้นก็แล้วกลายเป็นเสียเงิน เสียเวลาเปล่า เพราะเหนื่อย หอบ จนเต้นไม่จบคลาส ทำไงล่ะทีนี้ วันนี้เรามีทางออก ขอแค่เดินค่ะ เดินวนไปเถอะ เชื่อไหมว่า แค่เดินก็ผอมแล้ว

    30 MINS 175 CALS

    เดินลดหน้ำหนัก, เดิน, ออกกำลังกาย, เดินเร็ว, ลดน้ำหนัก, ลดความอ้วน
    เดินออกกำลังกาย ด้วยความเร็วสลับช้า ช่วยเผาผลาญพลังงาน ลดน้ำหนักได้ดี

    ในการเดินเพื่อเร่งระบบเผาผลาญ ไม่ใช่การเดินทอดน่องนะคะ แต่ต้องเดินให้เร็ว ยิ่งเดินเร็วเท่าไร ยิ่งเผาผลาญได้มากเท่านั้น วันนี้ชีวจิตมีโปรแกรมง่าย ๆ กับการเดินบนลู่ ซึ่งสามารถทำตามได้ทุกเพศทุกวัย มาฝาก

    สำหรับนาทีที่ 1-5 เป็นการวอร์มอัพ ใช้ความเร็ว 3.4

    เมื่อถึงนาทีที่ 5.00-10.59 ถัดมา ให้เดินเร็วสลับช้า โดยเดินเร็วรอบละ 60 วินาที ความเร็วที่ 4.0 สลับเดินช้า รอบละ 60 วินาที ความเร็ว 3.4

    จากนั้น เมื่อนาทีที่ 11.00-15.59 เดินเร็วสลับช้า โดยเดินเร็วรอบละ 40 วินาที ความเร็ว 4.2 เดินช้ารอบละ 20 วินาที ความเร็ว 3.4

    ในนาทีที่ 16.00-20.59 เดินเร็วสลับช้า โดยเดินเร็วรอบละ 30 วินาที ความเร็ว 4.4 เดินช้ารอบละ 30 วินาที ความเร็ว 3.4

    สำหรับนาทีที่ 21.00-25.59 เดินเร็วสลับช้า โดยเดินเร็วรอบละ 20 วินาที ความเร็ว 4.6 แล้วเดินช้ารอบละ 30 วินาที 3.4

    และสุดท้าย นาทีที่ 28-30 ให้เดินช้า ๆ เพื่อเป็นการคูลดาว์น

    การเดินเร็วสลับช้าเช่นนี้ นอกจากจะทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีแล้ว สมรรถภาพของหัวใจ ปอด หลอดเลือด ก็จะดีขึ้นเช่นกัน

    แต่ถ้าไม่ชอบเดินอยู่กับที่ ลองไปตามสวนสาธารณะแล้วเริ่มด้วยการเดินช้าเพื่อวอร์มอัพ 5 นาที ต่อด้วยเดินด้วยอัตราที่เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้10นาที จากนั้น เดินเร็ว ๆ แบบจ้ำอ้าว แต่เน้นการเกร็งกล้ามเนื้อขณะเดิน เมื่อใกล้ถึงจุดสิ้นสุด ให้ลดความเร็วลงเป็นการเดินช้าเพื่อคูลดาวน์

    HOW TO WALK LIKE A MODEL      

    เดินลดน้ำหนัก, เดิน, ออกกำลังกาย, ลดน้ำหนัก, ลดความอ้วน
    เดินออกกำลังกายด้วยลักษณะการเดินลดน้ำหนักที่ดี จะช่วยเร่งการเผาผลาญ

    การเดินที่ดีควรมีลักษณะดังนี้ค่ะ

    1. เวลาที่เดินให้งอข้อศอกประมาณ 90 องศา เพื่อเร่งเผาผลาญพลังงาน
    2. ยืดอก ยกไหล่ หลังตรง และแขม่วท้อง
    3. สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกยาว ๆ

    เดินเร็วดีอย่างไร

    นายแพทย์กรกฎ พานิช อาจารย์ประจําสาขาวิชาเวชศาสตร์การกีฬา วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล ขอนําเสนอข้อมูลทางการแพทย์ให้ท่านผู้อ่านเห็นว่า อายุท่านจะยืนยาวขึ้นมากน้อยเพียงใด หากออกกําลังกายในระดับต่างๆ กัน ในการศึกษานี้ ใช้วิธีกําหนดระดับการออกกําลังกายด้วยการเดินเร็ว หรือวิ่งเหยาะด้วยความเร็ว ชั่วโมงละ 5.6 กิโลเมตร สัปดาห์ละ 75 นาที เป็นเกณฑ์

    เดินเร็ว, ออกกำลังกาย, ป้องกันโรค, เดิน, สุขภาพดี

    หมายเหตุ: ข้อมูลที่แสดงในตารางเป็นการศึกษาในกลุ่มชาวอเมริกันอายุเกิน 40 ปี

    จากข้อมูลพบว่า แม้ท่านมีเวลาออกกําลังกายน้อยมาก แต่อย่างน้อยหากได้เดินเร็ว (อาจเป็นการเดินในชีวิตประจําวันก็ได้) รวมแล้วอย่างน้อยสัปดาห์ละ 75 นาที คุณผู้หญิงจะมีอายุยืนขึ้นอีกถึง 2 ปี และมีโอกาสเสียชีวิตน้อยกว่าถึง 24 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่ไม่ได้เดินหรือขยับร่างกายน้อยมาก

    เพราะการเดินเป็นเรื่องง่ายๆ ถ้าเป็นไปได้ระหว่างวันก็ควรเดินเร็ว ๆ ทุกครั้งที่มีโอกาส เชื่อเถอะค่ะ น้ำหนักส่วนเกิน ไขมันหน้าท้อง และเซลลูไลท์ เซย์กู้ดบายแน่นอน


    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    เดินเร็ว วันละนิด ชีวิตยืนยาว

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

    ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    8 สมุนไพร อาหารหลังคลอดลูก

    อาหารหลังคลอดลูก ที่แม่ๆ ควรกิน

    อาหารหลังคลอดลูก ที่แม่ๆ ควรกิน และไม่ควรกิน วันนี้แอดหามาให้ครบแบบจัดเต็ม มีมากถึง 8 ชนิด แต่ละชนิดก็มีสรรพคุณบำรุงที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้แล้ว ยังรวบรวมมาให้ด้วยว่า อะไรบ้างน๊า ที่แม่ๆ ไม่ควรกินหลังคลอดลูก ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นตำรับของแพทย์แผนไทยนะคะ

    แพทย์แผนไทย กนกกาญจน์ เอี่ยมสะอาด ได้กล่าวถึงการดูแลคุณแม่หลังคลอดแบบฉบับแพทย์แผนไทย ไว้ในนิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 593 เดือนพฤษภาคม 2567 เอาไว้อย่างครบถ้วนเลยค่ะ มีทั้งการอยู่ไฟ การเลือกกินอาหาร รวมถึงสูตรต่างๆ วันนี้ แอดจะขอหยิบยกเรื่องการทานอาหารมาฝากกันนะคะ

    แม่หลังคลอด อยู่ร้อน กินร้อน

    เป็นที่ทราบกันดีว่าอาหารที่มีประโยชน์จำเป็นสำหรับคุณแม่หลังคลอด และการเจริญเติบโตของทารกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงให้นมลูก แต่ขณะเดียวก็มีอาหารบางชนิดที่เป็นอาหารแสลง หรืออาหารที่กินเข้าไปแล้วทำให้คุณแม่หลังคลอดรู้สึกไม่สบาย เจ็บป่วย หรือบางครั้งอาจส่งผลให้น้ำคาวปลาไม่ไหล น้ำนมไม่มี ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และที่สำคัญยังทำให้ทารกที่กินนมแม่เกิดอาการท้องเสียตามมาได้

    อาหารหลังคลอดลูก

    ในตำราการแพทย์แผนไทยยังได้กล่าวถึงโทษของการกินอาหารแสลงไว้ด้วย เช่น คัมภีร์มหาโชตรัตกล่าวไว้ว่า ผู้หญิงที่มีประจำเดือนปกติ ถ้ากินอาหารรสเผ็ดร้อนเกินไปจะทำให้ประจำเดือนแห้งไป

    คัมภีร์ปฐมจินดากล่าวว่า ถ้าแม่กินอาหารเผ็ดร้อน เด็กในท้องจะดิ้นทุรน ทุราย

    คัมภีร์ธาตุบรรจบกล่าวว่า ถ้ากินอาหารไม่ถูกกับธาตุ ไม่เหมาะกับโรค เรียกว่าอชินธาตุ กินอาหารที่ไม่เคยกิน กินเนื้อสัตว์ดิบ อาหารแปลกธาตุ อาหารบูดเน่า จะทำให้เกิดอาการทางโรคอุจจาระธาตุ

    อาหารหลังคลอดลูก ที่แม่ๆ ห้ามกิน

    ในแต่ละท้องถิ่นยังมีความเชื่อที่สืบทอดต่อกันมา เกี่ยวกับอาหารแสลงที่ห้ามแม่หลังคลอดกิน โดยแบ่งตามภาค ดังนี้

    ภาคเหนือ

    ห้ามกินไข่ ของหมักดอง และพริก

    ภาคใต้

    • ห้ามกินมะละกอ ขนุน ฟักทอง ฟักเขียว และเห็ด เพราะเชื่อว่าจะทำให้หนาวเย็น
    • ห้ามกินหน่อไม้ หัวหอม ของดอง กล้วยหอม ขนุน ข้าวเหนียว เพราะจะทำให้แสลงเลือด จะมีอาการปวดหัว ตาลาย
    • ห้ามกินปลาที่ไม่มีเกล็ด จะทำให้แสลงมดลูก


    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

    ห้ามกินอาหารหมักดอง ปลาร้า ปลาชะโด จะทำให้มีอาการผิดสำแดง

    ภาคกลาง

    ห้ามกินชะอม เต่า ปลาไหล ปลาดุก จะทำให้ผิดสำแดง ปวดหัวมีไข้ และมีอาการชัก

    ครูแพทย์แผนไทยเพียงใจกล่าวว่า “สำหรับคุณแม่ยุคปัจจุบัน ความเชื่อและการงดบริโภคอาหารแสลงอาจจะไม่เคร่งครัดเหมือนในอดีต แต่ถึงอย่างไรการเลือกกินอาหารก็ยังจำเป็นต่อสุขภาพของมารดา โดยเฉพาะอาหารไทยที่มีส่วนผสมของสมุนไพรพื้นบ้านหลายชนิด ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางว่าอุดมไปด้วยสารพฤกษเคมี ที่ช่วยพื้นฟูร่างกายมารดาให้กลับสู่ภาวะปกติ พร้อมกับส่งผลไปถึงสุขภาพของทารกได้อีกด้วย”

    8 สมุนไพร อาหารอาหารหลังคลอดลูก

    อาหารหลังคลอดลูก

    ตำราภูมิปัญญาการผดุงครรภ์ไทย โดยกรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก ได้แนะนำสมุนไพร และอาหารสมุนไพรสำหรับคุณแม่หลังคลอดที่หากินง่าย ราคาประหยัด ได้ประโยชน์ไว้ดังนี้

    ใบกะเพรา

    สมุนไพรรสร้อน ความร้อนจากใบกะเพราเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้มีน้ำนมมากขึ้น แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ไข้หวัด คลื่นไส้ อาเจียน หากทารกดื่มนมแม่ก็จะช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อของทารกได้

    นอกจากนี้ใบกะเพรายังอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเส้นใยอาหารสูง อาหารที่มีใบกะเพราเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ แกงเลียง ผัดกะเพรา แกงป่า

    ขิง

    สมุนไพรรสร้อน มีสรรพคุณช่วยขับลม แก้อาเจียน ช่วยย่อยไขมันได้ดี บรรเทาอาการปวดเกร็งท้อง ขับเหงื่อ เพิ่ม
    การไหลเวียนเลือด ทำให้น้ำนมไหลได้ดี ทารกที่ดื่มนมแม่จึงไม่ปวดท้อง

    ชิงยังอุดมไปด้วยโปรตีน ไขมัน แคลเซียม วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และคาร์โบไฮเดรต อาหารที่มีขิงเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ ไก่ผัดขิง โจ๊กใส่ขิง

    ใบแมงลัก

    สมุไพรรสหอมร้อน มีสรรพคุณทำให้น้ำนมไหลดี ขับลม ขับเหงื่อ มีธาตุเหล็ก แคลเซียม วิตามินบี และวิตามินซีสูง
    อาหารที่มีใบแมงลักเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ แกงเลียง แกงป่า

    พริกไทย

    สมุนไพรรสร้อน น้ำมันหอมระเทยของพริกไทยมี สรรพคุณทำให้น้ำนมไหลได้ดี ขับลม ขับเหงื่อ พริกไทยเป็นเครื่องเทศที่ช่วยเพิ่มรสชาติเผ็ดร้อน จึงนิยมโรยในอาหารหลากหลายชนิด เพื่อสร้างกลิ่นหอมเฉพาะตัว


    หัวปลี

    สมุนไพรรสฝาดมัน ตั้งแต่โบราณจะสอนต่อ ๆ กันมาว่าหญิงที่คลอดลูกใหม่ ให้กินหัวปลีมากๆ จะได้มีน้ำนมเลี้ยงลูก เพราะหัวปลีมีสรรพคุณแก้โรคกระเพาะอาหาร และลำไส้ บำรุงเลือด

    นอกจากนี้หัวปลียังอุดมไปด้วยแคลเซียม โปรตีน ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินซี เบต้าแคโรที่น อาหารที่มีหัวปลีเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ แกงเลียงหัวปลี ยำหัวปลี หรือหัวปลีลวกจิ้มน้ำพริก

    ฟักทอง

    สมุนไพรรสมัน สรรพคุณช่วยชับน้ำนม เสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ช่วยบำรุงผิวคุณแม่หลังคลอดให้ผิวพรรณสดใส มีสารอาหารทั้งวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี ฟอสฟอรัส และเบต้าแคโรทีน

    อาหารที่มีฟักทองเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ ฟักทองผัดไข่ แกงเลียง พักทองนึ่ง แกงบวดฟักทอง

    ใบและดอกมะรุม

    รสหวานมัน มีสรรพคุณในการขับน้ำนม ใบมะรุมมีวิตามินซี วิตามินเอ และแคลเซียมสูง ช่วยเพิ่มแคลเซียมเข้าไปเสริมกระดูกมารดาได้เป็นอย่างดี

    อาหารที่มีมะรุมเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ แกงส้มใบหรือดอกมะรุม

    ตำลึง

    รสเย็นจืด มีเส้นใยอาหารในปริมาณมาก ช่วยบำรุงน้ำนม ทำให้มีน้ำนมมาก บำรุงเลือด กระดูก สายตา ผม และระบบประสาท มีโปรตีน วิตามินเอ วิตามิน บี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี แคลเซียม และธาตุเหล็ก

    อาหารที่มีตำลึงเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ แกงจืดตำลึง หรือแกงกะทิลูกตำลึง

    น้ำสมุนไพร

    ที่แนะนำให้คุณแม่หลังคลอดดื่ม ควรเป็นน้ำสมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น น้ำชิง น้ำตะไคร้ น้ำกะเพรา น้ำกระชาย รวมถึงน้ำมะตูม ที่ช่วยบำรุงธาตุ

    น้ำใบเตยซึ่งมีกลิ่นหอม ช่วยบำรุงหัวใจ

    ในกรณีที่มีอาการท้องผูกหลังคลอด ให้ดื่มน้ำสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว ได้แก่ น้ำมะขาม หรือน้ำส้ม

    ทั้งนี้น้ำสมุนไพรบางชนิดอาจไม่เหมาะกับคุณแม่หลังคลอด เช่น น้ำใบบัวบก น้ำแตงโม และน้ำแตงไทย เพราะมีรสเย็น

    บทความน่าสนใจอื่นๆ

    22 SUPER THAI HERBS สมุนไพรไทยสู้ไวรัส กินเสริมภูมิคุ้มกัน

    แนะวิธีจับคู่ สมุนไพรรักษาโรค บำรุงเลือด ป้องกันไขมันพอกตับ

    สมุนไพรดูแลผิวหน้าร้อน ร้อนนี้ผิวไม่ไหม้ ไม่แสบ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    กินข้าวกล้อง ดียังไง แล้วหุงแบบไหนให้อร่อย

    ทำไมต้อง กินข้าวกล้อง หุงยังไงให้อร่อย ไร้สารอันตราย

    ไขคำตอบ ทำไมต้องเลือก กินข้าวกล้อง …หนึ่งในอาหารชีวจิต ที่หลายคนนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ เมื่อนึกถึงต้องมีชื่อ ข้าวกล้องอาหารแนวสุขภาพมาด้วยแน่นอน เพราะอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูชีวจิต ย้ำเสมอว่าให้รับประทานแป้งที่ไม่ขัดขาว เพราะแป้งขัดขาวทำให้ร่างกายขาดวิตามินหลายตัว และเป็นสาเหตุให้เกิดโรคนานาชนิด “ข้าวกล้อง” จึงรับหน้าที่เป็นพระเอกของชาวชีวจิตเสมอมา

    ประโยชน์ของข้าวกล้อง

    ข้าวกล้องที่ว่านี้รวมไปถึงข้าวมันปู ข้าวซ้อมมือ และข้าวแดง เพราะข้าวทุกชนิดที่กล่าวมีจุดสำคัญอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือ เป็นข้าวซึ่งเอาแต่เปลือกออกอย่างเดียวเท่านั้น ตรงนี้เองทำให้สารอาหารที่มีเมล็ดข้าวไม่ถูกขัดออกไปด้วยข้าวกล้องจึงยังคงคุณค่าให้แก่ร่างกายอย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งอาจารย์สาทิสเคยบอกเล่าถึงคุณประโยชน์ของข้าวกล้องไว้หลายประการดังนี้

    ข้าวกล้องมีสารอาหารหลายชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย และหากสังเกตให้ดีจะพบว่าที่ปลายเมล็ดข้าวด้านหนึ่งจะมีส่วนที่มีสีค่อนข้างเข้ม มีรอยร้าวๆ ถ้าหลุดออกมาจะทำให้เมล็ดข้าวแหว่ง ตรงนั้นคือจมูกข้าว ส่วนที่ดีที่สุดสำหรับร่างกาย เพราะเต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และ DNA/RNA ที่จะเข้าไปช่วยสร้างเซลล์ที่ดีในร่างกาย

    นอกจากสารอาหารในจมูกข้าวแล้ว ยังมีวิตามินอื่นๆ อีกมากมาย ทั้ง

    • วิตามินบี 1 บี6 บี5 ซึ่งเป็นวิตามินกลุ่มบำรุงประสาท
    • วิตามินอี ที่เป็นน้ำมันชนิดดีช่วยลดคอเรสเตอรอลและป้องกันโรคหัวใจ
    • กรดโฟลิก ที่ช่วยบำรุงเลือด
    • กากใยที่ดี ช่วยดูดซึมน้ำในลำไส้ใหญ่และช่วยให้ของเสียเคลื่อนตัวจากลำไส้ได้ดีขึ้น

    หุงข้าวกล้อง ต้องแบบนี้

    แต่ถึงแม้ข้าวกล้องจะมีประโยชน์มากอย่างไร หลายคนก็ยังบ่นว่าข้าวกล้องไม่อร่อยเพราะรสชาติไม่คุ้นลิ้น และบางคนก็ว่าข้าวกล้องแข็ง กินยาก เรื่องนี้อาจารย์สาทิสบอกเคล็ดไม่ลับการกินข้าวกล้องให้อร่อยว่า

    กินข้าวกล้อง

    “ให้นำข้าวไปแช่น้ำก่อนสักชั่วโมงหรือสองชั่วโมงแล้วจึงนำไปหุงแบบไม่เช็ดน้ำ หรือหากอยากให้นุ่มมากแช่ค้างคืนไว้ก็ได้ แต่เวลาหุงต้องระวัง อย่าให้น้ำมาก เพราะข้าวจะแฉะ เคล็ดลับที่สองคือ การเคี้ยว ควรเคี้ยวอย่างช้าๆ อย่างน้อย  20-30 ครั้ง เพราะจะรู้สึกว่ายิ่งเคี้ยวยิ่งมัน และสักพักหนึ่งจะรู้สึกหวานในปาก”

    แต่หากไม่มีเวลาว่างพอจะตระเตรียมการหุงข้าวกล้องหรืออยากเปลี่ยนรสชาติ แต่ยังอยากได้สารอาหารครบถ้วน แนะนำให้หันมารับประทานขนมปังโฮลวีท (ทำจากข้าวสาลี) โดยอาจนำมาดัดแปลงเป็นแซนด์วิชไส้ต่างๆ เช่น เนยถั่ว ปลาทูน่า ก็ช่วยเพิ่มความแปลกใหม่ได้ดีไม่แพ้กัน

    แถมท้ายอีกนิดว่า ในยุคที่ผู้คนตื่นตัวเรื่องภาวะโลกร้อนและการอนุรักษ์พลังงานอย่างนี้ การกินข้าวกล้องถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดีในการช่วยประหยัดพลังงาน เพราะข้าวกล้องไม่ต้องผ่านกระบวนการในโรงสีข้าวหลายขั้นตอนดังข้าวขาวถือได้ว่าแค่กินข้าวกล้องก็ช่วยลดโรคร้อนแล้ว

    เคล็ดลับ กินข้าวกล้อง ให้อร่อย

    1. ถ้ายังเป็นมือใหม่หัดกิน ขอแนะนำให้ซื้อ “ข้าวหอมมะลิกล้อง” มาหุงก่อน เพราะเมล็ดข้าวจะนิ่มกว่าข้าวกล้องธรรมดามาก หรือจะผสมข้าวขาวไปครึ่งหนึ่งก็ได้ จากนั้นเมื่อคุ้นลิ้นจึงค่อยๆ ลดปริมาณข้าวขาวลงจนเหลือแต่ข้าวกล้องอย่างเดียว

    2. แช่ข้าวกล้องในน้ำธรรมดาสัก 30-60 นาที แล้วจึงนำไปหุง จะทำให้ข้าวจะนุ่มขึ้น เนื่องจากผ่านการแช่น้ำมาแล้ว

    3. ผสมข้าวเหนียวกล้องกับข้าวกล้องอัตราส่วน 1:3 จะทำให้ข้าวที่เราหุงนุ่ม

    4. ถ้าอยากกินข้าวกล้องที่นุ่มหน่อย ต้องเพิ่มน้ำให้มากกว่าเดิมสักหน่อย เช่น ถ้าเคยใส่น้ำ 2 ถ้วย ต้องเพิ่มเป็น 2 1/4 ถ้วย หรือถ้ากินแล้วรู้สึกว่าข้าวยังแข็งอยู่ ครั้งต่อไปเพิ่มน้ำอีกนิด

    5. ใส่น้ำส้มสายชูหรือน้ำมะนาวลงไปในข้าวที่กำลังจะหุง ประมาณ 1 ช้อนชา ความเปรี้ยวจะช่วยทำให้ข้าวนุ่มและมีกลิ่นหอมมากขึ้น

    มากไปกว่าการวิธีหุงข้าวกล้อง ข้าวกล้องยังเป็นอาหารที่วิตามินบีสูง และหากกินเป็นประจำ ร่วมกับอาหารที่วิตามินซีสูง จะช่วยป้องกันและลดความรุนแรงของอาการภูมิแพ้ได้อีกด้วย

    หุงข้าวกล้อง ให้ปลอดสารอันตราย

    ด้วยกระบวนการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่การปลูก ไปจนถึงการเก็บรักษา และการบริโภค อาจทำให้ข้าวกล้องที่เราซื้อมามีการปนเปื้อนสารอันตรายต่างๆ และแม้จะผ่านความร้อน แต่ก็อาจจะไม่ทำลายสารพิษบางชนิดได้ ดังนั้นแล้ว การหุงข้าวที่ถูกวิธีจะช่วยลดสารอันตรายในข้าวได้นะคะ

    สำหรับสารอันตราย ที่มักพบในข้าวคือ สารหนู หรือ Arsenic ซึ่งเป็นสารเคมีธรรมชาติที่ปรากฎอยู่ในน้ำ อากาศ และดิน เป็นธาตุกึ่งโลหะที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น เป็นส่วนผสมในยารักษาเนื้อไม้ ยาฆ่าแมลงในการเกษตร เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม สารหนูมีพิษต่อมนุษย์ โดยอาจเป็นสารก่อมะเร็ง โรคปอด โรคหัวใจ หรือเบาหวาน เป็นต้น

    กินข้าวกล้อง

    ข้อมูลจากนักวิทยาศาสตร์อังกฤษทดลองวิธีหุงข้าว พบว่า การหุงข้าวที่คนทั่วไปนิยมด้วยอัตราส่วนน้ำ 2 ส่วนต่อข้าว 1 ส่วน และปล่อยให้น้ำระเหยไปเองระหว่างหุง ทำให้สารหนูที่อาจปนเปื้อนอยู่ในเมล็ดข้าวจากกระบวนการผลิตและยาฆ่าแมลง หลงเหลืออยู่ในข้าวสวยมากที่สุด

    สำหรับการหุงข้าวเพื่อลดสารอันตรายเหล่านี้ มีงานวิจัยมากมาย โดยวิธีที่จะแนะนำ มีด้วยกัน 3 วิธี จากศาสตราจารย์แอนดี เมฮาร์ก นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ และงานวิจัยใหม่ล่าสุดจาก University of Sheffield ประเทศอังกฤษ ในวารสาร Science of the Total Environment

    1. น้ำ 5 ส่วน ข้าว 1 ส่วน และรินน้ำส่วนเกินออกเมื่อหุงเสร็จ (หุงข้าวแบบเช็ดน้ำ) วิธีนี้จะช่วยลดสารหนูที่ปนเปื้อนในข้าวได้ครึ่งหนึ่ง
    2. นำข้าวแช่ในน้ำเปล่าทิ้งไว้ 1 คืน หลังจากนั้น ให้ล้างน้ำอีกครั้งจนกว่าน้ำจะเป็นสีใสสะอาด ก่อนจะหุงข้าวด้วยอัตราส่วน น้ำ 5 ส่วนต่อข้าว 1 ส่วน สามารถลดสารหนูที่ปนเปื้อนในเมล็ดข้าวได้ถึงร้อยละ 80
    3. ต้มน้ำ 4 ส่วน ให้เดือด แล้วเติมข้าว 1 ส่วน ละต้มต่ออีก 5 นาที  เทน้ำทิ้ง เพื่อกำจัดสารหนูออกไปในขั้นแรก จากนั้นเติมน้ำสะอาดลงไป ในอัตราส่วนน้ำ 2 ส่วนต่อข้าว 1 ส่วน แล้วปิดฝา หุงข้าวต่อด้วยความร้อนต่ำถึงปานกลาง เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดสารหนูที่หลงเหลือในข้าว แต่โภชนาการเดิมของข้าว ยังคงอยู่

    การเลือกซื้อข้าวกล้อง

    เมื่อรู้วิธีกิน และหุงข้าวกล้องให้อร่อย และปลอดภัยปราศจากสารอันตรายแล้ว การเลือกซื้อข้าวกล้องก็มีความสำคัญนะคะ เพราะกินข้าวกล้องทั้งที ต้องได้สารอาหารให้ครบถ้วน แต่จะเลือกยังไงนั้นมาดูกันค่ะ

    • ข้าวกล้องต้องเต็มเมล็ด ไม่มีรอยแหว่งตรงปลาย เพราะส่วนนั้นคือ “จมูกข้าว” ซึ่งมีประโยชน์มากค่ะ
    • เลือกข้าวกล้องที่ตากหรืออบจนแห้งสนิท ไม่มีกลิ่นอับ กลิ่นชื้น ไม่ขึ้นรา และไม่มีมอดปน
    • ซื้อในปริมาณน้อย ๆ ให้พอสำหรับ 2-3 สัปดาห์ เพื่อความสดใหม่นั่นเองค่ะ
    • เลือกข้าวกล้อง ที่สีไม่เพี้ยน ปราศจากสิ่งเจือปน เพราะอาจทำให้ได้รับอันตราย เช่นจากสารอะฟลาทอกซิน ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากการที่ข้าวเจือปนเชื้อรา หรือมีสิ่งอื่นๆ เช่นหิน เจือปนในข้าว

    ประโยชน์ของข้าวกล้อง ที่คุณควรรู้!

    1.กระตุ้นระบบขับถ่าย ข้าวกล้องมีใยอาหารสูงจึงช่วยทำให้ระบบขับถ่ายคล่อง แก้อาการท้องผูก ทั้งยังช่วยป้องกันลำไส้อักเสบ

    2.ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก เป็นแหล่งที่ดีของสารต้านอนุมูลอิสระ อย่าง ฟีนอลิก เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

    3.ป้องกันโรคเหน็บชา ข้าวกล้องมีวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวขาวถึง 4 เท่าจึงช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้ดี

    4.ป้องกันโรคปากนกกระจอก ข้าวกล้องอุดมไปด้วยวิตามินบี 2 จึงช่วยป้องกันและรักษาโรคปากนกกระจอกได้

    5.ป้องกันโรคโลหิตจาง ข้าวกล้องมีธาตุเหล็ก ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงโลหิตและบำรุงร่างกายให้แข็งแรง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง

    6.ป้องกันโรคหัวใจ ข้าวกล้องช่วยป้องกันความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจอุดตัน จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ

    7.ป้องกันอาการอ่อนเพลีย ข้าวกล้องอุดไปด้วยวิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 จึงช่วยป้องกันอาการอ่อนเพลียของร่างกาย เหนื่อยง่าย แขน-ขาไม่มีแรง หอบเหนื่อย และเบื่ออาหาร

    ประโยชน์มากอย่างนี้ จะไม่เปลี่ยนมากินข้าวกล้องเชียวหรือคะ

    ที่มา

    • นิตยสารชีวจิต ฉบับ 247
    • sciencedirect.com
    • นิตยสาร ชีวจิต ฉบับที่ 348

    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ 

    22 SUPER THAI HERBS สมุนไพรไทยสู้ไวรัส กินเสริมภูมิคุ้มกัน

    พบ ไมโครพลาสติก ในอาหาร พร้อมแนะวิธี หุงข้าวยังไงให้รอด

    รู้จัก เทรนด์ใหม่น่าจับตามอง อาหารแพลนต์เบสด์ (Plant-based) มีดีอย่างไร

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    รวม ผักพื้นบ้าน คุมน้ำตาล ความดัน ลดเสี่ยงมะเร็ง

    ผักพื้นบ้าน ผักที่หากินง่ายๆ หาได้ทั่วไปไม่ว่าจะในตลาด หรือแม้แต่ริมรั้ว ริมสวน จนหลายคนละเลย แต่รู้ไหมคะ ผักธรรมดาเหล่านี้มีประโยชน์มากๆ สรรพคุณเป็นยามากมาย ไม่ว่าจะเป็นคุมน้ำตาล ควบคุมความดันให้เป็นปกติ หรือบางชนิดก็ถึงช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งได้เลย ไปดูกันดีกว่า ว่าผักผักพื้นบ้านเหล่านี้มีอะไรบ้าง ผักพื้นบ้านคุมน้ำตาล

    หัวไชเท้า ลดน้ำตาลในเลือด ลดไอ เจ็บคอ

    หัวไชเท้า เป็นพืชหัวในตระกูล Cruciferae จัดอยู่ในวงศ์ผักกาด มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน โดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ภาสกิจ วัณณาวิบูล แพทย์แผนปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์การแพทย์แผนจีนอธิบายไว้ในหนังสือ หายป่วย สุขภาพดี ด้วยอาหารและสมุนไพรจีน ว่า หัวไชเท้ามีฤทธิ์เย็น มีรสเผ็ด หวาน สรรพคุณช่วยขับพิษ บรรเทาอาการท้องร่วง ท้องเสีย โรคบิด ขับปัสสาวะ กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว แก้ไอ ขับเสมหะ ลดน้ำตาลในเลือด บรรเทาอาการเลือดกำเดาไหล และแก้อาเจียน

    ผักพื้นบ้าน หัวไชเท้า แก้ไอ

    ปัจจุบันมีการศึกษาพบว่า หัวไชเท้ามีแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และมีวิตามินบี 1 บี 12 ไนอะซิน วิตามินชีสูง อีกทั้งในน้ำคั้นหัวไชเท้าสดยังมีเอนไซม์ช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน จึงมีสรรพคุณบรรเทาอาการท้องผูกได้

    นอกจากนั้นยังมีประโยชน์ด้านความสวย ความงาม คือ สามารถนำน้ำคั้นหัวไชเท้ามาทาเพื่อลบจุดด่างดำและฝ้าบนใบหน้าได้ ประเด็นดังกล่าวชีวจิต ได้ค้นคว้าและตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่ามีความเป็นไปได้ ดังที่ข้อมูลจากสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า ในน้ำคั้นสดของหัวไชเท้ามีสารสกัดเอทานอลและสารสกัดเอทิลอะซิเทต ช่วยยับยั้งเอนไซม์ไทโรชิเนส (Tyrosinase) ซึ่งทำหน้าที่สร้างเม็ดสีได้ ดังนั้นจึงช่วยลบเลือนจุดด่างดำได้ แต่ต้องอาศัยระยะเวลาพอสมควร

    ทั้งนี้นายแพทย์ภาสกิจได้แนะนำสูตรง่ายๆ สำหรับการนำหัวไชเท้ารักษาอาการต่างๆ คือ

    สูตรน้ำคั้นหัวไชเท้า -ขิง

    สรรพคุณบรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ และเป็นยาระบายอ่อน ๆ

    วัตถุดิบ
    หัวไชเท้า 500 กรัม
    ขิงสด 15 กรัม หรือประมาณ 1 ข้อนิ้วมือ

    วิธีการ
    1. สับวัตถุดิบทั้งหมดให้ละเอียด
    2. เติมน้ำเปล่า 1 – 2 ช้อนโต๊ะ กรองเอาแต่น้ำ
    3. ดื่มวันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร หรือจิบขณะที่มีอาการ

    มะเขือเปราะ ผักพื้นบ้าน ต้านมะเร็ง ลดความดัน บำรุงหัวใจ 

    มะเขือเปราะ เป็นหนึ่งในผักเคียงน้ำพริกยอดนิยมที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี กินได้ทั้งแบบดิบ และสุก ซึ่งนอกจากความอร่อยแล้ว ประโยชน์ก็มากมายอีกด้วยค่ะ 

    ประโยชน์ของผลมะเขือเปราะเริ่มตั้งแต่เรื่องเล็กๆ อย่างช่วยในการย่อยอาหาร และช่วยให้ขับถ่ายสะดวก และยังลดการอักเสบได้อีกด้วย 

    แต่ไม่เพียงแค่เรื่องเล็กๆ นะคะ เพราะมะเขือเปราะมีงานวิจัยออกมาแล้วว่ามีฤทธิ์ในการลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบ ลดความดัน และบำรุงหัวใจ  

    ผักพื้นบ้าน มะเขือเปราะ

    มะเขือเปราะกับมะเร็ง และเบาหวาน

    สำหรับเรื่องของมะเร็งนั้น มะเขือเปราะมีสารไกลโคอัลคาลอยด์โวลามาร์จีน โซลาโซนีน และอัลคาลอยด์โซลาโซดีนที่ปราศจากโมเลกุลของน้ำตาล ซึ่งได้มีการทดสอบแล้วพบว่า สารเหล่านี้มีฤทธิ์ในการต่อต้านการเจริญเติบโตเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งตับได้

    และอีกหนึ่งสรรพคุณที่มีประโยชน์ไม่น้อยเลยของผลมะเขือเปราะนั้นก็คือ มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีเทียบเท่ากับการใช้ยากลิเบนคลาไมด์ โดยช่วยเสริมการใช้งานกลูโคสและมีช่วยการทำงานของตับอ่อน ซึ่งเป็นการออกฤทธิ์ที่คล้ายกับอินซูลินเลยทีเดียวละค่ะ

    ซึ่งการจะให้ได้ประโยชน์ก็คือการทานอย่างสม่ำเสมอ โดยอาจจะหมุนเวียนเปลี่ยนกันไป ทั้งกินดิบ กินต้มคู่น้ำพริก แต่ให้เด็ด แอดชอบกินแบบซุปมะเขือค่ะ เมนูเดียวได้สารพัดสมุนไพรไทยเลย

    มะเขือเปราะเมนูอร่อย

    เขยิบเข้ามาใกล้ๆ เดี๋ยวแอดจะบอกสูตรให้ฟัง

    เริ่มด้วยปิ้งหรือคั่วพริกขี้หนู หอมแดง กระเทียมให้หอม แล้วเอามาโขลกรวมกับมะเขือเปราะต้มสุกและเนื้อปลาทูแกะ ปรุงรสตามชอบ โรยผักชี ต้นหอม เป็นอันใช้ได้ อร่อยและประโยชน์เพียบ เป็นอาหารลดน้ำหนักก็ยังได้เลยค่ะ

    แตงกวา ลดน้ำหนัก กินอร่อย ลดกรด

    แตงกวา ลดน้ำหนัก – อีกหนึ่งผักคู่น้ำพริกที่ทั้งอร่อย กินง่าย และมากด้วยประโยชน์ที่ช่วยทั้งสุขภาพ และความงามที่สำคัญคือหากินง่าย กินได้ทั้งแบบสุก แบบดิบ หรือจะนำมาประทินผิวก็ยังได้ 

    ผักพื้นบ้าน แตงกวา

    สำหรับสรรพคุณหลักๆ ของแตงกวาอย่างที่ทุกคนรู้กันก็คือให้ความชุ่มชื้น เพราะประกอบด้วยน้ำถึง 90% จึงช่วยแก้กระหายน้ำ ดับความร้อนในร่างกาย ช่วยเพิ่มความสดชื่น  นอกจากนั้นแล้วแตงกวายังช่วยทั้งลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต รวมถึงช่วยรักษาสมดุลของร่างกายและภูมิคุ้มกันให้อยู่ในระดับที่สุขภาพดีอีกด้วย 

    ส่วนที่บอกไว้ว่าช่วยลดกรดนั้น ก็คือกรดในกระเพาะอาหาร บำรุงระบบย่อยอาหาร นอกจากนั้นแล้วน้ำในแตงกวายังช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย และละลายนิวในไตได้ เห็นรสชาติอ่อนๆ แบบนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ  และเพราะมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากมายจึงเหมาะสำหรับผู้ต้องที่ต้องการลดน้ำหนัก ลดอาการบวมน้ำ ขับปัสสาวะ และมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ  นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ค้นพบว่า แตงกวามีฤทธิ์ฆ่าเชื้ออ่อนๆ ช่วยยับยั้งแบคทีเรีย กระตุ้นลำไส้เล็ก และมดลูกให้หดตัว กระตุ้นการสร้างแบคทีเรียดี รวมไปถึงต่อต้านการกลายพันธุ์ และเจริญเติบโตของเนื้องอก    

    เมนูแตง

    เรามาดูกันว่า แตง แต่ละชนิดเหมาะกับการทำอาหารประเภทไหน และบางชนิดสามารถใส่แทนกันได้อย่างไร

    แตงกวา ควรเลือกลูกไม่ใหญ่มาก ขั้วสีเขียวซึ่งแสดงว่ายังสดอยู่ ลูกตรง ไม่งอ เพราะสะดวกในการปอก ส่วนมากเราจะกินแตงกวาสด ๆ เป็นผักจิ้มน้ำพริก แกล้มข้าวผัด ส้มตำ ลาบ การกินสดต้องล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำไปแช่เย็น แตงกวาจะกรอบมาก ๆ นอกจากนี้ยังสามารถนำแตงกวามาหั่นเป็นชิ้นเล็กผัดกับไข่ ผัดเปรี้ยวหวานหรือทำยำ หากทำแกงจืดต้องคว้านไส้ออกแล้วยัดไส้เนื้อสัตว์เข้าไปแทน บางคนใช้แตงกวาพอกหน้า บำรุงผิวพรรณหรือนำไปปั่นเป็นน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ

    แตงร้าน มีลักษณะคล้ายแตงกวา แต่ลูกใหญ่กว่ามากความกรอบของแตงร้านสู้แตงกวาไม่ได้ หากจะนำมาใช้ควรเลือกแตงร้านลูกไม่เล็กและไม่ใหญ่เกินไป ผิวสีเขียวขาวเต่งตึง ไม่เหี่ยว การนำมาทำอาหารก็คล้าย ๆ กับแตงกวาคือ นิยมกินสด แต่ถ้าผ่าแตงร้านแล้วเจอเม็ดเยอะก็ให้ฝานทิ้งไป

    แตงญี่ปุ่น ลูกมีลักษณะยาวเรียว สีเขียวเข้ม ผิวขรุขระเล็กน้อย มีเม็ดน้อยกว่าแตงกวาและแตงร้าน เนื้อแน่น หนา สีขาว น้ำน้อย มีความกรอบมาก ยิ่งแช่เย็นยิ่งกรอบมากขึ้น นิยมใช้ทำสลัด และแตงญี่ปุ่นสามารถใช้เป็นผักจิ้มน้ำพริก ผัด ต้ม หรือทำเป็นแตงดองก็ได้

    แตงไทยอ่อน ลูกมีลักษณะกลม บางลูกเป็นทรงรี กลางผลอวบ ผิวสีเขียวอ่อน เรียบ เนื้อกรอบแข็งกว่าแตงทุกชนิด มีเม็ดน้อย นิยมกินสด เป็นผักจิ้ม ชอบจิ้มกินกับหลนอร่อยมากค่ะ และยังกินกับอาหารประเภทลาบ ป่น น้ำพริกอีกด้วย ไม่นิยมนำไปผ่านความร้อนให้สุก

    แตงโมอ่อน ลักษณะเหมือนผลแตงโม แต่ผิวคล้ายแตงไทยอ่อน แตงชนิดนี้เหมาะสำหรับทำแกงส้ม ต้มจืด แกงเลียง แต่ถ้าจะนำไปจิ้มน้ำพริกต้องต้มให้สุกก่อนจึงจะอร่อย หรือจะนำไปผัดก็ได้

    ฟักแม้ว ลดเสี่ยงมะเร็งลำไส้

    ฟักแม้ว มีใยอาหารสูง จึงช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี อีกทั้งยังมีสารแอนติออกซิแดนต์ปริมาณสูงมาก เมื่อกินเข้าไปจะช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย และช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่

    นอกจากฟักแม้วจะช่วยชะลอวัยแล้ว ยังช่วยให้ กระดูกและฟันแข็งแรง เพราะมีแคลเซียมสูง เหมาะสำหรับวัยทองที่มีความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุนอย่างยิ่ง สารอาหารอื่นๆ ที่น่าสนใจก็คือ มีวิตามินซีที่ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวสวยผ่องใส เด้งดีค่ะ

    ประโยชน์ของฟักแม้ว

    1. ช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือด ด้วยการใช้ผลและใบมาดองเป็นยาไว้กิน (ผล, ใบ)
    2. ผลและใบฟักแม้วนำมาใช้ดองเป็นยาช่วยขับปัสสาวะ (ผล, ใบ)
    3. มะระหวานช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง ด้วยการดื่มน้ำที่ต้มจากผลและใบฟักแม้ว (ผล, ใบ)
    4. ช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน (ผล, ใบ)
    5. ยอดฟักแม้วช่วยในการขับถ่าย ทำให้ถ่ายได้สะดวกขึ้น จึงป้องกันอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี (ใบ)
    6. ช่วยแก้อาการอักเสบด้วยการใช้ผลและใบมาดองเป็นยาไว้กิน (ผล, ใบ)
    7. น้ำต้มใบและผลฟักแม้วช่วยสลายนิ่วในไต (ผล, ใบ)
    8. น้ำต้มใบและผลนำมาใช้ในการรักษาอาการเส้นเลือดแข็งตัวได้ (ผล, ใบ)

    ข้อมูลจาก

    • คอลัมน์ เรื่องพิเศษ นิตยสารชีวจิต ฉบับ 473
    • สำนักงานเกษตรและสหกรณ์ จังหวัดสุรินทร์

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสารชีวจิต

    สารพิษในลูกชิ้นปิ้ง

    สารพิษในลูกชิ้นปิ้ง กินบ่อยๆ มะเร็งจะถามหา

    สารพิษในลูกชิ้นปิ้ง ความอร่อยที่ต้องแลกมาด้วยโรคภัย

    ลูกชิ้นปิ้ง ของกินเล่นยอดนิยมที่ทั้งอร่อย หอม ยิ่งราดน้ำจิ้มชุ่ม ๆ ยิ่งแซ่บ แต่ช้าก่อน สารพิษในลูกชิ้นปิ้ง แสนอร่อยนี้เต็มไปด้วยสารก่อมะเร็งรวมถึงโรคภัยอื่น ๆ  แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางบรรเทาหรอกนะ เพราะเรานำข้อมูลมาให้แล้ว ทั้งโรคภัย สารพิษ และวิธีเลือกลูกชิ้นให้กินอย่างปลอดภัย 

    ในลูกชิ้นและไส้กรอก ส่วนประกอบหลัก ๆ ก็คือ แป้ง เนื้อสัตว์ และไขมัน ไม่นับสารสังเคราะห์ต่างๆ แต่เพียงเท่านี้ก็เป็นตัวก่อโรค ก่ออ้วนแล้ว ส่วนสารสำคัญๆ ในอาการแปรรูปประเภทนี้ก็คือ บอแรกซ์ สีผสมอาหาร สารกันบูด และโซเดียม ซึ่งแต่ละตัวก็จี๊ดจ้าดก่อโรคและอาการเจ็บป่วยได้อย่างรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย 

    ลูกชิ้นปิ้ง กี่แคล

    ประโยคนี้เป็นคำถามคาใจทุกคนเลยว่า ลูกชิ้นปิ้งกี่แคล หรือเต็ม ๆ คือ กี่แคลลอรี เรามีคำตอบมาให้ดูกันค่ะ

    ลูกชิ้นปิ้ง 14 ลูก (ประมาณ 100 กรัม) 240 แคลลอรี

    ใน 1 ไม้ ประมาณ 5 ลูก ประมาณ 35 แคลลอรี!

    แต่ ถ้าเปลี่ยนไปทอด โลกก็เปลี่ยนไปเลยค่ะ

    ลูกชิ้นทอด 1 ไม้ (5 ลูก) ประมาณ 130 แคลลอรี! เพิ่มขึ้นมาทีเดียวเกือบ 100 แคลลอรี

    สารพิษในลูกชิ้นปิ้ง มีอะไรบ้างที่ต้องระวัง

    สารพิษในลูกชิ้นปิ้ง

    บอแรกซ์

    เป็น สารพิษในลูกชิ้นปิ้ง แต่ที่จริงแล้วเป็นส่วนประกอบที่อยู่ในยาฆ่าแมลง แค่คิดก็ขนลุกแล้ว และที่ได้มาอยู่ในลูกชิ้นก็เพื่อความหยุ่นเด้ง คงตัว โดยลูกชิ้นที่ใส่บอแรกซ์จะมีจุดสังเกตคือ เด้งและกรุบกรอบผิดปกติ ซึ่งหากผิดสังเกตควรหยุดกินทันที เพราะอาจทำให้ อ่อนเพลีย ตับไตอักเสบ เบื่ออาหาร ผิวหนังแห้ง หน้าตาบวม หรือในรายที่มีอาการเฉียบพลันอาจทำให้คลื่นไส้อาเจียน ท้องร่วง ถ่ายเป็นเลือด และชักหมดสติ 

    สีผสมอาหาร

    ที่ใส่มาเพื่อดึงดูดความน่ากิน พวกลูกชิ้นและไส้กรอกที่สีสันจัดจ้านหรือสีผิดจากธรรมชาติที่ควรเป็น ทั้งแดง ชมพู  เหล่านี้ทำให้ตับไตทำงานหนักเพื่อขับสารเคมีออกจากร่างกาย สำหรับวิธีการหลีกเลี่ยงคือ เลือกลูกชิ้นปิ้งที่ไม่ผสมสี หรือสีไม่จัดจ้าน

    สำหรับสีผสมอาหารที่ไม่ปลอดภัยมักมีส่วนผสมของโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู สังกะสี ปะปนอยู่ โดยจะทำให้เกิดอาหารในเบื้องต้นคือ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ มึนเวียนศีรษะ กระหายน้ำ ไปจนถึงขั้นหมดสติ หรือไตทำงานไม่ปกติได้เลยทีเดียว

    สารกันบูด

    แม้จะมีความปลอดภัยในการกิน (โดยจะต้องอยู่ในปริมาณที่กระทรวงสาธารณสุขอนุญาต ให้ใช้สารกันเสียเป็นวัตถุเจือปนอาหารได้ในปริมาณที่กำหนดไว้) แต่หากได้รับบ่อย ๆ ก็ทำให้เกิดการสะสมสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นต้นตอของการเกิดโรคมะเร็ง เป็นอันตรายกับระบบทางเดินอาหาร ส่งผลต่อตับไต ทำให้ความดันโลหิตสูง รวมถึงหากได้รับเกินปริมาณที่กำหนดจากการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็อาจาทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกหรือภาวะเมธฮีโมโกลบินได้

    และอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้สารกันบูดน่ากลัวก็คือ หากได้รับร่วมกับวิตามินซี เช่นน้ำส้ม หรือการนำไปทำยำที่ใส่มะนาว สารกันบูดจะกลายเป็นสารเบนซีน เป็นสารก่อมะเร็ง และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ 

    สำหรับวิธีการสังเกตเพื่อหลีกเลี่ยงลูกชิ้นที่มีสารกันบูดในปริมาณมากคือ เลือกที่สีไม่สดเกินไป และสีไม่เปลี่ยนเมื่อนำไปปรุงสุก

    สารพิษในลูกชิ้นปิ้ง

    โซเดียม

    โซเดียม เป็นอีกหนึ่งความอันตรายในลูกชิ้นปิ้ง โดยจะทำให้ทำให้ตับไต และหัวใจทำงานหนักเกินไป โดยปริมาณเมื่อเทียบกันแล้ว

    • เนื้อสัตว์ 2 ช้อนโต๊ะ มีโซเดียม 35 มิลลิกรัม
    • ลูกชิ้น 5 ลูก มีโซเดียมมากถึง 350 มิลลิกรัม 

    ทั้งนี้ใน 1 วันคนควรได้รับโซเดียมเพียง 2,000 มิลลิกรัมเท่านั้น 

    กระบวนการปรุง

    ไม่เพียงสารประกอบในลูกชิ้นเท่านั้น แต่วิธีการปรุงลูกชิ้น ทั้งทอด ปิ้ง ย่าง ก็ทำให้เกิดโรคมะเร็งด้วยเช่นกัน โดยการปิ้งย่างก็อย่างที่รู้ ๆ กันว่า จะเกิดสารพิษที่ชื่อว่า อะคลิลาไมด์ ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง โดยเฉพาะเมื่อกินส่วนที่ไหม้เกรียม ในขณะที่การทอดหากใช้น้ำมันเดิมซ้ำก็ทำให้เกิดสารก่อมะเร็งได้อีกเช่นกัน

    การเลือกซื้อลูกชิ้น

    สำหรับการเลือกกินลูกชิ้นให้ปลอดภัยก็ไม่ยากค่ะ หากซื้อเป็นลูกชิ้นสดก็เลือกที่ได้รับการรับรองจาก อย. ที่แสดงว่าไม่ใส่วัตถุกันเสีย และสีผสมอาหาร รวมถึงเลือกจากร้านที่ควบคุมความเย็น 

    แต่ถ้าเลือกซื้อที่ปรุงสุกแล้วก็ควรดูที่ไม่ไหม้เกรียม หรือมีจุดดำ เตาปิ้งย่างสะอาด น้ำมันไม่ดำคล้ำ 

    ข้อมูล

    • RAMA Channel
    • สำนักงานคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร
    • สำนักงานอนามัย
    • โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสาชีวจิต

    รวมของว่าง ต้านมะเร็ง

    รวม ของว่าง ช่วยต้านโรคมะเร็ง

    ของว่าง กินได้ หมอไม่ว่า

    ผักหรือผลไม้ก็เอามาทำอาหารว่างได้ นอกจากจะให้คุณประโยชน์แล้ว ยังอร่อย สดชื่น วันนี้จะมาแจกสูตร ของว่าง ง่าย ๆ นอกจากวัตถุดิบจะหาง่ายตามท้องตลาด วิธีทำยังไม่ยุ่งยากอีกด้วย

    กล้วยต้ม

    ของว่าง

    เป็นผลไม้ที่ถูกแนะนำเวลาลดน้ำหนัก เพราะนอกจากจะทำให้อิ่มท้องง่าย ช่วยลดน้ำหนัก ยังให้คุณค่าทางสารอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย เมนูกล้วยต้มจึงเป็นเมนูที่ถูกนำมาทำบ่อย ๆ นั่นเอง ส่วนกล้วยที่นิยมเอามาต้ม คือ กล้วยน้ำว้าห่าม เพราะให้แคลลอรีสูง นอกจากนี้ยังมีน้ำตาลถึง 3 อย่าง คือ ซูโครส ฟรุคโตส และกลูโคส ดังนั้นการกินกล้วยต้มจึงทำให้เราได้รับน้ำตาลน้อยลง

    ประโยชน์จากการกินกล้วยต้ม

    • มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก จึงช่วยต้านและลดความเสี่ยงการเกิด โรคมะเร็ง ได้ดี
    • ช่วยในเรื่องการนอนหลับ เพราะในกล้วยน้ำว้ามีทริปโตเฟน ซึ่งเป็นกรดที่ช่วยกระตุ้นการสร้างสารเซโรโทนิน ทำให้นอนหลับง่าย
    • ช่วยให้รู้สึกสงบ ผ่อนคลาย และยังลดปัญหาการซึมเศร้า และยังเป็นหนึ่งในผลไม้ที่กรมสุขภาพจิตแนะนำให้กินเพื่อลดปัญหาซึมเศร้า
    • ลดความดันโลหิตสูง โดยในกล้วยน้ำว้ามีโพแทสเซียมในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งช่วยให้ความดันอยู่ในระดับที่สมดุล
    • ลดน้ำหนัก กล้วยห่ามมีสรรพคุณในด้านการลดน้ำหนักอย่างมาก เพราะว่าน้ำตาลต่ำกว่ากล้วยสุก และยังอุดมด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยให้อิ่มท้องได้นาน ช่วยระบบขับถ่าย

    วิธีทำ

    1. ต้มกล้วยน้ำว้าห่ามทั้งเปลือกในน้ำเกลือ แต่ถ้าอยากเพิ่มความหอมก็ใส่ใบเตยลงไปต้มพร้อม ๆ กัน
    2. เมื่อเปลือกกล้วยเริ่มปริแยกก็ตักกล้วยออกมาแช่ในน้ำเย็นจัด
    3. เมื่อกล้วยเย็นแล้วก็ปอกเปลือก พร้อมทานค่ะ แต่ถ้าใครอยากเพิ่มความอร่อย ก็ทานคู่กับมะพร้าวขูดได้นะคะ

    มันต้มขิง

    ของว่าง

    อากาศเย็น ๆ ก็อยากได้อะไรอุ่น ๆ มาซดแก้หนาว น้ำขิงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่นอกจากจะได้ประโยชน์แล้วยังช่วยปรับสมดุลร่างกายของเราอีกด้วย แต่ไหน ๆ ก็จะทำน้ำขิงไว้กินแล้ว ลองทำมันต้มขิงกันดีกว่า นอกจากจะเป็นอาหารว่างที่อร่อยแล้ว ยังทำง่ายอีกด้วย

    ประโยชน์ของขิง

    • แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ บรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน
    • ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้มากกว่าปกติ แทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี และยังลดปริมาณฮอร์โมนคอร์ติซอล สาเหตุของความเครียดตัวการที่ทำให้ร่างกายอยากกินไขมัน
    • ยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และต่อสู้กับเชื้อไวรัส ทำให้ป้องกันหรือลดโอกาสการเป็นไข้หวัดได้
    • ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ต้านการอักเสบของเซลล์ในร่างกาย

    ประโยชน์ของมันเทศ

    1. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี มีไฟเบอร์สูง ทำให้อยู่ท้องได้นาน
    2. ซึ่งมีเบต้าแคโรทีนก็ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิด โรคมะเร็ง สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้
    3. บำรุงสายตา ป้องกันโรคตาบอดกลางคืนได้ด้วย

    วิธีทำ

    1. นำมันเทศและขิงแก่ต้มในน้ำ
    2. ต้มให้เดือดแล้วปรุงรส เป็นอันเรียบร้อยพร้อมเสิร์ฟ

    รากบัวต้มน้ำตาล

    ของว่าง

    รากบัวนิยมกินกันทั้งแบบนิ่มและแบบกรอบ ถ้าต้องการกินแบบนิ่มก็นำไปนึ่ง ถ้าต้องการกินแบบกรอบ ต้องล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำไปลวกน้ำร้อนเล็กน้อย แล้วแช่น้ำเย็นจัด หรือหั่นแล้วอาจจะนำไปแช่น้ำผสมน้ำส้มสายชูนิดหน่อยก่อนนำไปต้ม ก็จะทำให้กรอบได้เช่นกัน ปริมาณการกินรากบัวที่เหมาะสมคือ วันละ 6 – 12 กรัม หรือ ประมาณ 2 – 3 ชิ้นต่อวัน

    รากบัวทำได้ทั้งคาวและหวาน วันนี้เลยจะมาแนะนำอาหารว่างที่ทำง่าย ช่วยใช้สดชื่น คลายร้อนอย่าง รากบัวต้มน้ำตาล กันค่ะ

    ประโยชน์ที่ได้จากเมนูนี้

    1. พุทราจีน ช่วยบำรุงเลือด รักษาโลหิตจาง บำรุงกำลัง อุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และยังช่วยต้าน โรคมะเร็ง อีกด้วย
    2. ลูกเดือย มีเส้นใยอาหารสูง อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ทั้งรากบัวและลูกเดือยมีส่วนช่วยในการย่อยอาหาร และบำรุงกระเพาะอาหาร
    3. ใช้ดื่มกินคลายร้อน เพิ่มเกลือแร่และวิตามิน
    4. ช่วยแก้อาการท้องเสียเรื้อรัง ลดปอดบวม และอาการร้อนใน เหมาะกับกินในช่วงหน้าร้อน

    วัตถุดิบที่ใช้

    • รากบัวหั่นเป็นชิ้น 500 กรัม
    • น้ำตาลทรายแดง หรือน้ำตาลทรายขาว หรือน้ำตาลมะพร้าว 250 กรัม
    • น้ำเปล่า 1.5 ลิตร
    • ลูกเดือยแห้ง 100 กรัม
    • พุทราจีน 10 – 15 ลูก
    • เกลือทะเล 1 ช้อนโต๊ะ

    วิธีทำ

    1. นำรากบัวมาปอกเปลือก ล้างในน้ำสะอาด แล้วหั่นตามชอบเป็นชิ้นหนาพอสมควร
    2. เตรียมหม้อใส่น้ำเปล่า  ตั้งไฟต้มน้ำให้เดือด ใส่น้ำตาลลงไป พอน้ำตาลละลายให้ใส่รากบัวที่หั่นไว้ลงไป ตามด้วยพุทราจีนและลูกเดือย ต้มจนเดือดอีกครั้ง
    3. ต้มจนรากบัวนิ่ม ใส่เกลือเพื่อปรุงรส ชิมรสชาติ หวานมากหรือน้อยตามใจชอบ จากนั้นปิดไฟ ตักรากบัวต้มน้ำตาลใส่ถ้วย เติมน้ำแข็งบดหรือก้อน ตามใจชอบ

    ถั่วเขียวต้มน้ำตาล

    ของว่าง ถั่วเขียวต้มน้ำตาล ประโยชน์

    หลายคนที่ต้องทำงานในห้องแอร์ เมื่อออกไปเผชิญอากาศร้อนภายนอก เช่น ความร้อน ความชื้นความเย็น ความแห้ง ลม ก็จะทำงานไม่ไหว ทำให้เราเจ็บป่วยได้ง่าย เช่น เป็นหวัด มีไข้ เจ็บคอไอ น้ำมูกไหล มีเสมหะ เวียนศีรษะหน้ามืด คอแห้ง ใจสั่น คลื่นไส้ แพทย์จีน มีเครื่องดื่มดับร้อน ที่จะช่วยปกป้องปอดจากสภาพอากาศแปรปรวนมาฝาก

    ประโยชน์

    • แก้ร้อนใน กระหายน้ำ
    • ขับพิษไข้
    • ลดการอักเสบของสิว

    วิธีทำ

    1. เตรียมถั่วเขียวปริมาณตามที่ต้องการ แช่น้ำทิ้งไว้สัก 2 ชั่วโมง
    2. นำไปต้มกับน้ำพอประมาณจนน้ำเดือด จากนั้นให้เบาไฟลง ใส่ดอกเก๊กฮวย 10 – 15 กรัม
    3. เติมน้ำตาลแดงเล็กน้อยเคี่ยวต่อสัก 15 นาที ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น ตักใส่ชามพร้อมเสิร์ฟ

    TIPS :

    • สำหรับคนที่ชอบรสหวาน สามารถใช้หญ้าหวาน ชะเอม หรือน้ำผึ้ง เพื่อเพิ่มความหวานแทนการใช้น้ำตาลได้ (ซึ่งสมุนไพรให้ความหวานเหล่านี้ ล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยควรเพิ่ม หรือลดตามความเหมาะสม)
    • แต่สำหรับผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยงค่ะ

    สาหร่ายพวงองุ่น

    ของว่าง สาหร่ายพวงองุ่น

    อีกหนึ่งของว่างจากธรรมชาติที่เป็นที่นิยมในขณะนี้ เพราะก่อนจะมาฮิตในเมืองไทย สาหร่ายพวงองุ่นเป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับอายุยืนของชาวเกาะโอกินาวา ซึ่งได้ชื่อเป็น บลูโซน (Blue Zone) ที่หมายถึงเขตพื้นที่ที่ประชากรมีอายุยืน สุขภาพแข็งแรง ซึ่งเกิดจากวัฒนธรรมการกิน และแน่นอนว่าขึ้นชื่อเป็นชาวเกาะ คนโอกินาวาจึงมีเคล็ดลับการกินที่ทำให้แข็งแรงด้วยอาหารทะเล และพืชผักท้องถิ่นนั่นเอง

    ส่วนประโยชน์ของสาหร่ายพวงองุ่น ก็คือ

    บำรุงกระดูก ลดความดัน

    สาหร่ายพวงองุ่นอุดมด้วย โปรตีน แคลเซียม รวมไปถึงโอเมก้า 3 ที่ช่วยบำรุงกระดูกและข้อต่อต่างๆ นอกจากนั้นยังช่วยควบคุมความดันให้เป็นปกติ 

    บำรุงดวงตาและหัวใจ

    กรดไขมันไม่อิ่มตัวช่วยบำรุงการมองเห็นและความจำ อีกทั้งยังช่วยลดคอเลสเตอรอลซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด 

    ต้านมะเร็ง

    ในสาหร่ายพวงองุ่นนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง รวมถึงยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ดังนั้นจึงยิ่งเหมาะมากกับในยุคโรคระบาดนี้ค่ะ 

    ทริคกินให้อร่อย

    หากซื้อมาแล้วไม่ต้องเก็บเข้าตู้เย็นนะคะเพราะจะทำให้เม็ดเปล่งๆ เหล่านั้นฟีบลง ทางทีดีเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องได้ประมาณ 2-3 วัน ก่อนทานเอามาล้างในน้ำเย็นก็อร่อยแล้วค่ะ 

    มันม่วง

    มันม่วง หรือมันเทศสีม่วง ของว่างยอดฮิตยุคนี้ ที่กินง่ายแค่เอาไปนึ่งให้นุ่มๆ ยิ่งอร่อย หรือจะเอาไปทำอาหารอื่นๆ ก็ช่วยให้รสกลมกล่อม พร้อมๆ กับที่ได้สีสวยแปลกตา แต่เห็นสีสวยแบบนี้ไม่ใช่แค่อร่อยอย่างเดียวนะคะ ประโยชน์ก็เยอะมากจริงๆ 

    ต้านมะเร็ง

    ตัวของมันม่วงอุดมด้วยไฟเบอร์ รวมไปถึงแอนโทไซยานินซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงทำให้มันม่วงมีสรรพคุณมากมาย โดยเฉพาะการต้านมะเร็ง ซึ่งจากการศึกษาค้นพบว่าแอนโทไซยานินในมันม่วงนี้ต้านมะเร็งลำไส้ เมื่อผนวกรวมกับไฟเบอร์ที่กระตุ้นการขับถ่าย จึงยิ่งลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้ 

    ลดคอเลสเตอรอลในเลือด 

    เนื่องจากแอนโทไซยานิน จะยับยั้งการรวมตัวของออกซิเจนกับคอเลสเตอรอลชนิด LDL จึงมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

    ลดโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวาน

    เพราะสารต้านอนุมูลอิสระในมันเทศสีม่วงช่วยยับยั้งการจับตัวของน้ำตาลกับโปรตีนในระดับเซลล์ ส่งผลให้เซลล์ในร่างกายและเส้นเลือดเสื่อมน้อยลง ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานได้

    บำรุงผิวพรรณ ชะลอความแก่ 

    เป็นเรื่องของสารต้านอนูมูลอิสระล้วนๆ ด้วยการช่วยดูดซับอนุมูลอิสระ ทำให้ชะลอความเสื่อมของร่างกาย จึงเป็นการบำรุงผิวพรรณ และเส้นผม พร้อมๆ ไปกับการลดเลือนริ้วรอย

    มันม่วงกับการลดน้ำหนัก

    ส่วนเรื่องการลดน้ำหนัก แม้ว่ามันม่วงจะมีไฟเบอร์เยอะทำให้อิ่มท้องได้นาน มีแคลอรี 114 kcal ต่อ 100 กรัม ซึ่งก็ให้พลังงานปานกลาง แต่คาร์โบไฮเดรตก็ไม่น้อยเลย  แม้จะเป็นเชิงช้อนที่ทำให้อิ่มเร็ว และอยู่ท้องได้นาน หากเลือกจะลดน้ำหนักด้วยการกินมันม่วง ก็ควรเลี่ยงแป้งชนิดอื่นๆ เช่น ช้าว ขนมปัง และกินให้ครบ 5 มื้อนะคะ 

    ของว่างอร่อย ๆ แถมยังมากคุณประโยชน์ แบบนี้ต้องลองเอาไปทำกันแล้วนะคะ

    ที่มา

    ชีวจิตออนไลน์

    บทความที่น่าสนใจ

    แจกสูตรน้ำผัก บำรุงดวงตา ห่างไกลโรค

    รวมเรื่องของ “ถั่ว” ที่น่ารู้

    ประโยชน์เน้นๆ จาก “โกโก้”

    ผักผลไม้ สารอาหารสูง ต้านมะเร็ง

    มันแกว ราคาถูก แต่ประโยชน์เพียบ!

    หัวใจ

    ป้องกันโรคหัวใจ ตามแบบฉบับแพทย์แผนจีน

    หัวใจ เป็นอวัยวะสำคัญ ดังนั้นไม่ว่าการแพทย์ศาสตร์ไหน ก็มีวิธีดูแลหัวใจให้แข็งแรง ปราศจากโรคภัยเพื่อส่งเสริมสุขภาพให้ดี ศาสตร์การแพทย์แผนจีนเองก็เช่นกัน ที่มีการ ป้องกันโรคหัวใจ แต่จะมีวิธีอย่างไรบ้าง ไปดูกันค่ะ

    หัวใจมีหน้าที่สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยมีหลอดเลือดหัวใจที่แตกแขนงมาจากหลอดเลือดแดงใหญ่พาดอยู่บริเวณพื้นผิวของหัวใจและแยกเป็นเส้นเลือดแขนงย่อยมากมาย เส้นเลือดย่อยเหล่านี้จะทำหน้าที่นำโลหิตไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจจึงต้องการออกซิเจน เพื่อให้ประสิทธิภาพ

    เมื่อหัวใจไม่ได้รับโลหิตที่มีออกซิเจนอย่างเพียงพอ ก็จะทำให้เกิดอาการเจ็บปวดที่เรียกว่าอาการหัวใจขาดเลือด ซึ่งอาการดังกล่าวเป็นการเตือนว่าหัวใจต้องการออกซิเจนมากขึ้น อาการที่แสดงถึงโรคหัวใจขาดเลือดของแต่ละคนจะแตกต่างกันไป เช่น เจ็บ ปวด หรือรู้สึกไม่สบาย แน่นท้อง เป็นตะคริว ชา หายใจลำบาก จุกเสียด แน่นหน้าอก วิงเวียนศีรษะ เป็นต้น ทั้งนี้อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รู้สึกเครียดและช่วงใช้แรงมากในการทำกิจกรรม อาการดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในบริเวณหน้าอก ช่วงหลังส่วนบน บริเวณในลำคอหรือกราม

    ปัจจัยเสี่ยง โรคหัวใจ

    • อายุมากขึ้น เพราะปัจจุบันพบว่าอัตราการเป็นโรคหัวใจพบมากในคนอายุ 30 – 40 ปี
      พันธุกรรม ผู้ที่มีประวัติครอบครัว พ่อแม่ หรือญาติใกล้ชิดเป็นโรคหัวใจ มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
    • ไขมันในเลือดสูง คนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงกับการเป็นโรคหัวใจ มากกว่าคนที่มีไขมันในเลือดปกติหรือต่ำกว่าหลายเท่า เพราะไขมันคือตัวการสำคัญที่จะไปจับตามผนังหลอดเลือดและทำให้หลอดเลือดอุดตัน โดยเฉพาะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ
    • เบาหวาน น้ำตาลในเลือดที่สูงกว่าปกติ และสูงเป็นเวลานานโดยไม่มีการควบคุมให้ดีพอ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ผนังหลอดเลือดอ่อนแอ ไม่แข็งแรง และเป็นสาเหตุของหลอดเลือดหัวใจตีบตันได้
    • ความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง เพราะคนที่มีความดันโลหิตสูงใช่ว่าจะทำให้เลือดมีแรงดันที่จะไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดีกว่าคนที่ความดันโลหิตปกติ ตรงกันข้ามกลับทำให้หลอดเลือดเกิดการหดเกร็งตัวและทำให้หัวใจขาดเลือดได้อีกเหมือนกัน
    • ความเครียด เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้หัวใจต้องทำงานอย่างหนักหน่วง เพราะเมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น ความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้น ทำให้หัวใจต้องสูบฉีดเลือดแรงขึ้น คนที่มีความเครียดต่อเนื่อง หัวใจก็จะทำงานหนักมากเกินไปเป็นเวลานาน ความเครียดทางจิตใจทำให้ร่างกายหลั่งสารอะดรีนาลินออกมา ซึ่งจะไปกระตุ้นการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจต้องการออกซิเจนเพิ่มขึ้น เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โดยเฉพาะ ผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบตันอยู่ก่อนและยังก่อให้เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดแดงได้ง่ายด้วย
    ป้องกันโรคหัวใจ

    สาเหตุการเกิดโรคหัวใจ

    สำหรับในศาสตร์แพทย์แผนจีน ให้สาเหตุของอาการโรคหัวใจคล้ายกันกับแผนปัจจุบัน นั่นคือสาเหตุที่เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอเกิดจากปัจจัย

    1. วินิจฉัยจากความแข็งแรงของร่างกาย สามารถผลิตเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้เพียงพอหรือไม่ หากร่างกายสร้างเลือดไม่ดี เลือดไม่สมบูรณ์ ส่งผลทำให้หัวใจขาดเลือด
    2. ตรวจดูระบบการไหลเวียนเลือด ดูการติดขัด อุดตันของการเดินเลือด ส่วนใหญ่ ถ้าอาการคือเมื่อมีความเครียด เลือดและพลังงานจะเดินตะกุกตะกัก ระบบการส่งเลือดไปที่หัวใจไม่ดีพอ จะมีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ไม่สบายตัว มีการเจ็บแปลบขึ้นเป็นช่วงๆ
    3. หลอดเลือดอุดตัน ตรวจพบว่ามีลิ่มเลือดขวางกั้นที่บริเวณหลอดเลือด เลือดไหลเวียนติดขัด จนทำให้มีอาการหัวใจวาย

    แนวทาง ป้องกันโรคหัวใจ ของจีน

    กินอาหารสร้างเลือด
    ถ้ามีอาการหัวใจขาดเลือด ต้องเน้นการเพิ่มเลือด โดยกินอาหารที่เน้นการสร้างเลือด เช่น ตังกุย ที่เป็นตัวยาหลักในสูตรยาจีนสร้างเลือด หรือยาบำรุงเลือดชื่อ “ซื่ออู้ทั้ง” (Si Wu ‘Tang, 4 Substances Decoction) เป็นของ 4 อย่างที่ช่วยบำรุงเลือด ซึ่งสูตรชื่ออู้ทังนี้ยังเป็นสูตรโบราณที่ใช้ตุ๋นซุปไก่ตำบำรุงเลือดผู้หญิงหลังคลอดช่วงอยู่ไฟ 1 เดือนอีกด้วย

    ป้องกันโรคหัวใจ

    กินสมุนไพรเพิ่มการไหลเวียนเลือด

    แพทย์แผนจีนแนะนำให้กินสมุนไพรขยับเลือดเพื่อให้เลือดไม่หนืด เช่น ฮงฮั้ว หรือดอกคำฝอย มีสรรพคุณช่วยให้เลือดไหลเวียน และกลุ่มน้ำมันปลา น้ำมันดอกทานตะวัน เพื่อให้ได้โอเมก้า 3 และมียาจีนสูตรเร่งด่วนที่ช่วยให้เลือดเดินไหลเวียนได้ดี ดังนี้

    2.1 สูตรยาเถาเหรินเฉิงซี่ทัง (Tao Ren Cheng Qi Tang, Peach Pit Decoction to Order the Qi) ช่วยให้ก้อนลิ่มเลือดที่อุดตันค้างไว้หลุดออกจากการเกาะติดหลอดเลือดทั่วร่างกาย ตัวยาชนิดนี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านยาจีนทั่วไปค่ะ ยังมียาจีนอื่นอีกสำหรับการสลายลิ่มเลือดที่หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ แก้อาการเจ็บ หน้าอกได้ คือ สูตรยาเสวี่ยฝูจ๋ออวี่ทัง (Xue Fu Zhu Yu Tang, Drive Out Stasis in the Mansion of Blood Decoction)

    2.2 ยาสมุนไพรซานชี (San Qi) มีสรรพคุณช่วยเดินเลือดเหมือนกัน เป็นส่วนประกอบหลักในสูตรยาอวิ๋นหนานไป้เหย้า (Yun Nan Bai Yao) ที่แพทย์แผนจีนนิยมใช้กับผู้ป่วยที่บาดเจ็บ เป็นแผล กระดูกหัก ช่วยสมานแผลได้ดี

    2.3 ยาสมุนไพรเจียงหวง (Jiang Huang) หรือ ขมิ้นชัน (Curcumin) มีสรรพคุณช่วยเดินเลือดได้ดี ช่วยขยายหลอดเลือดโดยเฉพาะบริเวณหน้าอกช่วงแขน และยังช่วยลดการอักเสบ ซึ่งมีรายงานการวิจัยรองรับ จึงสามารถกินเพื่อป้องกันโรคหัวใจและเพื่อรักษาอาการได้

    2.4 ยาสมุนไพรสู่หรง (Lu Rong) ยาลู่เจี่ยว (Zu Jiao) คือเขากวางอ่อนและเขากวางปกติ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี ใช้ในกรณีที่มีอาการตัวเย็น เหนื่อยง่ายอ่อนเพลีย หยางไม่พอ ความดันต่ำ ปวดหลังล่างบ่อยๆ หรือมีปวดเข่าร่วมด้วย

    2.5 ยาสมุนไพรข้าวยีสต์แดง (Hong Gu. Red Yeast Rice) ช่วยลดคอเลสเตอรอล เนื่องจากมีตัวยาสแตตินตามธรรมชาติอยู่ในข้าวยีสต์แดง ที่ช่วยลดไขมันแล้วยังช่วยสร้างเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี

    ส่วนการออกกำลังกายเพื่อทำให้หัวใจและหลอดเลือดแข็งแรง ควรเป็นการออกกำลังกายช้าๆ และใช้เวลานาน ต้องไม่เป็นการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทก เช่น ไทซี่ ขี่กง การเดินช้า การขยับร่างกายอย่างช้าแต่ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี ระยะเวลาการออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดควรเกินระยะเวลา 30 นาที ขึ้นไปจึงจะได้ผล

    ที่มา นิตยสารชีวจิต

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    บอกต่อทางรอด“ภาวะหัวใจล้มเหลว”
    โลว์โซเดียม เลือกยังไงให้ดีกับไต หัวใจ และหลอดเลือด
    ดาร์คช็อกโกแลต กินให้ดี บำรุงสมอง และหัวใจ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสาชีวจิต


    PM 2.5 ทำให้เป็นมะเร็งปอด

    ตอบคำถาม PM 2.5 ทำให้เป็นมะเร็งปอด จริงไหม?

    PM 2.5 ทำให้เป็นมะเร็งปอด จริงหรือไม่

    ปัญหามลภาวะทางอากาศของเชียงใหม่ รวมถึงหลาย ๆ จังหวัดในภาคเหนือของประเทศไทย มีมานานกว่า 10 ปี และมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา จนเกิดเป็นความสงสัยว่า PM 2.5 ทำให้เป็นมะเร็งปอด จริงไหม ? เพราะต้องยอมรับว่าช่วงนี้มีกระแสข่าวการเสียชีวิตจากมะเร็งปอดเป็นจำนวนมาก วันนี้ อาจารย์ แพทย์หญิงธนิกา เกตุเผือก หน่วยวิชามะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จะมาเป็นผู้ไขข้อสงสัยนี้ให้เราฟังกันค่ะ

    PM 2.5 เข้าสู่ร่างกายได้ลึกแค่ไหน

    มลภาวะทางอากาศในระดับรุนแรงที่ดูกันง่าย ๆ จาก Air quality index (AQI) ว่าเป็นสีแดง สีม่วงนั้น ส่งผลกระทบต่อสุขภาพชัดเจน ทั้งโรคทางเดินหายใจ โรคทางหลอดเลือดสมองและหัวใจ และแน่นอนคือมะเร็งปอด

    PM 2.5 ทำให้เป็นมะเร็งปอด

    สำหรับ Particulate matter (PM) 2.5 คือ วัตถุที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ก็คือเล็กกว่ามิลลิเมตรพันเท่า เลยสามารถลงไปในปอดส่วนลึกได้

    PM 2.5 กับ มะเร็งปอด

    มะเร็งปอดคนทั่วไปจะเข้าใจว่าสัมพันธ์กับการสูบบุหรี่ เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง มีความสัมพันธ์กัน ยิ่งสูบเยอะ สูบนาน ยิ่งเพิ่มโอกาสในการเป็นมะเร็งปอด แต่ปัจจุบันพบว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่สามารถเป็นมะเร็งปอดได้เช่นเดียวกันและพบได้ไม่น้อย โดยเฉพาะในคนที่มีอายุน้อย เพศหญิงและเป็นชาวเอเชียตะวันออก

    เริ่มแรกตั้งแต่ปี 2009 มีการศึกษาพบว่า กลุ่มผู้ป่วยที่มีลักษณะเช่นนี้ สัมพันธ์กับยีนกลายพันธุ์ที่เรียกว่า EGFR แต่สาเหตุของการเกิดมะเร็งปอดในผู้ป่วยกลุ่มนี้นั้น มีหลายปัจจัยส่งเสริม เช่น พันธุกรรม เชื้อชาติ การได้รับสารก่อมะเร็ง และมลภาวะทางอากาศ

    มีการศึกษาพบว่า ทุกๆ PM 2.5 ที่เพิ่มขึ้น 1 ไมโครกรัมมิลลิเมตร ทำให้อุบัติการณ์ของ มะเร็งปอดที่มียีนกลายพันธุ์ EGFR เพิ่มขึ้น ทั้งจากประชากรในประเทศอังกฤษ เกาหลีใต้และไต้หวัน และพบว่าผู้ที่ได้รับมลภาวะทางอากาศสูงเป็นเวลา 3 ปี เกิดมะเร็งปอดที่มียีนกลายพันธุ์ EGFR มากกว่าผู้ที่ได้รับมลภาวะทางอากาศน้อย 1.08 เท่า ดังนั้นหากอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่มีมลภาวะทางอากาศสูง 3 ปีก็เพียงพอที่จะกระตุ้นให้เกิดมะเร็งปอดชนิดนี้

    PM 2.5 ทำให้เป็นมะเร็งปอด

    จากการศึกษาในหนูพบว่า PM เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดมะเร็งปอดในหนูที่มียีนกลายพันธุ์ EGFR และ KRAS อยู่แล้ว โดยกระตุ้นให้เกิดการเพิ่มขึ้นของเซลล์ที่มียีนกลายพันธุ์ทั้งในปอดปกติที่ยังไม่เกิดมะเร็งและในรอยโรคที่มีแนวโน้มที่จะเกิดมะเร็งในอนาคต ผ่านการกระตุ้นการอักเสบและการสร้างสารอักเสบ (Inflammatory cytokines) IL-1B

    นอกจากนี้การศึกษาที่นำเนื้อเยื่อจากปอดปกติของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งและผู้ป่วยที่มีก้อนเล็ก ๆ ที่สงสัยว่าจะเป็นมะเร็ง 295 คน มาตรวจ พบว่า 18% ของเนื้อเยื่อปอดปกตินี้มียีนกลายพันธุ์ EGFR อยู่แล้ว และ 53% มียีนกลายพันธุ์ KRAS

    ไขคำตอบ PM 2.5 ก่อมะเร็งปอด จริงไหม

    ดังนั้นจากการศึกษาทั้งหมดที่กล่าวมา สรุปได้ว่า PM 2.5 เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดมะเร็งปอด โดยเฉพาะในคนที่มีการกลายพันธุ์ของยีน EGFR และ KRAS อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่า PM 2.5 นั้นเป็น “ปัจจัยกระตุ้น” ไม่ใช่สาเหตุ และในปัจจุบันเราไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่า ในผู้ป่วยคนหนึ่งที่เป็นมะเร็งปอดนั้นมีสาเหตุจากอะไรได้แน่นอน เนื่องจากกระบวนการเกิดมะเร็งดังกล่าวซับซ้อนและเกิดได้จากหลายปัจจัยกระตุ้นดังที่กล่าวไว้ข้างต้น

    เมื่อทราบดังนี้แล้ว จึงไม่ควรอยู่ในบริเวณที่มีมลภาวะทางอากาศสูง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรใส่หน้ากากที่ป้องกัน PM 2.5 ได้แก่ หน้ากาก N95 เป็นต้นไป จึงจะสามารถกรองอนุภาคเหล่านี้ได้ งดกิจกรรมกลางแจ้ง อยู่ในอาคารและเปิดเครื่องฟอกอากาศ

    Ref: https://www.nature.com/articles/s41586-023-05874-3

    ผักป้องกันมะเร็ง

    นอกจากการป้องกันฝุ่น PM 2.5 แล้ว อีกสิ่งที่เราจะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งได้ คือการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดการเกิดอนุมูลอิสระ ด้วยอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ลดการเกิดเซลลมะเร็งในร่างกาย

    ชา

    ในใบชามีสารที่ชื่อว่า “ฟลาไวนอยด์” ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง นอกจากนั้นฟลาโวนอยด์ ยังเป็นสารที่ช่วยให้เกร็ดเลือดไม่จับตัวกัน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ เมื่อดื่มชาเป็นประจำทุกวัน เพียงวันละ 1 ถ้วย จะสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งและหัวใจลงได้

    ขิง

    เป็นพืชที่พรั่งพร้อมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เหง้าของขิงแก่ มีสารเบต้า คาโรทีน ที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ขิงจึงเป็นพืชที่รับประทานแล้วช่วยต้านมะเร็งได้

    พริกไทย

    เป็นพืชที่มีสารสำคัญ ชื่อ “ฟีนอลิกส์” ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอย่างดี พริกไทยเป็นพืชที่มีคุณสมบัติด้านสารก่อมะเร็งในทางเดินอาหารได้อย่างดี และยังพบว่าพริกไทยสามารถเร่งให้ตับทำลายสารพิษมากขึ้น

    ใบแป๊ะก๊วย มีสารสำคัญที่ส่งผลช่วยให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมองดีขึ้น ทำให้สมองตื่นตัว ใช้กับพวกที่มีความจำเสื่อมเมื่ออายุมากขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็ง

    เห็ดหลินจือ

    สารสำคัญที่พบมีฤทธิ์ต้านมะเร็งโดยเข้าไปยับยั้งเนื้องอกได้ดี คือ โพลีแซคคาไรด์ชนิดเบต้า ดี-กลูแคน จากการศึกษาโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบว่าสารสกัดจากเห็นหลินจือ มีผลต่อเซลล์มะเร็งในสัตว์ทดลอง นอกจากนั้นยังพบว่าสามารถออกฤทธิ์ช่วยให้ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีและยังมีฤทธิ์ต้านพิษที่เกิดจากการฉายรังสี จึงอาจเป็นไปได้ว่าการใช้เห็ดหลินจือจะช่วยชะลอการลุกลามของมะเร็ง

    ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ ดอกเห็ดที่อยู่ในช่วงที่สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งจะเป็นช่วงที่มีสีน้ำตาลแดงสปอร์มีสีน้ำตาล รสขม รูปร่างรี ดอกเห็ดแก่ ขอบหมวกจะงุ้มลง สีหมวกเข้มขึ้น และอาจมีดอกใหม่งอกซ้อนขึ้นก็ได้

    ใบแป๊ะก๊วย

    แหล่งรวมสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งแน่นอนว่าช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้นตอของการเกิดมะเร็งได้ ป้องกันเซลล์ในร่างกายถูกทำลายโดยสารต้านอนุมูลอิสระ และความพิเศษคือ แม้ว่าจะนำไปประกอบอาหาร ผ่านความร้อนจนสุก แต่ก็ยังมีสารสำคัญสูงถึง 60%

    นอกจากนั้นแล้ว ใบแป๊ะก๊วย ยังคงมีสารที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ไม่ว่าจะเป็นดวงตา ที่ช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น ลดความเบลอของภาพ ป้องกันความเสี่ยงการเกิดเบาหวานขึ้นตา รวมถึงภาวะจอประสาทตาเสื่อมที่มักเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ และผู้ที่เป็นเบาหวาน

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    อาการมะเร็งปอด รู้ไว้ก่อนก็รอดได้ไว

    อาการโรคมะเร็ง ยอดฮิต ที่ไม่ควรมองข้าม

    ผักป้องกันมะเร็ง มีอะไรบ้าง เรามีคำตอบ

    สามารถติดตามบทความของ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (official)

    อาหารสมอง

    รวมของกินธรรมชาติ อาหารสมอง

    อาหารสมอง จากธรรมชาติ ลดเสี่ยงโรคสมอง

    อาหารสมอง หรืออาหารที่ช่วยเพิ่มพลังให้กับสมอง ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรค รวมถึงลดความล้าในวันที่ต้องคิดอะไรมากมายมีอยู่ในธรรมชาติ โดยในวันนี้แอดมีตัวหลัก ๆ ที่แนะนำโดย อาจารย์ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักโภชนาการชื่อดัง มาบอกเล่าค่ะ

    ขมิ้น

    อาหารสมอง ตัวแรก เป็นเครื่องเทศของอินเดียที่พบได้ในอาหารต่าง ๆ เช่น ผงกะหรี่ ในขมิ้นมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่าสารเคอร์คูมิน (Curcumin) มีผลในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ชาวอินเดียรับประทานสารนี้ในอาหารสม่ำเสมอ และนักวิจัยได้ค้นพบว่า อัตราการเกิดโรคอัลไซมอร์ในคนอินเดียต่ำที่สุดในโลก

    สารเคอร์คูมินช่วยชะลอการสะสม หรือขจัดคราบพลัคในสมองที่ทำให้เกิดโรคอัลไซมอร์ โดยการลดปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระจากโปรตีนอินเตอร์ลูคิน -1 เบต้า และไซโตไคน์ ซึ่งล้วนแต่ทำให้เกิดการอักเสบภายในร่างกาย

    เมล็ดทานตะวัน

    เมล็ดทานตะวัน อุดมไปด้วยวิตามินอีซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระที่จะทำลายโครงสร้างสมอง เพียงกินเมล็ดทานตะวัน 1/4 ถ้วยต่อวัน ก็จะให้วิตามินอีสูงถึง 90.5 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการวิตามินอึในแต่ละวัน

    อาหารสมอง

    เมล็ดดอกทานตะวันยังเป็นแหล่งของแมกนีเซียมที่ดี มีสารอาหารที่ช่วยป้องกันไมเกรน มีหลักฐานการวิจัยพบว่า ระดับแมกนีเซียมมีผลต่อตัวรับ และสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับไมเกรน แมกนีเซียมจะทำงานตรงกันข้ามกับแคลเซียม เวลาที่ระดับแมกนีเซียมต่ำ แคลเซียมจะวิ่งไปที่เซลล์ประสาทและกระตุ้นการทำงนของซลล์ประสาทมากเกินไป ทำให้เซลล์ประสาทเกิดการหดตัวมากกว่าปกติ แต่ถ้ามีระดับเมกนีเซียมเพียงพอ จะช่วยให้เซลล์ประสาทคลายตัวผ่อนคลาย เมล็ดทานตะวัน 1/4 ถ้วย ให้แมกนีเซียมประมาณ 1/3 ของความต้องการประจำวัน

    สำหรับการทานเมล็ดทานตะวัน ทานได้หลายรูปแบบ เช่นในรูปแบบอาหารว่าง หรือผสมใส่สลัด โยเกิร์ต โรยไข่ตุ๋น พาสต้า อาจจะใส่ในน้ำจิ้มบางชนิด นำไปทำเป็นครีมเป็นเนยเมล็ดทานตะวันซึ่งไม่มีคอเลสเตอรอล แต่ได้ไขมันดีและมีวิตามินอีสูง

    องุ่น

    มีสารพฤกษเคมีสำคัญหลายชนิด เช่น เรสเวอราทรอล (Resveratrol) เควอร์ซิติน (Quercetin) คาเทชิน และมีสารพฤกษเคมีอื่น ๆ ซึ่งให้ผลในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ แนนซี เบอร์แมน แห่งโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยแคนซัส ได้เปรียบเทียบหนูที่เลี้ยงด้วยอาหารที่มีองุ่นและไม่มีองุ่น พบว่าอาหารที่มีองุ่นช่วยการทำงานของยีนที่ยับยั้งการเกิด
    โรคอัลไซเมอร์ ลดการอักเสบและความเครียดจากอนุมูลอิสระในสมองได้ การอักเสบนี้เองที่ทำให้นักวิจัยเชื่อว่ามีบทบาทสำคัญในการเกิดโรคที่ทำให้สมองเสื่อม

    ผลการวิจัยของเบอร์แมนยังแสดงให้เห็นว่า อาหารที่เสริมองุ่นจะเพิ่มการทำงานของทรานส์ไทเรติน (Transthyretin) ถึง 246 เท่า ทรานส์ไทเรตินคือตัวที่ต่อต้านแอมีลอยด์ – เบต้าพลัค ช่วยลดการเกิดพลัคอันเป็นสาเหตุหนึ่งของอัลไซเมอร์

    นักวิจัยยังพบว่า สารพฤกษเคมีในองุ่นช่วยยับยั้งการทำงานของยีน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอักเสบที่ส่งผลให้แก่ก่อนวัยและเร่งการเกิดสมองเสื่อม เช่นโรคอัลไซเมอร์

    บลูเบอร์รี่

    บลูเบอร์รี่มีสารกลุ่มฟลาโวนอล (Flavonal) ชนิดแอนโทไซยานินและฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยลดการอักเสบ สามารถช่วยเพิ่มความจำในผู้สูงอายุที่เริ่มมีปัญหาเรื่องความจำ และช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ แต่กลไกการทำงานของฟลาโวนอยด์ต่อสมองยังไม่ชัดเจน

    การวิจัยก่อนหน้านี้พบว่า สารดังกล่าวสามารถผ่านเขตแดนเลือดและสมองได้หลังจากที่บริโภคเข้าไปและจากการให้ดื่มน้ำบลูเบอร์รี่ทุกวัน วันละ 500 มิลลิลิตร ติดต่อกันเป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่าสารฟลาโวนอยด์จะส่งเสริมการทำงาน
    ของเชลล์ประสาทที่เชื่อมโยงกันให้สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และกระตุ้นการสร้างเชลล์ประสาท ทำให้ความสามารถในการเรียนรู้และจดจำดีขึ้น ทั้งยังลดอาการซึมเศร้า รวมถึงซะลอความเสื่อมของสมองได้อีกด้วย

    ชาเขียว

    ชาที่เราดื่มกัน ไม่ว่าจะเป็นชาขาว ชาเขียว ชาอู่หลง หรือชาดำ ต่างก็มาจากต้นชาชนิดเดียวกัน มีสารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อร่างกายคือสารพอลิฟินอล (Polyphenol) เช่นเดียวกัน เพียงแต่สารนี้จะมีปริมาณแตกต่างกันตามกรรมวิธีการผลิตชาชนิดต่างๆ

    สารพอลิฟินอลชนิดที่สำคัญคือกลุ่มสารคาเทชิน (Catechin) ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูง สารในกลุ่มนี้มี 4 ชนิด แต่สารคาเทชินที่มีฤทธิ์มากที่สุดและปริมาณมากที่สุดในชาเขียวคือสารอีจีซีจึ (Epigallocatechin-3-gallatae : EGCG) ซึ่งจัดว่าเป็นสารพอลิฟีนอลที่ได้รับการศึกษามากที่สุด

    ในบรรดาชา 4 ชนิด ชาขาวเป็นชาที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตน้อยที่สุด รองลงมาคือชาเขียว โดยชาขาวจะผลิตจากส่วนของหน่ออ่อนที่เริ่มแทงยอดออกมาหรือใบชาใบแรกที่เริ่มผลิออก หลังจากเก็บจะต้องนำไปนึ่งทันที เพื่อยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในชา แล้วจึงนำไปทำให้แห้ง ชาขาวจึงมีสารคาเทชินสูงกว่าชาอื่น

    ส่วนชาเขียวจะเก็บเมื่ออายุมากกว่าชาขาว หลังจากเก็บจะนำไปทำให้เหี่ยวโดยการผ่านลม แล้วจึงผ่านความร้อนอีกครั้งเพื่อยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในชา ชาเขียวจึงมีสารคาเทชินน้อยกว่าชาขาวเล็กน้อย อย่างไรก็ดี ชาเขียว 1 ถ้วยมีสารพอลิฟีนอลสูงถึง 50 – 150 มิลลิกรัม

    มีข้อมูลการวิจัยว่า การดื่มชาเขียวสม่ำเสมอให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เช่น ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงมะเร็งหลายชนิด ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล ป้องกันโรคตับ เพิ่มภูมิต้านทาน และยังให้ประโยชน์ต่อสุขภาพกระดูกและฟัน รวมถึงการทำงานของสมอง

    ปัจจุบันมีการวิจัยชาเขียวมากขึ้น โดยเฉพาะชาเขียวสกัด พบว่ามีผลด้านการป้องกันความจำเสื่อมเช่น อัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน แต่กลไกการทำงานยังไม่สามารถอธิบายได้

    ที่มา นิตยสารชีวจิต

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสาชีวจิต

    เบาหวาน อยากกินผลไม้ต้องอ่าน!

    เบาหวาน กินผลไม้อย่างไร ไม่ให้น้ำตาลพุ่ง

    เบาหวาน หนึ่งในโรคเรื้อรังไม่ติดต่อหรือ NCDs ที่คนไทยเป็นกันมาก เกิดขึ้นเพราะทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิต อาหารที่ทาน รวมถึงพันธุกรรม นอกจากเรื่องของปริมาณน้ำตาลที่ต้องควบคุมไม่ทานอาหารหวานแล้ว เรื่องของผลไม้ที่มีน้ำตาลแฝง ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ชาวเบาหวานกังวล วันนี้มาดูกันว่า คนที่เป็นเบาหวานควรเลือกทานผลไม้อย่างไรเพื่อไม่ให้น้ำตาลพุ่ง

    เบาหวานกับผลไม้

    หลายคนมักคิดว่า ผู้ที่เป็นเบาหวานไม่ควรกินผลไม้ เพราะจะทำให้น้ำตาลพุ่งขึ้นสูง แต่ที่จริงแล้วในผลไม้มีสารอาหาร กากใย และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย การกินผลไม้จึงจำเป็นต่อทุกคนไม่เว้นแม้แต่ผู้ป่วยเบาหวานเอง แต่ทว่าผู้ป่วยเบาหวานจำเป็นจะต้องเลือกกินผลไม้มากกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไปเท่านั้นเอง

    ผลไม้ GI ต่ำ

    ผู้ที่เป็นเบาหวานควรเลือกทานอาหารโดยเฉพาะผลไม้ที่มี GI ต่ำ ซึ่งจะทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลได้ช้า และกว่าที่จะดูดซึมได้หมด ร่างกายก็ขับน้ำตาลออกหมดแล้ว

    GI (Glycemic index ) หรือ ดัชนีน้ำตาล เป็นค่าความเร็วของร่างกายที่เปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตเป็นน้ำตาลกลูโคส โดยค่ายิ่งมาก ร่างกายก็เปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลไวเท่านั้น ซึ่งเป็นตัวที่ใช้บ่งบอกว่า อาหารนั้นๆ ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือดในช่วง 2-3 ชั่วโมงหลังการทาน มากน้อยเพียงใด โดยเป็นค่าที่มีเฉพาะในอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเท่านั้น

    ค่า GI ในอาหารแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ

    • GI ต่ำ มีค่าอยู่ที่ไม่เกิน 55 เช่น ฝรั่ง, แก้วมังกร, แอปเปิ้ล, สาลี่, มะม่วงดิบ, กล้วยห่าม, องุ่น, ทุเรียน เป็นต้น
    • GI ปานกลาง  มีค่าอยู่ที่ 56-69 เช่น มะละกอ, แคนตาลูป, แตงโม, มังคุด, สับปะรด, กี่วี่ เป็นต้น
    • GI สูง หรือ High Glycemic Index มีค่าอยู่ที่ 70 ขึ้นไป เช่น แตงโม, ขนุน เป็นต้น

    จากระดับค่า GI ด้านบน อาจทำให้มีคนสะดุด เหมือนว่ามีผลไม้อยู่ 2 ชนิดที่น่าจะสลับตำแหน่งกันอยู่หรือเปล่าคือ ทุเรียน ที่ขึ้นชื่อเรื่องเป็นผลไม้อันตรายน่าขยาด กับแตงโม ที่เป็นผลไม้เชิญชวนให้ทาน โดยเฉพาะในฤดูร้อน แต่จะบอกว่าผลไม้ทั้ง 2 ชนิดไม่ได้อยู่สลับที่กัน แต่เป็นเพราะในบางครั้ง การเลือกทานผลไม้เราจะดูแค่ที่ค่า GI อย่างเดียวไมไ่ด้ ต้องดูที่ต่า GL แทนด้วย

    เบาหวาน

    GL คืออะไร สายเบาหวานก็ควรรู้

    เรารู้จัก GI กันไปแล้ว อีกค่าที่ควรรู้เพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือกทานผลไม้ก็คือ GL ซึ่งเป็นค่า ของปริมาณคาร์โบไฮเดรตในอาหารที่จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลและเข้าสู่ร่างกาย และเช่นกันว่า ค่า GL ยิ่งสูง ปริมาณคาร์โบไฮเดรตของอาหารนั้นๆ ที่เปลี่ยนเป็นน้ำตาล และเข้าสู่ร่างกายก็จะยิ่งมากตามไปด้วย

    ค่า GL ในอาหารแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ

    • GL ต่ำ มีค่าอยู่ที่ไม่เกิน 10
    • GL ปานกลาง อยู่ที่ 11-19
    • GL สูง อยู่ที่ 20 ขึ้นไป

    จะเห็นได้ว่า GL ไม่ใช่เรื่องของน้ำตาลเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่ยังมีเรื่องของคาร์โบไฮเดรตเข้ามาด้วย ดังนั้นจึงต้องดูให้ดี และสามารถคำนวนเองได้ โดยสูตรของการหา GL คือ

    (ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่เรากินไป * GI) / 100

    ตัวอย่าง กินทุเรียนประมาณ 250 กรัม มีคาร์โบไฮเดรต 60 กรัม มีค่าดัชนีน้ำตาล 49 = (60*49) /100

    สรุปว่า ทุเรียนมีค่า GL 29 ถือว่าสูงมาก!!! ควรเลี่ยง

    ทริคเล็กๆ ในการเลือก คือ ควรเลือกผลไม้ที่มีค่า GI และ GL ในปริมาณที่ไม่สูงมาก

    ดังนั้นแล้ว การที่ชาว เบาหวาน จะเลือกทานผลไม้ชนิดใด จะดูที่ GI อย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูที่ GL ด้วย ซึ่งจะสัมพันธ์กับปริมาณ หรือขนาดที่ทาน โดยมีคำแนะนำจากแพทย์ว่า ผู้ที่เป็นเบาหวาน หรือต้องควบคุมน้ำตาล ควรทานผลไม้วันละ 3-4 ส่วน โดยแบ่งทานครั้งละ 1 ส่วน ทานหลังอาหาร 3-4 มื้อ จึงจะดี

    ผลไม้แบ่งส่วน

    ผลไม้ 1 ส่วน คือ ผลไม้ที่ให้พลังงานประมาณ 60 กิโลแคลอรี หรือคาร์โบไฮเดรตประมาณ 15 กรัม โดย 1 ส่วนของผลไม้จะแบ่งไปตามน้ำหนัก และขนาดของผลไม้แต่ละชนิด คือ

    ผลไม้ขนาดเล็ก เป็นลูกๆ 1 ส่วน ประมาณ 6-8 ผล เช่น สตรอว์เบอร์รี่, องุ่น, ลิ้นจี่, ลองกอง

    ผลไม้ขนาดกลาง 1 ส่วน ประมาณ 1-2 ผล เช่น กล้วย, ส้ม, น้อยหน่า, ชมพู่, ละมุด,

    ผลไม้ขนาดใหญ่ 1 ส่วน ประมาณ 6-8 ชิ้นคำ เช่น แตงโม, สับปะรด, ทุเรียน, มะละกอ

    สรุปแล้วว่า แม้จะเป็นโรคเบาหวาน แต่ก็สามารถทานผลไม้ได้ แต่ควรเลือกให้เหมาะสม รวมถึงทานในปริมาณที่พอดี ไม่มากจนเกินไป ก็จะช่วยให้ทานผลไม้ได้อย่างมีสุขภาพดี น้ำตาลในเลือดไม่พุ่งสูงนั้น

    คำแนะนำการเลือกทานผลไม้

    • ผลไม้ที่มีกากใยสูง เพื่อช่วยขจัดของเสียในร่างกาย
    • ผลไม้ที่มีค่า GI และ GL ต่ำ เพื่อให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลได้ช้าและน้อยลง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้น
    • ผลไม้ที่มีรสชาติไม่หวานมาก
    • ทานในปริมาณที่พอดี หรือ 1 ส่วน วันละ 3 – 4 ครั้ง
    • ทานผลไม้สด หลีกเลี่ยงผลไม้แปรรูป และน้ำผลไม้ ที่มีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูง

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    เบาหวานลงไต คืออะไร มาทำความรู้จักกัน

    รวมเรื่องต้องอ่าน ของชาว เบาหวาน!

    เมื่อเบาหวาน ทำเส้นเลือดเกือบแตก

    ที่มา

    • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
    • foodstruct.com
    • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
    • สสส.
    • โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่
    • โรงพยาบาลเปาโล
    • โรงพยาบาลนครธน
    white colt

    หมอธีระวัฒน์-อ.ปานเทพ   แถลง แท่งย้วยขาวในหลอดเลือด ผลจากวัคซีน mRNA?

    แท่งย้วยขาวในหลอดเลือดจากวัคซีน mRNA ก่ออักเสบทั่วร่าง อาจส่งผลถึงมนุษย์รุ่นต่อไป

     อีกหนึ่งประเด็นร้อนในแวดวงสุขภาพ คือการเปิดเผยของศาสตราจารย์ นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ถึงผลการเก็บข้อมูลจากการชันสูตรศพที่เสียชีวิตจากผลกระทบของวัคซีนโควิด ว่ามีการค้นพบ แท่งย้วยขาวในหลอดเลือด หรือ White Clot

    ล่าสุด ศาสตราจารย์ นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา และอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมกันนำเสนอเรื่องราวในประเด็นดังกล่าวและประเด็นโปรตีนหนามที่เกิดขึ้นได้หลายอวัยวะ รวมไปถึงอัณฑะด้วย บนเวที “ความจริงมีหนึ่งเดียว”

    อุบัติการณ์ผลกระทบวัคซีนโควิดทั่วโลก

    มีรายงานในวารสารทางการแพทย์พบว่าในกลุ่มประเทศเชื้อชาติฝรั่ง 99 ล้านคน มีรายงานผลกระทบจากการฉีดวัคซีนมากกว่าที่คาดการณ์ไว้! ผลการศึกษาในรอบ 42 วันหลังฉีดวัคซีน พบกลุ่มที่มีอาการมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ แบ่งออกเป็น

    • โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ จากวัคซีน mRNA ของไฟเซอร์ และโมเดอร์นา
    • เนื้อเยื่อหัวใจอักเสบ จากวัคซีน แอสตร้าเซเนก้า และโมเดอร์นา
    • อาการปลอกประสาทอักเสบเฉียบพลัน จากวัคซีน โมเดอร์นา
    • ภาวะหลอดเลือดดำในสมองอุดตัน จากวัคซีน แอสตร้าเซเนก้า
    • กิแลง บาร์แร ซินโดรม (โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเฉียบพลัน ทำความรู้จักโรคนี้ คลิก ) จากวัคซีน แอสตร้าเซเนก้า

    สำหรับในประเทศไทย มีงานวิจัยสำรวจผลหลังการฉีดวัคซีน mRNA 14 วัน ในกลุ่มเด็กนักเรียนมัธยม พบว่า มีเด็กและเยาวชนไทย ได้รับผลกระทบจากวัคซีนทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหรือ เนื้อเยื่อหัวใจอักเสบ มากกว่าที่ระบุไว้ในเอกสารกำกับยา สูงถึง 23,100%”

    ซึ่งจากประเด็นนี้ คุณหมอได้มีความคิดเห็นส่วนตัวว่า อาจจะมีอาการผลข้างเคียงของวัคซีนฉุกเฉินมากกว่าที่เคยมีการวิจัยค้นพบ และอาจมีอาการหรือโรคที่เกิดขึ้นหลังจาก 42 วันหลังฉีดวัคซีน ซึ่งคุณหมอได้เคยนำเสนออาการหลังฉีดวัคซีนที่พบได้ในประเทศไทย เช่น อาการกล้ามเนื้อกระตุก ตาเห็นภาพซ้อน เกิดอาการเกร็งตามใบหน้าและคอ ตาเข ไตวายเฉียบพลัน กล้ามเนื้ออ่อนแรง อัมพาต สมองเสื่อม ฯลฯ

    “โปรตีนหนามพิษ” ตัวร้าย ก่ออักเสบทั่วร่าง

    กลไกหลังจากที่วัคซีน mRNA เข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิด โปรตีนหนามพิษ โดยโปรตีนหนามพิษนี้จะล่องลอยในกระแสเลือดได้นานถึงหนึ่งเดือน ด้วยอนุภาคขนาดเล็กระดับนาโนไขมัน จึงแทรกซึมไปได้ในทุกระบบ ทุกอวัยวะ และทุกเส้นเลือด จึงทำให้เกิดการอักเสบได้ทั่วร่างกาย และโปรตีนหนามพิษจะบังคับให้เซลล์สร้างโปรตีนหนามพิษอย่างต่อเนื่อง

    ผลจากการชันสูตรผู้ที่เสียชีวิตจากหัวใจวาย พบว่ามีโปรตีนหนามพิษเหล่านี้ล่องลอยอยู่ในกระแสเลือด มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ไม่เพียงเท่านั้น ยังพบโปรตีนหนามพิษเหล่านี้ยังทำให้หลอดเลือดเกร็งตีบ หรือในบางรายอาจ เกิด หลอดเลือดตัน หรือ หลอดเลือดรั่ว

    ซึ่งปรากฏการณ์โปรตีนหนามพิษ นี้เกิดจากการพัฒนาวัคซีน และกระบวนการผลิต ที่มีการเปลี่ยนกรดนิวคลีโอไทด์ เพื่อให้วัคซีนคงทน ไม่ถูกระบบภูมิคุ้มกันทำลาย

    โปรตีนที่ไม่ต้องการก่อกำเนิด แท่งย้วยขาวในหลอดเลือด

    นอกจากโปรตีนหนามพิษแล้ว วัคซีน mRNA ยังอาจก่อให้เกิด “โปรตีนที่ไม่ต้อง” เป็นโปรตีนเอมิลอยด์ แบบบิดเกลียว ซึ่งเป็นโปรตีนที่ผิดปกติ เกิดจากการที่ร่างกายแปรรหัสผลกระทบจากวัคซีนผิดพลาด จนเกิดการสร้างโปรตีนที่ไม่ต้องการ โดยมีชื่อกระบวนการนี้ว่า frameshift

    แท่งย้วยขาวในหลอดเลือด

    โปรตีนผิดปกตินี้ อาจมีลักษณะคล้ายกับโปรตีนปกติทั่วไปในร่างกายมนุษย์ จึงทำให้มีโอกาสแทรกซึมเข้าไปในเซลล์ร่างกาย และสั่งให้ร่างกายสร้างโปรตีนที่ผิดรูปแบบ และทำให้เกิดโรคต่างๆ ซึ่งโดยปกติแล้ว ร่างกายสามารถขจัดเซลล์เหล่านี้ได้

    แต่ … หลังจากรับวัคซีน mRNA ไปแล้ว กลไกร่างกายที่จะขจัดโปรตีนผิดปกติเหล่านี้ทำงานผิดเพี้ยนไป!

    หากมีการสะสมของโปรตีนผิดปกติเหล่านี้ในร่างกายจะทำให้เกิด

    • จะทำให้เซลล์ในร่างกายตาย
    • หากเข้าสู่สมอง จะทำให้สมองเสื่อม
    • กระตุ้นให้ร่างกายอักเสบ นำไปสู่โรคมะเร็ง ภาวะแพ้ภูมิตัวเอง โรคหัวใจ เป็นต้น

    และหากโปรตีนที่ไม่ต้องการนี้เข้าสู่หลอดเลือด ก็จะหล่อตัวเองจนกลายเป็น แท่งย้วยขาวในหลอดเลือด หรือ White Clot นั่นเอง

    แท่งย้วยขาวในหลอดเลือด เกิดก่อนการเสียชีวิต

    จากการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์พบว่า แท่งย้วยขาวในหลอดเลือด เหล่านี้เกิดขณะยังมีชีวิต และอาจแปลได้ว่าเป็นสาเหตุให้เกิดการเสียชีวิต ซึ่งตรงกับความเห็นของ นายแพทย์วิชาญ เกิดวิชัย คณบดีกิตติคุณ วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเป็นศัลยแพทย์ หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดเส้นประสาท ซึ่งได้ให้ความเห็นไว้ว่า

    “Clot (ก้อนที่อุดตัน)ที่เกิดหลังเสียชีวิต จะไม่เรียกว่า White Clot แต่อาจจะเป็น Red Clot (ก้อนสีแดง) หรือสีออกเหลือง เป็นแบบ Chicken fat “

    นายแพทย์วิชาญ เกิดวิชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดเส้นประสาท

    White Clot หรือ แท่งย้วยขาวในหลอดเลือด เป็นสิ่งที่ใช้เรียกก้อนอุดตันที่เกิดในหัวใจหรือเส้นเลือดก่อนตาย เกิดจากการเกาะตัวของเกร็ดเลือด องค์ประกอบการจับแข็งตัวของลิ่มเลือด (Clotting Factors), รวมถึงไฟบริน (Fibrin) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดไม่ละลายในน้ำ มีลักษณะคล้ายเส้นใยที่เกิดขึ้นเมื่อผนังหลอดเลือดเสียหาย

    แท่งย้วยขาวในหลอดเลือด

    หากตัดส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์จะพบว่ามีลักษณะเป็นชั้นๆ โดยที่การสะสมของเกร็ดเลือดและไฟบรินจะให้ลักษณะเป็นสีขาว ซึ่งแตกต่างจาก Clot ที่เกิดหลังการเสียชีวิต ที่อาจเป็นสีแดง หรือสีเหลือง

    นอกจากนั้นนายแพทย์วิชาญ ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ในผู้ป่วยโควิดที่มีอาการรุนแรง หรือมีอาการหลังฉีดวัคซีนรุนแรง หรือเสียชีวิต มีสมมุติฐานว่าอาจเกิดจากภาวะ DIC (disseminated intravascular coagulation) เป็นภาวะที่เลือดแข็งตัวในหลอดเลือด จากปฏิกิริยารุนแรงของการทำงานของภูมิคุ้มกัน

    ทั้งนี้ ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา นำเสนอสถิติการเก็บข้อมูล worldwide enbalmer blood clot survey ( United States, Canada, United Kingdom, Australia) ที่ทำการสำรวจตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 ถึงมกราคม 2567 โดย Thomas Haviland

    เป็นจากการเก็บข้อมูลจาก ช่างดองศพจำนวน 269 ราย ที่มีประสบการณ์การทำงาน ตั้งแต่ 11 ปีขึ้นไป จนถึงมากกว่า 20 ปี จึงนับได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญและสามารถวิเคราะห์สิ่งผิดปกติได้ พบว่า

    ในปี 2566 พบศพที่มีแท่งสีขาวนี้ 20% จากช่างดองศพ 197 คน

    ในปี 2565 พบศพที่มีแท่งสีขาวนี้ 300%

    เจ้าหน้าที่ทั้งหมดไม่เคยพบลักษณะนี้มาก่อนที่จะมีการระบาดของโควิด และก่อนหน้าที่จะมีการใช้วัคซีนโควิด หรือก็คือ ทั้งหมดพบในช่วงประมาณปี 2564 เป็นครั้งแรก

    ผลกระทบของ แท่งย้วยขาวในหลอดเลือด White Colt

    นายแพทย์ธีระวัฒน์ กล่าวถึงแท่งย้วยนี้ว่า “เหมือนถูกหล่อมาจากเส้นเลือด จึงมีลักษณะเป็นแท่ง เป็นเส้น ยืดหยุ่นมีความยาวเป็นฟุต ไม่เหมือนกับปกติที่พบหลังการตาย ที่จะมีหลายลักษณะตามระยะเวลาหลังจากที่เสียชีวิต” จึงทำให้สรุปความสำคัญของแท่งย้วยสีขาว นี้ได้ว่า

    • องค์ประกอบ ของแท่งย้วยขาว ที่ส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์มีความผิดปกติ!
    • ปริมาณศพ ที่มีแท่งย้วยนี้ มีจำนวนมากผิดปกติ
    • พบในคนที่ยังมีชีวิต และอาจเป็นสาเหตุการเสียชีวิต

    นอกจากนั้นแล้วทั้งโปรตีนหนาม และโปรตีนอมิลอยด์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของแท่งย้วยสีขาว ทำให้เกิดการอักเสบทั่วร่าง เป็นการอักเสบเรื้อรัง ในโรคสมองเสื่อม รวมถึง ม้าม ต่อมน้ำเหลือง อัณฑะ ต่อมลูกหมาก และตามผนังหลอดเลือด และหลอดเลือดหัวใจด้วย

    อีกทั้งแท่งย้วยสีขาวนี้ “มีความเหนียวไม่ขาดง่าย ไม่ได้ถูกย่อยสลายด้วยเอนไซม์ใดในร่างกาย และไม่ถูกละลายด้วยยาละลายลิ่มเลือด” เป็นลักษณะเดียวกับที่แพทย์ที่ประเทศแอฟริกาใต้ได้พบเจอเช่นกัน

    ความน่ากลัวคือ อาจส่งผลต่อมนุษย์รุ่นถัดไป!

    ด้วยความที่การอักเสบนี้ไปได้แทบจะทุกอวัยวะของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นสมอง ม้าม และต่อมน้ำเหลือง โดยมีการก่อตัวคล้ายมะเร็ง จึงพบหลอดเลือดในม้ามอักเสบและก่อตัวหนา ซึ่งคล้ายกับที่พบจากปฏิกิริยาในโรคภูมิคุ้มกันแปรปรวนและมีเนื้อม้ามอักเสบตาย และเนื้อของต่อมน้ำเหลืองตาย พร้อมกับพบแท่งดังกล่าวอยู่ใกล้ผนังเส้นเลือดและในหลอดเลือดด้วย

    อีกสิ่งที่น่ากังวลเป็นอย่างมากคือ ความผิดปกติที่เล็กระดับนาโนนี้ หากอยู่ในเซลล์อัณฑะ หรือต่อมลูกหมากได้ จะส่งผลเช่นไรต่อ เด็กที่เกิดจากอสุจิของชายที่มีโปรตีนหนาม หรือโปรตีนอะมิลอยด์ และเด็กในอนาคตจะเติบโตมาเป็นมนุษย์ในสภาพใด?

    ทั้งนี้นายแพทย์ธีระวัฒน์ ยังได้ทิ้งท้ายไว้ว่า “กลไกนี้เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัว ซึ่งไม่สามารถเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและกลายเป็นนวัตกรรมสูงสุดที่กลายเป็นทำให้เจ็บป่วยตายและเกิดขึ้น แม้แต่ได้รับวัคซีนเข็มสุดท้ายไปแล้วนานไปอย่างน้อยครึ่งปีก็ตาม“

    เรื่องและภาพ : Facebook Fanpage ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    สมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุ

    แจกฟรี สมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุ ไอเท็มคู่กายคนวัย 60+

    สมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุ (Blue Book) ไอเท็มคู่กายคนวัย 60+

    พอย่างเข้า 60 ร่างกายของเราก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้ง การดูแลสุขภาพก็ต้องเพิ่มระดับความเข้มข้นขึ้น ซึ่งหนึ่งในตัวช่วยที่จะทำให้เราเห็นแบบแผนการดูแลสุขภาพของตัวเอง รวมถึงรู้ว่าควรต้องตรวจอะไรบ้าง ก็คือ สมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุ หรือ Blue Book ซึ่งสำนักอนามัยผู้สูงอายุ กรมอนามัย ได้ทำแจกเอาไว้

    ครั้งนี้ชีวจิตไม่ได้แค่มาแจก แต่จะพาไปดูการใช้งาน และทำความรู้จักสมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุ ที่กลายเป็นผู้ช่วยดูแลสุขภาพคนวัย 60+

    สมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุ คืออะไร

    หากเด็กเล็กมีสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก หรือที่คุ้นในชื่อ สมุดชมพู ผู้สูงอายุเองก็มีเล่มแบบนี้เช่นเดียวกันในชื่อ สมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุ หรือ เล่มฟ้า (Blue Book) โดยสำนักอนามัยผู้สูงอายุ ได้มีข้อแนะนำในการใช้ไม่เพียงเพื่อจดบันทึกเพื่อสังเกตตัวเอง แต่ยังเพื่อประโยชน์ในการพบแพทย์ไว้ด้วย คือ

    1. ใช้เพื่อบันทึกข้อมูลสุขภาพ และการเปลี่ยนแปลง
    2. เพื่อประเมินพฤติกรรมสุขภาพ และสภาวะสุขภาพด้วยตนเอง
    3. ติดตัวยามเข้ารับการตรวจรักษาหรือรับคำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณะสุข

    ไม่เพียงเท่านั้นในสมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุ ยังแนะนำสิทธิต่างๆ สำหรับผู้สูงอายุ รวมถึงแนะนำวิธีการดูแลสุขภาพในระบบต่างๆ และโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ รวมถึงการดูแลสุขภาพจิต อีกด้วย

    รีวิว สมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุ

    สมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุที่แอดจะพาไปดูในครั้งนี้ เป็น “ฉบับปรับปรุง ปี 2565” โดยในหน้าแรก ๆ เป็นการกรอกข้อมูลสุขภาพ รวมถึงข้อมูลบุคคลที่ติดต่อได้ในยามฉุกเฉิน หลังจากนั้น จะเป็นการแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ

    • บันทึกประเมินโดยครอบครัว ผู้ดูแล อาสาสมัคร
    • บันทึกประเมินโดยบุคลากรทางแพทย์
    • บันทึกประเมินด้วยตนเอง
    • ความรู้สู่การเป็นผู้สูงอายุสุขภาพดี
    • และบันทึกการตรวจรักษา

    ส่วนที่ 1 บันทึกประเมินโดยครอบครัว ผู้ดูแล อาสาสมัคร

    เป็นแบบประเมินเรื่องในชีวิตประจำวัน เช่น การทานอาหาร การขับถ่าย

    ส่วนที่ 1 สมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุ
    ตัวอย่างหน้าบันทึก การใช้ชีวิตประจำวัน

    อีกหนึ่งปัญหาของผู้สูงอายุคือเรื่องการทรงตัว การเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งในสมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุ ก็ยังมีแบบทดสอบเพื่อให้ทำการประเมินด้วยตัวเอง

    แบบประเมินการเดิน สมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุ
    แบบประเมินการเคลื่อนไหว ว่าสามารถทรงตัวได้ดีหรือไม่

    และผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องหกล้มบ่อยๆ ก็มีหน้าสำหรับบันทึกเรื่องการหกล้ม ซึ่งจะนำไปสู่การเข้ารับประเมินความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม โดยบุคลากรทางการแพทย์

    สำหรับผู้ที่หกล้มบ่อยๆ หน้านี้สำคัญมาก

    และนอกจากการเจาะเลือดแล้ว สมุดเล่มนี้ก็ยังช่วยประเมินความเสี่ยงการเกิดภาวะไขมันคอเลสเตอรอลในเลือด

    ส่วนที่ 2 บันทึกประเมินโดยบุคลากรทางแพทย์

    ในส่วนที่ 2 นี้ เป็นการทำประเมินโดยบุคลาการทางการแพทย์ และสาธารณสุข ซึ่งจะมีการตรวจต่างๆ เช่น การประเมินสุขภาพช่องปาก โดยทันตบุคลากร ซึ่งนับได้ว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะเกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ

    อีกหนึ่งการทดสอบ ที่แอดมองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ละเลยไม่ได้คือ บันทึกการทดสอบสภาพสมองเบื้องต้น เพื่อเป็นเช็กภาวะอัลไซเมอร์

    อีกหนึ่งประเด็นที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือ การประเมินภาวะเปราะบางของผู้สูงอายุ เช่นว่า เดินระยะทาง 300-400 เมตร ได้เองหรือไม่ อ่อนเพลียบ่อยไหม ซึ่งไม่เพียงจะเป็นประโยชน์ทางการแพทย์ แต่ยังมีประโยชน์ต่อบุตรหลาน หรือผู้ดูแล เพื่อการดูแลผู้สูงอายุ

    นอกจากนั้นแล้วในผู้สูงอายุ อีกหนึ่งโรคที่น่ากลัวคือภาวะซึมเศร้า ซึ่งในเล่มฟ้านี้ ก็มีแบบประเมินโรคซึมเศร้าอยู่ด้วยเช่นกัน

    ส่วนที่ 3 บันทึกประเมินด้วยตนเอง

    เป็นการสอบถามพฤติกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การกินผัก ผลไม้ การตรวจสุขภาพประจำปีแล้ว ยังใส่ใจถึงรายละเอียดเล็กๆ เช่นการคัดกรองภาวะกลั้นปัสสาวะ การประเมินปัญหาการนอน

    และไม่ว่าวัยไหน มะเร็งเต้านมก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องกังวลในเล่มฟ้านี้ มีคู่ของการคลำเต้านมด้วยตัวเอง พร้อมให้จดบันทึก เพื่อสังเกตความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้

    ส่วนที่ 4 ความรู้สู่การเป็นผู้สูงอายุสุขภาพดี

    ในส่วนที่ 4 ซึ่งเป็นเรื่องของความรู้ เขาก็ทำออกมาได้อย่างน่ารัก เข้าใจง่าย ด้วยเนื้อหาสุขภาพที่ย่อยมาแล้ว พร้อมกันนำเสนอผ่านรูปภาพ ที่ไม่เพียงดีในแง่การนำเสนอข้อมูล แต่ยังน่ารักอ่านง่ายอีกด้วย รวมถึงยังมีเกมส์ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานสมอง ให้ทำตามได้

    ส่วนที่ 5 และบันทึกการตรวจรักษา

    ในส่วนที่ 5 นี้ เป็นเรื่องของการจดบันทึกประวัติการรักษาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิต ค่าเลือดต่างๆ และในเมื่อเด็กๆ ยังมีบันทึกการฉีดวัคซีนต่างๆ ผู้สูงอายุเองก็ต้องมีบันทึกการฉีดวัคซีนสำคัญด้วยเช่นกัน

    และนอกจะเป็นสมุดเพื่อบันทึกสุขภาพแล้ว สมุดเล่มนี้ยังเป็นสมุดจดบันทึกวันนัดกับคุณหมอได้ด้วยนะ ซึ่งแอดว่าช่วยได้มาก เพราะบางครั้งใบนัดหมอ ก็มาเป็นเอกสารใบเดียว เสี่ยงต่อการสูญหาย มาจดในสมุดแบบนี้แหล่ะ ไม่หายแน่นอน

    รับสมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุ ได้ที่ไหน

    ในปัจจุบันนี้ มีความสะดวกในการใช้สมุดบันทึกสุขภาพผู้สูงอายุอย่างมาก เนื่องจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำทั้งแบบ ออฟไลน์ และออนไลน์ แล้วแต่ความสะดวกของผู้ใช้เลยทีเดียว

    1. สามารถขอรับเล่มได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน
    2. ดาวน์โหลดไฟล์จาก สำนักงานอนามัยผู้สูงอายุ เพื่อปรินท์ และทำเล่มใช้เอง สามารถดาวน์โหลดได้ที่ คลิก
    3. ใช้สมุดบันทึกสุขภาพผู้สูง แบบออนไลน์ จากเว็บไซต์ที่สำนักงานอนามัยผู้สูงอายุจัดทำไว้ โดยจะต้องล็อกอินเข้าสู่ระบบ สามารถเข้าใช้งานได้ที่ คลิก
    4. อีกหนึ่งระบบที่สะดวก และป้องกันการทำหาย คือเข้าใช้งานผ่านแอปพลิเคชั่น “สมุดสุขภาพผู้สูงอายุ(Bluebook)” บนโทรศัพท์ได้อย่างง่ายดาย สามารถดาวน์โหลได้ที่ คลิก

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    7 สิ่งสำคัญ เมื่อทำ บ้านสำหรับผู้สูงอายุ

    โรคเกาต์ในผู้สูงอายุ ต้องรู้อะไรบ้าง ถ้าไม่อยากเป็น

    ทำอาหารให้ผู้สูงอายุอย่างไร ให้ปลอดภัย ?

    บ้านสำหรับผู้สูงอายุ

    7 สิ่งสำคัญ เมื่อทำ บ้านสำหรับผู้สูงอายุ

    บ้านสำหรับผู้สูงอายุ กับ 7 เรื่องต้องทำ!

    ในแต่ละช่วงวัย ความต้องการพื้นฐานก็แตกต่างกันออกไป สำหรับผู้สูงอายุเองก็มีความต้องการ รวมถึงจุดที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเรื่องที่อยู่อาศัย ที่จำเป็นต้องละเอียดถี่ถ้วนมากกว่าปกติ วันนี้ชีวจิตจะชวนไปดูว่า ถ้าจะทำ บ้านสำหรับผู้สูงอายุ จะต้องเตรียมตัว เตรียมอะไรไว้บ้าง

    บ้านสำหรับผู้สูงอายุ

    ทางลาด

    การทำทางลาดอาจทำให้เปลืองพื้นที่บ้านไม่น้อย แต่จะกลายเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อมีผู้สูงอายุที่ใช้รถเข็นหรือเดินขึ้นลงบันไดลำบาก โดยทางลาดที่ปลอดภัยต้องมีลักษณะดังนี้

    • ทางลาดมีความยาวไม่เกิน 6 เมตร มีความกว้างไม่น้อยกว่า 90 เซนติเมตร หากทางลาดมีความยาวเกิน 6 เมตร ต้องมีชานพักยาว 1.50 เมตร และถ้าทางลาดทุกช่วงยาวรวมกันมากกว่า 6 เมตร ทางลาดต้องมีความกว้าง ไม่น้อยกว่า 1.50 เมตร
    • มีขอบพื้นทางลาดสูงอย่างน้อย 15 เซนติเมตร ป้องกันล้อรถเข็นตก
    • มีราวจับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 – 4 เซนติเมตร ติดตั้งสูง 80- 90 เซนติเมตร
    • มีพื้นที่โล่งหน้าทางลาดยาวไม่น้อยกว่า 1.50 เมตร
    • พื้นผิวทางลาดทำจากวัสดุที่ไม่ลื่น เช่น ทรายล้าง คอนกรีตเซาะร่อง

    ความลาดเอียงเพื่อความปลอดภัย ในการทำ บ้านผู้สูงอายุ

    มีความลาดเอียงที่สามารถขึ้นลงได้ปลอดภัย ดังนี้

    • อัตราความลาดเอียงน้อยกว่า 1 : 10 ถือว่าลาดชันเกินไป ก่อให้เกิดอันตรายได้
    • อัตราความลาดเอียง 1 : 10 ต้องมีผู้ช่วยเข็นรถเข็น
    • อัตราความลาดเอียง 1 : 12 ถึง 1 : 20 ผู้นั่งรถเข็นสามารถช่วยเหลือตัวเองได้

    สะดวก

    ประตูและมือจับ

    การเปิดปิดประตู และผ่านเข้าออกประตูทั่วไป ก็อาจเป็นอุปสรรดแก่ผู้สูงอายุและผู้ที่นั่งรถเข็นได้ จึงควรออกแบบให้ผู้สูงอายุ และผู้ใช้รถเข็นใช้งานสะดวก ทั้งยังช่วยให้การขนย้ายผู้ป่วยทำได้ง่ายด้วย ดังนี้

    • ประตูควรมีความกว้างสุทธิอย่างน้อย 90 เซนติเมตร เป็นประตูที่เปิดได้ง่าย อย่างประตูบานเปิด (ผลัก) และประตูบานเลื่อน
    • ถ้าเป็นประตูบานเปิด ต้องมีพื้นที่หน้าประตูด้านที่เปิดออกอย่างน้อย 1.50 x 1.50 เมตร เพื่อมีพื้นที่ว่างให้รถเข็นขยับหลบเพื่อเปิดปิดประตูได้
    • เลือกใช้อุปกรณ์เปิดปิดแบบคันโยกที่ผู้สูงอายุจับง่ายกว่าแบบลูกบิดกลม
    • มือจับสำหรับประตูบานเลื่อน ไม่ควรใช้มือจับแบบฝัง เพราะจับไม่สะดวก ควรใช้มือจับแบบยื่นออกมาจะจับสะดวกกว่า
    • มีราวจับที่ผู้สูงอายุและผู้ใช้รถเข็นใช้งาน

    ห้องน้ำไม่ลื่น รถเข็นเข้าได้

    ห้องน้ำเป็นอีกจุดอันตรายที่ผู้สูงอายุเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มบ่อย และเปลี่ยนอิริยาบถในการทำกิจธุระต่าง ๆ ยาก โดยเฉพาะในยามเจ็บป่วย ห้องน้ำที่ใช้งานสะดวก และปลอดภัยสำหรับผู้สูงอายุควรมีลักษณะดังนี้

    ห้องน้ำใน บ้านสำหรับผู้สูงอายุ
    • ประตูเป็นบานเปิดออกหรือบานเลื่อนที่บานประตูอยู่นอกห้องน้ำ เพื่อให้เปิดเข้าไปช่วยเหลือได้แม้จะมีคนล้มขวางประตูอยู่ และมีความกว้างสุทธิไม่น้อยกว่า 90 เซนติเมตร ให้รถเข็นเข้าได้สะดวก
    • ระดับพื้นเท่ากัน ป้องกันการเดินสะดุดและรถเข็นเข้าได้ โดยทำช่องระบายน้ำทิ้งแบบรางยาวที่ติดตั้งให้เรียบเสมอพื้นได้ที่หน้าประตูและพื้นระหว่างส่วนเปียกกับส่วนแห้ง
    • ภายในห้องมีพื้นที่โล่งระยะรัศมี 1.50 เมตร เพื่อให้รถเซ็นหมุนตัวได้
    • มีราวจับพยุงตัวตามจุดต่างๆ มีที่นั่งอาบน้ำ อาจก่อเป็นที่นั่งถาวร เก้าอี้ลอยตัว หรือใช้แบบติดผนังที่พับได้
    • พื้นกันลื่น ใช้วัสดุพื้นผิวที่มีค่ากันลื่น R10 ขึ้นไป หรือติดแถบกันลื่น และทำความสะอาดท้องน้ำสม่ำเสมอ ป้องกันการลื่นจากสิ่งสกปรก
    • ใช้ก๊อกน้ำแบบก้านโยก เปิดปิดง่ายกว่าแบบหมุน
    • เลือกโถสุขภัณฑ์แบบดันโยกที่ใช้แรงน้อยกว่าแบบปุมกด และทำที่นั่งสูง45 เชนติเมตร ซึ่งผู้สูงอายุจะลุกได้ง่าย
    • ใช้ก้านฝักบัวที่ปรับระดับความสูงได้
    • ใช้อ่างล้างหน้าแขวนผนังที่ด้านล่างโล่ง สำหรับคนนั่งรถเข็นสอดขาเข้าได้

    ปลั๊กไฟ – สวิตชไฟเอื้อมถึง ปลอดภัย

    การทำปลั๊กไฟเตี้ย ๆ หรืออยู่หลังเคาน์เตอร์ที่ต้องเอื้อมไกล ทำให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตประจำวันลำบากขึ้น จึงควรเลือกและติดตั้งปลั๊กไฟ – สวิตช์ไฟให้เอื้อต่อการใช้งานของผู้สูงอายุ ดังนี้

    • ตำแหน่งสวิตช์ไฟควรเอื้อมถึงได้ง่าย ไม่อยู่หลังเคาน์เตอร์หรือหลังบานประตู
    • สวิตช์ไฟมีขนาดใหญ่ ควรเลือกรุ่นที่มีแสงไฟที่สวิตช์เมื่อปิดไฟแล้ว จะช่วยให้กดสวิตช์ในยามค่ำคืนได้ง่ายขึ้น
    • เลือกใช้ปลั๊กไฟที่มีสวิตซ์เปิดปิดได้ช่วยให้ไม่ต้องถอดปลั๊กบ่อย ลดการเกิดอุบัติเหตุจากการเสียบปลั๊กได้
    • ปลั๊กไฟควรติดตั้งสูงประมาณ 90 เซนติเมตร ก็จะไม่ต้องก้มให้ปวดหลัง ทั้งยังปลอดภัยกับเด็กเล็กด้วย

    บันไดเดินขึ้นลงไม่เหนื่อย ราวจับมั่นคง

    ผู้สูงอายุควรอยู่ชั้นล่าง เพื่อเข้าออกบ้านได้สะดวก ไม่ต้องขึ้นลงบันไดมาก แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องขึ้นลงบันได ควรทำบันไดให้กว้าง ไม่ชัน มีระยะก้าวที่เหมาะสม และมีราวที่มั่นคงจับสะดวก สามารถเดินขึ้นลงได้ไม่เหนื่อยมาก โตยมีข้อควรระวังดังนี้

    • ทำลูกตั้งสูงไม่เกิน 15 เซนติเมตร และลูกนอนกว้างอย่างน้อย 28 เซนติเมตร ขั้นบันไดเป็นแบบทึบไม่มีช่องโล่งที่อาจทำให้สะดุด
    • บันไดกว้างอย่างน้อย 90 เซนติเมตร และควรมีชานพักทุกระยะความสูง ไม่เกิน 2 เมตร ช่วยให้ไม่เหนื่อยเกินไป
    • ราวจับทำจากวัสดุเรียบ ไม่ลื่น มีลักษณะกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-45 เซนติมตร และห่างจากผนัง 5 เชนติเมตร สูงจากพื้น 70 – 90 เชนติเมตร
    • ปลายราวจับที่ขั้นแรกและชั้นสุดท้ายยื่นต่อมาอีก 30 เชนติเมตร ช่วยให้จับพยุงตัวขณะเปลี่ยนจากการก้าวขึ้นลงมาเดินทางราบได้อย่างปลอดภัย
    • หากพื้นผิวบันไดลื่น ควรติดแถบกันลื่นและติดแถบสีที่บันไดชั้นแรก และบันไดขั้นสุดท้ายให้เป็นจุดสังเกต
    • มีแสงสว่างเพียงพอให้มองเห็นความต่างระดับได้ชัดเจน

    เตียงนอนรองรับยามเจ็บป่วย

    ความสูงที่นอน บ้านสำหรับผู้สูงอายุ

    เตียงนอนผู้สูงอายุต้องคำนึงถึงการลงนอนและลุกขึ้นจากเตียงเป็นสำคัญ รวมถึงที่ว่างรอบเตียง โดยควรมีลักษณะดังนี้

    • เตียงนอนควรสูง 40 – 50 เซนติเมตร เพื่อให้ลุกนั่งสะดวก และมีความสูงใกล้เคียงกับความสูงของรถเข็น
    • พื้นที่ว่างรอบเตียงกว้าง 90 – 120 เซนติเมตรสำหรับรถเข็นและเพื่อให้ผู้ดูแลเข้าไปดูแลผู้สูงอายุได้สะดวก โดยเฉพาะในยามเจ็บป่วย
    • ขอบเตียงและขอบมุมไม่เป็นเหลี่ยมมุมที่เดินชนบาดเจ็บ
    • เตรียมอุปกรณ์เรียกฉุกเฉินไว้ข้างเตียง เช่น กริ่ง โทรศัพท์

    ชั้นและตู้เสื้อผ้าที่เอื้อมถึง

    ผู้สูงอายุจะเริ่มมีปัญหากล้ามเนื้อแขน หัวไหล่ และหลังค่อม จึงไม่สามารถหยิบของในที่สูงได้เหมือนเคย จึงควรเตรียมชั้นและราวแขวนเสื้อผ้าให้มีความสูงที่เหมาะสม ดังนี้

    • ชั้นและราวแขวนผ้ามีระดับความสูง 1.50 – 1.70 เมตร หรืออยู่ในระดับหัวไหล่และไม่เกินระดับศีรษะของผู้ใช้งาน และสูง 1 -1.30 เมตรสำหรับผู้นั่งรถเข็น
    • แนะนำให้ทำชั้นและราวแขวนเสื้อที่ปรับระดับได้ตั้งแต่เริ่มสร้างเพื่อปรับเปลี่ยนได้ง่ายตามความสะดวกของผู้ใช้งานโดยไม่ต้องรื้อทำใหม่
    • สิ่งของที่หยิบใช้บ่อยควรเก็บในตู้หรือชั้นที่มีความสูงระดับเอว หรือประมาณ 0.80 – 1 เมตร
    • ชั้นและตู้ไม่ลึกเกินไปจนเอื้อมไม่ถึง โดยมีความลึกไม่เกิน 65 เชนติเมตร

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    โรคเกาต์ในผู้สูงอายุ ต้องรู้อะไรบ้าง ถ้าไม่อยากเป็น

    ทำอาหารให้ผู้สูงอายุอย่างไร ให้ปลอดภัย ?

    งานวิจัยเผย การเลี้ยงหมา ทำให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพที่ดีขึ้น

    แจก ตารางลดน้ำหนัก 14 วัน รีเซ็ตสุขภาพ สไตล์ชีวจิต

    ตารางลดน้ำหนัก 14 วัน น้ำหนักลด ได้บูสต์สุขภาพ

    ตารางลดน้ำหนัก 14 วัน ที่แอดนำมาแจกวันนี้ เป็นความรู้โดยอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง ต้นตำรับกูรูชีวจิต ที่ไม่เพียงจะได้ลดน้ำหนัก ควบคุมอาหาร แต่ยังเป็นสูตรที่ได้บูสต์สุขภาพ บูสต์ภูมิคุ้มกันร่างกาย ให้กลับมาแข็งแรง จึงเหมาะทั้งกับคนที่อยากลดน้ำหนัก และคนที่อยากดูสุขภาพเลยจร้า

    วิธีกินแบบชีวจิต ตาม ตารางลดน้ำหนัก

    สำหรับ ตารางลดน้ำหนักนั้นจะเน้นให้กินตามแบบชีวจิต คือเลิกกินเนื้อสัตว์ใหญ่ไปเลย ถ้าจะกินเนื้อสัตว์ก็จะไปที่ อาหารทะเล ที่อุดมด้วยไขมันดีที่เป็นต่อประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะสมอง และไม่ลืมที่จะเน้นผัก และธัญพืชไม่ขัดสี

    โดยวิธีกินแบบชีวจิตนี้ มีด้วยกัน 2 แบบ สำหรับวัยรุ่น หรือผู้ที่ต้องการพลังงานสูง และสำหรับคนวัยทำงาน หรือสำหรับคนที่ใช้พลังงานต่ำ วิธีกินแบบชีวจิตนี้ จะต่างกันที่สัดส่วนของอาหาร ตามการให้พลังงาน

    สำหรับคาร์โบไฮเดรต ควรเลือกที่มาจากคาร์โบไฮเดรตจากธรรมชาติ เป็นคาร์ไฮโบไฮเดรตเชิงซ้อน และไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ หัวมัน เป็นต้น

    ตารางลดน้ำหนัก แบบที่ 1 สำหรับวัยรุ่น หรือผู้ที่ต้องการพลังงานสูง

    เป็นสูตรที่เน้นคาร์โบไฮเดรต โดยมีสัดส่วน

    • คาร์โบไฮเดรต ไม่ขัดสี 50%  
    • ผัก 25% 
    • โปรตีนจากถั่ว และอาหารทะเล 15%   
    • ผลไม้และอื่นๆ 10%

    ตารางลดน้ำหนัก แบบที่ 2 สำหรับคนวัยทำงาน หรือคนที่ใช้พลังงานต่ำ

    เป็นสูตรที่ลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตลง และเน้นไปที่ผัก และโปรตีนให้มากขึ้น โดยมีสัดส่วน

    •  คาร์โบไฮเดรต ไม่ขัดสี 30%
    • ผัก 35% 
    • โปรตีนจากถั่ว และอาหารทะเล 25%   
    • ผลไม้และอื่นๆ 10% 

    ดื่มน้ำให้ได้สุขภาพ

    สำหรับตารางลดน้ำหนัก 14 วันนี้ นอกจากเรื่องของอาหารแล้ว เรื่องของเครื่องดื่มเองก็มีกล่าวถึงเอาไว้ด้วย โดยอาจารย์สาทิส แนะนำเรื่องการดื่มน้ำ คือ มีทั้งน้ำมะนาวคั้นสด น้ำชาสมุนไพร (ที่ไม่มีคาเฟอีน) น้ำสกัดจากผัก รวมถึงน้ำเปล่า โดยแต่ละคนก็มีปริมาณดื่มน้ำที่เหมาะสมในแต่ละวันไม่เท่ากัน แต่จะรู้ได้ด้วยการคำนวน

    สูตรคำนวนปริมาณน้ำดื่มในแต่ละวัน

    สูตรคือ น้ำหนักตัว x 2.2 x 30 / 2 ก็จะทำกับปริมาณน้ำดื่มในหน่วยมิลลิลิตร

    เช่น  น้ำหนักตัว 50 x 2.2 x 30 / 2  = 1,650 ml หรือเท่ากับ ควรดื่มน้ำในปริมาณ 1.65 ลิตร

    สำหรับการดื่มน้ำที่ดีคือ ควรดื่ม 2 แก้วหลังตื่นนอน เพราะร่างกายไม่ได้รับน้ำเลยต่อเนื่องยาวนานทั้งคืน  แล้วหลังจากนั้นจึง ค่อยๆ จิบทีละนิด

    การปรุงอาหาร

    สำหรับในช่วง 14 วันนี้ ไม่เพียงต้องกินอาหารให้ได้สัดส่วน และดื่มน้ำให้ได้ในปริมาณที่พอเหมาะ เรื่องของการปรุงรสอาหารก็เป็นอีกส่วนที่สำคัญ โดยไม่ควรปรุงรสให้จัดจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเปรี้ยว หวาน เค็ม หรือเผ็ด ถือเป็นโอกาสดีในการลดการเสพติดรสชา่ติต่างๆ ลงได้

    หากยังติดรสชาติต่างๆ อยู่ อาจใช้การปรุงรสจากธรรมชาติ ที่จะช่วยเพิ่มรสอูมามิ เช่น

    • ใช้น้ำผึ้ง น้ำหญ้าหวาน แทนการใส่น้ำตาล
    • ใช้เครื่องปรุงสูตรโซเดียมต่ำ แทนการใช้เครื่องปรุงปกติ
    • ใช้มะนาว มะกรูด เลม่อน แอปเปิ้ลไซเดอร์ แทนการเติมน้ำส้มสายชู

    ดีท็อกซ์ สูตรเสริม เพิ่มสุขภาพ

    สำหรับใครที่รู้สึกว่าปัญหาร่างกายหนักหน่วง อาจเพิ่มการดีท็อกซ์ในช่วงวันแรก ก็ย่อมได้เหมือนกัน โดยการดีท็อกซ์นั้น ให้เลือกทำโดยการสวนด้วยน้ำกาแฟ ซึ่งในปัจจุบันมีชุดเครื่องมือสำเร็จรูป วางขายในร้านค้าเพื่อสุขภาพ และทางร้านค้าออนไลน์ ใครสนใจ ก็ซื้อมาทำเพิ่มได้นะ โดยมีขั้นตอนคือ

    เตรียมน้ำกาแฟ (ใช้ครั้งเดียว)

    1. ใช้ผงกาแฟบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ไม่ปรุงแต่ง คั่วบดละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
    2. ต้มในน้ำ 1 ลิตรให้เดือด 3 – 5 นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำด้วยผ้าขาวบาง
    3. ผสมด้วยน้ำต้มสุกให้ได้ 1,500 ซีซี (สำหรับผู้ชาย) หรือ 1,200 ซีซี (สำหรับผู้หญิง) ทำให้อุ่นพอดีกับอุณหภูมิร่างกายของเรา

    วิธีทำดีท็อกซ์

    1. นำน้ำกาแฟ (ที่อุ่นพอดีกับอุณหภูมิร่างกายของเรา) ใส่ถุงหรือหม้อสำหรับสวน โดยปิดวาล์วที่ปลายท่อก่อนใส่น้ำกาแฟ
    2. แขวนถุงดีท็อกซ์ไว้ด้านปลายเท้าให้สูงจากพื้นประมาณ 120 เซนติเมตร (ถ้าแขวนสูงเกินไป ความดันน้ำจะมากทำให้น้ำไหลเร็ว อาจกลั้นไม่อยู่ ถ้าแขวนต่ำเกินไป น้ำจะไหลช้า)
    3. เปิดวาล์วเพื่อไล่อากาศออกจากสายยาง โดยให้น้ำกาแฟไหลผ่านท่อเล็กน้อยแล้วปิดวาล์ว หลังจากนั้นให้ทาวาสลีนที่ปลายท่อประมาณ 2 นิ้ว
    4. นอนตะแคงขวา (สะโพกด้านขวาลงพื้น) เหยียดขาขวาตรง ขาซ้ายก่ายบนขาขวา เหมือนท่ากอดหมอนข้าง
    5. สอดปลายท่อที่ทาวาสลีน (หรือน้ำสบู่เหลว) เรียบร้อยแล้วเข้าทางทวารหนักลึกประมาณ 2 นิ้ว เปิดวาล์วให้
      น้ำกาแฟไหลเข้าจนหมด แล้วดึงท่อออกจากทวารหนัก
    6. ให้นอนหงาย เหยียดขาตรง ใช้มือนวดท้องวนจากขวาไปทางซ้าย (เหนือบริเวณสะดือ ใต้ชายโครง) อั้นให้ได้นาน
      ประมาณ 5 นาที แล้วลุกขึ้นถ่าย ขณะถ่ายไม่ต้องเบ่ง

    ในครั้งแรกควรทำต่อเนื่องสัก 3 หรือ 5 วัน เพื่อล้างพิษออกให้หมด หลังจากนั้นอาจทำเมื่อมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว
    ปวดเมื่อยตามตัวตามข้อ ลิ้นเป็นฝ้า ก็สามารถล้างพิษได้อีก อ่านเรื่องการดีท็อกซ์อย่างละเอียด คลิก

    กิจกรรม

    ในช่วงที่ทำตามตารางลดน้ำหนักนี้ กิจวัตรประจำวัน ควรมีการปรับเปลี่ยนด้วยเช่นกันเพื่อผลลัพธ์ทางสุขภาพ

    • เข้านอน 3-4 ทุ่ม ตื่น ตี 5 ทุกวัน
    • ออกกำลังกาย เช้าเย็น
    • ทำกิจกรรมคลายเครียด

    ตารางลดน้ำหนัก สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 60 กิโลกรัม คลิก

    ตารางลดน้ำหนัก สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักมากกว่า 60 กิโลกรัม คลิก

    ออกกำลังกาย เดิน วิ่ง

    ตารางเดินออกกำลังกาย ใน 1 เดือน ช่วยเปลี่ยนนักเดินสู่นักวิ่ง

    ตารางเดินออกกำลังกาย ใน 1 เดือน ที่จะช่วยให้คนไม่ออกกำลังกายวิ่งได้สบาย ๆ

    ใครที่สนใจอยากจะเริ่มวิ่งออกกำลังกายอย่างคนอื่นเขาบ้างเสียที แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ต้องทำแพลนอย่างไร วันนี้เรามี ตารางเดินออกกำลังกาย ที่จะช่วยให้คนที่ไม่ค่อยออกกำลังสามารถวิ่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและสุขภาพได้

    มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ เผยผลวิจัยด้านสุขภาพที่ยืนยันแล้วว่า การเดินออกกําลังกาย วันละ 20 นาที ช่วยเผาผลาญแคลอรี ลดความดันโลหิตสูง และช่วยให้อายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้น

    นอกจากนี้ วารสารทางการแพทย์ London Medical and Surgical Journal ยังระบุว่า ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่เดินถึงวันละ 10,000-15,000 ก้าว จะมีความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ ลดความเสี่ยงเกิดโรคหัวใจและโรคเบาหวาน ไม่เกิดภาวะน้ําหนักเกิน ส่งผลให้กล้ามเนื้อ ข้อ เอ็น กระดูก และสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงกว่าคนทั่วไป

    ก่อนเข้าสู่ ตารางเดินออกกำลังกาย ใน 1 เดือน ต้องอบอุ่นร่างกาย

    หากจะเริ่มเดินออกกําลังกาย ต้องอบอุ่นร่างกายก่อนทุกครั้ง ดังที่กูรูต้นตํารับชีวจิต อาจารย์สาทิส อินทรกําแหง กล่าวว่า

    “เมื่อเริ่มอุ่นเครื่อง ร่างกายจะเกิดความร้อน ทําให้ส่วนต่าง ๆ ได้ปรับตัว เกิดความกระฉับกระเฉง ใช้เวลาเพียงแค่ 5–10 นาที หรือพอให้เหงื่อซึม ค่อยเริ่มออกกําลังกายต่อไป”

    ตารางเดินออกกำลังกาย ใน 1 เดือน

    Walking Tips

    -ควรเลือกพื้นรองเท้าที่ไม่แข็งหรือนิ่มจนเกินไป จะสามารถรับแรงกระแทกจากส้นเท้าได้ จึงช่วยลดความเสี่ยง อาการข้อหรือเอ็นอักเสบ และไม่เกิดอันตราย หากวิ่งหรือเดินเร็วๆ

    -หาสถานที่โล่งกว้างเป็นธรรมชาติ ฝึกหายใจเข้าและออกให้ลึกยาว เพื่อรับอากาศบริสุทธิ์

    -แกว่งแขนข้างลําตัว กํามือหลวมๆ หรือปล่อยสบายๆ ไม่เกร็ง

    -แขม่วหน้าท้องค้างไว้ นับ 1-3 ต่อการเดินทุก 5 หรือ 10 ก้าว ช่วยลดพุง เพิ่มสมาธิ

    จากเดินเป็นวิ่งได้แล้ว ก็ต้องรู้จักวิธีการหายใจขณะวิ่งอย่างถูกต้องด้วย

    เทคนิคการหายใจที่มือใหม่หัดวิ่งควรรู้

    เทคนิคการหายใจอย่างถูกวิธีในขณะวิ่งนั้น เป็นสิ่งที่นักวิ่งมือใหม่ควรจะต้องเรียนรู้ และฝึกตั้งแต่ช่วงแรกที่เริ่มหัดวิ่งเลย เพราะจะช่วยทำให้เราสามารถวิ่งไปได้เร็วขึ้น และวิ่งได้นานขึ้นอีกด้วย

    การหายใจมี 2 แบบ

    1. การหายใจด้วยกล้ามเนื้อซี่โครง (Costal หรือ Chest Breathing) คือ เวลาที่เราหายใจเข้าไป หน้าอกจะขยายตัว และหน้าท้องจะยุบ ส่วนเวลาหายใจออกนั้นหน้าอกจะยุบ และหน้าท้องจะขยายตัวหรือพองออก ซึ่งเวลาที่เราวิ่งเร็ว ๆ และวิ่งนาน ๆ จะทำให้จุกเสียดชายโครงได้ง่าย
    2. การหายใจด้วยกล้ามเนื้อกะบังลม (Abdominal Breathing) คือ เวลาที่เราหายใจเข้า กล้ามเนื้อกะบังลมจะเคลื่อนตัวลง ทำให้ลมเข้าไปในปอด หน้าท้องจะพองหรือขยายตัว และเมื่อเราหายใจออก กล้ามเนื้อกะบังลมจะเคลื่อนตัวขึ้น พุงจะยุบวิธีการหายใจแบบนี้จะไม่ทำให้จุกเสียดชายโครงเวลาที่วิ่งนาน ๆ

    ตามปกติแล้วเมื่อวิ่งไปได้สักพัก จังหวะการหายใจของเรา จะปรับเข้ากับจังหวะการวิ่งได้เอง ซึ่งจะเป็นช่วงจังหวะที่เรารู้สึกว่าลงตัวและรู้สึกสบาย โดยจังหวะในการวิ่งและการหายใจ 2 แบบที่นักวิ่งหน้าใหม่ควรรู้มีดังต่อไปนี้

    จั ง ห ว ะ ก า ร วิ่ ง 2 – 2

    1. หายใจเข้าพร้อมกับก้าวเท้าขวานับ 1
    2. เท้าซ้ายลงพื้นนับ 2
    3. หายใจออกพร้อมกับเท้าขวาลงพื้นนับ 1
    4. ซ้ายลงนับ 2
    5. เท้าขวาลงอีกครั้งนับ 1 คือรอบจังหวะการหายใจต่อไป

    จะเห็นได้ว่าการหายใจเข้า – ออก จะลงที่เท้าขวาทุกครั้ง จังหวะแรงกระแทกที่ส่งจากช่วงล่างจากเท้าที่กระทบพื้นสู่ช่วงลำตัวและกล้ามเนื้อกะบังลม (Diaphragm) ขณะยืดหดตัวนั้นก็มาจากเท้าขวา ทุกครั้งที่หายใจเราก็ได้รับแรงจากด้านขวาเพียงข้างเดียว

    จั ง ห ว ะ ก า ร วิ่ ง 3 – 2

    1. จังหวะที่ก้าวเท้าขวาลง และหายใจเข้านับ 1
    2. ขาซ้ายก้าวนับ 2
    3. ขาขวาก้าวนับ 3
    4. ขาซ้ายก้าว และหายใจออกนับ 1
    5. ขาขวาก้าวนับ 2
    6. ขาซ้ายลง และหายใจเข้านับ 1 คือรอบจังหวะการหายใจต่อไป

    การสร้างจังหวะวิ่ง แบบ 3 – 2 หรือช่วงจังหวะหายใจเข้าจะลงเท้า 3 ครั้ง และหายใจออก 2 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บได้ดีขึ้น เพราะช่วงที่เราหายใจอยู่นั้น กล้ามเนื้อจะมีการยืดหด และจะเห็นได้ว่าจังหวะหายใจเข้า จะสลับกันระหว่างซ้ายและขวา ทำให้กะบังลมไม่ต้องรับแรงกระแทกอยู่ที่ข้างใดข้างหนึ่งนั่นเอง แต่ในการนำไปใช้ช่วงแรกควรลองฝึกหายใจ โดยการเดินวอร์มอัพเบา ๆ ก่อน เพื่อปรับตัวให้คุ้นเคยกับการหายใจและจังหวะลงของเท้า

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ผู้ป่วยมะเร็ง ออกกำลังกายอย่างไรดี ?

    เทคนิคใกล้ตัวช่วย โกร๊ธฮอร์โมน หลั่ง ควรทำควบคู่ออกกำลังกาย

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

    มหัศจรรย์แห่ง การเดิน แรงกระแทกต่ำ ทำได้ทุกคน

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสาชีวจิต

    น้ำมันปาล์มดีหรือไม่ ต่อสุขภาพ ?

    น้ำมันปาล์ม ตัวร้ายสุขภาพจริงหรือ ?

    น้ำมันปาล์มดีหรือไม่ เรามีคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญครับ

    ข้อมูลจาก Celeste Robb-Nicholson, Former M.D.Editor in Chief, Harvard Women’s Health Watch ระบุไว้ดังต่อไปนี้

    1. น้ำมันปาล์มได้มาจากผลของต้นปาล์มน้ำมัน (Elaeis guineensis) เป็นหนึ่งในไขมันที่สามารถบริโภคได้ และผลิตกันอย่างแพร่หลายมากที่สุดในโลก

    2. สำหรับปาล์มน้ำมัน ให้ผลผลิตน้ำมัน 2 ประเภท คือ สกัดจากเนื้อของผลไม้ (เรียกว่าน้ำมันปาล์ม) และเมล็ด (น้ำมันเมล็ดในปาล์ม) จึงทำให้น้ำมันปาล์มมีการบริโภคกันอย่างเเพร่หลาย

    3. น้ำมันปาล์ม หรือน้ำมันเมล็ดปาล์ม และน้ำมันมะพร้าว มีข้อเสียที่ทุกคนรู้กันดี คือ ถูกจัดเป็นไขมันไม่ดี เพราะมีส่วนประกอบของไขมันอิ่มตัวสูง

    4.โดยในน้ำมันปาล์มประกอบด้วยไขมันอิ่มตัว ประมาณ  50 เปอร์เซ็นต์  และมีปริมาณของกรดไขมันอิ่มตัวที่มากกว่าน้ำมันเมล็ดในปาล์มกับน้ำมันมะพร้าว ประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์

    5.ไขมันอิ่มตัวในน้ำมันปาล์ม ช่วยเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อการเกิดโรคหัวใจ

    6.โดยทั่วไปหากเก็บไขมันที่มีปริมาณกรดไขมันอิ่มตัวสูงในอุณหภูมิห้อง จะทำให้ไขมันแข็งตัวได้ ทำให้น้ำมันปาล์มมีลักษณะกึ่งแข็งที่อุณหภูมิห้อง แต่สามารถนำมาแปรรูปเป็นน้ำมันปรุงอาหารเหลวได้

    น้ำมันปาล์มดีหรือไม่
    ใช้น้ำมันปาล์มนั้นดีกว่าเลือกใช้น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจน และอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเนย

    อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเป็นรู้กันอยู่เเล้วว่าการเลือกใช้น้ำมัน เเละคุณภาพของไขมันชนิดต่างๆมีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะไขมันที่ไม่ดี อย่างเช่นไขมันทรานส์ ซึ่งในปัจจุบันถูกห้ามใช้เเล้วในประเทศไทย

    ไขมันทรานส์ ไม่เพียงเพิ่มระดับไขมันเลว LDL และไตรกลีเซอไรด์เท่านั้น แต่ยังมีผลลดระดับไขมันดี HDL อีกด้วย ไขมันทรานส์ส่วนใหญ่สร้างขึ้นโดยการเติมไฮโดรเจน

    น้ำมันที่เติมไฮโดรเจน ส่วนใหญ่ใช้ในระบบอุตสาหกรรม ขนมอบ ขนมขบเคี้ยวที่ผ่านกระบวนการแปรรูปจำนวนมาก และอาหารทอดต่างๆก็เป็นแหล่งสำคัญของไขมันทรานส์เช่นกัน

    ทางออกของผู้ผลิตอาหารและร้านอาหารจึงจำเป็นต้องหาทางเลือกอื่นเพื่อทดแทน ไขมันทรานส์ หนึ่งในนั้นคือน้ำมันปาล์ม ที่มีกรดไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าเนยและไม่มีไขมันทรานส์ แต่ไม่ได้ถึงกับแย่เหมือนทรานส์ไขมัน และไม่ใช่ไขมันดี เป็นอาหารเพื่อสุขภาพเหมือนไขมันดีอื่นๆ ที่มีกรดไขมันอิ่มตัวน้อย

    เเต่อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการของฮาร์วาร์ด ระบุว่า ใช้น้ำมันปาล์มนั้นดีกว่าเลือกใช้น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจน และอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเนย

    เลือกน้ำมันใช้ให้ถูก ได้ประโยชน์

    น้ำมันดอกคำฝอย

    น้ำมันดอกคำฝอยสกัดจากเมล็ดดอกคำฝอย ซึ่งประเทศที่ปลูกต้นคำฝอยมาก ได้แก่ ประเทศอินเดีย เม็กซิโก และ สหรัฐอเมริกา

    น้ำมันดอกคำฝอยได้รับความนิยมเนื่องจากเป็นน้ำมันพืชที่มีปริมาณกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งสูง ซึ่งมีข้อมูลรายงานว่า น้ำมันดอกคำฝอยสามารถลดปริมาณคอเลสเตอรอลชนิดร้ายในเลือด ป้องกันไขมันในหลอดเลือดอุดตัน และช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้

    แนะนำ ผัด ทอดและทำน้ำสลัดได้

    น้ำมันเมล็ดทานตะวัน อีกหนึ่งน้ำมันที่น่ามีติดบ้าน สำหรับทำอาหารได้หลากหลายเมนู

    น้ำมันเมล็ดทานตะวัน

    น้ำมันเมล็ดทานตะวันสกัดจากเมล็ดทานตะวัน พื้นที่ที่มีการปลูกต้นทานตะวันมากคือ ประเทศรัสเซีย แคนาดา สหรัฐอเมริกา ฮังการี และอาร์เจนตินา

    มีปริมาณกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งสูง เช่นเดียวกับน้ำมันดอกคำฝอย แต่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูงกว่า มีรายงานการวิจัยระบุว่า น้ำมันเมล็ดทานตะวันมีส่วนช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลร้ายชนิดแอลดีแอลคอเลสเตอรอล แต่ไม่ช่วยลดปริมาณไขมันไตรกลีเซอไรด์หรือเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลดีชนิดเอชดีแอลคอเลสเตอรอล

    แนะนำ ผัด การทอดโดยใช้ไฟแรง และใช้ทำน้ำสลัด

    น้ำมันงา

    น้ำมันงาสกัดจากเมล็ดงา ผลิตมากในประเทศจีน อินเดีย พม่า แอฟริกา เม็กซิโก ประเทศแถบอเมริกากลางและอเมริกาใต้ น้ำมันงามีสีเหลืองอ่อน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว

    ผลวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Yale Journal of Biology and Medicine ระบุว่า เมื่อนักวิจัยให้ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงอายุ 35 – 60 ปี ที่ได้รับการรักษาด้วยการกินยาขับปัสสาวะ กินอาหารที่ปรุงจากน้ำมันงาแทนน้ำมันชนิดอื่น โดยใช้น้ำมันงาปรุงอาหารเฉลี่ยวันละ 35 กรัม หลังจากนั้น 45 วัน นักวิจัยจึงทดลองให้ผู้ป่วยกลับมากินอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันชนิดเดิมที่เคยใช้

    ผลการทดลองพบว่า น้ำมันงาทำให้ค่าความดันโลหิตทั้งตัวบนและตัวล่างกลับสู่ระดับปกติ ผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวและค่าดัชนีมวลกายลดลงแต่หลังจากหยุดกินน้ำมันงา ค่าสุขภาพต่างๆ กลับเพิ่มสูงขึ้น

    ผลการทดลองดังกล่าวสรุปว่า น้ำมันงาช่วยลดความดันโลหิตในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตที่กินยาขับปัสสาวะร่วมด้วยได้

    แนะนำ ไม่เหมาะกับการทอดที่ต้องใช้ไฟแรง เพราะอาจเสี่ยงต่อการเกิดสารก่อมะเร็ง เหมาะสำหรับการผัดโดยใช้ไฟแรงปานกลาง หรือทำน้ำสลัด

    น้ำมันมะพร้าว

    มะพร้าวมีถิ่นกําเนิดอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยประเทศไทยปลูกมะพร้าวมากเป็นอันดับ 6 ของโลก รองจากประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ อินเดีย บราซิล และศรีลังกา สกัดจากเนื้อมะพร้าวแห้งซึ่งมีน้ำมันประมาณร้อยละ 63 – 68 โดยใช้วิธีบีบแยกน้ำมันออกมา

    ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศ อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูล ว่า “แม้ว่าน้ำมันมะพร้าวจะมีกรดไขมันอิ่มตัวมาก แต่ต่างจากน้ำมันชนิดอื่นตรงที่ส่วนประกอบของน้ำมันมะพร้าวประมาณครึ่งหนึ่งมีความยาวโมเลกุลปานกลาง

    “เมื่อร่างกายได้รับจะย่อยง่ายและดูดซึมได้ง่าย ทำให้มีการสะสมในร่างกายน้อยกว่าน้ำมันชนิดอื่น  ที่มีกรดไขมันอิ่มตัว เช่นเดียวกัน จึงพบว่ามีการรับประทานเป็นอาหารเสริม แต่หากกินร่วมกับน้ำมันอื่นจนได้รับปริมาณเกินเกณฑ์ก็ไม่ดีต่อสุขภาพ ดังนั้นควรใช้ในการประกอบอาหาร แต่ไม่ควรกินเป็นอาหารเสริม”

    น้ำมันมะพร้าวนับว่ามีประโยชน์ที่ดูดซึมง่าย ร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีรายงานการศึกษาที่น่าสนใจจากประเทศบราซิล โดยการทดลองให้อาสาสมัครกินน้ำมันมะพร้าววันละ 30มิลลิลิตร ร่วมกับอาหารพลังงานต่ำและออกกำลังกายสัปดาห์ละ 4 วัน

    หลัง 12 สัปดาห์พบว่า น้ำหนักตัว ค่าดัชนีมวลกาย ระดับคอเลสเตอรอลรวมและคอเลสเตอรอลร้ายชนิดแอลดีแอลคอเลสเตอรอลไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีผลเพิ่มระดับไขมันดีชนิดเอชดีแอลคอเลสเตอรอลในเลือด

    HOW TO COOK

    น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวสูงสามารถใช้ทอดหรือปรุงอาหารด้วยความร้อนสูงได้

    ที่มา
    Harvard Women’s Health Watch

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    ติดตามชีวจิตได้ที่ :

    Facebook : นิตยสารชีวจิต
    Instagram : Cheewajitmedia
    TikTok : cheewajitmediaofficial

    ลิ้นบอกโรค

    ลิ้นบอกโรค จากตำราแพทย์แผนจีน

    ลิ้นบอกโรค วิธีสังเกตโรคต่างๆ ภายในร่างกายจากลิ้น เพราะทางการแพทย์จีนเชื่อ เส้นลมปราณต่างๆ นั้นเชื่อมโยงถึงกัน เอาล่ะ มาแล่บลิ้นส่องโรคไปด้วยกันเลย

    ลดหวาน

    แจกสูตรเด็ด ลดหวาน ด้วยน้ำซุปจากผักสด

    สูตรเด็ด ซุปอร่อย ลดหวาน

    ดูเหมือนความหวานจะเป็นความอร่อยของหลายๆ คนแอดก็เป็น แต่ถึงอย่างไร ก็เป็นอันตรายนะคะ เราถึงควรลดหวาน ลดโรค ไปด้วยกัน อย่างวันนี้ที่แอดเอาสูตร ลดหวาน โดยเป็นเคล็ดลับสุขภาพดี ที่ยังคงอร่อยจาก คุณดาว – เภสัชกรหญิงจิตราวดี เหมมณฑารพ เภสัชกรและผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพ เจ้าของร้านอาหารมังสวิรัติต้นกล้า ฟ้าใส

    สำหรับความหวานนี้ ไม่เพียงลดการใช้น้ำตาลลง ยังได้เส้นใยมาช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายอีกด้วย (น้ำตาลจะกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ถ้าบริโภคมากไปก็เสี่ยงต่อภาวะดื้อต่ออินซูสินแล้วเป็นโรคเบาหวานตามมา)

    โดยคุณดาวมองว่า “นอกจากความหวานยังมีเรื่องของเท็กซ์เจอร์ กลิ่น และสีสันประกอบกันทำให้อาหารมื้อนั้นสวยงาม
    อร่อยมีมิติมากขึ้นอีก แถมความหวานเหล่านี้ยังมีพฤกษเคมีจากพืชที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และยังส่งเสริมการทำงานของเซลล์

     คุณดาว - เภสัชกรหญิงจิตราวดี เหมมณฑารพ

    เคล็ดลับน้ำซุปอร่อย แบบลดหวาน

    “การทำน้ำสต็อกผักก็เลือกใช้หัวและผักหลากหลายรสมาต้มรวมกัน เช่น หัวหอม แครอต ไชเท้า ฟัก ผักบางชนิดเป็นชูรสโดยธรรมชาติ คือมีกรดแอมิโนกลูตาเมตในตัวเอง สามารถกระตุ้นต่อมรับรส ได้แก่ มะเขือเทศ พืชหัว ใบหม่อน ผักไชยา กับกลุ่มเห็ดและสาหร่าย ถ้ามีในส่วนประกอบจะทำให้ซุปอร่อยโดยไม่ต้องพึ่งชูรสเลย”

    ลดหวาน ไม่ควรกินน้ำตาลมากกว่าวันละ 6 ช้อนซา

    การรับประทานน้ำตาลมากเกินไปไม่ว่าจะในรูปแบบไหน ล้วนแต่ไม่ดีต่อร่างกายเลย เพราะภาวะน้ำตาลในเลือดสูงนั้นทั้งเสี่ยงเบาหวาน กระตุ้นการอักเสบและกดภูมิคุ้มกัน ในหนึ่งวันคนทั่วไปจึงไม่ควรกินน้ำตาลมากกว่าวันละ 6 ช้อนชา

    อย่างไรก็ตาม คุณดาวมีเคล็ดลับการกินน้ำตาลสำหรับคนติดหวานแต่อยากรักษาสุขภาพไปพร้อมๆ กันด้วย “ถ้าอยากกินหวานมีเคล็ดลับค่ะ ให้กินอาหารที่มีเส้นใยลงไปก่อน เพราะเส้นใยยิ่งเป็นเส้นใยละลายน้ำ (พวกที่เป็นเมือกๆ เป็นเจล เช่น เมล็ดเจียแมงลัก กล้วย กระเจี๊ยบ)

    “เส้นใยเหล่านี้จะทำหน้าที่เหมือนตาข่ายช่วยกันไม่ให้น้ำตาลเข้ากระแสเลือดเร็วเกินไป”


    “นอกจากนั้นเราสามารถแก้การติดหวานได้ด้วยการค่อยๆ ลดการกินลง เช่น สั่งเครื่องดื่มหวานน้อยลงเรื่อย ๆ เหมือนเป็นการปรับลิ้นใหม่ ทำติดกันต่อเนื่อง 21 วันจะสามารถลดการกินหวานได้”

    ลดหวาน
    “น้ำซุป” ที่ได้ความหวานจากผัก จะช่วยลดการเติมน้ำตาล ช่วยให้ห่างไกลโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคในกลุ่ม NCDs เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ เป็นต้น

    ผักผลไม้ ช่วยลดหวาน

    แนวคิดในการนำผักผลไม้มาใช้แทนน้ำตาลทรายมีมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งร้าน และค่อยๆ คันคว้าความรู้เพิ่มเติม ลองผิดลองถูก และนำมาประยุกต์ใช้ทั้งการทำอาหารกินเองในครอบครัวและที่ร้านอาหาร “สารทดแทนความหวานจากธรรมชาติส่วนใหญ่ที่ทางร้านใช้ก็มีหล่อฮั่งก้วย ซึ่งหวานกว่าน้ำตาล เป็นความหวานเย็นๆ ชุ่มคอ หญ้าหวาน หวานแบบมี after taste เราจะใส่นิดเดียวพอ

    นอกจากนั้นเรายังเลือกผักผลไม้ที่มีรสหวานในตัวมาใช้ในเมนูเพื่อลดการปรุงด้วยน้ำตาล เช่น ใช้กล้วยงอม ๆ นำมาทำข้าวต้มมัดและขนมกล้วย เป็นต้น”

    เลี่ยงการใช้สารสังเคราะห์ทดแทนความหวาน

    “สารสังเคราะห์ทดแทนความหวาน เช่น แอสปาร์แตม พวกนี้มีผลระยะยาวต่อร่างกาย หรือกลุ่มชูการ์แอลกอฮอล์ที่ลงท้ายด้วยออล ทั้งหลาย เช่น แมนนิทอล์ พวกนี้รบกวนสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ควรหันมาใช้น้ำตาลช่อดอกมะพร้าวแทนน้ำตาล เพราะมีค่าการดูดซึมเข้ากระแสเลือด Glycemic Index ต่ำกว่า ราคาสูงกว่าหน่อยแต่ปลอดภัยกว่า และอร่อยกว่าด้วยค่ะ” ไม่ต้องกินน้ำตาลก็หวานได้ แต่ก็อย่าลืมเดินทางสายกลาง และรับประทานให้หลากหลายด้วยนะคะ

    สูตรน้ำสต๊อก ลดหวาน สำหรับทุกจานโปรด

    สูตรน้ำสต๊อกหวานผัก
    น้ำซุป ที่ให้ความหวานโดยไม่ต้องเติมน้ำตาล ด้วย แครอต หัวไชเท้า กะหล่ำปลี และพุทราจีน เติมเกลือนิดหน่อยเพิ่มรสชาติ

    หากอยากให้น้ำซุปมีรสชาติอร่อยและดีกับสุขภาพ โดยไม่จำเป็นต้องใส่น้ำตาลหรือเนื้อสัตว์ ต้องเคี่ยวผักให้เปื่อยและปล่อยความหวานในตัวเองออกมา สูตรนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำอาหารจาก Health & Cuisine แนะนำไว้ ค่ะ

    ส่วนผสม

    • แครอต 1 หัว
    • หัวไชเท้า 1 หัวใหญ่
    • กะหล่ำปลี 1 หัวเล็ก
    • พุทราจีนล้างสะอาด 12 เม็ด
    • เกลือป่นเล็กน้อย

    วิธีทำ

    1. หั่นแครอต หัวไชเท้า และกะหล่ำปลีเป็นชิ้นใหญ่
    2. นำไปต้มรวมกับพุทราจีนจนเดือดและผักนิ่ม
    3. เดี่ยวจนผักเปื่อยและเม็ดพุทราแตกออก จากนั้นใส่เกลือลงไปเล็กน้อย กรองเอาเฉพาะน้ำเก็บไว้ทำอาหาร

    การเก็บรักษา อาจนำเข้าไว้ในช่องฟรีส และแบ่งออกมาเมื่อต้องการใช้งาน

    ที่มา นิตยสารชีวจิต

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    ใบย่านาง วัตถุดิบอร่อยตำรับอีสาน ภูมิปัญญาในหม้อแกงหน่อไม้

    ไม่อยากกระดูกพรุนต้องกิน! อาหารบำรุงกระดูก

    ส่องประโยชน์ หัวไชเท้า ปลูกง่าย กินอร่อย สารอาหารเยอะ

    น้ำแร่

    ก่อนดื่ม น้ำแร่ ต้องอ่านๆ อะไรที่ร่างกายต้องการ

    แร่ธาตุในน้ำแร่ช่วยอะไร ดื่มยังไงให้ได้ประโยชน์

    น้ำแร่ ในท้องตลาดตอนนี้มีมากมาย หลากหลายทั้งยี่ห้อ แหล่งน้ำ รวมไปถึงราคาที่มีตั้งแต่ซื้อง่ายหลักหน่วย ไปจนถึงขวดละหลายร้อย หรือบางทีก็เป็นพัน และอีกหนึ่งความแตกต่างคือแร่ธาตุที่อยู่ในน้ำ ซึ่งจะเลือกยังไงให้เข้ากับความต้องการของร่างกาย วันนี้ชีวจิตจะพาไปดูกันค่ะ

    น้ำแร่ จากธรรมชาติ แบบไหนที่ควรดื่ม?

    โดยปกติแล้วคนเราจะดื่มน้ำปกติที่ค่า pH =7 คือเป็นกลางที่ ต่ำกว่าเป็นกรด สูงกว่าเป็นด่าง ส่วนน้ำแร่ทั่วไปจะมีค่า pH ไม่เกิน 8.5 และไม่ต่ำกว่า pH 6.5 เนื่องจากว่า หากมากสูง หรือต่ำไปกว่านี้ จากแทนที่จะให้ประโยชน์กับร่างกายอาจจะกลายเป็นส่งผลเสียต่อร่างกายได้

    น้ำแร่ แร่มาจากไหน อันตรายไหม

    แร่ธาตุในน้ำแร่มาจากแร่ธาตุในดิน ที่อยู่บริเวณแหล่งต้นน้ำ หลายคนจึงเปรียบการดื่มน้ำแร่ เปรียบเสมือนที่สัตว์ป่ากินดินโป่ง เนื่องจากเป็นแร่ธาตุในดินเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นแล้วเพื่อความปลอดภัย น้ำแร่จะต้องถูกตรวจสอบคุณภาพเพื่อป้องกันการปนเปื้อนโดยเฉพาะโลหะหนักและสารอันตรายอื่นๆ

    หากน้ำแร่ผ่านกระบวนการ เช่น การกรอง หรือการเติมแก๊ซ จะต้องมีการระบุไว้ที่ฉลากเพื่อแจ้งให้ผู้บริโภคทราบ หลายคนอาจจะสงสัยเพิ่มว่าแล้วน้ำที่ได้แร่ธาตุจากในดิน จะไม่มีการปนเปื้อนจากสารเคมีที่เราใช้ทุกวันหรือ ซึ่งคำตอบคือน้อยมาก เนื่องจากน้ำแร่ต้องผ่านชั้นดิน ชั้นหินซึ่งเหมือนเครื่องกรองน้ำขนาดใหญ่ และเพื่อรับรองความปลอดภัยจึงต้องมีมากตรวจสอบคุณภาพน้ำนั้นเอง

    น้ำแร่

    ประโยชน์ของน้ำแร่

    แคลเซียม

    • ช่วยในเรื่องบำรุงกระดูก
    • ป้องกันโรคกระดูกพรุน การหดตัวของกล้ามเนื้อ
    • จำเป็นต่อการทำงานของหัวใจ กล้ามเนื้อและระบบประสาท

    ไบคาร์บอเนต

    • กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนในกระเพาะอาหาร
    • ช่วยเพิ่มปริมาณเกลือแร่ในร่างกาย
    • ช่วยปรับให้สารคัดหลั่งต่างๆ ในร่างกาย ที่มีฤทธิ์เป็นกรดกลายเป็นกลาง
    • กระตุ้นการเคลื่อนของอาหารจากกระเพาะไปยังลำไส้เล็กให้เร็วขึ้น

    แมกนีเซียม

    • ช่วยควบคุมแคลเซียมไม่ให้เกาะตามเนื้อเยื่ออวัยวะต่างๆ ลดการเกิดนิ่ว
    • ทำให้การทำงานของระบบประสาทและสมองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
    • ป้องกันและบรรเทาอาการปวดไมเกรน
    • กระตุ้นวิตามิน บี ซี และอีให้ทำงานได้ดีขึ้น
    • ลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อและหลอดเลือด ลดโอกาสการเกิดตะคริวได้

    ซิงค์

    • ลดระยะเวลาของอาการหวัด
    • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
    • ลดสิวที่รุนแรงและอักเสบ
    • ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ
    • ชะลอการลุกลามของจอประสาทตาเสื่อม

    โซเดียม

    • ช่วยรักษาความสมดุลของน้ำในร่างกาย
    • ควบคุมความดันโลหิต
    • ดูดซึมสารอาหารและเกลือแร่ในไตและลำไส้เล็ก

    ผู้ที่อยู่ในวัยทองควรหลีกเลี่ยงน้ำแร่ที่มีโซเดียม เนื่องจากอาจทำให้ความดันเพิ่มสูง

    โพแทสเซียม

    • ช่วยให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อทำงานปกติ
    • ควบคุมสมดุลของแร่ธาตุต่าง ๆ ในเลือดให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมกับการทำงาน
    • ช่วยควบคุมให้ร่างกายมีความเป็นกรด-ด่างพอเหมาะ
    • ป้องกันภาวะกรดไหลย้อนหรือกรดเกินในกระเพาะอาหาร
    • ปรับความดันโลหิตให้เหมาะสมในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง

    ผู้ที่มีปัญหาโรคหัวใจควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากโพแทสเซียมอาจทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ

    ซัลเฟต

    ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ โดยเฉพาะในคนที่ท้องผูกเรื้อรัง

    ฟลูออไรด์

    ป้องกันฟันผุ

    เด็กควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากหากบริโภคในปริมาณมาก อาจทำให้ฟันเป็นจุดด่างดำ

    น้ำแร่ ประโยชน์ที่คาดไม่ถึง

    ประโยชน์จากแร่ธาตุในน้ำแร่ มีประโยชน์ที่คาดไม่ถึงอีกด้วย คือ

    มีงานวิจัยที่ศึกษาพบว่าธาตุแคลเซียมในน้ำแร่ดูดซึมได้ดีกว่านมวัวสด จึงเหมาะกับผู้ที่อยู่ในวัยทองซึ่งต้องการแคลเซียมในการเสริมสร้างกระดูกมากกว่าปกติ รวมถึงเหมาะกับคนที่แพ้นมวัว และดื่มนมวัวไม่ได้

    อีกประเด็นที่มีการศึกษาและน่าสนใจนั้นก็คือ ยังไม่เคยพบรายงานการติดเชื้อท้องเสียจากการดื่มน้ำแร่ ในขณะที่เคยมีรายงานการท้องเสียจากการดื่มน้ำประปา

    ประโยชน์ของน้ำแร่

    ใครบ้างที่ไม่ควรดื่มน้ำแร่

    กลุ่มบุคคลที่มีภาวะสุขภาพบางอย่าง ดังนี้

    • ผู้ที่มีอาการบวมน้ำ ผู้ป่วยโรคไต ผู้ที่หัวใจทำงานได้ไม่ดีไม่ควรดื่มน้ำแร่
    • ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ไม่ควรดื่มน้ำแร่ที่มีปริมาณโซเดียมสูงและน้ำแร่เกลือโซเดียมคลอไรด์
    • ผู้ที่มีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารปริมาณมากและแผลในกระเพาะอาหาร ไม่ควรดื่มน้ำแร่เกลือโซเดียมคลอไรด์
    • ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจที่มีภาวะหลอดลมหดเกร็ง ไม่ควรดื่มน้ำแร่ซัลเฟอร์
    • ผู้ป่วยภาวะการย่อยและลำไส้ไม่ปกติ ไม่ควรดื่มน้ำแร่ไบคาร์บอเนต เพราะจะทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
    • ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินอาหารและมีแผลในทางเดินอาหาร ไม่ควรดื่มน้ำแร่ซัลเฟต
    • ผู้หญิงที่อยู่ในช่วงมีครรภ์

    น้ำแร่บางชนิดอาจมีแคลเซียมหรือแมกนีเซียมสูง ซึ่งอาจรบกวนความสามารถของร่างกายในการดูดซึมสารอาหารที่สำคัญ

    เด็กเล็ก

    เนื่องจากเด็กต้องการสารอาหารที่ไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ ร่างกายกำลังอยู่ในช่วงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เด็กอ่อนแอต่อการบริโภคแร่ธาตุ การได้รับแร่ธาตุมากเกินไปอาจทำลายความสมดุลสารอาหารในร่างกายเด็กได้

    Tip ง่าย ๆ ดื่มน้ำแร่ให้ดีต่อตัวเรา

    • ดื่มน้ำแร่ปริมาณมาก ในระยะเวลาสั้นๆ 1 ลิตร ภายใน 30 นาที ขณะท้องว่าง จะช่วยขับนิ่วออกจากร่างกาย แนะนำว่าไม่ควรดื่มก่อนนอน เพราะจะทำให้นอนไม่หลับเนื่องจากต้องเข้าห้องน้ำบ่อย
    • ทยอยดื่มทีละนิด ก่อนอื่นดื่มเข้าไปก่อนปริมาณ 500 มิลลิลิตร และตามด้วยน้ำแร่ 10 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยจิบครั้งละน้อย ๆ จะช่วยเรื่องการอ่อนเพลีย ช่วยให้สดชื่นมากขึ้น
    • ดื่มน้ำแร่ในปริมาณ 500-700 มิลลิลิตร ก่อนเริ่มออกกำลังกาย ช่วยลดโอกาสในการเกิดภาวะเลือดเป็นกรดได้
    • น้ำแร่ที่มีปริมาณแมกนีเซียมมากกว่า 50 มิลลิกรัม/ลิตร ช่วยป้องกันและรักษาอาการท้องผูกได้ กระตุ้นให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น

    ข้อควรระวัง ไม่ควรดื่มน้ำแร่เป็นประจำทุกวันเพราะจะทำให้เป็นนิ่ว และร่างกายเสียสมดุล

    ปัจจุบันเราไม่ต้องกรอกน้ำแร่มาดื่มเองแล้ว เพราะน้ำแร่แบบขวดมีขายในร้านค้าชั้นนำทั่วไป สามารถเลือกซื้อได้ตามความชอบ รสชาติก็แตกต่างกันไปตามชนิดของน้ำแร่ที่เลือก แต่ควรเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ดี และไม่ควรดื่มมากจนเกินไปเพราะอาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี

    ที่มา

    • นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 589 รวมวิธีดื่มน้ำให้ถูกชนิด เวลา ปริมาณ สนใจคู่มือดื่มน้ำให้ได้สุขภาพ สั่งซื้อ คลิก
    • คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    • นพ. กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ชะลอวัย.

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    น้ำประปา ปลอดภัยจริงไหม
    แจกสูตรน้ำผัก บำรุงดวงตา ห่างไกลโรค
    ดื่มน้ำมากไป ระวังสุขภาพพัง

    บทสวดมนต์ข้ามปี

    รวม 11 บทสวดมนต์ข้ามปี เพื่อเป็นสิริมงคลในชีวิตรับปีใหม่

    รวม 11 บทสวดมนต์ข้ามปี เพื่อเป็นสิริมงคลในชีวิตรับปีใหม่

    มีหลายคนวางแผนท่องเที่ยว เพื่อถือเป็นการพักผ่อนในช่วงวันหยุดยาว แต่ก็มีพุทธศาสนิกชนจำนวนไม่น้อยต่างวางแผนไปสวดมนต์ข้ามปี ซีเคร็ตขอรวบรวม บทสวดมนต์ข้ามปี หากใครไม่สามารถไปร่วมกิจกรรมสวดมนต์ตามสถานที่ต่าง ๆ ได้ ก็สามารถสวดมนต์ที่บ้านของตนเองได้เช่นกัน

    คำกล่าวบูชาพระรัตนตรัย

    อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อะภิปูชะยามิ
    อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง อะภิปูชะยามิ
    อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง อะภิปูชะยามิ

    บทกราบพระรัตนตรัย

    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ)
    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ)
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบ)

    นมัสการพระพุทธเจ้า

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (3จบ)

    บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย

    อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
    วิชา จะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
    อนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถา
    เทวมนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ
    สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม
    สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก
    โอปะนะยิโก ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิติ
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ยะทิทังจัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ

    สมาทานศีล5

    ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
    อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
    กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
    มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
    สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ

    บทมงคลสูตร (ป้องกันอันตราย)

    เอวัมเม สุตัง ฯ
    เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน
    อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา
    อะภิกกันตายะ รัตติยา อภิกกันตะวัณณา
    เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตะวา
    เยนะ ภะคะวา เตนุปะสังกะมิ
    อุปะสังกะมิตะวา ภะคะวันตัง อภิวาเทตะวา
    เอกะมันตัง อัฏฐาสิ เอกะมันตัง ฐิตา โข สา เทวะตา
    ภะคะวันตัง คาถายะ อัชฌะภาสิ
    พะหู เทวา มะนุสสา จะ มัคะลานิ อะจินตะยุง
    อากังขะมานา โสตถานัง พรูหิ มังคะละมุตตะมัง
    อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา
    ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ
    ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะ ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา
    อัตตะสัมมาปะณิธิ จะ เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ
    พาหุสัจจัญจะ สิปปัญจะ วินะโย จะ สุสิกขิโต
    สุภาสิตา จะ ยา วาจา เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ
    มาตาปิตุอุปัฏฐานัง ปุตตะทารัสสะ สังคะโห
    อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ
    ทานัญจะ ธัมมะจะริยา จะ ญาตะกานัญจะ สังคะโห
    อะนะวัชชานิ กัมมานิ เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ
    อาระตี วิระตี ปาปา มัชชะปานา จะ สัญญะโม
    อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ
    คาระโว จะ นิวาโต จะ สันตุฏฐี จะ กะตัญญุตา
    กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ
    ขันตี จะ โสวะจัสสะตา สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง
    กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ
    ตะโป จะ พรัหมะจะริยัญจะ อะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง
    นิพพานะสัจฉิกิริยา จะ เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ
    ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ
    อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมังฯ
    เอตาทิสานิ กัตวานะ สัพพัตถะมะปะราชิตา
    สัพพัตถะ โสตถิง คัจฉันติ ตันเตสัง มังคะละมุตตะมันติฯ

    บทโพชฌังคปริตร (สุขภาพดีรับปีใหม่)

    โพชฌังโค สะติสังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา
    วิริยัมปีติปัสสัทธิ โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร
    สะมาธุเปกขะโพชฌังคา สัตเต เต สัพพะทัสสินา
    มุนินา สัมมะทักขาตา ภาวิตกา พะหุลีกะตา
    สังวัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธิยา
    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต สัพพะทาฯ
    เอกัสะมิง สะมะเย นาโถ โมคคัลลานัญจะ กัสสะปัง
    คิลาเน ทุกขิเต ทิสะวา โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ
    เต จะ ตัง อะภินันทิตะวา โรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ
    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทาฯ
    เอะทา ธัมมะราชาปิ เคลัญเญนาภิปีฬิโต
    จุนทัตเถเรนะ ตัญเญนะ ภะนาเปตะวานะ สาทะรัง
    สัมโมทิตะวา จะ อาพาธา ตัมหา วุฏฐาสิ ฐานะโส
    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหนตุ สัพพะทาฯ
    ปะหีนา เต จะ อาพาธา ติณณันนัมปิ มะเหสินัง
    มัคคาหะตะกิเลสาวะ ปัตตานุปปัตติธัมมะตัง
    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทาฯ

    บทพุทธชัยมงคลคาถา (พบความสำเร็จในปีใหม่)

    พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
    ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
    มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
    ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
    นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
    เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
    อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
    อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
    กัตตะวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
    สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
    สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
    ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
    นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
    อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
    ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมังวิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
    ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
    เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
    หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญฯ

    บทแผ่เมตตา

    บทแผ่เมตตาให้แก่ตัวเราเอง

    อะหัง สุขิโต โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข)
    อะหัง นิททุกโข โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากความทุกข์)
    อะหัง อะเวโร โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากเวร)
    อะหัง อัพยาปัชโฌ โหมิ (ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวง)
    สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ (ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุขกายสุขใจ รักษากายวาจาใจให้พันจากความทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด)

    บทแผ่เมตตาทั่วไป

    สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
    อะเวราโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
    อัพยาปัชฌาโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
    อะนีฆาโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
    สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีแต่ความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้น เถิดฯ

    บทกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล

    อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตา ปิตะโร
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่มารดาบิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดาบิดาของข้าพเจ้า จงมีความสุข
    อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า จงมีความสุข
    อิทัง เม คุรูปัชฌายาจะริยานังโหตุ สุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจะริยา
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า จงมีความสุข
    อิทัง สัพพะ เทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข
    อิทัง สัพพะ เปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เปรตทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เปรตทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข
    อิทัง สัพพะ เวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เวรี
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข
    อิทัง สัพพะ สัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข


    บทความน่าสนใจ

    7 เทคนิคปล่อยวางความคิด ลดความเครียด

    พาใจกลับบ้าน เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน

    10 วิธีดูแลจิตใจ หนักแค่ไหนก็เอาอยู่

    ไหลตาย

    ไหลตาย เพราะผีแม่หม้าย หรือโรคร้ายกันแน่ ?

    ทำไมส่วนมากชายอีสานถึง ไหลตาย

    เคยสงสัยกันบ้างมั้ยคะ เวลาที่มีข่าวชายไทยไหลตาย ส่วนใหญ่มักเป็นภาคอีสาน แล้วภาวะ ไหลตาย น่ากลัวมากเลยนะคะ เพราะเกิดได้จากหลายสาเหตุ เป็นสาเหตุเล็ก ๆ ที่ไม่ควรมองข้ามนะคะ

    โรคไหลตายกับความเชื่อ

    ขวัญผวา ชายหนุ่มภาคอีสานไหลตาย ชาวบ้านเชื่อผีแม่หม้ายพาตัวไป แห่ชายแต่งหญิง ผูกผ้าแดงหน้าบ้าน หวังช่วยไล่ผี

    ทุกคนคงจะเคยอ่านข่าวทำนองนี้มาก่อน ชาวบ้านในแถบอีสานเชื่อว่า การไหลตายเกิดเพราะชายคนนั้นเป็นที่หมายปองของ ผีแม่หม้าย และส่วนมากพอเกิดการไหลตายก็จะหวาดกลัว และนำไปสู่การแก้เคล็ดแบบโบราณคือ ให้ผู้ชายในบ้านแต่งเป็นหญิง และนำผ้าแดงผูกหน้าบ้าน เพื่อที่จะไล่ผี

    โรคไหลตาย (Sudden Unexplained Nocturnal Death syndrome; SUNDS)

    คือ กลุ่มอาการที่มีการเสียชีวิตขณะนอนหลับโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของการนำไฟฟ้าหัวใจ หรือโครงสร้างหัวใจผิดปกติ

    • สาเหตุทางพันธุกรรม (Genetic factors)

    ศ.นพ.อภิชัย อังสพัทธ์ หน่วยศัลยศาสตร์ตกแต่งและเสริมสร้าง ภาคศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย กล่าวว่าในต่างประเทศพบการกลายพันธุ์ในลักษณะที่พบน้อยหรือไม่พบเลย การศึกษากรณีในประเทศไทยพบยีนกลายพันธุ์ในลักษณะดังกล่าวเพียง 7-8% เท่านั้น

    • สาเหตุที่ไม่ใช่ส่วนของพันธุกรรม (Environmental factors)

    บางครั้งโรคไหลตายมักไม่มีอาการอะไรเลย แต่มีปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรค ไหลตาย

    ไหลตาย

    อะไรที่ทำให้เสี่ยงไหลตายได้บ้าง

    1. มีประวัติบุคคลในครอบครัวที่อายุน้อยเสียชีวิตเฉียบพลัน
    2. ภาวะร่างกายขาดแร่ธาตุโพแทสเซียม ซึ่งมีผลต่อการเต้นของหัวใจ จนทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเกิดภาวะมีเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ทำให้เสียชีวิต
    3. จากการบริโภคอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อนจนเกิดการสะสม และเป็นพิษต่อกล้ามเนื้อหัวใจ
    4. ภาวะขาดวิตามินบี 1 อย่างรุนแรง ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและอยากนอนมากกว่าปกติ เมื่อหลับแล้วมักเกิดภาวะหัวใจวายจนเสียชีวิต

    ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เป็นโรคไหลตาย

    • มีไข้สูง 
    • เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
    • ร่างกายขาดน้ำและแร่ธาตุ
    • ยาบางชนิด ดังนั้นผู้ที่ถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะไหลตาย จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ในกรณีที่ต้องได้รับยาบางชนิดเช่น ยานอนหลับ หรือยาที่มีผลต่อแร่ธาตุในร่างกาย

    สัญญานเตือนของโรคไหลตาย

    โดยปกติการไหลตาย ถึงจะเสียชีวิตไปโดยไม่มีอาการใด ๆ แต่มีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งมีอาการ แล้วมาพบแพทย์จนตรวจเจอว่าเป็นโรค ไหลตาย อาการที่พบมีดังนี้

    • ใจสั่น
    • วูบ เป็นลม หมดสติไปชั่วขณะ
    • เวียนศีรษะ
    • ชัก
    • หายใจลำบาก มีอาการกำเริบระหว่างนอนหลับอาจมีเสียงหายใจครืดคราดคล้ายละเมอ
    • เจ็บหน้าอก
    • เคยตรวจพบว่ามีหัวใจห้องบนหรือห้องล่างเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง

    หากมีอาการเหล่านี้ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุการผิดปกติดังกล่าว

    นอนกรนก็เสี่ยงไหลตาย

    อาการนอนกรนชนิดรุนแรง หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มีผลทำให้หัวใจต้องทำงานหนักมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่มีอาการสะดุ้งเฮือกและตื่นขึ้นมาระหว่างนอนหลับ เมื่อหัวใจต้องทำงานหนักทุกคืนเป็นเวลานาน อาจมีผลทำให้กล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน หรือไหลตายได้

    ทดสอบการหายใจระหว่างนอน

    การวินิจฉัยโรค

    การวินิจฉัยโรคไหลตาย เบื้องต้นทำได้โดยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เพื่อดูลักษณะของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ อาจพิจารณาร่วมกับการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (echocardiography) เพื่อตรวจดูหัวใจว่าปกติหรือไม่

    นอกจากนั้นในรายที่สงสัยว่ามีภาวะคุณสมบัติทางไฟฟ้าของเซลล์เนื้อเยื่อหัวใจผิดปกติ หรือที่เรียกว่า Brugada syndrome ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะร้ายแรงแบบสั่นพลิ้ว จากหัวใจห้องล่าง แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจระบบไฟฟ้าในหัวใจโดยการใส่สายเข้าไปตรวจภายในหัวใจ (EP study) หรือตรวจยีน เพื่อดูการกลายพันธุ์ในสารพันธุกรรม

    โรคไหลตายรักษาได้มั้ย?

    ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคไหลตาย แต่หากพบว่ามีความเสี่ยง แพทย์จะให้รักษาตามอาการแบบประคับประคอง คือ

    1. การฝังเครื่องกระตุกหัวใจอัตโนมัติ สำหรับผู้ที่มีอาการโรคไหลตายแล้ว เช่น ผู้ที่เคยมีภาวะหัวใจหยุดเต้นแล้วต้องปั๊มหัวใจขึ้นมา แพทย์จะแนะนำให้ใส่เครื่องกระตุกหัวใจอัตโนมัติ (Implantable Cardioverter Defibrillator – ICD) โดยฝังเครื่องลงไปใต้ผิวหนัง แล้วใส่สายไปในหัวใจ เมื่อหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องนี้จะตรวจการหยุดเต้นของหัวใจ แล้วปล่อยกระแสไฟช็อตเพื่อกระตุ้นให้หัวใจกลับมาทำงานโดยอัตโนมัติ

    2. การจี้หัวใจ เป็นการรักษาที่ได้ผลดี โดยในปัจจุบัน จะใช้การจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง (Radiofrequency Ablation – RFA) กับคนไข้ที่มีภาวะหัวใจห้องล่างเต้นพลิ้ว (Ventricular Fibrillation) จากโรคนี้

    สรุปก็คือโรคไหลตายเป็นโรคที่มีการเสียชีวิตขณะนอนหลับโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยอาจภาวะหนึ่งที่เป็นสาเหตุของการไหลตายคือกลุ่มอาการที่เรียกว่า Brugada syndrome ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการนำไฟฟ้าที่ผิดปกติในห้องหัวใจ ทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง และเสียชีวิตได้ ซึ่งมักพบว่าคนที่เป็นโรคนี้เสียชีวิตไปขณะหลับ โดยที่ไม่เคยมีอาการผิดปกติใด ๆ เตือนมาก่อน และโรคนี้เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้

    ที่มา

    • โรงพยาบาลพระราม 9
    • จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
    • NK SLEEPCARE
    • รพ.พญาไท

    บทความที่น่าสนใจ

    ต่อมหมวกไตล้า ผลจาก “เครียด” เรื้อรัง

    ฉี่แบบนี้ สัญญาณ โรคไต

    ป่วย ไข้เลือดออก ต้องลดไข้แบบนี้เลย

    เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ อัลไซเมอร์ ภาวะสมองเสื่อมที่พบมากขึ้นในสังคม

    ไบโพลาร์

    หรือ “แม่กลิ่น” จะเป็นไบโพลาร์ หนอออเจ้า

    ไบโพลาร์ อารมณ์สองขั้ว เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย

    ช่วงนี้เห็นจะไม่ละครเรื่องเป็นกระแสไปมากกว่าละครเรื่อง พรหมลิขิต ที่ต่อยอดความนิยมจากเรื่องบุพเพสันนิวาส ถึงแม้เรื่องราวจะเป็นการข้ามภพ ข้ามเวลา แต่ก็มีตัวละครหนึ่งที่แอดว่าน่าสนใจมากๆ นั่นก็คือ แม่กลิ่น ตัวร้ายของเรื่องที่เที่ยวแว๊ดๆ เก่งเหลือเกิน แต่แอดดูแล้วชักอดสงสัยไม่ได้ว่า หรือแม่กลิ่น จะเป็นไบโพลาร์ หนอออเจ้า?

    แอดขอเท้าความสักหน่อยถึงตัวละครแม่กลิ่น สำหรับคนที่ไม่ใช่คอละคร แม่กลิ่น เป็นหญิงสาวหลานของยายกุยเจ้าของที่ที่ให้แม่พุดตาน (นางเอกของเรื่อง) อาศัยอยู่ แม่กลิ่นอยู่ๆ ก็เกิดอาการเกลียดขี้หน้าแม่พุดตานแบบไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย ร้ายใส่เขา ทำลายแปลงผัก และอีกสารพัด แล้วก็มานั่งร้องไห้ น้อยใจยายไม่รัก แต่ถึงอย่างนั้นรอมแพง ผู้แต่งนวนิยายก็ได้อธิบายที่มา ที่ไป เหตุผลอยู่นะ ว่าทำไมแม่กลิ่นถึงจงเกลียด จงชังนางเอก ใครอยากรู้ ป้ายแทบไฮไลต์เลย แอดมีสปอยไว้ให้

    นั่นก็เพราะว่า ในอดีตชาติ แม่กลิ่นเคยถูกแม่พุดตาลคว่ำเรือ จนจมน้ำตายยังไงละ เลยเป็นที่มาของการเกลียดแต่แรกพบ และแม่กลิ่นก็คือเจ้ากรรมนายเวรของนางเอก

    ตอนแรกแอดก็ว่าตามละคร แต่พอถึงตอนล่าสุด แม่กลิ่นให้การสารภาพในยามเหยียบย่ำแปลงผัก

    “ข้าไม่รู้ตัวอันใดเจ้าค่ะ เหมือนมีคนมาจับมือข้าให้ดึง ให้ทึ้ง จับตีนข้าให้ย่ำเหยียบ ข้าพยายามหยุดแล้วนะเจ้าคะ แต่หยุดไม่ได้เจ้าค่ะ แรงบีบมากเกินกว่าที่ข้าจะขัดขืน”

    “ข้ามีอารมณ์ฉุนเฉียวผิดปกติ กับอารมณ์เศร้าผิดปกติ บางทีข้าก็ร้องไห้ออกมาเฉยๆ เจ้าค่ะ”

    ที่มา : ละคร พรหมลิขิต

    ถึงแม้ในแม่กลิ่นสาวอยุธยาตอนปลายจะบอกว่าเป็นเรื่องของมนต์ดำ แต่แอดในฐานะสาวรัตนโกสินทร์ปี 66 กลับคิดว่าเป็นเรื่องของสารเคมีในสมองหนาออเจ้า แถมเป็น ไบโพลาร์ หรือโรคอารมณ์สองขั้ว เพราะอะไรน่ะหรือ ไปดูกันเถิดหนา

    ไบโพลาร์เหมือนซึมเศร้า?

    ไบโพลาร์ หรือโรคอารมณ์สองขั้ว เป็นโรคที่หลายคนสับสนกับโรคซึมเศร้าอยู่มาก เพราะเหมือนจะมีอารมณ์ช่วงซึมเศร้าที่เหมือนๆ กัน แต่ความจริงแล้ว แตกต่างกันค่ะ เพราะอย่างที่ชื่อโรคบอกเลย ไบโพลาร์ มีอารมณ์ 2 ขั้วเกิดขึ้น ช่วงอารมณ์ดิ่ง กับช่วงอารมณ์ขึ้น แต่ทั้งสองโรคก็เกิดจากความผิดปกติของเคมีในสมองเหมือนกัน

    ไบโพลาร์ นับเป็นความผิดปกติทางอารมณ์ ที่เกิดจากเคมีในสมองไม่สมดุลกัน มีความผิดปกติตรงที่ เดี๋ยวซึมเศร้า เดี๋ยวแอคทีฟ บางครั้งก็อาจจะก้าวร้าว ไม่ใช่อาการเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย

    อ่ะ แบบนี้ก็เข้าเค้าแม่กลิ่นอยู่นะ เพราะว่านางออกจะก้าวร้าว และมีช่วงเศร้าๆ และนางก็ไม่ใช่สายเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เพราะร้ายคงเส้น คงวาเลยล่ะ

    ไบโพลาร์คือ

    ไบโพลาร์ อย่างที่บอกว่าเป็นอาการที่เกิดสารเคมีในสมองไม่สมดุล นั่นก็คือสารสื่อประสาท 3 ตัว ได้แก่

    • นอร์เอพิเนฟริน ทำให้ตื่นตัว ในผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้า พบว่ามีนอร์เอพิเนฟรินต่ำกว่าปกติ แต่ในผู้ที่มีอาการคลุ้มคลั่ง จะพบสารตัวนี้สูงกว่าปกติ
    • เซโรโทนิน ในสมองและระบบประสาท ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์สงบ และความสุข ระงับความก้าวร้าว ในผู้ที่มีอาการก้าวร้าวจะพบสารตัวนี้ต่ำกว่าปกติ
    • โดพามีน เป็นสารแห่งความสุข ความดีใจ อารมณ์ในแง่บวก และในกลุ่มผู้ที่มีปัญหาด้านสภาวะอารมณ์อาจพบสารตัวต่ำกว่าปกติ

    เมื่อสารเคมีสำคัญทั้ง 3 ตัวในสมองไม่สมดุลกัน ในบางจังหวะอาจมีบางตัวมากเกินไป หรือน้อยเกินไป จึงส่งผลให้เกิดเป็นโรคอารมณ์สองขั้วนั่นเอง

    ไปบอกแม่กลิ่นดีไหมนะ ว่าออเจ้าไม่ได้โดนมนต์ดำ แต่สารเคมีไม่สมดุลกัน

    ทั้งนี้ แพทย์หญิงพรทิพย์ ศรีโสภิต ผู้ชำนาญการด้านจิตเวชศาสตร์ โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคดังกล่าวว่า เป็นโรคที่ยากจะคาดเดาได้ว่า จะออกมาในรูปแบบใด อาจกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงขึ้นได้ จึงต้องอาศัยความเข้าใจจากคนรอบข้างเป็นอย่างมาก

    แม่กลิ่นพรหมลิขิต

    นั่นไง! ยายกุยไม่เข้าใจแม่กลิ่น จับมาเฆี่ยน บางก็ว่า ด่า ก็เหมือนเป็นการกระตุ้นให้ยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้นไปอีก

    ทั้งนี้มีข้อมูลว่า แม้โรคไบโพลาร์จะเกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง ที่มาจากสิ่งแวดล้อม แรงกดดันต่างๆ แต่ก็มีงานวิจัยยืนยันว่า หากมีญาติที่เป็นโรคความผิดปกติทางอารมณ์ ก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ได้สูงกว่าคนทั่วไปถึง 8เท่า!

    อาการของไบโพลาร์

    สำหรับอาการของไบโพลาร์จะแบ่งเป็น 2 ขั้วอารมณ์ คือช่วงอารมณ์ขึ้น (แสดงออกได้หลายแบบ บางคนอาจจะแอคทีฟมากกว่าปกติ บางคนอารมณ์ดี ส่วนบางคนอาจจะเป็นกริยาก้าวร้าว รุนแรง) กับช่วงอารมณ์ดิ่ง (หรืออารมณ์ซึมเศร้า) โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อย่างฉับพลัน ไม่บอกกล่าวล่วงหน้า และบางครั้งอาจคงอยู่ได้นานเป็นเดือน หรือสัปดาห์จนไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ

    อารมณ์ขึ้น  (Manic Episode) มีการแสดงออกได้หลากหลายรูปแบบ คือ

    • เชื่อมั่นในตนเองมาก
    • ไม่หลับ ไม่นอน
    • พูดมากกว่าปกติ
    • คิดเร็ว ทำเร็ว
    • ไม่มีสมาธิ
    • กระสับกระส่าย สรรหากิจกรรมต่างๆ ทำ
    แม่กลิ่น

    อารมณ์ดิ่ง (Depressive Episode) มีอาการคล้ายโรคซึมเศร้า

    • ความต้องการอาหารผิดปกติ อาจมากหรือน้อยลง
    • การนอนหลับผิดปกติ อาจนอนมากหรือน้อยลง
    • กระสับกระส่ายหรือเชื่องช้ามากขึ้น
    • อ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง
    • รู้สึกตนเองไร้ค่า
    • รู้สึกผิดที่มากผิดปกติ
    • สมาธิแย่ลง หรือตัดสินใจอะไรได้ยากขึ้น

    และเพราะในช่วงอารมณ์ดิ่งนี้เองที่มีลักษณะคล้ายโรคซึมเศร้า จึงทำให้โรคไบโพลาร์มีความน่ากลัวคือ เป็นโรคที่หากไม่สังเกต อาจไม่เห็นความผิดปกติ เพราะมีทั้งช่วงที่กระรือร้นเหมือนคนทั่วไป และช่วงที่ซึมเศร้า จึงทำให้อาจนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้ โดยไม่มีสัญญาณบอกเหตุให้รู้ล่วงหน้า หรือแม้แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังป่วยอยู่!

    การรักษาไบโพลาร์

    นับเป็นข่าวดีอย่างหนึ่งคือ ในปัจจุบันมียาที่มีประสิทธิภาพสูง รักษาอาการได้ (ไม่ต้องแก้มนต์ดำอย่างที่แม่กลิ่นกังวล) แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งผู้ป่วย และคนรอบข้างใกล้ชิด โดยยาจะเข้าไปปรับสมดุลเคมีในสมองให้อยู่ในระดับปกติ แต่ก็อาจมีบางรายที่อาจต้องเข้าทำจิตบำบัด เพื่อปรับความคิดและพฤติกรรม โดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้เวลาในการรักษานานประมาณ 6 เดือน – 2 ปี

    สิ่งสำคัญคือผู้ป่วยจะต้องปฏิบัติตามที่จิตแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ห้ามหยุด หรือปรับลด เพิ่มยาเองโดยเด็ดขาด รวมถึงไปตามนัดทุกครั้งแม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพราะไม่อย่างนั้นอาจทำให้อาการรุนแรงเพิ่มขึ้นได้ และอาจนำไปสู่การสูญเสีย

    การดูแลผู้ที่เป็นไบโพลาร์ สำหรับญาติและคนรอบข้าง

    โรคที่เป็นความผิดปกติทางอารมณ์เช่นนี้ การดูแลใส่ใจจากคนรอบข้างมีความสำคัญอย่างมากเลยค่ะ โดยกรมสุขภาพจิตแนะนำ 4 ข้อห้าม ที่ผู้ใกล้ชิดห้ามทำเด็ดขาด คือ

    1.ใช้อารมณ์กับผู้ป่วย

    2.ทะเลาะ ขัดแย้งกับผู้ป่วย

    3.ควบคุม จัดการชีวิตผู้ป่วย

    4.ไม่ยอมรับในตัวผู้ป่วย

    ส่วนที่ต้องให้ความร่วมมือ เพื่อให้รักษาหายจากโรคไบโพลาร์ คือ

    1. ดูแล เอาใจใส่
    2. ทำความเข้าใจกับโรค
    3. ให้กำลังใจ

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    อะเฟเซีย ภาวะสมองเสื่อม เสียการสื่อความ ของ บรูซ วิลลิส

    10 สารอาหาร ห่างไกล โรคซึมเศร้า แค่กินเป็น ก็มีความสุข

    ซึมเศร้า เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

    ที่มาข้อมูล

    • สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล
    • RAMA CHANNEAL
    • กรมสุขภาพจิต
    • โรงพยาบาลพระราม 9
    • โรงพยาบาลเปาโล

    ที่มารูป ละครพรหมลิขิต

    Posted in MIND
    BACK
    TO TOP
    Riya
    Writer
    เซรั่มวิตามินซี

    ผิวใส ไร้ริ้วรอย จุดด่างดำ เซรั่มวิตามินซีช่วยคุณได้

    ในยุคที่แสงแดดแรงกล้ายิ่งกว่า ทะเลทรายซาฮาร่า หลาย ๆ คนอาจจะกังวลเกี่ยวกับสุขภาพผิวของตัวเอง เนื่องจากว่าแสงแดดเนี่ย อันตรายกับผิวเรามาก ๆ ไม่ว่าจะทำให้ผิวแสบร้อนไหม้ ทำให้เกิดรอย และจุดด่างดำมากมาย วันนี้เลยจะมาแนะนำ เซรั่มวิตามินซี ตัวช่วยให้ผิวดูสว่างใสและจุดด่างดำจางลง ตัวช่วยให้สาว ๆ หลายท่านหรือจะหนุ่ม ๆ ที่สนใจจะดูแลเจ้าผิวอันแสนบอบบางก็ได้นะ จะมีประโยชน์อะไรยังไง มาดูกันนน

    รู้จักเซรั่ม

    เซรั่ม คือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหนังที่มีโมเลกุลขนาดเล็กมาก เนื้อของเซรั่มจะบางเบากว่าครีม โดยจะมีลักษณะเป็นของเหลวกึ่งเจล สีมีความใส หรือขุ่น ขึ้นอยู่กับส่วนผสม สารสกัด และการออกแบบของแต่ละสูตร สิ่งสำคัญของของเซรั่มคือ จะมีความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์สำคัญ (Active Ingredients) ที่สูงกว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวประเภทอื่น ๆ จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการฟื้นบำรุงผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง สามารถใช้ได้ในปริมาณน้อย เพียงไม่กี่หยด แต่ยังคงให้ผลลัพธ์ที่ดี และเป็นเพราะมีโมเลกุลขนาดเล็กเลยทำให้ซึมเข้าผิวเราได้ดีนั่นเองค่ะ

    วิตามินซี

    เป็นวิตามินที่สามารถละลายในน้ำได้ ร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นมาเองตามธรรมชาติ ในแง่ของเรื่องผิว วิตามินซีเป็นอาหารผิวที่ดีมาก ๆ เพราะช่วยบำรุงผิวพรรณ ชะลอริ้วรอย ทำให้ผิวขาวเปล่งปลั่งสุขภาพดี และยังสามารถกระตุ้นให้สร้างคอลลาเจนที่ทำให้ผิวยืดหยุ่น กระชับและเต่งตึงได้อีกนะ

    ดังนั้น เซรั่มวิตามินซี ก็คือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวโมเลกุลขนาดเล็ก ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี ช่วยในเรื่องของการลดริ้วรอย จุดด่างดำ และทำให้ผิวดูกระจ่างใสสุขภาพดีนั่นเอง

    เซรั่มวิตามินซี มีประโยชน์อย่างไร

    เพราะเซรั่มมีเนื้อที่บางเบากว่าครีม ทำให้รู้สึกไม่เหนอะหนะเวลาทาบนผิว เซรั่มเลยเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก และเซรั่มวิตามินซี ก็ถูกนำมาใช้ดูแลผิวมาอย่างยาวนานเพราะมีประโยชน์มากมาย ดังนี้

    • ช่วยให้ผิวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะวิตามินซีมีฤทธิ์เป็นกรด ช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานินในชั้นผิว ทำให้ผิวดูสว่างขึ้น เป็นการปรับสีผิวตามกลไกธรรมชาติทำให้ไม่อันตรายต่อผิว
    • เพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิว วิตามินซีให้ทั้งความชุ่มชื่นและสามารถเก็บความชุ่มชื่นให้ผิวได้เป้นอย่างดี ทั้งยังควบคุมความมันบนใบหน้า เพราะถ้าผิวมีความชุ่มชื่นอยู่แล้ว จะทำให้ต่อมไขมันทำงานได้น้อยลง ไม่เกิดความมันส่วนเกินบนส่วนเกินบนใบหน้าขึ้น
    • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อายุมากขึ้น ริ้วรอยก็เพิ่มขึ้น การสร้างคอลลาเจนใต้ผิวก็ลดลง โดยคนที่ผิวแห้งก็จะสร้างคอลลาเจนได้น้อยกว่าผิวประเภทอื่น ๆ การใช้เซรั่มวิตามินซีจึงจะช่วยไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ชั้นใต้ผิวได้ดีขึ้น
    • ป้องกันการเกิดริ้วรอย ช่วยป้องกันละชะลอการเกิดริ้วรอยตามวัย
    • ช่วยให้ผิวกระชับ เรียบเนียน เนื่องด้วยเซรั่มมีเนื้อที่บางเบา ทำให้ซึมเข้าสู่ผิวได้ดี ฟื้นฟูผิวได้เร็ว เห็นผลชัดเจน ส่วนวิตามินซีช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและให้ความชุ่มชื่นแก่ผิว เมื่อรวมสองอย่างเข้าด้วยกัน จึงทำให้ผิวดูกระชับ ดูเรียบเนียนและเต่งตึง ทั้งนี้ยังส่งผลให้รูขุมขนดูเล็กลงด้วย
    • ช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากแสงแดด อย่างที่รู้ ๆ กันว่าแสงแดดนั้นทำร้ายผิวเป็นอย่างมาก เซรั่มวิตามินซีจึงเป็นตัวช่วยในการลดผลกระทบและฟื้นฟูสภาพผิวที่เกิดจากแสงแดดทำร้ายได้เป็นอย่างดี
    • ลดการระคายเคืองจากคลอรีน เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่น่าอัศจรรย์ของเซรั่มวิตามินซีที่สามารถช่วยกู้หน้าพังที่เกิดจากการระคายเคืองหลังจากลงสระว่ายน้ำที่ใส่สารคลอรีน
    • ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวในระดับเซลล์ผิว ด้วยความสามารถในการซึมลงผิวอย่างรวดเร็วไปถึงผิวชั้นลึกของเซรั่มวิตามินซี ทำให้มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูสภาพผิวถึงระดับเซลล์ที่ลึกขึ้น เพิ่มความแข็งแรงและความสดใสให้ผิวมากขึ้นด้วย
    • ช่วยลดปัญหาสิว น้ำมันที่อยู่บนชั้นผิว เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สิ่งสกปรก ฝุ่น ควันต่าง ๆ ไปเกาะติดอยู่บนผิวหน้า จนทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดเป็นสิวประเภทต่าง ๆ ตามมา เซรั่มวิตามินซี สามารถช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ ทั้งยังช่วยขจัดน้ำมันที่อยู่บนชั้นผิวให้น้อยลง จึงทำให้สิวลดลงด้วยเช่นกัน

    ประเภทของเซรั่มวิตามินซี

    เซรั่มวิตามินซี Soluble Collagen

    Soluble Collagen หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “คอลลาเจนที่สามารถละลายในน้ำได้” โดยเมื่อนำเซรั่มวิตามินประเภทนี้มาทาลงบนผิว จะมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างโปรตีนหลักของผิวหนังให้มีความแข็งแรงและผิวมีความชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้น แต่ให้ประสิทธิภาพในการซึมซาบเข้าสู่ชั้นผิวค่อนข้างช้า

    เซรั่มวิตามินซี Hydrolyzed Collagen

    Hydrolyzed Collagen เป็นคอลลาเจนแบบเอนไซม์ ที่มีคุณสมบัติในการบำรุงผิวพรรณให้สดใส เพิ่มความแข็งแรง ช่วยลดเลือนริ้วรอย ทั้งยังช่วยยกกระชับผิวให้เต่งตึง เนื้อสัมผัสบางเบา สามารถซึมลึกลงสู่ชั้นผิวได้อย่างรวดเร็ว

    ข้อจำกัดในการใช้เซรั่มวิตามินซี

    ถึงจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ไม่ควรใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์หรือสารสกัดบางประเภท เพื่อไม่ให้ผิวเกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองนะ

    • ไม่ควรใช้เซรั่มวิตามินซีร่วมกัน Benzoyl Peroxide เพราะอาจจะทำให้เกิดปฏิกิริยาอ็อกซิเดชั่น(oxidation) ซึ่งจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซีมีการเปลี่ยนสี และมีแนวโน้มที่จะทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคืองได้
    • ไม่ควรใช้เซรั่มวิตามินซีร่วมกัน AHA/BHA ทั้ง AHA และ BHA มีความเป็นกรดอ่อน ๆ ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว (Exfoliate Factor) ซึ่งทั้งสองตัวนี้ทำหน้าที่เหมือนกับวิตามินซี สามารถช่วยลดลเลือนจุดด่างดำ ดังนั้นหลายคนจึงเกิดความเข้าใจผิด อยากจะเร่งให้ผิวขาวใสแบบเร่งด่วน อยากให้รอยดำและรอยสิวลดลงอย่างรวดเร็ว จึงพยายามใช้ AHA และ BHA ร่วมกับวิตามินซี การทำเช่นนี้เป็นการทำร้ายผิวมากกว่าการช่วยผลัดเซลล์ผิวหนัง ดังนั้นควรใช้สลับกัน และควรทาควบคู่กับครีมกันแดด เนื่องจากเป็นสารที่ไวต่อแสงมาก
    • ไม่ควรใช้เซรั่มวิตามินซีร่วมกัน คอลลาเจน(Collagen) การใช้เซรั่มวิตามินซีร่วมกับคอลลาเจน ทำให้เนื้อของผลิตภัณฑ์จับตัวเป็นก้อนอยู่บนผิว ในหนึ่งวัน สามารถใช้เซรั่มวิตามินซีและคอลลาเจนคนละเวลาได้ แต่ไม่แนะนำให้ทาในเวลาเดียวกัน
    • ไม่ควรใช้เซรั่มวิตามินซีร่วมกัน Niacinamide Niacinamide คือวิตามินบี 3 ที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ช่วยเพิ่มระดับของคาราไมด์(Ceramide) ที่มีคุณสมบัติในการช่วยปกป้องและรักษาผิวให้ฟื้นคืนสู่สภาพจากการขาดน้ำ และถ้าหาก Niacinamide เข้มข้นเจอกับวิตามินซี จะทำให้วิตามินซีเปลี่ยนสีและประสิทธิภาพลดลง และสามารถทำให้ผิวระคายเคืองได้อีกด้วย

    ใช้ เซรั่มวิตามินซี ตอนไหนดี ?

    แนะนำให้ทาตอนเช้าก่อนลงครีมกันแดด และเป็นตอนกลางคืนหลังจากที่ล้างหน้า และเช็ดโทนเนอร์เสร็จ จะทำให้ได้ผลดีสุด ๆ

    ผิวแบบไหนควรใช้ใช้เซรั่มวิตามินซีแบบไหน

    เซรั่มวิตามินซีมีหลากหลายสูตรตามสภาพผิวของแต่ละคน ดังนี้

    • ผิวแห้ง ควรเลือก เซรั่มวิตามินซี สูตรที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและเพิ่มความสดใสให้กับผิว
    • ผิวมัน ควรเลือก เซรั่มวิตามินซี ในสูตรที่มีส่วนผสมของน้ำ หรือกรดซาลิไซลิกที่ช่วยกำจัดน้ำมันที่ค้างอยู่บนผิว
    • ผิวผสม ควรเลือก เซรั่มวิตามินซี สูตรน้ำ ที่สามารถช่วยปรับสภาพของผิวพรรณโดยรวมให้มีความสมดุลมากยิ่งขึ้น

    เซรั่มวิตามินซี ควรมีปริมาณวิตามินซีเท่าไหร่ ถึงจะดีและไม่เป็นอันตรายต่อผิว

    โดยปกติแล้วในสกินแคร์ควรจะมีวิตามินซีอยู่ที่ 10-15 % เพราะเป็นปริมาณที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวได้น้อย ถ้าเกิดใช้ เซรั่มวิตามินซี ตัวไหนแล้วเกิดการระคายเคือง แสบผิว เป็นไปได้ก็อาจจะเป็นเพราะความเข้มข้นของวิตามินซีนั้นมีเยอะเกินไป แต่สำหรับคนที่ผิวแข็งแรงก็สามารถใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซีมากกว่า 15 % ก็ได้นะ

    ข้อควรระวังในเลือกซื้อเซรั่มวิตามินซี

    –           อย่าเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณวิตามินซีที่สูงเกินไป

    –           หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือแอลกอฮอล์

    แนะนำ 4 เซรั่มวิตามินซี ช่วยผิวใส ลดผิวแห้งกร้าน สุดปังรับลมหนาว

    แน่นอนแล้วว่าหน้าหนาวแดดอาจจะไม่ได้แรงเท่าหน้าร้อน แต่ก็อย่าชะล่าใจไปเชียวนะ เพราะหน้าหนาวทำให้เราผิวแห้งกร้าน ขาดความชุ่มชื่น แล้วแสงจากแสงไฟก็สามารถทำร้ายเราได้เหมือนกัน เราจึงต้องหมั่นเติมความชุ่มชื่นและบำรุงผิวอันบอบบางของเราให้สวยใสอยู่ตลอดเวลา วันนี้เลยจะมาแนะนำ เซรั่มวิตามินซี 4 ยี่ห้อ ที่หาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แรง น้อง ๆ นักเรียนนักศึกษาก็สามารถจับต้องได้ มียี่ห้อไหนบ้างมาดูกันนนน

    1.เซรั่มวิตามิน Boots Vitamin C Brightening Intensive Serum

    จากที่เคยใช้มาอยากแนะนำ เซรั่มวิตามินซีของ Boots เพราะประกอบไปด้วยวิตามินซี 2 เท่า** และสารสกัดจากยูสุ เซรั่มเข้มข้นเนื้อบางเบา ช่วยบำรุงผิวให้เรียบเนียนและช่วยให้สีผิวให้สม่ำเสมอ ผิวดูกระจ่างใสขึ้นใน 7 วัน * เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว เทคเจอร์เนื้อเซรั่มจะเป็นสีส้มอ่อนใส ๆ พอทาแล้วจะซึมเข้าผิวไวมากกก ไม่เหนียวเหนอะหนะ กลิ่นหอมส้มยูสุสดชื่นมาก ๆ พอตื่นเช้าขึ้นมาจะรู้สึกว่าผิวหน้าของเราเต่งตึง แบบเฟรช ๆ หน้าไม่มันด้วย

    เหมาะกับใคร : คนที่มีรอยดำ และอยากปกป้องผิวจากแสงแดด

    *ผลการประเมินตนเองจากอาสาสมัคร 100 คน โดย 75 คนในนั้นรู้สึกว่าผิวดูกระจ่างใสขึ้นภายใน 7 วัน

    **3-O-เอทิล แอสคอร์บิก แอซิด, แอสคอร์บิล เตไตรโซปาลมิเตต

    ปล. ไม่แนะนำให้ใช้กับคนที่ผิวหน้ามันมาก ๆ หรือสิวเห่อหนัก เพราะจะยิ่งทำให้หน้ามันมาก ๆ (เป็นเพียงประสบการณ์ผู้ใช้โดยตรง) แล้วถ้าใช้ตอนมีสิวอักเสบเห่อหนัก ๆ จะทำให้ผิวหน้าแพ้ง่ายไปอีกกก และอักเสบมากกว่าเดิมด้วยนะ ใด ๆ คือรักษาสิวก่อน ค่อยใช้เซรั่มวิตามินซีจะดีกว่านะ

    บู๊ทส์ วิตามินซี ไบรท์เทนนิ่ง อินเทนซีฟ เซรั่ม 30มล

    ราคา 349 บาท และ ขนาด 10 มล ราคา 119 บาท

    พิกัด ที่ร้าน Boots ทุกสาขา

    2.เซรั่มวิตามินซี Merci Vitamin C Extra Bright Serum

    เซรั่มตัวนี้ เป็นเซรั่มวิตามินซีสูตรเข้มข้น ที่รวมวิตามินซีถึง 3 ชนิดในขวดเดียว เทคเจอร์เค้าจะเป็นเนื้อเซรั่มสีขาวขุ่น ๆ แต่เนื้อเบามากกกก ซึมเข้าสู่ผิวไวมากกก และเค้าก็ไม่ได้มีแค่วิตามินซีนะ ยังมีว่านหางจระเข้ที่ช่วยลดการระคายเคืองของผิว เติมความชุ่มชื่น มีแพลงตอนที่มาจากกระบวนการ Biotechnology คิดค้นจากประเทศฝรั่งเศส ได้รับรางวัลเหรียญเงิน BSB Innovation Award 2016 ช่วยลดและยับยั้งการเกิดจุดด่างดำและความหมองคล้ำของผิว มีวิตามินอี ที่ช่วยให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื่นไม่แห้งกร้านและยังมีวิตามินบี 3 ที่จะเข้ามาช่วยในเรื่องของริ้วรอยอีกด้วย ส่วนตัวมองว่าเป็นเซรั่มที่ใช้ดีมาก ๆ เพราะลดรอยแดงอักเสบของสิวได้แบบไวมาก ๆ แล้วยังให้ความรู้สึกว่าผิวหน้าอิ่มฟูอยู่ตลอดเวลา ตอบโจทย์คนเป็นสิวที่อยากลดรอยแดงแล้วยังอยากผิวขาวใสอีกด้วยนะ เรียกได้ว่า 2 อิน 1 กันเลยทีเดียวล่ะ

    เหมาะกับใคร : คนเป็นสิวที่อยากลดการอักเสบ และริ้วรอยบนใบหน้า

    ข้อแนะนำ ควรใช้เป็นประจำทุกวัน

    เซรั่ม วิตามินซี Merci Vitamin C Extra Bright Serum

    ขนาด 2 ml. ราคา 59 บาท และ ขนาด 10 ml. ราคา 390 บาท

    พิกัด Lazada, Shopee, Watson, Konvy, MERCI Skin Care, 7-11

    3. Oriental Princess Advanced Brightening Serum

    สำหรับเซรั่มตัวนี้ มีวิตามินซีบริสุทธิ์ 100% เข้มข้น 10% จุดเด่นของเค้าคือ Prime C Complex ที่เป็นสารสกัดลิขสิทธิ์เฉพาะจาก Oriental Princess เลยค่ะ ซึ่งจะช่วยไปรีไซเคิลวิตามินซีในผิวให้กลับมาทำงานอีกครั้ง มีส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติอื่น ๆ ที่จะช่วยดีท็อกเซลล์ผิวเสียของเราออกไป ทำให้ผิวกระจ่างใส ไร้จุดด่างดำ เทคเจอร์เค้าจะเป็น เนื้อเซรั่มเข้มข้น ซึมไวมากกกก มองว่าเป็นเซรั่มที่ตอบโจทย์คนที่ผิวโทรม ผิวล้าจากมลภาวะต่าง ๆ แถมตัวเซรั่มยังมีกลิ่นหอมสดชื่นไม่ฉุนอีกด้วยนะ

    เหมาะกับใคร : คนที่ต้องการ Detox ผิว ผลัดเซลล์ผิวเสียให้หลุดออกไป 

    ราคาประมาณ : 895 บาท

    ปริมาณ : 30 ml

    พิกัด : ช็อป Oriental Princess ทุกสาขา

    4. Cute Press Super Strength 10% Vitamin C Booster Serum

    เป็นเซรั่มที่ห้ความรู้สึกเหมือนเจลแต้มสิวหน่อย ๆ เซรั่มวิตามินซีตัวนี้มีความเข้มข้น 10% ซึ่งวิตามินซีที่ใช้ในขวดเป็นอนุพันธ์ เรียกว่า Ascorbyl Glucoside ไม่มีความเป็นกรด เซรั่มตัวนี้จะช่วยในเรื่องของรอยดำ รอยแดงของสิว ช่วยให้ใบหน้าขาวกระจ่างใสได้ แต่เนื่องว่าตัวเทคเจอร์ของเซรั่มตัวนี้จะกึ่งครีมหน่อย ๆ ทำให้ไม่เหมาะกับคนเป็นสิวหรือผิวแพ้ง่าย เพราะอาจจะทำให้เกิดสิวอุดตันตามมาได้ค่ะ ถ้าไม่ซีเรียสอะไรมาก เอามาไว้แต้มรอยแดงจากสิวไม่ทาทั้งหน้า มันก็โออยู่นะ เพราะในเรื่องของรอยแดงเจ้าเซรั่มตัวนี้ทำงานได้ดีเลยแหล่ะ อาจจะถูกใจสายสิวอักเสบที่มีไม่เยอะก็ได้นะ

    เหมาะกับใคร : ไว้แต้มรอยแดงจากสิว

    ราคาประมาณ : 499 บาท

    ปริมาณ : 30 ml

    พิกัด : ช็อป Cute Press ทุกสาขา

    คำเตือน

    1. ห้ามใช้กับผิวหนังที่ระคายเคืองหรือแตกหัก หยุดใช้หากมีผื่นเกิดขึ้น

    2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับดวงตาโดยตรง หากผลิตภัณฑ์เข้าตาให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาดทันที

    3.อย่ากลืน

    4. เก็บให้พ้นมือเด็ก

    5. เก็บให้ห่างจากความร้อนและแสงแดดโดยตรง

    เป็นไงบ้างคะ กับ 4 เซรั่มวิตามินซีที่เราคัดสรรมา น่าใช้มั้ยล่ะคะ แต่ก่อนจะเลือกใช้สกินแคร์อะไรก็ตาม ควรเช็คสภาพผิวหน้าตัวเองก่อนซื้อด้วยนะ เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงการแพ้ และจะได้เกิดผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ แล้วบทความต่อไปเราจะมาพูดถึงประโยชน์ของสกินแคร์ตัวไหน รอติดตามกันด้วยนะคะ <3

    ขอบคุณข้อมูลจาก

    SKINPHILIC

    mesoestetic

    แนะนำบทความที่น่าสนใจ

    รังนกดีกับผิวพรรณ เพิ่มภูมิคุ้มกัน

    เคล็ดลับอัพผิวสวยปัง ด้วย วิธีดูแลผิว ของผู้หญิงแต่ละช่วงวัย สวยสุขภาพดีอยู่เสมอ

    10 สุดยอด อาหารผิวสวย ช่วยฟื้นฟูความงามจากภายใน

    ปัญหา “ผมร่วง ผมบาง” รู้ก่อน แก้ไขได้ก่อน

    รวมมิตรวิธีแก้ไข ผมร่วง ผมบาง สร้างผมให้แข็งแรง

    หลายคนต้องเคยประสบกับปัญหา “ผมบาง ผมร่วง” กันบ้าง ไม่ใช่แค่ผู้ชายเท่านั้นผู้หญิงก็มีปัญหาผมบางได้เช่นกัน วันนี้เราจะมาให้ข้อมูลถึงสาเหตุ รู้สาเหตุจะได้หาทางรับมือและแก้ไขได้ตรงจุด

    ผมร่วง ผมบาง และสัญญาณที่ซ่อนอยู่

    ดร.พญ.พลินี รัตนศิริวิไล ผู้เชี่ยวชาญโรคเส้นผมและหนังศีรษะ โรงพยาบาล พญาไท 1 ได้กล่าวถึงภาวะผมร่วงและผมบางไว้ว่า ไม่เพียงส่งผลต่อบุคคลิกภาพ แต่ยังอาจเป็นสัญยาณของปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น

    • ภาวะขาดสารอาหาร
    • ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล

    ซึ่งปัญหาผมร่วง ผมบางนี้ นับได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่คุกคามคนทั่วโลก เพราะทำให้ขาดความมั่นใจ จนอาจทำให้เสียบุคลิกภาพที่ดีไปเลย มีข้อมูลระบุไว้ว่ามีคนไทยถึง17 ล้านคนที่ประสบปัญหานี้ และพบมากในกลุ่มผู้ชาย ตั้งแต่วัยรุ่น นถึงวัยชรา

    สาเหตุใด ทำไมจึงผมร่วง?

    ปัญหา ผมร่วง ผมบาง เกิดขึ้นได้หลายปัจจัยเลยค่ะ ทั้งจากความเครียด พฤติกรรม แต่ที่ทำให้เกิดปัญหาในกลุ่มคนส่วนใหญ่ คือเรื่องกรรมพันธุ์ แต่นอกจากนั้นก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วยคือ

    • ฮอร์โมนไม่สมดุล
    • ต่อมไทรอยด์ทํางานไม่ปกติ
    • ภาวะขาดสารอาหาร
    • น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว
    • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
    • การให้เคมีบำบัด
    • เชื้อราบนหนังศีรษะ
    • ผิวหนังอักเสบ
    • โรคผมร่วงเฉพาะจุด
    • แพ้สารเคมีที่ผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ

    ผมร่วง ผมบาง ตามพันธุกรรม

    อย่างที่แอดได้กล่าวไว้แล้วว่า พันธุกรรมเป็นต้นตอหลักที่ทำให้เกิดปัญหาผมร่วง ผมบาง ซึ่งเกิดได้ทั้งกับผู้หญิง และผู้ชายเลยล่ะค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีความแตกต่างกันอยู่นะคะ

    ผมร่วง ผมบางเพราะพันธุกรรมในผู้หญิง จะเกิดขึ้นมากในช่วงกลางศีรษะ โดยเฉพาะบริเวณรอกแสกที่จะกว้างขึ้นเรื่อยๆ เห็นผิวหนังศีรษะมากขึ้น

    ผมร่วง ผมบางเพราะพันธุกรรมในผู้ชาย จะเริ่มเกิดปัญหาขึ้นมากในวัย 40 ขึ้นไป โดยเริ่มจากผมบางลง มีความหนาแน่นน้อยลง ผมเส้นเล็กลง รวมถึงพื้นที่หน้าผาก หรือขมับที่เพิ่มขึ้น

    ผมร่วง ผมบางจากโรค “ผมร่วงเป็นหย่อม”

    เป็นอีกหนึ่งโรคที่ทำให้เกิดภาวะผมร่วงโดยตรง นั้นก็คือ โรคผมร่วงเป็นหย่อม เป็นอาการที่ผมร่วงเป็นหย่อมอย่างเฉียบพลัน บางครั้งอาจเกิดขึ้นกับเส้นขนในบริเวณอื่นของร่างกายได้ เช่น คิ้ว หนวด การอักเสบนี้ไม่ได้ทำลายรูขุมขนอย่างถาวร ดังนั้นหลังโรคสงบลง ผมหรือเส้นขนจะสามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้

    สำหรับโรคดังกล่าวนี้ เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้กับทั้งผู้หญิง และผู้ชาย แต่ก็เป็นโรคที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย โดยมีเพียง 2% ของคนบนโลกเท่านั้น ที่เป็นโรคนี้ และเพราะมีการเกิดขึ้นได้น้อย จึงยังไม่ทราบสาเหตุที่มาของโรคได้อย่างแน่ชัด แต่คาดว่าน่าจะเกิดจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกันร่างกายที่ทำลายรูขุมขน รวมไปถึงมีความเกี่ยวข้องกับโรคบางอย่าง เช่น ไทรอยด์ ด่างขาว รวมไปถึงความเครียด ก็ทำให้เกิดโรคนี้ได้เช่นกัน

    ความรุนแรงของโรคผมร่วงเป็นหย่อม

    เป็นโรคที่มีระดับความรุนแรง แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ

    1. Alopecia areata (AA) : เป็นระดับเริ่มต้น อาการคือ ผมร่วงเป็นหย่อมๆ อาจมีคิ้ว หนวด และขนที่ลำตัวร่วงบางด้วยเล็กน้อย
    2. Alopecia totalis (AT) : เป็นระยะกลางของโรค อาการคือ ผมร่วงหมดทั้งศีรษะ
    3. Alopecia universalis (AU) : เป็นระยะสูงสุดของโรค คือผม และขนทั้งลำตัวหลุดร่วงทั้งหมด

    การรักษาโรคผมร่วงเป็นหย่อม

    ในผู้ป่วยบางราย ไม่จำเป็นต้องรักษา ผมสามารถขึ้นใหม่ได้ แต่หากบางรายที่ผมไม่ขึ้น ก็สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาสเตียรอยด์ การใช้ยากระตุ้นภูมิ รวมไปถึงยาแก้ผมร่วง แต่หากมีโรคอื่นร่วมด้วย ก็จะต้องรักษาโรคเหล่านั้นควบคู่กันไป

    ยาปลูกผม ช่วยผมดกขึ้นได้จริงหรือ?

    ยาปลูกผม เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่แอดว่าใครๆ ก็ต้องนึกถึงหากว่าปัญหาผมร่วง ผมบางมาเยือน แต่จะช่วยได้จริงหรือเปล่านั้นแอดไปหาคำตอบมาให้แล้วเช่นเดียวกันค่ะ แต่ก่อนจะไปอ่านคำตอบ สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ นะคะ

    คำตอบคือ ส่วนมากยังไม่มีงานวิจัยที่แน่ชัดรับรอง

    ยาปลูกผมในท้องตลาดส่วนใหญ่ ยังไม่มีงานวิจัยที่แน่ชัดรับรอง มีแต่เพียงการแสดงผลจากการใช้งานโดยใช้รูปเปรียบเทียบก่อนและหลัง เป็นหลักเท่านั้นเอง! ฟังดูแลเหมือนจะหมดที่พึ่ง แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียวนะคะ เพราะว่า ก็ยังมีคำว่า แต่.. ต่อท้ายนะ นั่นก็คือ

    มียาปลูกผมที่ได้มีงานวิจัยรับรองอยู่ แต่ก็เป็นยาที่รักษาอาการผมร่วงจากพันธุกรรม ซึ่งส่วนใหญ่จะจ่ายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และได้ผลเป็นที่น่าพอใจมากทีเดียวค่ะ โดยได้รับความพึงพอใจสูงสุดถึง 80

    รู้แบบนี้แล้ว หากมีปัญหาเรื่องผมก็ควรปรึกษาคุณหมอนะคะ เพราะว่ายาในท้องตลาดทั่วไปอาจเสี่ยงเจอยาที่ไม่ได้รับการรับรองจาก อย. หรือใส่เลข อย. ปลอมก็ได้ค่ะ

    ทริคสระผม ลดผมร่วง ผมบาง

    อีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยลดปัญหา ผมร่วง ผมบางได้นั้น ก็คือ วิธีการสระผมค่ะ อย่ามองว่าเป็นเรื่องเล็กๆ นะคะ เพราะหากสระผมผิดวิธี ยิ่งเราสระผมบ่อยเท่าไหร่ ก็เป็นการทำลายสุขภาพเส้นผมเท่านั้น และกระตุ้นให้ผมร่วงได้! ดังนั้นแล้วแอดก็เลยไปเสาะหาวิธีการสระผมที่ถูกต้อง และเป็นเทคนิคที่คนญี่ปุ่นเขาใช้กันค่ะ

    เริ่มต้นด้วยน้ำเปล่า

    ในขั้นตอนนี้ ไม่ใช่แค่เพียงรดน้ำใส่ผม หรือทำให้ผมเปียกเท่านั้น แต่คนญี่ปุ่นถือว่า นี่คือขั้นตอนแรกของการสระผม วิธีที่ถูกต้อง ทำให้ผมเปียก และนวดคลึงหนังศีรษะ เป็นการทำความสะอาดพร้อมๆ กับการที่กระตุ้นเลือดลมให้ไหลเวียนได้ดี ส่งผลให้รากผมแข็งแรง และกระตุ้นการเกิดใหม่ของเส้นผม

    ตีฟองนุ่ม

    ปกติเราก็จะเทแชมพูลงบนฝ่ามือ แล้วไปขยี้ให้เกิดฟองบนศีรษะใช่ไหมคะ?

    แต่คนญี่ปุ่นบอกว่า นี่เป็นวิธีที่ผิด

    ที่ถูกต้องควรจะเป็น ขยี้ให้เกิดฟองที่ฝ่ามือ หรือใช้ตาข่ายตีฟองให้เกิดฟองนุ่มๆ ขึ้นก่อน แล้วนำฟองนั้นมาสระผม เพื่อลดการเสียดสีของเส้นผม และทำให้ผมนุ่ม สวยเป็นเงางาม

    ทำความสะอาดอย่างนุ่มนวล

    การสระผมจุดที่ควรเน้นที่สุดในการทำความสะอาดคือหนังศีรษะ ไม่ใช่เส้นผมนะคะ ดังนั้นจึงควรนวดให้ทั่วอย่างนุ่มนวล ห้ามเกาแรงเด็ดขาด เพราะจะเสี่ยงให้ผมหลุดร่วงได้ ซึ่งวิธีนี้ นอกจากจะกระตุ้นเลือดให้ไหลเวียนได้ดีแล้ว ยังช่วยชะล้างสิ่งสกปรกออกจากหนังศีรษะได้ เพราะเป็นแหล่งหมักหมมชั้นดีเลยละค่ะ

    ทำความสะอาดให้เกลี้ยงเกลา

    เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่ก็ละเลยไม่ได้เช่นเดียวกันค่ะ ทั้งนี้เขาบอกว่า สระผมนานแค่ไหน ก็ควรล้างให้นานกว่านั้น ล้างผมให้มั่นใจว่าไม่หลงเหลือผลิตภัณฑ์ตกค้างอีกแล้ว โดยเฉพาะช่วงท้ายทอย ที่มักเป็นจุดที่ถูกละเลย นอกจากนั้นหากเหลือยาสระผม หรือครีมนวดตกค้าง ก็อาจทำให้เกิดการอุดตัน และอาจนำไปสู่ปัญหาผมร่วงได้

    ดังนั้นแล้ว ต้องล้างผมมให้สะอาดเกลี้ยงเกลานะคะ

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    รอยคล้ำใต้ตา แก้ไขได้ ไม่ยาก

    โบกมือลา ริ้วรอยแห่งวัยด้วยวิธีง่ายๆ

    ทำสีผมบ่อยต้องอ่าน! ทำสียังไงให้ปลอดภัย

    ข้อมูลจาก :

    รศ. นพ.พูลเกียรติ สุชนวณิช หน่วยโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
    โรงพยาบาลพญาไท
    โรงพยาบาลสินแพทย์

    ประโยชน์ของฝรั่ง

    ประโยชน์ของฝรั่ง แค่เริ่มกินก็มีสุขภาพที่ดี

    ฝรั่งจัดเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก หาทานง่าย และยังถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง โดยมีวิตามินซีสูงมากกว่าส้มถึง 5 เท่า เมื่อเทียบกับปริมาณที่เท่ากัน กินอย่างพอดีแล้วจะมีสุขภาพที่ดี ฝรั่งสามารถหาทานได้ตลอดทั้งปี มีอยู่ทุกภาคในประเทศไทย โดยสายพันธุ์ที่นิยมในบ้านเรานั้น ได้แก่ พันธุ์แป้นสีทอง กลมสาลี่ เย็นสอง สาลี่ทอง และกิมจู

    ฝรั่งเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับทุกคน เพราะแค่กินก็มีสุขภาพที่ดีได้ เนื่องจากฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีที่สูง และวิตามินอื่นอีกอย่างละเล็กน้อย เช่น วิตามินเอ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 มีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยชะลอวัยและริ้วรอยต่าง ๆ ได้ ยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร สามารถช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ช่วยปรับระดับการใช้อินซูลินของร่างการให้เหมาะสม และช่วยล้างพิษในร่างกาย ให้ผิวพรรณดูสดใส ช่วยป้องกันมะเร็งได้ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ทำให้ร่างกายมี ภูมิต้านทานโรคมากขึ้น จึงสามารถป้องกันการเป็นไข้หวัดได้ หรือช่วยสร้างและบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพันทำให้แผลหายเร็ว นอกเหนือจากนั้น ยังช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน

    กินฝรั่งยังไง ได้ประโยชน์สูง

    การกินทั้งเปลือกฝรั่งนั้นเป็นผลดี เพราะสามารถคงคุณค่าทางโภชนาการ ไม่ควรกินร่วมกับพริกเกลือ เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์ยังทำให้เราอ้วนขึ้นอีกด้วย ถ้าใครที่อยากลดน้ำหนัก หรือควบคุมน้ำหนักก็สามารถกินในปริมานที่พอดี คือฝรั่ง 100 กรัม  มีปริมาณ 60 แคลอรี ทำให้อิ่มท้อง ในฝรั่ง 1 ผล น้ำหนัก 165 กรัม มีปริมาณ 120 แคลอรี

    ฝรั่งกินช่วงเวลาไหน

    ฝรั่งควรกินก่อนอาหารมื้อหลักสองมื้อหรือในขณะที่ท้องว่าง ก่อนกินอาหาร 30 นาที เพราะไฟเบอร์หรือเส้นใยผลไม้จะช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลเชิงเดี่ยว จึงช่วยลดค่าดัชนีน้ำตาลในอาหาร (Glycemic Index หรือ GI) ซึ่งเป็นค่าบ่งชี้ระดับน้ำตาลในเลือดหลังการกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งการกินอาหารที่มีค่า GI สูง ก็จะยิ่งส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงเร็ว

    นอกจากนั้น การกินผลไม้ระหว่างมื้ออาหาร จะเป็นตัวกระตุ้นการผลิตอินซูลินในร่างกาย ผลก็คือทำให้กระตุ้นความหิวได้มากกว่าปกติอีกด้วย

    ฝรั่งต้องกินสด ๆ เลยไหม

    ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์สูง นอกจากจะมีรสชาติที่หวานน้อย ควรทานฝรั่งสด ๆ เท่านั้น ห้ามทานฝรั่งแช่อิ่ม ฝรั่งดอง หรือฝรั่งแช่บ๊วยโดยเด็ดขาด เนื่องจากมีรสชาติที่ค่อนข้างหวานแล้ว อาจทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น

    ประโยชน์ของฝรั่ง

    ประโยชน์ของฝรั่งต่อร่างกาย

    – ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย

    – มีเส้นใยอาหารสูง เหมาะสำหรับการลดความอ้วน ลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก

    – ใบช่วยแก้อาการปวดเนื่องจากเล็บขบ

    – ใช้ทาแก้ผื่นคัน แผลพุพองได้ใบใช้แก้แพ้ยุง

     – ใบฝรั่งใช้รักษาบาดแผล

     – ใบใช้เป็นยาล้างแผล ดูดหนอง ถอนพิษบาดแผล แก้พิษเรื้อรัง น้ำกัดเท้า

     – รากใช้แก้น้ำเหลืองสี เป็นผี แผลพุพอง

     – ใช้ในการห้ามเลือด ด้วยการใช้ใบมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบริเวณที่มีเลือดออก (ควรล้างใบให้สะอาดก่อน)

    – ช่วยในการดับกลิ่นสาบจากแมลงและซากหนูที่ตาย ด้วยการใช้ฝรั่งสุก 2 – 3 ลูกวางทิ้งไว้ในรัศมีของกลิ่น กลิ่นดังกล่าวก็จะค่อย ๆ หายไป

    – การกินฝรั่งจะช่วยขจัดคราบอาหารบนตัวฟันได้

    ประโยชน์ของฝรั่ง ต่อผิว

    – ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ปกป้องผิวหนังจากอนุมูลอิสระต่าง ๆ

    – มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมากซึ่งช่วยในการชะลอวัยและริ้วรอยตต่าง ๆ ได้ดี

    ประโยชน์ของฝรั่ง ต่อโรค

    – ช่วยลดไขมันในเลือด

    – สรรพคุณของฝรั่งช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง

    – ใช้รักษาโรคอหิวาตกโรค

    – ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง

    – ช่วยรักษาโรคเบาหวาน

    – ช่วยป้องกันอาการผิดปกติของหัวใจได้  

     – นำมาใช้ทำเป็นยาแคปชูลแก้ท้องเสียจากใบฝรั่ง ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม ซึ่งบรรจุแคปซูลละ 250 มิลลิกรัม   

    ข้อควรระวังในการกิน

                1. ผู้หญิงตั้งครรภ์แนะนำว่าไม่ควรกิน หรือไม่ควรกินในปริมาณที่มากเกินไป เพราะฝรั่งอาจจะส่งผลทำให้มีลมภายในช่องท้องมากกว่าปกติ

                2. ฝรั่งมีเส้นใยอาหารมาก หากทานในปริมาณมากเกินความต้องการของร่างกายก็จะส่งผลทำให้เกิดปัญหาท้องผูกตามมาได้

                3. หลีกเลี่ยงการกินฝรั่งคู่กับน้ำตาลและพริกเกลือ เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน รวมถึงผู้ที่เป็นความดันโลหิตที่ชอบทานแบบจิ้มพริกเกลือที่มีปริมาณเกลือโซเดียมมากเกินไป

                4. ไม่ควรกินฝรั่งที่ไม่สด เช่น ฝรั่งแช่อิ่ม ฝรั่งดอง หรือฝรั่งแช่บ๊วยโดยเด็ดขาด อาจทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น

    ฝรั่งถือว่าเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์และคุณค่ามากมาย ดังนั้นการกินฝรั่งในปริมาณที่พอเหมาะนั้น เพื่อสุขภาพที่ดีและเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย อย่างไรก็ตามเราก็ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังให้สม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเปล่าตามที่ร่างกายต้องการ จะช่วยให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ข้อมูลจาก : โรงพยาบาลเพชรเวช , บริษัทจาปิน (กรุงเทพ) จำกัด , โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ , องค์การบริหารส่วนตำบล เขาขาว , โรงพยาบาลรามคำแหง , การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำนักงานใหญ่

    เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

    เลือกกินให้ถูก ป้องกันอัลไซเมอร์

    คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน แป้งดี ๆ ที่ทุกคนควรกิน

    รวมของกินธรรมชาติ อาหารสมอง

    ประโยชน์ของมะเขือเทศ

    ประโยชน์ของมะเขือเทศ มีมาก แถมทานง่ายกว่าที่คิด

    ประโยชน์ของมะเขือเทศ ได้มากกว่าแค่แก้มแดง

    ในยุคสมัยที่ผู้คนหันมาสนใจบำรุงผิวพรรณตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการกิน การทา การฉีดสารเคมีต่าง ๆ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ง่ายและสะดวกสบายต่อคนในยุคสมัยนี้ ผู้เขียนจึงอยากจะมาแนะนำการรับประทานผลไม้เพื่อสุขภาพ ทั้งมีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยให้ผิวดูดีขึ้น เรียกได้ว่าได้ประโยชน์ทั้งภายนอกและภายใน สวยจากภายในสู่ภายนอกกันเลยทีเดียว นอกจากจะสวยแบบคลีน ๆ สุขภาพดีแล้ว ยังปลอดสารพิษอีกด้วย เรียกได้ว่า ประโยชน์ของมะเขือเทศ มีมากมายมหาศาลเลยค่ะ

    มะเขือเทศ คืออะไร?

    “มะเขือเทศคือผลไม้” ซึ่งเป็นไปตามคำนิยามของหลักทางพฤกษศาสตร์ เพราะผลไม้คือส่วนของรังไข่ที่เจริญเติบโตเต็มที่ของพืชดอก ส่วนผักคือพืชที่กินได้ของพืชล้มลุก ไม่ว่าจะเป็นราก ใบ ก้าน หัว หน่อ ดอก ซึ่งโดยปกติแล้วคนส่วนมากมักเข้าใจผิดว่ามะเขือเทศคือผักเพราะนำไปใช้ประกอบอาหารกันเป็นส่วนใหญ่ และมักคิดว่าผลไม้คือสิ่งที่ให้ความหวานนั่นเอง โดยมะเขือเทศที่นิยมรับประทานมากคือ มะเขือเทศสีดา มะเขือเทศราชินี

    สารอาหารในมะเขือเทศ

    ไม่เพียงแต่รสชาติเปรี้ยวอมหวาน แต่ยังให้พลังงานและแร่ธาตุอีกมากมาย “มะเขือเทศ” ผลไม้สุดอัศจรรย์ที่ให้ไลโคปีน  (Lycopene) ถึง 2,573 ไมโครกรัม ต่อมะเขือเทศสีแดงสด ปริมาณ 100 กรัม แต่นอกจากนั้นแล้ว ประโยชน์ของมะเขือเทศ ยังมีอีกมากมาย

    ไลโคปีนในมะเขือเทศ 

    ไลโคปีน (Lycopene) เป็นสารที่สำคัญที่สามารถพบได้ในมะเขือเทศ จัดเป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่ง ใน 600 ชนิด สามารถพบไลโคปีนได้ในมะเขือเทศ แตงโม เกรพฟรุตสีชมพู และมะละกอ เป็นต้น สามารถพบไลโคปีน (Lycopene) ในปริมาณตั้งแต่ 0.9 – 9.30 กรัม ใน 100 กรัม ของมะเขือเทศสด ไลโคปีน (Lycopene) ช่วยลดความเสี่ยงจากมะเร็งที่อวัยวะต่าง ๆ ชัดเจนที่สุดคือมะเร็งต่อมลูกหมาก รองลงมาคือมะเร็งปอด เป็นต้น จึงนับว่าเป็นสารอาหารที่ค่อนข้างมีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง

    มะเขือเทศที่ผ่านความร้อน จะทำให้การยึดจับของไลโคปีน กับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศอ่อนตัวลง ทำให้ร่างกายนำไลโคปีนไปใช้ได้ดีกว่าการรับประทานสด เพราะมะเขือเทศที่ผ่านความร้อนแล้วจะเปลี่ยนรูปแบบไลโคปีนแบบ“ออลทรานส์”(all-trans-isomers)เป็นชนิด “ซิส”(cis -isomers) ซึ่งเป็นชนิดที่ละลายเข้าสู่ร่างกายได้ดีกว่า

    ประโยชน์ของมะเขือเทศ

    วิตามินซี ในมะเขือเทศ 

    นอกจากรสเปรี้ยวอมหวานที่ทำให้รู้สึกสดชื่นแล้ว มะเขือเทศยังให้วิตามินซีสูงมาก ๆ ซึ่งวิตามินซีนั้น จัดว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในร่างกาย มีประโยชน์มากมาย อย่างเช่น ช่วยเสริมภูมิต้านทาน และซ่อมแซมเนื้อในร่างกาย ช่วยชะลอวัย และลดริ้วรอยแห่งวัย เป็นต้น

    โพแทสเซียม ในมะเขือเทศ 

    น้ำมะเขือเทศหนึ่งแก้วนั้นให้โพแทสเซียม (Potassium) สูงมาก ๆ มีการวิจัยและเก็บข้อมูลจากมะเขือเทศหนึ่งผลปริมาณ 100 กรัมว่า ให้ธาตุโพแทสเซียม (Potassium) ถึง 237 มิลลิกรัม เลยทีเดียว

    สรรพคุณ และประโยชน์ของมะเขือเทศ

    มะเขือเทศจะช่วยในเรื่องการลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดโรค เช่น ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงจากเส้นเลือดตีบ ลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งลำไส้ มะเร็งรังไข่ รวมไปถึงมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องของการรักษาสุขภาพเหงือกและฟัน อย่างโรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟัน ป้องกันอัลไซเมอร์ (โรคสมองเสื่อม) และช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือดทางด้านผิวพรรณ มะเขือเทศช่วยบำรุงให้ผิวพรรณนุ่มชุ่มชื่น ไม่แห้งกร้านทำให้ผิวเต่งตึงสดใส ลดการเกิดสิว ทั้งยังช่วยลดและชะลอริ้วแห่งวัยอีกด้วย

    ผู้ป่วยโรคไตไม่ควรทานหรือดื่มน้ำมะเขือเทศ จริงหรือไม่ ?

    จริง ๆ แล้วสามารถรับประทานได้แต่ควรรับประทานแต่พอเหมาะ ถึงแม้มะเขือเทศจะมีโพแทสเซียมสูงมากก็จริง แต่ว่าก็ยังมีโซเดียมที่เกิดจากธรรมชาติ ถ้ารับประทานมากไปจะทำให้ติดรสเค็มของโซเดียมที่มาจากมะเขือเทศ จึงอาจจะให้โทษมากกว่าคุณประโยชน์ เพราะฉะนั้นรับประทานแต่พอเหมาะจึงจะดีกว่า

    กินมะเขือเทศให้ได้ประโยชน์

    สำหรับคุณผู้หญิงที่อยากผิวพรรณสดใส แนะนำให้ทานมะเขือเทศแบบสด หรือเป็นแบบน้ำมะเขือเทศคั้นสด (ไม่ใช่แบบกล่อง) จะได้ปริมาณวิตามินซีที่สูงกว่า ส่วนคุณผู้ชายที่อยากจะลดภาวะความเสี่ยงที่อาจจะก่อเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก แนะนำให้นำมะเขือเทศไปปรุงสุกผ่านความร้อน จะทำให้ได้รับสารไลโคปีนที่มากกว่า จะสามารถช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากได้ ส่วนท่านใดที่ยังเป็นมือใหม่รู้สึกยังไม่คุ้นชินกับการกินมะเขือเทศ สามารถลองนำมะเขือเทศไปปั่นเป็นสมูทตี้ร่วมกับผลไม้อื่น ๆ เพื่อที่สามารถทำให้รับประทานได้ง่ายมากขึ้น

    อย่างไรก็ตามมะเขือเทศก็เป็นผลไม้ที่หาทานได้ง่ายและมีรสชาติถูกปาก ถูกใจใครต่อใคร แต่ก็ต้องรับประทานอย่างเหมาะสมไม่มากหรือไม่น้อยจนเกินไป ก็จะช่วยให้ไม่เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ ดังนั้นเราลองหันมารับประทานมะเขือเทศเพื่อสุขภาพและผิวพรรณกันเถอะ

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    แจกสูตรน้ำผัก บำรุงดวงตา ห่างไกลโรค
    ระวังนะ! ไม่กินผัก เสี่ยงหลายโรค
    ปลูกผักกินเอง ทำยังไง ดีจริงไหม

    ที่มา

    • สำนักงานเกษตรและสหกรณ์ จังหวัดสุรินทร์
    • สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
    • คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    • วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 (2023)

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสาชีวจิต

    ขูดกัวซา บอกโรคล้างพิษ ได้จริงหรือ

    ขูดกัวซา ศาสตร์พันปีล้างพิษได้จริงหรือ

    กัวซา ศาสตร์พันปีของจีน กับการใช้เขาสัตว์มาขูดบนร่างกายเพื่อเป็นการล้างพิษที่อยู่ในร่างกาย โดยนิยมทำ กัวซา คอ บ่า ไหล่ จนหลายคนสงสัยว่าทำได้จริง หรือเป็นเพียงความเชื่อ แล้ว ขูดกัวซา ช่วยอะไรทำงานอย่างไร มีข้อควรระวังอย่างไรวันนี้แพทย์หญิงศรันยา สาครินทร์ แพทย์แผนปัจจุบัน จบจากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และศึกษาต่อปริญญาโทด้านฝั่งเข็มยาจีน นวดทุยหนา และโภชนาการ จากประเทศสหรัฐอเมริกา จึงมีความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพและการรักษาโรคจากทั้งศาสตร์ตะวันออกและตะวันตก จะมาไขความลับให้ฟังค่ะ

    กัวซาคืออะไร

    กัวซาคือภูมิปัญญาพื้นบ้านเก่าแก่ของชาวจีนที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ ว่ากันว่ามีมาตั้งแต่ยุคหิน ยุคมนุษย์ถ้ำ เป็นการบำบัดด้วยการขูดผิวหนังเพื่อขับพิษ สามารถทำได้ง่าย สะดวก เห็นผลเร็ว และไม่มีผลข้างเคียง มีคุณสมบัติเด่นในการรักษาอาการไข้แดดและไข้หวัดอย่างรวดเร็ว

    ปัจจุบันเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชนทั่วไปคำว่า “กัว” ในภาษาจีนหมายถึงการขูดหรือการกวาด ส่วน “ซา” แปลว่าเม็ดทรายในบริบทของโรคภัยไข้เจ็บหมายถึง เป็นอาการของพิษหรือโรคซึ่งปรากฏบนผิวหนังเป็นรอยผื่นหรือจ้ำสีแดงคล้ายเม็ดทราย เพราะฉะนั้นกัวซาคือการขูดผิวหนังจนเห็นเลือดออกมายิบๆ เหมือนเม็ดทราย เพื่อหาพิษหรือโรคที่แอบแฝงอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย แล้วกระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิตส่งเสริมการไหลเวียนของพลังลมปราณใน
    ร่างกาย ช่วยขับพิษหรือขับความร้อนออกจากร่างกาย

    ปัจจุบันกัวซายังคงเป็นวิธีรักษาที่แพร่หลายในหมู่คนเชื้อสายจีน ประเทศที่นิยมใช้ศาสตร์นี้คือเวียดนาม แต่มีการปรับปรุงอุปกรณ์ให้มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการใช้งานยิ่งขึ้น ช่วยให้ได้ผลเร็ว ไม่เจ็บ ปลอดภัย ไม่ติดเชื้อ ในอดีตกัวซามีวัตถุประสงค์เพื่อหาโรค บำบัดรักษา แต่ปัจจุบันนำมาใช้เพื่อผิวพรรณความงามมากขึ้น เช่น การทำกัวซาใบหน้า

    กัวซา ใช้อะไรขูด

    ที่ขูดกัวซา
    ที่ขูดกัวซา ใช้วัสดุได้หลากหลาย ปัจจุบันนิยมใช้ หิน ไม้ โลหะ เขาสัตว์

    “กัวซา” ไม่มีอุปกรณ์บำบัดตายตัว กัวซาเป็นการบำบัดตามศาสตร์แพทย์แผนจีนโบราณที่มีกระบวนการเรียบง่าย ไม่มีอุปกรณ์บำบัดที่ตายตัว สามารถใช้อุปกรณ์ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น เหรียญ ช้อน โลหะ ถ้วยดินเผา ถ้วยเซรามิก หินชนิดต่างๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ เช่น เขา กระดูก เขี้ยว หรือฟัน สิ่งสำคัญคืออุปกรณ์ที่นำมาใช้ต้องมีลักษณะโค้งเล็กน้อยขอบเรียบและลื่น เพื่อให้เหมาะสมกับการขูดกวาดผิว สิ่งสำคัญคือต้องทำให้ถูกวิธี หากไม่สามารถทำด้วยตัวเอง ควรไปพบแพทย์แผนจีนหรือผู้เชี่ยวชาญด้านกัวซาจะดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยของผลลัพธ์ที่จะตามมา

    ระบายความร้อนร่างกายตามหลักการ “กัวซา”

    วัตถุประสงค์ของการทำกัวซาคือ เพื่อการตรวจเช็กสุขภาพ และบำบัดรักษาโรค บรรเทาอาการเจ็บปวย ผ่อนคลาย ช่วยให้เลือดลมภายในไหลเวียนดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีสุขภาพที่ดี มักใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการโคม่าหรือคนที่หมดสติ ซึ่งไม่รู้ว่าจะกระตุ้นด้วยวิธีไหน อย่างน้อยถ้าทำแล้วเกิดความรู้สึกเจ็บก็อาจทำให้รู้สึกตัวได้

    ขูดกัวซา

    คนไข้อีกประเภทที่มักไปรักษาด้วยกัวซาคือคนที่มีอาการไข้ ทำเพื่อระบายความร้อน ลดไข้ โดยขูดที่หลังเพื่อให้เส้นเลือดฝอยขยายตัว ช่วยระบายความร้อนออกจากตัวได้มาก ส่งผลให้ตัวเย็นลง ถือว่าเป็นการขับพิษ อาการป่วยไข้เป็นพิษจากลมเย็น เช่น ไข้หวัด ไวรัสทั้งหลาย การกระตุ้นด้วยการขูดกัวซา เมื่อผิวหนังช้ำ ร่างกายจะหลั่งสารมาซ่อมแซมร่างกายมากขึ้น รวมทั้งเป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกันส่วนหนึ่งด้วย

    ตำราแพทย์จีนบันทึกไว้เมื่อ 1,500 ปีมาแล้วว่า โรคที่มาจากลม จากความเย็นแล้วทำให้เป็นไข้ ส่วนใหญ่มักเกิดในหน้าหนาว พวกไวรัสต่างๆ โรคระบาด ให้รักษาด้วยการทำกัวชา เพื่อกระตุ้นชั้นผิวให้ไล่ลมออก และสำหรับโรคที่ป่วยจากอากาศหนาวเย็น การขูดหรือถูแบบนี้ทำให้ร่างกายอุ่น ไล่ความเย็นไล่ลมออกจากร่างกายได้

    กัวซาขูดผิวเพื่อขับพิษ

    การบำบัดด้วยกัวซาช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของโลหิตใต้ผิวหนังขยายรูชุมขนให้เปิดกว้าง ทำให้ร่างกายผลัดเซลล์เก่าสร้างเชลล์ใหม และขับพิษออกทางต่อมเหงื่อ อวัยวะภายในได้รับการบำรุงจากโลหิตอย่างเต็มที่ ทำให้ร่างกายปรับสมดุล ช่วยฟื้นฟูสมรรถะของระบบภูมิต้านทานโรคให้แข็งแรง โรคที่บำบัดด้วยกัวซาซึ่งได้ผลดีที่สุดคือ อาการเป็นไช้ตัวร้อน ปวดเมื่อยหรือชาตามร่างกาย ปวดประจำเดือน อวัยวะภายในทำงานไม่ปกติ

    การ ขูดกัวซา มี 2 แบบ

    กัวซาขูดแผ่นหลังขับพิษ แพทย์แผนจีนเชื่อว่าเลือดที่ติดขัดนี้เปรียบเหมือนของเสียที่อุดตันอยู่ในเส้นเลือด ยิ่งมีรอยกิดขึ้นหลังการขูดกัวซามากเท่าไหร่ หมายถึงพิษที่สะสมในร่างกายมากเท่านั้น

    ก้วซาแบบเย็น กัวซาความงาม ส่วนใหญ่เป็นคอร์สของคลินิกความงาม โดยใช้หยกขูดเบา ๆ คล้ายการนวดหน้า เพื่อลดริ้วรอย กระตุ้นคอลลาเจน กระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือด กระตุ้นระบบน้ำเหลือง ขับสารพิษที่หน้า ทำให้หน้าไม่บวมน้ำ แต่ไม่ทำแรงจนกระทั่งเป็นจุดเลือดบนหน้า

    ข้อควรรู้ก่อน ขูดกัวซา

    ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว มีอาการป่วยอย่างเรื้อรัอหรือรุนแรง ก่อนทำกัวซาควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพราะอาจไม่ส่งผลดีกับทุกคน ผู้ที่ต้องระวังหรือไม่ควรทำกัวซา เพราะจะทำให้อาการแย่กว่าเดิม คือ

    • ผู้ที่กำลังรับประทานยาละลายลิ่มเลือด
    • ผู้ที่มีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
    • ผู้ที่มีเกล็ดเลือดต่ำ
    • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
    • ผู้ที่เพิ่งผ่าตัดไม่เกิน 6 สัปดาห์
    • ผู้ที่เป็นโรคผิวหนังและผิวหนังเป็นแผล

    ปัจจุบันแม้ว่าการแพทย์สมัยใหม่เจริญก้าวหน้าไปมาก แต่การรักษาด้วยการแพทย์แผนจีนซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดมานานนับพันปียังคงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ด้วยพิสูจน์มาแล้วหลายชั่วอายุคนว่าสามารถรักษาบางโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่แพ้กัน

    ที่มา นิตยสารชีวจิต

    เรื่องราวของแพทย์แผนจีนอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    ดูแล ไทรอยด์เป็นพิษ ตามวิถีแพทย์แผนจีน

    ดูแล หัวใจ ตามแบบฉบับแพทย์แผนจีน
    ” ครอบแก้ว ” การบำบัดการรักษาอาการป่วยตามแพทย์แผนจีนเพื่อสุขภาพที่ดี

    คาร์บเชิงซ้อน

    คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน แป้งดีๆ ที่ทุกคนควรกิน

    คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน แป้งที่ควรกิน

    คาร์โบไฮเดรต พูดชื่อนี้ปุบ หลายคนหันหน้าหนีทันที แต่เดี๋ยวก่อน! วันนี้แอดมาพร้อม คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งจัดว่าเป็นคาร์โบไฮเดรตดี ที่ทุกคนควรกิน แต่จะกินอย่างไร และหากได้จากในมาทำความรู้จักไปด้วยกันค่ะ

    คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน คืออะไร

    คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนประกอบด้วยน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวมาเชื่อมกันเป็นจำนวนมากๆ เกิดเป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ที่เรียกว่าพอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharide) ซึ่งประกอบด้วยแซ็กคาไรด์หลายร้อยชนิด ทำให้คาร์โบไฮเดรตประเภทนี้จะค่อยๆ ถูกย่อย ใช้เวลาในการย่อยนานและดูดซึมได้อย่างช้าๆ หรือในบางประเภทร่างกายจะไม่สามารถย่อยได้เลย

    เราพบคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ได้ในหลายที่ ไม่ว่าจะเป็น เมล็ดข้าวไม่ขัดสีต่างๆ ข้าวซ้อมมือ พาสต้าทำจากแป้งสาลี
    ไม่ขัดขาว ธัญพืช ผักที่มีแป้ง (เช่น เผือก มัน ฟักทอง ข้าวโพด ลูกเดือย) ถั่วต่างๆ ผลไม้ ซึ่งส่วนมากพบว่า าร์โบไฮเดรตประเภทนี้มักมีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวหรือแป้งขาวทั่วไป เพราะมักจะมีวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย

    คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีอยู่ใน

    ดร.แกรี่ นัล ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแนะนำแหล่งคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนหาได้ไม่ยาก เพียงแค่รู้แหล่งสักหน่อย อาหารกลุ่มนี้อย่างธัญพืชเต็มเมล็ดธรรมดาๆ เช่น ข้าวสาลีแบบโฮลวีตหรือข้าวสาลีไม่ขัดขาว ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวไรย์ ข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต ข้าวฟ่าง และข้าวบักวีต

    ทั้งหมดกินเป็นอาหารหลักได้เลย ทำเป็นอาหารเช้าธัญพืช เป็นเครื่องเคียง นำไปผสมในซุป โม่ทำแป้งไม่ขัดขาว หรือทำเส้นพาสต้าแบบไม่ขัดขาวก็ได้เหมือนกัน

    ถั่วฝักอ่อน

    เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนชั้นเยี่ยม มีให้เลือกหลากหลายชนิดมาก ที่คุ้นเคยกันดีคือถั่วเหลือง
    และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้โทฟุ เต้าหู้เทมเป้ และเต้าหู้มิโชะ ถั่วเขียว ถั่วเลนเทิล ถั่วอัดซูกิ ถั่วพุ่มตาดำ
    ถั่วแดงหลวง ถั่วดำ ถั่วลิสง ถั่วลูกไก่

    เมล็ดพืช

    เช่น เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดเจีย และงา มีทั้งโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตสูง โดยเฉพาะเมล็ดอัลฟัลฟา เมล็ดเจีย และเมล็ดปอ เป็นเมล็ดที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก เมื่อนำไปเพาะเป็นต้นอ่อน

    ถั่วเปลือกแข็ง

    ส่วนใหญ่จะมีไขมันมาก แต่เฉพาะถั่วอัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วพิสตาชิโอ และลูกสน จะเป็นเมล็ดพืชที่มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า

    ผัก

    เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ดี ประเภทที่มีแคลอรีน้อยที่สุด อาทิ ผักขึ้นฉ่ายฝรั่ง บรอกโคลี และเห็ดชนิดต่างๆ ซึ่งประกอบด้วยน้ำและเส้นใยอาหารเป็นส่วนใหญ่ ส่วนผักประเภทหัว เช่น แครอต หัวบีต มันฝรั่ง และมันมือเสือ จะมีแป้งที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนและน้ำตาลมากพอ ๆ กับเส้นใยอาหารเลยทีเดียว

    ผลไม้

    เป็นแหล่งอาหารชั้นดีที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนน้ำตาลจากธรรมชาติ เกลือแร่ วิตามิน และเส้นใยอาหาร เช่น แอปเปิ้ล ลูกแพร์ ลูกพืช ลูกพลัม องุ่น หรือแม้แต่ ผลไม้รสเปรี้ยวก็ตาม และถึงจะเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลค่อนข้างสูง แต่เมื่ออยู่ในน้ำก็จะเจือจางลงและถูกดูดซึมอย่างช้าๆ เข้าสู่ร่างกาย แต่ร่างกายจะไม่ดูดซึมน้ำตาลแปรรูปในลักษณะเดียวกัน คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำตาลควรกินกล้วยและผลไม้เมืองร้อนอื่นๆ แต่พอประมาณ เพราะผลไม้เหล่านี้มีน้ำตาลค่อนข้างสูง

    ผลไม้แห้ง

    เช่น มะเดื่อ ลูกพรุน ลูกเกด อินทผลัม เอพริคอต ลูกแพร์ และแอปเปิ้ลก็เช่นเดียวกัน เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลมากกว่าผลไม้สดถึง 3 เท่า และมีลักษณะเหมือนน้ำตาลแปรรูปอื่น ๆ คือเป็นอาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตเข้มข้นสูงกว่ามาก จึงควรกินแต่พอประมาณ

    กินคาร์โบไฮเดรตเท่าไรดี

    คาร์โบไฮเดรตควรเป็นส่วนประกอบของอาหารที่เรากินประมาณ 50 – 55 เปอร์เซ็นต์ ในจำนวนนี้ ควรเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน 45 – 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือ 5 – 10 เปอร์เซ็นต์เป็นเชิงเดี่ยว ถ้าหากคุณเป็นคนที่ออกกำลังกายหนัก เช่นยกน้ำหนัก ควรกินคาร์โบไฮเดรต 55 – 70 เปอร์เซ็นต์ ของพลังงานทั้งวัน

    นักกีฬาที่ต้องฝึกหนักทุกวันควรกินคาร์โบไฮเดรตประมาณ 66 – 70 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานทั้งวัน และเน้นเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน

    ที่มา นิตยสารชีวจิต

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    เต้าทึง ประโยชน์มากช่วยบำรุงทั่วร่าง แถมลดไขมัน ความดัน

    สั่งซื้อ นิตยสารชีวจิต 583 กรกฎาคม 2566 :  กินแป้งเป็น อายุยืน

    คนอ้วนต้อง กินคาร์โบไฮเดรต อย่างไร ถ้าอยากจะผอม

    ต้นอ่อนผัก

    ต้นอ่อน ปลูกง่าย ประโยชน์สูง

    กิน ต้นอ่อน ได้ประโยชน์ ปลูกเองได้

    ต้นอ่อน ของผักต่างๆ เชื่อได้ว่า ที่นึกถึงในใจอย่างแรกคนหนีไม่พ้น ต้นอ่อนทานตะวัน ของดีกินอร่อย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในจานสลัด เพราะการกินดิบๆ จะทำให้ได้รับสารอาหารมากกว่า แต่นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังมีต้นอ่อนผักอื่นๆ อีกเพียบเลยค่ะ ที่ให้คุณประโยชน์ และรสชาติดี วันนี้เรามาดูกันว่า การกินต้นอ่อน ให้ประโยชน์อย่างไร และการ ปลูกต้นอ่อนทานตะวัน ทำได้ง่ายแค่ไหน

    ต้นอ่อนผัก หรือ ไมโครกรีน

    ไมโครกรีน (Microgreens) หรือผักต้นอ่อนสีเขียว ที่มีความสูงขนาดประมาณ 1-3 นิ้ว หรือ 2.5-7.5 เซนติเมตร ด้วยความที่เป็นเล็ก ที่เพิ่งงอกออกมาจากเมล็ด จึงทำให้ต้นอ่อนเหล่านี้ อุดมด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ มากกว่าผักโตเต็มวัย ที่กินกันทั่วไป 

    นั่นก็เพราะว่าในวัยต้นอ่อน เป็นช่วงวัยที่ต้นอ่อนสะสมสารอาหาร และพลังงานเพื่อเตรียมเติบโตนั่นเอง เมื่อเรากินในช่วงที่เป็นต้นอ่อน ก็ทำให้เราได้รับพลังงานและสารอาหารไปด้วยนั่นเอง 

    โภชนาการของ ต้นอ่อน

    โภชนาการของต้นอ่อน แม้จะมีความเเตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ แต่ก็มีคุณประโยชน์ร่วมกันคือ

    1. อุดมด้วยแร่ธาตุ โพเเทสเซียม เหล็ก สังกะสี แมกนีเซียม และทองเเดง
    2. เป็นแหล่งสารอาหารที่ดีมีประโยชน์ เพราะมีสารแอนติออกซิเเดนซ์สูง หรือสารต้านอนุมูลอิสระสูง
    3. มีปริมาณสารอาหารสูง มีทั้งวิตามิน เเร่ธาตุ โพลีฟีนอล สารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าผักใบเขียว โดยพบว่ามีมากกว่าพืชโตเต็มที่ถึง 9 เท่า และหลากหลายกว่าด้วย

    ประโยชน์ของต้นอ่อน

    เมื่อคุณค่าทางสารอาหารสูงอาหารดีขนาดนี้ ประโยชน์ของต้นอ่อน ก็สูงมากๆ เลยค่ะ

    ช่วยควบคุมน้ำตาล 

    จากการศึกษาพบว่าการกินต้นอ่อนช่วยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีปริมาณลดลงได้ ซึ่งมากจาก 2 เหตุผลหลักๆ คือ เหล่าต้นอ่อนมีคาร์โบไฮเดรตน้อยกว่าผักทั่วไป นอกจากนั้นยังมีเอมไซม์ที่ช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรตได้ด้วย 

    ไฟเบอร์สูง

    พวกผักต้นอ่อนมีไฟเบอร์สูง จึงช่วยให้อิ่มท้องนาน ระบบขับถ่ายเป็นปกติ และยังเป็นพรีไบโอติกที่ช่วยเลี้ยงแบคทีเรียในลำไส้ให้แข็งแรง

    บำรุงหัวใจ

    เนื่องจากต้นอ่อนเหล่านี้มีคุณสมบัติลดคอเลสเตอรอลได้ จึงช่วยความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ ไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้ค่ะ

    ต้นอ่อนยอดฮิต

    นอกจาก ต้นอ่อนทานตะวัน ที่เป็นต้นอ่อนยอดฮิตที่นิยมทานกันแล้ว ก็ยังมีต้นอ่อนอื่นๆ ที่ฮิตไม่แพ้กัน และบอกพันธ์ุก็เป็นที่คุ้นเคยมาก เพียงแต่เราไม่รู้ว่าเป็นต้นอ่อน แต่เป็นอะไรบ้างนั้น มาดูกันค่ะ

    • ถั่วงอก ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี 
    • ต้นอ่อนข้าวสาลี
    • ต้นอ่อนหัวไชเท้า
    • โต้วเหมียว
    • ต้นอ่อนบร็อคโคลี่
    • ต้นอ่อนกะหล่ำดาว
    • ต้นอ่อนแรดดิชแดง
    • ต้นอ่อนเคล 

    วิธีการปลูกต้นอ่อนทานตะวัน

    การปลูกต้นอ่อนทานตะวัน

    อุปกรณ์ปลูกต้นอ่อนทานตะวัน

    • ขุยมะพร้าวร่อนละเอียด 1 ส่วน
    • แกลบดำเผาร่อนละเอียด ½ ส่วน
    • เมล็ดทานตะวัน 1 ขีด
    • ถาดสำหรับเพาะหรือตะกร้าสี่เหลี่ยม

    วิธีปลูกต้นอ่อนทานตะวัน

    1. ล้างเมล็ดทานตะวันให้สะอาด นำเมล็ดที่ล้างแล้วแช่ลงในน้ำสะอาด ทิ้งไว้ 1 คืน ตอนเช้านำเมล็ดมาล้างน้ำอีกครั้ง เทลงบนผ้าที่ชุบน้ำพอหมาด รวบผ้าเข้าหากัน ใช้เชือกมัดพอหลวม วางไว้ในร่ม 1 วันเพื่อบ่มเมล็ดให้รากงอก
    2. ปรุงดินปลูก โดยผสมขุยมะพร้าวและแกลบดำเข้าด้วยกัน จากนั้นนำไปเทใส่ในถาดเพาะหรือตะกร้าปริมาณ เกลี่ยหน้าดินให้เรียบ
    3. นำเมล็ดที่บ่มไว้มาโรยลงบนดินปลูกโดยกระจายให้ทั่วตะกร้า ไม่ควรให้เมล็ดซ้อนทับกัน แล้วโรยดินบางๆ กลบเมล็ด รดน้ำพอชุ่ม จากนั้นนำถาดเพาะออกไปวางไว้ในที่ร่ม แล้ววางถาดหรือตะกร้าอีกใบทับไว้ด้านบน ทิ้งไว้ 1 – 2 วันเพื่อให้เมล็ดงอกสม่ำเสมอกัน
    4. นำถาดที่วางทับออก รดน้ำวันละ 1 ครั้งในช่วงเช้า หรือถ้าอากาศร้อนจัด ให้รดในช่วงเย็นอีก 1 ครั้ง ติดต่อกัน 5 วัน
    5. นำถาดที่มีต้นอ่อนงอกขึ้นมาแล้วไปวางไว้ในที่ที่มีแสงแดดรำไร เพื่อให้ต้นอ่อนเกิดการสังเคราะห์แสง ใบจะมีสีเขียว รดน้ำต่ออีก 2 วันต้นอ่อนจะโตพร้อมตัด

    ปลูกต้นโต้วเหมี่ยว

    การปลูกต้นโต้วเหมี่ยว

    อุปกรณ์ปลูกต้นโต้วเหมี่ยว 

    • ขุยมะพร้าวร่อนละเอียด 1 ส่วน
    • แกลบดำเผาร่อนละเอียด 1 ส่วน
    • ดินร่วน 1 ส่วน
    • เมล็ดถั่วลันเตาหรือโต้วเหมี่ยว 1 ขีด
    • ถาดสำหรับเพาะหรือตะกร้าสี่เหลี่ยม

    วิธีปลูกต้นโต้วเหมี่ยว

    1. นำเมล็ดถั่วลันเตามาล้างน้ำให้สะอาด แช่เมล็ดลงในน้ำสะอาด ทิ้งไว้ 5 ชั่วโมง หลังจากนั้นนำเมล็ดที่แช่น้ำแล้วเทลงบนผ้าที่ชุบน้ำพอหมาด รวบผ้าเข้าหากัน ใช้เชือกมัดพอหลวม วางไว้ในร่ม 1 วันเพื่อบ่มเมล็ดให้รากงอก
    2. ปรุงดินปลูก โดยผสมขุยมะพร้าว แกลบดำ และดินร่วน เข้าด้วยกันจากนั้นนำไปเทใส่ในถาดเพาะหรือตะกร้าปริมาณ ของภาชนะปลูก เกลี่ยหน้าดินให้เรียบ
    3. นำเมล็ดที่บ่มไว้มาโรยบนดินปลูกโดยกระจายให้ทั่วตะกร้า แต่ไม่ควรให้เมล็ดซ้อนทับกัน แล้วโรยดินบางๆ กลบเมล็ด รดน้ำพอชุ่ม จากนั้นนำถาดเพาะต้นออกไปวางไว้ในที่ร่ม แล้ววางถาดหรือตะกร้าอีกใบทับไว้ด้านบน ทิ้งไว้ 2 วันโดยไม่ต้องรดน้ำ เพื่อให้ต้นโตเสมอกัน
    4. เมื่อครบ 2 วัน ให้นำถาดที่วางทับออก รดน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น แล้วนำถาดมาปิดทับไว้เช่นเดิม ทำอย่างนี้ติดต่อกัน 4 วัน
    5. เมื่อครบ 4 วันแล้วให้เปิดถาดออกถาวร รดน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น ติดต่อกันอีก 2 - 3 วัน โต้วเหมี่ยวจะโตพร้อมตัดมากินได้ 
    6. เมื่อตัดรอบหนึ่งแล้วให้รดน้ำต่อตามปกติจนครบ 7 วัน จึงจะสามารถตัดโต้วเหมี่ยวรอบใหม่ได้อีกครั้ง

    ข้อควรระวัง

    ต้นอ่อนแม้จะเป็นผักที่มีประโยชน์มาก แต่ด้วยการเพาะปลูก ที่ปลูกในที่ชื้นแฉะ รวมถึงอยู่กันอย่างแออัด ดังนั้นก็อาจทำให้มีเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดอาหารเป็นพิษปนเปื้อนได้ ดังนั้นก่อนทานก็ควรนำมาปรุงสุกเสียก่อน เพื่อความปลอดภัย และทำให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่

    เรื่องผักป้องกันโรค


    ความเครียด โรค

    เครียด หนัก สุขภาพเสื่อมกว่าที่คิด

    เครียด มาก ก็ป่วยมาก

    เครียด เป็นอีกภาวะอารมณ์หนึ่งของคนเรา เรียกได้ว่าเป็นภาวะอารมณ์ด้านลบๆ ที่ไม่เพียงส่งผลต่อจิตใจ แต่ยังส่งผลต่องร่างกายให้เกิดความเจ็บป่วยได้มากกว่าที่คิดอีกนะคะ ทำให้เกิดได้ทั้งโรคทั่วๆ ไป เช่น ปวดท้อง ปวดหัว รวมไปถึงโรคเรื้อรัง เช่นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เลยทีเดียว คราวนี้เรามาทำความรู้จัก รวมถึงวิธีรับมือกับความเครียด กันดีกว่าค่ะ

    ความเครียด คือ

    ความเครียด หลายคนอาจจะนึกว่าเป็นเรื่องของจิตใจ โดยในพจนานุกรมกล่าวว่า เป็นภาวะที่อารมณ์และสมองไม่ได้ผ่อนคลาย คร่ำเคร่งอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นระยะเวลานาน จนเกิดเป็นภาวะเครียด

    แต่หากถามในมุมมองทางการแพทย์ จะบอกว่าเป็นเรื่องของการหดตัวของกล้ามเนื้ออาจจะเป็นส่วนใด ส่วนหนึ่ง หรือหลายๆ ส่วน โดยไม่ได้ผ่อนคลาย

    สาเหตุของความเครียด

    สาเหตุของความเครียด แบ่งออกเป็น 2 ปัจจัยใหญ่ๆ คือ ความเครียดที่เกิดจากปัจจัยภายในของร่างกายเราเอง และความเครียดที่เกิดจากปัจจัยภายนอก ที่มากระทบทำให้เราเกิดความเครียดขึ้นได้

    เครียด จากภายในร่างกาย

    เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นจากร่างกาย และจิตใจของตัวเราเอง เช่นการมีโรคประจำตัว ที่ส่งผลต่อจิตใจ เช่น โรคซึมเศร้า รวมถึงโรคทางจิตเวชต่างๆ นอกจากนั้นยังรวมถึงการที่มีเรื่องราวต่างๆ มากระทบจิตใจเป็นเวลานาน จนทำให้เกิดความเครียดไม่รู้ตัว

    ความเครียด จากภายนอก

    ความเครียดจากภายนอก แบ่งออกเป็น 4 ประเด็นใหญ่ๆ คือ

    • การทำงาน อาจเกิดขึ้นจากความกดดันในการทำงาน การแข่งขัน รวมถึงเพื่อร่วมงาน ก็อาจเป็นสาเหตุของการเกิดความเครียดได้
    • ความสัมพันธ์ ทุกรูปแบบของความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ความรัก ญาติพี่น้อง หรือเพื่อน ก็เป็นต้นเหตุที่ที่ทำให้เกิดความเครียดขึ้นมาได้ และหากสะสมเป็นปัญหาเรื้อรัง ก็อาจนำไปสู่ความแตกแยกได้
    • ปัญหาสุขภาพ ปัญหาสุขภาพเรื้อรังจากโรคต่างๆ อาจทำให้เกิดความเครียด ความกังวล จนเกิดปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมาได้
    • การเปลี่ยนแปลงในชีวิต เหตุการณ์ปัจจุบันทันด่วนที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต หากรับมือได้ไม่ดี ก็อาจทำให้เกิดความเครียด ความกังวลได้ หรือบางครั้งการเปลี่ยนแปลงยังไม่เกิด แต่เครียดนำไปก่อน ก็ทำให้เกิดความเครียดได้เหมือนกันนะคะ

    โรคที่มาจากความเครียด

    ในทุกๆ วัน ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอร์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นและแอคทีฟในทุกเช้า และฮอร์โมนนี้จะลดลงในช่วงเย็น ซึ่งเป็นที่มาของอาการหมดแรง อยากพักนั่นเอง แต่หากว่าเกิดความเครียดขึ้น ร่างกายก็จะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอร์ออกมามากกว่าปกติ

    ฮอร์โมนคอร์ติซอล ขึ้นชื่อว่าเป็นฮอร์โมนแห่งการทำลายล้าง เพราะเป็นฮอร์โมนที่ส่งให้หัวใจเต้นเร็ว กระตุ้นความดันโลหิตให้ขึ้นสูง ถ้าหากว่าร่างกายของหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมาเรื่อยๆ ระบบต่างในร่างกายจะไม่ได้พัก จะทำให้เกิดอาการป่วยต่างๆ

    รวมถึงทำให้ร่างกายเสื่อมก่อนวัย และแก่เร็ว

    เรามาดูกันดีกว่าว่า ความเครียด ทำให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง

    ความดันโลหิตสูง

    จากผลการศึกษาพบว่า คนที่มีความเครียดสะสม มีโอกาสเกิดโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่าเลยทีเดียว เนื่องจากตลอดเวลาที่เกิดความเครียดร่างกายก็จะทำให้มีความโลหิตที่พุ่งสูง

    โรคหัวใจ และหลอดเลือด

    ความเครียดส่งผลต่อเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตามมา นอกจากนั้นแล้วยังอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ มีโอกาสหัวใจวาย นอกจากนั้นแล้วการที่มีความดันโลหิตสูงก็อาจทำให้หลอดเลือดหัวใจเสื่อมได้ด้วยเช่นกัน

    เครียดลงกระเพาะ กรดไหลย้อน

    ความเครียดส่งผลให้เส้นเลือดในบริเวณอวัยวะย่อยอาหารหดตัว รวมถึงร่างกายหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหารออกมามากกว่าปกติ จึงทำให้เกิดโรคเครียดลงกระเพาะ รวมถึงอาการท้องอืด ลำไส้แปรปรวน และกรดไหลย้อน

    เครียด ทำให้เป็นโรคหัวใจ

    โรคนอนไม่หลับ

    เมื่อเกิดความเครียด ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง จนส่งผลต่อการนอนหลับ ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย หงุดหงิด เจ็บป่วย

    ไมเกรน

    ความเครียดทำให้สารซีโรโทนินในสมองพร่องไป ทำให้หลอดเลือดในสมองพอง – หด มากกว่าปกติ จึงทำให้เกิดการปวดไมเกรน

    เสพติดความเครียด

    แต่ถึงความเครียดจะส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก แต่กลไกของร่างกายที่มีความพิเศษซับซ้อน ก็ยังมีบางคนที่เสพติดความเครียด เช่นชอบความท้าทายการแข่งขันกับเวลา รู้สึกดีที่ได้แก้ปัญหาต่างๆ หรือ รักความตื่นเต้น ชอบทำงานแข่งกับเดธไลน์ มีความสุขที่ร่างกายได้รับการกระตุ้นจากฮอร์โมนคอร์ติซอล

    อาการเหล่านี้ ในระยะแรกเราจะยังไม่รู้ตัว แต่กว่าจะรู้ตัวก็ต่อเมื่อมีอาการป่วย ติดเชื้อในกระแสเลือด โดยอาการเหล่านี้เรียกว่า ภาวะต่อมหมวกไตล้า

    ก่อนจะมีอาการร้ายแรง มาดูสัญญาณของ ต่อมหมวกไตล้า ก่อนดีกว่า

    เช็กลิสต์ต่อมหมวกไตล้า

    หากมีอาการอย่างน้อย 5 ข้อดังต่อไป แปลว่า เริ่มมีภาวะต่อมหมวกไตล้า

    • ขี้เกียจตื่นนอน
    • อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
    • ง่วงนอน แต่นอนไม่หลับ
    • เวียนหัว ตอนเปลี่ยนอิริยาบถ
    • อยากของหวาน และเค็ม
    • ฉี่บ่อย
    • ปวดประจำเดือน
    • ภูมิแพ้กำเริบ
    • ท้องอืด อาหารไม่ย่อย
    • ท้องผูก
    • เครียด
    • คุมอาหาร ออกกำลังกาย แต่น้ำหนักไม่ลด
    • ผิวบอบบาง แพ้ง่าย และแห้ง

    สำหรับอาการต่อมหมวกไตล้าหากจะตรวจให้ชัดเจน จะต้องมีการตรวจเลือด เพื่อตรวจค่าฮอร์โมนคอร์ติซอล และฮอร์โมน DHEA

    ฮอร์โมน DHEA เป็นฮอร์โมนที่เรียกได้ว่าแทบจะตรงกันข้ามกับฮอร์โมนคอร์ติซอร์ โดย DHEA เป็นฮอร์โมนต้านความเครียด เสริมความแข็งแรงให้ร่างกาย ชะลอความเสื่อม และความแก่ของร่างกาย และที่สำคัญคือ ทำงานต่อต้านฮอร์โมนคอร์ติซอร์

    สำหรับการรักษาภาวะต่อมหมวกไตล้า แน่นอนคือการผ่อนคลายความเครียด รวมไปถึงการออกกำลังกาย และการพักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะทำให้ภาวะนี้หายได้

    วิธีคลายความเครียด

    แก้ไขที่ต้นเหตุ

    การคลายเครียดที่ดีที่สุด คือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เมื่อแก้ปัญหาได้แล้ว ความเครียดก็จะถูกทิ้งไปจากสมอง ทำให้เราไม่กลับมาเครียด กังวลกับเรื่องเดิมๆ อีก

    ปรับพฤติกรรม

    พฤติกรรมการใช้ชีวิต มีส่วนอย่างมากสำหรับความเครียด ควรปรับการใช้ชีวิต จากที่เร่งรีบ เป็นผ่อนคลาย หากิจกรรมผ่อนคลายให้กับตัวเอง รวมไปถึงออกไปพักผ่อน และที่สำคัญคือ การออกำลังกาย จะช่วยปัญหาที่เกิดจากฮอร์โมนคอร์ติซอลได้

    ปรับความคิด

    ความคิดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความเครียด ดังนั้นจึงควรฝึกการปล่อยวาง รู้จักการผ่อนปรน หนึ่งในตัวช่วยที่ช่วยได้มากๆ ก็คือ การนั่งสมาธินะคะ ที่จะทำให้เราโฟกัสกับปัจจุบันได้ง่ายขึ้น และปล่อยวางได้มากขึ้น

    อยากรู้เรื่องความ เครียด ไปอ่านต่อ

    ที่มา

    • ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี  มหาวิทยาลัยมหิดล
    • Rama Channel
    • โรงพยาบาลเปาโล
    • โรงพยาบาลกรุงเทพ
    • โรงพยาบาลนครธน

    ติดตามชีวจิตได้ที่
    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสาชีวจิต

    ขาดวิตามิน

    เช็กด่วน! ร่างกายบอก ขาดวิตามิน

    ขาดวิตามิน ร่างกายจะมีอาการอย่างไรบ้าง

    วิตามิน เป็นสิ่งสำคัญสำหรับร่างกาย เพราะมีส่วนในระบบการทำงานต่างๆ รวมถึงเสริมภูมิคุ้มกันป้องกันไม่ให้ร่างกายป่วยได้ง่าย แต่หากมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดโทษได้ ดังนั้นจึงต้องมีวิตามินได้ระดับที่สมดุล แต่จะรู้ได้อย่างไรว่ากำลังมีวิตามินน้อยเกินไป หรือมากไป รวมทั้งหากอยากตรวจละเอียดไปที่ไหนดี แอดมีคำตอบมาให้แล้วค่ะ

    วิตามินสำคัญอย่างไร

    วิตามินเป็นสารอินทรีย์ที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะร่างกายเราไม่สามารถสร้างขึ้นได้เอง ได้จากการทานอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเท่านั้น จึงทำให้หลายๆ คนพอพูดถึงวิตามินก็นึกถึงวิตามินเม็ดๆ เท่านั้น แต่ที่จริงแล้วในอาหารที่เราทานก็มีวิตามินอยู่ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราควรทานอาหารโดยเฉพาะ พืชผัก ผลไม้ให้หลากหลาย

    วิตามินมีทั้งที่เป็นวิตามินตามธรรมชาติ วิตามินสังเคราะห์ ซึ่งทั้ง 2 แบบอาจให้ผลแบบเดียวกัน

    แต่!… วิตามินธรรมชาติอาจให้ประโยชน์ที่มากกว่า

    ตัวอย่างเช่น ในวิตามินซีธรรมชาติมีไบโอฟลาโวนอยด์ ซีคอมเพล็กซ์ แต่ในวิตามินซีสังเคราะห์ไม่มี ซึ่งไบโอฟลาโวนอยด์ ซีคอมเพล็กซ์ช่วยให้วิตามินซีทำงานได้ประสิทธิภาพมากกว่า ดังนั้นแล้วการเลือกซื้อวิตามินต่างๆ จึงสำคัญ และควรเลือกแบบที่สกัดจากธรรมชาติ

    แหล่งวิตามินที่สำคัญ

    • วิตามินเอ พบได้ในน้ำมันตับปลา ไข่แดง นม และพืชผักใบเขียวเข้ม และผักผลไม้สีเหลือง
    • วิตามินบี พบในธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้ง ยีสต์
    • วิตามินซี พบในผักผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว และในพริกหวาน ผักคะน้า มะรุม มะระ
    • วิตามินดี พบได้ในเนื้อปลาต่างๆ เช่นปลาแซลมอน ปลานิล ปลาตะเพียน และยังพบได้ในเห็ดหอม
    • วิตามินอี พบได้ในถั่วที่มีน้ำมัน เช่น ถั่วเหลือง ถั่วลิสง เมล็ดทานตะวัน และข้าวโพด
    • วิตามินเค พบในผักใบเขียว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันกาโนลา
    อาการขาดวิตามิน

    สาเหตุการขาดวิตามิน

    อาหารทำให้ ขาดวิตามิน

    เนื่องจากวิตามินร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นได้เอง อาหารจึงเป็นแหล่งวิตามินที่สำคัญ การทานอาหารที่ไม่ครบถ้วน ไม่หลากหลาย หรือทานเดิมๆ ซ้ำๆ ทานแต่อะไรเดิมๆ ไม่ทานผักและผลไม้ จึงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนได้รับวิตามินไม่เพียงพอ

    นอกจากนั้นแล้วอาหารที่ปรุงสุกมากเกินไป ผ่านความร้อนเป็นเวลานาน จนทำให้เกรียม หรือไหม้ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้วิตามินธรรมชาติในอาหารถูกทำลายจนไม่เหลือ และไม่เพียงเท่านั้น อาหารเหล่านี้ยังเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งอีกด้วย

    พฤติกรรมทำให้ ขาดวิตามิน

    พฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่างก็เป็นตัวการเร่งให้วิตามินในร่างกายถูกทำลายจนไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะการดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ ที่เป็นตัวการให้วิตามินซี และวิตามินบีถูกทำลายลงไปในปริมาณมาก ด้วยจำนวนปริมาณแอลกอฮอล์ 1 แก้ว ทำให้ร่างกายสูญเสียวิตามิน B1 และ B6 และกรดโฟลิก และบุหรี่ 1 มวน ทำลายวิตามินซีถึง 25-100 มิลลิกรัม

    นอกจากนั้นแล้วการทานยาบางชนิดเช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้ปวดหัวแอสไพริน ก็มีผลต่อวิตามินบีและวิตามินซีเช่นเดียวกัน แต่ในระดับที่ไม่รุนแรงเท่าแอลกอฮอล์และบุหรี่

    ความต้องการวิตามินที่มากขึ้น

    ในบางครั้งร่างกายของคนเราก็ต้องการวิตามินที่มากขึ้น การตั้งครรภ์ ให้นมบุตร รวมถึงการออกกำลังกาย และที่อยู่ในระยะพักฟื้น ก็ทำให้ร่างกายต้องการวิตามินและสารอาหารอื่นๆ มากกว่าปกติ นอกจากนั้นแล้ว อาการป่วยบางอย่างที่ทำให้ร่างกายดูดซึมวิตามินได้น้อยลง ก็ทำให้ร่างกายต้องการวิตามินในปริมาณขึ้น เช่น ท้องเสีย ลำไส้อักเสบ เป็นต้น

    สัญญาณการขาดวิตามิน

    เนื่องจากวิตามินมีความสำคัญต่อระบบร่างกาย ดังนั้นแล้ว อาการที่ร่างกายฟ้องว่าขาดวิตามินจึงเกิดขึ้นในหลายส่วนของร่างกาย คือ

    ขาดวิตามินเอ

    • ภูมิต้านทานร่างกายลดลง ทำให้ติดเชื้อต่างๆ ได้ง่าย จึงทำให้เป็นหวัด อักเสบในโพรงจมูก ช่องปาก คอ ได้ง่าย
    • ตาฝ้า ฟาง วิตามินเอ มีความสำคัญต่อการมองเห็น ดังนั้นเมื่อขาดไป ก็จะทำให้มองเห็นในที่มืดได้น้อยลง หรืออาจทำให้เป็นตาบอดกลางคืนได้
    ขาดวิตามินบี

    ขาดวิตามินบี

    • เหน็บ ชา วิตามินบีช่วยในการบำรุงปลายประสาท เมื่อขาดไปจึงทำให้เกิดอาการชาตามแขนขา หรือเป็นเหน็บชา
    • เครียด วิตามินบีเป็นวิตามินที่กระตุ้นให้ต่อมหมวกไตผลิตฮอร์โมนคลายเครียด เมื่อร่างกายขาดวิตามินบี จึงทำให้เกิดอาการเครียดง่าย ปวดไมเกรนบ่อย
    • เบื่ออาหาร เมื่อขาดวิตามินบีที่มีส่วนสำคัญในระบบย่อย และดูดซึมอาหาร ก็ทำให้ร่างกายย่อยได้ไม่เต็มที่ เกิดอาการเบื่ออาหารได้
    • โลหิตจาง วิตามินบีมีส่วนในการสร้างเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง และส่งเม็ดเลือดไปยังอวัยวะต่างๆ เมื่อขาดไป ก็จะทำให้เม็ดเลือดแดงผิดปกติ และทำให้อวัยวะต่างๆ ทำงานปิดปกติตามไปด้วย
    • ผิวหนังอักเสบ ไขมันไม่สามารถขับออกตามผิวหนังได้เนื่องจากวิตามินบีช่วยในเผาผลาญไขมัน เกิดเป็นไขมันอุดตัน ต้นตอของการอาการอักเสบ และสิว

    ขาดวิตามินซี

    • อ่อนเพลีย ไม่สดชื่น
    • เส้นเลือดฝอยเปราะแตก วิตามินซีช่วยบำรุงผนังหลอดเลือดฝอยให้แข็งแรง ไม่เปราะ แตกง่าย เมื่อขาดไปจึงทำให้เกิดอาการเลือดออกตามไรฟัน และเลือดกำเดาออกได้ง่าย
    • ภูมิคุ้มกันต่ำ วิตามินซีมีส่วนในการเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันอาหารป่วยและติดเชื้อต่างๆ
    • หมองคล้ำ วิตามินซีช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูกระจ่างใส เมื่อขาดไปผิวก็จะหมองคล้ำ และมีริ้วรอย

    ขาดวิตามินดี

    กระดูกพรุน วิตามินดีเป็นวิตามินที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดี เมื่อขาดไปจึงเพิ่มความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน กระดูกเปราะแตกง่าย

    ขาดวิตามินอี

    ตอบสนองได้ช้าลง เนื่องจากวิตามินอีเป็นวิตามินที่มีส่วนในระบบประสาท เมื่อขาดไปจึงทำให้ร่างกายตอบสนองได้ช้างลง เคลื่อนตัวช้า ทรงตัวยาก กล้ามเนื้ออ่อนแรง

    การกินวิตามินเสริม

    • แนะนำให้ทานพร้อมมื้ออาหาร หรือหลังอาหาร เพื่อให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้
    • วิตามินบี และซี เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายจะขับออกอย่างรวดเร็ว จึงควรแบ่งทานหลังมื้ออาหาร เช้า กลางวัน และเย็น
    • หากทานวิตามินหลายตัวพร้อมกัน ควรทานในพร้อมมื้ออาหารที่ใหญ่ที่สุด

    ตรวจวิตามินที่ไหน

    สำหรับใครที่ต้องการตรวจวิตามิน ว่ามีมากเกินไป หรือน้อยเกินไป เดี๋ยวนี้ก็มีการตรวจอย่างละเอียด รวมถึงปรุงวิตามินเฉพาะบุคคล เพื่อเสริมในส่วนที่ขาดไปอีกด้วย

    เป็นโปรแกรมที่ชื่อว่า BWC Antioxidants Plus Customized Vitamin ซึ่งจะเป็นการตรวจเลือดเพื่อหาระดับวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ว่าเราขาดตัวไหน หรือมีตัวไหนมากเกินไป และปรุงวิตามินให้สำหรับ 1 เดือน เพื่อเติมในสิ่งที่ขาด

    ซึ่งครั้งนี้แอดได้ลองไปตรวจ ที่ Royal Life Bangkok by BDMS Wellness Clinic ศูนย์เวลเนสที่โดดเด่นด้าน Anti-Aging

    ขั้นตอนแรกของโปรแกรม BWC Antioxidants Plus Customized Vitamin ด้วยการพูดคุยกับคุณหมอ โดยคุณหมอจะซักถามข้อมูลสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการออกแบบวิตามิน หลังจากนั้นจะเป็นการเจาะเลือดเพื่อให้ได้ผลที่ละเอียด

    หลังจากนั้น 1 อาทิตย์ คุณหมอจะนัดฟังผลค่าแอนติออกซิเดนต์ และวิตามินในร่างกาย ซึ่งเลือกได้ว่า จะเดินทางไปฟังด้วยตัวเอง หรือออนไลน์

    ครั้งนี้แอดเลือกออนไลน์ คุณหมอก็จะอ่านค่าต่างๆ ให้ฟัง พร้อมทั้งอธิบายว่าแอนติออกซิเดนต์และวิตามินแต่ละตัว ได้มาจากไหน ทำหน้าที่อะไร และร่างกายเราขาดไปแค่ไหน

    ตรวจวิตามิน

    หากเลือกฟังผลกับคุณหมอก็จะได้รับวิตามินที่ปรุงขึ้นเพื่อตัวเราเลย แต่แอดเลือกออนไลน์ ทางศูนย์ Royal Life Bangkok by BDMS Wellness Clinic ก็จะส่งตัววิตามินมาให้ที่บ้าน
    สำหรับโปรแกรม BWC Antioxidants Plus Customized Vitamin สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสอบถามได้ที่ www.bdmswellness.com

    เรื่องอื่นๆ น่าสนใจ

    ที่มา

    • ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    • Rama Channel
    • โรงพยาบาลกรุงเทพ
    • Healthline
    • โรงพยาบาลพญาไท
    หักนิ้ว

    หักนิ้ว บ่อย อันตรายกว่าแค่ข้อนิ้วแตก

    หักนิ้ว พฤติกรรมเลิกได้เลิก!

    หักนิ้ว พฤติกรรมที่หลายคนทำจนติดเป็นนิสัย โดยเฉพาะคนที่ทำงานโดยใช้กล้ามเนื้อมัดเเล็กๆ อย่างนิ้วเป็นประจำ เช่น คนทำงานหน้าคอมต้องพิมพ์งานบ่อยๆ หรือใช้โทรศัพท์มากๆ พอรู้สึกตึงๆ นิ้วก็จะหักนิ้วคลายปวดเมื่อย เพราะคิดว่าไม่มีผลเสียอะไร นอกจากยอมให้ข้อแตก นิ้วโปนที่ก็เป็นแค่เรื่องของความสวยงามของนิ้วมือ แต่ที่จริงแล้ว การหักนิ้วบ่อยๆ มีผลเสียกับสุขภาพมากกว่าที่คิดนะคะ

    หักนิ้วคลายปวด?

    หลายคนหักนิ้วเพื่อคลายปวด หรือลดความตึงของข้อนิ้ว บางก็ว่าหลังนิ้วทำให้รู้สึกสบายนิ้วขึ้น ซึ่งทั้ง ผศ.นพ.ภพ เหลืองจามีกร หน่วยศัลยกรรมทางมือ ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และผศ. ดร. นพ.ไพฑูรย์ เบ็ญจพรเลิศ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรคทั่วไป โรคในผู้สูงอายุ และเวชศาสตร์ฟื้นฟู ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ในทางการแพทย์ การหักนิ้ว ไม่ได้ช่วยคลายปวด หรือคลายตึงที่นิ้วมือเพียงแต่เป็นการขับไล่ฟองอากาศที่เกิดขึ้นระหว่างกระดูกนิ้วมือเท่านั้น

    โดยเสียงกร๊อบ ที่เกิดขึ้นจากการหักนิ้ว เป็นเสียงของฟองอากาศที่อยู่ในน้ำระหว่างข้อนิ้ว เมื่อเกิดเสียงแปลว่าฟองอากาศเหล่านั้นถูกบีบไล่ออกมา

    แต่ทั้งนี้คุณหมอภพได้กล่าวว่ามีการศึกษารายงานว่าในบางรายการหักนิ้ว ช่วยลดความเครียดได้ และทำให้ขยับข้อนิ้วได้ดีขึ้น สบายขึ้น เนื่องจากมุมการเคลื่อนไหวนิ้วได้เยอะขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ไม่มีการศึกษาว่าการหักนิ้วช่วยให้ผ่อนคลายขึ้น

    หักนิ้วบ่อย เสี่ยงข้อเสื่อม

    การหักนิ้วบ่อยๆ อาจส่งผลให้ตัวผิวข้อกระดูก่อนหนาขึ้นซึ่งเป็นหนึ่งในลักษณะของการที่บวม และอักเสบ นอกจากนั้นแล้วการหักนิ้วบ่อยๆ ยังเพิ่มความเสี่ยงที่ทำให้ข้อเสื่อมได้ หรือหากมีอาการข้อเสื่อมจากสาเหตุอื่นๆ อยู่ก่อนแล้ว การหัวนิ้วก็ทำให้ข้อเสื่อมเพิ่มมากขึ้นได้

    นอกจากนั้นแล้ว การหักนิ้วบ่อยๆ ยังเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอาการ

    • ข้อนิ้วหลวม เนื่องจากปลอกหุ้มข้อถูกยืดออกทำให้เกิดอาการปวดตามข้อต่อนิ้ว หากเป็นมากอาจทำให้เกิดการผิดรูป โค้ง งอ หรือบิดไม่ได้ตามปกติ กระทบกระเทือนการใช้ชีวิตประจำวัน
    • ข้ออักเสบ เกิดขึ้นได้มากโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่หักข้อแรงๆ ซึ่งทำให้เกิดอาการบวมแดง บริเวณข้อนิ้วร้อนผ่าวๆ เ คลื่อนไหวนิ้วลำบาก
    • ปลอกหุ้มข้อเสื่อม ส่งผลให้เอ็นรอบข้อไม่แข็งแรง ทำให้กำลังในการบีบมือลดลง

    ข้อนิ้วแตก! นิ้วโปน

    ข้อนิ้วแตก ที่เราพูดกันติดปาก สำหรับคนที่หักนิ้วบ่อยๆ เป็นการใช้คำเพื่ออธิบายลักษณะภายนอก คือ บริเวณกลางลำนิ้วมีลักษณะปูดโปนออกมาเป็นปล้อง ไม่เรียวงาม ซึ่งลักษณะดังกล่าวไม่ใช่อาการของข้อนิ้วแตกแต่อย่างใด

    แต่หากถามว่าการหักนิ้วทำให้ข้อนิ้วใหญ่ขึ้นหรือเปล่านั้น ศ.คลินิก นพ.อดุลย์ รัตนวิจิตราศิลป์ รองคณบดีฝ่ายสารสนเทศคณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ให้คำตอบว่า ยังไม่มีหลักฐานที่แน่นอนว่าการหักนิ้วทำให้กระดูกใหญ่ขึ้น แต่ก็มีรายงานว่าทำให้นิ้วมือมีอาการบวมมากกว่าในกลุ่มที่ไม่หักนิ้ว

    หักนิ้วบ่อย ทำนิ้วล็อก?

    เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คนหักนิ้วเป็นกระจำกังวล หรือเด็กๆ ที่เริ่มมีพฤติกรรมหักนิ้วจะโดนผู้ใหญ่หยิบยกเอาอาการ นิ้วล็อกมาขู่ว่าหากหักนิ้วบ่อยๆ จะทำให้นิ้วล็อก ซึ่งแท้ที่จริงแล้วนั้นไม่เกี่ยวกัน การหักนิ้วไม่ทำให้นิ้วล็อกได้

    นิ้วล็อกเกิดขึ้นจากการที่ปลอกหุ้มเอ็นกล้ามเนื้อที่นิ้วอักเสบและหนาขึ้น ทำให้เอ็นที่อยู่ภายในไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ตามปกติ จึงเกิดเป็นอาการนิ้วล็อกเกิดขึ้น

    บริหารนิ้ว ลดการหักนิ้ว

    สำหรับการบริหารนิ้วมือ เพื่อลดการหักนิ้วนั้นทำได้ไม่ยากเลยค่ะ มีแนะนำกัน 2 วิธีคือ

    เสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อมือ ด้วยการใช้ลูกบอลขนาดเล็กๆ สำหรับ กำ และคลาย ซึ่งเป็นการบริหารทั้งกล้ามเนื้อนิ้วมือ และข้อมือให้แข็งแรงมากขึ้น หรืออาจใช้เครื่องออกกำลังนิ้วมือที่เป็นเครื่องบีบขนาดเล็ก ก็สามารถช่วยได้เช่นเดียวกัน

    การคลายกล้ามเนื้อมือ เมื่อไหร่ที่รู้สึกปวดกล้ามเนื้อนิ้วมือ หรือรู้สึกตึงๆ อยากจะหักนิ้วมือ ให้ลองเปลี่ยนเป็นการแช่น้ำอุ่น จะบรรเทาอาการปวด เกร็งกล้ามเนื้อได้ ทำให้ลดการหักนิ้วมือลงได้

    ที่มา

    • ผศ.นพ.ภพ เหลืองจามีกร หน่วยศัลยกรรมทางมือ ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย รายการชัวร์ก่อนแชร์
    • ผศ. ดร. นพ.ไพฑูรย์ เบ็ญจพรเลิศ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรคทั่วไป โรคในผู้สูงอายุ และเวชศาสตร์ฟื้นฟู รายการ RAMA Channel
    • ศ.คลินิก นพ.อดุลย์ รัตนวิจิตราศิลป์ รองคณบดีฝ่ายสารสนเทศคณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล 
    • โรงพยาบาลเวชธานี
    • โรงพยาบาลวิชัยยุทธ

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ อัลไซเมอร์ ภาวะสมองเสื่อมที่พบมากขึ้นในสังคม
    ทำความเข้าใจในเรื่อง “อาการนอนไม่หลับ”
    เบาหวานลงไต คืออะไร มาทำความรู้จักกัน

    บุหรี่ไฟฟ้า

    เบาได้เบา! บุหรี่ไฟฟ้า เทรนด์ที่ทำปอดแฟบ

    บุหรี่ไฟฟ้า ดูเหมือนจะเป็นของเล่นใหม่ที่ผู้สูบนิยมใช้กันมากขึ้น เพราะหลายคนเชื่อว่าจะช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ธรรมดา และเข้าใจว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าการสูบบุหรี่แบบเดิมๆ ทั้งที่ความจริงแล้วสารประกอบในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้ามีสารพิษที่อันตรายไม่ต่างกว่าบุหรี่มวนทั่วไป 

    ทำความรู้จักบุหรี่ไฟฟ้า

    บุหรี่ไฟฟ้าใช้กลไกไฟฟ้าทำให้เกิดความร้อนและไอน้ำที่ประกอบด้วยสารเคมีต่างๆ ได้แก่ นิโคติน เป็นสารที่ทำให้ร่างกายเสพติดการสูบบุหรี่ ดังนั้นบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ช่วยให้เลิกบุหรี่ได้ อีกทั้งยังทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น โพรไพลีนไกลคอล และกลีเซอรีน หากสูดดมอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองปอดได้ และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดหอบหืด สารประกอบอื่น ๆ สารแต่งกลิ่นและรส โทลูอึน เบนซีน นิกเกิล โคบอลต์ โครเมียม ตะกั่ว บุหรี่ไฟฟ้าจึงมีอันตรายไม่ต่างจากบุหรี่ธรรมดา แม้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลเพียงพอว่าบุหรี่ไฟฟ้า ทำให้เกิดมะเร็งปอด แต่มีหลักฐานยืนยันว่าเพิ่มความเสี่ยง ในการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองและโรคปอดอักเสบเฉียบพลัน

    มีอะไรในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า

    นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า “ในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้ามีสารพิษที่อันตรายไม่ต่างกว่าบุหรี่มวนทั่วไป มีสารนิโคตินเหลวซึ่งมีความเข้มข้นมากกว่านิโคตินในบุหรี่มวนปกติ โดยในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้ามีสารประกอบ ดังนี้ นิโคติน (Nicotine) ที่กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง เพิ่มความดันโลหิต เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ทําให้เกิดโรคมะเร็งปอดและโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ โพรไพลีนไกลคอล (Propylene glycol) เป็นสารสังเคราะห์ชนิดหนึ่งที่เมื่อสัมผัสหรือสูดดมเข้าไปอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองที่ดวงตาและปอด โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง โรคหอบหืด และโรคถุงลมโป่งพอง สารแต่งกลิ่นและรส (Flavoring) และกลีเซอรีน (Glycerin)

    “บุหรี่ไฟฟ้าก่อให้เกิดโทษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ได้แก่ หายใจไม่ออก ไอ จาม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ระคายเคืองตาและผิวหนัง ระคายเคืองในช่องปากและคอ เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ หากได้รับไปนานๆ จนเกิดการสะสมจะทำให้เกิดอาการ เยื่อหุ้มฟันอักเสบ เยื่อจมูกอักเสบ ต้อกระจก ซีด นอนไม่หลับ เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ชัก วิตกกังวล ซึมเศร้า ปวดบวม จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหลอดเลือดหัวใจตามมา”


    เลิกได้เลิก

    นอกจากนี้ นายแพทย์เทวินทร์ ชาคริยานุโยค อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด ได้มีการโพสต์ข้อความพร้อมภาพเอกซเรย์ปอดคนไข้รายหนึ่ง โดยระบุว่า “วันนี้มีเรื่องมาเล่าอีกแล้ว เด็กอายุ 16 เจ็บหน้าอก เสียงคุณพยาบาลเสียงใส เดินมาแจ้ง OMG เป็นไปได้ไง ซักประวัติ น้องรูปร่างผอม สูบบุหรี่ไฟฟ้าจัด บอกว่าเจ็บหน้าอกเวลาหายใจ ไม่ได้ยกของหนัก เอกซเรย์ดังรูป วินิจฉัยเป็นอะไรดี 

    “สรุปเป็นลมรั่วในช่องปอดขวา ทำให้ปอดขวาแฟบ ปลายลูกศรคือขอบปอดที่แฟบไปรวมกันเป็นก้อนตรงกลาง โดยปอดขวามี 3 พู เลยยู่ไม่เท่ากัน เห็นเป็นก้อนขรุขระ คนไข้จะมาด้วยอาการเหนื่อยหรือเจ็บหน้าอกหายใจไม่สุด ซึ่งเคสนี้มาจากการใช้ Vape หรือพอด หรือ E cigarett บุหรี่ไฟฟ้านั่นเองครับ

    “ในบุหรี่ไฟฟ้าจะมีนิโคตินปริมาณสูง (มากกว่าบุหรี่ปกติ) โพรพิลีนไกลคอล และสารแต่งกลิ่น การสูบแบบอัดก็มีผลด้วยครับ บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายไม่ยิ่งหย่อนกว่าบุหรี่ธรรมดานะครับ เลิกได้เลิกเถอะ”

    ข้อมูลจาก สถาบันโรคทรวงอก / Facebook นพ.เทวินทร์ ชาคริยานุโยค / chulalongkornhospital 

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    วิธี ฝึกกล้ามเนื้อ “ป้องกันล้ม” ในผู้สูงวัย

    เรื่องต้องรู้ เมื่อจะ “ล้างจมูก”

    ลืมความกังวล ด้วยกิจกรรมง่ายๆ วันละ 5 นาที

    ลดน้ำตาลในเลือด

    ลดน้ำตาลในเลือด เรื่องเพื่อชาวเบาหวาน

    ลดน้ำตาลในเลือด ต้องกินอยู่แบบไหน

    เบาหวาน เป็นอีกหนึ่งโรค NCDs ยอดฮิตของคนไทย และเป็นโรคที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้อย่างมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นเราก็สามารถดูแลเบาหวานได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนะคะ เพื่อ ลดน้ำตาลในเลือด ส่วนวันนี้เรามาดูกันดีกว่าว่ามีเรื่องอะไรที่ควรต้องดูแลเกี่ยวกับเบาหวานบ้าง

    สัญญาณและอาการของโรค

    เริ่มต้นด้วยอาการของสัญญาณเตือนดรคเบาหวาน เรามาดูกันหน่อยว่า อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือยัง และมีวิธีสังเกตตัวเองอย่างไร เพราะการสังเกตตัวเองเป็นเรื่องสำคัญนะคะ ยิ่งรู้ไว ก็ยิ่งรักษาและควบคุมได้ง่าย

    รู้จักอาการ สัญญาณเตือน “เบาหวาน”

    เบาหวาน เป็นโรคที่เกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูง จนเป็นผลให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะกับการอักเสบที่อวัยวะต่างๆ สำหรับอาการของโรคก็มีทั้งที่เกิดจากน้ำตาลโดยตรง และที่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนต่างๆ แต่ปัญหานี้ก็สามารถควบคุมได้ หากเรารู้จักสัญญาณบางอย่างที่เตือนว่า คุณอาจจะกำลังเป็น เบาหวาน อ่านต่อ คลิกเลย

    เมื่อเบาหวาน ทำเส้นเลือดเกือบแตก

    เบาหวาน

    เบาหวานเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนจริงๆ ยิ่งในปัจจุบันนี้ ที่เราเจอผู้ป่วยเบาหวานในวัยที่เด็กลงเรื่อยๆและหนึ่งในกลุ่มยอดนิยมคือวัยทำงาน เหมือนเช่น  “คุณเกี้ย” เจ้าของงานอดิเรกทำช่องยูทูป “เกี้ยแซ่บ” ซึ่งมีผู้ติดตามห้าแสนกว่าราย  เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะชะล่าใจ ไม่ดูแลสุขภาพเท่าที่ควร ทั้งไม่คิดว่าเบาหวานจะร้ายแรงขนาดนี้

    “ตอนนี้ผมอายุ 48 เริ่มเป็นเบาหวานอายุ 28 สาเหตุไม่ชัดเจน ตอนเด็กเป็นคนผอมมาก ขี้โรค ความเชื่อของคนจีนคือทำยังไงก็ได้ให้อ้วนและแข็งแรง ครอบครัวจึงให้กินยาหมอจีนจนอ้วน พออ้วนแล้วน้ำหนักไม่ลง เรากินเก่งด้วย กินไม่เลือก อ่านเรื่องราวของคุณเกี้ย ต่อ คลิกเลย

    ว่ากันด้วยเรื่องของ “น้ำตาลในเลือดสูง”

    “ การที่ น้ำตาลในเลือดสูง เปรียบเหมือนทุกเซลล์ในร่างกายถูกเชื่อม  ทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัว คลายตัวได้ตามปกติ  คนเป็นเบาหวานจึงมักปวดตามกล้ามเนื้อต่าง ๆ  เดินไปชนอะไรนิดหน่อยผิวก็เขียวเป็นจ้ำ กล้ามเนื้อหัวใจก็บิดตัวไม่ดี  ไตเสื่อม  ตาเป็นต้อกระจก  ใบหน้าเหี่ยวย่น ผิวไม่อิ่มฟู เพราะคอลลาเจน อีลาสตินก็เชื่อมเหมือนกัน

    “ น้ำตาลจะเข้าไปทดแทนเนื้อเยื่อในกระดูก ทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนเพิ่มขึ้น  พอน้ำตาลไปเกาะสมอง ทำให้เป็นโรคสมองเสื่อม เป็นอัลไซเมอร์เร็วขึ้น  น้ำตาลที่สะสมเป็นไขมัน เป็นเซลลูไลท์ เป็นโรคอ้วน   นอกจากนั้นพอไขมันไปสะสมในเลือด ทำให้เกิดพลัค (Plaque)  ซึ่งมีโอกาสเป็นโรคหัวใจขาดเลือด สโตรก   รวมทั้งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายเสีย เกิดภาวะแพ้อาหารแฝง ติดเชื้อง่ายกว่าปกติ  เมื่อโควิด 19 ระบาด  คนเป็นเบาหวานเสียชีวิตมากขึ้น เพราะภูมิคุ้มกันไม่ดี” คลิกอ่านต่อเลย

    การออกกำลังกาย เพื่อ ลดน้ำตาลในเลือด

    เป็นเบาหวาน ออกกำลังกายได้ไหม เป็นคำถามยอดฮิตของผู้ป่วยเบาหวาน เพราะเมื่อเป็นเบาหวานแล้วหากเกิดแผล หรือบาดเจ็บจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะว่าจะหากและรักษาได้ยาก ถ้าอย่างนั้นเรามาคำตอบด้วยกันค่ะ

    เป็น เบาหวาน ออกกำลังกาย อย่างไรดี โดยหมอสันต์ ใจยอดศิลป์

    สำหรับผู้ที่เป็น เบาหวาน ออกกำลังกาย ก็เหมือนว่าจะเป็นยาขมของกันและกัน แต่การออกกำลังกายนั้นช่วยบรรเทาอาการเบาหวานได้จริงๆ รวมถึงช่วยให้สุขภาพในด้านอื่นๆ แข็งแรงขึ้นได้ แต่จะออกกำลังกายอย่างไรให้ถูกต้อง ไม่หนักจนเกินไป คุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์ มีคำตอบมาให้แล้วค่ะ

    การออกกำลังกายมี 3 ชนิด คือ การออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรง (strength training), การออกกำลังกายแบบแอโรบิก (aerobic exercise) และการออกกำลังกายแบบยืดหยุ่น (flexibility exercise) อ่านต่อ คลิกเลย

    ผู้ป่วยโรคเบาหวานออกกำลังกายอย่างไร ช่วยร่างกายฟื้นไว

    เบาหวานออกกำลังกาย

    การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ทำอย่างไรได้ สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยอธิบายว่า เมื่อผู้ป่วยเบาหวานออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายนำกลูโคสจากอาหารที่กินไปใช้เป็นพลังงานได้ดี ลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้ควบคุมน้ำตาลได้ดีขึ้น ภาวะดื้อต่ออินซูลินน้อยลง หัวใจแข็งแรง ป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือดในอนาคต มาดู การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน กันเลยค่ะ คลิกอ่านเลย

    พฤติกรรมช่วย ลดน้ำตาลในเลือด

    เบาหวานเป็นอีกหนึ่งโรคที่เกิดขึ้นได้จากพฤติกรรมเสี่ยง โดยเฉพาะเรื่องของการรับประทานอาหารที่เน้นหวาน เติมน้ำตาลมาก และก็สามารถควบคุมดูแลได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเช่นเดียวกันค่ะ

    กู้วิกฤตเบาหวาน ไม่ใช่เรื่องยาก แค่ปรับพฤติกรรม

    ลดน้ำตาลในเลือด

    เบาหวานเป็นอีกหนึ่งโรคที่มีสาเหตุมาจากหนึ่งมาจากพฤติกรรม ดังนั้นแล้วหากอยากควบคุมเบาหวานให้ได้ สิ่งแรกที่ควรทำคือการควบคุม และปรับพฤติกรรมบางอย่างที่อาจก่อให้โรคลุกลาม วันนี้แอดจึงนำบทความเรื่องการควบคุมเบาหวาน โดยนายแพทย์สันต์ ใจยอดศิลป์ มาให้ชาวชีวจิตได้อ่านกันค่ะ

    โภชนาการเพื่อป้องกันและรักษาเบาหวาน

    งานวิจัยของฟินแลนด์ ทำให้เกิดการยอมรับกันทั่วไปถึงหลักการสำคัญทางด้านโภชนาการ 4 อย่าง ที่ทำให้คนในภาวะใกล้เป็นเบาหวานสามารถป้องกันเบาหวานได้คือ
    1.การลดแคลอรี่จากอาหารลง ควบกับการออกกำลังกายเพื่อให้น้ำหนักลดลงอย่างน้อย 5 เปอร์เซ็นต์
    2. ลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวให้เหลือไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ของแคลอรี่รวม
    3. ลดการบริโภคไขมันให้เหลือไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์ ของแคลอรี่รวม
    4.บริโภคไฟเบอร์(เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี) ให้ได้มากกว่า 15 กรัมต่อ 1,000 แคลอรี่

    อ่านต่อ คลิกเลย

    กินน้ำตาลอย่างไร ให้ไกลห่างเบาหวาน โดยแพทย์หญิงสาริษฐา สมทรัพย์

    ลดน้ำตาลในเลือด

    เป็นการแก้ความเข้ใจผิด เพราะว่าน้ำตาลไม่ใช่ตัวร้ายเสมอไป แต่จะกินอย่างไรให้เราห่างไกลจากเบาหวาน ถ้ากินให้เป็น รู้จักกินให้พอดี สิ่งนี้จะไม่กลับมาทำร้ายเรา มาดูกัน

    1. ต้องตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อดูระดับน้ำตาลในเลือดสูงต่ำอย่างไร นอกจากนั้นยังต้องตรวจระดับน้ำตาลสะสม  (  HbA1c- Hemoglobin A1C)  
    2. ถ้าประเมินแล้ว เข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยงน้ำตาลต่ำ ก็ต้องพกลูกอม ช็อคโกแลตบาร์ ซีเรียลบาร์ เพื่อใช้ในกรณีมีอาการน้ำตาลต่ำ ในกรณีที่ใช้ยาต่าง ๆ ที่มีผลทำให้น้ำตาลต่ำ ก็ควรหมั่นไปหาหมอเพื่อตรวจเช็ค

    ส่วนผู้มีระดับน้ำตาลต่ำจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เช่น ใช้ยาลดน้ำหนัก ไม่ควรใช้ยาเองโดยพลการ ไม่ปรับโดสยาเอง ไม่ใจร้อนเกิน  ผู้ที่ทำ IF  ก็ไม่ควรอดอาหารนานเกินไป  ผู้ที่กินคีโตน ก็ไม่ควรกินมากเกินไป อ่านต่อ คลิกเลย

    อาหารการกิน

    อาหารการกินเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทั้งทำให้เบาหวานอาการหนักมากขึ้น หรือทำให้อาการดีขึ้นได้ รวมถึงเราสามารถดูแลสุขภาพผ่านอาหารที่เราทานได้

    แจกสูตรธรรมชาติ ป้องกัน บำบัด เบาหวาน

    ลดน้ำตาลในเลือด

    เบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นสาเหตุใหญ่ วันนี้แอดเลยชวนทุกคนมาดูสมุนไพร ใกล้ตัวทีช่วยป้องกัน และบำบัด รวมถึงช่วยควบคุมน้ำตาลในเส้นเลือด ให้อยู่ในระดับปกติได้

    ตำลึง รักษาระดับน้ำตาล ทีมนักวิชาการจาก Harvard Medical School ได้ทำการศึกษาพบว่า ตำลึงและโสมมีหลักฐานสนับสนุนประสิทธิภาพในการลดน้ำตาลได้ดีที่สุด โดยสรรพคุณที่ช่วยในเรื่องการลดน้ำตาลอยู่ในส่วนใบและราก นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรอื่นๆ อีก คลิกเลย

    สมุนไพรควบคุมน้ำตาล เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน พร้อมคำแนะนำการกิน

    ลดน้ำตาลในเลือด

    ผู้ป่วยเบาหวานจำเป็นต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเคร่งครัด หมั่นตรวจระดับน้ำตาลเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคแทรกซ้อน อีกทั้งยังต้องดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ กินยาตามคำแนะนำของแพทย์ ที่สำคัญ ควรควบคุมปริมาณอาหารหรือเลือกกินอาหารที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างพืชสมุนไพร คุณกรรณิการ์ แก้วเรือง ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสมุนไพรและคลุกคลีอยู่ในวงการสมุนไพรอย่างยาวนาน ได้แนะนำ สมุนไพรควบคุมน้ำตาล ไว้ดังนี้ คลิกเลย

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    Instagram Cheewajitmedia
    Facebook นิตยสาชีวจิต

    ไทรอยด์เป็นพิษ

    ดูแล ไทรอยด์เป็นพิษ ตามวิถีแพทย์แผนจีน

    ไทรอยด์เป็นพิษ เกิดจากการหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์ออกมามากจนเกินไป ทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายรวน ซึ่งอาการนี้ไม่เพียงมีการรักษาในแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนจีนเองก็มีวิธีรักษา ที่น่าหยิบมาใช้ดูแลตัวเองไม่น้อยเลยค่ะ

    รู้จักไทรอยด์เป็นพิษ

    ต่อมไทรอยด์ถือเป็นต่อมไร้ท่อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนและปล่อยฮอร์โมนสู่กระแสเลือด เพื่อควบคุมการทำงานของอวัยวะอื่นในร่างกาย ลักษณะของต่อมไทรอยด์คล้ายปีกผีเสื้อ ซึ่งจะมีสองข้าง ซ้ายและขวา ตำแหน่งคืออยู่บริเวณหน้าหลอดลม

    ไทรอยด์เป็นพิษ ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันคือมีการหลั่งของฮอร์โมนไทรอยด์ออกมามากเกินไป จุดที่ถูกกระตุ้นจึงเกิดเป็นถุงน้ำและส่งผลต่ออวัยวะทั่วร่างกาย ทำให้มีการเผาผลาญสูงกว่าปกติ เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยต่างๆ ขึ้นตามมา เช่น เหนื่อยหอบง่าย ใจสั่น ขี้ร้อน เหงื่อมาก หงุดหงิด นอนไม่หลับ น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็วแบบผิดปกติ เป็นต้น

    การวินิจฉัยภาวะไทรอยด์ผิดปกติส่วนใหญ่ทำโดยการตรวจเลือด เพื่อเช็กการทำงานของต่อมไทรอยด์และการเผาผลาญในร่างกาย โดยตรวจวัดปริมาณฮอร์โมนไทรอยด์ T3 และ T4 เพื่อดูการทำงานของต่อมไทรอยด์ว่าผิดปกติหรือไม่

    ไทรอยด์เป็นพิษในทางแพทย์แผนจีน

    ตามทฤษฎีของแพทย์แผนจีนอธิบายไว้ว่า ไทรอยด์เป็นพิษ เกิดจากร่างกายมีความร้อนมากเกินไป และเป็นโรคที่เกิดจากเลือด หยินในร่างกายถูกลดทอนให้น้อยลง ร่างกายมีเสลดและเสมหะมาก ส่งผลให้มีความเครียดกังวลจนทำให้หัวใจและตับทำงานผิดปกติ

    ส่วนอาการอื่น ๆ คือ มือสั่น ร้อนๆ หนาวๆ เหงื่อออกง่าย หัวใจเต้นเร็ว ตาโปน ตัวอ้วนตัน อาการบวมน้ำง่าย ร่างกายขับน้ำออกไม่ทัน ควบคุมตัวเองไม่ได้ เป็นลักษณะอาการของคนที่มีเสลด มีความชื้นในร่างกายมากเกินไป ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอาการไฮเปอร์ไทรอยด์ทั้งสิ้น ดังนั้นแพทย์แผนจีนจะเน้นทำการรักษาตามอาการ ด้วยวิธีเสริมหยิน เพิ่มเลือด ขับเสมหะ ลดไฟในตับ

    การฝังเข็ม

    ศาสตร์ทางการแพทย์แผนจีนจะใช้วิธีการฝังเข็มเพื่อระบายความร้อนออกมา มีหลายจุดสำคัญที่ใช้ฝังเข็มเพื่อช่วยให้ร่างกายสงบลง เช่น บริเวณรอบๆ คอ บริเวณเส้นลมปราณตับ จุดฝังเข็มขับความร้อนตามปลายมือปลายเท้า จุดลดเสลดอุดตันในเส้นลมปราณ

    การกินอาหารและยาจีน

    ในการรักษาอาการไทรอยด์ แพทย์จีนเน้นปรับสมดุลหยินหยาง ในทางแพทย์แผนโบราณตำราจีนและไทยถือว่าไทรอยด์เป็นพิษ เกิดจากการกินอยู่และพฤติกรรมที่ไม่สมดุล การกินอาหารที่มีฤทธิ์ร้อนมากกว่าฤทธิ์เย็น พฤติกรรมรีบๆ
    ทำงานหนักยาวๆ ใช้ร่างกายโดยไม่พัก มีความเครียดสูง ทำให้หยินหยางไม่สมดุล จึงทำให้ภายในร่างกายร้อนเกิน
    และร่างกายขับความร้อนออกมาไม่ทัน ก่อเสลดในเส้นลมปราณตับที่ตำแหน่งไทรอยด์ จนกระทั่งการทำงานของ
    ต่อมไทรอยด์ผิดปกติ วิธีธรรมชาติแบบจีนช่วยบำบัดรักษาอาการไทรอยด์คือ

    ปรับนิสัยการกิน หันมากินอาหารฤทธิ์เย็นแทน งดเนื้อสัตว์ใหญ่ แต่ยังกินปลาได้ เช่น ปลานึ่งทาเกลือ เพื่อเสริมไอโอดีน กินผักผลไม้ฤทธิ์เย็น เช่น แตงโม สับปะรด แอ๊ปเปิ้ล

    อาหารที่มีสรรพคุณฤทธิ์เย็น เช่นแตงโม ผักใบเขียว กุ้งปูหอยทะเลทุกชนิดที่ปรุงสุกต้มทั้งเปลือก จะได้น้ำซุปที่ต้มหอยกับกุ้งทั้งเปลือก ควรกินสัปดาห์ละประมาณ 2- 3 ครั้ง และแนะนำให้ปรับพฤติกรรมการทำงานและพักผ่อนให้สมดุล ปรับอารมณ์ คลายเครียด

    สำหรับสมุนไพรยาจีนเน้นให้กินกลุ่มยาขับเสลด กลุ่มยาลดร้อนทำให้เลือดเย็น และกลุ่มยาช่วยสงบตับ บำรุงตับ
    หยินและเลือด ส่วนใหญ่หมอจีนจะเลือกวิธีการรักษาตามอาการ และเมื่ออาการดีขึ้นหมอจะเสริมเรื่องการกินยา
    บำรุงร่างกาย ให้กินเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ฮอร์โมนทำงานคงที่และพลังงานซี่ของตับขยับดี เช่น ยาไฉหูซูกันหวัน ยาปั้นเซี่ยโฮ่วพั่วทัง ซึ่งเป็นยาที่หาได้ในร้ายขายยาแผนจีนใกล้บ้านเลยค่ะ

    มีอาการคอพอก ตาโปน

    ในกรณีคนที่มีอาการคอหอยพอกและอาการตาโปนร่วมด้วยเป็นภาวะการขาดไอโอดีน หมอจะให้กินยาจีนสูตรที่มีส่วนผสมมาจากเปลือกหอยนางรมและของทะเลลึก เช่น สาหร่าย ปลิงทะเล เกลือทะเล ซึ่งมีแร่ธาตุไอโอดีนและมีแคลเชียมสูง เพราะทฤษฎีของแผนจีนเชื่อว่า ความเค็มจะช่วยสลายก้อนที่โตขึ้นและสลายเสลดที่รวมตัวกันตรงบริเวณคอ นอกจากนี้ผู้ป่วยจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร จะช่วยให้อาการดีขึ้น

    มีอาการภาวะขาดน้ำ

    โรคไทรอยด์เป็นพิษจะผลิตความร้อนมาก ก่อให้เกิดภาวะขาดน้ำได้ เพราะฉะนั้นการดื่มน้ำอย่างเพียงพอต่อวันจะช่วยลดภาวะขาดน้ำและทำให้อาการดีขึ้น

    สรุปคือ เน้นอาหารที่มีแคลเชียม ไอโอดีน และโซเดียมมากขึ้นแต่ต้องควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพราะภาวะไทรอยด์เป็นพิษจะทำให้กระดูกบางลง ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารเสริมที่มีแคลเซียมและวิตามินดีควบคู่กันไปด้วย ทั้งในระหว่างการรักษาและหลังจากอาการดังกล่าวหายแล้ว เพื่อบำรุงกระดูกให้แข็งแรงขึ้นค่ะ

    ออกกำลังกาย

    สูตรที่หมอใช้รักษาคนไข้ ส่วนใหญ่เป็นการออกกำลังกายแบบเบาๆ เน้นแนวยืดเหยียดหรือการเดินประมาณวันละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น หรือการแกว่งแขน โดยการแกว่งแขนเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 20 นาที เน้นให้เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยให้ร่างกายได้ขยับ เพื่อให้เลือดลมไหลเวียนไปเลี้ยงต่อมไทรอยด์ได้ดี หรือเป็นการฝึกโยคะเน้นท่าที่ให้ศีรษะลงพื้นก็สามารถช่วยได้

    สำหรับการออกกำลังกายแบบชีวจิตเองก็คือการรำกระบองในท่าไหว้พระอาทิตย์ ซึ่งจะช่วยให้เลือดลมไหลเวียน การทำงานของต่อมน้ำเหลืองดีขึ้น


    ที่มา

    นิตยสารชีวจิต โดยแพทย์หญิงศรันยา สาครินทร์ แพทย์แผนปัจจุบัน จบจากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และศึกษาต่อปริญญาโทด้านฝั่งเข็มยาจีน นวดทุยหนา และโภชนาการ จากประเทศสหรัฐอเมริกา จึงมีความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพและการรักษาโรคจากทั้งศาสตร์ตะวันออกและตะวันตก

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    50+ ร่างกายเปลี่ยนแค่ไหนกัน

    50+ ร่างกายเปลี่ยนไป แค่ไหนกัน

    ร่างกายคนเรามีพัฒนาการตลอดเวลา แต่เมื่อ 50+ ร่างกายก็จะมีการเปลี่ยแปลงครั้งยิ่งใหญ่ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เสื่อมลง ซึ่งจะเกิดขึ้นกับหลายๆ ระบบในร่างกายแต่จะมีอะไรบ้างมาดูกันค่ะ เพื่อที่เราจะรับมือได้ถูกต้อง

    ผมหงอก

    เพราะร่างกายผลิตเม็ดสีหรือเมลานินน้อยลง ถ้าเป็นคนวัย 40 ปีแล้วมีผมหงอก ถ้ากินวิตามินและดูแลสุขภาพดีๆ ผมอาจจะกลับมาเป็นสีเดิมได้ แต่วัย 50 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่ผมจะเป็นสีเทา หรือผมหงอกมากกว่าร้อยละ 50

    สมองและระบบประสาท

    สารเมลาโทนินลดลงทำให้จำนวนเวลาที่นอนหลับได้น้อยลงหรือนอนไม่ค่อยหลับ ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้เสมอในคนวัย 50 ปี หลายคนเริ่มมีอาการแบบนี้ตั้งแต่ 45 ปี ส่วนระบบประสาทจะเริ่มลืมชื่อบุคคลหรือนึกชื่อบุคคลได้ยากขึ้น มีปัญหาเรื่องทิศทาง ดูแผนที่แล้วขับรถลำบากไม่คล่องแคล่วเหมือนคนรุ่นหนุ่มสาว ถัดมาเป็นเรื่องความเร็วในการ
    ประมวลผลข้อมูลจะช้าลง เรื่องการทรงตัวในผู้หญิงจะมีปัญหามากกว่าผู้ชาย และคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกายจะมีปัญหามากกว่าคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ สังเกตว่าเวลาเดินบนทางแคบ ๆ สูงๆจะมีปัญหา ถ้าอายุมากขึ้นก็จะมีปัญหาล้มง่ายเพราะทรงตัวได้ไม่ดี

    สายตายาว

    เพราะกล้ามเนื้อตาที่ใช้ในการปรับโฟกัสของเลนส์ตาเสื่อมลง ทำให้มองวัตถุระยะใกล้ไม่ชัด ปัจจุบันยังไม่สามารถ
    ป้องกันได้ โดยจะเกิดขึ้นกับทุกคนไม่ว่าจะมีค่าสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาปกติมาก่อนอายุ 40 ปีก็ตาม

    หู

    บางคนที่เคยทำงานในโรงงานหรือที่ที่มีเสียงดัง มีปัญหาประสาทหูเสื่อมเร็วกว่าคนอื่น ต้องพูดให้ดังขึ้นถึงจะได้ยิน ไม่ถึงขั้นหูหนวก แต่ความไว้ในการแยกเสียงหรือได้ยินเสียงบางเสียงจะลดลง

    จมูก

    กรณีคนที่มีประวัติเป็นภูมิแพ้ ไชนัส เมื่อเข้าสู่วัย 50 ปีจะพบปัญหาการแยกกลิ่นไม่ค่อยได้เท่ากับคนวัยหนุ่มสาว ความละเอียดในการแยกกลิ่นลดลง

    ลิ้น

    ปุ่มรับรสหวานกับขมจะไม่ค่อยเปลี่ยน แต่ปุ่มรับรสเค็มจะทำงานได้น้อยลง ทำให้ผู้ที่เข้าวัยนี้กินเค็มโดยไม่รู้ตัว เพราะไปเติมน้ำปลา เกลือ หรือซอสปรุงรสเพิ่ม

    ฟัน

    มีปัญหาเหงื่อกร่น เริ่มใช้ฟันชุดที่ 3 หรือฟันปลอมบางคนต้องไปทำรากฟัน ถ้าไม่อยากมีปัญหาเหล่านี้ต้องแปรงฟัน
    อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน ขูดหินปูนสม่ำเสมอ

    ระบบย่อยอาหาร

    หูรูดระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารเริ่มเสื่อม เราจึงพบคนที่มีปัญหากรดไหลย้อนในวัยนี้มากขึ้น ถ้าเคยเป็นโรคกระเพาะมาก่อน มีความเครียดสะสมสูบบุหรี่ ก็จะมีความเสี่ยงเป็นกรดไหลย้อนเพิ่มขึ้นกรณีคนที่มีเมแทบอลิซึมในถุงน้ำดีผิดปกติจะมีโอกาสเกิดนิ่วในถุงน้ำดีเพิ่มขึ้นด้วย มีอาการกินอาหารแล้วท้องอืด อาหารไม่ย่อย

    กล้ามเนื้อ

    เรื่องที่หลายคนเมื่อเข้าสู่วัย 50 ปีจะเริ่มสังเกตได้คือ ทำไมเป็นตะคริวบ่อย นั่นเพราะเมื่อกล้ามเนื้อหดตัวแล้วไม่คลายตัวออก ร่างกายหลั่งกรดแล็กติกออกมาทำให้เกิดความเจ็บปวดเป็นนานกว่าปกติ คราวนี้เวลาไปออกกำลังกายก็เริ่มมีปัญหา ไม่เหมือนตอนอยู่ในวัยหนุ่มสาวที่กล้ามเนื้อยังแข็งแรงดี คำแนะนำคือ ต้องอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกายให้นานขึ้นจากเดิมเป็น 10 – 15 นาที และมีการคูลดาวน์ร่างกายหลังออกกำลังกาย 10 – 15 นาทีเช่นกันเพื่อลดอาการปวดเนื้อปวดตัว

    ข้อต่อ

    น้ำในข้อต่อลดลง เวลาเดินเราจะได้ยินเสียงกร๊อบแกร๊บ ๆ ต้องเติมคอลลาเจนในข้อ มีทั้งยาและกินอาหารกลุ่มถั่ว งา ปลาเล็กปลาน้อย

    ระบบเผาผลาญ

    ทำงานลดลง กินเท่าเดิมแต่อ้วนง่าย บางคนกินอาหารเพียงวันละ 1 มื้อ ลดแป้ง เพิ่มโปรตีน

    ระบบฮอร์โมนเพศ

    เมื่อเข้าสู่วัยทอง ฮอร์โมนเอสโทรเจนลดลง ทำให้ผิวแห้ง ผมแห้ง ปากแห้ง เล็บเปราะ ความรู้สึกทางเพศลดลง ร้อนวูบวาบ บางคนร้อนมากจนรู้สึกตื่นขึ้นตอนกลางคืน ช่องคลอดแห้ง ระบบทางเดินปัสสาวะมีปัญหาแสบขัด ถ่ายปัสสาวะได้ไม่สุด หงุดหงิดง่ายเกิดฝ้า กระฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนก็ลดลงเช่นกัน แต่ลดลงช้ากว่าฮอร์โมนเอสโทรเจน ทำให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาลดลงส่วนในคุณผู้ชายมีปัญหาฮอร์โมนแอนโดรเจนลดลงแต่ก่อนออกกำลังกายแล้วกล้ามเนื้อสวย เดี๋ยวนี้ก็ไม่ขึ้นง่ายแบบเดิม ผมร่วง ผมบาง หัวล้าน

    โกรทฮอร์โมน

    ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น ระบบเผาผลาญทำงานดี รู้สึกสดชื่นสดใส ป้องกันเบาหวาน ฮอร์โมนชนิดนี้จะมีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อมีอายุ 44 – 55 ปีดังนั้นถ้าใครไปขอให้แพทย์ให้โกรทฮอร์โมนจะต้องเลือกปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ เพราะถ้าให้แล้วมีระดับโกรทฮอร์โมนมากเกินก็เสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ มะเร็งรังไข่ในการดูแลสุขภาพคนวัย 50 ปี การติดตามระดับโกรทฮอร์โมนเป็นอีกวิธีที่ช่วยทำให้ทราบว่าคนคนนั้นอาจมีเนื้องอกหรือมะเร็งเติบโตขึ้นที่ไหนหรือไม่ เพื่อความปลอดภัย

    พาราไทรอยด์ฮอร์โมน

    ช่วยรักษาสมดุสของแคลเซียมในร่างกายทั้งในเลือดและกระดูก บางคนตรวจดูก็ดีใจว่าแคลเชียมในเลือดดี แต่แคลเชียมในกระดูกไม่ดีก็มีได้ ดังนั้นแนะนำให้ตรวจมวลกระดูกโดยเฉพาะในผู้หญิง ถ้าพบภาวะกระดูกบางต้องเพิ่มแคลเซียม แมกนีเซียม และวิตามินดี 3 โดยกินถั่วงา บรอกโคลีงดอาหารหวาน เพราะจะไปทำให้กระบวนการไกลเคชั่นที่ทำลายมวลกระดูกเพิ่มมากขึ้น มีงานวิจัยพบว่าคนที่ไม่เป็นเบาหวานมีมวลกระดูกมากกว่าคนที่เป็นเบาหวาน ดังนั้นเรื่อง
    น้ำตาลต้องคุมให้ดี ให้ระลึกไว้เสมอว่า ถ้ายังไม่เลิกกินหวาน ไม่ว่าจะกินอาหารที่มีแคลเซียมหรือรับวิตามินดีไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังกระดูกบางอยู่ดี สุดท้าย หาเวลาออกกำลังกายกลางแจ้งบ้างเพื่อรับวิตามินดีเพื่อให้กระดูกแข็งแรง

    ผิวแห้ง

    เกี่ยวกับฮอร์โมนเพศที่ลดลง เนื้อเยื่อเกี่ยวพันใต้ผิวหนังมีพื้นที่ว่างระหว่างกันมากขึ้น ทำให้ผิวที่เคยยืดหยุ่น เก็บน้ำได้ดี มีคอลลาเจนก็เริ่มลดลงๆ จนทำให้ผิวแห้งไม่นุ่มเด้งเหมือนวัยหนุ่มสาว หน้าตอบ ก้นย้อย มีร่องแก้ม ท้องแขนหย่อนคล้อย พุงนุ่ม ๆ เหมือนลูกพรุน มักเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย หน้าอกก็จะมีการหย่อนคล้อย

    กระดูกสันหลัง

    ไล่จาคอลงมาถึงช่วงเอวและหลังล่าง กระดูกยุบตัว รากประสาทอ่อนแรง ถ้าเป็นน้อยก็ทำกายภาพ ถ้าเป็นมากก็ผ่าตัดออกทำให้เราไม่ปวด อย่าปล่อยทิ้งไว้ให้ปวดมากเป็น เพราะอายุ 55 ปีขึ้นไปแล้วค่อยไปผ่าตัดจะฟื้นตัวยาก

    ที่มา นิตยสารชีวจิต

    รวม สมุนไพรฤทธิ์ร้อน รับมือช่วงอากาศเปลี่ยน

    สมุนไพรฤทธิ์ร้อน นับเป็นของดีในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงแบบนี้ เพราะเป็นช่วงที่คนไม่สบายกันเยอะมาก วันนี้แอดเลยมีของดีแบบไทยๆ ด้วยการกินอาหารเป็นยา เพื่อรับมือกับช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงแบบนี้

    ทำไมอากาศเปลี่ยน ร่างกายจึงป่วย

    อากาศเปลี่ยนทีไร ป่วยทุกที เป็นเรื่องที่หลายคนรู้ซึ้ง โดยเฉพาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ และผู้ที่มีโรคภูมิแพ้เป็นโรคประจำตัว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ยามที่อากาศแปรปรวนอย่างในช่วงฤดูฝน ที่ก่อนฝนตกจะมีอากาศร้อนอบอ้าว สักพักฝนตกทำให้ความชื้นขึ้นสูง หลังฝนตกอากาศก็จะเย็นๆ หน่อย เท่ากับว่ามีอากาศ 2 ถึง 3 แบบ ในวันเดียว ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน ภูมิคุ้มกันลดต่ำลง จึงเกิดป่วยขึ้นได้

    สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่จะป่วยง่ายๆ ในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงแบบนี้นอกจากกลุ่มผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ และผู้ที่มีโรคภูมิแพ้ อย่างที่กล่าวไปแล้ว ยังมีกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงอย่าง โรคปอด โรคหัวใจ โรคหอบหืด และถุงลมโป่งพอง

    สมุนไพรฤทธิ์ร้อน คืออะไร

    สมุนไพรฤทธิ์ร้อน เป็นสมุนไพรที่กินแล้วร่างกายมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น หรือให้พลังงานสูงเมื่อกินเข้าไปแล้วร่างกายได้รับความอบอุ่น แต่หากกินมากไปอาจทำให้เกิดร้อนใน

    พท.ป.ศราวุฒิ อิสโร แพทย์แผนไทย โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข แนะนำการใช้อาการเป็นยา ด้วยสมุนไพรฤทธิ์ร้อนที่ช่วยปรับสมดุลร่างกาย

    “ในช่วงฤดูฝนอาหารที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน อย่างเช่น ขิง ข่า ตะไคร้ พริกไทย แมงลัก โหระพากะเพรา ใบมะกรูด ฯลฯ ฤทธิ์ร้อนของพืชสมุนไพรจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่น นำมาปรุงเป็นเมนูอาหารได้หลากหลาย

    โดยสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน จะมีน้ำมันหอมระเหยเป็นส่วนประกอบหลัก ส่งผลทำให้เลือดลมไหลเวียนได้สะดวก ช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ วิงเวียนศีรษะ ช่วยให้ทางเดินหายใจโล่ง หายใจสะดวก”

    รวมสมุนไพรฤทธิ์ร้อน

    ขิง

    ผักที่มีรสเผ็ดร้อน ช่วยปรับสมดุลร่างกาย ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยขับลมยังนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู ยิ่งเมื่อมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว มีอาการไข้สามารถช่วยได้ดี โดยขิงช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย

    ชาขิง, ชาสมุนไพร กินขิง

    ขิง เรียกได้ว่าเป็นสมุนไพรที่ครอบจักรวาลได้จริงๆ เพราะเอามาทำอะไรก็ดีทั้งนั้น โดยใช้กันมาตั้งแต่ยุคอดีตย้อนไปเป็นพันปี จนมาถึงปัจจุบันที่มีงานวิจัยรับรอง ทั้งนี้ขิงมีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญคือ จินเจอรอล โชโกล และซิงเจอโรน ซึ่งช่วยในการบรรเทาโรคภัยต่างๆ ได้เป็นอย่างดี >>อ่านต่อ

    กระเทียม

    สมุนไพรไทยที่อยู่คู่ครัวไทย ไม่ว่าเมนูไหน อยากได้กลิ่นหอม เผ็ดร้อนนิดๆ เป็นต้องมีกระเทียมเป็นส่วนประกอบ แต่ใช่ว่ากระเทียมจะมีประโยชน์แค่ช่วยอร่อย เพราะสรรพคุณทางยาก็เพียบ

    กระเทียม, แก้คัดจมูก, คัดจมูก, หวัด, สมุนไพรแก้คัดจมูก
    กระเทียม สมุนไพรพื้นบ้าน แก้อาการคัดจมูกได้ดี

    กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เผยข้อมูลของกระเทียมเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า เอนไซม์อัลลิเนส (allinase) นั่นเมื่อถูกกระตุ้นด้วยการบด หั่น หรือสับ จะช่วยกระตุ้นให้ตัวเอมไซม์ออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยลดระดับไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกาย ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดและลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ

    นอกจากจะช่วยป้องกันป่วยช่วงอากาศเปลี่ยน ยังมีสรรพคุณทางยาอีกมาก >> อ่านต่อ

    พริก

    แม้จะมีรสชาติเผ็ดร้อน แต่สรรพคุณของพริกนับได้ว่าเป็นยาอายุวัฒนะ เพราะไม่เพียงมีฤทธิ์ร้อน เหมาะกับช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง แต่ยังช่วยยืดอายุ เพราะลดความเสี่ยงหัวใจ และโรคมะเร็ง 

    ข่าวดีของคนชอบกินเผ็ด เมื่อมีการศึกษา สรรพคุณของพริก โดยศึกษาจากคนในประเทศสหรัฐ จีน อิหร่าน และอิตาลี รวมกว่า 570,000 คน พบว่าการกินพริกช่วยลดความเสี่ยงการตายจากโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และช่วยให้อายุยืนขึ้นได้ถึง 25% เมื่อเทียบกับคนไม่กินพริก >> อ่านต่อ

    กระเพรา

    ผักสวนครัวรอบรั้วบ้านเรา อย่างกะเพราและโหระพา ไม่ใช่แค่เด็ดที่รสชาติเท่านั้นนะ แต่ยังมีสรรพคุณดีๆ เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่ามี สารยูจีนอล (eugenol) ในใบกะเพรา ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ขับน้ำดี และลดระดับไขมันร้ายในเลือด (LDL – Low Density Lipoprotein) ได้ >> อ่านต่อ

    ใบบัวบก

    บัวบก โดย น้ำบัวบกช่วยบำรุงเลือด บำรุงสมอง และบำรุงร่างกาย โดยนำมาทานได้ทั้งใบสด นำมาปั่น หรือต้ม ช่วยดูแลสุขภาพในช่วงฤดูฝนได้เช่นเดียวกัน นอกจากนั้นยังมีสรรพคุณที่ดีสำหรับผู้ที่นอนยากด้วยนะคะ >> อ่านต่อ


    ที่มา

    • โรงพยาบาลพญาไท
    • สสส.
    • สมุนไพรท่าพระจันทร์

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

    ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา

    เดินเผาผลาญไขมัน >> การลดน้ำหนักสุดคลาสสิกที่ไม่ทำให้อ้วนซ้ำ

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    https://www.instagram.com/cheewajitmedia/

    https://www.facebook.com/CheewajitMagazine

    เผายาสมุนไพร

    ว่ากันด้วยเรื่องของ “เผายาสมุนไพร”

    เผายาสมุนไพร คืออะไร ?

    การ เผายาสมุนไพร คือเวชปฏิบัติแผนไทยที่ใช้หลักการเพิ่มธาตุไฟเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย โดยใช้การเผาไฟเพื่อทำให้เกิดความร้อนผ่านเครื่องยาสมุนไพรไปทำปฏิกิริยากับชั้นผิวหนัง กล้ามเนื้อ  เอ็น  และข้อต่อเน้นการใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน เพื่อรักษาผู้ป่วยธาตุไฟหย่อน

    หัตถการเผายาสมุนไพรมักทำบริเวณกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น แผ่นหลัง ขา หรือรักษาอาการเฉพาะจุด เช่น หัวเข่า หน้าท้องบริเวณรอบสะดือ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของเส้นประธานสิบตามหลัก

    ประวัติความเป็นมาของการเผายาสมุนไพร

    “ศาสตร์การเผายาสมุนไพร มีมาตั้งแต่สมัยโบราณในยามเกิดอุบัติเหตุหรือไม่สบายกาย ชาวบ้านจะทำแคร่ยกพื้นสูง ปูด้วยไม้ไผ่ผ่าเป็นซี่ ด้านบนมีใบไม้สมุนไพรหลายชนิด เช่น ใบเปล้า ใบหนาด จากนั้นจะนำคนเจ็บขึ้นไปนอน โดยสุมไฟอ่อนๆ อยู่ด้านล่าง”

    ทฤษฎีการแพทย์แผนไทยกล่าวว่า ร่างกายประกอบด้วยไฟ 4 กอง เมื่อใดก็ตามที่ไฟอ่อน ลมจะพัดได้ไม่ดี ทำให้การไหลเวียนภายในร่างกายติดชัด ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ แพทย์แผนไทยมีการบำบัดรักษาความเจ็บป่วยด้วยการใช้ไฟจากธรรมชาติ รวมถึงการใช้ความร้อนเพื่อรักษาธาตุไฟ ในร่างกายให้สมดุลหลากหลายวิธี เช่น การอยู่ไฟ การใช้ลูกประคบ การอบสมุนไพร การย่างยา และการเผายาสมุนไพร

    อาจารย์แพทย์แผนไทยสุรศักดิ์ สิงห์ชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือกพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก อธิบายเรื่องการเผายาสมุนไพรว่า จากการศึกษาคั้นคว้าพบว่า  ศาสตร์การเผายาสมุนไพรน่าจะมีที่มาจาก การย่างยาสมุนไพรซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ในยามเกิดอุบัติเหตุพลัดตกหกล้ม ตกต้นไม้ ตกเกวียน หรือไม่สบายกายชาวบ้านจะทำแคร่ยกพื้นสูง  ปูด้วยไม้ไผ่ผ่าเป็นชื่ ด้านบนมีใบไม้สมุนไพรหลายชนิด เช่น ใบเปล้าใบหนาด จากนั้นจะนำคนเจ็บขึ้นไปนอน  โดยสุมไฟอ่อน ๆ อยู่ด้านล่าง

    “ผมพบว่าหมอยาทางภาคอีสานนิยมย่างยากันมาก ทำแล้วได้ผลดี ต่อมาเพื่อให้รักษาได้ง่ายขึ้น จึงประยุกต์ปรับปรุงกลายมาเป็นการเผายาโดยหมอยาพื้นบ้านใช้สมุนไพรหลักใกล้เดียงกับการทำลูกประคบ มีหัวไพล ขมิ้น ตะไคร้ ผิวมะกรูด ส้มปอย ช่วยแก้อักเสบ และใบสมุนไพรอื่น ๆ ตามแต่ละภูมิภาคเสริมเข้ามา บางพื้นที่พบการใช้ผักบุ้งร่วมด้วย”

     

    กรรมวิธีการเผายาสมุนไพรประกอบด้วยเภสัชวัตถุ 2 ประเภทคือ พืชวัตถุและธาตุวัตถุ

    พืชวัตถุ  ใช้สมุนไพรฤทธิ์ร้อนหลายชนิด  ช่วยลดอาการอักเสบปวด บวม  เคล็ดขัดยอก เป็นสมุนไพรที่หาได้ง่ายในชุมชนหรือตามความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น เช่น หัวไพล ขมิ้น ตะไคร้ ผิวมะกรูด ใบส้มป่อย ขิง ข่า นำมาสับหรือบดพอหยาบแล้ววางบนตัวคนไข้ในตำแหน่งที่ต้องการรักษา เกลี่ยให้มีความหนาพอสมควร

    จากนั้นใช้ธาตุวัตถุ คือผงการบูร โรยลงไปเพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้จุดไฟติด

    “พอไฟเริ่มอ่อน พ่อหมอจะโรยผงการบูร ควันขึ้นโขมงเลย นี่คือวิธีโบราณ  นิยมผากลางแจ้ง ใต้ต้นไม้ หรือตามลานบ้าน  เพราะมีควันมาก สมัยผมเรียนเห็นการเผายาทั้งทางภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ จึงยืนยันไม่ได้ว่าใครเป็นต้นตำรับ การเผายาที่ผมเห็นเป็นองค์ความรู้ที่สืบต่อกันมา”

    สมุนไพรที่นิยมใช้เผายา

    • เหง้าโพล สรรพคุณ แก้ปวดเมื่อย ลดอาการอักเสบ ลดบวม
    • ผิวมะกรูด สรรพคุณ มีน้ำมันหอมระเหย ช่วยแต่งกลิ่น
    • ตะไคร้บ้าน สรรพคุณ แก้เคล็ดขัดยอก ช่วยแต่งกลิ่น
    • ใบมะขาม สรรพคุณ แก้อาการคันตามผิวหนัง ทำความสะอาดผิว
    • ขมิ้นอ้อย สรรพคุณ ลดอาการอักเสบ แก้โรคผิวหนัง
    • ใบสัมป๊อย สรรพคุณ บำรุงผิว แก้โรคผิวหนัง
    • เกลือแกง สรรพคุณ  ช่วยดูดความร้อน ช่วยพาตัวยาซึมผ่านผิวหนัง
    • การบูร สรรพคุณ แต่งกลิ่น

    ประโยชน์ของการ เผายาสมุนไพร

    • ช่วยเพิ่มธาตุไฟในร่างกาย เพื่อบรรเทาอาการเลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก
    • ลดอาการปวดเมื่อยและกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง
    • ขับลมในลำไส้ แก้อาการอึดแน่นท้อง
    • แก้อาการท้องผูก

    ตำแหน่งที่เผายาสมุนไพร

    โดยทั่วไปใช้กับมัดกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ คือกล้ามเนื้อบ่า หลัง หน้าท้อง ขา เข่า

    ข้อควรระวังของการเผายาสมุนไพร

    • ผู้ที่มีอาการชาตามผิวหนัง
    • ผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต
    • ผู้ป่วยเบาหวาน
    • ผู้ป่วยที่เคยแพ้พืชหรือสมุนไพร

    ข้อควรปฏิบัติขณะเผายาสมุนไพร

    • ห้ามหลับขณะเผายา
    • เมื่อรู้สึกอุ่น ๆ บริเวณผิวหนังให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที

     

    ที่มา : นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 580

     


     

    เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    ความเครียด

    ความเครียด ทำร้ายเราได้อย่างไรบ้าง

    ความเครียด อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าไม่ดีกับสุขภาพ สุขภาพจิตย่ำแย่พลอยทำให้สุขภาพกายก็แย่ตาม แต่วันนี้เราจะมาดูกันว่า ความเครียด ทำร้ายเราได้อย่างไรบ้าง บอกเลยว่าความเครียดร้ายกว่าที่คิด!

    ความเครียด คือ

    ความเครียด หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องของอารมณ์เพียงอย่างเดียว แต่ที่จริงแล้วเป็นเรื่องทางกายภาพด้วยนะคะ เพราะความเครียด คือการหดตัวของกล้ามเนื้อในร่างกาย ซึ่งอาจจะเกิดแค่ส่วนเดียว หรือหลายส่วนไปพร้อมๆ กัน

    ส่วนทางด้านอารมณ์และจิตใจ ก็อย่างที่ทุกคนรู้กันก็คือ ความไม่สบายใจ วิตกกังวล รวมถึงรู้สึกกดดัน มีทั้งที่รู้สึกตัว และเครียดไม่รู้ตัว ทั้งนี้แต่ละคนมีการแสดงออกทางความเครียดต่างกัน บางคนเครียดแล้วปวดท้อง ปวดหัว หรือบางคนอาจจะกลายเป็นคนหงุดหงิด นอนไม่หลับ

    ความเครียดกับฮอร์โมน

    ในร่างกายเรามีฮอร์โมนอยู่ตัวนึงที่มีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า ฮอร์โมนความเครียด ซึ่งชื่ออย่างเป็นทางการคือ ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) โดยในปกติแล้วร่างกายจะหลั่งออกมามากที่สุดในยามเช้า เพื่อให้ร่างกายตื่นตัวพร้อมรับวันใหม่ และลดลงเหลือเพียง 100% ในยามเย็น ซึ่งจะตรงกับชีวิตประจำวัน ที่เราจะกระตือรือร้นพร้อมทำสิ่งต่างๆ และค่อยๆ พลังตกลงในช่วงเย็น เพื่อรอการพักผ่อนชาร์จแบตด้วยการนอนหลับ ซึ่งหากไม่มีฮอร์โมนคอร์ติซอลเลยก็จะทำให้ไม่มีแรงลุกขึ้นจากที่นอน ขาดความกระตือรือร้น และอ่อนเพลีย

    แต่ในยามไม่ปกติฮอร์โมนคอร์ติซอลจะหลั่งออกมาในช่วงเวลาที่มีสถานการณ์คับขัน หรือรู้สึกเครียด ซึ่งคอร์ติซอลที่หลั่งออกมาจะส่งผลต่อร่างกายคือ

    • ความดันโลหิตสูงขึ้น
    • อัตราการเต้นหัวใจเพิ่มขึ้น

    หลายคนอาจกำลังสงสัยว่าร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนตัวนี้ออกมาทำไม ในเมื่อดูไม่มีข้อดีเลย ความจริงแล้วก็คือร่างกายสร้างขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งจะเกิดขึ้น เพื่อให้ร่างกายตื่นตัวนั้นเอง

    ผลจากฮอร์โมนคอร์ติซอล

    เมื่อฮอร์โมนคอร์ติซอลหลั่งออกมา ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาคือ

    1. หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น
    2. หายใจตื้น
    3. ร่างกายหลั่งอะดรีนาลีน
    4. ม่านตาขยาย
    5. กล้ามเนื้อหดเกร็ง
    6. เส้นเลือดบริเวณอวัยวะย่อยอาหารหดตัว
    7. เหงื่อออก

    ความเครียดทำร้ายเราได้มากแค่ไหน

    จะเห็นได้ว่าเมื่อมีการหลั่งคอร์ติซอลออกมาร่างกายจะมีการเตรียมพร้อมมากมายเพื่อรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น แต่ หากว่าร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมาเป็นระยะเวลานาน หรือที่เรียกว่า “เครียดสะสม” ร่างกายก็จะทำงานหนักเกินไป จนกลายเป็นผลเสียต่อสุขภาพ เนื่องจากคอร์ติซอลมีฤทธิ์สลายและทำลายล้าง ทำให้ร่างกายเสื่อมและโทรมลงอย่างรวดเร็ว

    ผลเสียต่อสุขภาพ รู้สึกไม่สบายตัว ปวดหัว ปวดเมื่อย หัวใจเต้นผิดปกติ ความดันโลหิตสูง เกิดโรคกระเพาะ ลำไส้แปรปรวน นอนไม่หลับ หอบหืด

    ผลเสียต่อสุขภาพจิต วิตกกังวล ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน ไม่มีสมาธิ ความสัมพันธ์กับคนรอบตัวแย่

    ซึ่งจากผลเสียเหล่านี้ทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (์NCDs) ตามมาได้มากมาย คือ

    ความดันโลหิตสูง

    จากผลการศึกษาพบว่า คนที่มีความเครียดสะสม มีโอกาสเกิดโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่าเลยทีเดียว เนื่องจากตลอดเวลาที่เกิดความเครียดร่างกายก็จะทำให้มีความโลหิตที่พุ่งสูง

    โรคหัวใจ และหลอดเลือด

    ความเครียดส่งผลต่อเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตามมา นอกจากนั้นแล้วยังอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ มีโอกาสหัวใจวาย นอกจากนั้นแล้วการที่มีความดันโลหิตสูงก็อาจทำให้หลอดเลือดหัวใจเสื่อมได้ด้วยเช่นกัน

    เครียดลงกระเพาะ กรดไหลย้อน

    ความเครียดส่งผลให้เส้นเลือดในบริเวณอวัยวะย่อยอาหารหดตัว รวมถึงร่างกายหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหารออกมามากกว่าปกติ จึงทำให้เกิดโรคเครียดลงกระเพาะ รวมถึงอาการท้องอืด ลำไส้แปรปรวน และกรดไหลย้อน

    โรคนอนไม่หลับ

    เมื่อเกิดความเครียด ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง จนส่งผลต่อการนอนหลับ ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย หงุดหงิด เจ็บป่วย

    ไมเกรน

    ความเครียดทำให้สารซีโรโทนินในสมองพร่องไป ทำให้หลอดเลือดในสมองพอง – หด มากกว่าปกติ จึงทำให้เกิดการปวดไมเกรน

    วิธีลดความเครียด

    1. ออกกำลังกาย

    อาการที่ทำร้ายสุขภาพต่างๆ จากฮอร์โมนคอร์ติซอล แก้ไขหรือหักล้างได้ด้วยฮอร์โมนเอนดอร์ฟีน ซึ่งจะหลั่งออกมาเมื่อออกกำลังกาย ซึ่งการออกกำลังกายเพื่อให้ส่งผลต่อฮอร์โมนนี้ อาศัยเพียงแค่ เดินสัก 10 นาที หรืออย่างน้อยวันละ 30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์

    2. นั่งสมาธิ

    การทำสมาธิเป็นการฝึกจิตรูปแบบหนึ่ง ทำให้เราสามารถโฟกัสเรื่องหนึ่งเรื่องใด รวมถึงทำให้จิตใจสงบไม่วิตกกังวล เมื่อทำสมาธิให้ไปโฟกัสที่การกำหนดลมหายใจเข้า – ออก ก็จะทำให้ลืมความเครียดไปได้

    3. ทำกิจกรรมต่างๆ

    แม้จะไม่สามารถแก้ไขความเครียดได้ แต่การได้ดึงตัวเองออกจากความเครียด ด้วยการทำกิจกรรมต่างๆ ก็จะทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้นได้ และอาจทำให้พบทางแก้ปัญหา

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    ปรับสมดุลฮอร์โมนคอร์ติซอล
    ฮอร์โมนไม่สมดุล ส่งผลเสียอย่างไร
    5 อาหารบำรุงฮอร์โมนเพศหญฺิง

    ที่มา

    • ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี  มหาวิทยาลัยมหิดล
    • โรงพยาบาลเปาโล
    • โรงพยาบาลกรุงเทพ
    • โรงพยาบาลศิครินทร์ กรุงเทพ

    อาการน่าห่วงของสาวๆ พวกหล่อนอยาก ฆ่าตัวตาย เพียงเพราะมีประจำเดือน

    มีสาว ๆ คนไหนกำลังเผชิญกับภาวะอารมณ์แปรปรวนช่วงก่อนมีประจำเดือนบ้างไหมคะ แล้วมีที่รุนแรงจนทำให้รู้สึกอยาก ฆ่าตัวตาย หรือไม่

    แม้หลายคนบอกว่า เป็นหนึ่งในอาการ PMS – Premenstrual Syndrome (ช่วงอาการก่อนมีประจำเดือน) โดยระบุอย่างเจาะจงต่อภาวะนี้ว่า PMDD – Premenstrual dysphoric disorder ซึ่งก็คือกลุ่มอาการรุนแรงก่อนมีประจำเดือน ความเห็นส่วนใหญ่จะเป็นไปในทาง “ไม่ได้มีอะไรต้องซีเรียส” แต่เชื่อเถอะ ถ้ามีคนคิด ฆ่าตัวตาย มันคือเรื่องซีเรียสกว่าที่คิด

    วันนั้นของเดือนกับความคิด ฆ่าตัวตาย

    ล่าสุดทาง BBC THAI ได้เผยแพร่คลิปที่ให้ผู้หญิงหลายคนออกมาแชร์ประสบการณ์และความรู้สึกที่ต้องเผชิญกับ PMDD พวกเธอต่างระบุว่า รู้สึกไม่โอเคและเต็มไปด้วยความคิดอยากฆ่าตัวตาย ซึ่งเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ บางคนต้องย้ำกับเจ้าหน้าที่ถึงความรุนแรงหรือความซีเรียสของอาการของเธอกับเจ้าหน้าที่ถึง 17 หน ทั้ง ๆ ที่เมื่อมีคน ๆ หนึ่งอยากฆ่าตัวตาย มันไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเพื่อจะชี้ให้ใครสักคนเห็นถึงความรุนแรงของอาการนี้

    “มีคน ๆ หนึ่งอยากจบชีวิต” มันยังไม่ร้ายแรงพออีกหรือ

    เรื่องราวของพวกเธอ ทำให้เราได้เห็นแง่มุมของอาการ PMDD ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องอารมณ์แปรปรวนปกติ ที่แค่ไปสปา ไปเล่นกับสุนัข กินช็อกโกแลต แล้วมันจะดีขึ้น ความรู้สึกอยากฆ่าตัวตายนี้มันอยู่กับพวกเธอได้นานถึง 2 สัปดาห์ และมาทุก ๆ เดือน เราจึงต้องตระหนักถึงความสำคัญในการช่วยเหลือผู้ที่ต้องเผชิญกับภาวะนี้อย่างจริงจัง

    ในปัจจุบัน มีวิธีการรักษาที่สามารถช่วยบรรเทาอาการ PMDD นี้ได้มาเป็นทางเลือกให้ผู้หญิงอย่างเรา ๆ เช่น การกินยาต้านซึมเศร้า ไปจนถึงการผ่าตัดรังไข่ออกไป (ซึ่งจะแก้ปัญหาได้แน่นอน) แต่ก็อาจจะเผชิญกับผลข้างเคียงอยู่บ้าง

    แล้วลูกเพจสาว ๆ คนไหน มีประสบการณ์ต้องเผชิญกับอาการ PMS หรือ PMDD มาแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง ได้นะคะ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้มากขึ้น รวมไปถึงสร้างความเข้าใจ ว่าอาการผิดปกติเหล่านี้ ไม่ได้เป็นความผิดที่ตัวผู้ป่วยเลย แต่เป็นจากสภาวะร่างกายที่ต้องรักษาและดูแลอย่างจริงจัง

    สาววัยเจริญพันธุ์เสี่ยงพีเอ็มเอสสูง

    นายแพทย์ณัฐวุฒิ กันตถาวร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาสูติ – นรีเวชวิทยา ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ให้ความรู้ว่า

    “กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนหรือพีเอ็มเอสนั้นเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงในช่วง 5 – 10 วันก่อนที่ประจำเดือนจะมาโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่คาดว่าเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิง เอสโทรเจนและโปรเจสเทอโรนในช่วงระหว่างการตกไข่ในแต่ละรอบเดือน ส่วนปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของสารสื่อประสาทในสมอง ปัญหาจากความเครียด โรคทางอารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้า เป็นต้น”

    ขณะที่ แพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข สูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลประจำจังหวัดพิจิตร อธิบายเพิ่มเติมถึงผู้หญิงที่มีโอกาสเกิดอาการก่อนมีประจำเดือนว่า

    “กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนนี้พบได้มากถึงร้อยละ75 ในผู้หญิงอายุ 30 – 40 ปี และอาการนี้จะหายไปเมื่อผู้หญิงหมดประจำเดือนถาวร ขณะที่ในผู้หญิงที่ตัดรังไข่ออกทั้งสองข้างแล้วจะไม่มีอาการนี้”

    นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุรศักดิ์ฐานีพานิชสกุล คณบดีวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังเผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับความรุนแรงของภาวะพีเอ็มเอสในปัจจุบันว่า

    “ผู้ที่มีอาการพีเอ็มเอสและพีเอ็มดีดี (PMDD -Premenstrual Dysphoric Disorder) หรือกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนชนิดรุนแรง จะถูกรบกวนอย่างมากจากอาการผิดปกติต่างๆ ตลอดช่วงวัยเจริญพันธุ์ ถ้าเริ่มเป็นตั้งแต่วัยรุ่นก็อาจเป็นทุกรอบเดือน รอบละประมาณ 4 – 5 วัน ถ้าคำนวณตลอดช่วงวัยเจริญพันธุ์ก็จะมีจำนวนวันที่ต้องทนทรมานจากอาการเหล่านี้สูงถึง 3 – 5 ปีทีเดียว

    “สำหรับอุบัติการณ์และข้อมูลในประเทศไทยยังมีค่อนข้างน้อย ซึ่งเมื่อเกิดอาการในผู้หญิงแล้วมักจะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ ากลุ่มอาการพีเอ็มเอสและพีเอ็มดีดีนั้น มีอุบัติการณ์สูงในผู้หญิงไทย ที่อยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์และวัยทำงาน ซึ่งแม้จะมีอุบัติการณ์สูงแต่ก็ยังเป็นปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขมากนัก ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นต่างๆ ทำให้คุณภาพชีวิตลดลง”

    ปัจจัยเสี่ยงพีเอ็มเอสที่ผู้หญิงต้องรู้

    นอกจากผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ จะมีโอกาสเผชิญกับภาวะกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนสูงแล้ว ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงพวงทองไกรพิบูลย์ ยังอธิบายถึงปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมในการเกิดภาวะดังกล่าวไว้ในหนังสือ รู้ลึกและเข้าใจโรคภายในของผู้หญิง ดังนี้

    • พันธุกรรม ที่ทำให้ร่างกายมีความไว / ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศสูงกว่าผู้หญิงทั่วไป เพราะมีการศึกษาพบว่า ในฝาแฝดและคนในครอบครัวเดียวกันมักมีอาการเหมือนกัน
    • เชื้อชาติ เพราะพบว่าผู้หญิงบางเชื้อชาติมีอาการก่อนมีประจำเดือนน้อยกว่าเมื่อเทียบผู้หญิงอีกเชื้อชาติหนึ่ง
    • บุคลิกภาพพื้นฐานของแต่ละคน พบว่าอาการรุนแรงมักเกิดขึ้นในผู้หญิงที่ซึมเศร้าหรือเกิดภาวะเครียดได้ง่าย
    • ลักษณะการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ผู้หญิงที่ไม่ได้ออกกำลังกายจะพบอาการก่อนมีประจำเดือนได้มากกว่า

    7 อันดับผลกระทบจากพีเอ็มเอส

    ศาสตราจารย์ลอเรน เดนเนอร์สไตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเพศศึกษาและสุขภาพ แผนกจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเมลเบิร์นออสเตรเลีย ได้ทำการวิจัยเชิงคุณภาพในกลุ่มผู้หญิงและแพทย์ในประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก 4 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย ฮ่องกงปากีสถาน และไทย พบว่า

    “ผู้หญิงจำนวนมากในเอเชียแปซิฟิกที่ประสบภาวะพีเอ็มเอสและพีเอ็มดีดี แต่กลับไม่พยายามหาวิธีรักษา เนื่องจากมีความเชื่อที่ผิดว่าอาการก่อนมีประจำเดือนเหล่านี้เป็นเพียงสัญญาณบอกว่าประจำเดือนกำลังจะมา หรือเห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงทุกคนต้องประสบอยู่แล้ว โดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่าอาการเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้อาจนำไปสู่ความรุนแรงของอาการที่เพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว”

    สำหรับประเทศไทยมีการวิจัยเชิงปริมาณยืนยันว่า กิจกรรมในชีวิตประจำวันและสิ่งที่ได้รับผลกระทบจากอาการพีเอ็มเอสมี 7 อันดับ ดังนี้

    1. ประสิทธิภาพการทำงาน 66 เปอร์เซ็นต์
    2. ความเป็นระเบียบภายในบ้าน 53 เปอร์เซ็นต์
    3. คู่รักและครอบครัว 23 เปอร์เซ็นต์
    4. เพื่อนและผู้ร่วมงาน 13 เปอร์เซ็นต์
    5. กิจกรรมยามว่าง 12 เปอร์เซ็นต์
    6. กิจกรรมทางเพศ 12 เปอร์เซ็นต์
    7. การเรียน 8 เปอร์เซ็นต์

    อย่างไรก็ตาม อาการก่อนมีประจำเดือนสามารถบรรเทาลงได้ด้วยการหมั่นออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่งดเว้นการกินเหล้า สูบบุหรี่ และพักผ่อนให้เพียงพอ แต่ถ้าหากมีอาการรุนแรงก็ควรไปพบแพทย์นะคะ

    ข้อมูลจาก BBC THAI / นิตยสารชีวจิต

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    รวม ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ปีใหม่นี้ ต้องผอม+สตรอง!!

    น้ำประปา ปลอดภัยจริงไหม

    เดินเร็ว ช่วยป้องกันกระดูกเสื่อมได้จริง

    แรงกระแทก ดีต่อกระดูกอย่างไร หมอมีคำตอบ

    ความดันและไขมันในเลือดสูง ปรับเปลี่ยน 3 อ (อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์) ไม่ง้อยา

    ติดตามชีวจิตได้ที่

    https://www.instagram.com/cheewajitmedia/

    https://www.facebook.com/CheewajitMagazine

    โลว์โซเดียม เลือกยังไงให้ดีกับไต หัวใจ และหลอดเลือด

    ในยุคที่คนหันมารักสุขภาพกันมากขึ้น เครื่องปรุงโลว์โซเดียม เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทำให้การดุแลสุขภาพเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น และในท้องตลาดกันมากขึ้นแล้วเราจะเลือกอย่างไร แอดมีวิธีมาฝากกันค่ะ

    การกินโซเดียมในปริมาณมากๆ ไม่เพียงจะทำให้เกิดโรคไตได้เท่านั้น แต่ยังนำไปสู่โรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อย่าง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองเป็นต้น ซึ่งแต่ละโรคมีความน่ากลัวทั้งนั้นเลยค่ะ

    ปริมาณโซเดียมต่อวัน

    องค์การอนามัยโลก หรือ WHO แนะนำปริมาณการบริโภคโซเดียมต่อวันไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม ต่อวัน ทางด้าน สสส. แนะนำให้คนไทยบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,300 มิลลิกรัม

    สำหรับในกรณีที่ต้องการควบคุมปริมาณโซเดียมเพื่อให้เห็นผลได้ชัดในทางสุขภาพ จะต้องควบคุมปริมาณให้ไม่เกิน  1,500 มิลลิกรัม ต่อวัน จึงจะช่วยลดความดันโลหิตลงได้

    แต่จากการสำรวจพบว่าคนไทบบริโภคโซเดียมถึงวันละ 3,636 มิลลิกรัม 

    เกือบเป็น 2 เท่าของปริมาณที่องค์การอนามัยโลกกำหนด จึงส่งผลให้คนไทยมีภาวะความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้อหัวใจห้องซ้ายหนา เกิดการสะสมของพังผืดในกล้ามเนื้อหัวใจ

    เครื่องปรุงโลว์โซเดียม

    เป็นเครื่องปรุงที่มีส่วนประกอบความเค็มแตกต่างจากเครื่องปรุงปกติทั่วไป ที่นิยมเป็นเครื่องปรุงโลว์โซเดียม เช่น น้ำปลา ซีอิ๋วขาว ซอสปรุงรส น้ำมันหอย เป็นต้น

    สารให้ความเค็มในเครื่องปรุงทั่วไปคือ เกลือโซเดียมคลอไรด์ แต่ในเครื่องปรุงโลว์โซเดียมจะเลือกใช้เกลือโพแทสเซียมคลอไรด์ทดแทน ซึ่งให้ความเค็มเช่นเดียวกัน

    เลือกซื้ออย่างไร

    สำหรับบุคคลทั่วไป ที่ไม่มีโรคประจำตัวสามารถเลือกใช้เครื่องปรุงโลว์โซเดียมได้ทั้งหมด

    หากมีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคไตในระยะ 3b – 5 ทั้งก่อนและหลังฟอกไต ควรเลือกเครื่องปรุงโลว์โซเดียมชนิดไม่เติมเกลือโพแทสเซียมทดแทน โดยสามารถสังเกตได้ที่ฉลาก และส่วนประกอบ

    ที่มา โรงพยาบาล BNH

    เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ 

    ตัวบวม หน้าบวม เพราะกินอาหารรสจัด (เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม) มากเกินไปหรือเปล่า?

    กินเค็มเยอะ ระวังได้มากกว่าโรคไต

    ป่วยโรคไต ไม่ใช่แค่เลี่ยงเค็ม ยังมีอีกหลายแร่ธาตุที่ควรหลีก

    รวมประโยชน์ของ “ฟักทอง”

    สารพัดประโยชน์จากฟักทองที่สามารถช่วยป้องกันสารพัดโรค

     

    ลดน้ำตาลป้องกันเบาหวาน

    เปลือกฟักทองที่มีฤทธิ์ทางยา ซึ่งจะไปกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ก็จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวานได้ งานวิจัยในญี่ปุ่นที่ทำการทดลองกับผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 133 คน พบว่า ผู้ที่กินฟักทองเป็นประจำจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้กินฟักทอง

    ลดเสี่ยงมะเร็ง 4 ชนิด

    งานวิจัยอีกเรื่องหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นเช่นกันพบว่า ผู้ที่กินฟักทองเป็นประจำจะลดโอกาสเสี่ยงการเกิดโรค มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

    ป้องกันสิวและจอประสาตาเสื่อม

    เพราะฟักทองมีเบต้าแคโรทีนสูง จึงช่วยป้องกันการเกิดสิว และอาการจอประสาทตาเสื่อม

    ลดอาการภูมิแพ้ หอบหืด โรคหัวใจ และภาวะซึมเศร้า

    ฟักทองยังมีแมกนีเซียมสูง จึงช่วยลดอาการภูมิแพ้ หอบหืดและยังมีวิตามินบี 6 ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและอาจช่วยแก้ภาวะซึมเศร้าได้

    ลดไขมัน เพื่อหุ่นเพรียว

    สำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการลดความอ้วน ฟักทองมีใยอาหารที่ละลายน้ำในปริมาณสูง ใยอาหารจะช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอลที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังมีแคลอรีต่ำไขมันน้อย เมื่อกินแล้วจึงไม่ทำให้อ้วน และมีวิตามินซีสูง จึงช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณดี มีน้ำมีนวล

     

    HOW TO กินฟักทองอย่างไรให้คงคุณค่าสารอาหาร

    การต้ม นึ่ง อบ หรือผัด ไม่สามารถทำลายเบต้าแคโรทีนในฟักทองได้ แต่หากต้มฟักทองในน้ำ จะสูญเสียวิตามินบี

     

    ที่มา : นิตยสารชีวจิต


     

    เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    ผักผลไม้คัดสรร สารอาหารสำคัญ สูงปรี๊ด

    กิน ผักผลไม้ตามฤดูกาล ลดสารเคมี รับประโยชน์เต็มที่

    เห็ด ของหาง่าย ช่วยต้านมะเร็ง

     

     

     

    10 วิธี ดูแลจิตใจ เจอหนักแค่ไหนก็เอาอยู่

    มีหลายเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบจิตใจเราอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การสูญเสียคนรัก การระบาดของโควิด-19 หรือแม้แต่พิษเศรษฐกิจ ดังนั้นการ ดูแลจิตใจ จึงถือเป็นสื่งที่ต้องทำ เป็นอันดับแรกๆ เพื่อประคับประคองตัวเองให้ผ่านเรื่องราวต่างๆ อย่างดีที่สุด

    กรมสุขภาพจิต มีคำแนะนำ 10 วิธีที่จะดูแลจิตใจตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งสติ สร้างกำลังใจให้ตัวเอง ฝึกหายใจคลายเครียด บริหารร่างกาย ซึ่งวิธีเหล่านี้สามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้ง่ายๆ เลย

    1. ตั้งสติให้มั่น มองทุกปัญหาว่ามีทางแก้ไข
    2. หากรู้สึกท้อใจ ให้ค้นหาแหล่งสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง ได้แก่ ความรัก ความผูกพัน กับคนในครอบครัว ความศรัทธาทางศาสนา การมีเป้าหมายชีวิตที่มีคุณค่า ความเชื่อว่าปัญหาจะผ่านไป…แล้วมันจะดีขึ้น การมองเห็นสิ่งดีๆ ในชีวิต
    3. ฝึกหายใจคลายเครียด และทักษะผ่อนคลายอื่นๆ
    4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง
    5. พูดคุยกับคนใกล้ชิด อย่าคิดคนเดียว ช่วยกันปรึกษาหารือ แปลงปัญหาเป็นโอกาสในการสร้างความผูกพันใกล้ชิดต่อกัน
    6. บริหารร่างกายเป็นประจำ เท่าที่สภาพแวดล้อมจะเอื้ออำนวย อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที วันเว้นวัน
    7. ศึกษาและปฏิบัติตามหลักคำสอนทางศาสนา
    8. มองหาโอกาสในการช่วยเหลือผู้อื่น เข้าร่วมกิจกรรมของชุมชน
    9. คิดทบทวนสิ่งดีๆ ในชีวิตเป็นประจำทุกวัน
    10. จัดการปัญหาทีละขั้นทีละตอน ทำในสิ่งที่ทำได้ สร้างความรู้สึกสำเร็จเล็กๆ จากสิ่งที่ทำ ไม่จมไปกับปัญหาที่ยังแก้ไขอะไรไม่ได้ หลีกเลี่ยงการใช้สุรา หรือสารเสพติดในการจัดการความเครียดความทุกข์ใจ

    ข้อมูลจาก กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    สารพัดอาการสยอง พร้อมเทคนิคปฐมพยาบาล เมื่อได้รับสารพิษจากในครัวเรือน

    รู้จัก สารพิษที่มักปนเปื้อนมาในอาหาร

    รวมสารพัดวิธี ฟอกอากาศ จากรอบโลก

    ฝุ่นละออกในอากาศขนาดเล็ก PM 2.5 การจราจรติดขัด สารพิษจากเฟอร์นิเจอร์ หรือของใช้ในชีวิตประจำวัน ล้วนเป็นอันตรายต่อเรา วันนี้ชีวจิตได้รวบรวมวิธี ฟอกอากาศ จากแต่ละประเทศมาบอกต่อ เผื่อจะนำไปปรับใช้กัน

    ฮ่องกง เครื่องกรองอากาศยักษ์ผสานพลังวางแผนการจราจร

    ฮ่องกง เป็นอีกประเทศ ที่เคยพบปัญหาฝุ่นละองเกินค่ามาตรฐานมานานถึง 150 วัน จนต้องใช้นวัตกรรมเครื่องกรองอากาศยักษ์ ลดมลพิษทางอากาศได้มากถึงร้อยละ 80 เช่นเดียวกับหลายประเทศ แต่นอกจากใช้เทคโนโลยีช่วยกำจัดฝุ่นละอองแล้ว เขายังวางแผนการจราจรและควบคุมปัจจัยอื่นๆ แก้ปัญหาฝุ่นควันร่วมด้วย

    ระบบบำบัดขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในอุโมงค์ทางด่วนพิเศษ เซนทรัล หวาน ไฉ ของฮ่องกง โดยเครื่องบำบัดอากาศนี้สามารถลดมลพิษจากการจราจรได้มากถึงร้อยละ 80

    มีระบบการทำงาน ด้วยการใช้พัดลมขนาดใหญ่ดูดไอเสียจากควันรถในทางลอดอุโมงค์เข้าไปในระบบฟอกอากาศ 3 แห่งที่ติดตั้งไว้ตามแนวของอุโมงค์

    สำหรับเครื่องระบายอากาศยักษ์เป็นเทคโนโลยีแก้ปัญหาฝุ่นละออง ที่ดำเนินการควบคู่กับการลดปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุของการเกิดมลพิษทางอากาศ และเป็นโครงการต่อเนื่องจากการทำทางเบี่ยง หรือบายพาส เซ็นทรัล หวาน ไฉ เพื่อแก้ปัญหาปัญหารถติดทางตอนเหนือ และตอนกลางของเกาะฮ่องกง เพื่อมุ่งหน้าไปทางตะวันออกของเกาะ

    ทางพิเศษนี้ ช่วยลดระยะเวลาการเดินทางจาก 30 นาที เหลือ 5 นาที นั่นหมายความว่า การย่นเวลาการเดินทางจะช่วยลดมลพิษไปในตัว คาดว่าจะลดก๊าซคาร์อนไดออกไซค์ 11,100 ตันต่อปี หรือ เท่ากับการใช้ต้นไม้ 480,000 ต้นดูดซับก๊าซมลพิษ

    นครซีอาน ประเทศจีน หอคอยฟอกอากาศขนาดยักษ์

    นครซีอานเป็นเมืองเอกของมณฑลส่านซีของจีน เป็นอีกเมืองหนึ่งที่เจอกับมลพิษทางอากาศ และเลือกแก้ปัญหาด้วยการสร้างหอคอยฟอกอากาศขนาดใหญ่ที่สุดของโลก โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์บำบัดมลพิษทางอากาศ

    หอคอยฟอกอากาศแห่งนี้มีขนาดความสูงกว่า 100 เมตร ถูกสร้างขึ้นโดยสถาบันด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมของจีน ซึ่งหอคอยสามารถผลิตอากาศบริสุทธิ์ได้วันละกว่า 10 ล้านลูกบาศก์เมตร ช่วยลดมลพิษทางอากาศโดยเฉพาะฝุ่นละออง PM 2.5

    ในฤดูหนาว คนจีนจำนวนไม่น้อยมักเผาถ่านเพื่อความอบอุ่นตามอาคารบ้านเรือน ควันจากการเผาถ่านนี้เองที่เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของวิกฤติมลพิษที่เกิดขึ้นในจีน 

    หอคอยฟอกอากาศแห่งนี้ใช้แผงพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยดูดซับอากาศมลพิษผ่านเครื่องกรองอากาศ และปล่อยอากาศสะอาดออกสู่สภาพแวดล้อม โดยมีการประเมินว่า หากหอคอยแห่งนี้ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างจริงจัง อาจต้องมีสร้างหอคอยแบบเดียวกันถึง 1,000  แห่งในนครซีอาน ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศูนย์กลางธุรกิจและการท่องเที่ยวที่สำคัญของจีน

    เซอร์เบีย แท่น LIQUID3 สาหร่ายสีเขียวสร้างโอโซนลดมลพิษทางอากาศ

    นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยเบลเกรด ประเทศเซอร์เบีย ได้เกิดไอเดียเจ๋งๆในการออกแบบ LIQUID3 หรือ แท่นปฏิกรณ์ชีวภาพที่ใช้สาหร่ายขนาดเล็กในการสังเคราะห์แสงเพื่อผลิตก๊าซออกซิเจนและกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สำหรับติดตั้งในเมืองเพื่อทดแทนต้นไม้ที่มีจำนวนน้อย

    LIQUID3 ถูกติดตั้งในเมืองเบลเกรด โดยแต่ละอันบรรจุน้ำทั้งสิ้น 600 ลิตร ซึ่งช่วยให้แท่นปฏิกรณ์ชีวภาพสามารถกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณที่ใกล้เคียงกับต้นไม้อายุ 10 ปี จำนวน 2 ต้น หรือ พื้นที่สีเขียวขนาด 200 ตารางเมตร และสามารถทำงานได้แม้ในช่วงหน้าหนาว โดย LIQUID3 ต้องการเพียงแหล่งกำเนิดแสงที่จะช่วยให้สาหร่ายขนาดเล็กสามารถสังเคราะห์แสงได้ตามธรรมชาติเพื่อทำหน้าที่ในการดักจับคาร์บอนเช่นเดียวกับต้นไม้ในพื้นที่เมือง

    นอกจากนี้ LIQUID3 ได้รับการออกแบบที่สะท้อนถึงความยั่งยืน โดยผู้ออกแบบคำนึงถึงการใช้งานที่ก่อประสิทธิภาพสูงสุดต่อพื้นที่สาธารณะเพราะนอกจากจะเป็นเสมือนเครื่องฟอกอากาศทางธรรมชาติแล้ว มันยังเป็นทั้งที่นั่งที่ติดตั้งที่ชาร์จโทรศัพท์เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนเดินทางเท้า และยังเป็นไฟส่องสว่างในเวลากลางคืน

    ขอบคุณข้อมูล Thaipbs / Thaipost / sdthailand

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    รู้จัก สารพิษ ที่มักปนเปื้อนมาในอาหาร

    ล้างผัก ให้ถูกต้อง ปลอดสารพิษ กำจัดสารปนเปื้อน

    อาการสยอง

    สารพัดอาการสยอง พร้อมเทคนิคปฐมพยาบาล เมื่อได้รับ สารพิษจากในครัวเรือน

    สารพิษจากในครัวเรือน มีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น น้ำยาขัดห้องน้ำ โซเดียมคาร์บอเนต น้ำยาฟอกขาว และยาฆ่าแมลง เป็นต้น ซึ่งเมื่อเราได้รับสารพิษเหล่านี้แล้ว จะต้องทำอย่างไร เรามีคำตอบ

    สารพิษ หมายถึง  สารเคมีที่มีสภาพเป็นของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซ ซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายโดย การรับประทาน การฉีด การหายใจ หรือการสัมผัสทางผิวหนัง แล้วทำให้เกิดอันตรายต่อโครงสร้างและหน้าที่ของร่างกาย ด้วยปฏิกิริยาทางเคมี อันตรายจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ คุณสมบัติ ปริมาณ และทางที่ได้รับสารพิษนั้น

    การได้รับสารพิษ เป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการปฐมพยาบาลที่รีบด่วน และเฉพาะเจาะจง ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ จะต้องประเมินจำแนกให้ได้ว่าอาการผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยนั้น  ว่าเกิดจากสารพิษใด นอกจากประเมินอาการแล้ว ยังจำเป็นต้องสังเกตสภาพการณ์ สิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยร่วมด้วย ดังนี้

    • การคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง น้ำลายฟูมปาก หรือมีรอยไหม้นอกบริเวณริมฝีปาก มีกลิ่นสารเคมีบริเวณปาก
    • เพ้อ ชัก หมดสติ  มีอาการอัมพาตบางส่วนหรือทั่วไป  ขนาดช่องม่านตาผิดปกติ อาจหดหรือขยาย
    • หายใจขัด หายใจลำบาก มีเสมหะมาก มีอาการเขียวปลายมือปลายเท้า  หรือบริเวณริมฝีปาก   ลมหายใจมีกลิ่นสารเคมี
    • ตัวเย็น  เหงื่อออกมาก  มีผื่นหรือจุดเลือดออกตามผิวหนัง

    การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษ

    จำแนกตามวีถีทางที่ได้รับ  3  ทาง ดังนี้

    • การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางปาก
    • การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางการหายใจ
    • การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางผิวหนัง

    การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางปาก

    ผู้ช่วยเหลือต้องทำการประเมินผู้ที่ได้รับสารพิษก่อน  แล้วจึงพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือ ดังนี้

    • ทำให้สารพิษเจือจาง ในกรณีรู้สึกตัวและไม่มีอาการชัก โดยการดื่มน้ำชาซึ่งหาได้ง่าย แต่ถ้าได้นมจะดีกกว่า เพราะว่าจะช่วยเจือจางสารพิษแล้ว ยังช่วยเคลือบและป้องกันอันตรายต่อเยื่อบุทางเดินอาหาร
    • นำส่งโรงพยาบาล เพื่อทำการล้างท้องเอาสารพิษออกจากกระเพาะอาหาร
    • ทำให้ผู้ป่วยอาเจียน เพื่อเอาสารพิษออกจากกระเพาะอาหาร ในกรณีที่ต้องใช้เวลานานในการนำส่งผู้ป่วย  เช่น  ใช้นิ้วล้วงคอ ใช้ไม้พันสำลีกวาดคอซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้ รู้สึกอยากขย้อน อยากอาเจียน

    ข้อห้ามในการทำให้ผู้ป่วยอาเจียน

    • หมดสติ
    • ได้รับสารพิษชนิดกัดเนื้อ เช่น กรด ด่าง
    • รับประทานสารพิษพวก น้ำมันปิโตรเลียม เช่น น้ำมันก๊าด เบนซิน
    • มีสุขภาพไม่ดี  เช่น โรคหัวใจ

    การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารกัดเนื้อทางปาก

    กรด ด่าง เป็นสารเคมีที่พบในชีวิตประจำวัน ในครัวเรือน และโรงงานอุตสาหกรรม เช่น กรดซัลฟริก กรดไฮโดรคลอริก  โซเดียมคาร์บอเนต

    อาการและอาการแสดง คือไหม้พอง ร้อนบริเวณริมฝีปาก ปาก ลำคอและท้อง คลื่นไส้ อาเจียน กระหายน้ำ และมีอาการภาวะช็อค ได้แก่ ชีพจรเบา ผิวหนังเย็นชื้น

    การปฐมพยาบาล

    • ถ้ารู้สึกตัวดีให้ดื่มนม
    • อย่าทำให้อาเจียน
    • รีบนำส่งโรงพยาบาล

    การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพวกน้ำมันปิโตเลียมทางปาก

    เป็นผลิตภัณฑ์ที่พบได้ทั้งในบ้านและโรงงานอุตสาหกรรม สารพวกนี้ได้แก่ น้ำมันก๊าด เบนซิน ยาฆ่าแมลงชนิดน้ำมัน เช่น DTT.

    อาการและอาการแสดง คือแสบร้อนบริเวณปาก คลื่นไส้ อาเจียน  ซึ่งอาจสำลักเข้าไปในปอดทำให้หายใจออกมามีกลิ่นน้ำมัน หรือมีกลิ่นน้ำมันปิโตเลี่ยม อัตราการหายใจและชีพจรเพิ่ม อาจมีอาการขาด ออกิเจน ซึ่งอาจรุนแรงมากมีเขียวตามปลายมือ ปลายเท้า

    การปฐมพยาบาล

    • รีบนำส่งโรงพยาบาล
    • ห้ามทำให้อาเจียน
    • ระหว่างนำส่งโรงพยาบาล ถ้าผู้ป่วยอาเจียน ให้จัดศีรษะต่ำ เพื่อป้องกันการสำลักน้ำมันเข้าปอด

    การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางการหายใจ

    สารพิษที่เข้าสู่ทางการหายใจ ได้แก่ ก๊าซพิษ แบ่งออกเป็น  3 ประเภท ดังนี้

    • ก๊าซที่ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน เกิดอาการ วิงเวียน หน้ามืด เป็นลมหมดสติ ถึงแก่ความตายได้  เช่น คาร์บอนมอนนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจน ไนโตรเจน ปัจจุบันพบว่าก๊าซที่ทำให้เกิดปัญหาค่อนข้างบ่อย ได้แก่ คาร์บอนมอนนอกไซด์ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ ที่มีปัญหาการจราจรคับคั่ง อากาศเป็นพิษ คาร์บอนมอนนอกไซด์ เป็นก๊าซไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อหายใจเข้าไปในร่างกาย ก๊าซนี้จะแย่งที่กับออกซิเจนในการจับกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถไปยังเนื้อเยื่อทั่วร่างกายได้ ร่างกายจึงมีอาการของการขาดออกซิเจน ซึ่งถ้าช่วยเหลือไม่ทันจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต เช่น ในกรณีที่มีผู้เสียชีวิตในรถยนต์
    • ก๊าซที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ คอ หลอดลม และปอด ถ้าได้รับในปริมาณมากอาจทำให้ตายได้ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไม่มีสีแต่มีกลิ่นฉุน พบได้ในโรงงานอุตสาหกรรม ใช้ทำกรดกำมะถัน
    • ก๊าซที่ทำให้อันตรายทั่วร่างกาย ได้แก่ ก๊าซอาร์ซีน ไม่มีสีกลิ่นคล้ายกระเทียม พบได้ในโรงงานอุตสาหกรรมใช้ทำแบตเตอรี่ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เม็ดเลือดแดงแตก ปัสสาวะเป็นเลือด ดีซ่าน ตาเหลือง ตัวเหลือง

    การปฐมพยาบาล

    • กลั้นหายใจและรีบเปิดประตูหน้าต่างๆ เพื่อให้อากาศถ่ายเท มีอากาศบริสุทธิ์เข้ามาในห้อง ปิดท่อก๊าซ หรือขจัดต้นเหตุของพิษนั้นๆ
    • นำผู้ป่วย ออกจากบริเวณที่เกิดเหตุไปยังที่มีอากาศบริสุทธิ์
    • ประเมินการหายใจและการเต้นของหัวใจ ถ้าไม่มีให้ผายปอดและนวดหัวใจ
    • นำส่งโรงพยาบาล

    การปฐมพยาบาลผู้ที่ได้รับสารพิษทางผิวหนัง

    สารพิษที่สามารถเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่พบบ่อยเกิดได้แก่ สารเคมี และสารพิษที่เกิดจากการถูกสัตว์มีพิษกัดหรือต่อย  เช่น ต่อ แตน ผึ้ง ตะขาบ แมงป่อง แมงกะพรุนไฟ  งูพิษ

    การปฐมพยาบาลเมื่อสารเคมีถูกผิวหนัง

    • ล้างด้วยน้ำสะอาดนาน ๆ  อย่างน้อย 15 นาที
    • อย่าใช้ยาแก้พิษทางเคมี  เพราะความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาอาจทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น
    • บรรเทาอาการปวดและรักษาช็อค
    • ปิดแผล แล้วนำส่งโรงพยาบาล

    การปฐมพยาบาลเมื่อสารเคมีเข้าตา

    • ล้างตาด้วยน้ำนาน 15 นาที่ โดยการ เปิดน้ำก๊อกไหลรินค่อย ๆ
    • อย่าใช้ยาแก้พิษทางเคมี เพราะความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาอาจทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น
    • บรรเทาอาการปวดและรักษาช็อค
    • ปิดตา  แล้วนำส่งโรงพยาบาล

     ขอบคุณข้อมูล : กรมแพทย์ทหารเรือ

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    ก่อนกินต้องระวัง สารพิษที่มักปนเปื้อนในอาหาร

    สารปนเปื้อนในอาหาร

    รู้จัก สารพิษ ที่มักปนเปื้อนมาในอาหาร

    เพราะเรากินกันทุกวัน ดังนั้น ก่อนจะกินอะไรก็ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ไม่ใช่แค่เรื่องของความสด รสชาติ แต่ความสะอาดก็สำคัญไม่น้อย เพราะพ่อค้าแม่ค้าหลายคนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทำให้มี สารพิษ ปนเปื้อนมาในอาหาร และนั่นทำเราป่วยได้นะทุกคน

    สารเคมีที่พบบ่อยว่า ปนเปื้อนในอาหาร

    • สารบอแรกซ์ พบมากในอาหารประเภทเนื้อหมู เนื้อปลา เนื้อวัว ฯลฯ เมื่อใส่สารนี้ไปแล้วจะทำให้อาการมีสีสันที่สวยงาม รสชาติดี และเก็บไว้ได้นาน สารนี้เป็นสารที่ก่อให้เกิด สารไนโตรซามีน (nitrosamine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
    • สารกันรา (กรดซาลิซิลิค) พบได้ในอาหารประเภท แหนม หมูยอ และผักผลไม้ดอง เช่น มะม่วงดอง ผักกาดดอง มะกอกดอง มะดันดอง ขิงดอง เป็นต้น หากกินอาหารที่มีสารกันราปนเปื้อนพิษของมันก็จะเข้าไปทำลายเซลล์ต่างๆ ทำให้ความดันโลหิตต่ำ เป็นผื่นคันตามตัว อาเจียน หูอื้อ หรือมีไข้
    • สารฟอกขาว (โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์) ส่วนใหญ่จะใส่อยู่ในอาหารพวก ดอกไม้จีน เห็ดหูหนูขาว เยื่อไผ่ หน่อไม้ ถั่วงอก แป้ง หรือเส้นก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ หากสารชนิดนี้สะสมในร่างกายมากๆ จะทำให้หายใจติดขัด ปวดท้อง ท้องร่วง เวียนศีรษะ อาเจียน หรือหมดสติได้
    • ฟอร์มาลิน เป็นสารอันตรายที่ถูกนำมาใช้กับอาหารสดไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเล เนื้อสัตว์ หรือกระทั่งผัก เพื่อให้มีความสดได้นาน หากถูกปนเปื้อนเข้าไปในร่างกายปริมาณมาก จะทำให้เกิดพิษต่อระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้ปวดหัว ปวดท้อง แน่นหน้าอก คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการเหงื่อออก ร่วมด้วย
    • สารตกค้างพวกยาฆ่าแมลง ที่มักตกค้างมากับผักหรือผลไม้สด ซึ่งสารเหล่านี้มีพิษต่อระบบประสาท ส่งผลให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ทำให้ร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วยง่าย โดยอาการจะรุนแรงมากหากได้รับสารโดยตรง

    มาทำให้อาหารปลอดภัยกัน

    • เลือกซื้ออาหารจากแหล่งคุณภาพและเชื่อถือได้
    • แช่ผักและผลไม้ในสารละลายน้ำส้มสายชู หรือสารละลายด่าง ก่อนนำมาบริโภคทุกครั้ง
    • เลือกรับประทานอาหารที่ใช้สีปรุงแต่งจากธรรมชาติ หลีกเลี่ยงอาหารจากสารเคมี
    • เลือกซื้อสินค้าที่ได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยาเพื่อรับรองคุณภาพความปลอดภัยของอาหาร

    ข้อมูลจาก โรงพยาบาลเปาโล

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    อาหารแก้ปวดประจำเดือน

    วูบขณะออกกำลังกาย อันตรายถึงตายนะ

    แก้ ออฟฟิศซินโดรม จากผู้เชี่ยวชาญ

    เมื่อพูดถึงอาการออฟฟิศซินโดรม เชื่อว่าชาวพนักงานบริษัทเกินครึ่งต้องรู้สึกปวดเมื่อยขึ้นมาทันที เพราะการที่เรานั่งอยู่กับหน้าจอแทบทั้งวัน รวมถึงการนั่งผิดท่า การไม่ได้ลุกขึ้นยืดเหยียด มักทำให้ส่งผลโดยตรงกับกล้ามเนื้อ บริเวณคอบ่าไหล่ และสะบัก ถ้าเป็นเยอะมาก บางคนอาจรู้สึกร้าวลงแขน ร้าวลงขา หรือชาบริเวณปลายมือปลายเท้าได้ ไม่หมดเพียงเท่านั้นสำหรับใครที่ใช้สายตาในการจองจอเยอะ มักส่งผลต่อการปวดตา จนลามไปถึงอาการปวดไมเกรนได้

    ชีวจิตเชื่อว่าหลายคนอาจจะรู้ถึงสาเหตุของการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อกันอยู่แล้ว เพียงแต่เราหลงลืมมันไป วันนี้เราได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสรีระ เกี่ยวกับการบำบัดท่าทางรูปร่างโดยตรงอย่าง คุณไมเคิล โจนส์ (Michael Jones) นักการยศาตร์ (Postural Ergonomist) เชี่ยวชาญด้านการบำบัดรักษามานานกว่า 15 ปี อะไรคือแรงบันดาลใจให้เขาสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเขามีไอเดียอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องออฟฟิศซินโดรม เรามาดูกันค่ะ

    Q: อะไรที่เป็นจุดเริ่มต้นความสนใจ ในเรื่องการยศาสตร์

    A: เริ่มจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากตัวเองครับ แต่ก่อนนั่งทำงานอยู่ในบริษัทและต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์วันละไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมง นอกจากนั้นโต๊ะเก้าอี้ของทางบริษัท ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับกับสรีระการนั่ง และไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ท่านั่งที่ถูกต้อง

    ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผมเป็นอย่างมาก และเมื่อไปหาหมอเกี่ยวกับอาการปวดเมื่อย สิ่งที่หมอทำคือการจ่ายยามาตามอาการ หลังจากนั้นผมก็คิดว่า ควรศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสรีระ และกายภาพอย่างจริงจัง เพื่อการรักษาตัวเอง และสามารถให้ข้อมูลกับคนอื่น ๆ ได้

    Q: ท่าทางการนั่งที่ผิด มักจะส่งผลอย่างไรต่อประสิทธิภาพด้านการทำงาน ?

    A: สำหรับการนั่งผิดท่า มันส่งผลต่อการทำงานของเราอย่างมาก เนื่องจากอาการเจ็บปวด ไม่สบายตัว ทำให้การโฟกัสเรื่องงานของเราแย่ลง อย่างแรกที่อยากแนะนำพนักงานออฟฟิศทุกคนคือ เรื่องท่านั่งที่ถูกต้อง การพักสายตา รวมถึงเคลื่อนไหวร่างกายบ้าง เมื่อเราทำงานไปสัก 1 ชั่วโมง ควรลุกขึ้นขยับร่างกาย ยืดเส้นยืดสายประมาณ 2 – 3 นาที และหายใจเข้า – ออก อย่างถูกวิธีเพื่อเพิ่มออกซิเจนให้ร่างกาย

    Q: อยากให้ช่วยแนะนำท่าทางการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ โดยไม่ต้องลุกจากเก้าอี้

    A: ใครที่ไม่มีเวลาลุกขึ้นยืดเหยียดร่างกาย เพราะงานที่รัดตัวมาก แนะนำทำตามนี้เลย

    • นั่งอยู่บนเก้าอี้ หลังตรง
    • บิดลำตัวไปด้านซ้าย จนรู้สึกตึงที่สีข้าง
    • บิดคอมองไปด้านหลัง
    • มือซ้ายวางบนพนักพิงเก้าอี้
    • มือขวาวางที่พาดแขนด้านซ้าย
    • ค้างท่าไว้ 5 – 10 วินาที
    • บิดลำตัวกลับ ตั้งตรงที่เดิม
    • บิดลำตัวไปอีกข้าง ทำซ้ำแบบนี้ประมาณ 5 – 10 รอบ หรือจนกว่าเส้นที่ยึดเริ่มคลายลง

    Q: แล้วแบบนี้มีคำแนะนำสำหรับคนที่ติดสมาร์ทโฟนหรือไม่คะ ?

    A: ต้องบอกแบบนี้เลยครับ นอกจากการนั่งทำงานที่บริษัทแล้ว อีกหนึ่งอย่างที่ทำให้คนส่วนใหญ่ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คือการเสพติดสมาร์ทโฟนนั่นเอง สำหรับวิธีการแก้ไขเบื้องต้น อยากให้ลองปรับลดความสว่างจอ จะช่วยให้เราปวดตาน้อยลง พยายามปรับองศามือถือให้อยู่ในระดับสายตา ไม่ใกล้และไม่ไกลจนเกินไป นอกจากนี้ควรกำหนดระยะเวลาการเล่นสัก 1 ชั่วโมง แล้วพักสายตาประมาณ 1 – 2 นาที เพื่อให้กล้ามเนื้อตาได้ผ่อนคลาย

    Q: สุดท้ายนี้อยากให้ฝากอะไรเพิ่มเติม เกี่ยวกับเรื่องออฟฟิศซินโดรม

    A: ท่านั่งที่ถูกต้องจะช่วยลดการปวดกล้ามเนื้อ รวมถึงการตึงบริเวณคอบ่าไหล่ และช่วยลดความเครียดของกล้ามเนื้อจากการใช้งานได้มากถึง 30% ที่สำคัญอย่าลืมลุกขึ้นยืดเหยียดร่างกาย หรือลุกเดินบ้าง เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถของตัวคุณเอง

    สำหรับใครที่รู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรืออยากปรับพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องสรีระของตัวเอง สามารถติดต่อเพิ่มเติมกับคุณไมเคิล โจนส์ ได้ที่ Marriott Executive Apartments หรือติดต่อผ่านทาง Instagram: Mikejonestoday

    6-7-8 สูตรเด็ด ลดน้ำหนัก

    ลดน้ำหนัก เป็นอีกอย่างที่แอดยอมรับเลยว่าไม่ง่าย แต่หากมีความตั้งใจก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะมีหลายสูตร หลายวิธีให้เลือก เหมือนอย่างสูตรวันนี้ ที่ปรับตามนาฬิกาชีวิต ด้วยเวลา  6-7-8 ซึ่งใช้ได้กับทุกคน ด้วยการรับรองผลจาก นายแพทย์บัญชา แดงเนียม ผู้เขียนหนังสือ นาฬิกาชีวิต สูตรลับหุ่นดี สำนักพิมพ์อมรินทร์สุขภาพ รวมถึงเป็นผู้คิดค้นและทดลองเองจนมั่นใจในผลลัพธ์

    6.00 น.

    ตื่นนอนตอนเช้าเข้าห้องน้ำ ออกกำลังกายเบาๆประมาณ 30 -60 นาที เช่น ขี่จักรยาน เดินเร็ว โยคะ อะไรก็ได้ที่ทำให้หัวใจเต้นประมาณ 60 – 70 เปอร์เซ็นต์ของอัตราสูงสุดตามอายุ (อัตราสูงสุดที่หัวใจรับได้ คำนวณโดยนำตัวเลข 220 – อายุ) เพราะช่วงตื่นนอนใหม่ ๆ ระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำที่สุด เมื่อออกกำลังกาย ร่างกายจะค่อยๆ ใช้น้ำตาลจนหมดในเวลาไม่นานนัก โดยเฉลี่ย 15- 30 นาที แล้วจึงเปลี่ยนไปใช้ไขมันที่สะสมอยู่มาเป็นพลังงาน

    7.00 น.

    หยุดออกกำลังกาย อาบน้ำ แต่งตัว ถ้าได้อาบน้ำเย็นยิ่งดี การอาบน้ำเย็นจะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อสั่น ช่วยเร่งการเผาผลาญได้อีกทางหนึ่ง และกล้ามเนื้อที่สั่นจะผลักเลือดไปไว้ที่เซลล์ไขมัน ทำให้เกิดการเผาผลาญไขมันได้นานขึ้น และไม่ควรกินอาหารใดๆ นอกจากน้ำเปล่า เพื่อช่วยปรับสมดุลจากการเผาผลาญไขมัน

    8.00 น.

    กินอาหารเช้าชุดใหญ่ ค่อยๆ เคี้ยวอย่างช้าๆ นานๆ โดยมีคาร์โบไฮเดรต มีของหวานได้บ้าง ดื่มกาแฟตบท้ายได้ เพราะกาแฟจะช่วยการย่อยและการเผาผลาญพลังงาน อีกทั้งกาเฟนจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต แต่แนะนำว่าควรเป็นกาแฟดำนะคะ

    คุณหมอบัญชายังอธิบายเพิ่มเติมว่า สูตรนี้สามารถลดน้ำหนักได้โดยเฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 กิโลกรัม สถิติสูงสุดที่เคยมีคนทำได้คือ 6 กิโลกรัมใน 1 เดือน อาจมีตัวช่วยคือ น้ำมันปลา 1.000-2,000 มิลลิกรัม และโคเอนไซม์คิวเท็นประมาณ 100 มิลลิกรัม โดยกินก่อนเริ่มออกกำลังกายตอนเช้าในแต่ละวัน กลไกการทำงานคือ น้ำมันปลาจะถูกดูดซึมเช้ากระแสเลือดในช่วงที่ร่างกายผาผลาญน้ำตาลจนหมดแล้วกำลังจะเปลี่ยนมาใช้ไขมันเป็นพลังงานแทน เป็นเสมือนตัวชักนำให้เกิดการเผาผลาญอย่างต่อเนื่อง และคุณสมบัติอีกประการหนึ่งคือ น้ำมันปลาช่วยลดการอักเสบได้ ทำให้ไม่ค่อยปวดกล้ามเนื้อเวลาออกกำลังกาย ส่วนโคเอนไซม์วเท็นจะช่วยขจัดสารอนุมูลอิสระ ทำให้ร่างกายไม่โทรมหลังออกกำลังกาย

    เป็นยังไงค่ะ เป็นสูตรที่ทำได้ไม่ยากเลย เพราะอย่างนั้นแล้ว ใครกำลังมองหาวิธีลดน้ำหนัก ลองใช้วิธีนี้กันดูนะคะ

    ที่มา นิตยสารชีวจิต

    ปรับชีวิต ตามนาฬิกาชีวิตจีน

    ศาสตร์การแพทย์แผนจีนเชื่อว่าธรรมชาติและมนุษย์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ธรรมชาติจะมีปี ฤดูกาล และเวลาที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งสอดคล้องกับวัฎจักรการทำงานของร่างกายมนุษย์ ในร่างกายจะประกอบด้วยเส้นลมปราณหลัก 12 เส้น แต่ละเส้นเชื่อมโยงกับอวัยวะและการทำงานของอวัยวะต่างๆ โดยแบ่งหน้าที่ตอยอยู่เวรยามในแต่ละช่วงเวลาของวัน เพื่อช่วยกันควบคุมการไหลเวียนของซี่และเลือดที่โดจรไปยังเส้นลมปราณเชื่อมถึงอวัยวะต่างๆ

    เคล็ดลับของแพทย์แผนจีนในการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงก็คือ การเข้าใจกฎเกณฑ์ “นาฬิกาชีวิต” รู้จักปรับวิถีชีวิตให้สอดคล้องกับโมงยามการทำงานอันเที่ยงตรงของอวัยวะทั่วร่างกายตามหลักหย่างเชิงจะแบ่งเวลาใน 1 วันออกเป็น 12 ชั่วโมง โดย 1 ชั่วยามจะเท่ากับ 2 ชั่วโมง

    หมอจีนแนะนำให้ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันตาม “นาฬิกาชีวิต” อันเป็นเคล็ดลับการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ

    ยามจื่อ ช่วงเวลา 23.00 น. – 1.00 น.

    คือเวลาเข้านอน นาทีทองของฤงน้ำดี เส้นลมปราณของถุงน้ำดีจะทำหน้าที่เก็บน้ำดีที่ได้จากตับและส่งน้ำดีมาช่วยย่อยไขมันที่ลำไส้เล็ก ช่วงเวลานี้ไขกระดูกจะเริ่มสร้างเลือดและซ่อมแซมร่างกาย จะนั้นจึงเป็นเวลาที่ควรพักผ่อนนอนหลับ หากนอนหลับเต็มที่ในยามจื่อจะช่วยให้เส้นลมปราณของถุงน้ำดีมีพลังตื่นนอนมากระปรี้กระเปรา ใครนอนดึกจนเลยยามจื่อมักปวดศีรษะ มึนงงง่าย คิดมาก ขี้กังวล และนอนไม่หลับ

    ยามโฉ่ว ช่วงเวลา 1.00 น.- 3.00 น.

    ต้องหลับให้สนิท เพิ่มพลังชี่ของตับ เส้นลมปราณของตับจะทำหน้าที่กำจัดสารพิษในร่างกายและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด หากนอนหลับได้สนิท เลือดจะไหลเวียนมาที่ตับช่วยเพิ่มพลังชี่ของตับให้กำจัดพิษอย่างมีประสิทธิภาพ ยามโฉ่วหากใครไม่เข้านอนจะเสี่ยงเป็นโรคตับ สีหน้าหมองคล้ำ เกิดกระจุดด่างดำ อารมณ์ร้อนและโกรธง่าย

    ยามอิ่น ช่วงเวลา 3.00 น. – 5.00 น.

    ปอดเปิดรับพลังบริสุทธิ์ ปอดเป็นศูนย์รวมหลอดเลือดนับร้อยและเป็นจุดแลกเปลี่ยนของออกซิเจน โดยจะส่งออกซิเจนไปเลี้ยงทั่วร่างกายและเซลล์ต่างๆ หากใครหลับลึกไม่ตื่นกลางดึกจะทำให้ใบหน้าสดใส มีเลือดฝาด และสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

    ยามเหม่า ช่วงเวลา 5.00 น. – 7.00 น.

    เวลาของลำไส้ใหญ่ ควรดื่มน้ำอุ่นช่วยชับถ่ายอุจจาระ เป็นช่วงเวลาที่ควรตื่นนอนเพื่อขับถ่ายของเสียให้หมด ไม่ปล่อยให้สารพิษสะสมในร่างกาย

    ยามเฉิน ช่วงเวลา 7.00 น. -9.00 น.

    เวลาของอาหารเช้า มื้อเช้าสำคัญที่สุด เพราะบำรุงและปกป้องพลังชี่ของกระเพาะอาหาร ช่วยเติมพลังงานให้สมองและหัวใจได้สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ป้องกันจากโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอ้วน คนไม่กินอาหารเช้าจะอ่อนเพลียและขี้หลงขี้ลืม

    ยามซื่อ ช่วงเวลา 9.00 น. – 11.00 น.

    ขยับตัวน้อยๆ ให้ม้ามทำหน้าที่กระจายสารอาหารและน้ำไปยังอวัยวะต่างๆเป็นช่วงเวลาเหมาะแก่การทำงานทำกิจกรรมต่าง ๆ แต่ไม่ควรเคลื่อนไหวเยอะหรือออกกำลังกายหนัก

    ยามอู่ ช่วงเวลา 11.00 น. – 13.00 น.

    งีบกลางวันบำรุงหัวใจ ควรงีบกลางวัน 30 นาที เพื่อให้ร่างกายและสมองได้พัก ตื่นมาพร้อมลุยต่อด้วยความสดชื่นกว่าเดิม

    ยามเว่ย ช่วงเวลา 13.00 น. – 15.00 น.

    เป็นเวลาย่อยและดูดซึมสารอาหารของลำไส้ จึงไม่ควรกินมื้อเที่ยงเกินบ่ายโมง

    ยามเชิน ช่วงเวลา 15.00 น. – 17.00 น.

    ดื่มน้ำเพิ่มพลังชี่ของกระเพาะปัสสาวะ ช่วงห้าโมงเย็นเป็นเวลาที่หลอดเลือดหัวใจและกล้ามเนื้อในร่างกายแข็งแรงที่สุด จึงเหมาะแก่การออกกำลังกาย แต่ไม่ควรหักโหมเกินไป เพราะจะนอนไม่หลับตอนกลางคืน

    ยามโหย่ว ช่วงเวลา 17.00 น. – 19.00 น.

    เวลาทำงานของไต หลีกเสี่ยงอาหารเค็ม ช่วงเวลานี้สัมพันธ์กับการเจริญเติบโตและความสามารถในการสืบพันธุ์

    ยามซวี ช่วงเวลา 19.00 น. – 21.00 น.

    ต้องอารมณ์ดี เอาใจเยื่อหุ้มหัวใจ เหมาะแก่การผ่อนคลาย ฟังเพลง และอ่านหนังสือ เพื่อเตรียมตัวเข้านอน ช่วงเวลานี้เส้นลมปราณของเยื่อหุ้มหัวใจและเส้นประสาทสมองจะทำงานได้ดีที่สุด

    ยามไฮ่ ช่วงเวลา 21.00 น. – 23.00 น.

    ทำร่างกายให้อบอุ่น เตรียมนอนพักผ่อน เปิดทางให้อวัยวะสำคัญๆ ของร่างกาย เช่น หัวใจ ปอด กระเพาะอาหาร ม้าม ตับ กระเพาะปัสสาวะ และลำไส้เล็ก ได้ชาร์จแบตเพื่อเพิ่มพลังซี่และเลือดให้ไหลเวียนสะดวกทั่วร่างกาย แช่น้ำอุ่น 20 นาที รับรองหลับสบาย

    ที่มา นิตยสารชีวจิต

    ออกกำลังกาย

    แค่ออกกำลังกาย ก็เท่ากับ ลดเสี่ยงโรคมะเร็ง

    มีข้อมูลจากหลายการศึกษา พบว่า ผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งน้อยกว่าผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย ดังนั้น การออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ ลดเสี่ยงโรคมะเร็ง ได้อย่างแน่นอน

    โดยมะเร็งที่พบได้น้อยลงในผู้ที่ออกกำลังกาย ได้แก่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เต้านม ลำไส้ใหญ่ เยื่อบุมดลูก ไต หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร เป็นต้น

    เหตุผลหนึ่งที่การออกกำลังกายช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง นั่นเพราะการออกกำลังกายช่วยให้น้ำหนักตัวลด ป้องกันการอ้วน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็ง

    การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง

    คำแนะนำจาก American Cancer Society (ACS) เกี่ยวกับการออกกำลังกาย ในผู้ป่วยมะเร็ง มีดังนี้

    -พยายามอย่าอยู่เฉยๆ กลับมาใช้ชีวิตให้ใกล้เคียงปกติให้เร็วที่สุด หลังจากการ วินิจฉัยและการรักษามะเร็ง

    -พยายามออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยเริ่มต้นช้าๆ และพยายามมากขึ้นเรื่อยๆ

    -ควรออกกำลังกายด้วยความหนักระดับปานกลางอย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที หรือความหนักระดับสูงอย่างน้อย 75 นาที และพยายามออกกำลังกาย ติดต่อกันอย่างน้อย 10 นาที หลายๆ ครั้งต่อสัปดาห์

    -ควรจะออกกำลังกายแบบมีแรงต้านและยืดเหยียด อย่างละ 2 วันต่อสัปดาห์

    การออกกำลังกายลักษณะใดที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง

    การฝึกหายใจ

    ผู้ป่วยมะเร็งหลายคนมีอาการหายใจไม่สะดวก การฝึกจะช่วยให้การหายใจเข้า – ออก ดีขึ้น และยังช่วยลดความเครียดความกังวล

    -การยืดเหยียดเป็นประจำ

    ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และพัฒนาบุคลิก เพิ่มการไหลเวียนของเลือดในกล้ามเนื้อ เหมาะสมกับผู้ป่วยที่เพิ่งจะฟื้นตัวจากการรักษามะเร็ง เช่น หลังการฉายแสงอาจมีการเคลื่อนไหวของข้อจำกัด เพราะกล้ามเนื้อดึงรั้ง หรือหลังผ่าตัด อาจมีแผลเป็นดึงรั้ง

    -การฝึกความสมดุล

    โรคมะเร็งหรือการรักษามะเร็งอาจทำให้ความสามารถในการทรงตัวลดลง การฝึกการทรงตัว ช่วยให้สามารถกลับมาเคลื่อนไหวได้เป็นปกติ และป้องกันการหกล้ม

    -Aerobic exercise หรือที่เรียกกันว่า Cardio

    เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของหัวใจและปอด ทำให้อาการเหนื่อยง่ายลดน้อยลง เช่น การเดินความเร็วปานกลาง ครั้งละ 30 – 40 นาที 3 – 4 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือ 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือการวิ่ง 75 นาทีต่อ สัปดาห์ เป็นต้น

    -การฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

    ในระหว่างการรักษามะเร็ง กล้ามเนื้อมักจะลีบลง เนื่องจากไม่ได้ใช้งาน โรคมะเร็งหรือการรักษาอาจทำให้ กล้ามเนื้ออ่อนแรงลงได้ การฝึกนี้จะช่วยสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ช่วยให้ทรงตัวได้ดีขึ้น ลดความอ่อนล้า ทำกิจวัตรต่างๆ ดีขึ้น และยังป้องกันกระดูกผุ ที่อาจเกิดจากการรักษามะเร็ง

    ทั้งนี้ผู้ป่วยมะเร็งควรเสริมสร้างความ แข็งแรงทุกส่วนของร่างกาย 2 ครั้งต่อสัปดาห์

    ขอบคุณข้อมูล รศ. นพ.เอกภพ สิระชัยนันท์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านโรคมะเร็ง

    บทความอื่นที่น่าสนใจ

    เช็กก่อน หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

    สารพัดประโยชน์ของ “สับปะรด”

    รู้หรือไม่ อุนจิบอกปัญหาสุขภาพได้นะ

    เทคนิคการ จัดตารางชีวิต เปลี่ยนชีวิตวุ่นวายให้กลายเป็น Work-life balance

    เทคนิคการ จัดตารางชีวิต เปลี่ยนชีวิตวุ่นวายให้กลายเป็น Work-life balance

    หากคุณคือคนหนึ่งที่รู้สึกว่าชีวิตของเราช่างวุ่นวายเหลือเกิน ทำงานทั้งวันจนหัวฟู กว่าจะเงยหน้าขึ้นมาจากกองงานได้ก็ดึกดื่น เวลากินข้าวก็แทบจะไม่มี เรื่องเที่ยวนี่ไม่ต้องพูดถึง เบี้ยวนัดเพื่อนมาหลายครั้งหลายหน แถมออกกำลังกายก็ไม่ได้ออก ปล่อยทิ้งไว้เนิ่นนานจนเสียสุขภาพ ถึงเวลาที่เราจะปฏิวัติชีวิตของเราสักที จัดตารางชีวิต ของเราใหม่ เปลี่ยนชีวิตที่แสนวุ่นวายของเรา ให้กลายเป็นชีวิตที่มีระเบียบ Work-life balance ไปพร้อมกัน

    เทคนิคการ จัดตารางชีวิต เปลี่ยนชีวิตวุ่นวายให้กลายเป็น Work-life balance

     

    :: ทำรายการสิ่งที่ต้องทำ :::

    จดรายการสิ่งที่คุณต้องทำทั้งหมด พร้อมกำหนดส่งหรือเส้นตายที่งานชิ้นนั้นต้องเสร็จ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหางานตกหล่นหลงลืมไป คุณจะได้ทราบว่ามีงานจำนวนกี่ชิ้นที่ต้องทำ ชิ้นไหนยากง่าย ชิ้นไหนใช้เวลาทำมากหรือน้อย ชิ้นไหนรีบเร่งด่วนกว่ากัน เลือกทำงานตามลำดับ วางแผนให้งานแต่ละชิ้นเสร็จทันภายในกำหนด แล้วอย่าลืมเผื่อเวลาสำหรับตรวจสอบรายละเอียด ทบทวนดูความเรียบร้อยของงานแต่ละชิ้นด้วยนะคะ

    เทคนิคการ จัดตารางชีวิต เปลี่ยนชีวิตวุ่นวายให้กลายเป็น Work-life balance

    ::: จัดลำดับความสำคัญของงานที่ต้องทำ :::

    หลังจากที่เราทราบแล้วว่าเรามีงานที่รอให้ทำอยู่ทั้งหมดกี่ชิ้น แต่ละชิ้นเร่งด่วนขนาดไหน คราวนี้ก็ถึงเวลาจัดลำดับความสำคัญของงานแต่ละชิ้นแล้วค่ะ

    งานชิ้นไหนยาก รีบนำงานชิ้นนั้นมาทำก่อน งานชิ้นไหนรีบเร่ง ก็รีบจัดสรรเวลามาทำให้เสร็จสมบูรณ์ พยายามอย่าทิ้งงานเก่าเอาไว้ให้ค้างคา เพราะยิ่งเวลาผ่านไปนาน งานที่ทำค้างเอาไว้ก็ยิ่งขาดความต่อเนื่อง เวลาในการทำก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ จนเริ่มท้อใจที่จะทำ กลายเป็นการดองงานไปเรื่อยๆ จนหมดไฟในการทำงานไปเลย

    เทคนิคการ จัดตารางชีวิต เปลี่ยนชีวิตวุ่นวายให้กลายเป็น Work-life balance

     

    ::: ทำตารางเวลาตามความเป็นจริง :::

    จัดลำดับความสำคัญของงานแต่ละชิ้นเสร็จแล้ว อย่าลืมจัดสรรเวลาเพื่อทำงานนั้นด้วยนะคะ

    การบริหารเวลาที่ดีไม่ใช่การโหมตะลุยทำงานตลอดเวลาจนไม่ได้หลับได้นอน หามรุ่งหามค่ำ โต้รุ่ง ไม่มีเวลาพักผ่อน ต้องเร่งรีบรับประทานอาหาร หรือไม่มีเวลาออกไปพบเจอใครเลย แต่การบริหารเวลาที่ดีคือการจัดสรรเวลาให้กับทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวันของคุณอย่างลงตัว มีสัดส่วนที่เหมาะสม เรียกได้ว่า สุขภาพดี สังคมดี และงานก็ออกมาดีอีกด้วย

    เทคนิคการ จัดตารางชีวิต เปลี่ยนชีวิตวุ่นวายให้กลายเป็น Work-life balance

     

    ::: ไม่รับงานมากจนเกินพอดี :::

    คนทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะใช้เวลา 24 ชั่วโมงนี้อย่างเหมาะสม คุ้มค่าแค่ไหน

    หากคุณรู้สึกว่าเวลา 24 ชั่วโมงไม่เพียงพอต่อการทำงานทุกอย่างของคุณให้เสร็จสมบูรณ์ ก็ถึงเวลาที่คุณจะต้องเลือก “ปฏิเสธ” งานบางอย่างออกไปจากชีวิตของคุณบ้างแล้วค่ะ เพราะเราไม่สามารถทำงานทุกงานให้เสร็จทันภายในระยะเวลาที่มีอยู่ได้ นอกจากจะทำให้คุณกลายเป้นคนที่ทำงานล่าช้า ไม่ตรงต่อเวลาแล้ว ยังทำให้ตารางเวลาของชีวิตคุณเสียสมดุลอีกด้วย

    เทคนิคการ จัดตารางชีวิต เปลี่ยนชีวิตวุ่นวายให้กลายเป็น Work-life balance

    เลือกรับงานแต่พอดี เท่าที่สามารถทำได้ เพื่อการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพนะคะ

    ขอขอบคุณภาพสวย ๆ จาก Pinterest

     

    บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

    Posted in MIND, NEWS
    BACK
    TO TOP
    cheewajitmedia
    Writer
    DIY แอลกอฮอล์ล้างมือ

    DIY แอลกอฮอล์ล้างมือ ใช้เอง ป้องกันเชื้อโรค

    DIY แอลกอฮอล์ล้างมือ ใช้เอง ป้องกันเชื้อโรค โควิด-19

    DIY แอลกอฮอล์ล้างมือ ในครั้งนี้ชีวจิต มีวิธีการทำง่ายๆมาฝากค่ะ  “แอลกอฮอล์ล้างมือใช้เอง ปริมาณ 500 มิลลิลิตร” ทำง่าย อุปกรณ์ไม่เยอะ สามารถเลือกกลิ่นได้ตามใจชอบ เเถมเรามีตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของมือด้วย เเละที่สำคัญความเข้มข้นของแอลกอฮอล์มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์เเน่นอนค่ะ สามารถฆ่าเชื้อโรค #โควิด19 ได้ แน่นอนจ้าาา

     

    DIY แอลกอฮอล์ล้างมือ

    เตรียมอุปกรณ์

    อุปกรณ์

    • ภาชนะขนาด 500 มิลลิลิตร
    • กระบอกตวง
    • แท่งสำหรับคน
    • ขวดสำหรับแบ่ง

    DIY แอลกอฮอล์ล้างมือ

    เตรียมสารเคมี

    สารเคมี

    • เอธิลแอลกอฮอล์ 96 % 370 มิลลิลิตร
    • กลีเซอรีน 5 มิลลิลิตร
    • น้ำสะอาด 122.5 มิลลิลิตร
    • น้ำหอม 2.5 มิลลิลิตร

     

    DIY แอลกอฮอล์ล้างมือ

    วิธีผสม

    • เตรียมสารละลายน้ำหอม 25 มิลลิลิตร
    1. ตวงเอธิลแอลกอฮอล์ ปริมาณ 20 มิลลิลิตร
    2. เติมน้ำหอม ปริมาณ 2.5 มิลลิลิตร
    3. เติมกลีเซอรีน ปริมาณ 5 มิลลิลิตร
    4. กวนผสมจนเข้ากันดี ได้สารละลายใส

    DIY แอลกอฮอล์ล้างมือ

    DIY แอลกอฮอล์ล้างมือ

    DIY แอลกอฮอล์ล้างมือ

    DIY แอลกอฮอล์ล้างมือ

    อ่านต่อหน้าถัดไป วิธีทำ แอลกอฮอล์ล้างมือ

    แมสผ้า หน้ากากอนามัย

    วิธีทำหน้ากากอนามัย ด้วยตัวเอง ด้วยวิธี DIY แมสผ้า ใช้เอง

    8 Steps DIY เเมสผ้า ใช้เอง

    บอกเลยว่า แมสผ้า หน้ากากอนามัย ในตอนนี้เป็นที่ต้องการของประชาชนมากๆ ไหนจะเรื่องฝุ่น PM2.5 เรื่องของโรคระบาดโควิด-19 ที่กำลังระบาดอยู่ในทั่วโลก เเละรวมถึงในประเทศไทย ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคอย่างเราๆนี่สูงมาก ในเมื่อหาซื้อยาก เราลองมา DIY แมสผ้าใช้เองกันดีกว่าค่ะ

    หน้ากากผ้า เหมาะกับใครหว่า

    หน้ากากผ้า หรือ เเมสผ้า เหมาะกับคนที่ยังไม่มีอาการป่วย แต่ต้องการป้องกันตัวเองจากเชื้อโรค หรือจากฝุ่นควันรอบๆตัวเรา สะดวกในการซักและทำความสะอาดแถมหน้ากากผ้า หรือ แมสผ้า ช่วยให้เราประหยัดรายจ่ายในการซื้อหน้ากากอนามัยแบบใส่แล้วทิ้ง แต่ที่สำคัญเราจะต้องใส่หน้ากากผ้า หรือ แมสผ้า ให้ถูกวิธี  และสำคัญสุดต้องใส่หน้ากากผ้าให้ครอบทั้งจมูกและปากด้วยนะคะ

    8 Steps DIY เเมสผ้า ใช้เอง

     

    แมสผ้า หน้ากากอนามัย

     

    STEP 1

    แมสผ้า หน้ากากอนามัย

    STEP 2

     

    แมสผ้า หน้ากากอนามัย

    STEP 3

     

    แมสผ้า หน้ากากอนามัย

    STEP 4

    แมสผ้า หน้ากากอนามัย

    STEP 5

    แมสผ้า หน้ากากอนามัย

     

    STEP 6

    แมสผ้า หน้ากากอนามัย

     

    STEP 7

    แมสผ้า หน้ากากอนามัย วิธีทำหน้ากากอนามัย

    STEP 8

    แมสผ้า หน้ากากอนามัย

     

    เป็นอย่างไรบ้าง เเมสผ้า หรือ หน้ากากผ้าใช้เอง ทำง่าย สบายๆ ประหยัด จริงด้วยว่าไหม

     

    ข้อมูลเพิ่มเติม

    แจกสูตร เจลล้างมือ ทำได้เอง แบบง่ายๆ

    รีวิวเครื่องฟอกอากาศ ป้องกันฝุ่นละออง PM 2.5 เพื่อสุขภาพ

    5 ไอเทมเด็ด มือสะอาดพิฆาต ไวรัสโคโรนา

     

    ไอซ์ หีบเหล็ก

    การกระทำของ ” ไอซ์ หีบเหล็ก ” เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรมหรือไม่

    การกระทำของ ” ไอซ์ หีบเหล็ก ” เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรมหรือไม่

    ข่าว ไอซ์ หีบเหล็ก กำลังเป็นที่สนใจและถูกตั้งคำถามต่อการกระทำของเขา ซีเคร็ตจึงเกิดข้อสงสัยเรื่องพฤติกรรมและการกระทำของไอซ์ หีบเหล็ก รวมไปถึงการหาทางแก้ปัญหาเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกด้วยธรรมะ ซีเคร็ตจึงได้ขอความเมตตาจากพระครูธรรมรัต (ธนัญชัย เตชปญฺโญ) แห่งวัดญาณเวศกวัน ช่วยตอบปัญหาธรรมนี้

    ” การกระทำของไอซ์ หีบเหล็กถือว่าเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรมหรือไม่ และถ้าเราเป็นไอซ์ หีบเหล็ก จะทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากวิบากกรรมที่ต้องฆ่ากันไปฆ่ากันมาเช่นนี้ แล้วถ้าเราตกเป็นเหยื่อของฆาตกร ควรทำตัวอย่างไรให้รอดจากการถูกฆ่า และคดีนี้สอนหรือเตือนใจเราอย่างไรบ้างคะ พระอาจารย์ ” 

    พระอาจารย์ไขปัญหาธรรมดังนี้ :

    ก่อนตอบคำถาม ผู้เขียนขอชื่นชมผู้ถามสักเล็กน้อยว่า มีความเป็นนักศึกษาที่ดีที่สนใจใคร่ธรรมและรู้จักน้อมนำมาสู่วิถีชีวิต ชาวพุทธผู้ได้ชื่อว่า เป็นผู้ตื่น รู้ เบิกบาน ต้องเป็นนักศึกษาชนิดที่ใฝ่รู้ใฝ่สร้างสรรค์อย่างนี้ และเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในความรู้ ชาวพุทธต้องจับหลักให้ได้ โดยเฉพาะหลักกรรม ซึ่งเป็นหลักสำคัญสำหรับการดำเนินชีวิตของมวลมนุษยชาติ แต่ก็ต้องเตือนตนบ่อยๆ ด้วยว่า แม้หลักกรรมจะสำคัญแต่ก็ยังมีหลักอื่นๆ ที่ต้องระลึกเสมอ ไม่เช่นนั้นจะเหมารวมไปหมดว่าอะไรๆ ที่เป็นไปนั้นเป็นเพราะกรรมเสียหมด อย่างนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นความเห็นผิดชนิดหนึ่ง ผู้สนใจพึงศึกษาเพิ่มเติมเรื่อง นิยาม ๕ (ได้ในพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)>>> http://www.84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=223)

    กรรม หมายถึง การกระทำทางกาย วาจา และใจ ที่ประกอบด้วยเจตนา หรือ กรรมก็คือเจตนา คือความจงใจทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ นั่นเอง เพราะฉะนั้น ที่ถามว่าการกระทำของไอซ์ หีบเหล็ก เป็นเรื่องกรรมหรือกฎแห่งกรรมไหม? ก็ชัดตามหลักแล้วว่า เป็นเรื่องกรรม หรือ กฎแห่งกรรมแน่นอน แต่อาจจะไม่ใช่ในแบบมุมมองของผู้ถาม คือ ไม่ใช่ว่าเขาเคยฆ่าเราในชาติก่อน ชาตินี้เราเลยต้องฆ่าเขา มนุษย์ทุกคนมีเจตนาเป็นกรรมของตนเอง แม้คนอื่นจะเคยทำร้ายเบียดเบียนเรา เราก็มีศักยภาพความสามารถเป็นของตนเองที่จะยับยั้งชั่งใจที่จะไม่ทำร้ายเบียดเบียนตอบได้ กล่าวแบบที่ชาวพุทธนิยมพูดกันว่า มนุษย์มีความสามารถที่จะไม่จองเวรจองกรรมกันได้ เพราะฉะนั้น การกระทำของไอซ์ หีบเหล็ก อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจากการจองเวรจองกรรมกันมาแต่ชาติก่อน แต่อาจจะเกิดขึ้นจากความจงใจในชาติปัจจุบันนี้เอง ซึ่งรากเหง้าอันเป็นมูลเหตุก็มาจากความเห็นผิด ความใคร่ ความโกรธ ฯลฯ ที่อาจเรียกรวมๆ ว่ากิเลสนั่นเอง

    การอธิบายกรรมและผลของกรรม (วิบาก) ในแบบที่ผู้ถามเข้าใจนั้น เป็นการอธิบายสิ่งที่สลับซับซ้อนให้เข้าใจง่ายในการสื่อสารเท่านั้น (Simplify) ซึ่งอาจจะทำให้พลาดไปจากหลักของกรรมได้ ดังนั้น ชาวพุทธต้องตระหนักว่า กรรมและการให้ผลของกรรมนั้น เป็นสิ่งที่มีความซับซ้อนอย่างยิ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นสิ่งอันบุคคลไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน (อจินไตย) เพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้น อาจกล่าวอย่างนี้ว่า เมื่อบุคคลกระทำสิ่งใดก็ตามย่อมรับผลจากสิ่งที่กระทำนั้นเสมอ แต่ว่าผลของการกระทำจะออกมาในรูปแบบไหนอย่างไรนั้น เป็นเรื่องเหนือสามัญวิสัยที่มนุษย์จะพึงคิดได้ สำหรับนักศึกษาหากต้องการทราบหลักกรรมให้ชัดเจนยิ่งขึ้นสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก จูฬกัมมวิภังคสูตร ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิบายตามสภาวธรรมของบุคคล เช่น บุคคลมีเจตนาฆ่าเป็นประจำ (กรรม) ส่งผล (วิบาก) ให้เกิดสภาวะตัดรอนชีวิต หากละจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ในที่ใดก็จะเป็นผู้มีอายุสั้น ฯลฯ แต่ก็มิได้หมายความว่า มนุษย์ที่เกิดมาอายุสั้นจะเป็นเพราะผลกรรมชั่วชนิดนี้ เพราะบางครั้งกรรมดีก็มาตัดรอนชีวิตนี้ให้ไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่าได้เช่นกัน

    ส่วนการจะหลุดพ้นจากผลแห่งการกระทำของตนทั้งในอดีตและปัจจุบันนั้น ก็ยังคงใช้ความรู้จากหลักกรรมเช่นเดิม คือ กรรมที่ได้ทำลงไปแล้วนั้น ย่อมให้ผลหรือรอให้ผลเสมอ แต่การให้ผลของกรรมก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยด้วย เช่น ถ้ากรรมดีแรงกว่าก็อาจตัดรอนผลของกรรมชั่วให้เบาบางลง หรือ ชะลอผลของกรรมชั่วนั้นไว้ก่อนได้ แต่ไม่ได้หักล้างกันอย่างที่เข้าใจโดยทั่วไป ดังนั้น ในกรณีของไอซ์ หีบเหล็ก และผู้เสียชีวิต (รวมถึงญาติของผู้เสียชีวิต) หากตั้งเจตนาที่จะไม่จองเวรต่อกันก็เป็นจุดเริ่มต้นของกรรมที่ดี ซึ่งจะช่วยให้ไม่ต้องมาเวียนว่ายทำร้ายเบียดเบียนกันต่อไปอีก และไม่ประมาทเร่งลดละกรรมชั่วหยาบ หมั่นสร้างสมกรรมที่ดีงาม โดยมีจุดหมายปลายทางสูงสุดตามหลักพระพุทธศาสนา คือ พระนิพพาน ดับกิเลสและดับขันธ์ได้โดยสิ้นเชิง กรรมทั้งหลายก็จักไม่อาจให้ผลอีกต่อไป

    สำหรับคำถามที่ว่า หากเราตกเป็นเหยื่อจะเอาตัวรอดจากฆาตกรได้อย่างไรนั้น ถ้าเป็นขั้นของการป้องกันก็ต้องหมั่นสร้างสมพฤติกรรมทางกายวาจาที่ดีงาม มีเมตตากรุณาเป็นพื้นจิต เพาะบ่มปัญญาให้รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต เลือกคบมิตรดี เลือกประกอบวิชาชีพอันเหมาะควร และเรียนรู้ศิลปะป้องกันเอาไว้บ้าง แต่แม้ว่าจะป้องกันไว้ดีอย่างไร หากต้องประสบเหตุการณ์เช่นนั้น สิ่งที่สั่งสมเอาไว้ก็จักเป็นปัจจัยให้ตั้งสติได้ว่องไว เพื่อใช้ควบคุมอารมณ์ความรู้สึก แล้วเจริญเมตตากรุณาให้เป็นพื้นของใจ จักได้เกิดมีปัญญาเฉียบแหลมฉับไวมองเห็นทางหนีทีไล่เอาตัวรอดได้อย่างปลอดภัย ซึ่งจะได้ผลสัมฤทธิ์หรือไม่นั้น ปัจจัยสำคัญที่ทุกคนกำหนดเองได้ ก็คือการฝึกฝนเตรียมพร้อม ด้วยความไม่ประมาทต่อชีวิตที่ต้องเป็นไปในสังคมของมนุษย์

    ถ้ามองเพียงแค่เหตุการณ์นี้ ก็อาจจะได้คติเตือนใจให้ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท เลือกเป็นเลือกไปในทางที่ดีงามดังที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว แต่ถ้าจะไปให้ไกลกว่าการดำเนินชีวิตของตัว ก็ต้องมองให้เห็นทั่วตามจริงว่า สังคมมนุษย์เป็นไปอย่างไร จะช่วยกันเกื้อกูลอะไรได้บ้าง มนุษย์ที่สร้างกรรมชั่วล้วนแต่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งสรรค์สร้าง ไม่ต้องนับเลยไปไกลถึงอดีตชาติ เอาแค่ความตั้งใจของพ่อแม่ที่จะให้มนุษย์สักคนถือกำเนิด การเลี้ยงดูตามช่วงวัย ก็ล้วนแต่มีเหตุปัจจัยมากมายให้ต้องใคร่ครวญพิจารณา การศึกษาทั้งในและนอกระบบ ตลอดจนสังคมสิ่งแวดล้อมจะต้องจัดปรับกันอย่างไร โดยเฉพาะต้องช่วยกันมองและลงมือทำกันเสียใหม่ให้เป็นองค์รวมอย่างมีส่วนร่วม ต้องทำให้เห็นกันชัดๆ ว่าชีวิตของมนุษย์เราเชื่อมโยงกันมากกว่าแค่แสดงความคิดเห็นและก่นด่า โดยอาจจะเริ่มต้นชวนกันคิดและทำอย่างนี้ว่า ช่วยให้(ลูก)เขาดีด้วย (ลูก)เราก็ปลอดภัย หรือจะลุกขึ้นมา ทำตนเป็นต้นแบบชั้นดีให้ลูกหลานเลียน พัฒนาตนด้วยความเพียรให้ลูกหลานตาม ก็เป็นนิมิตหมายที่ดีของสังคมไทย และน่าอนุโมทนายิ่งกว่าแค่แสดงความคิดเห็นทั้งนั้น

     

    พระอาจารย์ผู้ตอบปัญหาธรรม :  พระครูธรรมรัต (ธนัญชัย เตชปญฺโญ)

    ที่มา : 

    www.84000.org/นิยาม 5

    www.84000.org/อจินติตสูตร

    www.84000.org/จูฬกัมมวิภังคสูตร

    ภาพ : 

    www.pexels.com


    บทความน่าสนใจ 

    วัวร่ำไห้จนคุณยายสงสาร ช่วยไถ่ชีวิตออกมาจากโรงฆ่าสัตว์จนเกือบหมดตัว

    เขาถ่ายภาพเพื่อบำบัดอาการซึมเศร้าอยากฆ่าตัวตายสุดท้ายกลายเป็นช่างภาพดัง

    ต้องฆ่าช่างผู้สร้างบ้านให้เรา ความหมายที่แท้จริงของคำสอน

    Dhamma Daily : ถ้าฆ่าสัตว์มีพิษเพื่อป้องกันตัว บาปหรือไม่

    เมื่อฉันพลั้งเผลอฆ่าแมวตัวเอง เสียใจมาก ทำใจอย่างไรดี

    ทำไมเราจึงฝัน

    ทำไมเราจึงฝัน สาเหตุของความฝัน 4 ประการตามหลักพุทธศาสตร์

    ทำไมเราจึงฝัน สาเหตุของความฝัน 4 ประการตามหลักพุทธศาสตร์

    ความฝันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมเราจึงฝัน ในทางวิทยาศาสตร์ค้นคว้าวิจัยพบว่า ความฝันเกิดจากการทำงานของจิตใต้สำนึก ในทางพุทธศาสตร์กล่าวว่าความฝันเกิดจากเหตุปัจจัย 4 อย่าง คือ

    1. ธาตุวิปริต หมายถึงร่างกายไม่สบายหรือไม่เป็นปกติ จึงได้ฝัน ซึ่งเป็นความฝันที่ไม่ค่อยจริง

    2. จิตนิวรณ์ หมายถึงจิตมีความผูกพันอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจเป็นสิ่งของ สถานที่ หรือบุคคล จึงนำมาปรุงแต่งเป็นความฝัน เช่น ฝันถึงคนเคยรู้จักกันที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือเสียชีวิตไปแล้ว อาจฝันดีหรือฝันร้ายก็ได้ ฝันดังกล่าวบางครั้งก็เป็นจริง แต่หลายครั้งไม่จริง อย่างไรก็ตามหากฝันถึงคนที่เสียชีวิตไปแล้วเห็นเขาอยู่ในสภาพที่ไม่ดี ก็ควรทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เพื่อความสบายใจ เขาจะได้รับส่วนบุญหรือไม่นั้นยากจะหยั่งรู้ได้ แต่ผู้ที่ทำบุญย่อมได้รับบุญนั้น

    3. เทพสังหรณ์ หมายถึงเทวดามาดลใจให้ฝัน อาจแม่นหรือไม่แม่นก็ได้ เพราะเทวดามีทั้งสัมมาทิฐิ และมิจฉาทิฐิ มีทั้งมีบุญบารมีมากและมีน้อย หากเทวดาที่มีสัมมาทิฐิมีบุญบารมีมากมาเข้าฝัน เรื่องที่ฝันก็เป็นความจริง

    4. สุบินนิมิตหรือบุพนิมิต ฝันเพราะมีลางบอกเหตุ ว่าจะได้พบเจอสิ่งใดในกาลข้างหน้า เป็นความฝันที่เป็นจริง ดังเช่นพระนางสิริมหามายา พุทธมารดา ฝันว่ามีช้างนำดอกบัวมาถวาย โหรทำนายว่าจะมีพระโพธิสัตว์ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ามาเกิดในครรภ์ของพระนาง ซึ่งก็เป็นจริง แม้นักพรตสิทธัตถะก่อนจะตรัสรู้หนึ่งคืน ก็มีบุพนิมิต (ลางบอกเหตุ) เป็นความฝัน 5 เรื่องด้วยกัน ตื่นเช้าท่านตีปริศนาแห่งความฝันว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งก็เป็นความจริง หรือหลวงปู่มั่นก็มีสุบินนิมิต ฝันเป็นปริศนาธรรมบ่งบอกว่าจะได้เป็นพระอรหันต์ ต่อมาท่านก็ได้บรรลุอรหัตผล เป็นต้น

    แม้ความฝันของคนเราอาจเกิดจากเหตุปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าว ผู้ฝันก็ไม่ควรจะจริงจังหรือยึดติดกับความฝันนัก จะทำให้จิตพะวงอยู่แต่กับความฝัน หากฝันร้ายอยู่เป็นประจำ ก่อนนอนจิตก็จะกังวลว่าจะฝันร้ายอีก จิตจึงมีนิวรณ์พาให้ฝันร้ายจริง ๆ

    ความฝันผ่านมาแล้วผ่านไป ชีวิตจะดีหรือร้ายขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเองเป็นสำคัญ

     

    ที่มา  นิตยสาร Secret

    เรื่อง : พระอาจารย์ ชาญชัย อธิปญฺโญ

    Image by DarkWorkX from Pixabay

    Secret Magazine (Thailand)


    บทความน่าสนใจ

    พระพุทธเจ้ากับบัลลังก์ทั้ง 3 พระองค์คือผู้ครอง บัลลังก์แห่งเทวดา พรหม และพระอริยะ

    ทำไมพระพุทธเจ้าทรงแสดงของลับ แก่เสลพราหมณ์ เรื่องน่ารู้จาก มิลินทปัญหา

    บทนมการสิทธิคาถา (สัมพุทเธฯ) แปล บทนมัสการ พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต

    ผลแห่งกรรม คำสอนจากพระโอษฐ์ ของพระพุทธเจ้า

    ถ้าอยากอายุยืนขึ้น ควรทำอย่างไร ? เรื่องเล่าจากพระไตรปิฎก เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องอายุยืนกับพระอานนท์

    สมาร์ทวอทช์ smart watch

    Smart watch นาฬิกาอัจฉริยะ ยี่ห้อไหนดี ตอบโจทย์สุขภาพ

    Smart watch ยี่ห้อไหนดี

    Smart watch (สมาร์ทวอทช์ ) หรือนาฬิกาอัจฉริยะ ที่ไม่ใช่แค่ไว้ดูเวลาแบบธรรมดาทั่วไป เเต่สามารถเป็นได้มากกว่านั้น เพราะในปัจจุบันสมาร์ทวอทช์ได้พัฒนาไปไกลมาก สามารถทำได้สารพัดประโยชน์ถึงขั้นขนาดสามารถเชื่อมต่อกับโซเชียลเน็ตเวิร์ค  แจ้งเตือนข้อความจากมือถือ เตือนเมื่อสายโทรเข้า และสามารถใช้ทดแทนการปลุกให้ตื่นอีกด้วย

    ไฮท์ไลท์ที่สำคัญไปกว่านั้น นาฬิกาสมาร์ทวอทช์ หรือ นาฬิกาอัจฉริยะ ยังสามารถเป็นตัวช่วยในการดูแลสุขภาพเบื้องต้นได้ เช่น

    1. สามารถนับจำนวนการเดิน ก้าว การเผาผลาญของร่างกายในแต่ละวัน เช็คจำนวนเเคลลอรีได้
    2. ฟังกชั่นวัดอัตราการเต้นของหัวใจ สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวร่างกาย เเละการเผาผลาญ
    3. เช็คระดับการหลับนอน คอยเเสดงและตรวจจับประสิทธิภาพการนอน หลับลึก หลับมีคุณภาพหรือไม่ แสดงผลเป็นเรียลไทม์
    4. วัดระดับความดันโลหิต ในบางแบรนด์สามารถช่วยประเมินค่าความดันโลหิตได้
    5. วัดระยะทางการเดิน การวิ่ง สำหรับการออกกำลังกาย และการเผาผลาญ
    6. สามารถเช็ควันตกไข่ เเละจัดการกับระบบประจำเดือนของผู้หญิงได้ โดยระบบจะเเสดงวันไหนประจำเดือนจะมา วันไหนตกไข่
    7. บันทึกการกินอาหาร การดื่มน้ำ ในเเต่ละวัน ว่าครบหรือไม่ กินเกินหรือมากเกินไปหรือเปล่า ระบบจะคอยเตือนตลอดเวลา
    8. สามารถบันทึกข้อมูลทางการแพทย์ และสุขภาพของตัวเองได้
    9. อย่างสุดท้ายที่ชอบที่สุด คือ Smart watch  คอยเตือนให้ขยับตัว กระตุ้นให้เดิน เพื่อร่างกายได้ขยับ ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าเตือนของเเต่ละบุคคล

    เพิ่มความสะดวกของผู้ใช้งาน และอัพเดทข้อมูลแบบเรียลไทม์ การทำงานหรือข้อมูลทั้งหมดผ่านการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน บลูทูธ และสามารถชาร์จแบตเตอรีได้

     

    1. FITBIT สมาร์ทวอทช์  รุ่น Alta HR

    https://www.fitbit.com/th/inspire

    ไฮท์ไลท์เด่น

    • วัดอัตราการเต้นของหัวใจ : รับรู้จังหวะการเต้นของหัวใจแบบต่อเนื่อง รวมไปถึงโซนหัวใจของคุณ เหมาะสำหรับการควบคุม Zone ในการเต้นของหัวใจ
    • บันทึกและเก็บสถิติการนอน : บันทึกและประมวลผลการนอน รวมถึงช่วงเวลาหลับลึก การตื่น เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการนอนให้ดียิ่งขึ้น
    • แจ้งเตือนสายเรียกเข้า ข้อความ และ ปฏิทิน : แจ้งเตือนบนหน้าจอ เพื่อไม่ให้พลาดทุกการติดต่อ
    • แจ้งเตือนให้เคลื่อนไหว : คอยแจ้งเตือนให้เดิน 250 ก้าว ในแต่ละชั่วโมง
    • วัดก้าวเดิน แคลลอรี่ และ ระยะทาง : บันทึกกิจกรรมตลอดทั้งวัน
    • SmartTrack : แยกแยะและบันทึกประเภทกีฬาอย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็น การวิ่ง เครื่องเดิน และ อื่นๆ
    • แบตเตอรี่ยาวนาน 7 วัน : แบตเตอรี่สุดอึดที่ให้มากกว่าเดิม อยู่ได้ยาวๆทั้งสัปดาห์
    • นาฬิกา : เพียงพลิกข้อมือ นาฬิกาจะแสดงขึ้นมาบนหน้าจอได้อย่างรวดเร็ว
    • แตะเพื่อแสดง : เพียงสัมผัสหน้าจอ ก็จะแสดงข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพ และอื่นๆที่จำเป็น

    ราคาประมาณ 4,000 บาท

     

    2. Gamin vívoactive® 3

    smart watch
    https://www.garmin.co.th/products/wearables/vivoactive-3-white-rose/#featureTab

    ไฮท์ไลท์เด่น

    • GPS Smartwatch ที่วัดอัตราการเต้นหัวใจที่ข้อมือ
    • ปรับแต่งนาฬิกาของคุณให้มีความเฉพาะตัวด้วยหน้าปัด แอปและวิดเจ็ตนับพันรายการจากร้านค้า
    • GPS และแอปเกมกีฬาในร่มที่โหลดไว้แล้วกว่า 15 ประเภท รวมถึงโยคะ การวิ่ง ว่ายน้ำและอื่น ๆ
    • โซลูชันการชำระเงินผ่านมือถือของ Garmin Pay™ ทำให้คุณชำระค่าสินค้าด้วยนาฬิกาได้
    • ตรวจสอบระดับการออกกำลังกายของคุณด้วยค่าประมาณการ VO2 max และ fitness age รวมทั้งการติดตามความเครียดด้วย
    • ใช้คุณสมบัติการเชื่อมต่อ2 เช่น การแจ้งเตือนแบบสมาร์ท การอัปโหลดอัตโนมัติไปยัง Garmin Connect™, LiveTrack และอื่นๆ อีกมากมาย
    • อายุแบตเตอรี่3 ใช้ได้นานถึง 8 วัน ในโหมดนาฬิกาหรือได้ถึง 11 ชั่วโมงเมื่อใช้งานในโหมด GPS3

    และที่สำคัญมีฟังก์ชั่นอื่นๆ เเทบจะเหมือน สมาร์ทวอทช์อื่นๆ ที่คล้ายๆกับการทำงานของแบรนด์อื่นๆ เช่น ระดับการเต้นหัวใจ การนับก้าว ควบคุมการหลับนอน ฯลฯ

    ราคาประมาณ 10,000 บาท

     

    3. Apple Watch ซีรี่ส์ 5

    สมาร์ทวอทช์ apple smart watch
    https://www.apple.com/th/apple-watch-series-5/

    ไฮท์ไลท์เด่น

    • นาฬิกาที่จอภาพไม่เคยหลับ เพราะมีจอภาพ Retina แบบติดตลอดใหม่ ที่ทำให้เห็นเวลาและหน้าปัดนาฬิกาตลอดเวลา
    • นาฬิกา ที่จับตาดูหัวใจตลอดเวลา เพื่อดูอัตราการเต้นของหัวใจได้ทันที และรับการแจ้งเตือนเมื่ออัตราการเต้นของหัวใจนั้นสูงหรือต่ำเกินไป
    • คอยเตือนเมื่อเสียงรอบๆ ดังเกินไป จะคอยเตือนเมื่อเสียงนั้นมีระดับเดซิเบลที่สูงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อการได้ยิน
    • ติดตามรอบเดือนได้ง่ายๆ แค่แตะ แอพการติดตามรอบเดือนใหม่จะช่วยให้การบันทึกข้อมูลรอบการมีประจำเดือนให้กลายเป็นเรื่องง่าย
    • นาฬิกาที่ช่วยให้คุณพิชิตเป้าหมายด้านฟิตเนสและการออกกำลังกาย มีรูปแบบการออกกำลังกายมากมายให้คุณเลือก ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายแบบไหน และยังมีตัววัดขั้นสูงสำหรับนักกีฬาทุกระดับ
    • กระตุ้นให้คุณเคลื่อนไหว ออกกำลังกาย และยืน  เคลื่อนไหวมากขึ้น และออกกำลังกายทุกๆ วัน
    • นาฬิกาที่รู้จักทิศทางเป็นอย่างดี ด้วยเข็มทิศและระดับพื้นต่อให้ชีวิตจะต้องเผชิญกี่เส้นทางคดเคี้ยวขึ้นลงแค่ไหนก็ไม่ต้องห่วง
    • โทรขอความช่วยเหลือได้เมื่อต้องการด้วยคุณสมบัติ SOS ฉุกเฉินและการตรวจจับการล้ม Apple Watch สามารถโทรขอความช่วยเหลือได้โดยอัตโนมัติ

    ราคาเริ่มต้นที่ 13,400 บาท 

     

    4. Samsung  Galaxy Watch 42mm eSim

    สมาร์ทวอทช์ smart watch
    https://www.samsung.com/th/wearables/galaxy-watch-r815/SM-R815FZDATHO/

    ไฮท์ไลท์เด่น

    • หน้าปัดนาฬิกาทำงานตลอดเวลา ไม่ต้องกดปุ่มหรือหมุนขอบหน้าปัด ดูเวลาได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
    • แตะเพื่อรับสายและตรวจสอบข้อความได้
    • ตรวจจับรูปแบบการออกกำลังกายที่แตกต่างกันได้ถึง 39 แบบ เช็คอัตราการเต้นของหัวใจขณะวิ่ง จดจำเส้นทางการวิ่ง และบันทึกสถิติต่างๆ
    • สามารถบันทึกข้อมูล หรือกำหนดและติดตามเป้าหมายทางโภชนาการ จำนวนแคลลอรี่ได้
    • บันทึกการหลับนอน เป็น 4 ช่วงของการหลับ ตรวจจับการตื่นนอน
    • สามารถ GPS บอกเส้นทางได้

    ราคาประมาณ 12,500 บาท

    มาถึงตรงนี้หลายๆคน คงสามารถตัดสินใจเลือกกันได้แล้วบ้างว่าเเบบไหนเหมาะสมกับการใช้งานของตัวเองมากที่สุด (ยี่ห้อแบบที่เป็นกระเเสในตอนนี้ก็ได้นะ) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกหาสมาร์ทวอทช์คู่ใจมาเป็นตัวช่วยในการดูแลสุขภาพของตัวเอง

    อย่าลืมว่าสมาร์ทวอทช์ (Smart watch) ไม่สามารถทำให้น้ำหนักลดได้ แต่คุณต้องเริ่มด้วยตนเอง และต้องมีวินัยควบคุู่กันไปด้วย ถึงจะประสบความสำเร็จ

    บทความอื่นๆน่าสนใจ

    ปรับ การออกกำลังกาย กระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น

    วิธีแก้ ออฟฟิศซินโดรม ด้วยท่าออกกำลังกายแบบง่ายๆ

    เชือกกระโดด ต้องเลือกอย่างไร ให้ใช้แล้วปังเวอร์

    POUND ออกกำลังกายกับไม้กลอง เบิร์นได้มากกว่า 800 แคล

     

    เพิกถอนยาพาราเซตามอล

    เพิกถอนยาพาราเซตามอล 25 ตำรับ อันตรายเป็นพิษต่อตับ

    เพิกถอนยาพาราเซตามอล 25 ตำรับ

    เพิกถอนยาพาราเซตามอล ล่าสุด  สร้างความตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อมีราชกิจจานุเบกษา ประกาศ เพิกถอนทะเบียนตำรับยาพาราเซตามอล 25 รายการ เนื่องจากพบการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการแพ้ยา และอาการผลข้างเคียง เช่น พิษต่อตับ  ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ภายใน 90 วันนับจากวันที่ 10 ก.ย.เป็นต้นมา

    เพิกถอนตำรับยาพาราเซตามอลทำไม

    เนื่องจากในสถานการณ์ปัจจุบันปรากฏพบปัญหาจากการใช้ยาพาราเซตามอลมากขึ้น โดยพบทั้ง อาการไม่พึงประสงค์ในลักษณะการแพ้ยา และอาการผลข้างเคียง เช่น การเกิดพิษต่อตับ จากการใช้ยาไม่เหมาะสม การได้รับยาซ้ำซ้อน การใช้ยาเกินขนาดโดยไม่ตั้งใจ หรือการใช้ยาร่วมกับการดื่มเครื่องดื่ม ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นความเสี่ยงให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค เพื่อคุ้มครองความปลอดภัย ของผู้ใช้ยา

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยคําแนะนําของคณะกรรมการยาในการประชุม ครั้งที่ 4/2559 เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2559 ได้มีคําสั่งกระทรวงสาธารณสุขที่ 329/2560 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 ให้ผู้รับอนุญาตผลิตยา หรือผู้รับอนุญาตนําหรือสั่งยาเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งทะเบียนตํารับยาที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ ชนิดรับประทาน แก้ไขฉลาก และเอกสาร กํากับยาให้เป็นไปตามคําสั่งดังกล่าว

    และต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยคําแนะนําของ คณะกรรมการยาในการประชุมครั้งที่ 386-10/2561 เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2561 ได้มีคําสั่ง กระทรวงสาธารณสุขที่ 204/2562 ลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 ให้ผู้รับอนุญาตที่ยังไม่ได้ยื่น แก้ไขทะเบียนตํารับยาเร่งดําเนินการตามคําสั่งกระทรวงที่ 329/2560 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 แต่ปรากฏว่าผู้รับอนุญาตไม่ดําเนินการแก้ไขทะเบียนตํารับยาดังกล่าวให้เป็นไปตามคําสั่งข้างต้น จํานวน 25 ตํารับ จึงอาจเกิดความไม่ปลอดภัยต่อผู้ใช้ยาได้

    อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 86 แห่งพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติยา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2530 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยคําแนะนํา ของคณะกรรมการยาในการประชุมครั้งที่ 389-3/2562 เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2562 จึงมีคําสั่งเพิกถอนทะเบียนตํารับยาที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ ชนิดรับประทาน จํานวน 25 ตํารับ มีดังต่อไปนี้

    25 ตำรับพาราเซตามอล

    สำหรับตำรับที่มีคำสั่งให้เพิกถอน ทะเบียนตํารับยาที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ ชนิดกินจำนวน 25 ตำรับ มีดังต่อไปนี้

    เพิกถอนยาพาราเซตามอล

    บทความเพิ่มเติม

    อ้างอิง

    http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/E/226/T_0030.PDF

    วิธีใช้ ช้อนตวง

    เคล็ดไม่ลับ แค่คุณไม่รู้ ตอน วิธีใช้ ช้อนตวง ใช้อย่างไรให้ถูกต้อง (มีคลิป)

    พี่หมี กับจอย มีเคล็ด(ไม่)ลับ ดีๆ มาแชร์กันอีกแล้วค่า เชื่อเลยว่ายังมีอีกหลายคนที่รู้จักช้อนตวง แต่อาจจะยังใช้งานไม่ถูกต้องจริงๆ โดยเฉพาะมือใหม่หัดเข้าครัว วันนี้มาดู วิธีใช้ ช้อนตวง แบบเป๊ะๆ จากพี่หมี และจอยกันค่ะ

     

    วิธีใช้ ช้อนตวง ที่ถูกต้อง ใช้อย่างไร?

    ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเจ้าช้อนตวงกันก่อนนะคะ

    ช้อนตวง หนึ่งในอุปกรณ์ครัว ที่นิยมใช้ในการตวงวัตถุดิบที่จะนำมาทำอาหาร หรือเบเกอรี่ ส่วนใหญ่มักจะใช้ช้อนตวง ในการตวงวัตถุดิบที่ใช้ในปริมาณไม่มากค่ะ ซึ่งสามารถใช้ตวงได้ทั้งของเหลว ของแห้ง ไม่ว่าจะเป็น แป้ง เกลือ น้ำตาล น้ำเปล่า ฯ แต่ส่วนใหญ่มักจะใช้ในการตวงวัตถุดิบทำเบเกอรี่ เนื่องจากการทำเบเกอรี่นั้น ต้องใช้ความแม่นยำค่อนข้างสูง

    ช้อนตวง สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้า ตามแผนกเครื่องครัว หรือร้านเบเกอรี่ทั่วไปค่ะ ซึ่งที่เราเห็นส่วนใหญ่ตามท้องตลาดนั้น ก็ทำมาจากวัสดุหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น พลาสติก อะลูมิเนียม หรือสเตนเลส เป็นต้นค่ะ

    ขนาด : ช้อนตวงจะมี 4-6 ขนาด ขึ้นอยู่กับการใช้งาน โดยที่เราใช้กันส่วนใหญ่จะใช้ช้อนตวง 4 ขนาดค่ะ นั้นก็คือ 1 ช้อนโต๊ะ, 1 ช้อนชา, 1/2 ช้อนชา, 1/4 ช้อนชา ค่ะ แต่สำหรับอาหารยุโรปมักจะใช้ช้อนตวง 6 ขนาดค่ะ นั้นก็คือ 1 ช้อนโต๊ะ, ½ ช้อนโต๊ะ, 1 ช้อนชา, 1/2 ช้อนชา, 1/4 ช้อนชา, 1/8 ช้อนชา

    สำหรับขนาดของช้อนตวงจะมี 4-6 ขนาด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานด้วยค่ะ แต่ถ้านิยมใช้กันเป็นส่วนใหญ่ ก็คือ ช้อนตวง 4 ขนาดค่ะ

     

    ♦ ช้อนตวง 4 ขนาด ประกอบด้วย  1 ช้อนโต๊ะ, 1 ช้อนชา, 1/2 ช้อนชา, 1/4 ช้อนชา

    วิธีใช้ ช้อนตวง
    ช้อนตวง 4 ขนาด

     

    ♦ ช้อนตวง 5 ขนาด ประกอบด้วย  1 ช้อนโต๊ะ, 1 ช้อนชา, 1/2 ช้อนชา, 1/4 ช้อนชา, 1/8 ช้อนชา

    วิธีใช้ ช้อนตวง
    ช้อนตวง 5 ขนาด

     

    วิธีใช้ ช้อนตวง ต้องใช้ตวงอย่างไร ถึงจะถูกต้อง

    บางใช้วิธีในการตวง โดยการใช้ช้อนตวงตักวัตถุดิบขึ้นมาเลย ซึ่งในบางครั้ง ตัววัตถุดิบ เช่น แป้ง ก็จะมีความพูนเกินขึ้นมา โดยที่น้ำหนักมือของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน จึงอาจจะให้ตวงปริมาณที่ผิดพลาดได้ ซึ่งที่ถูกต้องคือ หากจะตวงแป้ง ก็ควรใช้ช้อนทั่วไปอีกหนึ่งคัน ตักแป้งใส่ในช้อนตวง หลังจากนั้น ก็ใช้สันมีด หรืออุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นสันตรงๆ ปาดแป้งส่วนที่เกินออก เหลือแป้งที่ตวงเสมอขอบช้อนตวงพอดี ไม่ต้องกดแป้งใดๆทั้งสิ้น เพียงเท่านี้ก็จะได้ปริมาณตรงตามสัดส่วนเป๊ะค่ะ และนี่คือวิธีการใช้ช้อนตวงที่ถูกต้อง ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ

     

    คลิกเลย!! คลิป เคล็ดไม่ลับ แค่คุณไม่รู้ ตอน วิธีใช้ ช้อนตวง

     

    อ่านต่อ เคล็ดไม่ลับ แค่คุณไม่รู้

    เคล็ดไม่ลับ แค่คุณไม่รู้ ตอน ไข่เก่า ไข่ใหม่ เลือกอย่างไร? วิธีเลือกไข่ แบบเป๊ะๆ (มีคลิป)

    เคล็ดไม่ลับ แค่คุณไม่รู้ ตอน วิธีเลือกซื้อไก่ เลือกไก่ไปทำอาหารอย่างไรให้เป๊ะ! (มีคลิป)

     

    เมนูเบเกอรี่แนะนำ

    เค้กกล้วยหอม โยเกิร์ต สูตรหอม นุ่ม เมนูเบเกอรี่ยอดฮิต

    เมนูข้าวโอ๊ต กล้วยหอมคาราเมล สุดยอดเมนูอร่อย ไขมันต่ำ

    แจกสูตรเบเกอรี่ของโปรด คุกกี้ลูกเกด หอม อร่อย

    วิธีทำ ขนมปังลูกเกด ทำเองง่ายๆ ไส้ลูกเกดแน่นๆ

    เค้กเนยสด หอมกรุ่นเนยสด เมนูสุดฮิตของคนรักเบเกอรี่

    วิธีทำ ขนมปังนมสด หอมๆ นุ่มๆ อร่อยเพลิน

     

    #ACuisine #เอควิซีน #เคล็ดไม่ลับแค่คุณไม่รู้

    อยากกิน อยากฟิน อยากทำ อย่าลืมติดตาม  A Cuisine (เอควิซีน)

    📌Website:    https://cheewajit.com/healthy-food

    📌Messenger : http://m.me/AcuisineTH

    📌Instagram :  www.instagram.com/acuisine.th/

    📌Pinterest : www.pinterest.com/AcuisineTH/

    พรพล สุวรรณมาศ

    พรพล สุวรรณมาศ : ชีวิตหลังลาสิกขากับทุกลมหายใจนี้เพื่อคุณแม่

    พรพล สุวรรณมาศ : ชีวิตหลังลาสิกขากับทุกลมหายใจนี้เพื่อคุณแม่

    หลายท่านอาจคุ้นเคยกับภาพของพระพรพล ปสันโน ( พรพล สุวรรณมาศ ) หรือหลวงพี่โบ๊ท พระอาจารย์หนุ่มแห่งวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก ปัจจุบันท่านได้สละเพศบรรพชิตแล้ว เพื่อดูแลคุณแม่ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมัลติเพิลมัยอิโลมา (Multiple myeloma) ซีเคร็ตจึงมาคุยถึงอัพเดทชีวิตหลังสึกของหลวงพี่โบ๊ท และสุขภาพของคุณแม่ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง

     

    หลังจากลาสิกขา ต้องปรับตัวอยู่นานไหมกว่าจะเข้ากับวิถีชีวิตฆราวาส

    “ ปรับตัวไม่มากเท่าไรครับ เพราะยังอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคย ผมยังแวะเวียนไปที่วัดเพื่อช่วยงานพระธรรมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก และพระราชญาณกวีอยู่เสมอ ที่บ้านมีแต่ญาติ ๆ ก็ไม่ต้องปรับอะไรกันมาก พอสึกก็ลาออกจากตำแหน่งที่เคยดูแลในตอนที่บวช พระธรรมบัณฑิตท่านก็เมตตา ถึงผมจะเป็นฆราวาสแล้วก็ให้ทำหน้าที่นี้ต่อ โดยแจ้งทางมูลนิธิให้เปลี่ยนจากพระเป็นนายแทน ผมจึงยังบริหารงานทั้ง 4 มูลนิธิต่อคือ มูลนิธิโรจนธรรม มูลนิธิแผ่นดินธรรมในพระสังฆราชูปถัมภ์ มูลนิธิส่งเสริมการบริหารจิตในพระสังฆราชูปถัมภ์ และมูลนิธิส่งเสริมสามเณรในพระสังฆราชูปถัมภ์  และเป็นที่ปรึกษาให้กับรัฐมนตรีและปลัดฯที่กระทรวงแรงงาน เพราะท่านทั้งสองเคยบวชที่วัดพระราม 9 ฯมาก่อน และนับถือผมเป็นอาจารย์ ยังเรียกผมติดปากว่า “พระอาจารย์” อยู่เลย (หัวเราะ) และเวลาที่ผมไปกระทรวงก็มีแต่คนเรียกผมว่า “หลวงพี่” ผมรู้สึกว่าเราโชคดีเมื่อเปรียบกับคนอื่น ที่ต้องปรับตัวมากเมื่อเจอกับอะไรใหม่ ๆ ซึ่งผมไม่ถึงขนาดนั้น

    “ การกลับมาเป็นฆราวาสของผมไม่ได้แตกต่างไปจากตอนที่เป็นพระเท่าไร เพียงแต่ไม่ได้อยู่ที่วัดแล้วเท่านั้นเอง เปลี่ยนมาอยู่ที่บ้านเพื่อดูแลคุณแม่ ถ้าทางวัดมีอะไรก็เข้ามาช่วยเสมอ พฤติกรรมบางอย่างที่เคยทำจนชินในขณะเป็นพระก็ยังทำติดเป็นนิสัย เช่น ไม่กินมื้อเย็น เว้นแต่งานเลี้ยงตอนเย็นก็จะกินบ้าง เช่น งานเลี้ยงแต่งงาน บางครั้งการพูดจาของผมก็ยังเหมือนตอนที่เป็นพระ บางคนยังทักเลยว่า “เขายังพูดเหมือนพระอยู่เลย” (หัวเราะ)”

     

    พรพล สุวรรณมาศ

     

    คนรอบข้างรู้สึกอย่างไรบ้าง

    “ เขาก็ถามว่า “ทำไมถึงสึก” “สึกเพราะอะไร” พอทราบว่าต้องสึกมาดูแลคุณแม่ เขาก็หายสงสัยกัน เพราะผมบวชมานานและมาสึกตอนอายุ 39 ปี พวกเพื่อนวัยเดียวกันก็ไปไกลกันหมดแล้ว ถ้าจะให้เราไปเริ่มต้นใหม่ ก็จะช้ากว่าเพื่อน ผมเองก็ไม่เคยคิดเลยว่าในวันหนึ่งจะต้องลาสิกขาไปดูแลคุณแม่ เพราะคุณแม่รักษาแล้วมีอาการดีมาโดยตลอด จนกระทั่งเข้าปีที่ 10 ยาที่คุณแม่เคยรักษามันสะสม ทำให้คุณแม่ทนตัวยานี้ไม่ไหว เลยต้องเปลี่ยนมาดูแลท่านที่ร่างกายและจิตใจแทน ”

     

    การดูแลทางจิตใจทำอย่างไร

    “ ผมเอาสิ่งที่เรียนรู้ตอนเป็นพระนำมาใช้กับคุณแม่ เช่น การทำสมาธิ พาคุณแม่สวดมนต์ และนั่งสมาธิ ให้ท่านพยายามระลึกถึงความดีว่าทำความดีอะไรมาบ้าง และจะบอกคุณแม่เสมอว่าไม่ต้องกลัว อย่าไปกลัวความตายและความเจ็บป่วย เพราะสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราต้องเจอ พยายามลดความกังวลให้ท่าน เพราะจะทำให้อยู่ได้นานขึ้น โดยที่ไม่ต้องไปเครียด สุขภาพของท่านก็จะดี ตอนแรกคุณหมอบอกว่า คุณแม่จะอยู่ได้ 3 – 5 เดือนเท่านั้น แต่ตอนนี้ท่านอยู่เกินที่หมอบอกแล้ว (ยิ้ม)

    “ ผมอธิษฐานไว้ว่าถ้าคุณแม่อยู่เกินกว่านั้นจะไปบวชที่อินเดียให้ท่าน ผมจึงตั้งใจว่าจะบวชให้ท่านเพียงระยะสั้น ๆ และเป็นเรื่องบังเอิญเมื่อท่านเจ้าคุณ พระราชญาณกวีชวนผมไปงานขึ้นบ้านใหม่อาจารย์บวรศักดิ์ สุวรรโณ ซึ่งท่านเป็นอาจารย์ของผมในทางโลกด้วย ท่านจะไปบวชที่อินเดียก็ชวนผมไปช่วยดูแลงานที่นั่น เพราะเมื่อปีก่อนตอนผมยังเป็นพระก็มีโอกาสตามไปดูแลผู้อุปสมบท ซึ่งมีอาจารย์บวรศักดิ์ร่วมบวชด้วย ครั้งนี้อาจารย์บวรศักดิ์ชวนผมไปร่วมพิธีในโครงการนี้อีกครั้ง เพราะท่านจะบวชในโครงการฯนี้อีก ผมก็ไปตามคำขอของท่าน พอไปถึงอาจารย์ก็ชวนให้ผมบวช ผมก็เลยตัดสินใจบวช

    “ การบวชครั้งที่ 2 ของผมเป็นการบวชแค่ 12 วันตามกำหนดของโครงการฯ และต้องสึกที่นั่นในวันสุดท้าย ผมขออนุญาตกลับมาสึกที่เมืองไทย เพราะอยากให้คุณแม่ได้เห็นผ้าเหลือง และเพื่อให้ท่านได้ถวายอาหาร และทำบุญในขณะที่ผมยังเป็นพระ และอยู่กับท่านสักพักก่อนที่จะกลับมาเป็นฆราวาสอีกครั้ง ”

     

     

    นอกจากดูแลจิตใจผู้ป่วยแล้ว ดูแลจิตใจคนรอบข้างอย่างไร

    “ ในตอนนั้นคนรอบข้างผมอยู่ในอาการที่ย่ำแย่กันหมด ไม่ว่าจะคุณพ่อ หรือญาติ ๆ คุณพ่อถึงกับบอกว่าไม่ไหว เพราะท่านมีความหวังมาตลอดว่า คุณแม่ต้องกลับมาเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกได้อีกครั้ง พอไม่ได้ตามที่หวัง เพราะไม่มียาอะไรรักษาคุณแม่ได้อีกแล้ว ท่านก็ท้อแท้และหมดกำลังใจ ท่านเลยวานให้ผมคุยกับคุณหมอแทน เพื่อรับทราบอาการทั้งหมดของคุณแม่ ผมเข้าใจคุณพ่อว่าท่านเครียด เพราะท่านยังมีคุณปู่คุณย่าที่ต้องดูแล แต่แปลกที่ผมคุยกับคุณหมอแล้ว ผมไม่มีความรู้สึกร่วมไปด้วยว่าต้องเสียใจ ร้องไห้ตาม แต่คนรอบข้างที่ฟังจะมีอาการเศร้าทันที คงเพราะผมบวชมานาน เข้าใจเรื่องนี้ดี ว่าเป็นความจริงของชีวิต และวันหนึ่งผมก็ต้องเจอ จึงควรทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ให้ระลึกว่า แม้พระพุทธเจ้าทรงเป็นที่สุดแล้ว ยังทรงหนีความตายไม่พ้น แล้วเราเป็นใคร เราย่อมหนีความตายไม่พ้น เพราะฉะนั้นเราต้องคิดอีกแบบคือ การยอมรับว่าความตายเป็นสัจธรรมของโลก ”

     

    ตั้งแต่ลาสิกขาออกมาดูแลคุณแม่ได้ข้อคิดอะไรบ้าง

    “ ผมมองว่าชาติหนึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวัฏฏสงสาร จิตของคนเราเดินทางมาหลายภพชาติ ภพหนึ่งเป็นเพียงภพเดียวของคุณแม่ การตายของคุณแม่ทำให้ภพยุติ แต่จิตของคุณแม่ยังคงเดินทางต่อไป เราพยายามส่งพลังจิตที่ดีต่อกันไปให้ท่าน ถึงแม้กระทั่งร่างของท่านจะไม่อยู่แล้วก็ตาม การที่เราสื่อสารกับท่านผ่านกายละเอียดได้ เราสามารถอุทิศบุญให้ท่านได้ เพราะถ้าให้ท่านหอบหิ้วร่างกายนี้ไว้ ท่านต้องทรมานจากความเจ็บปวดและเป็นทุกข์ต่อไป ถ้าคุณแม่อยู่แล้วท่านต้องทุกข์ทรมาน แต่เรามีความสุขเพราะท่านยังอยู่กับเรา แบบนี้ก็ไม่ยุติธรรมสำหรับท่าน ถ้าถึงที่สุดแล้วท่านต้องออกเดินทางจริง ๆ เราต้องทำความเข้าใจและยอมรับว่า ท่านจะสบายขึ้น ท่านจะไปอยู่ในร่างใหม่ที่แข็งแรง และจะมีความสุข ได้ท่องเที่ยวในที่ใหม่ ๆ และได้กินอะไรใหม่ ๆ พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องจิตสุดท้ายว่าสิ่งที่จะพาเราไปสู่ภพภูมิอื่น คือการทำจิตสุดท้ายให้ดี วิธีนี้ก็เป็นการช่วยให้ท่านไปสู่ถิ่นใหม่ที่ดีได้ ”

     

    ช่วยฝากถึงครอบครัวที่มีสมาชิกป่วยเป็นโรคร้ายว่าเขาควรทำอย่างไร  

    “ ถ้าเราไม่เข้มแข็งและแกร่งพอ ผู้ป่วยก็จะแย่ตามไปด้วย การยอมรับความจริงที่ว่า วันหนึ่งเขาต้องไปจากเราเป็นสิ่งที่ดี การยอมรับความตายว่าไม่ได้เป็นความทุกข์ ในสมัยพุทธกาลมีหญิงนางหนึ่งไม่ยอมรับว่าลูกตาย ก็พยายามตามหาคนมารักษาให้ฟื้น นางไปขอให้พระพุทธเจ้าทรงช่วยรักษา พระพุทธเจ้าทรงบอกให้นางหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดในบ้านที่ไม่เคยมีใครตายมาถวาย แล้วพระองค์จะทรงช่วยรักษา ปรากฏว่านางไปที่บ้านใครก็มีคนในบ้านตาย นางจึงเข้าใจและยอมรับว่าความตายเป็นสัจธรรมของโลกที่หนีไม่พ้น การพยายามรักษาคนในครอบครัวเป็นเรื่องที่ดี เราต้องพยายามให้ถึงที่สุด แต่หากไม่ไหวก็ต้องยอมรับและเข้าใจว่าเป็นสัจธรรมที่ไม่มีใครหนีพ้น”

     

    พรพล สุวรรณมาศ

     

    เรื่อง : พรพล สุวรรณมาศ

    เรียบเรียง : ชนินทร์ ผ่องสวัสดิ์

    ภาพ : ฝ่ายภาพ อมรินทร์พริ้นติ้งฯ

    ส่งปัญหาธรรมและเรื่องดี ๆ สร้างแรงบันดาลใจมาได้ที่ >>> Secret Magazine (Thailand)


    บทความน่าสนใจ

    “คนบ้า” ใจดี อุทาหรณ์เตือนใจอย่าตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก

    บ่อเกิดแห่งความทุกข์ ธรรมะโดย พระอาจารย์มานพ อุปสโม

    อย่าหวังอะไรในความสงบ ธรรมะโดย พระอาจารย์มานพ อุปสโม

    อย่าหวังอะไรในความสงบ ธรรมะโดย พระอาจารย์มานพ อุปสโม

    รักตนเหมือนรักคนอื่น ธรรมะโดย ท่าน ส.ชิโนรส

    พระโสดาบัน

    โจรลักทรัพย์ในพระเชตวันได้เป็นพระโสดาบัน

    โจรลักทรัพย์ในพระเชตวันได้เป็น พระโสดาบัน

    โจรอาจเป็นอาชีพที่ไม่สุจริตตามทรรศนะของพระพุทธเจ้า แต่โจรคนนี้คงมีบุญเก่าอยู่ เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วบรรลุเป็น พระโสดาบัน เรื่องของโจรกลับใจที่ได้บรรลุธรรม ตอนที่เข้ามาขโมยของที่พระเชตวัน

    ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน พุทธกิจหลักของพระองค์คือการแสดงโปรดสาธุชนที่แวะเวียนเข้ามาฟังธรรมเสมอ ท่ามกลางมหาชนที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เพราะเลื่อมใสในคำสอนของพระบรมศาสดา กำลังจะมีเรื่องที่ไม่ดีเกิดขึ้น

    โจร 2 คนเป็นเพื่อนกัน ได้วางแผนจะลักทรัพย์ของสาธุชนที่เข้ามาฟังพระธรรมเทศนาในพระเชตวัน ด้วยกรุงสาวัตถีเป็นนครมหาอำนาจ ปกครองโดยพระเจ้าปเสนทิโกศล ทั้งยังเป็นชุมทางการค้าจึงมีมหาเศรษฐีอยู่หลายคน อย่างที่รู้จักและเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากก็คืออนาถบิณฑิกเศรษฐี กับ นางวิสาขามหาอุบาสิกา จึงเป็นเมืองแห่งความมั่งคั่ง

     

    พระโสดาบัน

     

    พระบรมศาสดาประทับอยู่ที่เมืองแห่งนี้นานถึง 25 พรรษา จะสังเกตได้ว่าในพระสูตรหลายเรื่องมักกล่าวว่า ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ในกรุงสาวัตถี เป็นต้น นับว่าเมืองแห่งนี้เป็นอีกเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยพุทธกาล

    โจรคนที่หนึ่งพยายามขโมยถุงเงินจากอุบาสกคนหนึ่ง ซึ่งเงินจำนวนนี้เขาต้องใช้เป็นค่าอาหารของคนในครอบครัว ขณะนั้นเองพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม โจรคนที่สองที่กำลังดูต้นทางได้มีใจโน้มไปในกระแสแห่งพระธรรมเทศนาก็บรรลุโสดาปัตติผล

    เมื่อโจรเป็นพระโสดาบันก็เกิดความละอายใจ เลิกเฝ้าต้นทางให้เพื่อนโจรด้วยกัน คิดเลิกเป็นโจรอย่างเด็ดขาดและขอนับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจนกว่าชีวิตจะหาไม่  เพื่อนโจรรู้ว่าเพื่อนเลิกเป็นโจรก็ขำคิดว่าเพื่อนตนนั้นโง่เขลาเสียเหลือเกิน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบด้วยพระญาณ จึงตรัสขึ้นว่า “บุคคลใดรู้ว่าตนเองโง่ ย่อมถือได้ว่าเป็นบัณฑิต (รู้ว่าตนเองโง่เขลาเพื่อหาทางแก้ไขจากความโง่เขลา) แต่บุคคลใดโง่เขลาแต่กลับคิดว่าตนเองเป็นบิณฑิต บุคคลแบบนี้เรียกได้ว่าคนที่โง่ยิ่งกว่า”

     

    ที่มา :

    อรรถกถา ธรรมบท เรื่อง โจรผู้ทำลายปม 

    ภาพ :

    https://pixabay.com


    บทความน่าสนใจ

    จุดจบของโจรขโมยศรัทธา ถึงเวลาที่ กรรมตามทัน เรื่องเล่าจากผู้อ่าน

    พระโสณกุฏิกัณณะ เทศนาให้โจรกลับใจ

    True Story : คืนนั้นกับ…โจร!

    รอยยิ้มพระอรหันต์ เพราะเห็นอชครเปรต ผีเปรต โจรเผาวัด

    โจรปล้น ของพระเซน แต่ไม่ยอมขโมยดวงจันทร์

    ยารักษาโรคความดันโลหิต ยาลดความดัน

    ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง กินอย่างไรให้ถูกวิธี ปลอดภัยชัวร์

    วิธีใช้ ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง

    เชื่อว่ารอบๆ ข้างของผู้อ่านต้องมีสักคนที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง และจำเป็นต้องกินยาเพื่อควบคุมอาการ วันนี้ ชีวจิตจึงจะขออ้างอิงข้อมูลจาก คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มาให้ความรู้เรื่องการกิน ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ค่ะ

    ว่าด้วยโรคความดันโลหิตสูง

    โรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ แต่ไม่ได้แปลว่า ผู้สูงอายุทุกคนต้องเป็นโรคความดันโลหิตสูง อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุที่อ้วน มีไขมันในเลือดสูง หรือ สูบบุหรี่ มีโอกาสเป็นโรคนี้มาก ผู้สูงอายุที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงแล้ว จำเป็นต้องได้รับยาลดความดันโลหิต มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาร้ายแรงตามมา ได้แก่ ภาวะหัวใจวาย โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และหลอดเลือดสมองแตกเป็นอัมพาตหรืออัมพฤกษ์

    ยาลดความดันโลหิตสูง

    ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง มีหลายกลุ่ม ออกฤทธิ์ต่างๆ กันไป เช่น ยาขับปัสสาวะ ทำให้มีปัสสาวะมากขึ้น ยาชะลอการเต้นของหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นช้าลง ยาขยายหลอดเลือดทำให้รูของหลอดเลือดกว้างขึ้น เลือดจึงไหลได้ดีขึ้นและมีแรงดันน้อยลง

    จากยากลุ่มต่างๆ นี้ แพทย์จะเลือกยาที่เหมาะสมให้แก่ผู้ป่วยแต่ละราย มีข้อที่ควรทราบ คือ ยาขับปัสสาวะ ทำให้ผู้ที่รับประทานยานั้นเข้าห้องน้ำบ่อยกว่าปกติเพราะยาขับปัสสาวะมีฤทธิ์ขับน้ำออกจากหลอดเลือด ทำให้ปริมาตรเลือดในหลอดเลือดลดลง ความดันโลหิตจึงลดลง ขนาดยาโดยทั่วไปคือรับประทานยาวันละ 1 ครั้ง หลังอาหารเช้า แต่ผู้ป่วยบางรายก็จำเป็นต้องรับประทานยาวันละ 2 ครั้ง ในกรณีหลังนี้ให้รับประทานยาหลังอาหารเช้าและเที่ยง ห้ามรับประทานยาหลังอาหารเย็นหรือก่อนนอน เพราะจะทำให้ปวดปัสสาวะตอนกลางคืน และต้องลุกมาเข้าห้องน้ำตลอดคืน

    ยา, กินยาเยอะ, โรคตับ, มะเร็งตับ, ตับ, ดูแลตับ, บำรุงตับ

    ยาลดความดันโลหิตอีกกลุ่มหนึ่งที่ใช้กันบ่อย คือ ยาเอซีอีอินฮิบิเตอร์ (ACE inhibitors) ยานี้มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์แองจิโอเทนซินคอนเวอร์ติ้ง (angiotensin converting enzymes) เช่น อีนาลาพริล (enalapril), ไลซิโนพริล (lisinopril), รามิพริล (ramipril), เพอรินโดพริล (perindopril)อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงที่ก่อความรำคาญแก่ผู้ใช้ยา คืออาการไอแห้งๆ ได้ ซึ่งไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด และไม่ใช่อาการแพ้ยา อาการนี้อาจทำให้รู้สึกรำคาญ ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยการหมั่นจิบน้ำ หรือรับประทานยาอมชนิดที่ทำให้ชุ่มคอ ร่างกายจะสามารถปรับตัวได้ แต่ในกรณีที่อาการเป็นมากจนรบกวนคุณภาพชีวิต อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนยา แต่ผู้ป่วยไม่ควรหยุดยาด้วยตนเอง ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อให้แพทย์พิจารณาเปลี่ยนยาให้

    ผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

    ผู้ป่วยบางรายใช้ยารักษาโรคความดันโลหิตสูงเพียงชนิดเดียว ก็ลดความดันโลหิตได้ดี และสามารถควบคุมให้มีค่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจได้ แต่ผู้ป่วยบางรายต้องใช้ยา 2 ชนิด หรือมากกว่านั้น ความดันโลหิตจึงจะลดลงมาอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ในกรณีนี้ผู้ป่วยมักจะได้รับยามื้อละหลายเม็ด อย่ารู้สึกเบื่อเสียก่อน และอย่าหยุดยาเพราะเบื่อที่จะรับประทานยาทุกวัน หรือ เพราะคิดว่าไม่มีอาการผิดปกติใดๆ การหยุดยาจะเป็นผลเสียเพราะทำให้ความดันโลหิตกลับสูงขึ้นมาอีก และอาจสูงมากจนหลอดเลือดในสมองแตก เกิดอัมพาต อัมพฤกษ์ตามมาได้

    ข้อบ่งชี้ในการใช้ยา

    ข้อสำคัญในการใช้ยารักษาโรคความดันโลหิตสูงให้ได้ผลดี ก็คือ จะต้องรับประทานยาต่อเนื่องกันทุกวันและรับประทานยาตรงเวลา หากลืมรับประทานยาและนึกขึ้นได้เมื่อใกล้จะรับประทานยามื้อต่อไป ให้รับประทานยาของมื้อนั้นก็พอ และห้ามรับประทานยาเพิ่มเป็น 2 เท่า มิฉะนั้นความดันโลหิตจะลดต่ำลงอย่างมาก เกิดอาการหน้ามืด ล้มลง หมดสติ เป็นอันตรายได้

    ยารักษาโรคความดันโลหิตสูงโดยทั่วไปเป็นยาเม็ดที่ปลดปล่อยตัวยาแบบปกติ ซึ่งรับประทานวันละครั้งเดียว นอกจากนี้ก็เป็นยาเม็ดที่ออกแบบเป็นพิเศษให้ค่อยๆ ปลดปล่อยตัวยาออกมา เพื่อให้ออกฤทธิ์ได้ยาวนาน และลดจำนวนครั้งของการรับประทานยาได้ เหลือเพียงรับประทานวันละ 1-2 ครั้ง  ยาเม็ดที่ออกแบบเป็นพิเศษนี้มักมีขนาดโตกว่าปกติ ทำให้กลืนยาได้ลำบาก แต่แม้ว่ายาจะเม็ดใหญ่ ก็ห้ามบด เคี้ยว หรือหักเม็ด เพราะจะทำให้รูปแบบยาที่ออกแบบเป็นพิเศษนั้นเสียไป ที่อันตรายก็คือ หากเคี้ยวหรือบดยาแล้วกลืนยาลงไป ก็จะได้ตัวยาเข้าร่างกายในปริมาณสูงมากภายในการกลืนยาครั้งเดียว แทนที่ตัวยาจะค่อยๆ ออกมาทีละน้อย ฤทธิ์ยาก็จะสูงมากและความดันโลหิตจะตกลงอย่างมาก จนอาจทำให้หน้ามืด ล้มลงและหมดสติได้

    ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงจะต้องระมัดระวังภาวะความดันโลหิตตกเนื่องจากเปลี่ยนอิริยาบถอย่างฉับพลัน ดังนั้นเวลาจะลุกจากเก้าอี้หรือลุกจากเตียง ก็ต้องลุกขึ้นอย่างช้าๆ มิฉะนั้นจะหน้ามืด เป็นลม ล้มลงได้

    กินยา, ขี้หลงขี้ลืม, สมอง, ความจำ, ระบบประสาท

    ข้อควรรู้อื่นๆ

    นอกจากการใช้ยาแล้ว ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ต้องลดการรับประทานอาหารเค็ม นั่นคือปริมาณเกลือต้องไม่เกินวันละ 1ช้อนชา หรือน้ำปลาไม่เกินวันละ 3-4 ช้อนชา หากอ้วนหรือมีค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 23 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ก็ต้องลดความอ้วนซึ่งหากต้องการใช้วิธีออกกำลังกาย ควรทำแต่พอประมาณให้มีเหงื่อออก ไม่หักโหม  ออกกำลังกายประมาณครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง งดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำชา กาแฟ หยุดดื่มเหล้า หยุดสูบบุหรี่รวมทั้งทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียด การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพียงเท่านี้จะช่วยให้การรักษาโรคความดันโลหิตสูงมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ข้อมูลโดย

    รองศาสตราจารย์ ดร. ภ.ญ. บุษบา จินดาวิจักษณ์
    ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล


    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    เรียนรู้ค่าวัดความดันโลหิต ด้วยตนเอง ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง ฆาตกรเงียบคร่าชีวิตทั่วโลก

    ชีวจิตแนะนำ สมุนไพรลดความดันโลหิตสูง จากชาติอาเซียน

    วิธีง่ายๆ รับมือความดันโลหิตสูง ตามคำแนะนำของกูรูชีวจิต

    โรคซึมเศร้า

    โรคซึมเศร้าที่เกิดขึ้นจากการคิดว่าห้องเป็นเพียงที่ซุกหัวนอน

    โรคซึมเศร้า ที่เกิดขึ้นจากการคิดว่าห้องเป็นเพียงที่ซุกหัวนอน

    ปัจจุบันนี้มีคนป่วยเป็น โรคซึมเศร้า มาขึ้น คงเนื่องมาจากความกดดันของสังคมที่มีการแข่งขันกันสูง เรื่องที่ซีเคร็ตนำมาเสนอต่อไปนี้ เป็นเรื่องจากคุณเคโซ ยะโน เจ้าของงานเขียนเรื่อง “แค่ปรับปรุงบ้าน ชีวิตทุกด้านก็สำเร็จ” การปรับปรุงที่อยู่อาศัยเกี่ยวข้องอย่างไรกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า บอกได้เลยว่าเกี่ยวค่ะจากเรื่องที่คุณเคโซ ยะโน สถาปนิกชาวญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์เรื่องบ้านมาอย่างยาวนาน และนี่คือประสบการณ์ที่คุณเคโซอยากแชร์

    คุณเคโซเล่าว่า มีผู้ชายคนหนึ่งอายุ 30 ปีต้น ๆ ทำงานอยู่ในบริษัทโฆษณาขนาดกลางแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่เขากำลังมองหาบ้านใกล้ที่ทำงานเพราะงานเยอะและต้องกลับบ้านดึกทุกวัน เขาก็เจอห้องหนึ่งที่อยู่ชั้นใต้ดิน ราคาถูกกว่าที่อื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงกว่า สองหมื่นเยน

    เขาคิดว่า “เอาเถอะ ยังไงก็มีไว้แค่ซุกหัวนอน” จึงทำสัญญาและย้ายเข้ามาอยู่ในห้องนั้น แต่หลังจากย้ายเข้ามาได้ 1-2 เดือนก็รู้สึกได้ว่าสุขภาพแย่ลงเรื่อย ๆ ตอนเช้าก็ตื่นไม่เต็มตา แม้จะตื่นแล้วก็ยังรู้สึกเพลีย และถึงจะนอนต่อก็ยังรู้สึกเหนื่อย อาการเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนส่งผลกระทบกับงาน เขาขาดสมาธิจนทำงานผิดพลาด ประสิทธิภาพในการทำงานที่ค่อนข้างดีกลับลดลง

    ถึงเขาจะคิดได้ว่า “ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว” แต่สภาพร่างกายของเขาก็ไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมแม้แต่น้อย ความเครียดและความอ่อนล้าเริ่มสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ ความกระฉับกระเฉงก็ค่อย ๆ หายไป

    กระทั่งปีต่อมาเขาเข้าโรงพยาบาลและได้รับยารักษาโรคซึมเศร้า เขาสร้างกำลังใจให้ตัวเองให้ทำงานและกินยาสม่ำเสมอ ในที่สุด 1 ปีให้หลังก็กลับมาแข็งแรงและฟื้นตัวโดยไม่ต้องกินยา เพราะเขาได้ย้ายออกมาจากห้องนั้นแล้วนั่นเอง

     

    ภาพจาก https://pixabay.com

     

    คุณเคโซเสนอว่า จริง ๆ แล้วสิ่งสำคัญอันดับแรกในการสร้างบ้านคือ แสงสว่างภายในบ้าน ไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกที่ในบ้านมีแสงสว่าง แต่ห้องนอนและห้องนั่งเล่นต้องมีแสงสว่าง ถ้าไม่มีแสงแดดส่องเข้ามาได้โดยตรง สถาปนิกอย่างพวกผมจะดัดแปลงให้แสงสว่างจากภายนอกสามารถเข้ามาในตัวบ้านได้

    เพราะนาฬิกาชีวิตของเราจะรีเซตและร่างกายจะปรับสมดุลฮอร์โมนตามแสงแดดธรรมชาติในช่วงตื่นนอนตอนเช้า เรียกได้ว่าแสงแดดที่เราเห็นตอนตื่นนอนในช่วงเช้านั้นควบคุมร่างกายของคนเราใน 1 วัน

    ลองจินตนาการดูสิว่าถ้าเราตื่นขึ้นมาแล้วต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้องที่แสงแดดส่องไม่ถึงจะรู้สึกอย่างไร ชายคนนั้นยังเล่าว่าให้ฟังว่า “ไม่คิดว่าแค่ย้ายห้องจะทำให้อาการดีขึ้นได้ขนาดนี้” อีกทั้งยังทำให้รู้ว่าค่าเช่าห้องจะถูกหรือแพงยังไงก็ช่าง แต่คิดว่าทำถูกจริง ๆ ที่ได้ย้ายออกมาอยู่ในห้องสว่าง ๆ “

    ไม่ใช่แค่เฉพาะห้องมืด ๆ ในชั้นใต้ดินเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ควรระวัง เพราะถึงแม้ห้องนั้นจะอยู่ชั้น 2 ขึ้นไป แต่ถ้ามีหน้าต่างเล็กจนแสงแดดส่องไม่ถึงก็ควรจะระวังไว้ด้วยเช่นกัน

    เรื่องที่คุณเคโซแชร์ให้พวกเราฟังนับว่า เป็นเรื่องที่เรียกได้ว่า ห้องเปลี่ยนชีวิตจริง ๆ เรื่องที่อยู่อาศัยก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ การที่เราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีอาจช่วยให้เรามีสุขภาพจิตและกายที่ดี เหมือนหนุ่มพนักงานบริษัทบ้างานคนนี้ เป็นต้น

     

    ที่มา :

    แค่ปรับปรุงบ้านชีวิตทุกด้านก็สำเร็จ โดย เคโซะ ยะโน

    ภาพ :

    https://pixabay.com


    บทความน่าสนใจ

    ดร.ณติกา ไชยานุพงศ์ เผยเคล็ดลับกำราบโรคซึมเศร้าให้อยู่หมัดไม่ใช่เรื่องยาก

    ลุงพูน พ่อค้าขายไอศกรีมกะทิสด ผู้กำจัดโรคซึมเศร้าด้วยงานที่ตนรัก

    ชีวิตคุณ…เลือกได้ : เรื่องเล่าประสบการณ์ใช้ธรรมะช่วยรักษาโรคซึมเศร้า

    พุทธธรรมบรรเทาผู้ป่วย โรคซึมเศร้า

    ธรรมโอสถสำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า

    ทายนิสัย จากวิธีจับมือถือ

    บ่งบอกความเป็นตัวเราอย่างง่ายๆ ทายนิสัย จากวิธีจับโทรศัพท์มือถือ

    ทายนิสัย จากวิธีจับมือถือ บ่งบอกความเป็นตัวเราอย่างง่ายๆ

    จากการเก็บข้อมูลทางสถิติ คาดการณ์ว่าในปี ค.ศ.2020 นี้ จะมีผู้ใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนมากถึง 3 พันล้านเครื่อง ด้วยวิถีชีวิตที่ต้องมีการใช้งานโทรศัพท์สมาร์ทโฟนอยู่แทบจะตลอดทั้งวัน จึงทำให้ท่วงท่าในการใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟน สามารถบ่งบอกถึงบุคลิกภาพ และ นิสัยของเราได้ เช่นเดียวกับการ ทายนิสัย จากการใช้ข้าวของเครื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน

    ถ้าพร้อมกันแล้ว มาทายนิสัยจากวิธีจับมือถือพร้อมกันเลยค่ะ

    เลือกวิธีจับมือถือที่เราชอบใช้มากที่สุด ถนัดมากที่สุด มักจะทำท่านี้บ่อยที่สุด

    ทายนิสัย จากวิธีจับมือถือ

    เมื่อเลือกท่าจับมือถือที่เราชอบที่สุดได้แล้ว ไปดูเฉลยพร้อมๆ กันในหน้าถัดไปเลยค่ะ

     << คลิกดูผลการทายนิสัย หน้าถัดไป >>

    Happy Life by ชีวจิต Season 7 กิจกรรมดีๆ ที่คนรักสุขภาพ พลาดไม่ได้!

    นิตยสารชีวจิต เอาใจคนรักสุขภาพอย่างต่อเนื่อง จัดกิจกรรม Happy Life by ชีวจิต Season 7 พบกับสาระความรู้การดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคต่างๆ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เทคนิคการสร้างเสริมสุขภาพที่ดีจากภายในด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยนักโภชนาการ  กิจกรรมออกกำลังกาย จากกูรูสายเฮลตี้ ที่มาแนะนำท่าออกกำลังกาย ให้ผู้เข้าร่วมงานสามารถทำตามและนำกลับไปสร้างเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกายได้ง่ายๆ พร้อมกิจกรรม Cooking Show เมนูชีวจิต โดย ป้ายุง แห่งรายการ “อยู่เป็นลืมป่วย” ทางช่อง Amarin TV มาสาธิตและเผยสูตรเด็ดในการทำอาหารเพื่อสุขภาพ ให้นำกลับไปสร้างสรรค์เมนูที่มีประโยชน์เพื่อตัวเองและคนที่คุณรัก   นอกจากสาระเพื่อสุขภาพกายที่เต็มอิ่มตลอดงาน ยังมีเรื่องราวดีๆ จาก คุณพศิน  อินทรวงค์ มาถ่ายทอดวิธีคิด สร้างจิตใจที่เข้มแข็งสู้โรค เรียกได้ว่าครบทั้งสุขภาพกายและใจ ใครที่สายเฮลตี้ต้องมา!!!!

    พบกันที่ 10 โรงพยาบาลชั้นนำ ที่เข้าร่วมในซีซั่นนี้ ได้แก่ รพ.นนทเวช, รพ.หัวเฉียว, รพ.เปาโลเกษตร, รพ. เกษมราษฏร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, รพ.นวมินทร์ 9, รพ.บางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล,  รพ. พญาไท นวมินทร์, รพ. เจ้าพระยา, รพ.วิภาวดี และ รพ.กรุงเทพ สนามจันทร์  เริ่ม กันยายน-ธันวาคม 2562

    สนใจสำรองที่นั่งเข้าร่วมกิจกรรมฟรี!!!  คลิกที่ >>>  https://forms.gle/jd3EtCJGeye7wfeh8  หรือ โทร. 02-422-9999 ต่อ 4123 หรือ 085-661-4667

    Happy Life by ชีวจิต Season 7

    ความรักของแม่

    True Story of Mom : ความรักของแม่คือปาฏิหาริย์ที่แท้จริง

    True Story of Mom : ความรักของแม่ คือปาฏิหาริย์ที่แท้จริง

    เพราะ ความรักของแม่ ปาฏิหาริย์จึงเกิด เรื่องราวของคุณสุนทร งามบุญชื่น เจ้าหน้าที่ประจำโรงพยาบาลวชิรพยาบาล เธอไม่คาดคิดเลยว่าสภาพของผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุขั้นโคม่าที่เธอเห็นจนชินตานั้น จะมาเกิดกับลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ ในวันนั้นปาฏิหาริย์กลายเป็นสิ่งที่ไกลตัวเธอเหลือเกิน

    ” เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2560 ตอนประมาณตี 2-3 ลูกชายประสบอุบัติเหตุที่แยกพระราม 5 มอเตอร์ไซค์ชนกับรถแท็กซี่หลังจากขับไปส่งเพื่อน อาการโคม่ามาก คุณหมอไม่ให้ความหวังอะไรเลย คุณหมอบอกว่าคนไข้อาจจะไม่รอด เพราะอาการหนักมาก กระดูกเชิงกรากแตก ลำไส้ทะลุ ขาข้างซ้ายเละเทะมาก คุณหมอก็ระดมแพทย์ทุกแผนกมาช่วย คุณหมอไม่ได้ให้ความหวังอะไรกับพ่อแม่ว่าคนไข้จะรอดนะ หมอพยายามช่วยกันเต็มที่ ผ่าตัดตั้งแต่เช้าจนถึงสองทุ่ม คุณหมอไม่ให้ความหวังเลย เราเห็นอาการของลูกแล้วน่าจะไม่รอด ตอนนั้นทำใจไม่ได้เพราะเรามีลูกเพียงคนเดียว มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดอย่างกระทันหัน ตอนนั้นก็เตือนเขาแล้วว่าขับรถระวังนะลูกนะ

     

    ความรักของแม่

     

    ” เราเคยเห็นสภาพคนไข้ที่มาหาหมอแล้ว แต่เราก็ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะมาเกิดกับเรา ตอนแรกยอมรับไม่ได้เลย ร้องไห้ทุกวัน เพื่อนร่วมงานก็คอยปลอบให้ใจเย็น ๆ ทุกครั้งที่เข้าไปเยี่ยมลูก คุณหมอก็บอกทุกครั้งว่าให้เราทำใจ

    ” ภาพที่เห็นคือลูกของเรามีเหล็กดามเสียบตามตัวเขาเต็มไปหมด และนอนนิ่ง ไร้การตอบสนอง คุณหมอต้องประเมินอาการทุกวัน คือไม่สามารถคาดเดาอาการล่วงหน้าได้เลย ลูกผ่านการผ่าตัดตั้ง 20 กว่าครั้ง ผ่าวันเว้นวัน ไม่หวังอะไรมากแล้ว ขอแค่ให้ลูกลืมตัวขึ้นมาเราก็พอใจแล้ว เป็นระยะเวลาเกือบเดือนเลยที่ลูกชายไม่ลืมตา นอนอยู่ในห้องไอ.ซี.ยูนานเป็น 2 – 3 เดือน

     

    ความรักของแม่

     

    ” อาจารย์แพทย์บางท่านที่แวะเวียนมาดูอาการก็ให้กำลังใจเราสู้เพื่อลูกนะ ทุกอย่างมันมีทุกข์เดี๋ยวก็ต้องมีสุข ให้ใจเย็น ๆ ต่อสู้เคียงข้างลูกต่อไป’ จึงเริ่มมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง ในขณะที่เรากำลังหมดหวัง ก็ยังมีสามีที่คอยให้กำลังใจ ญาติพี่น้องคอยบอกเราสู้ให้เต็มที่ และเพื่อนร่วมงานที่เข้าใจและปลอบใจเรามาตลอดเวลา เมื่อไม่มีความหวังให้เราสบายใจก็เลยสวดมนต์ อุทิศผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของลูก

    ” ช่วงที่ลูกอยู่ที่โรงพยาบาล เราเครียดมาก ทำใจไม่ได้ ไม่อยากให้ลูกจากไปเลย เรื่องแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับเราเลย เราเคยเห็นแต่ของคนอื่น ไม่คิดเลยว่าจะมาเกิดกับเรา ทำให้ไม่อยากกินข้าวจนซูบผอม เพื่อนร่วมงานต้องคอยเตือนเราเสมอ กินข้าวบ้างนะ เมื่อเรากลับมามองที่ลูก สิ่งที่คิดได้คือเราต้องสู้เพื่อลูกนะ จึงอยากบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพ่อแม่ที่สู้เพื่อลูกคือ ใจต้องเข้มแข็ง และที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งคือต้องให้กำลังใจลูก ไม่มีการซ้ำเติมลูก เราต้องเดินหน้าต่อไป

     

    คลิกเลข 2 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป >>> เพราะปาฏิหาริย์รอคุณอยู่หน้าถัดไป  

    วิธีเลือกซื้อไก่

    เคล็ดไม่ลับ แค่คุณไม่รู้ ตอน วิธีเลือกซื้อไก่ เลือกไก่ไปทำอาหารอย่างไรให้เป๊ะ! (มีคลิป) – A Cuisine

    เนื้อสัตว์ยอดฮิตที่หลายคนนิยมนำมาทำอาหารนอกจากเนื้อหมูแล้ว ก็เนื้อไก่เนี่ยแหละค่ะ เพราะไก่นั้น แทบจะใช้ทำอาหารได้ทุกส่วนเลยก็ว่าได้ ตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ก็เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่รู้ วิธีเลือกซื้อไก่ แต่ละส่วนอย่างถูกต้อง แต่ละส่วนมีวิธีเลือกอย่างไร ส่วนไหน นำไปทำเมนูอะไรได้บ้าง มาค่ะสองสาวคู่ซี้ พี่หมี น้องจอย มีเคล็ดลับดีๆ ในการเลือกซื้อไก่มาฝากกันแล้วค่า

    วิธีเลือกซื้อไก่ เลือกอย่างไรให้เป๊ะ!

    [bc_video video_id=”6063833566001″ account_id=”6037995614001″ player_id=”default” embed=”in-page” padding_top=”56%” autoplay=”” min_width=”0px” max_width=”640px” mute=”” width=”100%” height=”100%” ]

    ไก่ เป็นเนื้อสัตว์ที่สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายชนิด และเป็นที่นิยมกันมาก แถมราคายังย่อมเยาว์และ หาซื้อได้ง่าย  เป็นอาหารที่ย่อยง่าย ไขมันต่ำ มีโปรตีนสูง เส้นใยกล้ามเนื้อของไก่มีความละเอียด อ่อนนุ่มคล้ายปลา ทำให้เคี้ยวกลืนง่าย จึงเหมาะที่จะเป็นอาหารสำหรับทุกช่วงวัย ตั้งแต่วัยทารก

    นอกจากนี้ส่วนประกอบของเนื้อไก่ มีน้ำอยู่ร้อยละ 74 มีโปรตีนสูงถึงร้อยละ 19 โปรตีนของเนื้อไก่เป็นโปรตีนคุณภาพดี หรือโปรตีนชนิดสมบูรณ์ มีกรดอะมิโนชนิดจำเป็น ที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ครบถ้วนทั้ง 10 ชนิดคือ Histidine Isoleucine Leucine Lysine, Methionine Phenylalanine Threonine, Tryptophan valine และ Arginine ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ป้องกันภาวะกล้ามเนื้อฟีบ ถ้ารับประทานเพียงพอตามช่วงวัย

    เนื้อไก่มีไขมันน้อย เพียงร้อยละ 5 ไขมันส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ผิวหนัง ส่วนที่มีไขมันมากที่สุดคือ ตูดไก่ หนังไก่ และคอไก่ ผู้บริโภคควรหลีกเลี่ยงหรือรับประทานในปริมาณเหมาะสม รองลงมาคือส่วนของปีกไก่ และสะโพกไก่ตามลำดับ

    สำหรับส่วนของเนื้อไก่ที่มีไขมันน้อย ได้แก่ อกไก่ สันในไก่ และน่องไก่ ซึ่งในส่วนนี้จะมีกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวมากกว่าไขมันจากวัวและหมู นอกจากนี้เนื้อไก่ยังมีแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ไวตามินเอ และไนอาซิน ซึ่งล้วนแต่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วยค่ะ

     

    วิธีเลือกซื้อไก่
    ชิ้นส่วนไก่

    วิธีเลือกซื้อไก่  ไก่ มี 2 สายพันธุ์ คือมีทั้งไก่เนื้อและไก่บ้าน

    • ไก่เนื้อตัวจะอ้วนกลม เนื้อมีสีชมพูอ่อนๆ หนังหนา เนื้อนุ่มและแน่น
    • ไก่บ้านลักษณะลำตัวจะผอม เนื้อมีสีเหลือง หนังบาง เนื้อค่อนข้างเหนียว

    การเลือกซื้อไก่สดทั้งตัว

    เนื้อไก่ที่ดี หนังควรสดใส ไม่ซีด เนื้อยังแน่น ไม่มีกลิ่น หรือเมือก สีไม่เขียวคล้ำ ถ้าซื้อทั้งตัวให้ดูที่ส่วนหน้าอกไก่ กดดูเนื้อต้องแน่นอ้วน ตาใสไม่ลึก และไม่มีรอยเขียวซ้ำ ตรงท้อง ไม่มีกลิ่นเหม็น หรือ เหมือก ส่วนปลายสุดของปีกจะดัดงอไม่ง่าย หนังมีสีขาวและไม่มีรอยฉีดขาด

    เนื้อไก่ ไม่ว่าจะส่วนใด ก็สามารถนำไปประกอบอาหารได้แทบทุกชนิด ไม่ว่าจะ ต้ม ผัด แกง ทอด ฯลฯ แต่สำหรับผู้ที่รักสุขภาพ แนะนำ เน้นบริโภคในส่วนของ อกไก่ ซึ่งเป็นส่วนมีไขมันน้อยที่สุด

    วิธีเลือกซื้อไก่ส่วนต่างๆของไก่

    1.น่องไก่ เหมาะสำหรับการย่างหรือตุ๋น ไม่ควรเลือกซื้อน่องที่มีสีซีด หนังขาด หลุดลุ่ย และมีน้ำสีแดงไหลซึมออกมา เพราะนั่นแสดงว่าน่องไก่ไม่สด

    2.ปีกไก่ เหมาะกับการย่าง ต้มตุ๋น ควรเลือกซื้อปีกไก่ที่มีลักษณะบางใส เมื่อลองจับดูมันจะไม่มีเมือก

    3.อกไก่ หรือสันในไก่เนื้อส่วนนี้จะค่อนข้างนุ่ม เนื้อติดมันน้อย เหมาะกับการผัดหรือทอด ควรเลือกซื้อเนื้อที่มีสีชมพูอ่อนๆและใส

     

    วิธีทำให้เนื้อไก่นุ่ม

    ใช้ส้อมหรือไม่แหลมจิ้มที่หนังไก่ แล้วหมักกับเครื่องปรุงรสต่างๆและนมสดไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วจึงนำมาปรุงอาหาร หรือใครที่ซื้อไก่แก่มาก็สามารถใช้วิธีเดียวกันได้ แต่ต้องหมักให้นานขึ้นประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพื่อลดความเหนียวของไก่ หรือถ้าจะนำไก่ไปทำเมนูประเภทยำ หรือเมนูที่มีรสจัด ก็สามารถหมักไก่กับน้ำมะนาวได้เล็กน้อย

     

    ขอบคุณข้อมูล www.posttoday.com

     

    ⇒  แจกสูตรข้าวมันไก่จากหม้อหุงข้าว ⇐

    ข้าวมันไก่หม้อหุงข้าว
    สูตรข้าวมันไก่หม้อหุงข้าว

    ขั้นตอนการทำข้าวมันไก่หม้อหุงข้าว

    ส่วนผสม

    ข้าวสาร 350 กรัม
    สะโพกหรืออกไก่ 700 กรัม
    ขิงแก่ฝานเป็นแว่น 5 – 6 แว่น
    กระเทียมสับหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ
    รากผักชีบุบ 2 ราก
    เกลือป่น 1½ ช้อนชา
    น้ำเปล่า 6 ถ้วย
    น้ำมันเจียวจากหนังไก่หรือน้ำมันพืช 1 ถ้วย
    ใบผักชีและแตงกวาหั่นตามขวางปริมาณตามชอบ น้ำจิ้มข้าวมันไก่และน้ำซุปชนิดตามชอบ เช่น แกงจืด สำหรับรับประทานคู่กัน  

     

    ส่วนผสมน้ำจิ้มข้าวมันไก่

    ขิงแก่สับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
    กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
    พริกขี้หนูสับหยาบ 1 – 2 ช้อนโต๊ะ
    เม็ดเต้าเจี้ยวดำบดละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ
    น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
    ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
    ซีอิ๊วดำ 1¼ ช้อนชา
    น้ำส้มสายชู 1½ ช้อนโต๊ะ

     

    วิธีทำ น้ำจิ้มข้าวมันไก่

    ผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน แล้วชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วยเสิร์ฟ

     

    วิธีทำข้าวมันไก่หม้อหุงข้าว

    1. ต้มไก่ในน้ำเดือดจนสุก ตักขึ้นพักไว้ กรองน้ำต้มไก่ผ่านกระชอน เตรียมไว้สำหรับหุงข้าว (ได้น้ำต้มไก่ประมาณ 4½ – 5 ถ้วย)
    2. ซาวข้าวสารผ่านน้ำ 1 ครั้ง แล้วใส่ลงหม้อหุงข้าวเตรียมไว้
    3. ตั้งน้ำมันเจียวจากหนังไก่ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะให้ร้อน ใส่กระเทียมลงเจียวจนได้กลิ่นหอม แล้วเทลงในหม้อหุงข้าว
    4. ใส่ขิงและรากผักชีลงหม้อหุงข้าว ตามด้วยน้ำต้มไก่ เกลือ และน้ำมันที่เหลือ คลุกเคล้าให้เข้ากัน ปิดฝา กดปุ่ม cook หุงข้าวจนสุกดี ระหว่างนั้นเลาะกระดูกออกจากเนื้อไก่ แล้วหั่นเป็นชิ้นตามยาว เตรียมไว้
    5. ตักข้าวมันใส่จานเสิร์ฟ วางไก่ต้มลงไป ตกแต่งด้วยผักชี รับประทานคู่กับแตงกวา น้ำจิ้ม และน้ำซุปตามชอบ

     

    ข้อมูลสูตร : เมนูอร่อย จากหม้อหุงข้าว
    สำนักพิมพ์ Amarin Cuisine 

     

    อ่านต่อเนื้อหาที่น่าสนใจ

    รู้หรือไม่? ไข่เก่า ไข่ใหม่ เลือกอย่างไร? เคล็ดลับง่ายๆ วิธีเลือกไข่ แบบเป๊ะๆ (มีคลิป)

    วิธีทำ ข้าวมันไก่หม้อหุงข้าว สูตรอร่อย อยู่บ้านก็ทำได้

    ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ สูตรเด็ด เมนูอาหารจานเดียว หอมกลิ่นคั่วกระทะ

    พริกแกงมัสมั่น รสไทยแท้ ตำรับโบราณ พร้อมสูตรแกงมัสมั่นไก่

    ตับไก่สามเกลอขนมปังกระเทียม เมนูสองสัญชาติที่เข้ากันอย่างลงตัว (มีคลิป)

    เอ็นข้อไก่ทอด กรุบกรอบเคี้ยวเพลินจนหยุดไม่ได้

    ไข่ตุ๋นนมสด อกไก่พริกไทยดำ เสริมกล้ามเนื้อ

    สลัดผลไม้ ใส่อกไก่ เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย จึงต้องมีตัวช่วย

    ไก่ทอดกูร์เมต์คลุกซอส สุดอร่อย